ในปี พ.ศ.2373 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่ามีพราหมณ์เทศท่านหนึ่งเดินทางเข้ามายังพระนคร
มีนามว่าพราหมณ์อัจจุตะนันนำมาแต่ชมพูทวีป และได้ให้การถึงความเป็นไปในเมืองพาราณสีบ้านเกิด
แม้เนื้อความจะเป็นที่ถกเกถียงถึงข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของผู้ให้การและคำแปล แต่เรื่องนี้ก็เป็นพยานว่ากรุงเทพมหานคร
มีการติดต่อสื่อสารกับพราหมณ์เทศมาตั้งแต่เริ่มแรก และพราหมณ์เหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามลัทธิของตนเข้ามาเผยแพร่ด้วย
หลักฐานทีทำให้เราเชื่อได้ว่าลัทธิความเชื่อแบบพราหมณ์อินเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อแนวคิดของคนกรุงเทพฯ ก็คือ
สมุดภาพ ‘ตำราเทวรูปและเทวดานพเคราะห์’ ซึ่งมีถึง 5 เล่มสมุดไทย
ที่สันนิษฐานว่าผู้ที่โปรดให้สร้างขึ้นก็คือเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ พระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในราวๆรัชกาลที่ 4
โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ภาพต้นแบบในการเขียนภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส, วัดสุทัศน์เทพวราราม และอีกหลายๆ แห่ง
ตำราภาพเหล่านี้ปรากฏภาพเทพเจ้าพระองค์ต่างๆในปางต่างๆกันไป ตั้งแต่พระมหาเทพทั้งสามและอวตารในรูปแบบต่างๆ
เรื่อยไปจนถึงพระศักติและเทพชั้นรอง อาทิ พระอุมาเทวี, พระลักษมีเทวี, พระขันธกุมาร, พระพิฆเณศวร เป็นต้น
และบางภาพแม้ชื่อที่จารไว้ข้างภาพจะเพี้ยนไปบ้าง แต่เราก็ยังสามารถเทียบเคียงภาพเทพเจ้าต่างๆนั้นกับภาพเทพเจ้าตามคติอินเดีย อาทิ
ภาพพระปรเมศวรปราบมุลาคะนีในสมุดไทยดำเลขที่ 32กับพระศิวะนาฎราช, ภาพพระอิศวรสร้างพระหิมพานในร่มไม้สกรมในสมุดไทยดำเลขที่ 70 กับพระทักษิณามูรติ
และที่สำคัญคือ "พระนารายณ์ทรงขลุ่ยปราบอสูรเวรำภา"(ค้นไม่พบ) กับภาพพระพลเทพถือไทยในพระสมุทรูปพระไสยสาตร เลขที่ 33
กับพระกฤษณะและพระพลราม ซึ่งทำให้เราทราบว่าอย่างน้อยผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 4
ก็คุ้นเคยกับรูปพระกฤษณะในฐานะอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ รวมไปถึงยังรู้จักพระพลราม ในชื่อ พระพลเทพ อีกด้วย
หลักฐานสำคัญอีกชั้นหนึ่งที่ยืนยันว่าชาวกรุงเทพรู้จักมหากาพย์มหาภารตยุทธอย่างดีก็คือ คำฉํนท์นิพนธ์เรื่อง ‘กฤษณาสอนน้องคำฉํนท์’
ซึ่งสันนิษฐานว่าพระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินทร์แต่งขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช มีเค้าโครงเนื้อหามาจากชีวิตของนางเทราปตี หรือนางกฤษณาในที่นี้
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=3760.0ตำนานการฟ้อนรำ
ณ ป่าตรรกะ (Taraka) เหล่าฤาษีทั้งชายและหญิงประพฤติตนไม่เหมาะสม อนาจารฝ่าฝืนเทวบัญญัติ
พระศิวะต้องการทรมานให้รู้สำนึกและกลับตัว พระศิวะจึงแปลงกายเป็นพราหมณ์ พระนารายณ์แปลงกายเป็นหญิงงามยั่วยวนเหล่าฤาษี
เพื่อให้คลั่งไคล้ไหลหลงและทะเลาะแย่งเป็นเจ้าของ เมื่อทรมานพอแล้ว ทั้งสององค์ก็กลับสู่ร่างเดิม
พอพวกฤาษีชั่วเห็นว่าเป็นพระศิวะกับพระนารายณ์แปลงกายมาหลอกลวงก็โกรธแค้น ก็เสกเสือให้ฆ่าพระศิวะ
แต่ก็ถูกพระศิวะถลกหนังเสือเป็นภูษาทรง ฤาษีจึงเสกนาคมาทำร้ายอีก พระศิวะก็ฆ่าแล้วเอามาคล้องคอเป็นสังวาลย์
พระศิวะทรงฟ้อนรำและแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ฤาษีกลัว ขณะนั้นมียักษ์มุยะละกะ หรืออปัสมาปุรุษ ปรากฏตัวมาช่วยฤาษี
พระศิวะจึงใช้พระบาทเหยียบยักษ์แล้วฟ้อนรำต่อจนครบ 108 ท่าจนพวกฤาษียอมแพ้ในที่สุด
การร่ายรำของพระศิวะในครั้งนี้เป็นที่เลื่องลือและยกย่องของเหล่าเทพ ต่อมาพญาอนันตนาคราชได้อ้อนวอนให้พระอิศวรฟ้อนรำอีกครั้ง
พระอิศวรจึงสัญญาว่าจะฟ้อนรำอีกครั้งที่ตำบลจิทัมพรัม (ในอินเดียใต้) อันเป็นดินแดนที่อยู่กลางจักรวาล
ครั้นถึงวันกำหนด พระอิศวรก็เสด็จลงมา โดยทรงเนรมิตสุวรรณศาลา และฟ้อนรำตามที่ได้สัญญาไว้
ซึ่งต่อมาได้มีการรวบรวมท่าฟ้อนรำทั้ง 108 ท่าเป็นตำราทางนาฏยศาสตร์ต่อไป คัมภีร์เล่าว่าระหว่างการฟ้อนรำ
พระสรัสวดีทรงดีดพิณ
"พระอินทร์ทรงเป่าขลุ่ย"
พระพรหมทรงตีฉิ่ง
พระลักษมีทรงขับร้อง
พระวิษณุทรงตีกลอง
และเทพบุตรนนทิตีตะโพน
http://my.opera.com/sawasdeeholidays/blog/http://fda.bpi.ac.th/View/th_dance1.htmlดนตรีมีองค์ ๕ คือ
๑. อาตตะ กลองขึงหนังหน้าเดียว
๒. วิตตะ ตะโพน
๓. อาตตวิตตะ บัณเฑาะว์
๔. สุสิระ ปี่หรือขลุ่ย
๕. ฆนะ ดาลที่เคาะด้วยศิลาและแผ่นเหล็ก (องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๔๖/๒๕๙, อภิธา.คาถา ๑๓๙-๑๔๐)
http://www.วัดลอมพระเจ้าตอง.com/tripitaka/document_tripitaka_1/document_1_1.pdfท่วงท่าการเป่าปี่แบบไทย สง่างามกว่า มีสมดุลแสดงความมุ่งมั่นในคีตบรรเลง
รูปทรงปี่ใน คล้ายโอโบของฝรั่ง(เสียงหวานกว่าปี่)
โอโบ(ปี่เหล็ก) จัดว่าเป็นเครื่องเป่าลมไม้ที่มีระบบลิ้นคุ่ กล่าวคือมีลิ้น สองชิ้นประกบกันอยู่
โอโบมีพื้นฐานมาจาก ปี่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ( Renaissance) ที่มีชื่อว่า Shawm(ปี่ไม้)
โอโบสมัยปัจจุบันได้ปรับปรุงมาในศตวรรษที่ 17 โดยนักประดิษฐ์เครื่องดนตรีชาวฝรั่งเศสและเยอรมัน
เสียงของโอโบคล้ายเสียงที่ออกทางจมูกหรือที่เรียกว่าเสียงนาสิก( nasal Tone) คือมีลักษณะบีบ ๆ และแหลมคม
ยังมีปี่ที่ลักษณะคล้ายกับโอโบอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อิงริช ฮอร์น ( English horn) ซึ่งมีลักษณะ
ใหญ่กว่าโอโบเล็กน้อย จึงมีเสียงที่ต่ำกว่า โอโบปรากฎอยู่ในออร์เครสตร้า ในศตรวรรษที่ 19
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=191964เครื่องประเภทลิ้นคู่ (Double reed)
1) โอโบ (Oboe) เป็นปี่ลิ้นคู่ที่เก่าแก่ที่สุดชาวอียิปต์โบราณ ได้เคยใช้ปี่ที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับปี่โอโบ เมื่อประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว ก่อนคริสต์กาล
ชาวกรีกและชาวโรมันโบราณ มีปี่ลิ้นคู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า "ออโรส" (Aulos) โอโบลำตัวยาวประมาณ 25.5 นิ้ว เป็นรูปทรงกรวย ทำด้วยไม้หรืออีบอไนท์
ส่วนลิ้นคู่นั้นทำจากไม้ที่ลำต้นมีข้อและปล้อง จำพวก กก หรือ อ้อ ที่ขึ้นในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ลิ้นของปี่โอโบ ได้รับการผลิตอย่างปราณีตมาแล้วจากโรงงาน
ผู้เล่นส่วนมากนิยมนำมาตกแต่งเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับริมฝีปากของตนเอง
โอโบเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากมาก คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโอโบต้องใช้ลมเป่ามาก แต่ความจริงหาแล้วแม้แต่เด็กผู้หญิงก็สามารถเป่าได้
สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญอยู่ตรงที่ลิ้นคู่หรือลิ้นแฝด ผู้เล่นต้องสามารถเม้มริมฝีปาก และเป่าลมแทรกลงไประหว่างลิ้นคู่ทั้งสองที่บอบบาง เข้าไปในท่อลม
เทคนิคการควบคุมลมให้สม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นมากจึงต้องฝึกฝนกันเป็นเวลานาน
ช่วงเสียงของโอโบกว้างประมาณ 2 ออคเทฟครึ่ง เริ่มตั้งแต่ B flat ต่ำถัดจาก C กลาง สำเนียงของโอโบ ไม่สง่าผ่าเผยเหมือนฟลูท มีลักษณะแบน ๆ คล้ายเสียงออกจมูก
เหมาะสำหรับทำนอง เศร้า ๆ "บรรยากาศของธรรมชาติและลักษณะของดินแดนทางตะวันออก" หน้าที่ที่สำคัญของโอโบอีกอย่างหนึ่งคือ
เป็นเครื่องเทียบเสียงของวงออร์เคสตรา (A tuning fork for the orchestra) ก่อนการบรรเลงเครื่องดนตรีต่าง ๆ จะต้องเทียบเสียง "ลา" (A)
http://www.lks.ac.th/band/page7_2.htmhttp://en.wikipedia.org/wiki/Shawmhttp://www.ollusa.edu/s/1190/ollu.aspx?sid=1190&gid=1&pgid=2561จริงๆสุนทรภู่ น่าจะรู้จัก Shawm และใช้เป็นปี่ในพระอภัยมากกว่าปี่ในของไทย จึงไม่ปรากฏรายละเอียดที่แน่ชัดในเรื่อง
แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่ ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
แต่เสือช้างกลางไพรถ้าได้ยิน ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร พระกุมารได้สมอามรณ์หวัง
สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบัง จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ จึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง ยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง
ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน หรือใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไร ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
http://hilight.kapook.com/view/24152http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-1/no24-30-39/243239/praapai/sec04p02.htm