เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: ศรีปิงเวียง ที่ 19 ธ.ค. 05, 18:19



กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 19 ธ.ค. 05, 18:19
 ประกาศตั้งกระทู้หมายเลข 5
         เมื่อข้าพเจ้ากำลังทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องสั้นนี้ (ตอนนี้ส่งเรียบร้อย) ได้สืบค้นตามแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เน็ต,หนังสือ,บทความ และจิปาถะมากมาย หลายๆ เล่มและหลายๆ แห่งต่างกล่างอ้างถึงผลงานที่ชื่อว่า สนุกนิ์นึก ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงนิพนธ์ไว้ในวชิรญาณวิเสศ และถือกันว่าเป็นเรื่องสั้นบ้าง นวนิยายบ้าง แต่ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบหลายอย่างแก่กรมหลวงพิชิตปรีชากร
                   จุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้ คือ
1. เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง สนุกนิ์นึก
2. เพื่อหยั่งเสียงว่า สมาชิกเห็นว่าเป็นพระนิพนธ์ประเภทใด (จะแจ้งให้ทราบภายหลัง)
        หากผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขออภัยมา ณ ที่นี้ และสมาชิกสามารถเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับกระทู้ได้ไม่ขัดข้อง จะเป็นพระคุณอย่างสูง


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 20 ธ.ค. 05, 08:02
 เคยได้ยินครับ แต่ไม่เคยอ่าน

แต่ก็สงสัยว่าทำไมต้องมี "นิ์" ด้วยครับ สนุกนิ์  ???


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 21 ธ.ค. 05, 11:56
 เรื่องสนุกนึก(ขี้เกียจสะกดแบบโบราณ อย่างคุณนกข.สะกด) เป็นพระนิพนธ์กรมหลวงพิชิตปรีชากร
พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕

ความที่ท่านเขียนโนเวลเรื่องนี้ได้แนบเนียนสมจริงเกินไป เล่าถึงพระหนุ่มๆ ๔ รูป
ในวัดบวรนิเวศที่คุยกันว่าสึกแล้วจะไปทำอะไร แต่ละรูปก็ดูไม่ค่อยจะเป็นพระที่ดีงามเท่าไรเลย
โดยเฉพาะหนึ่งในจำนวนนั้นที่ไม่อยากสึกเพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร
บวชดีกว่าเพราะยังไงก็ไม่อดตาย
ร้อนถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯกรมพระยาวชิรญาณ ฯเดือดร้อนโทมนัส
เพราะทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรฯอยู่เอง
เรื่องเลยไปกันใหญ่จนพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงออกมาตำหนิกรมหลวงพิชิตปรีชากร เรื่องก็จบ
แบบสนุกนึกค้างเติ่งไม่มีตอนต่อ เล่าอยู่ต้นเรื่องแล้วสะดุดไว้แค่นั้น

วันที่ 9 ม.ค. 2544 - 11:18:28
โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=18&Pid=4769&PHPSESSID=7dcd54b3f10dd37adeddce6459e65fe1
***************
สำหรับเรื่องสั้นในประเทศไทยนั้น จะเห็นได้ว่ามีวรรณกรรมนี้เกิดขึ้นมาในสมัยรัชการที่ 5
ยุคที่ได้นำเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเผยแพร่เป็นอย่างมากในทุก ๆ ด้าน เรื่องสั้นของไทย
ที่มีลักษณะเป็นเรื่องสั้นมากที่สุดคือเรื่อง “สนุกนิ์นึก ( 2428 )” นิพนธ์โดย “กรมหลวงพิชิตปรีชากร”
สนุกนิ์นึกจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย

* จาก “ศัพท์วรรณกรรม ของ อ.กอบกุล อิงคุนานนท์”*


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 21 ธ.ค. 05, 17:05
 ขอบพระคุณครับสำหรับทุกความเห็นครับ
1. จะเห็นได้ว่า คุณ Nuchan พยายามชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับสนุกนึก
ผู้ที่เห็นว่าสนุกนึกเป็นเรื่องสั้นคนแรก (เท่าที่มีหลักฐาน) คือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี (ซึ่งนักวรรณกรรมไทยส่วนใหญ่คิดเช่นนั้น)
และผู้ที่เห็นว่าสนุกนึก เป็นโนเวล(นิยาย) พระองค์แรก คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปรากฏพระราชปรารภใน พระราชวิจารณ์เรื่องสนุกนิ์นึก และหนังสือกราบทูลกรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์(เนื่องด้วยกรมสมเด็จพระปวเรศฯ และกรมหมื่นวชิรญาณถวายฎีกากราบทูลพระราชทานอภัยโษกรมหลวงพิชิตปรีชากร) มีข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
"หม่อมฉันทราบอยู่แล้วว่า กรมหลวงพิชิตปรารภว่าจะแต่งเลียนโนเวลฝรั่ง..."
(ไม่แน่ใจว่าพิมพ์ถูกหรือเปล่า)
ถ้ามีโอกาสจะมาเพิ่มเติมใหม่ครับ
2. ส่วนคำถามของคุณ  Hotacunus ที่ว่า ทำไมต้องมี นิ์ นี่ ผปมตอบไม่ได้ครับ เท่าที่สังเกตจะพบการเขียนแบบนี้ในสมัย ร.๕ ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 22 ธ.ค. 05, 00:21
 ขอนอกเรื่องไปคำว่า "สนุกนิ์" นะครับ

ตำราก็ไม่มีใกล้มือด้วยสิครับ ไม่เช่นนั้นก็คงน่าค้นหาอยู่ไม่น้อย เท่าที่ทำได้ก็พจนานุกรมออนไลน์ ของราชบัณฑิตยสถานครับ

คำ :  สนุก
เสียง :  สะ-หฺนุก
คำตั้ง :  สนุก
ชนิด :  ว.
ที่มา :  (ข.)
นิยาม :  เพลินใจ, ให้ความเบิกบานใจ.

คำว่าสนุก มีรากมาจากภาษาเขมร แต่ทางราชบัณฑิตฯ ก็ไม่ได้บอกเสียด้วยว่ามาจากคำว่าอะไร มาจาก "สนุก-นิ" หรือเปล่า อิอิ



กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: patsakorn ที่ 07 ม.ค. 06, 14:17
 ผมคิดว่าเป็นนวนิยายครับ  เพราะจำได้ว่าเคยอ่าน จะลงท้ายว่า "เรื่องนี้ยังมีต่อ" ก็เลยเห็นว่ากรมหลวงพิชิตปรีชากร จะทรงนิพนธ์เป็นนิยายหรือโนเวลแบบฝรั่งมากกว่า  เมื่อพิจารณาด้านเนื้อหาแล้ว  ยังค้างปมไว้มาก  เหมือนตัวละครยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรเลย  นอกจากการเปิดเรื่องถึงปัญหาของตัวละคร ซึ่งเป็นพระหน่ม 4 รูป  คุยกันว่าจะสึกไปประกอบอาชีพอะไรกันดี  การให้พระหนุ่ม 4 รูป คุยกันเรื่องทางโลกนี้เองที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นครับ

ส่วนเรืองสั้นเรื่องแรก มีการค้นพบกันว่าคือเรื่อง นายจิตรกับนายใจสนทนากัน ผู้แต่งคือ เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ครับ ผู้ค้นพบเรื่องนี้คือ คุณพิทยา ว่องกุล  ด้วยเหตุผลว่ามีความสมบูรณ์ตามองค์ประกอบของเรื่องสั้นมากที่สุดเป็นเรืองแรกของไทย

น่าสังเกตว่าทั้งสนุกและนายจิตรกับนายใจสนทนากัน เป็นเรื่องที่กล่าวถึงปัญหาของคนในสมัย รัชกาลที่ 5  มีลักษณะสมจริง เสียดายว่าเกิดปัญหาเรื่องสนุกนึกนิ์เสียก่อน ทำให้พัฒนาการของนวนิยายและเรื่องสั้นไทย เกิดความชะงักงัน

จินตนาการดูนะว่าถ้าสนุกนึก แต่งจนจบ อาจเป็นการวางรากฐานนวนิยายในประเทศไทยก็ได้  เมื่อไม่มีสนุกนึกนิ์  เราก็เลยหันไปเรื่องจักรๆวงศ์ๆ เหมือนเดิม  อย่างน้อยการวิจัยของ ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร (นวนิยายกับสังคมไทย) และของอาจารย์สุพรรณี วราทร ก็ให้ข้อมุลเหมือนกันคือนิยายในช่วงแรกๆ มีเนื้อเรื่องเป็นเรือ่งรักกับผจญภัยมากที่สุด ซึ่งเป็นลักษณะที่เห็นชัดในนิทานวัดเกาะของไทย

ขอร่วมแสดงความเห็นเท่านี้ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 10 ม.ค. 06, 16:34
 สวัสดีคุณภาสกรนะครับ
ขอบพระคุณที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สนุกนิ์นึก และเรื่องสั้นเรื่องแรกนะครับ นับว่ามีประโยชน์พอสมควรครับ
ในข้อที่ว่าเรื่องสั้นเรื่องแรกคือเรื่อง นายจิตรกับนายใจสนทนากัน นี้ นับว่าเป็นประเด็นใหญ่ครับ เพราะแต่ก่อนนี้ เคยเชื่อกันว่า สนุกนิ์นึก เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรก (และส่วนใหญ่ก็เชื่อตามกันมา แม้คุณเจือ สตะเวทิน จะระบุว่าคนหาปลาทั้งสี่เป็น (นิทานที่มีเค้าคล้าย)เรื่องสั้นเรื่องแรก ,คุณสุดารัตน์ เสรีวัฒน์ให้ พระเปียให้ธรรมทาน เป็นเรื่องสั้นเค้าโครงสมบูรณ์เรื่องแรกก็ตามครับ) แต่ไม่ค่อยมีใครแย้งความเห็นนี้นัก
หลังจาก สนุกนิ์นึกแล้ว ก็มีนิทาน(ซึ่งว่ากันว่าเเป็นเรื่องสั้นตามที่คุณกรรณิการ์ ฤทธิเดชแถลงไว้) ที่ตีพิมพ์ในวชิรญาณวิเศษอีกหลายเรื่อง(ราว 10 กว่า เรื่อง) จนวชิรญาณวิเศษปิดตัวลงครับ ถ้ามีโอกาสได้อ่านบรรดาเรื่องที่คุณกรรณิการ์จัดให้เป็นเรื่องสั้น เราอาจจะพบอะไรบางอย่างนะครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 06, 17:04
 "สนุกนิ์นึก" จะเป็นนวนิยายหรือเรื่องสั้นก็ได้   ในสมัยก่อนโน้น  ความแตกต่างระหว่างนวนิยายและเรื่องสั้นยากจะจำแนกออกจากกัน   เพราะกลวิธีการแต่งไม่ต่างกัน   ต่างกันแต่ความสั้นหรือยาวของเรื่องเท่านั้น  

แต่งให้สั้นรวบรัดมันก็เป็นเรื่องสั้น  แต่งให้ยาวด้วยการขยายรายละเอียดมันก็ยาว  ยกตัวอย่าง เช่นเรื่องซินเดอเรลลา   ถ้าดูจากโครงเรื่องก็เป็นเรื่องยาว  แต่ถ้าเล่าให้จบในหน้าเดียวก็เป็นเรื่องสั้นไปได้

ดิฉันเคยลองแต่งต่อ "สนุกนิ์นึก" เอาไว้จนจบ   เพื่อจะดูว่าเป็นเรื่องสั้นหรือนวนิยายกันแน่  พบว่าชีวิตของพระทั้งสี่รูปก็จบลงได้ในไม่กี่หน้า
คุณภาสกรน่าจะเคยอ่านมาแล้ว

ถ้าหาหนังสือเล่มนั้นเจอจะลอกมาให้อ่านกันค่ะ แต่ไม่สัญญานะคะ เพราะคงอยู่ในตู้หนังสือตู้ใดตู้หนึ่ง ไม่ได้แตะมานานแล้ว


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 11 ม.ค. 06, 17:48
 ขอพระคุณความเห็นของ อ. เทาชมพูนะครับ
มาว่าด้วยเรื่อง สนุกนิ์
จากอักขราภิธานศรับภ์ ผลงานของหมอ-บรัดเลย์และอ. ทัดระบุว่า
"สนานสนุกนิ์, สนานเปนคำสร้อย, แต่สนุกนิ์คือความปรีเปรมกระเษมใจนั้น"

หมอ-บรัดเลย์ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2416 เป็นพจนานุกรมที่ทำให้งงกับการเรียงศัพท์ เพราะเรียงตามลำดับพยัญชนะและสระตามมาตรา ก กา
ผมเพิ่มเติมได้เท่านี้นะครับ คราวหลังจะมาใหม่


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 16 ม.ค. 06, 10:47
 จากการตรวจสอบคำว่า สนุก โดยใช้พจนานุกรม พบว่า
1. พจนานุกรมไทยฉบับมติชน ระบุว่า
สนุกนิ,สนุกนิ์  (บางทีใช้ สรนุกนิ) เป็นคำโบราณ มาจากภาษาเขมร มีความหมายเดียวกับ สนุก เช่น
ในอาสนอาศรมสนุกนิ อย่ารู้มีทุกขสักอัน (มหาชาติคำหลวง วนประเวศน์ )
2. พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 และพจนานุกรมไทยฉบับระบุว่ามาจากภาษาเขมร แต่ไม่ได้ระบุว่ามาจากคำว่าอะไร
3. พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2545 (ฉบับล่าสุด) ระบุว่า สนุก มาจากคำว่า สฺรณุก ซึ่งเป็นภาษาเขมร
พอสัณนิษฐานได้ว่า
สฺรณุก > สรนุกนิ > สนุกนิ > สนุกนิ์ (ใช้จนถึงสมัย ร. ๕) > สนุก
แต่ไม่ทราบว่า ทำไมต้องมี นิ ? (ไม่ อิอิ ครับ) ใครมีข้อสันนิษฐานดี ๆ บอกได้ที่กระทู้นี้ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 07 ก.พ. 06, 17:11
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=18&Pid=5346&PHPSESSID=85f4f766978f88698b1116cf2720b418

วรรณกรรมไทย
นอกจาก ดรุโณวาท ก็คือ วชิรญาณวิเศษ ออกเมื่อพ.ศ.๒๔๒๗ เป็นหนังสือของหอพระสมุดวชิรญาณในสมัยที่พระองค์เจ้าคคนางค์ยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงเป็นสภานายกและอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นักเขียนสำคัญได้แก่กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และกรมหลวงพิชิตปรีชากร

เมื่อถึง พ.ศ.๒๔๒๙ บทบาทของกรมหลวงพิชิตปรีชากรในฐานะ “คนรุ่นใหม่” ก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อนิพนธ์เรื่อง สนุกนึก

เรื่องนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นของวรรณกรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกในยุคแรกอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ารูปแบบการเขียนยังเป็นแบบเก่า คือเล่าติดต่อกันไปเหมือน สามก๊ก และ ราชาธิราช ไม่มีการใช้เครื่องหมายคำพูด หรือการขึ้นบรรทัดใหม่เมื่อมีบทสนทนา ฯลฯ อย่างวิธีการเขียนนิยายปัจจุบัน แต่แนวคิดนั้นได้รับแนวตะวันตก คือแนวสัจนิยม (realism) มาอย่างเห็นได้ชัด

เนื้อเรื่องของ สนุกนึก บรรยายถึงพระสงฆ์หนุ่มๆ ๔ รูปพูดคุยกันว่าเมื่อสึกแล้วจะออกไปประกอบอาชีพต่างๆกัน เช่นทำราชการ และค้าขาย ผู้ที่ยังลังเลไม่สึกก็มีอุบาสิกาเตรียมมาจัดการให้สึกเพื่อจะเอาไปเป็นลูกเขย ข้อสำคัญคือฉากในเรื่องระบุว่าเป็นวัดบวรนิเวศ

ข้อนี้เอง เมื่อลงตีพิมพ์ก็เกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้น เพราะคนอ่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงเนื่องจากคนไทยยังไม่คุ้นกับกลวิธีการแต่งแบบสมจริงเช่นนี้ กลายเป็นเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆจนสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะนั้นทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศเดือดร้อนพระทัยว่าทำให้วัดมัวหมอง ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงกริ้วและกล่าวโทษกรมหลวงพิชิตปรีชากรพอประมาณแล้วก็ทรงไกล่เกลี่ยให้เรื่องยุติลงเพียงแค่นั้น เป็นอันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯก็ไม่ติดพระทัยจะกล่าวถึงเรื่องนี้อีก ส่วน สนุกนึก ก็ค้างอยู่เพียงตอนแรก ทิ้งปัญหาไว้ให้นักวิชาการถกเถียงกันว่าเรื่องนี้เป็นนวนิยายหรือเรื่องสั้นกันแน่ และยังไม่มีคำตอบตายตัวมาจนปัจจุบัน

สมัยนี้ เมื่อหยิบเรื่อง สนุกนึก ขึ้นมาอ่านด้วยสายตาคนปัจจุบัน ก็คงไม่เห็นว่ามีอะไรอื้อฉาวเป็นเรื่องเป็นราวได้ถึงขนาดนั้น อาจจะเป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดาด้วยซ้ำไป เพราะตามปกติแล้วชายหนุ่มเมื่ออายุครบ ๒๐ปี ก็มักจะบวชสักหนึ่งพรรษาก่อนสึกออกไปประกอบอาชีพและมีครอบครัว ระหว่างบวชอยู่ เมื่อรวมกลุ่มกันก็คุยกันเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลาไปบ้าง ไม่สู้จะสำรวมนักก็ไม่แปลกอะไร แต่ถ้ามองด้วยสายตาของคนรุ่นเก่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่เพราะวัดบวรนิเวศ เป็นวัดที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น วัดนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่หลายปีขณะผนวช และทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายซึ่งได้ชื่อว่าเคร่งครัดมากก็ที่วัดนี้ ต่อมาเป็นวัดที่พระราชวงศ์ผนวชกันโดยมาก รวมทั้งกรมหลวงพิชิตปรีชากรด้วย เจ้าอาวาสนั้นเล่าก็เป็นเจ้านายผู้ใหญ่ เมื่อมีเรื่องเล่าว่าพระหนุ่มๆในวัดคุยกันอย่างไม่สำรวม บวชแล้วก็ไม่ได้นำพระธรรมไปกล่อมเกลาจิตใจ ซ้ำยังมีบทบาทของอุบาสิกาที่มาวัดเพื่อคอยจังหวะจะสึกพระไปเป็นลูกเขยอีกด้วย ก็ย่อมเป็นเป้าหมายการวิพากษ์วิจารณ์ได้มาก

ส่วนที่ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นทัศนคติต่อการบวช แสดงผ่านทาง ความคิดเห็นของพระสมบุญว่า

“ผ้ากาสาวพัตรเป็นที่พึ่งของคนยาก ถึงไม่ทำให้ดีก็ไม่ทำให้ฉิบหาย ไม่ดิ้นไม่ขวนขวายแล้วไม่มีความทุกข์ เป็นที่พักที่ตั้งตัวของผู้แรกจะตั้งตัวดังนี้”

หมายความว่าการอยู่ในสมณเพศไม่ยอมสึกนั้นไม่ได้เกิดจากความศรัทธาในศาสนา แต่การอยู่วัดเปรียบได้กับหอพักชนิดไม่เสียเงินสำหรับผู้ยังไม่มีทางประกอบอาชีพ ถ้าอยู่ไปวันๆไม่ทะเยอทะยานอะไรมากก็ไม่มีความทุกข์ พูดง่ายๆคืออยู่อย่างนี้ขี้เกียจและอาศัยเกาะเป็นกาฝากได้อย่างสบายนั่นเอง จนกว่ามีลู่ทางไปดีกว่านี้ได้ก็ค่อยสึก

กรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้นถ้าเทียบกับทางฝ่ายสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯแล้ว ฝ่ายแรกน่าจะจัดเข้าประเภท “คนรุ่นใหม่” หรือ “คนหนุ่ม” ส่วนฝ่ายหลังคือ “คนรุ่นเก่า” กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงรับการศึกษาแผนใหม่ตามแบบเจ้านายรุ่นใหม่ เมื่อนิพนธ์เรื่อง สนุกนึก ทำนองนิยายฝรั่ง การสร้างเหตุการณ์เลียนแบบชีวิตคนจริงๆให้สมจริง ไม่ใช่นิทานประเภท “แต่ปางหลังยังมีจอมกษัตริย์” ดังนั้นความคิดอ่านของพระหนุ่มๆทั้ง ๔รูป จึงเป็นความคิดที่ไม่น่าจะไกลจากคนจริงๆนัก คือยังเป็นปุถุชน มีกิเลสและความเห็นแก่ตัวเช่นคนธรรมดา ไม่ใช่ว่าครองผ้าเหลืองแล้วจะตัดกิเลสได้หมดสิ้นเสมอไป

แต่ความสมจริงนั้นเมื่อแนบเนียนจนเหมือนเรื่องจริง บางครั้งความจริงก็ระคายหูได้มากกว่าความเท็จ ยากที่คนรุ่นเก่าจะยอมรับได้ เพราะถึงมีเหตุผลสมัยใหม่อย่างไร ก็ยังไม่อาจหักล้างความคิดที่ว่าสถาบันศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องเคารพ และพระก็ไม่ควรออกนอกลู่นอกทางอยู่นั่นเอง

เรื่องทางธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกว่าเรื่องทางโลก แตะต้องได้ยาก

เพราะเหตุนี้ สนุกนึก จึงไม่จบ หลังจากนั้นแม้ไม่มีเหตุการณ์อื้อฉาวใดๆเกิดขึ้นอีก วชิรญาณวิเศษยังออกตีพิมพ์อยู่จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๓๗ เรื่องสั้นแนวอื่นแพร่หลายสืบต่อมาไม่ขาดสาย แต่เรื่องทำนองเดียวกับ สนุกนึก ไม่ได้ปรากฏออกมาอีกเลย

ดร.แพรมน และ นายตะวัน [IP: 202.133.158.227] วันที่ 29 ธ.ค. 2544 - 21:56:40


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 10 ก.พ. 06, 23:40
 ขอเห็นต่างจากเจ้าของกระทู้ นิ้ดเดียว

ผมยังยืนยันว่า เรื่องที่เกี่ยวกับสนุก(นิ์)นึกนั้น นึกทีไรก็สนุกทุกทีนี่นา ขอรับ?

ทั้งในแง่ที่ว่า What If ... พัฒนาการวรรณกรรมไทยจะเป็นอย่างไร ถ้า ... หรือในแง่ว่า เรื่องนี้สะท้อนสังคมสมัยโน้นยังไง หรือแม้แต่ว่า คำว่าสนุกสะกดอย่างไร

ผมว่าสนุกดีออก เนอะ

รอฟังอภิปรายต่อไป ขอรับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 10 ก.พ. 06, 23:42
 มีข้อสังเกตที่ไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราวนักว่า ภาษาไทยเก่าๆ มี -นิ หรือ -นิ์ ที่ไม่ออกเสียงนิ ต่อท้ายอยู่หลายคำเหมือนกัน สนุกนิ์นี่คำหนึ่ง แต่เหมือนจะมีคำอื่นอีก ?

ทำไมก็ไม่รู้นิ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 12 ก.พ. 06, 10:33
 สวัสดีครับท่านนิลกังขา
ในฐานะเจ้าของกระทู้ ผมคิดว่าที่ไม่สนุกประการแรกคือ
1. สมจริงจนเกิดเรื่องใหญ่ จนกรมหลวงพิชิกไม่ทรงนิพนธ์ต่อ
2. แยกได้ยากว่าเป็นนวนิยายหรือเรื่องสั้น เพราะเขียนไม่จบ เป็นเรื่องค้าง
3. ไม่สนุกว่าจะเชื่อใครดี ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าเป็นเรื่องสั้น กับฝ่ายนวนิยาย
ผมไม่เถียงว่าจะสนุกหรือไม่ เพราะนึกอีกทีก็สนุกเหมือนกันที่ให้พวกเรา ๆ ปวดขมองเล่น ๆ
แต่กระนั้น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนิ ว่าทำไมต้องลงท้ายด้วยนินะนินะ (คุณ Hotacunus ยังไม่แวะมาที่นี่)
ผมเห็นว่า กระทู้นี้ออกนอกทะเลได้ครับ ท่านนิลกังขาจะว่าอย่างไรก็ได้ เพราะเพียงข้อสังเกตที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็เป็นเรื่องเป็นราวได้ครับ เพราะเจตนาจริง ๆ คือ อยากให้เป็นกระทู้ปลายเปิดมากกว่า
ป.ล. ท่านนิลกังขายกตัวอย่างตระกูล นิ มาที่นี่ก็ได้ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 21 มี.ค. 06, 17:40

.
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร และหม่อมเจ้าปรีดิยากร พระโอรส
ไม่ทราบปีที่ฉาย
ดำรงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา.คนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก เล่ม ๑.กรุงเทพ:รวมสาส์น,2526.


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 21 มี.ค. 06, 17:42
 ขออภัยที่หายไปนานจากกระทู้นี้

นิ์ อีกตัว ที่นึกออกคือ สำนักนิ์ ครับ แปลว่าสำนัก


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 25 มี.ค. 06, 11:10
 หา นิ์ มาฝากคุณจมื่นศรีปิงเวียงอีกคำ

ประดับนิ์ แปลว่า ประดับ (เจอในไตรภูมิพระร่วงครับ)


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 25 มี.ค. 06, 22:50
 กรมหลวงพิชิตปรีชากรเป็นพระโอรสรุ่นใหญ่ในรัชกาลที่ 4 เมื่อเด็กทรงตู่สมเด็จเจ้าพระยา(ช่วง) เป็นญาติผู้ใหญ่ ก็เลยได้ดำรงสถานะภาพอันพิเศษ
ทรงเป็นอัจฉริยะบุคคล หัดเรียนภาษาต่างๆด้วยพระองค์เอง และทรงศึกษากฏหมายสากลก็โดยพระองค์เอง เรียกว่า self though ท่านหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ทรงเป็นตุลาการคดีพระยอดเมืองขวางได้อย่างวิเศษ และเมื่อพระชนม์เพียงหกขวบเศษ ก็ทรงรับ"ราชการ" แล้ว โดยทรงได้รับมอบหมายจากพระราชบิดาใหหหห้ต้อนรับทูตปรัศเซียที่เขาวัง
เคยอ่านพระราชหัตถ์เลขาที่สอนว่า ให้ยื่นมือให้เขาจับ คงหมายถึงเชคแฮนด์นั่นเอง

คุณสุชาติ เกิดหลังเรื่องสนุกนึกนิ์ตั้งร่วมหกเจ็ดสิบปี มติของแกคงเทียบพระราชวินิจฉัยมิได้ เว้นแต่จะแปลคำว่าโนเวล เป็นเรื่องสั้น ก็พออนุโลม

ผมไม่แน่ใจว่าในปีนั้น ในประเทศสยาม มีใครรู้จักเรื่องสั้นกันบ้างหรือยัง

เจ้านายพระองค์นี้ออกจะอาภัพ เพราะไม่ไคร่มีผู้ใดสนใจศึกษา
บทบาทของพระองค์ตอนทรงเป็นข้าหลวงเมืองลาวกาวนั้น สำคัญอย่างยิ่งครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 มี.ค. 06, 10:11
 วันนี้ ผมขออนุญาตนำพระนิพนธ์เรื่อง สนุกนิ์นึก มาลงครับ
เรื่อง สนุกนิ์นึก
วันหนึ่งมีพระสงฆ์หนุ่ม ๔ รูป นั่งสนทนากันอยู่คั่นบันได น่าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศน์ ก่อนเวลาลงพระอุโบสถ พอเด็กมาบอกกับพระองค์ ๑ ว่า คุณแม่อินกลับมาแล้ว พระองค์นั้นตอบว่า เออ แล้วเด็กก็ไป
พระองค์ ๑ จึ่งถามว่า คุณสมบุญจะสึกเมื่อไร กำหนดแล้วฤายัง
พระสมบุญจึ่งตอบว่า ยังไม่แน่คอยโยมอินอยู่ พรุ่งนี้จะไปปฤกษาแกดูจึ่งจะตกลงได้ ก็คุณล่ะจะออกวันสิบสองค่ำนี้แน่ฤๅ สึกแล้วจะไปเข้าที่ไหน ทำอะไรบอกกันบ้างสินะ ผมเองนี่ยังลังเลที่สุด ไม่รู้ว่าเข้าที่ไหน
พระเข็มจึงตอบว่า คุณก็เหมือนกันและไปไหนไม่พ้นหละ อีก ๖ วัน ก็แต่งตัวแห่เสด็จฟ้อไปเมื่อวานซืนนี้อีก ผมก็ต้องขอสัญยามั่งน่ะเผื่อถูกดีไก่ฎีกาเข้าบ้าง และเป็นที่พึ่งบ้างนาขอรับ คุณเหลงอย่างไร ยิ้มไปทีเดียวกริ่มใจที่ได้เปรียบเพื่อน มะรืนนี้ละก็ ฮึฮึ อย่านะขอรับ เขาว่าถ้าใจยังไม่ขาดละยังเป็นปาราชิกได้นะขอรับ คุณพระครูท่านว่าอย่างนั้น จริง ๆ นะ
พระเหลงจึ่งว่า พูดอะไรอย่างนั้นผมนะเหลาสิตหลอก ว่าแต่คุณอีกจะลืมกัน ทำไมกับผมคนค้าขายมันก็ได้แค่พอกิน มีแต่ผมจะพึ่งคุณ เปนถ้อยรอยความสาละพัด เอาภามาเลามาสบถกันเสียต่อหน้าพระก็ยังเอา ยังไรท่านเข็ม คนสมบุญว่าอย่างไรละ ฮะ เอา แหมละ
สบถไม่สบถมันก็เหมือนกัน คนที่มีใจซื่อถือสัตย์ด้วยกัน รักกันแล้วมันไม่ต้องสบถดอก
(นี่ เปนคำพระสมบุญแลพูดต่อไปว่า) ที่จริงการรักกัน ชอบกันช่วยกันนี้เป็นประโยชน์มากเหมือนกับเกลียวเหนียวกว่าด้ายเส้น เรารู้จักเห็นใจกันทั้งนั้น ถ้าสึกหาออกไป ภายน่ามีทุกข์ศุขอย่างไร พอช่วยกันได้ต้องช่วยกันทั้ง ๔ คนเรานี้หละนะขอรับ
ดี ดี เอา เอา
พร้อมกันว่า
พอถึงเวลาลงโบถ ก็พากันไปสวดในพระอุโบสถ คำพูดที่เล่ามาข้างต้นนี้  ผู้อ่านคงเข้าใจว่า พระสงฆ์ทั้ง ๔ คนนี้ จะสึกพรรษาเดียวพร้อมกัน แสดงเข้าใจกันว่าพระทรัพย์เปนคนอยู่ในกรมพระตำรวจ พระเข็มเปนเสมียนความ พระเหลงเปนลูกจีน แต่พระสมบุญนั้นได้ความแต่ว่าอาไศรยแม่อิน แต่ไม่รู้ว่าเปนคนอย่างไร เพราะฉะนั้นต้องอธิบายกันน้อยหนึ่ง พระสมบุญนี้เป็นบุตรคนมีตระกูลแต่ตกยาก ด้วยติดมากับมารดาซึ่งต้องออกมาจากตระกูล แต่พระสมบุญยังเล็ก ๆ อยู่ มาบวชเณรอยู่วัด มารดาตายไปก็เปนคนสิ้นญาติที่อุปถัมภ์ แต่ญาติฝ่ายบิดานั้นไม่รู้จัก  ฤๅเขาทำไม่รู้จัก
แม่อินเปนหญิงม่ายที่มั่งมีมาก เปนอุบาสิกาอยู่ในวัด มีความรักความประพฤติและสติปัญญาพระสมบุญจึงรับอุปฐากมาจนได้อุปสมบท แม่อินมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อแม่จันอายุได้ 16 ปี แม่อินจึงคิดอ่านในการที่พระสมบุญจะสึก และจะรับไว้ที่บ้าน ความเปนดังนี้
ส่วนพระสมบุญ มีความรู้สึกตัวแต่ว่าเขารักเหมือนลูกเหมือนเต้า ใจก็ยังลังเลไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร อยากเปนคนดี คนวิเสศ มียศ มีทรัพย์ มีชื่อ ที่สุดก็เพียงเสมอน่าพี่น้องที่ชั้นเดียวกัน แต่ทำอย่างไรถึงจะได้อย่างนั้น นั่นแหละเปนความยากที่หนักที่ติดตัว ก็ตัวคนเดียวทุนรอนและที่สนับสนุนก็ไม่มีหลักถานอันใด และแม่อินก็เปนแต่มีทรัพย์ มีทรัพย์อย่างเดียวไม่มีอื่น ถึงเขาจะรักอย่างไร ก็ใครเล่าเปนอย่างพระสมบุญ ที่มุ่งหมายว่าเขาจะทุ่มเทให้สักเพียงใด เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากสึก ด้วยเหนแท้แน่แก่ใจว่า ผ้ากาษาวพัตรเปนที่พึ่งของคนยาก ถึงไม่ทำให้ดีก็ไม่ทำให้ฉิบหายไม่ดิ้นขวนขวาย แล้วไม่มีทุกข์ เปนที่พักที่ตั้งตัวของผู้แรกจะตั้งตัวดังนี้ แต่แม่อินก็มาพูดจาชักชวนอยากจะให้สึกไม่อาจขัด ประการหนึ่งพวกพ้องเพื่อนฝูงก็จะสึกไปหมดพร้อมกัน นั่นแหละความดูตาม ๆ กัน มันก็แรงกล้าพาให้สึกกับเขาบ้างตามนิไสยของคนหนุ่ม ๆ ครั้นพูดไปกันเมื่อหัวค่ำกลับมานอนนึก ๆ ก็รำคาล ด้วยไม่รู้สึกไปทำไม ใคร ๆ เขาก็มีที่หมายทางเดิร แต่ตัวคนเดียวไม่มีที่มุ่งหมายแห่งช่องใดช่องทางที่จะทำนั้นก็มีถมไป แต่ทำอย่างไรถึงจะดี ๆ ยิ่งกว่าทางอื่น นั้นแลเปนเครื่องรำคาลใจอย่างยิ่งด้วย ด้วยเปนสิ่งจะได้เสียโดยเรวอยู่แล้วก็นอนตรองอยู่
พระเข็มมาหา พระสมบุญก็ยกเอาปั้นน้ำชาหมากพลูมาตั้งแล้วก็ชวนพูดด้วยความร้อนใจว่า คุณ ๆ บัดนี้ผมมีความทุกข์หนัก ด้วยเรื่องราวของผมเปนอย่างไรคุณก็รู้อยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ผมจะสึกออกไป คนอย่างผมนี้จะทำอย่างไรอะไรจึงจะดีเปนที่ตั้งตัวสืบไป
พระเข็มจึงว่า ฮา คุณถามความที่ง่ายใคร ๆ ก็ตอบคุณได้ทุกคน แต่เปนข้อความที่คุณจะฟังเอาเปนแน่ไม่ได้สักคน คุณถามไปร้อยคนก็ร้อยอย่าง ผมรู้ที่จะตักเตือนอย่างไร ถ้าจะตอบให้เปนประโยชน์จริงแก่คุณ ๆ ก็ว่าจะเหมือนกับไม่ตอบอีกนะแหละ
เอาเถิดขอรับ เอาเถิดขอรับ
พระสมบุญเตือนและพูดต่อไปว่า ผมไม่ว่าคำเดียวถ้าถูกถ้าจริงแล้วก็ดีเสียกว่าคุณตอบผมสักสามวันอีก
พระเข็มยิ้มแล้วจึ่งตอบว่า ถ้าคุณเห็นดังนั้นละผมจะตอบคำเดียวว่า ตามแต่ใจคุณเท่านั้นและขอรับ
อา
พระสมบุญคราง ก็สั้นแท้สั้นจริงและกว้างจริงด้วย ผมอยากจะให้แคบเข้าอีกสักหน่อย ขออีกทีเถอะขอรับ
พระเข็มจึ่งว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับคำพูดใหม่ว่า วิชาใด ๆ ย่อมเปนของดีแท้หลายอย่างแต่ความรักของผู้เรียนแลผู้ใช้เปนสำคัญ ถ้ารักจริงเรียนจริงก็ใช้เปนประโยชน์จริงตามคำบุราณว่า คนรู้ ร็ให้จริงถึงสิ่งเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ความข้อนี้เปนความจริงแท้ ถ้าคุณปรารถนาดีคงได้ดี ผมเห็นอย่างนี้แล แต่เรายังเปนเด็กกันสอนกันยังไม่ได้ เพียรไปด้วยกันก็คงจะได้เห็นหน้ากันต่อไป
พระสมบุญว่า เอาเปนใช้ได้ตามคุณว่า แต่ตัวคุณเอง จะรักวิชาสิ่งใดจะเดินทางไหนละขอรับ
พระเข็มตอบว่า อ้าว คำถามของคุณเปนอย่างอื่นไปละ เดิมคุณถามถึงตัวคุณ เดี๋ยวนี้ถามถึงผมผิดกันมาก คุณกับผมคนละคน ผมก็คนละอย่าง ส่วนผมเหนง่ายคือผมเดินทางเรียนกฎหมายอยู่ คุณก็รู้จักแล้วผมไม่เหนว่าวิชาใดจะดีกว่า และผมรักสุดใจจึงจับเรียน
เวลานั้นพอพระทรัพย์และพระเหลงมาถึงเข้าพร้อมกัน เหนพระเข็มพูดจาท่าทางปลาดจึงถามว่า พูดอะไรกัน
พระเข็มก็เล่าให้ฟ้ง
พระทรัพย์ก็ขัดคอขึ้นว่า คุณสมบุญอย่าเชื่อเอาพระเข็มนะ ไม่ได้เรื่องดอก อ้ายวิชากฎหมายนั่นแหละ บ๊ะแขนอย่างนี้เอามือทุบพื้นดังกระเทือนไปทั้งกุฏิ ฮะ แขนอย่างนี้ไปเรียนกฎหมายละไม่มีใครไปทัพละ เรียนอะไรไม่เรียน ๆ หลอกเขากิน ….. (เรื่องคงมีต่อไป)

ที่มา ไพรถ เลิศพิริยกมล.วรรณกรรมปัจจุบัน.กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2542.
อ้างอิงต่อจาก
ธวัช ปุณโณทก.แนวทางศึกษาวรรณกรรมไทยปัจจุบัน.กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2527.


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 มี.ค. 06, 10:29
 
"เปลื้อง ณ นคร. อ่านวรรณคดี.นครหลวง: หจก. บำรุงสาส์น,2515."

หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ (หน้า 284-304)
........งานประพันธ์ชนิดหนึ่งที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า “นวนิยาย” หรือ Novel นั้น เข้าใจว่าได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้ทรงพระนิพนธ์นวนิยายเรื่อง “สนุกนึก” ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงพระนิพนธ์ภายหลังทรงผนวช และทรงคิดเอาพระภิกษุวัดบวรนิเวศฯ มาเป็นตัวละครในเรื่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเข้าพระทัยว่า กรมหลวงพิชิตปรีชากร เอาเรื่องจริงมาเขียนประจาน สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นจึงทรงน้อยพระทัยโทมนัสเดือดร้อนมากมาย จนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงไกล่เกลี่ยแก้ไขด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ เรื่องก็ระงับลงได้ กรมหลวงพิชิตปรีชากรก็ไม่กล้าทรงแต่งเรื่องสนุกนึกต่อไป คงทรงค้างอยู่เพียงเท่านั้น ที่ยกมากล่าวนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การคิดทำอะไรใหม่ๆ ที่เรียกว่า แหวกแนว หรือ แนวใหม่ นั้น ในครั้งแรกมักจะประสบอุปสรรคนานาประการ...
คุณย่าเพิ้ง (หน้า 305-313)
...... จะเห็นได้ว่านักเขียนรุ่นเก่า ที่ลองเขียนเรื่องสั้นแบบชีวิตจริง ยังคงเขียนไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน เช่นเรื่องสนุกนึก พระนิพนธ์กรมหลวงพิชิตปรีชากร...เป็นแบบเรื่องสั้น แต่ยังใช้แบบวรรคตอนอย่างหนังสือสามก๊ก ไม่สู้จะสร้างภาพความเข้าใจได้ดีเท่ากับการวางวรรคตอนแบบใหม่ เช่น เรื่องคุณย่าเพิ้ง.[/quote]


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 มี.ค. 06, 10:30
 สวัสดีครับ ท่าน นกข. และคุณพิพัฒน์
ผมคิดว่า ศัพท์ที่คุณพระนิลยกมานี้ น่าจะมาจากภาษาเขมรครับ
ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 มี.ค. 06, 10:33
 
"สมพร มันตะสูตร.วรรณกรรมไทยปัจจุบัน.กรุงเทพ : 2525.
........เรื่องสั้นของไทยมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจากนิทานสู่เรื่องสั้นตามความหมายปัจจุบัน ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า...มีนิทานในหนังสือบางกอกรีคอร์เดอร์...และ...ในหนังสือดรุโณวาท การเสนอนิทานที่มีแนวคิดใหม่กว่าเดิมในหนังสือบางกอกรีคอร์เดอร์นั้น เรียกนิทานนั้นว่า “คำปริศนา” บ้างเรีกยกว่าคำเปรียบบ้าง เช่น หมาไล่เนื้อกับนายพราน, คำเปรียบด้วยตัวฬา ส่วนดรุโณวาทเรียก “นิยายเก่านิทานใหม่” มีเรื่อง คางคกกับคนยิงนกยาง, หมาลักขนม และคนหาปลาทั้งสี่
.........อย่างไรก็ดี คนหาปลาทั้งสี่ยังมีลักษณะเป็นนิทานอยู่มาก , มีเพียงแก่นเรื่องหรือแนวคิดเรื่อง “ความโง่” เท่านั้นที่พอจะมองเห็นแววของเรี่องสั้นได้ สมัยต่อมามีเรื่องสนุกนิ์นึก, ราตรีวันสิ้นปี ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ ราว พ.ศ. 2428-2437 มีลักษณะเป็นเรื่องสั้นมากกว่าแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่ากับความเป็นเรื่องสั้นในปัจจุบัน แต่ก็มองเห็นโครงเรื่อง แก่นเรื่อง และกลวิธีในการแต่งชัดเจนขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าเรื่องสั้นของไทยนิยมสร้างความขัดแย้งในโครงเรื่องทั้งความขัดแย้งของตัวละครต่อตัวละคร ตัวละครกับสังคม หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในตนเองที่มีอยู่....
.....กลวิธีในการแต่งเรื่องสั้นสมัยเริ่มแรกดำเนินไปอย่างเดียวกับนิทานเป็นส่วนใหญ่คือ นิยมเดินเรื่องตามปฏิทิน ส่วนผู้เล่าเรื่องก็นิยมให้ตัวละครเล่าเรื่องตัวเอง โดยสมมุติให้ผู้แต่งรู้ทุกอย่างของตัวละคร การเริ่มเรื่องมักจะเริ่มด้วยการบรรยายและจบเรื่องด้วยความสุขเป็นส่วนใหญ่ มีจบแบบไม่คาดหมายอยู่บ้างก็น้อย...
.....ตัวละครในเรื่องสั้นสมัยเริ่มแรก...เป็นตัวละครประเภทน้อยลักษณะ (Flat Character) เป็นส่วนมาก ส่วนบทสนทนานั้นมีบ้างก็ไม่นิยมใส่เครื่องหมายอัญประกาศกำกับ ฉากนิยมฉากสมมุติมากกว่าฉากจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรื่องสั้นสมัยแรก ๆ นี้มีเพียเค้าของเรื่องสั้นเท่านั้น ยังมิได้มีลักษณะเรื่องสั้นในปัจจุบันนี้แต่ประการใด...

อุดม รุ่งเรืองศรี.สภาพของวรรณกรรมไทยปัจจุบัน.พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๒๔.
...โดยทั่วไปถือว่าเรื่อง สนุกนิ์นึก ของกรมหลวงพิชิตปรีชากร...เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรก...
.....เรื่อง สนุกนิ์นึก นี้เป็นเรื่องที่มีลักษณะสมบูรณ์ตามแบบเรื่องสั้นสมัยเก่า ใช้วิธีสนทนาถกเถียงกันของพระในวัดบวรนิเวศสี่รูป ถกเถียงถึงการที่พระสมบุญจะสึกออกไปมีเมีย แต่ทั้งนี้การเขียนแบบนี้เป็นแนวใหม่ที่คนในยุคนั้นยังไม่รู้จักดีพอ...ทั้งนี้เรื่อง สนุกนิ์นึก น่าจะไม่จบโดยสมบูรณ์เพราะกรมหลวงพิชิตปรีชากรเขียนในวงเล็บท้ายเรื่องว่า “เรื่องนี้จะยังมีต่อไป” แต่คงจะเป็นเพราะความวุ่นวายดังกล่าวจึงไม่กล้าทรงแต่งตามที่กะไว้แต่ต้นได้ ด้วยเหตุนี้ สุดารัตน์ เสรีวัฒน์ จึงเสนอว่าเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทยน่าจะได้แก่เรื่อง พระเปียให้ทานธรรม ซึ่งลงในวชิรญาณวิเศษ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๓๓ วันจันทร์เดือนเจ็ด แรมแปดค่ำ ปีกุน นพศก ๑๒๔๙ (๒๔๓๐) เพราะเป็นเรื่องที่จบลงได้โดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามเรื่องสั้นในยุคแรก ๆ นี้ยังเหมือนการเล่านิทานแบบเก่า คือคล้ายความเรียงร้อยแก้ว,การพรรณาและบทสนทนาจะเรียงต่อในบรรทัดเดียวกันเป็นพืดโดยไม่มีเครื่องหมายคำพูด ตอนต้นเรื่องจะมีอารัมภบทว่าทำไมจึงเล่าเรื่องนั้น และในตอนจบจะมีโคลงสี่สุภาพเป็นคติสอนใจ ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับการปรารภชาดก,การแสดงธรรมเรื่องชาดก และประชุมชาดกนั่นเอง
"


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 26 มี.ค. 06, 10:33
 ประทีป เหมือนนิล.วรรณกรรมไทยปัจจุบัน.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพฯ : ๒๕๒๓.
........แต่กล่าวกันว่ารุ่งอรุณแห่งเรื่องสั้นไทยได้เริ่มฉายแสงขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ในหนังสือพิมพ์ดรุโณวาท...โดยเฉพาะนิทานเรื่อง คนหาปลาทั้ง ๔ นับว่ามีลักษณะของเรื่องสั้นอยู่มาก แล้วไปปรากฏชัดเจนขึ้นในหนังสือพิมพ์ วชิรญาณวิเศษ...และเมื่อกรมหลวงพิชิตปรีชากรได้ทรงนิพนธ์เรื่องอ่านเล่นขนาดสั้นชื่อ สนุกนิ์นึก ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ .....


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 26 มี.ค. 06, 19:06
 หางเสียง "นิ" ยังติดอยู่ในภาษาปาก สมัยเด็กๆผมได้ยินจนชินหู เดี๋ยวนี้หายไป
ถ้าให้เดา ก็ขอหลับตาเดาว่ามาจากภาษาเทศน์ของพระสงฆ์ ฟังก็ไพเราะดีนะครับ โบราณอาจจะออกเสียง
***สะ หนุก ***
ไม่ได้ถนัดปาก ก็เลยเติมหางเสียงเข้าไป เป็น
****สะ หนุก นิ***


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ต้นกล้าเป็นspy ที่ 26 มี.ค. 06, 21:58
 วัยรุ่นอ่านแล้วงงครับ ฮ่าๆ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 27 มี.ค. 06, 16:06
 ความเห็นของคุฯพิพัฒน์ ผมนึกขึ้นได้คำหนึ่งครับ
นั่นคือคำว่า ดูกร
ในแบบเรียนภาษาไทย ระบุว่า ดูกร มาจากคำว่า ดูก่อน
แต่บางท่านบอกว่า ดูกร มาจากคำว่า ดู-กะ-ระ ซึ่งเชื่อว่าผันมาจากคำว่า ดูก่อนรา
เวลาเทศน์ พระมักจะสวดว่า ดู-กะ-ระ ครับ เพื่อให้คล้องจอง เป็นทำนองดี
ป.ล. ที่พูดนี้ไม่เกี่ยวกับศัพท์ตระกูล นิ ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 27 มี.ค. 06, 18:21
 เรื่องเสียงในแต่ละภาษาเป็นเรื่องลึกซึ้ง
อย่างภาษาแขก ออกเสียง star สะ ตา ไม่ได้
ต้องเติมข้างหน้าเพื่อออกเสียงว่า อิช สะ ต้า
จิตร ภูมิศักดิ์ก็ค้นไว้มากเหมือนกัน รวมทั้งพระยาอนุมานฯ

ส่วนคำว่า ดูกร
สมเด็จนริศ ทรงเคยปรึกษากับนาคะประทีบ ลองไปหาอ่านดูนะครับ
สรุปว่า สรุปไม่ได้เหมือนกันครับ

เรื่องพวกนี้เข้าตำรา รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 08 พ.ค. 06, 10:56
 
"หม่อมฉันทราบอยู่ว่ากรมหลวงพิชิตทำหนังสือนี้ปรารถนาจะทำอย่างหนังสือโนเวลฝรั่ง ที่เขาแต่งกันนับพันนับหมื่นเรื่อง เป็นเรื่องคิดผูกพันอ่านเล่นพอสนุก แต่เมื่อว่าความจริงผู้ที่จะแต่งหนังสือเช่นนั้นมักจะต้องมีที่หมายเทียบกับคนในปัจจุบันบ้าง แต่ไม่ได้ทำตามความที่ประพฤติจริง ๆ ทุกอย่าง เป็นแต่เก็บเค้าบ้าง ยักเยื้องเสียบ้าง จึงจะชวนให้คิด ก็ในการที่กรมหลวงพิชิตแต่งหนังสือฉบับนี้ที่ออกชื่อวัดบวรนิเวศน์นั้น หม่อมฉันเชื่อว่าไม่ประสงค์จะกล่าวด้วยความจริงที่เป็นอยู่ในบัดนี้  ถ้าการที่เป็นล่วงเกินแล้ว แต่ถึงหม่อมฉันจะไม่ได้นึกสงสัยยินร้ายวัดบวรนิเวศน์ประการใดเพราะได้อ่านหนังสือฉบับนี้ก็จริง แต่คนทั้งปวงเป็นอันมากที่ไม่ได้เคยอ่านโนเวลฝรั่ง คงจะหมายว่าหนังสือพิมพ์แล้วคงจะกล่าวถึงการที่ผู้แต่งนั้นทราบมาตามความจริง ฤๅแต่งเฉพาะหาความให้คนยินร้ายตามคำตัวพูด ไม่เข้าใจได้ว่าผู้แต่งรู้ตัวแลตั้งใจให้คนอื่นทราบว่า หนังสือที่ตัวแต่งนั้นไม่แต่งสำหรับให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นความจริง เป็นแต่จะให้อ่านสนุกเท่านั้นดังนี้ได้ เพราะฉนั้นหม่อมฉันจึงได้ถามกรมหลวงพิชิตให้แก้ความเสียให้สว่างทั้ง ๕ ข้อคือ ข้อที่ได้กล่าวนั้นเป็นจริงบ้างฤๅไม่ ถ้าไม่เป็นความจริงแล้วเหตุใดจึงได้ชื่อวัดบวรนิเวศน์ ดังนี้ กรมหลวงพิชิตยังไม่ได้แก้กระทู้ไปทูลขอประทานโทษซึ่งโปรดประทานโทษให้เธอ แลรับสั่งไม่ให้มีความผิดแก่กรมหลวงพิชิตนั้น หม่อมฉันก็ยอมยกโทษถวาย แต่มีความเสียใจอยู่มากด้วยกรมหลวงพิชิตก็มิใช่คนอื่น เป็นคนบวชวัดบวรนิเวศน์ ได้ยกย่องเป็นถึงเจ้าต่างกรมผู้ใหญ่ มาเป็นคนไม่คิดหยั่งหน้าหลังให้รอบคอบ ทำให้เหตุที่คนไม่ทราบความจริงเป็นที่ยินร้ายแก่วัดดังนี้ เป็นการไม่ควรเลย แต่บัดนี้เธอก็รู้โทษแลผิดแลการที่ผิดก็ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว ก็เห็นจะเป็นอันล้างมนฑิลในวัด กลับเป็นโทษแก่ตัวผู้แต่งที่จะต้องติเตียนมากเหมือนกับได้รับบาปทันตาเห็นอยู่แล้ว ก็ตกลงเป็นพอความปรารถนาเป็นยุติกันได้เพียงเท่านี้"


พระราชหัตถเลขา ที่ล้นเกล้าฯ ร.๕ ทรงมีถึงสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ครับ


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 13 พ.ค. 06, 11:50
 จากหน้า 701 ในวิทยาวรรณกรรม ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 พระนิพนธ์ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
ระบุว่า
"การจำแนกท้ายคำนี้ ไทยเราไม่นิยม ภาษาไทยเดิมเป็นภาษาคำพยางค์เดียว จึงไม่มีคำท้ายและไม่นิยมท้ายคำ ที่เคยเติมท้ายคำเห็นมีอยู่แต่ "นิ" ในศัพท์ "สนุกนิ" "สำนักนิ" "พำนักนิ" อันเป็นการเติมท้ายคำในศัพท์ ซึ่งในภาษาเดิมคือภาษาเขมร เป็นนามแล้วเติมให้เป็นกริยาหรือคุณศัพท์ แต่ดูก็ไม่สู้แน่นอนนัก มาบัดนี้เราจึงตัดออกเสีย"


กระทู้: สนุกนิ์นึก กับเรื่องที่นึกแล้วไม่สนุก
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 29 ก.ย. 06, 16:43
 เรียน ทุก ๆ ท่าน ที่เคารพครับ

คุณสุดารัตน์ เสรีวัฒน์(จากวิทยานิพนธ์ วิวัฒนาการของเรื่องสั้นในเมืองไทยตั้งแต่แรกจนถึง พ.ศ.2475.เอกสารการนิเทศการศึกษาฉบับที่ 212 ภาคพัฒนาตำราและเอกสารวิชาการ หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู,2522)
ท่านเห็นว่า สนุกนิ์นึก ไม่น่าจะเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย เพราะแม้มีลักษณะและส่วนประกอบของเรื่องสั้นครบถ้วนและสมจริง แต่ สนุกนิ์นึก ขาด แก่นเรื่อง(วินิจฉัยว่าบทที่พระสนทนากันน่าจะเป็นการกล่าวถึงกันเท่านั้น
คุณสุดารัตน์ จึงจัดให้เรื่อง พระเปียให้ธรรมทาน เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกมากกว่า หากไม่คิดว่าเรื่องนี้ขาดกลวิธีแต่งเรื่องให้ชวนอ่านติดตาม.