กระทู้นี้แยกมาจาก “พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์”
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3700.0เราที่สองรองภูมินทร์นามปิ่นเกล้า
คิดบทเกลาไว้เป็นกลอนสุนทรสนอง
เป็นคติควรดำริห์ขอเชิญตรอง
ตามทำนองโบราณราชประเพณี
สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ท่านทรงปฏิบัติพระองค์ตามกลอนพระราชนิพนธ์ คือทรงถือว่า "รองภูมินทร์" จึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองแผ่นดิน อันจะทำให้ระคายเคืองสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ หากมีผู้ยุแยงตะแคงรั่ว
นอกจากนี้ เราก็รู้ๆกันว่าในรัชกาลที่ 4 อำนาจไม่ได้อยู่ที่เจ้านายฝ่ายเดียว แต่อยู่ที่ขุนนางตระกูลใหญ่ด้วย สิ่งที่วังหน้าทำได้คือสร้างการทหารให้เข้มแข็งไว้เป็นดุลย์อำนาจ เพื่อป้องกับปรามคนคิดการใหญ่ไปด้วยในตัว
พระราชกรณียกิจที่มีบันทึกไว้ เป็นเรื่องส่วนพระองค์เสียเป็นส่วนใหญ่
พระอัธยาศัยของทั้งสองพระองค์ก็ต่างกัน สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักวิชาการ ส่วนสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นนักกีฬา โปรดดนตรีพื้นเมืองอย่างแคน ว่ากันว่าทรงแอ่วลาวได้ไพเราะนัก
หากจะกล่าวถึงความ สนิทสนมส่วนพระองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตาสมเด็จพระราชอนุชาเสมอ คราวหนึ่งเสด็จขึ้นไปปิดทองพระพุทธรูปใหญ่วัด พนัญเชิง ทรงปิดเฉพาะพระพักตร์ เว้นพระศอไว้พระราชทานพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าให้ทรงปิดต่อ ทั้งสองพระองค์ทรงล้อเลียนกันอย่างสนิทสนม สมเด็จ๚ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ว่า
“ผู้อ่านพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ไม่ทราบพฤติการณ์แต่ก่อน น่าจะเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอริต่อกัน ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นที่แท้เกิดแต่ พระอุปนิสัยต่างกัน พระราชนิยมก็ต่างกัน แต่ส่วนพระองค์ทรงรักใคร่ชอบชิดสนิทสนมกัน เพราะเหตุที่กล่าวมาจึงมักตรัสค่อนกันทั้งสองฝ่าย ด้วยถือว่าถึงอีกฝ่ายหนึ่งจะทรงทราบก็ไม่ทรงพระพิโรธ เล่ากันมาว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มักดำรัสเรียกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าพี่ทิดบ้าง พี่เถรบ้าง และตรัสค่อนว่าแก่วัด แต่หากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวมิใคร่เขียนลายพระราชหัตถเลขาจึง ไม่ปรากฏคำทรงค่อนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่เป็นลายลักษณ์ อักษร ความซึ่งค่อนกันนั้นก็พึงสังเกตเห็นได้ว่ามิได้เกี่ยวข้องถึงราชการบ้านเมือง” มีเรื่องเล่ากันมาว่า วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ส่งชาจีนอย่างดีมาพระราชทาน เพราะทรงทราบว่าพระราชอนุชาโปรดเสวยชารสดี สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯทรงลองจิบดูแล้วก็มีรับสั่ง ว่า
“พุทโธ นี่มันชาบังสุกุลนี่นา”
ที่ตรัสเช่นนั้น ก็เป็นทำนองล้อว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชเอาชาเก่าๆ ที่ทรงรับประเคนในสมัยที่ยังทรงผนวชมาพระราชทานนั่นเอง
บรรดาฝรั่งมักจะให้ความนิยมนับถือวังหน้า เพราะคุณสมบัติของพระองค์อย่างที่เซอร์จอห์น เบาริงกล่าวยกย่องมาแล้ว หลายคนลงความเห็นตรงกันว่าทรงเป็น "ผู้ดี" เพราะพระองค์มีพระนิสัยสุภาพ โดยเฉพาะกับพระราชชนนี หมอบรัดเล (Bradley) เคยบันทึกไว้ว่า
“ในระหว่างที่สมเด็จพระ ราชินีตรัสแก่หมอบรัดเลนั้น เจ้าฟ้าน้อยประทับนิ่งมิได้ตรัสประการใดเลย และดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงเกรงกลัวพระราชมารดามากทีเดียว”
พระราชอัชฌาสัยของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯอีกประการหนึ่งคือไม่โปรดแสดงยศศักดิ์ โดยปกติเมื่อเสด็จออกให้ข้าราชการเฝ้าก็เสด็จออกที่โรงรถ ต่อเวลามีการพิธีจึงเสด็จออกท้องพระโรง ถ้าไม่ใช่ราชการงานเมือง มักจะเสด็จแต่โดยลำพังพระองค์ บางทีทรงม้าไปกับคนตามเสด็จคนหนึ่งสองคน มิให้ใครรู้ว่าพระองค์เสด็จ แม้จะเสด็จไปตามวังเจ้านายก็ไม่มีพิธีรีตองล่วงหน้า
ครั้งหนึ่งที่วังของพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ เมื่อครั้งบังคับการกรมช่างสิบหมู่ และยังทรงเป็นหม่อมเจ้าอยู่ เวลาค่ำแล้วได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกที่ประตูวัง ให้คนเปิดประตูออกมา พบพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปที่วัง พระองค์เจ้าประดิษฐฯ ตกพระทัย ออกไปเชิญเสด็จมาประทับบนหอนั่ง เวลานั้นมีแต่ไต้จุดอยู่ใบหนึ่ง จะเรียกพรมเจียมมาปูรับเสด็จ พระองค์ก็รับสั่งห้าม ประทับยองๆ ดำรัสเรื่องที่โปรดให้ทำสิ่งของถวายไปพลางและทรงเขี่ยไต้ไปพลาง จนเสร็จพระราชธุระ จึงเสด็จกลับไปพระบวรราชวัง