วันนี้มีเรื่องประวัติ และลำดับเวลา ขั้นตอนการพัฒนาของเพลงชาติไทยมาเล่าสู่กันฟังนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการยืดเยื้อเริ่มเลยก็แล้วกันนะครับ
......................................................
ประวัติการกำหนดเพลงใดเพลงหนึ่งขึ้นมาเป็นเพลงชาตินั้นมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยนะครับ ก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสยามยังคงมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง และทรงมีอำนาจสูงสุด ประเทศเราจึงได้เคยใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่ระยะเวลาหนึ่ง คือตั้งแต่แต่สมัยปี พ.ศ. ๒๔๓๑ จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยผู้ประพันธ์ทำนองคือ ปโยตร์ สซูโรฟสกี้ นักประพันธ์เพลงชาวรัสเซีย โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศานุวัตติวงศ์ทรงนิพนธ์บทร้อง ดังนี้
@ ข้าวรพุทธเจ้า
เอามโนและศิรกราน
นบพระภูมิบาลบุญญะดิเรก
เอกบรมจักริน
พระสยามินทร์พระยศยิ่งยง
เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณธรักษา
ปวงประชาเป็นศุขสานต์
ขอบันดาล ธประสงค์ใด
จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย
ดุจจะถวายชัย ฉะนี้ ฯ
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำริเปลี่ยนคำในตอนจบของเพลงสรรเสริญพระบารมีจาก “ฉะนี้” เป็น “ไชโย” แทน นอกจากบทร้องฉบับนี้แล้วยังมีฉบับที่พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ทรงนิพนธ์ไว้เช่นกัน บทร้องดังกล่าวมีดังนี้
@ ข้าวรพุทธเจ้า
เหล่ายุทธพลนาวา
ขอถวายวันทา วรบดทะบง (บทบงส์)
ยกพลถวายไชย
ให้สยามจงอิสระยิ่งยง
เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ใจทหารทั้งบ่าวนาย
ยอมขอตายถวายท่าน
ชอบันดาล ธ ประสงค์ใด
จงสิทธิ์ดังหวังพระหฤทัย
ดุจถวายไชย ฉะนี้
ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ รัฐบาลในขณะนั้นโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้ดำริแต่งเพลงชาติขึ้น เพื่อปลุกใจให้คนไทยรักชาติ และสามัคคี ตลอดจนให้เลื่อมใสในรัฐธรรมนูญ โดยใช้ทำนองเพลงมหาชัย ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้
@ สยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย
เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ
ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน
วางธรรมนูญสถาปนาพรรษาใหม่
ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย
ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า ฯ
..................................
ต่อมาจึงดำริจะให้มีเพลงชาติแบบสากล จึงได้ให้พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) แต่งทำนองเพลงขึ้น โดยให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) แต่งคำร้อง ดังนี้
@ แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา
ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย
บางสมัยศัตรูจู่มารบ
ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่
ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของชาติไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือกระดูกที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสระ เสรี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย
สถาปนาสยามให้เชิดชัย ชโย ฯ
……………………………………….
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์ พระเจนดุริยางค์, หลวงชำนาญนิติเกษตร, จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะ ผลการตัดสินปรากฎว่า เพลงที่ชนะเลิศได้แก่ ฉบับที่ประพันธ์โดยของจางวางทั่ว พาทยโกศล สำหรับเพลงชาติแบบไทยฉบับนี้ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าเพลงชาติ "แบบไทย” นั้น ท่านผู้แต่งได้ดัดแปลงทำนองมาจากเพลงหน้าพาทย์สำคัญของไทยที่มีชื่อว่าเพลง “ตระนิมิตร” ให้สามารถบรรเลงเป็นทางสากล ซึ่งเพลงตระนิมิตรนี้ เป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงครู นักดนตรีจะใช้บรรเลงในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานไหว้ครู บรรเลงเป็นการอัญเชิญครูบาอาจารย์ เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีความหมายอันควรแก่การเคารพนับถือเป็นสิริมงคล จึงควรที่จะเหมาะสมที่จะเป็นเพลงชาติไทยได้ แต่อย่างไรก็ตาม และไดใช้เป็นเพลงบรรเลงออกอากาศทางวิทยกระจายเสียงของกรมโฆษณาการอยู่ระยะหนึ่ง ส่วนเพลงชาติในแบบสากลฉบับของพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) นั้นก็ยังคงนำมาใช้บรรเลงอยู่ด้วยในหลายๆ โอกาสเช่นกัน จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ในยุคนั้นชาติไทย หรือประเทศสยาม ณ เวลานั้น ของเรามีเพลงชาติไทยถึง ๒ แบบ ๒ ทำนอง
ต่อมาภายหลังคณะกรรมการชุดเดียวกันนี้ ได้มีการพิจารณาว่า เพลงชาตินั้นคงจะมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลง จึงร่วมกันพิจารณาใหม่ ในที่สุดตกลงว่าให้มีทางสากลเพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์ สำหรับเหตุผลในการยกเลิกเพลงชาติ “แบบไทย”และเลือกเพลงชาติตามแบบ “สากล” คงไว้ใช้ต่อไปนั้น ไม่ปรากฏว่ามีเหตุผลพิเศษอื่นใด นอกจากความเห็นจากหลายฝ่ายที่เข้าใจว่า ทำนองเพลงชาติ “แบบไทย” นั้นอาจจะดูเป็นไทยเกินไป และอาจจะดูเชยเหมือนกับว่าไม่มีวัฒนธรรม
เมื่อสรุปทำนองหลักของเพลงชาติไทยได้แล้ว ทางคณะกรรมการฯ จึงได้จัดให้มีการประกวดบทร้องขึ้นใหม่ ซึ่งผลจากการประกวดบทร้องในครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้รางวัลแก่บทร้อง ๒ ฉบับ คือบทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล และบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา และตัดสินให้บทร้องของขุนวิจิตรมาตราได้รับรางวัลชนะเลิศ และได้ประกาศใช้บทร้องที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนี้เป็นบทร้องของเพลงชาติไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตามสำหรับเพลงชาติแบบไทยฉบับของจางวางทั่ว พาทยโกศลนั้น ก็ยังคงมีบรรเลงอยู่ในกองดุริยางค์ทหารเรือ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๒
บทร้องที่คณะกรรมการคัดเลือกมีดังนี้
บทร้องเพลงชาติไทยของนายฉันท์ ขำวิไล
@ เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต
รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม
ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม
ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา
แม้ถึงไทยไทยด้อยจนย่อยยับ
ยังกู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า
ควรแก่นามงามสุดอยุธยา
นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี
เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย
มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้
ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสระเสรี
เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย
จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น
ว่าไทยมั่นรักชาติไม่ขาดสาย
มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงชาย
สยามมิวายอยู่มุ่งหมายเชิดชัย ไชโย ฯ
……………………………………
บทร้องเพลงชาติไทยของขุนวิจิตรมาตรา
@ แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมา
ร่วมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยศัตรูจู่โจมตี
ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย
สถาปนาสยามให้เทอดไท ไชโย ฯ
…………………………………………..
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ ในช่วงยุคการปกครองโดยนายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า “สยาม” มาเป็น “ไทย” ตามนโยบาย “รัฐนิยม” ของท่านผู้นำในสมัยนั้น ทำให้จำต้องแก้ไขบทร้องในเพลงชาติด้วย รัฐบาลจึงได้จัดประกวดบทร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ ผลการประกวดบทร้องเพลงชาติไทยครั้งนั้นได้แก่ บทร้องซึ่งประพันธ์โดยนายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ซึ่งส่งเข้าประกวดในนามกองทัพบก และให้ใช้ขับร้องร่วมกับทำนองเพลงชาติไทย ของพระเจนดุริยางค์ ตามแบบที่มีอยู่ ณ กรมศิลปากร ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้
@ ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราาชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุถกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย ฯ
และบทร้องเพลงชาติไทยบทนี้ก็ได้กลายมาเป็นบทที่พวกเราคนไทยได้ใช้ร้องกันมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับเกียรติที่ได้รับในครั้งนี้ท่านพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ มีความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับได้สั่งเสียบุตร ธิดา ไว้ว่า “ ฉันได้สั่งบุตรธิดาของฉันไว้ทุกคนว่า ในกาลภายหน้าเมื่อถึงวาระที่ฉันจะต้องเกษียรอายุลาโลกไปแล้ว ขณะจะใกล้จะขาดอัสสาสะ ขอให้หาจานเสียงเพลงชาติอันนี้ มาเปิดให้ฟังให้จงได้ เพื่อบังเกิดความชุ่มชื่นระรื่นใจ อันไม่มีเสื่อมคลายตราบสิ้นปราณ “
…………………………………………………..
เรียบเรียงจาก
1. บทความเรื่อง “เพลงชาติไทย”
www.dontrithai.com2. บทความจากหนังสือ “สยามสังคีต" โดย นพ.พูนพิศ อมาตยกุล
3.
www.thaimain.org4.
www.nevy.mi.th........................................................................
มีโน๊ตบรรทัดห้าเส้น เพลงชาติไทย ฉบับของท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศลมาฝากนะครับ โดยท่านผู้บันมึกโน๊ตฉบับนี้คือครูเทวาประสิทธ์ พาทยโกศล บุตรชายของท่านครูจางวางทั่ว ซึ่งทั้งท่านครูจางวางทั่ว ละครูเทวาประสิทธิ์ ถือว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะนักดนตรีคนสำคัญในยุครุ่งเรืองสุดท้ายของการดนตรีไทย ก่อนที่จะถูกรัฐาบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งห้ามเล่นห้ามร้องดนตรีไทยเป็นเวลานานถึง 15 ปีนะครับ