เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
คนไทยจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอยู่เหนือการเสียภาษี ประชาชนคนไทยเป็นฝ่ายเสียภาษีให้สถาบันในด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ คงเป็นเพราะไปยึด พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2491 ที่ยกเว้นให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่่ว่านับแต่ในสมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็ได้ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีการดำเนินงานแบบใหม่ คือให้ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินฯ ดำเนินการแยกเอาการลงทุนที่ดำเนินการแสวงหาผลกำไรในเชิงธุรกิจ จากเดิมที่สำนักงานทรัพย์สินถือหุ้นอยู่ เปลี่ยนแปลงด้วยการให้มีบริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด เข้ามาถือหุ้นแทน เมื่อบริษัททุนลดาวัลย์เข้ามาดำเนินงานแทน ก็ส่งผลเปลี่ยนแปลงทางการดำเนินธุรกิจ คือเมื่อก่อนนี้ บริษัทต่างๆ ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นอยู่ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้เมื่อได้รับเงินปันผล แต่เมื่อบริษัททุนลดาวัลย์เข้ามา เงินปันผลต่างๆ จึงไม่อยู่ในขอบข่ายที่ได้รับการยกเว้นภาษี สัำนักงานทรัพย์สินฯก็ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 03 มี.ค. 24, 14:58
|
|
ขอย้อนไปถึงเล่าถึงความเป็นมาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก่อน เพราะยังมีผู้ไม่เข้าใจอยู่มากว่าหน้าที่และบทบาทของหน่วยงานนี้คืออะไร บางคนก็เข้าใจว่าเป็นหน่วยราชการหน่วยหนึ่ง บางคนก็เข้าใจว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ เมื่อครั้งประเทศไทยยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์ไทยคือ "พระเจ้าแผ่นดิน" หมายความว่าทรงเป็นเจ้าของหรือผู้ปกครองอาณาจักร ดังนั้นทรัพย์สินที่มีอยู่ในราชอาณาจักร จึงถือเป็นของพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตามพระมหากษัตริย์ได้ทรงแยกทรัพย์สินท้ั้งหมดเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ อีกส่วนคือทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งราชอาณาจักรได้มาหลายทาง เช่นจากการเก็บภาษี และการค้าขายกับนานาประเทศ เป็นต้น สมัยอยุธยาโดยเฉพาะตอนปลาย การค้าขายกับต่างประเทศเฟื่องฟูมาก อาณาจักรศรีอยุธยานับเป็นอาณาจักรมั่งคั่งที่สุดในเอเชียอาคเนย์ แต่หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 ภาวะเศรษฐกิจก็ทรุดตัวหนักเกือบจะเหลือศูนย์ก็ว่าได้ การสถาปนาอาณาจักรธนบุรีขึ้นมาจึงเป็นผลดีไม่เฉพาะแต่ทางด้านการเมืองการปกครองเท่านั้น แต่หมายถึงปากท้องและความเป็นอยู่ของคนไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ศึกสงครามที่มีอยู่ไม่ได้หยุดตลอด 15 ปีของอาณาจักรธนบุรี เรื่อยมาจน 27 ปีในรัชกาลที่ 1 และ 15 ปีในรัชกาลที่ 2 บั่นทอนการทำมาหากินและค้าขาย ทำให้เงินรายได้เหลือเข้าท้องพระคลังได้น้อย ไม่พอค่าใช้จ่ายของอาณาจักร ในรัชกาลที่ 2 ถึงมีการติดเบี้ยหวัดของขุนนางบ่อยๆ ต้องจ่ายเป็นผ้าลายบ้าง ทองคำที่ขุดได้จากบางสะพานบ้าง เจ้านายส่วนใหญ่ก็ต้องขวนขวายทำการค้าเอง เพื่อจะมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวและข้าราชบริพาร จะหวังเบี้ยหวัดจากท้องพระคลังที่เรียกกันว่า "พระคลังข้างที่" ก็ไม่ไหว เศรษฐกิจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ดีขึ้นในรัชกาลที่ 3 เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดระบบ "เจ้าภาษี" ขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 04 มี.ค. 24, 09:36
|
|
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงทำธุรกิจค้าขายกับจีนมาตั้งแต่ยังเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อขึ้นครองราชย์ จึงหาวิธีเพิ่มพูนทรัพย์สินในท้องพระคลังด้วยการหาคนมาช่วยเก็บภาษี เรียกว่าระบบเจ้าภาษี มีการเปิดประมูลให้ผู้ที่ยื่นประมูลได้สูงสุดเป็นเจ้าภาษีในสินค้าผลผลิตประเภทต่างๆ เช่นพืชสวน พืชไร่ รังนก สุรา ฯลฯ เงินเหลือจากที่ต้องส่งให้ราชการเท่าไหร่ก็เข้ากระเป๋าเจ้าตัว เถ้าแก่และขุนนางใหญ่น้อยจึงผันตัวเองมาเป็นเจ้าภาษี รวยขึ้นก็มาก และที่เจ๊งไปเพราะเก็บไม่ได้ตามเป้าหมายก็มีไม่น้อย ส่วนราชการไม่เจ็บตัวเพราะยังไงก็มีข้อกำหนดว่าเจ้าภาษีต้องจ่ายเข้าท้องพระคลังตามราคาประมูลอยู่แล้ว ทำให้ท้องพระคลังเริ่มอู้ฟู่ขึ้นมากในรัชกาลที่สาม ด้วยระบบเจ้าภาษี ซึ่งก็คือสัมปทานแบบหนึ่งนั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเก็บสะสมกำไรที่ได้จากการค้าสำเภาซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ในถุงผ้าสีแดงซึ่งเรียกกันว่า “เงินถุงแดง” ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม เรียกว่า “เงินข้างที่” ต่อมามีจำนวนมากขึ้นก็เก็บไว้ในห้องข้างๆ ที่บรรทม จึงเรียกว่า “คลังข้างที่” เพื่อพระราชทานให้ไว้เป็นทุนสำรองให้แก่แผ่นดินสำหรับใช้ในยามบ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้เกิดเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2426) ที่สยามเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสจึงได้นำเงินถุงแดงมาสมทบเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายและค่าประกันแก่ฝรั่งเศส จนสามารถรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติไว้ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 04 มี.ค. 24, 09:54
|
|
จะเห็นได้ว่าเมื่อถึงตอนนี้ ที่เก็บเงินของแผ่นดินเริ่มแยกออกเป็น 2 ส่วน คือพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นที่เก็บรายได้จากการเรียกภาษี และการค้าขายของอาณาจักร กับ พระคลังข้างที่ เก็บพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ แต่สองอย่างนี้ก็ยังไม่ได้แบ่งแยกกันเด็ดขาด เนื่องจากมีเจ้าของคนเดียวกันคือพระเจ้าแผ่นดิน เทียบง่ายๆเหมือนเราเก็บเงินตัวเองไว้ในกระเป๋าซ้ายบ้าง กระเป๋าขวาบ้าง บางทีก็หยิบซ้าย บางทีก็หยิบขวา แล้วแต่สถานการณ์ เมื่อล่วงมาถึงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าควรจะมีการจัดระเบียบบ้านเมืองในหลายๆด้านให้ทันกับยุคสมัย ดังมีพระราชดำริว่า “เห็นว่าการปกครองในบ้านเมืองเรา ซึ่งเป็นไปในปัจจุบันนี้ ยังไม่เป็นวิธีปกครองที่จะให้การทั้งปวงเป็นไปโดยสะดวกได้แต่เดิมมาแล้ว… การปกครองอย่างเก่านั้น ก็ยิ่งไม่เหมาะสมกับความต้องการของบ้านเมืองหนักขึ้นทุกที จึงได้มีความประสงค์อันยิ่งใหญ่ ที่จะแก้ไขธรรมเนียมการปกครองให้สมกับเวลา ให้เป็นทางที่จะเจริญแก่บ้านเมือง”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 04 มี.ค. 24, 10:25
|
|
หลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าทรงแยกเงินแผ่นดินออกจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ไม่เอาเงินทั้ง 2 ชนิดมาใช้จ่ายปะปนกันอีก คือ พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ 3/336 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม ร.ศ. 122 มีความตอนหนึ่งว่า “ที่ตำบลบางขุนพรหมริมคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งเหนือ อยู่ในที่บริเวณสวนดุสิต ข้าพเจ้าได้ให้เจ้าพนักงานกระทรวงนครบาลจัดซื้อไว้ด้วยเงินพระคลังข้างที่… ที่ตำบลที่กล่าวมาแล้วนี้ ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทำเป็นบ้านให้ลูกชายเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพรได้อยู่เป็นสิทธิเป็นทรัพย์ของตนสืบไป… เพราะเงินรายนี้ข้าพเจ้ามิได้ใช้เงินสำหรับแผ่นดินที่จะจับจ่ายราชการ ได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นเงินสำหรับพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินเอง ไม่เกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดิน”
เมื่อทรงแยกได้ชัดเจน การพัฒนาประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีระเบียบชัดเจนกว่าเมื่อก่อน เงินใดที่เป็นรายได้ของแผ่นดินเช่นการเก็บภาษีอาการ ก็แยกไว้ในพระคลังมหาสมบัติ ส่วนพระคลังข้างที่ก็เป็นที่เก็บพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จะทรงใช้จ่ายอะไรในเรื่องส่วนพระองค์ก็ใช้ส่วนนี้ หรือถ้ามีพระราชประสงค์จะเพิ่มพูนรายได้ส่วนพระองค์ ก็มีหนทางทำได้ โดยไม่ต้องไปเอาเงินของแผ่นดินมาใช้ อธิบายด้วยภาษาชาวบ้านคือ "ท่านทรงทำมาหากิน หารายได้เอง " นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 05 มี.ค. 24, 18:32
|
|
พระคลังข้างที่ มีรายจ่ายหลักๆ อยู่ 4 เรื่อง คือ 1 จ่ายเบี้ยบำนาญสำหรับข้าราชการในวัง 2 จ่ายทุนการศึกษาสำหรับพระราชวงศ์ในต่างประเทศ 3 ให้ยืมดอกเบี้ยต่ำให้หน่วยงานและประชาชนทั่วไป 4 ลงทุนทางตรงในธุรกิจต่างๆ การตั้งพระคลังข้างที่ ก็เพื่อจัดระเบียบรายรับรายจ่ายของพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ยิ่งปีก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะในระบอบเดิม เป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ที่จะอุปถัมภ์พระราชวงศ์ นอกจากนี้ แต่ละรัชกาลก็มีพระราชโอรสพระราชธิดาและเจ้าจอมหม่อมห้ามเป็นจำนวนมาก จึงมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงต้องมีลงทุนเพื่อให้รายได้งอกเงยขึ้น โดยการดำเนินงานของพระคลังข้างที่ ส่วนพระราชวงศ์ทั้งหลาย ถ้าเป็นชายก็มักจะถูกกำหนดให้รับราชการ นอกจากจะเป็นกำลังของแผ่นดินเพื่อรับผิดชอบงานพัฒนาประเทศในด้านต่างๆแล้ว ก็ยังมีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้อีกด้วย ส่วนพระราชโอรสก็ได้รับพระราชทานทุนไปศึกษาต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้ให้ทันยุคสมัย กลับมาทำงานเพื่อความก้าวหน้าของประเทศ เห็นได้จากพระบรมราโชวาทพระราชทานแต่พระราชโอรสว่า “เงินค่าที่จะใช้สอยในการเล่าเรียนกินอยู่นุ่งห่มทั้งปวงนั้น จะใช้เงินพระคลังข้างที่ คือเงินที่เป็นส่วนสิทธิขาดแต่ตัวพ่อเอง ไม่ใช้เงินสำหรับจ่ายราชการแผ่นดิน… ถ้าจะใช้เงินแผ่นดินสำหรับให้ไปเล่าเรียนแก่ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กลับมาไม่ได้ทำราชการคุ้มกับเงินที่ลงไป ก็จะเป็นที่ติเตียนของคนบางจำพวกว่ามีลูกมากเกินไป… ไม่อยากจะให้มีมลทินที่พูดติเตียนเกี่ยวข้องกับความปรารถนา ซึ่งจะสงเคราะห์แก่ลูกทั่วถึงโดยเที่ยงธรรมนี้ จึงมิได้ใช้เงินแผ่นดิน… อีกประการหนึ่งเล่า ถึงว่าเงินพระคลังข้างที่นั้นเองก็เป็นเงินส่วนหนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน เว้นแต่เป็นส่วนที่ยกให้แก่พ่อใช้สอยในการส่วนตัว… เหตุที่พ่อเอาเงินส่วนที่พ่อจะได้ใช้เองนั้นออกให้ค่าเล่าเรียน ด้วยเงินรายนี้ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะแทรกแซงว่าควรใช้อย่างนั้น ไม่ควรใช้อย่างนั้นได้เลย”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 06 มี.ค. 24, 18:49
|
|
บทบาทของพระคลังข้างที่ จะว่าไปก็ไม่ต่างจากการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของหัวหน้าครอบครัวที่มีทรัพย์สมบัติตกทอดจากปู่ย่าตายายมาแต่เดิม เป็นครอบครัวขยาย มีลูกหลานและบริวารจำนวนมากให้หัวหน้าครอบครัวต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ยิ่งมีรายจ่ายมาก ก็ยิ่งต้องขวนขวายหารายได้มาให้มากพอจ่าย การหารายได้ของครอบครัวนี้ก็ทำนองเดียวกับคนที่มีทุนมากพอจะเอาเงินไปหมุนให้เกิดผลงอกเงย เช่นปล่อยเงินกู้ และลงทุนในกิจการต่างๆที่จะทำให้ได้กำไรกลับคืนมาเป็นค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวต่อไป สมัยรัชกาลที่ 5 สยามพัฒนาทางด้าสาธารณูปโภคต่างๆให้ทันสมัยตามแบบอารยประเทศ พระคลังข้างที่ก็ปล่อยเงินกู้ให้ผู้ที่สนใจจะลงทุน เป็นประชาชนทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะพระราชวงศ์ เช่น ให้กู้แก่นายฮันเตอร์ พ่อค้าตะวันตกที่เข้ามาเปิดกิจการในไทย เมื่อนำไปลงทุนแล้ว เจ้าไหนที่ขาดทุนและไม่สามารถชำระคืนได้ แทนที่จะปล่อยให้หนี้สูญ เสียทั้งต้นทั้งดอก พระคลังข้างที่ก็เข้าซื้อกิจการแทนเจ้าของเดิม เพื่อดำเนินงานต่อไปได้ไม่สะดุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 07 มี.ค. 24, 11:12
|
|
ข้ามเรื่องจุดกำเนิดของพระคลังข้างที่ไปหน่อย ขอย้อนกลับไปว่าเมื่อมีการพัฒนาประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญเป็นฝรั่งจากยุโรปมาเป็นที่ปรึกษาในราชการไทยหลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้เชี่ยวชาญการคลังชาวอังกฤษชื่อนายมิตเชล อินเนส (Mitchel Innes) เข้ามาเป็นที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ อินเนสเสนอให้พระเจ้าอยู่หัวกู้เงินมาสร้างทางรถไฟ ซึ่งท่านก็ทรงเห็นด้วยว่า “ถ้าจะกู้เพื่อการลงทุนเป็นดอกเป็นผล ก็ไม่รังเกียจ ถ้าหากกู้มาซื้ออาวุธจะไม่เห็นด้วย” อินเนสทูลเสนอต่อไปว่า การกู้เงินมหาชน (Public Loan) จำเป็นจะต้องมีการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อแสดงรายรับรายจ่าย โดยให้เหตุผลว่า “ให้มหาชนเชื่อในความมั่นคง (credit) ของประเทศนั้น” เพราะการแสดงฐานะทางการเงิน นอกจากเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่จะลงทุนพันธบัตรแล้ว ฐานะทางการเงินที่ดีจะช่วยให้ดอกเบี้ยหน้าตั๋วถูกลงด้วย เพราะว่าถ้านักลงทุนขาดความเชื่อมั่น พันธบัตรก็จะขายยาก ต้องเพิ่มดอกเบี้ยเข้าไปอีก จะส่งผลให้การกู้ครั้งต่อ ๆ ไป มีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น นายอินเนสยังเสนอต่อไปว่าเขาจัดทำแนวทางงบประมาณแผ่นดินไว้แล้ว โดยให้โควต้าเงินส่วนพระองค์ 15% ของงบประมาณ ข้อนี้ นายอินเนสทูลว่าในยุโรป เขากำหนดกันเป็นจำนวนเงินที่แน่นอน พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบตามที่เสนอ โดยสั่งให้กระทรวงพระคลังเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินส่วนพระองค์มา ข้อนี้สร้างความประทับใจให้นายอินเนส เป็นอย่างมาก จนถึงกับบอกว่าประเทศอื่นมีแต่พระเจ้าแผ่นดินเรียกร้องจะเอาเท่านั้นเท่านี้ แต่เมืองไทยกลับให้เสนาบดีเป็นผู้กำหนดมาให้ เมื่อข้อเสนอของนายอินเนสผ่าน จากนั้น ก็มีการแยกส่วนกัน คือกรมพระคลังมหาสมบัติยกฐานะขึ้นเป็น “กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ” ส่วน “กรมพระคลังข้างที่” ตั้งขึ้นมาดูแลพระราชทรัพย์ในราชการส่วนพระองค์ ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อมา คือการใช้จ่ายใด ๆ ในส่วนพระองค์ (ที่ไม่ใช่่พระราชทรัพย์ในราชการส่วนพระองค์) กลับถูกเสนาบดีจับยัดไปลงกรมพระคลังข้างที่หมด ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายซ่อม-สร้างวัง รายจ่ายบำเหน็จ-เครื่องราชฯ ไปจนถึงเรื่องอะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือจากหน้าที่เสนาบดีทั้งหลาย จนในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชปรารภกับกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าเงินไม่พอใช้ (แต่ไม่ได้บ่นเอาความใดใดกับเสนาบดีพระคลัง) กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2453 กระทรวงพระคลังจึงเพิ่มเงินส่วนพระองค์ให้เป็น 9 ล้านบาท แต่พอเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 กระทรวงพระคลังก็ตัดเหลือ 6 ล้านบาทเหมือนเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 08 มี.ค. 24, 15:20
|
|
เรื่องเงินไม่พอใช้เกิดจากที่ประชุมเสนาบดีพิจารณากำหนดเงินพระคลังข้างที่สำหรับทรงใช้สอยเป็นส่วนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว ปีละ 6,000,000 บาท พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับมาตามนั้น แต่เมื่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดเงินจำนวนดังกล่าวถวายมาได้เพียง 2 หรือ 3 ปี ก็ทรงพบว่าค่าใช้จ่ายทั้งหลายทั้งปวงนั้นมากเกินเงินที่ได้รับมา แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทรงลั่นพระวาจาไปแล้วว่าให้คณะเสนาบดีเป็นฝ่ายกำหนด จะกลายเป็นไม่รักษาพระวาจา ก็ทรงมีพระราชปรารภกับพระเจ้าน้องยาเธอ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯทรงบันทึกไว้้ว่า “ (พระเจ้าอยู่หัว)ทรงอัตคัดด้วยเงินพระคลังข้างที่ไม่พอจะใช้ ครั้นจะปรับทุกข์กับกระทรวงพระคลังก็ได้ลั่นพระโอษฐ์แล้วว่าจะยอมรับเพียงปีละหกล้าน จะเป็นพูดไม่แน่นอน ตรัสปรึกษาฉันว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะได้เงินพอใช้" สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงได้มีรับสั่งให้หาพระยาศุภกรณ์บรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) รองอธิบดีกรมพระคลังข้างที่ มาวายคำชี้แจงให้ทรงทราบความโดยตลอดว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 08 มี.ค. 24, 17:05
|
|
“ในงบประมาณเดิมที่กำหนดเงินพระคลังข้างที่ว่า ๑๕ เปอร์เซนต์ของรายได้เงินแผ่นดินนั้น ไม่ได้รับจริงอย่างนั้น เป็นแต่เอาจำนวนเงินตามบัญชีที่ปรากฏว่าใช้สอยในราชสำนักปีละเท่าใดคิดถัวกัน ตั้งเป็นเกณฑ์ กำหนดเป็นอัตราจ่ายเงินพระคลังข้างที่ปีละเท่านั้น แต่ปีใดเงินไม่พอใช้ก็เรียกเพิ่มเติมได้ไม่มีจำกัด ก็แต่เงินพระคลังข้างที่นั้นมิใช่แต่สำหรับพระองค์พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้สอย ยังต้องเอาไปใช้ในการอื่นอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่าเงินงวดประจำปีที่พระราชทานเจ้านายเช่นตัวฉัน และเบี้ยหวัดเงินเดือนราชบริพารฝ่ายใน ตลอดจนรับแขกเมืองก็ใช้เงินพระคลังข้างที่... ครั้นทำงบประมาณแบบใหม่จำกัดกำหนดเงินพระคลังข้างที่ปีละหกล้านบาท ถ้าดูแต่ยอดจำนวนเงินก็เห็นมากกว่าที่กระทรวงพระคลังเคยจ่ายประจำปีมาแต่ก่อน แต่ที่จริง พระเจ้าอยู่หัวได้เงินพระคลังข้างที่น้อยลงกว่าเช่นเคยมาแต่ก่อน เพราะกระทรวงพระคลังตัดรายจ่ายเงินแผ่นดินซึ่งกระทรวงพระคลังเคยจ่ายในบรรดาการซึ่งเนื่องกับราชสำนัก เช่นเงินเดือนข้าราชการ ค่าใช้สอยในการเสด็จประพาส การก่อสร้างซ่อมแซมรักษาพระราชวังต่างๆ แม้ที่สุดจนการเลี้ยงช้างเผือก รวมทุกอย่างมาให้พระคลังข้างที่จ่ายในเงินหกล้านนั้น ผลของงบประมาณใหม่จึงกลายเป็นลดเงินพระคลังข้างที่น้อยลงกว่าแต่ก่อน เพราะถูกพ่วงรายจ่ายเพิ่มเข้ามาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 10 มี.ค. 24, 13:46
|
|
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับเงินค่าใช้จ่ายจากพระคลังมหาสมบัติปีละ 9 ล้านบาทมาจนสิ้นรัชกาล เมื่อเริ่มรัชกาลที่ 6 แทนที่จะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ 9 ล้านบาทในฐานะพระมหากษัตริย์ กลับทรงได้รับเงินเท่ากับเมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จพระยุพราช คือ 3 แสนบาทเท่าเดิม มาจนหมดปี คือสิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2453 ซึ่งนับป็นเดือนสุดท้ายของปีปฏิทินในยุคนั้น พอเริ่มปีใหม่ พ.ศ. 2454 กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดเงินถวายในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แทนที่จะเป็น 9 ล้านบาท กลับย้อนไปเป็นจำนวน 6 ล้านบาทเหมือนเมื่อครั้งโน้น เหตุผลของกรมพระคลังมหาสมบัติ ตามที่ทรงบันทึกไว้ คือ “คลังก็ตัดเงินเสีย 3 ล้าน คงจ่ายให้ฉันเพียง 6 ล้าน โดยอ้างว่าฉันเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ควรเริ่มรับเพียง 6 ล้านก่อน แล้วจะขึ้นให้ปีละ 5 แสน จนถึง 9 ล้านเป็นที่สุด ตามความจริงก็หาได้ขึ้นให้ฉันอย่างที่รับไว้นั้นไม่ คงจ่ายให้เพียงปีละ 6 ล้านถึง 6 หรือ 7 ปี แล้วจึงได้ยอมเริ่มขึ้นให้” [ประวัติต้นรัชกาลที่ 6] ในเมื่อรายจ่ายในราชสำนักสืบเนื่องจากรัชกาลก่อนยังไม่ลดลง แค่รายได้ลดลงไปถึง 1 ใน 3 ทำให้ราชสำนักเกิดภาวะเงินฝืด ซ้ำร้ายใน พ.ศ. 2456 เกิดวิกฤติการเงินในแบงก์สยามกัมมาจล เพราะมีการโกงจนธนาคารเกือบจะล้มละลายลงไป พระเจ้าอยู่หัวต้องเอาเงินพระคลังข้างที่เข้าไปพยุงไว้ เท่ากับสูญเงินไปกับแบงก์สยามกัมมาจลถึง 1,634,000 บาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 12 มี.ค. 24, 15:48
|
|
ไม่เท่านั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 6 แม้ว่าสมรภูมิอยู่ในยุโรป ไม่มีผลกระทบถึงเขตแดนสยาม แต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างจัง คือข้าวของในท้องตลาดแพงขึ้นมาก ทำให้ค่าครองชีพถีบตัวขึ้นสูงเกินกว่ารายได้ของคนยุคก่อนสงครามจะตามทัน ดังที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกไว้ว่า “เกิดสงครามโลก ซึ่งทำให้ของทุกอย่างขึ้นราคาอย่างมหาโหด และหนี้สินที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนสงครามก็ต้องทำการชดใช้ในอัตราสงคราม นอกจากนั้นในระหว่างสงครามฉัน [รัชกาลที่ 6] ยังต้องเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวบางประการ ซึ่งฉันไม่สามารถหวังอะไรตอบแทนได้ นอกจากคำขอบคุณอย่างเป็นทางการ” ค่าของเงินเปลี่ยนไปมาก หนี้สินเมื่อก่อนสงคราม ก็ต้องมาตีราคากันใหม่ในอัตราสงคราม หมายถึงต้องใช้หนี้แพงขึ้นทั้งๆไม่ได้ก่อหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้พระคลังข้างที่ประสบภาวะคับขัน ถึงขนาดพระเจ้าอยู่หัวทรงระบายความคับข้องพระทัยไว้ว่า “มีหนี้สินทวีมากขึ้น ฉัน [รัชกาลที่ 6] ขอให้แบงก์สยามกัมมาจลช่วยโดยให้กู้เงินบ้างก็ไม่ยอมให้กู้ ฉันจะขอถอนเงินของฉันที่ฝากไว้ในแบงก์นั้นก็ไม่ให้ถอน, ฉันจะขายหุ้นส่วนของฉันบ้างก็ไม่ให้ขาย” สาเหตุที่ทรงระบุไว้คือ “กระทรวงพระคลังมหาสมบัตอำนวยการแบงก์สยามกัมมาจล, ว่าจะคิดจัดดำเนิรการตั้งรูปขึ้นให้เป็นธนาคารของชาติ (National Bank) เอาเงินแผ่นดินเข้าหุ้นไว้พอให้มีสิทธิเปนผู้ถือหุ้น, แล้วก็รวบเอาอำนาจไว้ในมือทั้งสิ้น, ส่วนกรรมการผู้แทนพระคลังข้างที่กลายเปนงงเข้าไปนั่งทำตาปริบๆ อยู่ในที่ประชุมสภากรรมการเท่านั้น”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 12 มี.ค. 24, 16:02
|
|
ยุครัชกาลที่ 6 สยามยังอยู่ในระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย หรือเรียกกันมา(ผิดๆ)ว่า "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" (Absolute Monarchy) หมายถึงว่า ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ อยากทำอะไรก็อยู่ในพระราชอำนาจที่จะทำได้ทั้งสิ้น แต่กระทู้นี้ก็คงจะทำให้เห็นกว่าในทางปฏิบัติ พระเจ้าแผ่นดินสยามมิได้ทรงมีสิทธิ์ขาดอย่างนั้น อย่างน้อย การจับจ่ายใช้สอยเงินทองก็ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะเสนาบดี ทำให้พระเจ้าอยู่หัวต้องยุ่งยากพระทัยอยู่มาก ว่าจะทรงสร้างดุลย์ของการใช้จ่ายได้อย่างไรแบบไหน หากว่าเงินทองที่ราชการถวายให้ เกิดไม่พอรายจ่ายขึ้นมา ล่วงมาถึง พ.ศ 2464 หนี้สินของพระคลังข้างที่ก็ยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องใช้คำว่า "ขาดสภาพคล่อง" พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริที่จะขอกู้เงินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจำนวน 3 ล้านบาท “เพื่อเอาไปผ่อนใช้หนี้รายที่เร่งร้อนตามส่วนที่ควรใช้ไปคราวหนึ่งก่อน… เพราะเห็นว่า มีเจ้าหนี้รายใหญ่เสียรายเดียวดีกว่ามีรายย่อยหลายๆ ราย, ซึ่งเปนการรุงรัง” [หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.6 ค.4/12 เรื่องพระคลังข้างที่กู้เงินกระทรวงพระคลัง. (26 ธันวาคม-12 มกราคม 2464)] แต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า “การที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จ่ายเงินพระคลังมหาสมบัติรองไปในการผ่อนใช้หนี้พระคลังข้างที่นั้น เกรงด้วยเกล้าฯ ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ปฏิบัติราชการไปให้เปนประโยชน์ต่อใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทได้ไม่ตลอด เพราะว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่เลงเห็นอุบายที่จะป้องกันอันตรายในภายน่า หฤา วิถีทางที่จะรักษาราชการมิให้ทรุดโทรมไปได้เลย เปนอันจนด้วยเกล้าฯ ดังนี้ จึ่งนับว่าข้าพระพุทธเจ้าสิ้นความสามารถในราชการแล้ว” สรุปว่ากรมพระจันทบุรีฯ ไม่ทรงเห็นด้วยกับวิธีนี้ แปลอีกทีว่าไม่ให้กู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 13 มี.ค. 24, 15:13
|
|
ก็คงจะเดาได้ว่า เมื่อกรมพระจันทบุรีฯ ทรงตอบปฏิเสธไปเช่นนี้ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงรู้สึกอย่างไรก็ไม่ต้องอธิบายกันมาก แต่ก็มิได้ทรงวู่วาม แต่ทรงนำความไปทรงปรึกษาด้วยเสนาบดีผู้ใหญ่อีกหลายท่าน คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ, เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล, เจ้าพระยาอภัยราชามหายติธรรมธร (ม.ร.ว.ลพ สุทัศน์)เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมล, เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ่ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง, และเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก, จากนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาทรงตอบกลับมาว่า “ในเรื่องนี้ถ้าท่านไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกจากไม่ไว้พระทัยในความสามารถของหม่อมฉันที่จะจัดการใช้จ่ายในครอบครัวของหม่อมฉันให้เปนที่เรียบร้อยได้ฉนั้นไซร้ ต้องถือว่าท่านไม่มีสิทธิอันใดเลยที่จะวินิจฉัย…ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งหม่อมฉันจะใช้เงินในทางที่ผิดหรือชอบนั้นหาได้อยู่ในความรับผิดชอบของท่านไม่ เพราะฉะนั้นถ้าท่านขัดข้องแต่เพียงข้อนี้ข้อเดียวแล้วหม่อมฉันต้องสั่งให้ท่านรองจ่ายเงิน สามล้าน (3,000,000) บาทให้แก่กรมพระคลังข้างที่เพื่อผ่อนใช้หนี้ไปในบัดนี้ ส่วนที่ท่านขอลาออกนั้น หม่อมฉันไม่เห็นมีเหตุผลพอเพียง ถ้าอนุญาตให้ท่านลาออก เห็นว่าความครหาจะตกอยู่แก่หม่อมฉันว่าทำการปราศจากสติสัมปชัญญะ เพราะฉนั้นจะอนุญาตให้ท่านลาออกไม่ได้” [หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.6 ค.4/12 เรื่องพระคลังข้างที่กู้เงินกระทรวงพระคลัง. (26 ธันวาคม-12 มกราคม 2464)]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33597
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 13 มี.ค. 24, 15:28
|
|
สรุปว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงได้เงินกู้ 3 ล้านบาทจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จ่ายให้แก่กรมพระคลังข้างที่ แต่สภาพคล่องก็คงจะยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ จึงต้องแสวงหาแหล่งเงินกู้เพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้พระคลังข้างที่มีเงินหมุนเวียนงอกเงยขึ้นมา เห็นได้จากทรงกู้ยืมเงินจากตลาดเงินกรุงลอนดอนเมื่อ พ.ศ. 2464 จำนวน 2 ล้านปอนด์ และอีก 3 ล้านปอนด์ใน พ.ศ. 2466 แต่เงินจำนวน 5 ล้านปอนด์นี้ไม่ได้นำมาใช้จ่ายส่วนพระองค์ล้วนๆ แต่เอามาเพื่อช่วยรายจ่ายจากเงินคงพระคลังฯ ในการสร้างทางรถไฟ การทดน้ำ และการสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ในพระราชอาณาจักร ส่วนในราชสำนักก็็มีกรรมการองคมนตรีตรวจตัดรายจ่ายในพระราชสำนัก ส่งผลให้ยุบเลิกส่วนราชการในพระราชสำนักไปหลายหน่วยในตอนปลายรัชสมัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|