เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 13:55



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 13:55
แยกจากกระทู้
ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบไทย  (http://www.reurnthai.com/index.php?action=post;topic=4978.240;num_replies=250)


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 14:06
บ้านสี่หลังที่เอามาลงไว้ข้างล่างนี้ เป็นบ้านที่แพร่หลายอยู่ในรัฐที่ดิฉันเคยไปเรียน      ดูเผินๆ เหมือนบ้านชั้นเดียว   หลังคามีหน้าจั่วเล็กๆยื่นออกมา
ในความจริง  มันเป็นบ้านสองชั้น    เว้นหลังที่สองทางขวามือ มี 3 ชั้น คือเพิ่มชั้นใต้ดินเข้าไปอีกหนึ่งชั้น 
ชั้นที่เจ้าของบ้านอยู่กันเป็นหลัก คือชั้นพื้นดิน    นอกจากนั้นก็มีชั้นใต้หลังคาที่เรียกว่า attic  และชั้นใต้ดินเรียกว่า basement

ขอพานั่งยานเวลา ย้อนหลังกลับไปสมัยนักเรียนไทยเดินทางไปเมืองนอกที ญาติพี่น้องพ่อแม่ลุงป้าน้าอา ทั้งตระกูลแห่ไปส่งกันที่ดอนเมือง   พร้อมพวงมาลัยคล้องคอกันเต็มคอ ให้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก 
ถ่ายรูปเสร็จก็ปลดพวงมาลัยส่งคืนญาติ  แล้วเดินดุ่มๆไปขึ้นรถที่วิ่งรับส่งระหว่างอาคารกับเครื่องบินที่จอดอยู่    เที่ยวบินไหนเครื่องบินจอดใกล้อาคารก็หิ้วกระเป๋าเดินกันไปเอง

หลังจากเดินทางระหกระเหิน ต้องค้างคืนในประเทศใดประเทศหนึ่งระหว่างทาง เพราะอเมริกาในตอนนั้นไกลเกินกว่าจะบินรวดเดียวถึง  นักเรียนไทยก็ต่อเครื่องในประเทศบินมาถึงรัฐจุดหมายปลายทางที่มาเรียน
เพื่อจะมาอยู่ในชีวิตแบบใหม่  ใต้หลังคาบ้านแบบที่ไม่มีในบ้านเกิดเมืองนอน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 24 เม.ย. 12, 14:09
เข้ามาชมหลังคาแบบฝรั่งครับ ในความคิดมุมมองที่มีต่อหลังคาแบบฝรั่ง ควรจะมีหลังคา ห้องใต้หลังคา และ ปล่องไฟสูง ๆ  ;D


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 14:53
บ้านในอเมริกาค่อนข้างจะคงทนกว่าบ้านในไทย    คงเป็นเพราะสิ่งก่อสร้างของเขาเป็นคอนกรีต เลยแข็งแรงกว่า   เจ้าของบ้านทุกชั่วคนดูแลซ่อมแซมบ้านอย่างดี   บ้านจึงตกทอดกันมาหลายกว่าสิบทศวรรษ  โดยไม่ดูเป็นบ้านโบราณ
เมืองที่ว่านี้สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1870 กว่าๆ  เมื่อพระบาทสมเด็จสมเด็จพระจุลจอมเกล้าครองราชย์ได้ไม่กี่ปี  สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยังมีอำนาจเต็มอยู่     เป็นสมัยที่ฝรั่งยังไม่มีตู้เย็นไว้แช่อาหาร   ไม่มีฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว  ไม่มีไฟฟ้า  ผู้คนยังสัญจรกันด้วยรถม้า    บ้านก็เลยสร้างขึ้นมาตามดีมานด์และซัพพลายของสภาพสังคมสมัยนั้น

อย่างแรกคือต้องมีเตาผิงเอาไว้ให้ความอบอุ่น ในเมืองที่หนาวจับใจปีละประมาณ 5  เดือน  ส่วนอีก 4 เดือนเรียกว่าอภิมหาหนาว หนักยิ่งขึ้นไปอีก  หิมะตกสูงถึงหัวเข่า    เหลือเดือนมีแดดพอให้ฝรั่งเดินออกนอกบ้านได้โดยไม่ต้องสวมเสื้อกันหนาวปีละ 3 เดือน  แต่ 3 เดือนที่ว่านี้ก็เย็นพอๆกับเชียงใหม่หน้าหนาว  พี่ไทยยังต้องสวมสเวตเตอร์กันอยู่
เตาผิงนั้นนอกจากสุมฟืนและกิ่งไม้แห้งเอาไว้จุดไฟให้ห้องอุ่น  ยังเอาไว้หุงต้มอาหารได้ด้วย      จึงต้องมีปล่องไฟไว้ระบายควันขึ้นไปให้พ้นหลังคาบ้าน  ไม่งั้นควันจะตลบอบอวล  รมเจ้าของบ้านเป็นเนื้อรมควันไปเปล่าๆ

หลังคาจึงมีปล่องไฟสร้างอยู่ ขาดไม่ได้  เป็นปล่องตรงกับเตาผิง   เวลาปิดประตูหน้าต่างมิดชิดทั้งบ้านแล้ว  ก็เหลือปล่องไฟที่เป็นช่องว่างตรงกับเตาผิงเบื้องล่างที่ปิดไม่ได้    หลังคาฝรั่งจึงกลายเป็นลานจอดเลื่อนของซานตาคลอส  ร่อนเลื่อนเทียมกวางเรนเดียร์ บนหลังคา แล้วปีนลงมาทางปล่องไฟ  เอาของขวัญมาใส่ในถุงเท้าให้หนูๆด้วยวิธีนี้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 14:55
เมื่อเทคโนโลยี่ก้าวเข้ามา  เตาผิงควันกระจายก็หมดสมัยไป  ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่  ไม่มีควัน ให้ความร้อนสม่ำเสมอ  แต่ฝรั่งก็ยังรักจะอนุรักษ์ภาพลักษณ์เตาผิงดั้งเดิมไว้ อย่างภาพขวาข้างบนนี้เป็นเตาผิงไฟฟ้าค่ะ  ทำรูปร่างรวมทั้งเปลวไฟเหมือนเตาผิงแบบเก่า


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 14:59
จำเป็นจะต้องลงเรือนไทยไปก่อน   ดึกๆจะพาเที่ยวชมหลังคาฝรั่งต่อค่ะ  คุณหนุ่มสยามอย่าเพิ่งไปไหน  ซานตาคลอสอาจจะฝากของขวัญมาให้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 24 เม.ย. 12, 15:12
จำเป็นจะต้องลงเรือนไทยไปก่อน   ดึกๆจะพาเที่ยวชมหลังคาฝรั่งต่อค่ะ  คุณหนุ่มสยามอย่าเพิ่งไปไหน  ซานตาคลอสอาจจะฝากของขวัญมาให้

แค่ขาแหย่ลงไปก็เต็มแล้ว ไหนจะติดพุงอีก อิอิ ลงไปได้อย่างไรหนอ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 21:59
เด็กฝรั่งช่างถามก็สงสัยเหมือนคุณหนุ่มสยาม     ผู้ใหญ่ก็เลยหาคำตอบให้ว่า ซานตาคลอสมีคาถาวิเศษ  เสกตัวเองให้ลื่นปรื๊ดลงไปตามปล่องไฟได้  ไม่ติดพุง  
เดาว่าซานตาคงสามารถทำตัวให้เหมือนลูกโป่ง พองได้แฟบได้
พอเอาของขวัญใส่ในถุงเท้าให้เด็กๆได้  ซานตาก็เสกคาถาให้ตัวเองพุ่งเป็นจรวดกลับขึ้นไปทางปล่องไฟ  ไปโผล่บนหลังคาได้สะดวกสบาย

คำตอบนี้ไม่ได้เดา แต่เอามาจากบทโคลงที่มีชื่อเสียงที่สุดบทหนึ่งเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ชื่อ "A Visit from St. Nicholas" หรือ "The Night before Christmas,"

And laying his finger aside of his nose,
And giving a nod, up the chimney he rose!


รูปข้างล่างนี้ แสดงว่าบางครั้งคาถาคงไม่เวิร์ค  ;)


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 24 เม.ย. 12, 22:07
 :D :D :D


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 22:08
กลับมาเรื่องหลังคา ต่อ นะคะ
หลังคาในบางรัฐก็มีสิ่งประกอบให้ดูพิสดาร  เช่นมี widow's watch คือที่สำหรับปีนขึ้นไปดูวิวในระยะไกล     โดยมากอยู่ทางรัฐตะวันออกของอเมริกา  โดยเฉพาะในรัฐชายฝั่ง มองออกไปเห็นทะเลหรือมหาสมุทร    ซึ่งจะมองเห็นการเคลื่อนไหวในระยะไกลเช่นเรือที่เดินทางออกไป  หรือกลับเข้าท่าเรือ    
รัฐตะวันตกที่อยู่ริมทะเลอย่างคาลิฟอร์เนียก็พอจะมีเหมือนกันค่ะ

ถ้าหากว่าเป็นรัฐที่ไม่รู้จะมองระยะไกลไปทำไม  เช่นเป็นรัฐมีแต่ท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา   หรือมีภูเขาล้อมรอบ    ปีนสูงขึ้นไปเท่าไรก็เปล่าประโยชน์ ยังไงก็ต้องเจอทิวเขาที่สูงลิบลิ่วสะกัดสายตาอยู่ดี   ก็ไม่นิยมสร้าง widow's watch ให้เกะกะเปล่าๆ   จะสร้างขึ้นไปอาบแดดอยู่บนหลังคาก็เปลืองเงินมากกว่านอนอาบแดดบนสนามหรือหลังบ้าน     หน้าหนาวก็หนาวเกินกว่าจะนั่งได้อยู่ดี


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 12, 22:30
กลับมาที่เมืองที่เล่าไว้เมื่อต้นกระทู้
บ้านเล็กในเมืองเล็ก สร้างขึ้นโดยตั้งใจให้มีเนื้อที่ใช้สอยมากที่สุด ในพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่โตอะไรในบ้านแต่ละหลัง     เริ่มตั้งแต่หลังคาลงมาทีเดียวละค่ะ

ต่ำลงมาจากกระเบื้องมุงหลังคา   มีพื้นที่ว่างระหว่างใต้หลังคากับเพดานห้อง  จะสูงหรือต่ำเตี้ยแค่ไหนก็แล้วแต่หลังคาถูกออกแบบมาให้ราบหรือชัน  แต่ความกว้างเท่ากับความกว้างของเพดานและหลังคาภายนอก    พื้นที่ว่างตรงนั้นถ้าเป็นบ้านไทยก็ปล่อยเอาไว้เฉยๆ อาจจะเอาไว้เดินสายไฟ  หรือให้หนูวิ่ง    แต่บ้านฝรั่งไม่ปล่อยที่ว่างทิ้งไป แต่ใช้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้   แต่ยังไม่ทิ้ง  หรือในยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้  ก็เก็บพืชผลตุนเอาไว้ในฤดูหนาว   หิมะที่กองอยู่บนหลังคาจะทำให้ห้องใต้หลังคากลายเป็นตู้แช่และตู้เย็นไปโดยปริยาย
ห้องเก็บของใต้หลังคา เรียกว่า attic

รูปที่เอามาให้ดูเป็น attic แบบต่างๆกัน
รูปที่ 1 เป็น attic แคบๆต่ำเตี้ย  ไม่เหมาะจะทำอะไรนอกจากเก็บของ
รูปที่ 2 เป็น attic ที่มีเนื้อที่กว้างมากหน่อยเพราะหลังคาสูง เช่นเดียวกับรูปที่ 3   
attic แบบนี้มีประโยชน์ใช้สอยได้มากกว่าจะเก็บของอย่างเดียว     ถ้าเจ้าของบ้านเป็นคนมีไอเดียหน่อย  ก็จะทำ attic  เป็นห้องอยู่อาศัยได้
อย่างรูปที่ 4   ตกแต่งภายในเสียหน่อยก็กลายเป็นห้องนอนเล็กๆ เหมะากับลูกชายวัยรุ่นของเจ้าของบ้านจะจัดเป็นมุมนอนส่วนตัวของเขาได้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 เม.ย. 12, 08:00
สมัยก่อนatticจะไม่มีคนอยากไปพักอาศัย เพราะหนาวมาก โดยเฉพาะในฤดูที่หิมะปกคลุมหลังคา ฝรั่งจึงใช้เป็นห้องเก็บของ หรือเอาคนที่น่าสงสารขึ้นไปอยู่ เช่นพระเอกหรือนางเอกสมัยเด็กๆของนิยายประเภทต้นร้ายปลายดี หรือพวกยิวซึ่งหนีการตามล่าของเยอรมันในช่วงสงคราม ที่รอดมาได้เพราะมีคนใจบุญซุกซ่อนให้อยู่แต่ในatticนี้ เป็นต้น

สมัยใหม่ มีวัสดุก่อสร้างประเภทฉนวนบุฝ้าเพดานที่มีคุณภาพสูง มีระบบปรับอากาศ เปลี่ยนหนาวเป็นอุ่น เปลี่ยนร้อนเป็นเย็น ห้องใต้หลังคานี้จึงได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์นอกเหนือไปจากการใช้เป็นห้องเก็บของ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์เทาชมพูหาภาพมาให้ดู


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 09:47
^
ใช่เลยค่ะ   ;D

ในปลายศตวรรษที่ 19  และต้นศตวรรษที่ 20   เศรษฐีฝรั่งยังมีคนรับใช้ประจำอยู่ในบ้าน    ห้องนอนของคนใช้พวกนี้คือห้องใต้หลังคา  เพราะเป็นห้องที่น่าอยู่น้อยที่สุด     หลังจากทำงานประจำวันเสร็จแล้ว   พวกนี้ก็ไต่บันไดขึ้นไปนอนอยู่ชั้นบนสุดของบ้าน  ข้างบนหัวนาย  
หน้าหนาวก็นอนหนาวสั่นอยู่ในนั้น  เตาผิงที่อบอุ่นอยู่ชั้นล่าง   หน้าร้อนแดดก็ส่องหลังคากระจายความร้อนอบอ้าวลงมามากกว่าห้องอื่น  ส่วนนายนอนอยู่ชั้นล่าง  หน้าหนาวก็อุ่นกว่า หน้าร้อนก็เย็นสบายกว่า


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 10:00
สมัยก่อนatticจะไม่มีคนอยากไปพักอาศัย เพราะหนาวมาก โดยเฉพาะในฤดูที่หิมะปกคลุมหลังคา ฝรั่งจึงใช้เป็นห้องเก็บของ หรือเอาคนที่น่าสงสารขึ้นไปอยู่ เช่นพระเอกหรือนางเอกสมัยเด็กๆของนิยายประเภทต้นร้ายปลายดี หรือพวกยิวซึ่งหนีการตามล่าของเยอรมันในช่วงสงคราม ที่รอดมาได้เพราะมีคนใจบุญซุกซ่อนให้อยู่แต่ในatticนี้ เป็นต้น

ห้องใต้หลังคาที่ขึ้นชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์  ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนเข้าชมคือบ้านของสาวน้อยชาวยิว แอนน์ แฟร้งค์  เจ้าของบันทึกที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลก      เธอเล่าถึงชีวิตสองปีในห้องใต้หลังคา ที่ครอบครัวชาวยิวสองครอบครัวต้องหลบซ่อนหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพวกนาซีเยอรมัน
เพื่อนใจดีคนหนึ่งซ่อนครอบครัวยิวไว้ในห้องใต้หลังคา ซึ่งไม่มีใครขึ้นไปดู    ห้องชั้นล่างเป็นสำนักงาน  ตลอดวันพวกยิวในห้องใต้หลังคาต้องนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว   เพราะจะมีเสียงกุกกักให้คนข้างล่างสงสัยขึ้นมาได้   จนหมดเวลาทำงาน คนกลับกันหมดพวกนี้จึงค่อยลุกเดินทำอะไรต่อมิอะไรได้ในตอนกลางคืน

ภาพนี้คือห้องนอนใต้หลังคาของแอนน์
เป็นภาวะที่ทรมานมากในห้องใต้หลังคา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 10:24
ต่อมา ในยุคที่แรงงานคนเริ่มหายาก  คนรับใช้ก็หายไปจากสังคม   เหลือแต่ห้องใต้หลังคาซึ่งยังไม่หายไปไหน

ถ้าไม่ใช้เก็บของ  เจ้าของบ้านก็ดัดแปลงกลายมาเป็นที่อยู่อาศัยได้ เพราะมีความสะดวกสบายหลายอย่างมาช่วยปรับปรุงให้อยู่ง่ายขึ้น เช่นมีไฟฟ้า ทำให้เกิดเครื่องปรับอากาศ ทั้งแอร์คอนดิชั่นและฮีทเตอร์  มีฉนวนบุฝ้าเพดานที่กันความร้อนหนาวจากหลังคาได้ อย่างที่ท่านนวรัตนอธิบายไว้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 10:39
กลับมาเล่าถึงเมืองที่เคยอยู่

หนุ่มสาวอเมริกันที่เกิดในเมืองเล็ก  พอโตเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็ไม่นิยมอยู่ในบ้านเกิดอีกต่อไป   แต่จะบินออกจากรังไปแสวงหาชีวิตของตนเองในโลกกว้าง     ข้อนี้หมายถึงไปอยู่ในเมืองใหญ่    ถ้าไม่ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ก็ไปหางานทำ เลี้ยงชีพเอง ไม่พึ่งพ่อแม่อีก  ปีหนึ่งเจอกันหนเดียวคือกลับมาบ้านตอนคริสต์มาส
ถึงมีเพลง I'll be home for Christmas  ไงคะ

พ่อแม่คนชั้นกลางของอเมริกันไม่เหมือนพ่อแม่คนชั้นกลางของไทย   ของเราเลี้ยงลูกจนอายุขนาดไหนก็ตาม ถ้าลูกยังไม่แยกตัวออกไปมีครอบครัวเดี่ยวของตัวเอง    พ่อแม่ก็เลี้ยงกันต่อทั้งนั้น      ส่วนพ่อแม่ไทยในชนบทเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  คือพอลูกโตพอไปรับจ้างเป็นแรงงานได้ ก็ออกจากบ้านไปทำงาน  แล้วส่งเงินกลับมาเลี้ยงพ่อแม่
ส่วนพ่อแม่อเมริกันดูเหมือนจะมีคติว่า ลูกอยู่กับตัวจนอายุราวๆ ๑๘   หลังจากนั้นก็บินออกจากรังได้แล้ว       ถ้าลูกไม่ออกจากรัง ยังอยู่กับพ่อแม่เสียอีก พ่อแม่จะกลุ้มใจว่าไม่รู้จักโต
พอลูกออกจากรังไป  บ้านที่เหลือแต่พ่อแม่อยู่กันสองคน มีศัพท์ว่า empty nest   รังเปล่านี้พ่อแม่อยู่กันต่อไปจนกระทั่งวัยกลายเป็นตายาย   ก็ยังอยู่กันต่อไปสองคน  ไม่เอาลูกเอาหลานมาอยู่ด้วย   ถ้าคุณตาจากไปก่อน คุณยายก็อยู่คนเดียว
บ้านที่เคยอยู่กันหลายห้อง เพราะมีพ่อแม่ ลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก  ก็กลายเป็นบ้านที่มีห้องว่างทิ้งไว้เฉยๆหลายห้อง
ทำให้คุณตาคุณยายเหล่านี้หาลำไพ่พิเศษ ด้วยการแบ่งห้องว่างนี้ให้เช่า   รวมทั้งห้องใต้หลังคาด้วย

ในเมืองเล็กเมืองนี้ มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่แห่งหนึ่ง    เป็นมหาวิทยาลัยที่นักเรียนทุนของไทยได้ทุนมาเรียนกันหลายคน     ส่วนใหญ่เป็นสาขาการศึกษา   หลายคนเรียนจบไปแล้วก็ไปเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการบ้าง เป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยบ้าง
นอกนั้นก็มีนักเรียนทุนส่วนตัว ที่อยู่ในความดูแลของก.พ.    

หอพักของมหาวิทยาลัยมีเหมือนกัน   แต่มักจะต้องอยู่ห้องเดียวกับรูมเมทฝรั่ง   จะทำส้มตำ แกงส้ม แกงเผ็ด ก็เกรงใจฝรั่ง   ฝรั่งจัดปาร์ตี้ในห้องก็หนวกหูคนไทย    ก็เลยหาที่อยู่ข้างนอกดีกว่า  เป็นอิสระกว่า
ห้องเช่าที่มีเจ้าของบ้านเป็นคุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยาย  จึงสนองความประสงค์ของนักเรียนไทยได้พอดิบพอดี


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 10:52
พวกอเมริกันในเมืองเล็ก เป็นคุณตาคุณยายที่สะอาดสะอ้านมีระเบียบ  ดูแลบ้านช่องเก่ง    ตกแต่งห้องก็เก่ง    นิสัยพวกเขาเท่าที่เคยเห็น  มีตรงกันอย่างหนึ่งคือเขาไม่เก็บข้าวของไว้เต็มบ้าน เพราะเสียดายที่จะทิ้ง อย่างคนไทย   ตรงกันข้าม  พวกเขาทิ้งของเก่งมาก  ห้องก็เลยสะอาดเนี้ยบ ไม่ว่าห้องนอน ห้องอาหาร ห้องรับแขก  ตกแต่งสะสวยเรี่ยมเหมือนในแมกกาซีน   เรียกว่าพร้อมจะถ่ายรูปโชว์ได้ทุกเวลา

ข้าวของต่างๆถ้าไม่ทิ้ง หรือบริจาคไป  (มีแหล่งรับบริจาคเป็นคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ตั้งไว้ในเมือง)     เจ้าของบ้านก็มีห้องเก็บของขนาดใหญ่  เก็บไว้ให้พ้นหูพ้นตาคน

ห้องใต้หลังคา  ถ้าหากว่าอยู่อาศัยเอง    เจ้าของบ้านก็ตกแต่งเสียสวยน่าอยู่    ไม่รู้สึกเลยว่าอุดอู้อยู่ใต้หลังคา  อย่างในรูปพวกนี้ละค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 11:11
    เจ้าของบ้านที่นักเรียนไทยไปเช่าห้องอยู่ มักจะแต่งห้องสไตล์คันทรี    เหตุผลคือเมืองนี้เป็นเมืองชนบทมาแต่แรก   เหตุผลที่สองคือเครื่องเรือนเก่าๆที่ตกทอดกันมาในบ้านเป็นสไตล์คันทรี   เมื่อมาทำห้องเช่า เอาเครื่องเรือนเดิมมาขัดมาทาสีใหม่ก็ดีกว่าจะไปซื้อใหม่   
   ข้าวของในบ้านพวกนี้คงทนมาก  ทั้งเตียง ตู้ โต๊ะ   หลายชิ้นน่าจะอยู่มาตั้งแต่เรายังเรียกประเทศว่า "สยาม"  เจ้าของเดิมตายกันไปกี่รุ่นแล้วก็ไม่อาจทราบได้    แต่เท่าที่เคยอยู่มา ก็ไม่เคยเห็นมีใครมาเยี่ยมเยียนกะเหรี่ยงไทย  อาจจะเห็นว่าพูดจากันไม่รู้เรื่องก็เป็นได้ค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 11:43
แต่ทั้งๆห้องใต้หลังคาตกแต่งให้ดูดียังไงก็ตาม    เมื่ออยู่เข้าจริงๆ  มันก็มีข้อน่าอึดอัดบางอย่างที่ห้องในชั้นหนึ่งหรือสองของบ้านไม่มี   ที่เห็นชัดคือห้องมันเตี้ย    คนไทยเราชินกับห้องเพดานสูงกว่านี้   เมื่อเดินเข้าไป ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบอัดให้เตี้ยลงตามห้อง  นอกจากนี้ถึงมีฉนวนกันความร้อนหนาวจากหลังคายังไงก็ตาม   มันก็ยังร้อนและหนาวกว่าห้องอื่นๆในบ้านอยู่บ้าง พอสัมผัสได้

ห้องใต้หลังคาในสหรัฐอเมริกายังดี  เพราะบ้านช่องห้องหับของเขาเว้นเนื้อที่ว่าง(space) เอาไว้มาก    ถ้าเป็นประเทศที่ประหยัดเนื้อที่บ้านมากกว่านี้  อย่างบ้านในอังกฤษ    ห้องใต้หลังคาก็แคบจนอึดอัด   บางทีเตียงก็ไปซุกอยู่ใต้เพดานลาดเอียง  ดูน่ากลัวว่าถ้าเผลอ นอนหลับไป สะดุ้งตื่นพรวดพราดขึ้นมาเพราะมือถือปลุก   หัวจะโขกเข้ากับเพดานได้ง่ายๆ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 11:47
ถ้าเป็นห้องใต้หลังคา ที่ตกแต่งให้มี space แบบนี้  ก็ไม่อึดอัด


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 14:18
เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ความเป็นอยู่ในบ้านช่องสะดวกสบายขึ้นมาก    ห้องใต้หลังคารุ่นหลังๆจึงก้าวเดินมาไกลจนไม่เห็นฝุ่น  เมื่อเทียบกับห้องใต้หลังคายุคที่สาวใช้นอนหนาวตัวสั่นอยู่ใต้ผ้านวม    ห้องใต้หลังคารุ่นใหม่ๆ สามารถจะทำเป็นห้องอะไรก็ได้ตามใจชอบ    ทำให้บ้านมีเนื้อที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัวจากชั้นล่าง

ห้องใต้หลังคา นอกจากทำเป็นห้องนอน  ก็เป็นห้องนั่งเล่น(den)  และยกห้องน้ำเข้าไปด้วยก็ยังได้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 14:22
ห้องใต้หลังคา เป็นห้องนั่งเล่น  ห้องทำงาน  ห้องซ้อมดนตรี และเป็นได้แม้กระทั่งครัว


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 14:55
หลังจากดูใต้หลังคากันมาหลายค.ห.  ก็ขอเชิญกลับขึ้นบนหลังคาอีกครั้งนะคะ  เพื่อจะดูหน้าตาหลังคาและบ้านในเมืองกัน

เมืองนี้อย่างที่บอก เป็นเมืองที่เกิดขึ้นในพรึ่บเดียว  บ้านช่องยุคแรกๆในปี 1870 กว่าๆ มาถึง 1900 ก็เลยมีแบบแผนคล้ายคลึงกัน  ในถนนสายต้นๆที่เขานับตั้งแต่เลข 1 เป็นต้นมาถึงประมาณ 10 ต้นๆ มีบ้านอยู่ไม่กี่แบบ   
เทศบัญญัติของเมืองค่อนข้างเข้มงวด  ใครจะสร้างบ้านแบบไหนต้องถูกตรวจแบบไว้ก่อน ว่าไม่ "โดด" ออกมาจากบ้านอื่นๆ ในละแวกนั้น    แม้แต่สีทาบ้านก็ถูกพิจารณาด้วย     ถึงคุณมีเงิน ก็ไม่อาจซื้อสีทาบ้านเป็นสีม่วงสีทอง หรือเขียวสลับแดงตามใจชอบได้    บ้านต่างๆจะต้องใช้สีที่เทศบาลอนุมัติแล้วว่าไม่ระคายสายตา  และไม่ทำลายสภาพแวดล้อมด้วยการเป็นบ้านสีดำประตูแดงอยู่หลังเดียวท่ามกลางสีขาวทั้งถนน

บ้านที่นำมาลงให้ดู ในค.ห.ต่อไป  เป็นบ้านรุ่นเก่ายุครัชกาลที่ 5    ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเห็นอยู่ตามถนนสายเก่า  ไม่ได้ถูกรื้อทิ้ง   เทศบาลใช้วิธีขยายเมืองออกไป ไม่ใช่รื้อของเก่าแล้วสร้างของใหม่ทับลงไป   บางหลังอาจถูกรื้อแล้วสร้างอพาตเม้นท์แทนก็พอมี แต่ว่าน้อยมาก


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 15:07
บ้านในรูปที่ 1  เป็นบ้านเล็กๆอยู่ในชานเมือง   โดยมากเป็นบ้านนาที่เป็นส่วนหนึ่งของฟาร์ม  
บ้านในรูปที่ 2  เป็นบ้านในเมือง    ของชาวบ้านที่มีฐานะมีอันจะกินขึ้นมาหน่อย    ตอนไปเรียนใหม่ๆ ถนนสายที่อยู่ก็มีบ้านแบบนี้เรียงรายกันบนฟากถนนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับแคมปัสเก่าของมหาวิทยาลัย      เวลาล่วงผ่านมาหนึ่งร้อยปี   มหาวิทยาลัยก็ซื้อบ้านสองสามหลังที่หน้าตาแบบนี้ไว้เป็นสโมสรกิจกรรมของนศ. พวกชมรม  Alfa Beta อะไรพวกนี้    ชมรมพวกนี้นักศึกษาต่างชาติไม่เกี่ยวข้องด้วย ก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเขานัก
รูปที่ 3 และ 4  เป็นบ้านเก่าของชาวเมืองที่เห็นกันทั่วไป  
รูปที่ 5  จะคล้ายๆกับรูปที่ 2  คือเป็นบ้านแบ่งเช่าบ้าง เป็นสโมสรกิจกรรมของนศ.บ้าง   เป็นสำนักงานของมหาวิทยาลัยบ้าง
รูปที่ 6  เป็นบ้านชาวเมืองที่ค่อนข้างจะมีสตางค์  ราคาบ้านไม่ได้ขึ้นกับรูปทรงโครงสร้างของบ้านเท่านั้น แต่ขึ้นกับบริเวณด้วย     ถ้าเป็นทำเลที่สวยงาม มีบริเวณกว้างขวาง  ราคาก็แพงขึ้น  แม้จะเป็นบ้านแบบเรียบๆก็ตาม

ขอเชิญดูหลังคาบ้านพวกนี้อีกทีนะคะ  สังเกตไหมว่าบ้านพวกนี้หลังคาเขาสูงแต่มีชายคาสั้นมาก     หน้าต่างทุกบานโดยเฉพาะหน้าต่างชั้นบน  ไม่มีกันสาดให้กันฝนได้เลย      ทั้งนี้เพราะในรัฐแม้มีหิมะตกมากก็จริง  แต่ไม่มีฝน    ฝนตกตอนไหนก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเจอ   ใครเดินหาเสื้อกันฝนและร่มในห้างสรรพสินค้าก็เดินจนเมื่อยขากันเปล่าๆ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 17:07
เมืองขยายไปทางตะวันตก   ผังเมืองออกแบบไว้ดีคือทำถนนตัดกันเป็นตารางหมากรุก  เส้นหนึ่งจากเหนือลงใต้  อีกเส้นตัดขวางจากตะวันออกไปตะวันตก  ทำให้เกิดสี่แยกทุกช่วงถนน   ชื่อถนนก็นับเป็นเลขที่  ทำให้มองเห็นไม่ยากว่าบ้านเก่าอยู่ในถนนหมายเลขต้นๆ  ส่วนถนนหมายเลขมากขึ้นเท่าใด ก็มีบ้านใหม่ให้เห็นมากเท่านั้น
บ้านรุ่นใหม่ที่ว่านี้มีหลายรุ่นด้วยกันค่ะ    ที่เห็นมากในเมืองก็คือบ้านในยุคกลางศตวรรษที่ 20  เรียกว่า mid-century home    เป็นบ้านปลูกประมาณ 1950s คือหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง     คนที่อ่านกระทู้ประวัติศาสตร์คงจำได้ว่าอเมริกาเป็นประเทศที่บอบช้ำน้อยที่สุดในสงครามโลก   เพราะสงครามไม่ได้เกิดในประเทศแต่ไปเกิดในยุโรป   ส่วนทางเอเชีย อเมริกาก็สูญเสียแค่เพิร์ลฮาเบอร์    ดังนั้นเมื่อสงครามจบลง   ประเทศมหาอำนาจก่อนหน้าอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษบอบช้ำสะบักสะบอม   อเมริกาก็ผงาดขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่แทน  
ทหารอเมริกันทยอยกันกลับบ้านจากสมรภูมิในยุโรป   ความสงบคืนมา   สังคมก้าวเข้าสู่การสร้างครอบครัวใหม่     เศรษฐกิจดีขึ้น  บ้านช่องที่สร้างขึ้นในยุคนี้ก็ออกมาในรูปบ้านเล่นลายอิฐ แผ่นหินประดับผนังด้านนอก   หรือเป็นคอนกรีต ไม่มีไม้ทึบๆและหน้าต่างแคบๆอย่างบ้านยุคก่อน  เล่นกระจกใสแทน      ไม่นิยมห้องใต้หลังคาอีก  หลังคาก็เลยแบนเกือบราบ   หลังคาแบบนี้ถ้าสร้างอย่างในบ้านเรา แดดจะลงมาถึงห้องนอนชั้นบนได้ง่าย   แต่ในเมืองหนาว ได้รับแดดมากก็อุ่นดี

เมื่อไปเรียน  บ้านแบบนี้ถือว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ของยุค  โดยมากอยู่ออกไปทางชานเมืองด้านตะวันตก ที่เมืองขยายไปทางนั้น  ห่างมหาวิทยาลัย  นักเรียนไทยก็เลยไม่ค่อยไปอยู่กันเพราะเดินมาเรียนไม่ไหว  เมืองทั้งเมืองมีรถประจำทางคันเดียว  วนมาถึงจุดเดิมทุกๆ ๑ ชั่วโมง  ถ้าวิ่งไปที่ป้ายจอดช้าไป ๒ นาทีก็ต้องรออีก ๕๘ นาทีกว่ารถจะกลับมาอีกครั้ง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 20:37
คุณตั้งไปอ้างเรื่องหลังคาบ้านฝรั่งไว้ในกระทู้  แผ่นดินไหวและซึนามิ

นอกจากนั้นจุลินทรีย์พวกนี้ยังใช้ออกซิเจนจากสารประกอบซัลเฟต (SO4 อื่นๆอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เหลือสารตกค้างเป็นพวก Ferrous sulfide ซึ่งคือแร่ชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักเป็นธาตุเหล็กกับกำมะถัน แต่ยังคงสะสมปนอยู่ในเนื้อของตะกอนดิน ทั้งหมดนี้คือสภาพของตะกอนที่แปรสภาพไป ในภาษาที่เรารูจักกันก็คือดินพรุ ในภาษาทางวิชาการเรียกว่า Peat bog หรือบางทีก็เรียกว่า Bog หรือ Bog swamp (ซึ่งโยงไปหากระทู้ของคุณเทาชมพู ว่าด้วยหลังคาแบบฝรั่ง ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงบ้านที่สร้างในแถบทุ่งหญ้าแพรรี_Prairie_)   

เมืองเล็กที่ว่านี้ ตั้งอยู่กลางท้องทุ่งกว้างใหญ่   ซึ่งเรียกว่า prairie   ท้องทุ่งแบบนี้ไม่มีในประเทศไทย     เห็นครั้งแรกมันเหมือนกับสนามกอล์ฟของพญายักษ์  เพราะเป็นเนินกว้างสลับกับพื้นเรียบทอดตัวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา     เนื่องจากไฮเวย์ทั้งหลายของที่นี่เขาไม่อนุญาตให้มีตึกแถวการค้ามาตั้งขนาบสองข้างทางอย่างบ้านเรา      แต่เปิดทิวทัศน์สองข้างทางให้โล่งตลอด ก็เลยเห็นไปได้จนสุดขอบฟ้า  เว้นแต่ทางทิศตะวันตก  ไม่เห็นขอบฟ้าเพราะมีเทือกเขามหึมากั้นอยู่ ชื่อว่า Rocky Mountains 

ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน   prairie สวยมากเพราะเป็นสีเขียวสด มีดอกไม้ป่าเรียกว่า field flowers บานไสว  ไร่นาต่างๆผลิดอกออกผลกันสะพรั่ง      พอถึงฤดูใบไม้ร่วงหญ้าก็เริ่มแห้งเป็นสีน้ำตาล  พอฤดูหนาวเข้ามาก็จะเห็นหญ้าแห้งแล้งเช่นเดิมมีหิมะจับอยู่เป็นหย่อมๆ     หญ้าที่นี่ไม่สูงเป็นพงรกอย่างในประเทศไทย    มันเรียบติดพื้นดิน  มองไกลๆจึงเหมือนสนามกอล์ฟ
พื้น prairie บางแห่งไม่มีหญ้าเขียว  แต่เป็นพื้นดินแห้งๆมีวัชพืชชื่ออะไรไม่ทราบงอกเป็นกระจุกๆ ติดดิน   ดูแห้งแล้งมาก   แถมยังกว้างสุดลูกหูลูกตา   เห็นแล้วนึกสรรเสริญความทรหดอดทนของนักบุกเบิกที่นั่งเกวียนประทุนเดินทางผ่านมาทางนี้     ถ้าไม่เอาเสบียงมาด้วยเห็นทีจะอดตาย     เพราะพื้นดินมันไม่มีผักหญ้าให้ถอนขึ้นมากินได้เลย

พรรณนาเพลินไปหน่อย  นึกได้ว่ายกข้อความของคุณตั้งมาไว้ที่กระทู้นี้เพื่อจะบอกว่า ดิฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลังคาของบ้านในทุ่ง prairie  รู้แต่ว่าบ้านสมัยบุกเบิก ไม่มีหลังคากระเบื้อง   บ้านทุ่งมุงหลังคาทำด้วยแผ่นไม้กันค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 21:07
บ้านทุ่งหรือ prairie house  ไม่ค่อยจะเหลือให้เห็นแล้วค่ะในทุกวันนี้     อาจจะมีกระท่อมร้างอยู่กลางทุ่งที่ไหนสักแห่ง   เป็นกระท่อมสร้างหยาบๆรูปร่างเหมือนหีบสี่เหลี่ยมมีหลังคา    เรียกว่า shanty


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 21:10
ถ้าเป็นบ้านทุ่งเต็มรูปแบบ ก็หน้าตาอย่างนี้ค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 25 เม.ย. 12, 21:38
ทุ่ง Prairie นี้ เป็นทุ่งหญ้าขนาดกว้างมหึมามาก แผ่ขยายข้ามเขตเข้าไปถึงในแคนาดาโน่น

ดั้งเดิมนั้น ใต้พื้นของทุ่งหญ้ามีความชุ่มชื้นมาก มากขนาดที่ในบางพื้นที่ (ในแคนาดา) ต้องขุดร่องเพื่อระบายน้ำออก จึงจะทำการเกษตรได้
นอกจากความสวยงามของดอกไม้ดังที่คุณเทาชมพูได้พรรณามา ยังมีต้นสตรอแบรี่ป่า เกิดอยู่ติดดินร่วมกับวัชพืชอื่นๆ มีลูกเล็กขนาดปลายนิ้วก้อย สีแดงเข้ม รสเข้มข้นและมีกลิ่นหอมมาก หากมีโอกาส ชอบพอหญิงใด จะบอกรักก็ลองเด็ดสตรอแบรีป่านี้หนึ่งผลส่งให้ หญิงที่รับรักก็จะถนอมเก็บดม หากไม่รู้หรือไม่รับรักก็จะทิ้งหรือกินเสียเลย

ในทุ่งนี้มีทั้งอากาศหนาวเย็นมากและอบอุ่นมากสลับกันไปในทุกๆปี เมื่อหิมะละลายจะมีน้ำทำให้ชุ่มชื้น วัชพืชซึ่งเป็นไม้ล้มลุกก็จะงอกเงยบานสะพรั่งออกดอก เมื่อฤดูหนาวมาเยือนมันก็จะเหี่ยวแห้งตายไปทับถมกันอยู่ พอฤดูใบไม้ผลิมาเยือนก็จะเริ่มวัฏจักรใหม่ เป็นเช่นนี้ชั่วนาตาปีนานมากๆ ชั้นที่มันตายสะสมกันก็จะหนามากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นล่างๆที่ถูกทับถมด้วยน้ำหนักก็จะแปรสภาพไปเป็น Peat ซึ่งก็คือถ่านไม้อย่างหนึ่งก่อนที่จะแปรต่อไปเป็นถ่านหิน ความที่เป็นเศษวัชพืชทับถมกัน เนื้อจึงโปร่ง เหมือนกับดินขุยไผ่ที่เราเอามาทำปุ๋ยนั้นแหละ ทำให้มันอุ้มน้ำและความชื้นได้มาก

บ้านคนแต่เดิมในสมัยบุกเบิกและแม้กระทั่งกระต๊อบนาในปัจจุบัน เขาก็จะทำการเซาะตัดดิน Peat นี้ออกเป็นก้อนๆ เอามาตากแดดให้แห้งก่อนที่จะเอามาก่อซ้อนกันเป็นผนังบ้าน และวางเรียงทับซ้อนกันบนหลังคาเื่พื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว เหมือนกับเราใส่เสื้อหลวมๆในหน้าหนาว เพราะอากาศในรูพรุนในเนื้อของเสื้อผ้า และอากาศในช่องว่างระหว่างตัวเรากับเสื้อหนาว จะเป็นฉนวนกันความหนาวเย็นได้อย่างดี บ้านที่ปิดด้วย Peat นี้ หน้าร้อนก็เย็นหน้าหนาวก็อุ่น จะเสียอยู่อย่างเดียวก็คือมีกลิ่น  สำหรับผมนั้น คิดว่ากลิ่นนี้ไม่จัดว่าอยู่ในกลุ่มของกลิ่นเหม็น ผมว่าหอมเหมือนกลิ่น mead ต่างกับกลิ่นของความสะอาดบริสุทธิ์ของทุ่งที่เขียวขจี ที่เรียกว่ากลิ่น Meadow (???)   ขนาดการอบร้อนเมล็ดพืชก่อนที่จะนำไปหมักทำเหล้าวิสกี้ชั้นดีของอังกฤษยังต้องใช้ความร้อนจาก peat เหล่านี้เลย เพื่อให้ได้กลิ่นเหล้าที่หอมหวลมากขึ้น    


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 22:14
ไม่รู้จักทั้ง wild strawberries และ peat  เลยต้องไปถามครูเกิ้ลดู  ได้รูปมาอย่างข้างล่างนี้ค่ะ
สตรอเบอรี่ป่ามีลักษณะเป็นไม้เลื้อยคลุมดิน  ลูกเล็กๆสีแดงสด    ไม่เคยเห็นมาก่อน   รู้จักแต่สตรอเบอรี่ลูกโตสีแดงสดที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต  เหมือนที่เราปลูกกันทางเชียงใหม่
ส่วน peat ก็เพิ่งเห็นรูปนี่แหละค่ะ   ที่เรียกว่า peat bogs คงหมายถึงดินที่ทำเป็นแท่งเหมือนอิฐ เอามาสร้างบ้านละมังคะ 


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 22:23
หลังคา peat roof  อย่างในรูปข้างล่างนี้ ไม่เคยเห็นแถวๆเมืองนั้น      แต่ลักษณะที่เป็นเหมือนกระเบื้องไม้สีแก่ๆ เคยเห็นบ้างค่ะ   เพียงแต่ไม่มีหญ้าขึ้นอย่างในรูป   


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 12, 22:27
มีแต่หลังคาแบบนี้ค่ะ สำหรับ prairie house


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 12, 13:42
คุณตั้งยังไม่เข้ามาขยายความเรื่องหลังคา    จึงขอคั่นโปรแกรมด้วยการพาไปดูอาคารร้านรวงใน downtown หรือย่านการค้าของเมืองไปพลางๆก่อนนะคะ
  
ในสมัยที่เมืองก่อตั้งขึ้น    เทศบาลได้แบ่งเขตธุรกิจค้าขายของเมือง เป็นคนละส่วนกับพื้นที่ส่วนที่อยู่อาศัย และพื้นที่มหาวิทยาลัย    ไม่เอามาปนกัน   ห่างกันเป็นกิโลทีเดียว
หน้าตาอาคารร้านรวงสมัยนั้นถ้าใครดูหนังคาวบอยคงจะพอนึกภาพออก    เป็นอาคารสองชั้นสร้างหยาบๆด้วยไม้บ้าง  อิฐและปูนบ้าง  อยู่ริมถนนที่มีฝุ่นฟุ้ง    รถม้าโดยสารวิ่งระหว่างเมือง วิ่งผ่านฉากที่พระเอกเดินออกมาจากออฟฟิศของนายอำเภอ    มี"ซาลอน" หรือร้านเหล้าที่ชกต่อยดวลปืนกันเป็นนิจ  ไม่เคยอยู่ได้สงบๆ   ไม่ผิดอะไรกับโรงเตี๊ยมในหนังกำลังภายในของจีน
เวลาผ่านไปจากปลายศตวรรษที่ 19  ถึงต้นศตวรรษที่ 20 (ประมาณรัชกาลที่ 6 )  รถม้าหายไปจากบ้านเมือง มีรถยนต์มาแทนที่   ถนนที่เป็นดินหรือโรยทรายก็กลายเป็นถนนลาดยาง  ถนนคอนกรีตตามมาทีหลัง    อาคารไม้หายไป เหลือแต่พวกก่ออิฐถือปูน  ในเมืองนี้เขายังอนุรักษ์อาคารเก่าพวกนี้เอาไว้เท่าที่จะทำได้  ไม่รื้อทิ้งแล้วสร้างอาคารคอนกรีตห้าหกชั้นหรือศูนย์การค้าขึ้นมาแทน      downtown ของเมืองจึงมีเค้าของเก่าให้นึกภาพในอดีตเมื่อเกือบๆร้อยปีก่อน    

อย่างหนึ่งที่เห็นก็คืออาคารพวกนี้ไม่มีหลังคา    ส่วนที่แทนหลังคาเป็นอะไรไม่ทราบเพราะไม่มีโอกาสจะขึ้นไปดู  เข้าใจว่าจะเทปูนเรียบ  คนขึ้นไปเดินได้  ไม่มีชายคาและไม่มีกันสาด


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 12, 13:54
ตึกเก่าที่ยังรักษาเอาไว้จนทุกวันนี้


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 12, 20:25
ไปสำรวจในโฟลเดอร์  เลยเจอรูป downtown อีกรูปที่มีหลังคาเป็นดาดฟ้า กั้นลูกกรง ให้ขึ้นไปยืนไปเดินได้  
ข้างล่างเป็นร้านอาหาร


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 12, 23:06
ประชากรรัฐนี้กว่า 90% เป็นฝรั่งผิวขาว    ตามถนนหนทางไม่มีคนผิวดำเลย    เคยเห็นคนผิวดำสองสามคนก็พวกนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนที่นี่  หรือนักเรียนอเมริกันผิวดำที่ข้ามรัฐมาจากรัฐอื่นซึ่งมีน้อยมาก   แต่อีกพวกหนึ่งที่มีค่อนข้างมากคือพวกเชื้อสายเมกซิกัน ที่ขึ้นมาจากรัฐทางใต้ ซึ่งติดกันพรมแดนเมกซิโก
พวกนี้ส่วนใหญ่อพยพเข้ามาจากเมกซิโกมาเป็นลูกจ้างในฟาร์มนอกเมือง    มีลูกเต้าเกิดในอเมริกาก็กลายเป็นอเมริกันชนโดยกำเนิด  มีสิทธิ์ได้เรียนโรงเรียนฟรีจนจบไฮสกูล     บางคนใฝ่ใจทางการศึกษาก็เรียนต่อถึงมหาวิทยาลัย  เรียนจบก็ตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพกันอยู่ในรัฐนี้    ดังนั้นอาหารเมกซิกันอย่างพวก Taco  จึงมีขายทั่วไปตามเมืองต่างๆ
อีกอย่างที่ตามมาคือบ้านแบบเมกซิกัน ที่เรียกกันว่า Spanish style home    เมืองที่ดิฉันอยู่เป็นเมืองทางเหนือของรัฐ  ไม่ค่อยมีบ้านพวกนี้   แต่ถ้าลงไปทางใต้ของรัฐ  ยิ่งใต้เท่าไรยิ่งเห็นบ้านแบบนี้หนาตา

เอาหลังคาบ้านมาให้ดู   ไม่มีความรู้ค่ะ  เข้าใจว่าเป็นกระเบื้องลอน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 12, 23:07
บ้านแบบสเปน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 12, 23:38
อ้างถึง
เอาหลังคาบ้านมาให้ดู   ไม่มีความรู้ค่ะ  เข้าใจว่าเป็นกระเบื้องลอน


เรียกกระเบื้องกาบกล้วยครับ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 เม.ย. 12, 19:30
ขออินทรเนตรช่วยมองกระเบื้องกาบกล้วย   เจอว่ามุงหลังคาโบสถ์วัดตองปุ  ลพบุรี   
เพิ่งรู้ว่าเป็นกระเบื้องโบราณ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 เม.ย. 12, 19:32
ถ้าใครอยากเห็นบ้านสแปนิช สไตล์ก็ไม่ต้องไปถึงยุโรปหรืออเมริกา     ไปแถวเขาใหญ่  กับอีกแห่งที่ถนนราชพฤกษ์  ก็จะเห็นได้เต็มตาค่ะ
รูปบนสองรูป -- >  แถวเขาใหญ่
รูปล่างสองรูป -->  ถนนราชพฤกษ์


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 เม.ย. 12, 21:22
^
^
อิตาเลี่ยน สไตล์ กระมัง

 ;)


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 เม.ย. 12, 21:30
คุณตั้งยังไม่เข้ามาขยายความเรื่องหลังคา.....

ขอย้อนกลับนิดเดียวครับ
ผมอาจจะสื่อไม่ครบครับ บ้านที่มุงหลังคาด้วย peat นี้ ในสมัยบุกเบิกและเมื่อแรกเริ่มปักหลักถิ่นฐานนั้น จะเป็นการสร้างทีพักพิงชั่วคราวเพื่อสร้างบ้านฐาวรต่อไป บ้านมีลักษณะเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม หลังคาราบเรียบไม่ยกเป็นทรงจั่วมากนัก จะเรียกว่ากระต๊อบก็ได้  ผมได้เห็นและสัมผัสก็เพราะไปคุมงานที่แคนาดา วันหนึ่งมีโอกาสได้รับเชิญจากผู้มีอันจะกินคนหนึ่งเพื่อกินอาหารเย็นที่ปศุสัตว์ของเขา เขามีกระต๊อบแบบนี้สร้างอยู่ในที่และอธิบายว่านี่แหละคือลักษณะของบ้านของคนในสมัยบุกเบิก  และก็เคยเห็นในสารคดีหลายครั้งในระหว่างการควบคุมงาน  


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 เม.ย. 12, 21:38
ถ้าใครอยากเห็นบ้านสแปนิช สไตล์ก็ไม่ต้องไปถึงยุโรปหรืออเมริกา     ไปแถวเขาใหญ่  กับอีกแห่งที่ถนนราชพฤกษ์  ก็จะเห็นได้เต็มตาค่ะ
รูปบนสองรูป -- >  แถวเขาใหญ่
รูปล่างสองรูป -->  ถนนราชพฤกษ์

อิตาเลี่ยน สไตล์ กระมัง

ผมว่าเป็น Spanish style นะ  ;D  ด้วยมีทรงโค้งตามทางเข้าอาคาร และดูจะไปทางแม็กซิกันเสียมากด้วย โทนสีของอาคารก็ออกไปทางนี้ครับ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 เม.ย. 12, 21:42
ไปสำรวจในโฟลเดอร์  เลยเจอรูป downtown อีกรูปที่มีหลังคาเป็นดาดฟ้า กั้นลูกกรง ให้ขึ้นไปยืนไปเดินได้   
ข้างล่างเป็นร้านอาหาร

รูปนี้ถ่ายที่ใหนครับ ทิวทัศน์เหมือนกับเคยเข้าไปกินในร้านนี้  ;D


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 27 เม.ย. 12, 21:52
ถ้าใครอยากเห็นบ้านสแปนิช สไตล์ก็ไม่ต้องไปถึงยุโรปหรืออเมริกา     ไปแถวเขาใหญ่  กับอีกแห่งที่ถนนราชพฤกษ์  ก็จะเห็นได้เต็มตาค่ะ
รูปบนสองรูป -- >  แถวเขาใหญ่
รูปล่างสองรูป -->  ถนนราชพฤกษ์

อิตาเลี่ยน สไตล์ กระมัง

ผมว่าเป็น Spanish style นะ  ;D  ด้วยมีทรงโค้งตามทางเข้าอาคาร และดูจะไปทางแม็กซิกันเสียมากด้วย โทนสีของอาคารก็ออกไปทางนี้ครับ

เจ้าของเขาบอกว่าอย่างนี้

"Palio  Khao Yai", New Walking Street Shopping Center in Italian-style village mall, located among the the distinctive and spectacular views adjacent to Khao Yai National Park.

http://www.palio-khaoyai.com/?page=home

 ;D


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 เม.ย. 12, 20:48
เข้าใจละครับ

เลียนแบบ Centrum ของเมืองเล็กๆเก่าๆในอิตาลีนั่นเอง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 12, 10:49
บ้านในสเปนและอิตาลี มีบางแบบที่คล้ายกันมาก  เรียกรวมว่า Mediterranean-style 
รูปที่ ๑ และ ๒ เป็นบ้านในอิตาลี
รูปที่ ๓ และ ๔ เป็นบ้านในสเปน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 12, 16:36
กลับมาเรื่องบ้านในเมืองเล็ก

เมืองขยายตัวไม่หยุดในแต่ละช่วงทศวรรษ   แต่ขยายอย่างมีทิศทางคือไปทางตะวันตก     บ้านช่องใหม่ๆจึงอยู่ทางทิศนี้เสียมากกว่าทิศอื่น
บ้านที่เอามาให้ดูทั้งสี่หลังข้างล่างนี้เป็นบ้านสร้างใหม่ๆ   ในยุคที่ไปเรียน

เท่าที่เห็นจากรูป  ห้องใต้หลังคาดูเหมือนจะไม่เป็นที่นิยมอีกแล้ว   สถาปนิกหันมาจัดพื้นที่ห้องใต้ดินไว้กว้างขวางและใช้ประโยชน์ได้เท่ากับบนดิน   พูดถึงตรงนี้ก็คิดได้ว่าห้องใต้ดินหรือ basement ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรแยกเป็นอีกกระทู้  เพราะมันไม่เกี่ยวกับหลังคา 
ถ้ามีผู้สนใจก็จะมาเล่าเรื่องชีวิตนักเรียนไทยในใต้ดินให้ฟังนะคะ

บ้านยุคนี้ นิยมเอาโรงรถไว้ข้างหน้า  ผิดกับบ้านยุคเก่าที่โรงรถอาจจะสร้างแยกจากตัวบ้าน   หรือไม่ก็จอดรถไว้ริมถนนหน้าบ้านบ้าง หรือจอดที่ลานหลังบ้านบ้าง    ไม่ต้องกลัวหาย   เมืองเล็กๆมีอัตราเกิดอาชญากรรมน้อยมาก     นักเรียนไทยไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุดจนเที่ยงคืน เดินกลับบ้านก็ไม่ต้องกลัวถูกจี้ถูกปล้น     สาเหตุหนึ่งคือเขาเปิดไฟฟ้าสว่างไสวกันทุกจุดตามถนนหนทางและสวนสาธารณะ   มองเห็นทุกอย่างง่ายในระยะหลายร้อยเมตร     รถตำรวจสายตรวจทำงานอย่างแข็งขัน ตระเวนไปตามถนนทั้งคืน  เห็นอะไรไม่ชอบมาพากล   เขาก็เรียกทันที
สาเหตุที่สองคือคนอเมริกันไม่ชอบเตร็ดเตร่กันนอกบ้าน   หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน ทำอาหารเย็นกินกันแล้วก็นั่งดูทีวีไปจนเข้านอน     แค่พลบค่ำ ถนนหนทางก็ว่างเปล่าหาคนเดินไม่ได้ มีแต่รถวิ่งกันไปมาไม่กี่คัน     สักสามทุ่มกว่าร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว  บ้านเมืองเงียบเหงา  ผู้คนไม่รู้จะเที่ยวไหน   หนุ่มสาวถ้ามีนัดกันก็ไปดูหนังกัน หรือกินไอศกรีมกันที่ร้านเล็กๆอย่างแดรี่ควีนซึ่งยังเปิดอยู่ 

เคยเป็นเจ้าภาพต้อนรับอาจารย์ฝรั่งของมหาวิทยาลัยที่มาวิจัยในประเทศไทย  พาเที่ยวกรุงเทพ   เขาอัศจรรย์ใจมากที่สองยามตีหนึ่งแล้วบ้านเรายังมีของกินอยู่ทุกถนน   แถมบรรยากาศยังคึกคักกันตลอดคืนเสียอีก


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 12, 16:40
ไปสำรวจในโฟลเดอร์  เลยเจอรูป downtown อีกรูปที่มีหลังคาเป็นดาดฟ้า กั้นลูกกรง ให้ขึ้นไปยืนไปเดินได้   
ข้างล่างเป็นร้านอาหาร

รูปนี้ถ่ายที่ใหนครับ ทิวทัศน์เหมือนกับเคยเข้าไปกินในร้านนี้  ;D
ถ่ายที่เมืองที่ดิฉันไปเรียนค่ะ    ถ้าคุณตั้งมาเที่ยวทางรัฐตะวันตกของอเมริกา โดยเฉพาะรัฐที่มีกลิ่นอายคาวบอย อย่างเทกซัส เนวาดา  อริโซน่า  ไวโอมิง  ยูท่าห์ มอนตานา(ซึ่งติดกับแคนาดา) อาจเห็นรูปร่างของอาคารบ้านเมืองคล้ายๆกัน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 เม.ย. 12, 19:59
ขอแยกเข้าซอยนิดเดียวครับ
พูดถึงเทกซัส ทำให้นึกถึง Long horn และซี่โครงของมันย่าง กินกับข้าวโพดต้มและมันเผา สุดๆเลยครับ

กลับเข้าถนนใหญ่อีกครั้ง
ผมไม่มีโอกาสเที่ยวไปทางซีกตะวันตก แต่ที่คุณเทาชมพูกล่าวนามรัฐต่างๆแถบ Rocky mountain ทำให้นึกถึงหลังคาแบบที่มีราวเหล็กสูงระหว่าง 5-10 ซม. ตลอดแนวชายคา เพื่อกันแผงหิมะบนหลังคาไม่ให้ไถลลื่นร่วงลงมา แถบนี้มีไหมครับ ???

 



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 12, 20:24
มีค่ะ เขาเรียก snow guards    แต่ดิฉันไม่เห็นชนิดเป็นราวเหล็ก  เห็นแต่เป็นอะไรคล้ายๆตะขอ  ติดตั้งบนหลังคาเพื่อยันเอาไว้  ไม่ให้หิมะหรือลูกเห็บที่ค้างอยู่บนหลังคา ร่วงลงมาบนหัวคนเวลาเปิดประตูออกจากบ้าน    เพราะหิมะหรือลูกเห็บที่จับแข็งอยู่บนหลังคา หนักพอๆกับหิน   ถ้ากระเทือน ร่วงลงมาก็หัวปูด


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 12, 20:41
ขอแยกเข้าซอยนิดเดียวครับ
พูดถึงเทกซัส ทำให้นึกถึง Long horn และซี่โครงของมันย่าง กินกับข้าวโพดต้มและมันเผา สุดๆเลยครับ

เมื่อก่อนนี้ชอบกินสเต๊กมาก   ในเมือง มีร้านสเต๊กอยู่ใกล้บ้าน ชื่อ Sirloin Steak House แค่เดินข้ามถนนไป  ก็เลยไปฝากท้องไว้ที่นั่นบ่อยๆ  ต่อมาตัดสินใจเลิกกินเนื้อวัว เลยอดจนบัดนี้ค่ะ
ไม่ทราบว่าในประเทศไทยมีเนื้อวัว longhorn ให้กินหรือเปล่า  ยังไงก็เอารูปมาให้รำลึกความหลังไปพลางๆก่อนนะคะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 12, 13:55
ที่เมืองนี้ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก  เพราะคนไทยประมาณ 90% ไปอยู่ก็เพื่อเรียนหนังสือ     คนที่ตั้งถิ่นฐานมักจะเป็นคนที่เรียนจบแล้วทำงานอยู่ที่นั่นไม่กลับบ้าน   บางคนก็แต่งงานกับคนอเมริกัน    
นักเรียนไทยเมื่อเรียนจบแล้วก็กลับบ้านมาทำงาน   เรื่องจะกลับไปเยี่ยมถิ่นเก่าเป็นเรื่องยาก     มันอยู่นอกเส้นทางเมืองใหญ่อย่างแอลเอ หรือนิวยอร์คอยู่มากจนเรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยง            จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีโอกาสได้กลับไปเยือนถิ่นเดิมอีก   เดินท่อมๆสำรวจบ้านช่องว่าเปลี่ยนไปมากไหม   ก็พบว่าหน้าตาบ้านทางตะวันตกที่ปลูกใหม่  ดูๆก็ไม่ฉีกแนวไปจากสมัยเรียนมากนัก  
ทำให้คิดว่าเทศบาลที่นี่คงจะควบคุมการออกแบบบ้านค่อนข้างเคร่งครัด    ไม่ปล่อยให้สร้างอะไรตามใจชอบ    

รูปบ้านข้างล่าง เป็นบ้านสร้างยุคมิลเลนเนียมและหลังจากนั้นค่ะ  คือตั้งแต ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 12, 14:21
เทียบกับบ้านที่สร้างในทศวรรษ 1980s  ก็ไม่ต่างกันเท่าไร


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 เม.ย. 12, 19:47
รู้สึกว่าจะมีต้น Birch อยู่หน้าบ้านด้วย ใช่ใหมครับ

ไม้นี้ให้กลิ่นหอมเมื่อใส่ในเตาผิงในบ้าน ดีกว่าไม้ชนิดอื่นๆ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 12, 20:51
น่าจะใช่ค่ะ     ในฤดูใบไม้ร่วง ใบมันเปลี่ยนสีเหลืองสดราวกับสีดอกคูณ 
ส่วนอีกชนิดหนึ่งชื่อแอสเพน   ใบเปลี่ยนเป็นสีทอง   ขึ้นอยู่บนเทือกเขา   เวลานั่งเครื่องบินข้ามเทือกเขาร็อคกี้มองลงไปข้างล่าง เป็นสีทองไปทั้งหุบเขา   คนจะขับรถขึ้นไปชมกันมาก

ข้างล่างนี้คือ เบิช (birch)


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 12, 20:56
ส่วนต้นนี้คือ Aspen   นอกจากเปลี่ยนสีเป็นทองในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว  ใบมันเบาคล้ายๆใบโพในบ้านเรา   เวลาลมพัดมันจะพลิกพลิ้วไปมา ต้องแดดเป็นสีทองระยิบระยับ  ทำให้ดงแอสเพนดูสวยมากเวลาถ่ายเป็นวิดีโอออกมา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 12, 21:52
ท่านที่เข้ามาอ่าน อาจจะเกิดคำถามในใจว่า บ้านเมืองในอเมริกาไม่มีใหม่กว่านี้แล้วหรือ     เสียแรงเป็นประเทศไฮเทคที่สุดในโลก
คำตอบก็คือมี
บ้านทันสมัยคนละแบบกับที่นำมาลงตั้งแต่ต้นกระทู้นี้ก็มีค่ะ   คือมีอยู่ในเมืองอื่นๆ  และบางทีก็เป็นบ้านพักอยู่บนภูเขา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 พ.ค. 12, 21:03
รอๆอยู่ครับ ว่าจะกล่าวถึงหลังคาทรงหัวหอม (Onion dome) บ้างใหม
หากผมกล่าวถึงเร็วไปก็ขออภัยด้วยครับ

ผมเห็นว่าหลังคาฝรั่งนั้น จะมีลักษณะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนระหว่างหลังคาบ้านของประชาชนคนปรกติกับโบสถ์ต่างๆ เหมือนของไทย ซึ่งของฝรั่งนั้นหลังคาหรือตัวอาคารโบสถ์ของแต่ละนิกายก็ยังไม่เหมือนกัน แถมในอเมริกาและในยุโรปก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ค. 12, 18:55
ในถิ่นเรียนของดิฉันไม่มีหลังคาทรงหัวหอม.    แต่หลังคาโดมซึ่งคล้ายๆป้อมหอคอยมีแยะ. เป็นบ้านวิคตอเรียน.   
ช่วงนี้ขอเป็นฝ่ายฟังคุณตั้งเล่าดีกว่าค่ะ   


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 พ.ค. 12, 21:38
แย่แล้ว  :o  มีความรู้แค่หางอึ่งเท่านั้นเองครับ

 :-X ขอเว้นวรรคไปต่างจังหวัดสักเจ็ดวันก่อนนะครับ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 12, 10:54
หลังคาหัวหอมของคุณตั้ง คงจะเป็นแบบ Grand Kremlin Palace ละมังคะ
ในรัฐนี้ไม่มีค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 12, 10:56
มีหลังคาอีกแบบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอนุโลมเข้าประเภทหัวหอมหรือเปล่า คือหลังคาแบบโดม คล้ายๆโดมธรรมศาสตร์
เป็นหลังคาที่พบได้มากในบ้านแบบวิคตอเรียน สร้างในปลายศตวรรษที่ 19 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 20
ปัจจุบันมันใหญ่เกินกว่าจะอยู่กันในครอบครัวเดียว   ก็มักจะทำเป็นโรงละคร   B&B  หรือหอพัก


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 12, 11:14
รัฐนี้เป็นรัฐที่มีจุดเด่นคือธรรมชาติ   ไม่ค่อยจะมีสถาปัตยกรรมใหญ่โต     คนไทยที่อยู่ที่นี่ได้นานๆโดยไม่เบื่อก็คือพวกนิยมธรรมชาติ   ว่างจากเรียนก็ขับรถขึ้นเทือกเขาร็อคกี้ไปชมทะเลสาบ   ชมภูเขา  ชมสัตว์ในวนอุทยานไปตามเรื่อง   
สัตว์ป่าที่เห็นๆก็มีกวางป่า  ซึ่งมีขนงอกออกมาหยิกอยู่บนหลังเหมือนเอาพรมในห้องน้ำไปพาดไว้   กินหญ้าอยู่ไกลๆ ไม่สนใจคนที่ไปชะเง้อชะแง้ส่องกล้องดูจากถนน   ท่าทางพวกมันเห็นคนจนเบื่อเต็มที   
ถ้าจะดูงานศิลปะต้องไปดูที่เมืองหลวง    หอศิลป์ของเขามีของดีให้ดูหลายอย่าง  แต่คงจะต้องเป็นอีกกระทู้ ไม่เกี่ยวกับหลังคา

แต่มีสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่เป็นหน้าเป็นตาของรัฐ    และเป็นหลังคาเสียด้วยค่ะ
สิ่งนั้นคือ chapel (น่าจะแปลว่าวิหาร)  ของโรงเรียนนายเรืออากาศของสหรัฐ  ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้   ห่างจากเมืองที่ดิฉันเรียน ขับรถไปราวๆ 3 ชั่วโมง   มีหลังคาซึ่งออกแบบวิจิตรพิสดารเหมือนกระดาษพับเป็นกลีบๆ  ไม่เคยเห็นซ้ำกับที่อื่น
เขาเปิดให้คนนอกเข้าไปชมได้   ไม่ได้ถือเป็นเขตทหารห้ามเข้า       


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 12, 11:17
พอเข้าไปข้างใน  แสงแดดส่องผ่านกระจกสีของหลังคา  ลงมาเป็นรุ้งหลากสี ทั้งชมพู ม่วง และฟ้า ละลานตา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ค. 12, 09:32
รูปแรกคือผนังด้านข้างของชาเปล  แต่งด้วยกระจกสี  ส่วนรูปที่สองคือหลังคาเมื่อแหงนมองจากข้างในค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 พ.ค. 12, 12:22
ชาเปลหลังคาสวยประทับใจแห่งนี้ใช้เป็นโบสถ์ที่ประกอบพิธีแต่งงานด้วย    เจ้าบ่าวก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล  คือพวกนายทหารอากาศ    นิยมกันมาทำพิธีกัน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 12, 20:17
หลังคาแบบโดม คล้ายๆพระที่นั่งอนันต์ เห็นอยู่แห่งเดียวคือศาลากลางของรัฐ ในเมืองหลวง     เรียกว่า State capitol   คำนี้อย่าเผลอไปสับสนกับคำว่า capital ที่แปลว่าเมืองหลวงนะคะ
ศาลากลางของรัฐในอเมริกามักจะออกแบบคล้ายคลึงกัน  เป็นอาคารใหญ่ยาวแผ่ออกไปเป็นปีกสองข้าง   ตรงกลางเป็นมุขยื่นออกไป  และมีหลังคาโดมอยู่ข้างบน    โดมออกแบบให้มีบันไดวนขึ้นไปถึงยอดสุด  เพื่อชมวิวเมืองกันได้   



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 12, 20:44
คุณตั้งเกริ่นไว้เรื่องหลังคาโบสถ์   เข้าใจว่าท่านคงจะคุ้นเคยกับโบสถ์ในยุโรปมากกว่าอเมริกา หรือถ้าเป็นอเมริกาก็แถวนิวอิงแลนด์ซึ่งมีกลิ่นอายอังกฤษสองสามศตวรรษก่อนอยู่มาก    
ส่วนรัฐที่ดิฉันอยู่เป็นรัฐคาวบอยมาก่อน   บ้านเมืองเพิ่งจะสร้างกันขึ้นมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19   โบสถ์เก่าย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นจึงไม่มี    เก่าสุดก็ประมาณ 1870s   ส่วนโบสถ์ใหม่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ตามการขยายตัวของเมือง

ดิฉันเคยไปเที่ยวดูโบสถ์ในอังกฤษ  รวมทั้งมหาวิหารแคนเทอเบอรี่ (Canterbury Cathedral)ที่ขึ้นชื่อด้วย    ดูหนักๆเข้าวันละสามสี่โบสถ์  สมองก็เลยรวมทุกโบสถ์เป็นโบสถ์เดียวกันหมด   ไม่ว่าโบสถ์ไหนมันก็มีประตูหน้าต่างโค้งแบบโกธิค    มีกระจกสีประดับเป็นลายภาพเกี่ยวกับคริสตศาสนา   ที่ขาดไม่ได้คือมีหีบศพโบราณวางประดับอยู่ในนั้น  หลังหีบมีหินอ่อนสลักตัวเจ้าของหีบซึ่งเป็นพระราชาบ้าง เจ้าชายบ้าง อัศวินคนใหญ่คนโตบ้าง นอนแข็งทื่อ  แต่งตัวเต็มยศ  บางหีบก็นอนคู่กันกับภรรยา    
เดินๆไปนิยายเรื่องผีที่เกี่ยวกับร่างหินอ่อนพวกนี้ลุกขึ้นมาได้ก็ลอยกลับมาหลอน    สรุปว่าดูแต่ละโบสถ์ได้ครั้งเดียว


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 12, 20:55
ตัวจริงเสียงจริงกลับมาแล้ว  ขอหลีกทางเข้าหลังโรงไปก่อน  ให้ท่านเล่าต่อค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ค. 12, 21:15
ขออนุญาตกลับเข้าห้องเสวนาครับ

ยังอยู่กับหลังคาแบบโดม ก็เลยจะขอกลับไปเรื่องของหลังคาทรงหัวหอม

หลังคาทรงหัวหอมทั้งหมด พบบนสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบสถ์วิหารและอาคารทางศาสนา (ผมเห็นว่าอย่างนั้นนะครับ) โดยทั่วไปจะเป็นโบสถ์ของคริสต์ Orthodox ดังเช่นที่เห็นในรัสเซียตามภาพที่เผยแพร่ในเอกสารต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วพบได้ทั่วไปในโบสถ์ที่เป็นคริสต์ Roman Catholic ด้วย โดยเฉพาะโบสถ์เก่าต่างๆในเยอรมัน ออสเตรีย และอิตาลีตอนเหนือ
ในเชิงของการกระจายตัว หลังคาทรงหัวหอมพบมากในพื้นที่ของยุโรปตะวันออกจนถึงพื้นที่ด้านตะวันออกของเยอรมันและออสเตรีย แล้วจะพบลดน้อยลงเป็นลักษณะกระจัดกระจายทั่วไปทางตะวันตก พบได้ในทุกประเทศทั้งยุโรปกลางและตะวันตก รวมทั้งในอังกฤษด้วย

ผมเห็นว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ และยังมีพัฒนาการในตัวเองอีกด้วย ลองดูภาพต่างๆในเว็บไซด์ตามที่แนบมานี้ซิครับ

 http://www.superstock.com/stock-photography/onion+dome (http://www.superstock.com/stock-photography/onion+dome)



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ค. 12, 21:53
มีหลังคาอีกแบบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอนุโลมเข้าประเภทหัวหอมหรือเปล่า คือหลังคาแบบโดม คล้ายๆโดมธรรมศาสตร์
เป็นหลังคาที่พบได้มากในบ้านแบบวิคตอเรียน สร้างในปลายศตวรรษที่ 19 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 20
ปัจจุบันมันใหญ่เกินกว่าจะอยู่กันในครอบครัวเดียว   ก็มักจะทำเป็นโรงละคร   B&B  หรือหอพัก

เป็นเรื่องของความคิดเห็นแบบไม่มีความรู้ เป็นการเดานะครับ

ผมคิดว่าหลังคารูปทรงตามภาพนี้ น่าจะมีต้นตอมาจากหลังคาทรงหัวหอมนะครับ ดัดแปลงกันต่อๆมา เช่นเดียวกับในยุโรปที่แทนที่จะเป็นทรงกลมมน ก็เป็นทรงกลมเหลี่ยมหลายหน้า เข้าใจว่าเกี่ยวกับการขาดช่างฝีมือ ความยากในการทำ และข้อจำกัดทางวัสดุมุง ในยุโรปเองหลายๆแห่งใช้แผ่นเหล็กแทนปูนและกระเบื้องก็มี ทรงกลมเองก็เห็นว่ามีแบบอ้วนป้อมสั้นและแบบผอมสูง ในที่สุดก็คงจะไปเป็นแบบแหลมเรียวตามลักษณะของโบสถ์คริสต์ Roman Catholic 

และที่คิดว่าน่าจะมีต้นตอมาจากหลังคาทรงหัวหอมก็เพราะว่า เท่าที่ได้เคยสนทนากับฝรั่งหลายคน พื้นที่ใต้หลังคาทรงกลมนี้คือพื้นที่เหมือนห้องพระบ้านเรา แต่ก็คงจะไม่จริงเสมอไปครับ ผมเห็นเป็นพื้นที่ของบันไดขึ้นลงแบบวนก็มีมาก ใช้เป็นห้องกิจกรรมอื่นๆก็มาก (นั่งเล่น ทานอาหาร รับแขก)



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 18:59

และที่คิดว่าน่าจะมีต้นตอมาจากหลังคาทรงหัวหอมก็เพราะว่า เท่าที่ได้เคยสนทนากับฝรั่งหลายคน พื้นที่ใต้หลังคาทรงกลมนี้คือพื้นที่เหมือนห้องพระบ้านเรา แต่ก็คงจะไม่จริงเสมอไปครับ ผมเห็นเป็นพื้นที่ของบันไดขึ้นลงแบบวนก็มีมาก ใช้เป็นห้องกิจกรรมอื่นๆก็มาก (นั่งเล่น ทานอาหาร รับแขก)

ลองสำรวจดูว่าห้องใต้หลังคาทรงโดมใช้ทำอะไรบ้าง  ก็อย่างที่คุณตั้งว่า คือหลากหลายขึ้นอยู่กับเนื้อที่ห้อง และลักษณะอาคารว่าใช้ทำอะไร
อาคารใหญ่ห้องก็ใหญ่  พื้นที่กว้าง ใช้เป็นห้องประชุม ห้องดินเนอร์ ฯลฯ   อาคารเล็กอย่างบ้าน ห้องใต้โดมก็เป็นห้องนอน ทำนองเดียวกับห้องใต้หลังคา

ที่ไปหามาประกอบค.ห.คุณตั้ง ซ้ายบน คือห้องใต้โดมในทำเนียบขาว เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ค่ะ   



กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 พ.ค. 12, 21:17
.........สรุปว่าดูแต่ละโบสถ์ได้ครั้งเดียว

เรื่องชมโบสถ์นั้น ผมก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษเช่นกันครับ
ที่โฉบไปเที่ยวไปเห็นนั้นเป็นด้วยสาเหตุอื่น อีกประการหนึ่งคือ เนื่องจากอยู่ประจำการนาน ขับรถเอง จึงใช้เวลาของวันหยุดขับรถเที่ยวตะลอนๆไป    ชอบ (ไม่ใช่โบสถ์หรือสำนักสงฆ์นะครับ) เพราะในละแวกหมู่บ้านที่มีอาคารหลังคาทรงหัวหอมนี้ (อย่างน้อยก็ในยุโรป) มีของดีๆอยู่มาก อาหารพื้นบ้านที่อร่อยๆหากินไม่ได้ในร้านอาหารในเมือง ไวน์ดีๆ ผลไม้สดๆรสชาติดีๆ วิวสวยๆ และของเก่าที่น่าสะสม เหล่านี้เป็นต้น อีกประการหนึ่งที่ชอบ  ก็เพราะการเป็นคนแปลกหน้า ชาวบ้านจะให้ความช่วยเหลืออย่างดีในทุกๆด้าน เขาก็อยากจะอวดของดีๆทั้งหลายของเขา ทั้งลดราคา ทั้งแถม ทั้งแจก ฯลฯ  ผมก็ไปเที่ยวด้วยภาษามือ รู้อยู่ไม่กี่คำหรอกครับ พอฟังพออ่านเข้าใจได้เป็นคำๆไป แล้วก็เดาเอาความทั้งประโยค   จะว่าไปวิชาที่ผมเรียนนี้ก็ดีนะครับ รู้ศัพท์ทางเทคนิคและศัพท์ปรกติที่ใช้ประจำวันที่มีความหมายทางเทคนิค ซึ่งมีที่มาจากหลายแหล่งภาษา ทำให้เดาได้ง่ายมากขึ้น บ่อยครั้งที่ต้องอ่านคำอธิบายสามภาษา (เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเสศ) เอาความมารวมกันจึงพอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

ทำให้นึกขึ้นได้ว่า หลังคาแบบฝรั่งในยุโรป โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นั้น ส่วนมากเป็นของสร้างใหม่ (เนื่องจากถูกทำลายหรือเสียหายในช่วงสงครามโลก) ตามแปลนเดิม ของพื้นบ้านจริงๆจึงต้องไปดูในชนบท ซึ่งที่ผมเห็นว่าที่สร้างมาเก่าแก่จริงๆก็คือโรงนา

 


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 21:50
ขอย้อนมาเล่าเรื่องโบสถ์ในเมือง ที่อเมริกาอีกหน่อยนะคะ

โบสถ์ในเมืองที่ดิฉันรู้จักมีหลายแบบ     ถ้าหากว่าเป็นโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๙  ก็มีหน้าตาชัดเจนให้รู้ว่าเป็นโบสถ์    อย่างในรูปข้างล่างนี้   มีทั้งโบสถ์ใหญ่โบสถ์เล็ก   โบสถ์ใหญ่ก็อยู่ในเมือง โบสถ์เล็กอยู่ตามหมู่บ้านเล็กๆนอกเมือง  บางทีก็เล็กจนมีห้องเดียวสำหรับเทศน์เท่านั้น


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 21:54
นี่คือโบสถ์ของนิกายเพรสไบทีเรียน  ดูจากหลังคาที่ทำเป็นป้อมเหมือนยุคกลาง ก็ได้กลิ่นอายของยุโรปแถวอังกฤษมาเห็นๆกัน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 12, 22:10
แต่โบสถ์ในเมืองนี้มีทั้งของเก่าของใหม่    รูปทรงก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย    ไม่ตายตัวค่ะ
บางแห่งก็ออกแบบให้รู้ว่าเป็นโบสถ์โดยยังมีเค้าของเดิมแต่ดัดแปลงให้ทันสมัย     บางแห่งก็แทบแยกไม่ออกว่าต่างจากอาคารอื่นเช่นโรงเรียนหรือสำนักงานที่ตรงไหน   ที่รู้ก็เพราะมีไม้กางเขนประดับเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
บางแห่งก็เช่าหรือซื้อบ้านชาวบ้านเอาไว้ ทำเป็นโบสถ์ มีแต่ป้ายเท่านั้นบอกให้รู้ว่าไม่ใช่บ้านผู้คนทั่วไป

ดิฉันเป็นชาวพุทธที่เดินเข้าไปได้ทุกโบสถ์ แล้วแต่ว่าเจ้าของบ้านที่เช่าอยู่ หรือเพื่อนฝูงหรือที่เรียนด้วยกันจะชวนไปที่ไหน    ก็เลยมีโอกาสไปฟังเทศน์ฝรั่งอยู่หลายครั้งด้วยกันในวันอาทิตย์    โบสถ์ส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นโปรแตสแตนท์  มีคาธอลิคด้วยก็จริงแต่เป็นส่วนน้อย    นักเทศน์ที่ดิฉันไปฟังเป็นพวกโปรแตสแตนท์  เรียกว่าเป็น preacher  ไม่ใช่ priest     คือไม่ใช่บาทหลวงอย่างคาทอลิค    แต่เป็นผู้สอนศาสนา  ทำงานแบบเดียวกับหมอบรัดเลย์ที่ชาวเรือนไทยคงคุ้นชื่อกันดี    มีครอบครัวลูกเมียได้อย่างฆราวาส  
เวลาเทศน์   ท่านก็เตรียมหัวข้อล่วงหน้าเอาไว้ตั้งแต่วันก่อนหน้า    คือเอาคำสอนบทใดบทหนึ่งในพระคัมภีร์มาขยายความ ยกตัวอย่าง ให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ  เป็นการอบรมสั่งสอนเตือนใจให้ผู้คนยึดมั่นศรัทธาในศาสนา ไม่ออกนอกลู่นอกทางไปไหน   เด็กๆที่ตามพ่อแม่ไปโบสถ์ก็จะได้ซึมซับไปด้วย

แต่อเมริกาเป็นประเทศที่ยึดเสรีภาพเป็นหลัก  นอกจากเสรีภาพในการนับถือศาสนาใดนิกายหรือลัทธิใดก็ได้โดยอิสระแล้ว  ยังมีเสรีภาพที่จะไม่นับถือศาสนาไหนเลยก็ได้เหมือนกัน
ในยุคที่ไปเรียนก็มีหนุ่มสาวจำนวนมากไม่นับถือศาสนา  คือไม่เข้าโบสถ์ไหนเลย  

บางครั้งโบสถ์ก็เป็นที่จัดกิจกรรมอื่น เช่นดนตรีคลาสสิคด้วย นอกเหนือจากเทศน์   บรรเลงกันตอนกลางคืน     ไปงานเลี้ยงตอนหัวค่ำเสร็จก็ชวนกันไปฟังดนตรีคลาสสิคต่อในโบสถ์      ฝรั่งโดยเฉพาะอาจารย์มหาวิทยาลัยชอบฟังดนตรีคลาสสิคมาก     แต่คนไทยฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม ถึงกับสัปหงกลงไปไม่รู้ตัว


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 12, 18:03

ที่โฉบไปเที่ยวไปเห็นนั้นเป็นด้วยสาเหตุอื่น อีกประการหนึ่งคือ เนื่องจากอยู่ประจำการนาน ขับรถเอง จึงใช้เวลาของวันหยุดขับรถเที่ยวตะลอนๆไป    ชอบ (ไม่ใช่โบสถ์หรือสำนักสงฆ์นะครับ) เพราะในละแวกหมู่บ้านที่มีอาคารหลังคาทรงหัวหอมนี้ (อย่างน้อยก็ในยุโรป) มีของดีๆอยู่มาก อาหารพื้นบ้านที่อร่อยๆหากินไม่ได้ในร้านอาหารในเมือง ไวน์ดีๆ ผลไม้สดๆรสชาติดีๆ วิวสวยๆ และของเก่าที่น่าสะสม เหล่านี้เป็นต้น อีกประการหนึ่งที่ชอบ  ก็เพราะการเป็นคนแปลกหน้า ชาวบ้านจะให้ความช่วยเหลืออย่างดีในทุกๆด้าน เขาก็อยากจะอวดของดีๆทั้งหลายของเขา ทั้งลดราคา ทั้งแถม ทั้งแจก ฯลฯ  ผมก็ไปเที่ยวด้วยภาษามือ รู้อยู่ไม่กี่คำหรอกครับ พอฟังพออ่านเข้าใจได้เป็นคำๆไป แล้วก็เดาเอาความทั้งประโยค   จะว่าไปวิชาที่ผมเรียนนี้ก็ดีนะครับ รู้ศัพท์ทางเทคนิคและศัพท์ปรกติที่ใช้ประจำวันที่มีความหมายทางเทคนิค ซึ่งมีที่มาจากหลายแหล่งภาษา ทำให้เดาได้ง่ายมากขึ้น บ่อยครั้งที่ต้องอ่านคำอธิบายสามภาษา (เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเสศ) เอาความมารวมกันจึงพอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

ทำให้นึกขึ้นได้ว่า หลังคาแบบฝรั่งในยุโรป โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นั้น ส่วนมากเป็นของสร้างใหม่ (เนื่องจากถูกทำลายหรือเสียหายในช่วงสงครามโลก) ตามแปลนเดิม ของพื้นบ้านจริงๆจึงต้องไปดูในชนบท ซึ่งที่ผมเห็นว่าที่สร้างมาเก่าแก่จริงๆก็คือโรงนา

สนใจ อยากฟังว่าคุณตั้งมีประสบการณ์อะไรที่ประทับใจบ้าง กับอาหารพื้นบ้าน  ไวน์ ผลไม้ และวิว กับของเก่าที่น่าสะสมค่ะ  ดิฉันก็เคยตระเวนไปในชนบทอังกฤษเหมือนกัน    แต่ในอังกฤษนั้นไม่ว่าเมืองไหนก็มีร้านอาหารไทย  เลยไม่ค่อยได้กินอาหารอังกฤษ(ซึ่งไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว)

ส่วนเรื่องโรงนา  ในอเมริกาพอมีให้เล่าบ้างเล็กน้อย   รอคุณตั้งเล่าเรื่องอื่นๆก่อน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 15 พ.ค. 12, 20:04
หาภาพหลังคามาเสริมค่ะ ที่ฮังการี ตึกสีขาวริมแม่น้ำดานูบเป็นรัฐสภาที่สวยงาม

อีกหน่อยเราจะมีรัฐสภาใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (เกียกกาย )หรือเปล่าไม่ทราบ

และโบสถ์แมสทิส (ถ้าจำชื่อไม่ผิด )มีกระเบื้องสีที่โด่นเด่นมากค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 พ.ค. 12, 21:38
สังเกตไหมครับว่า อาคารหรือสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ มักจะมียอดแหลมเป็นองค์ประกอบร่วมอยู่ด้วยเสมอ

หลังคาแบบฝรั่งนั้น ผมยังเห็นว่าสามารถแยกออกไปได้อีกเป็นสำหรับอาคารพาณิชย์และที่เป็นบ้านเรือน
อาคารที่สร้างขึ้นเพื่อการพาณิชย์นั้นมักจะมีหลังคาแบบแบนราบ หรืดเกือบจะราบเรียบ กรณีแบนราบจะเป็นหลังคาคอนกรีต แต่หากมีการยกจั่วเตี้ยๆหรือเป็นทรงหมาแหงนก็จะมุงด้วยแผ่นยางสัังเคราะห์
สำหรับบ้านเรือนนั้น หลังคาแบบแบนราบมีค่อนข้างน้อย เกือบทั้งหมดจะเป็นแบบมีจั่ว และมักจะมีมากจั่วอีกด้วย ซึ่งหากเป็นทรงจั่วสูงก็หมายความว่าจะมีการสร้างห้องนอน หรือที่เก็บของไว้ใต้หลังคา  นอกจากนั้นแล้วยังค่อนข้างจะนิยมมุงหลังคาด้วยแผ่นยางสังเคราะห์อีกด้วย   แม้กระทั่งอาคารที่สร้างเป็น Hometown หรือ Condominium ก็ยังขอแฝงให้ปรากฏว่าหลังคามีจั่ว

หรือจะเป็นนัยว่า A house นั้น หลังคาจะต้องมีจั่ว ???

อีกประการหนึ่ง อาคารพาณิชย์มักจะมีโครงสร้างหลักเป็นปูนและเหล็ก (ผนังและหลังคา) ในขณะที่บ้านเรือนมักจะเป็นโครงสร้างไม้ที่มีการบุด้วยฉนวน 

 


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 12, 22:03
ขอแยกซอยเล็กๆ ไปหน่อยค่ะ
สมัยที่ดิฉันไปเรียน  ในเมืองยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า condo   สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวหลังกะทัดรัด   มีบ้านใหญ่ของเศรษฐีอยู่บ้างในถนนสายใหม่ๆ      แต่พอกลับไปอีกครั้ง เมืองขยายออกไปจนชนกับเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้เคียง  ถ้าไม่มองป้ายที่ปักอยู่ว่าเป็นชื่อเมืองอีกเมือง ก็จะนึกว่าเป็นเมืองเดียวกัน
ส่วนที่เคยเป็นทุ่งนาและไร่ข้าวโพดนอกเมืองก็กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร    เรียกอย่างนี้เพราะมันทำให้นึกถึงกรุงเทพและปริมณฑลอยู่มาก     บ้านใหม่ที่สร้างมีเนื้อที่แคบๆ คงเป็นเพราะราคาที่ดินแพงขึ้นลิบลิ่ว  บางแห่งมีรั้วหันหลังชนกันเหมือนหมู่บ้านชานเมืองของเราไม่มีผิด 
และเกิดมีที่พักอาศัยอีกแบบหนึ่ง เขาเรียกว่า condo หรือ town home  ไม่ได้เรียกว่า town house อย่างอังกฤษและไทยเรียก 
คอนโดของที่นั่น น่าจะตรงกับที่ไทยเรียกว่าอพาร์ตเม้นท์  หรือบางแห่งก็หน้าตาออกไปทางทาวน์เฮาส์      แต่ไม่มีอะไรเหมือนคอนโดศุภาลัยหรือคอนโดลุมพินีอย่างบ้านเรา    คงจะมีกฎหมายควบคุมมิให้สร้างสูงเกินไปจนเกะกะเป็นมลพิษแก่สายตา สำหรับเมืองที่ตั้งอยู่กลางทุ่งกว้าง   แต่ในเมืองหลวงของรัฐ  มีอาคารสูงแหงนคอตั้งบ่ากันทั้งเมือง

ข้างล่างนี้คือคอนโดทั้งหมด    หลังคามักเป็นจั่วแบบที่คุณตั้งตั้งข้อสังเกตไว้    ทำไมก็ไม่ทราบ อาจเป็นเพราะมันสร้างความรู้สึกว่าเป็นบ้านอยู่อาศัย  ไม่ใช่หลังคาราบๆแบบอาคารพาณิชย์ที่ทำให้รูปทรงตึกดูแข็งทื่อกว่าละมัง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 12, 22:07
ยังไม่ถึงหลังคาโรงนาจนแล้วจนรอด   เอาไว้โอกาสหน้าค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 พ.ค. 12, 22:22
ว่าเขียนเป็น town home แล้วนะครับ ผมกลับกลายเป็น hometown เสียฉิบ คนละความหมายกันเลยครับ

ขออภัยจริงๆ สมองผมนี่เริ่มกลับทิศเสียแล้วหรืออย่างไร ?


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 12, 22:22
นี่คือออฟฟิศแห่งหนึ่งในดาวน์ทาวน์ของเมือง   แม้ออกแบบคล้ายโมเต็ล ที่พักแรม  แต่หลังคาก็ยังดูเป็นอาคารพาณิชย์อยู่นั่นเอง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 พ.ค. 12, 19:27
ตอนนี้จะเกริ่นเรื่องโรงนาของฝรั่ง เพื่อจะได้รับฟังเรื่องราวต่อไปจากคุณเทาชมพู

ผมเรียนอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกตอนใต้ ท่องเที่ยวอยู่ในเขต Appalachian ตลอดชายฝั่ง ไปตามเมืองเล็กๆตามเส้นทางถนนที่เรียกว่าถนนหลังบ้าน (back alley road) เมื่อมีโอกาสว่างจากการเรียน จะไปกับเพื่อนฝรั่งที่ชอบหาเวลาไปชมงานที่เมืองเล็กๆตามถนนเหล่านั้นจัดขึ้นเป็นประจำปี ผมชอบเพลงแบบ country และ bluegrass อีกด้วย รวมทั้งเพลงที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีแปลกๆ เช่น Dulcimer และขิม (hammer dulcimer) ที่เล่นเพลงแบบ folk music จึงได้มีโอกาสทั้งได้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้าน ได้ฟังดนตรี ได้กินของอร่อย ได้เห็นเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ฯลฯ รวมทั้งเห็นบ้านของชาวบ้านที่จน ที่มีฐานะปานกลาง และที่รวย และโรงนาของฝรั่งในอีกรูปแบบและในอีกมุมมองหนึ่ง คิดว่าตัวเองโชคดี เนื่องจากว่าในสมัยที่ผมอยู่นั้น KKK ก็ยังแรง พวก red neck หรือ rough neck ก็ยังแรง (ไปถึงแถบนอกเมืองชิคาโกก็ยังมี) ก็ด้วยเพื่อนชาวอเมริกันนี้เองที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าที่น่าสนใจจะเข้ามาสนทนาเรียนรู้ด้วยความเป็นมิตร เชื่อใหมครับว่า แรงและเข้มข้นมากพอที่จะคิดว่าเราเป็นพวกหลังเขาบ้านป่าเมืองเถื่อน ผมยังจำคำถามแรกๆที่คนเหล่านี้มักถามเพื่อนผมได้เลยว่า เขาพูดภาษาได้ใหม เขากินอย่างเราหรือเปล่า เขาอยู่อย่างไร  คิดดูเอาเองนะครับว่าจะน่ากลัวเพียงใดในกรณีที่เดินท่องเที่ยวไปคนเดียว 

เกริ่นมาเสียนาน

โรงนาของฝรั่งที่ผมเห็นนั้น คงพอจะแยกออกได้เป็นสองลักษณะ คือ เป็นโรงนาเดี่ยวแยกเป็นอิสระ และโรงนาที่มีลักษณะเป็นบ้านเก่าแบบที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นลักษณะของ log cabin    ทั้งหมดจะเป็นหลังคาแบบมีจั่ว และความลาดเทของหลังคาไม่ชันนัก

สำหรับโรงนาเดียวที่แยกเป็นอิสระนั้น ผมเห็นว่าเป็นโรงนาที่สร้างขึ้นในยุคหลัง มีทั้งแบบชั้นเดียวและสูงสองชั้น โรงนาชั้นเดียวนั้นมักจะใช้เป็นที่เก็บเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการทำการเษตร (คันไถ รถคราด ฯลฯ) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้กระดานซึ่งตีฝากระดานในแนวตั้ง ที่ผมเห็นว่าเป็นยุคหลังนั้นก็เพราะว่า ถิ่นทางตะวันออกนี้เป็นถิ่นบุกเบิก ตั้งรกรากกันแล้วก็จะต้องพอมีฐานะแล้วจึงจะสร้างแยกออกไปจากบ้าน ซึ่งสำหรับแบบสองชั้นนั้น ชั้นล่างมักจะใช้ให้เป็นที่นอนของสัตว์เลี้ยง
สำหรับโรงนาแบบบ้าน หรือแบบ log cabin นั้น ที่เป็นแบบ log cabin จริงๆนั้นไม่ค่อยจะเห็นแล้ว ฟังเขามาว่าเป็นของเก่าจริงๆ  เป็นลักษณะของบ้านแบบในยุคบุกเบิก ซึ่งที่ด้านหนึ่งของด้านจั่วหลังคามักจะมีปล่องควันไฟ     log cabin คงจะเป็นบ้านแบบเก่าที่สุด เนื่องจากโดยนัยแล้วก็คือความแข็งแรงที่ต้องการสำหรับป้องกันการบุกรุก มีทั้งแบบสร้างโดยใช้ซุงทั้งต้นหรือใช้ซุงครึ่งต้น ซึ่งเมื่อผนวกวิธีการเข้าไม้และการใช้หินก่อเป็นองค์ประกอบด้วยแล้วก็พอสามารถจะโยงไปถึงแหล่งความเชื่อและที่มาว่าเป็นพวกอพยพมาจากยุโรปย่านใดประเทศใด  สำหรับบ้านที่ไม่ได้สร้างแบบ log cabin นั้น นัยว่าเมื่อมีฐานะดีขึ้นก็สร้างบ้านใหม่แล้วใช้บ้านเก่านี้ใว้เก็บของเครื่องใช้ต่างๆ คือ ใช้เป็นโรงเก็บของ

ข้อสังเกตประการหนึ่งที่พอจะเห็นก็คือ ที่มีจุดประสงค์จะสร้างเป็นโรงนาจริงๆนั้น ฝาไม้กระดานนั้นมักจะตีอยู่ในแนวตั้ง โรงนาที่เป็นบ้านเดิมนั้นฝาไม้กระดานจะตีในแนวนอน    ก็อาจจะมีข้อยกเว้นโดยเฉพาะในยุโรป หากโรงนาตีฝาไม้กระดานในแนวนอน ซึ่งมักจะเป็นแบบสองชั้น แถมมีหน้้าต่างอีกด้วย โรงนาแบบนี้ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช้เป็นที่เก็บของ
   


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 พ.ค. 12, 19:51
พอเริ่มเข้าใจในเรื่องนี้ แ่อ่นแอ้น..เดาต่อไปได้เลยว่าน่าจะมีของดีอะไรกันบ้างในถิ่นนั้น
 
ในเชิงของของแปลก  ตามปรกติแล้วในพื้นที่เหล่านี้จะมีงานที่ผมเรียกว่างานวัด คงพอจะเดาออกนะครับว่างานวัดนั้นมีอะไรแปลกๆบ้่าง
ในเชิงของของเก่า นอกจากงานวัดแล้วก็จะมี garage sale เหมือนกับในเมือง ซึ่งมีของเก่าเก็บนำออกมาขายหลายประเภท
ในเชิงของอาหาร สำหรับผม โดยพื้นฐานแล้วอเมริกันอยู่ในวัฒนธรรมข้าวโพด จึงมีอะไรมากมายเกี่ยวกับข้าวโพดทั้งของคาวของหวาน    อยู่ในวัฒนธรรมปิ้งย่าง หรือ BBQ (ยกตัวอย่างซี่โครงย่างที่หมักด้วยเครื้่องผง มิใช่ซอส)   อยู่ในวัฒนธรรมอาหารแบบ Casserole และสตูว์    ซึ่งทั้งหมดก็คือ homemade recipes ทั้งหลาย
ในเชิงของความรู้  คนอเมริกันมีนิสัยอ่านและซื้อหาหนังสือมากพอควรเลยทีเดียว พวกแม็กกาซีนเช่น Popular science เก่าๆและอื่นๆก็พอหาได้

ฯลฯ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 20:56
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่ารัฐที่ดิฉันไปเรียนอยู่ทางตะวันตก   พื้นที่เป็นภูเขาสลับกับทุ่งกว้าง    เทือกเขาร็อคกี้เป็นแหล่งกำเนิดแร่หลายชนิด รวมทั้งทองคำด้วย(ในอดีต)   จึงเป็นเหตุให้เกิดเหมืองแร่ขึ้นมาจำนวนมาก   นักขุดทองในความหมายว่าขุดทองจริงๆ ก็แห่กันมาสร้างความร่ำรวยกันในเหมืองมาตั้งแต่ก่อตั้งเป็นรัฐขึ้นมาใหม่ๆ      เดี๋ยวนี้แร่ไม่เหลือแล้ว หรือถ้ามีก็น้อย    เมืองต่างๆที่เกิดขึ้นมาได้เพราะเหมืองจึงกลายเป็นเมืองร้างก็แยะ   ลดขนาดเป็นเมืองเล็กก็มาก    และทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ดูก็หลายแห่ง

ความที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมืองแร่  จึงมีมหาวิทยาลัยดังอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า (ชื่อรัฐ) School of Mines  สอนทางสาขาที่เกี่ยวกันนี้ รวมทั้งธรณีวิทยาด้วย

แต่พอลงจากภูเขามาถึงพื้นที่ราบ   แถวนี้ไม่มีแร่อย่างบนภูเขา กลายเป็นแหล่งปศุสัตว์และเกษตรกรรม     ชาวรัฐนี้มีเนื้อวัวเนื้อไก่กินกันอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งนมเนยต่างๆ มีกันเหลือเฟือ    ข้าวโพดข้าวสาลีและผักผลไม้หลายชนิดก็มีให้กิน   แต่ว่าผักค่อนข้างแพง  เนื้อถูกกว่า    อาหารฟาสต์ฟู้ดมีให้กินทุกหัวระแหง
เมื่อกินดีอยู่ดี   ชาวบ้านจึงตุ้ยนุ้ยกันอย่างน่าตระหนกตกใจ     อย่างในเมืองที่อยู่นี้  เวลาไปจ่ายของ สวนทางกับคุณปู่คุณตาทั้งหลาย   ไม่มีคนไหนเลยที่หนักน้อยกว่า 200 ปอนด์   เผลอๆอาจจะ 250 up   เพราะคนอเมริกันหุ่นสูงใหญ่เกินหกฟุต  สะสมไขมันและแป้งอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มหุ่นสะโอดสะองมาจนอายุ 70 กว่าๆ  น้ำหนักจะไม่ถึงขนาดนี้ยังไงไหว  

ขอย้อนกลับมาที่โรงนา
เกษตรกรที่รัฐนี้ตรงกันข้ามกับชาวไร่ชาวนาบ้านเรา   คือใครมีไร่นาถือว่ารวย    พวกนี้ขับคาดิลแลคกันเป็นว่าเล่น   และที่เท่กว่านั้นคือมีเครื่องบินส่วนตัวลำเล็กๆหน้าตาคล้ายเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1  ไว้ขับจากฟาร์มมากินอาหารเช้าต่างเมือง  ที่สนามบินเล็กๆนอกเมืองนี้       ดิฉันเคยไปนั่งในร้านอาหารของสนามบิน  ไม่ใช่อยากไปกินอาหาร แต่เพื่อมองผ่านกระจกออกไปจะเห็นนกเหล็กลำน้อยๆค่อยๆร่อนลงจอดบนสนามบินนอกอาคาร   สลับกับลำที่เจ้าของกินเสร็จแล้วก็บินขึ้นไปบนฟ้า  กลับไปที่ฟาร์มของเขา  
เครื่องบินที่ร่อนขึ้นและลงอย่างนิ่มนวลเหมือนของเด็กเล่น โชว์ฝีมือคนขับได้น่าดูมาก     เขาทำกันเป็นของเท่แบบปกติ    


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 21:04
รัฐทางตะวันตกเป็นรัฐเกิดใหม่  ส่วนทางตะวันออกที่คุณตั้งเคยเรียนเป็นรัฐเก่าแก่     ผู้คนอพยพจากตะวันออกมาตะวันตก ถึงที่นี่ก็หยุดกันเพื่อปักหลักทำไร่ไถนา   บ้านนายุคแรกๆจึงมีโรงนาอยู่ด้วย    เท่าที่หลงเหลือซากมาถึงทุกวันนี้มักเป็นโรงนาที่แยกคนละแห่งกับบ้านอยู่อาศัย      ใช้ทั้งเก็บเครื่องไม้เครื่องมือและเป็นคอกสัตว์ เช่นม้า วัว หมู ไก่ 

โรงนาพวกนี้มีหน้าต่างนิดเดียว  นอกจากประตู  เนื่องจากอากาศหนาว   ยิ่งในหน้าหนาวด้วยแล้วต้องป้องกันลมหนาวและหิมะให้มากที่สุด เพราะสัตว์จะต้องอยู่ในนั้นติดต่อกันหลายเดือน  ออกไปข้างนอกไม่ได้    จะก่อไฟใส่ฟืนให้อบอุ่นไม่ได้เป็นอันขาด  เพราะฟางและไม้จะกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ม้าวัวหมูไก่กลายเป็นบาร์บิคิวไปหมด     เวลาเจ้าของมาทำงานในโรงนาก็ต้องทำกันในความมืดสลัว  หิ้วตะเกียงเข้ามาไม่ได้    สัตว์จึงต้องอยู่กันท่ามกลางกองฟาง และหญ้าแห้ง อาศัยความอุ่นจากไอตัวมันเอง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 12, 21:10
ข้างล่างนี้เป็นโรงนาแบบโอ่โถง  เก็บได้ทั้งล้อเลื่อน  เครื่องมือ และสัตว์เลี้ยง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ค. 12, 18:30
ข้างล่างนี้เป็นโรงนาแบบโอ่โถง  เก็บได้ทั้งล้อเลื่อน  เครื่องมือ และสัตว์เลี้ยง

รูปทางซ้ายมือเป็นทรงหลังคาแบบธรรมดา ไปค้นหาชื่อมาได้เรียกว่าทรง Gable ส่วนรูปทางขวามือเป็นทรงหลังคาที่เรียกว่า Gambrel   รูปที่คุณเทาชมพูนำมาแสดงนี้เป็นโรงนาในสมัยปัจจุบัน ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมโรงนาในสมัยนี้ยังคงใช้ไม้หรือวัสดุในแนวตั้งสำหรับผนัง ต่างกับผนังของตัวบ้านที่จะอยุ่ในแนวนอน คงจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอะไรสักอย่างหนึ่ง

ด้วยความรู้สึกส่วนตัวของผมเอง ผมเห็นว่าเมื่อใดที่พบเห็นโรงนาที่มีหลังคาแบบ Gambrel จะให้ความรู้สึกว่าเป็นฟาร์มที่ให้กลิ่นอายของความเป็นที่ร่มเย็น ปลอดภัยและสุขสบาย และก็คงเป็นความรู้สึกที่ผู้คนทั่วไปรับรู้ได้ จึงเป็นลักษณะของหลังคาแบบหนึ่งที่นำไปใช้ในการสร้างบ้านเรือน ซึ่งจะให้กลิ่นอายของความเป็นชนบท ความเป็นครอบครัวที่อบอุ่น และความรู้สึกที่ผ่อนคลาย   พวกร้านอาหารและโรงเบียร์ที่อยู่นอกเมืองจึงมักจะสร้างอาคารในรูปทรงนี้ แล้วส่วนมากก็สุขสบายใจจริงๆ มีอาหารง่ายๆพวกที่เรียกว่า homemade มีเบียร์หรือไวน์พื้นบ้าน ผู้คนทั้งฝ่ายเจ้าของและลูกค้ามีความเป็นกันเองสูงมาก ทุกคนผ่อนคลาย ที่จอดรถสะดวก เดินชมพื้นที่ได้   
สำหรับในยุโรปในพื้นที่ๆเป็นชนบทจริงๆ ซึ่งเป็นลักษณะของชาเลย์ (ผสมกับโรงนา) ก็คือสภาพเหมือนนั่งอยู่ในสวนหลังบ้านของเราเอง อาหารเบาๆง่ายๆไม่กี่อย่างเหมือนกับแกล้ม เสริฟเองยกเอง   ผมเห็นว่าในไทยก็มีสถานที่หลายแห่งน่าจะทำได้ในลักษณะนี้ เสียแต่ว่านักท่องเที่ยวชาวไทยค่อนข้างจะถือศักดิ์ (Hierarchy) แสดงความเป็นเจ้าขุนมูลนาย มุ่งเรื่องของการบริการมากไป และติดกับอยู่กับแบบแผนมากไป       


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 19:03
ภาพซ้ายคือโรงนาที่มีหลังคาแบบ Gambrel   ส่วนภาพขวาเป็นบ้านนา หลังคาแบบ Grambrel เช่นกัน   โครงสร้างเหมือนโรงนา แต่ว่ามีส่วนเสริมต่อออกมาเป็นบ้าน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 19:13
ทางรัฐตะวันตก  มีโรงนาเก่าๆจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว   แต่ชาวบ้านก็ไม่ได้รื้อไม้ทิ้งไป   เขาเอาโครงและฝาที่ยังดีอยู่มาสร้างคร่อมสะพานเล็กๆ      ดิฉันเคยเห็นอยู่หลายแห่ง  ทั้งของจริง ภาพถ่ายและภาพวาด
ทีแรกก็สงสัยว่าเขาเอาโรงนามาคร่อมสะพานทำไม   มองๆดูเหมือนสะพานอยู่ในโรงนา     ต่อมา เดาว่าคงเป็นวิธีรักษาสะพานไว้ไม่ให้ชำรุดทรุดโทรมจากแดดฝนเร็วเกินไปละมัง    เพราะสะพานพวกนี้เป็นสะพานไม้เล็กๆสร้างพาดข้ามลำธารหรือแม่น้ำแคบๆ   อาจจะผุกร่อนง่าย


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 19:35
สะพานที่มีหลังคาคร่อมแบบนี้ เรียกว่า covered bridge ค่ะ
ความสวยงามของโรงนาเก่า บวกกับเส้นทางถนนเล็กๆที่ตัดผ่านไปท่ามกลางธรรมชาติ     กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินนักวาดภาพของอเมริกาจำนวนไม่น้อย สร้างงานเกี่ยวกับ covered bridge


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 12, 16:32
คราวนี้เอาภาพวาดบ้านนา และโรงนา   มาให้ดูบ้าง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 19 พ.ค. 12, 20:36

ไม่ใช่อเมริกา

 เคยไปเที่ยวฮังการี...มีเนินเขาเตี้ยๆ และที่ราบกว้างขวางเผลอนึกว่าอยู่แถวสระบุรี

มีภาพ บ้านหลังที่ 2 ซึ่งอยู่นอกเมืองออกไป สำหรับทำการเกษตรเล็กๆของครอบครัว

เป็นแนวคิดที่ดี เพราะแต่ละหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ไม่ห่างกันมาก  มีพื้นที่ไม่มาก

แต่ก็เป็นระเบียบ และได้ออกมาผ่อนคลายนอกเมืองกันบ้าง มองดูหลังคาเขาก็เป็นจั่วไม่สูง

เหมือนบ้านมากกว่าโรงนา...น่ารักดีคะ ทำให้เห็นภาพการกระจายพื้นที่ให้คนได้มีโอกาส

ปลูกพืชมากกว่าพื้นที่ในเมือง  ไม่ใช่ทำเพื่อการครอบครองในเชิงธุรกิจอย่างเดียว


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 12:58
เล่าถึงสนามบิน ที่เจ้าของเครื่องบินส่วนตัวขับเครื่องบินมากินอาหารเช้าแล้วบินกลับบ้าน   ก็เลยไปหารูปอาคารสนามบินมาทบทวนความหลัง
เห็นหลังคาโค้งแบบนี้ยังไม่เคยนำลงในกระทู้มาก่อน ก็เลยนำลงให้ดูกันค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 21 พ.ค. 12, 09:15
ก่อนจะลืมเสีย...

ในกระทู้ไหนสักแห่ง คุณตั้งบอกว่าได้ไปเที่ยวงานวัด ในชนบท ได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น

จริงๆของเขา ได้เห็นของที่เอามาวางขาย กลายเป็นของสะสม เป็นประเด็นที่ถูกใจชาวอักษร

และผู้หญิงที่ชอบรับประทานของอร่อย เที่ยวไปในท้องถิ่น และสนใจวัฒนธรรมท้องถิ่นต่างๆ

อยากให้คุณตั้งตั้งกระทู้ใหม่ เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ ...


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 21 พ.ค. 12, 09:22
ดิฉันเชื่อว่าเราจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนในชาติจากกิจกรรมในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากวัฒนธรรมเมือง

ดิฉันชอบ บรรยากาศของชนบทมากกว่าในเมือง ครั้งหนึ่งท่านอ.เทาชมพูไปเยี่ยมลูกสาวที่อังกฤษ

แล้วได้ขับรถไปเที่ยวนอกเมืองในชนบท...แล้วประทับใจมาก

ดิฉันไปยุโรปหลายครั้งแต่ไม่มีโอกาสจะได้ลุยไปในชนบทมากนัก ทราบว่าคุณตั้งได้ไปแถบนั้น

และใช้เวลาอยู่ที่นั่นหลายปี  อยากให้เล่าให้ฟังบ้าง ถ้ามีรูปถ่ายประกอบด้วยยิ่งดีค่ะ

อาหารการกิน  ไวน์ น้ำผลไม้ ผลไม้ ฤดูกาล ต้นไม้ ดอกไม้ สิ่งประดิษฐ์ เสื้อผ้า วิถีการดำเนินชีวิต

ความเชื่อ  ความคิดพื้นฐาน ข้อห้าม อะไรทำนองนี้....ได้ไหมคะ




กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 12, 19:02
ถ้าจะเล่าตามคำขอของอ.พวงแก้ว    เห็นจะต้องตั้งกระทู้ใหม่ดีไหมคะ คุณตั้ง


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ค. 12, 19:44
คงจะต้องเป็นเช่นนั้นกระมังครับ
 
ก็พอมีความรู้และข้อมูลอยู่บ้าง  แต่่.. :-\   กลัวว่าจะถูกหาว่าการฝอยจัง  ขอเวลาตกผลึกหน่อยนะครับ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 20:29
คุณตั้งไปเรียนและไปรับราชการอยู่หลายปี    เล่าจากประสบการณ์ก็เยอะแยะแล้วค่ะ  ไม่ต้องค้นข้อมูลด้วยซ้ำ
จากนั้นสมาชิกเรือนไทยท่านอื่นๆก็คงจะมาแจมเอง
ถ้าไม่มีใครจริงๆ  ดิฉันจะมาเพิ่มเรตติ้งให้เองค่ะ   ไม่ต้องคุยคนเดียว


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ค. 12, 20:29
ยังมีหลังคาแบบฝรั่งอีกอย่างหนึ่งที่เข้าใจว่าเรียกว่า French roof ครับ
แต่ดูจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกัน ที่เห็นส่วนมากมักจะเป็นหลังคาของคฤหาสน์มากกว่าที่จะเป็นบ้านของคนปรกติ
 
ใน กทม.ก็พอจะมีให้เห็นบ้างเหมือนกัน  
 


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 12, 21:10
ไม่คุ้นกับคำว่า French roof เลยค่ะ     ใช้อินทรเนตรหาได้มาหลายรูป    มีรูปหนึ่งบอกว่าชื่อ mansard roof  เข้าใจว่าเป็นประเภทหนึ่งของ French roof
French roof น่าจะข้ามจากฝรั่งเศสมาอังกฤษ  ก่อนจะข้ามแอตแลนติคมาถึงรัฐทางตะวันออกของสหรัฐ     เพราะนิวอิงแลนด์มีพวกชาวอังกฤษอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่มาก   บ้านช่องทางนี้ออกจะโก้ มีมาดเป็นผู้ดีเก่ามากกว่าทางรัฐตะวันตก
แต่ French roof น่าจะเบรคกึกอยู่แถวตะวันออก  ไม่ได้เดินทางมาพิชิตตะวันตกพร้อมกับขบวนกองเกวียนของนักบุกเบิก   ดิฉันจึงไม่ค่อยคุ้นกับหลังคาแบบนี้       บ้านในรัฐที่ดิฉันรู้จักออกแนวบ้านนาหลังน้อย  แบบเรียบๆง่ายๆ  เหมาะกับนักบุกเบิกที่เงินทองไม่ค่อยมีมากนัก  มาทำไร่ไถนาสร้างฐานะอยู่ที่นี่      อีกแบบถ้าลงไปทางใต้ก็มีอิทธิพลของเมกซิกันให้เห็นอยู่หนาตา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 22 พ.ค. 12, 22:37
ใช่คะ แค่ประสบการณ์ก็น่าสนใจแล้ว ไม่ต้องค้นคว้าให้ยุ่งยากเกินไป

เรื่องความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ ค่านิยม เป็นสิ่งที่หาอ่านจากหนังสือได้ยาก

ต้องอาศัยคนที่คลุกคลีอยู่กับสังคมนั้นนานๆ จึงจะรู้ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์

ก็แล้วกันค่ะ...พร้อมเมื่อไหร่ก็เชิญตั้งกระทู้ใหม่ได้เลย ไม่ต้องรีบก็ได้คะ สบายๆๆ

ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 12, 09:59
ขอลัดฟ้าข้ามจากอเมริกามาที่ประเทศตุรกี    ณ เมืองบ็อดรัม   เพื่อพาท่านทั้งหลายมาชมหลังคาอีกแบบหนึ่ง     
บ้านหลังนี้ประกอบด้วยตึก 3 หลังเชื่อมติดต่อกัน    ส่วนที่จะพามาชมคือหลังคา   ซึ่งนอกจากจะกันแดดกันฝนแล้ว  สถาปนิกยังดีไซน์ให้เป็นอ่างเก็บน้ำฝน ในรูปของสระน้ำบนหลังคา


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 12, 10:04
น้ำบนหลังคาไหลตกลงบนหลังคาอีกส่วนได้  และใช้ระบบให้น้ำหมุนเวียนกันไปที่เดิมได้ตลอด
กลายเป็นระบบปรับอากาศให้ตัวบ้านเย็นสบายด้วยค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 12, 10:49
กำลังย้ายกระทู้เก่าจากหน้าต่างโลกเข้าห้องประวัติศาสตร์โลก  ก็เจอไปเจอกระทู้ที่มีรูปเมืองเก่าของดิฉัน  ถ่ายเอาไว้ในช่วงฤดูหนาว
หลายรูปมีบ้านที่เห็นหลังคาแบบต่างๆ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1613.0


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 พ.ค. 12, 21:43
เห็นภาพที่คุณเทาชมพูนำมาลงแล้ว ทำให้ผมได้จินตนาการต่อไปถึงเหตุผลบางอย่างในอีกมุมมองหนึ่งว่า ทรงหลังคาต่างๆนั้นคงมิใช่เกิดขึ้นในมุมคิดในเชิงการตั้งรับกับสภาพทางธรรมชาติเท่านั้น ในหลายๆกรณีอาจจะเป็นเรื่องของมุมคิดในเชิงของการใช้ในการแสวงประโยชน์จากสภาพทางธรรมชาติก็ได้

เช่น หลังคาทรงสี่เหลี่ยมและบ้านทรงสี่เหลี่ยม (ตามภาพ) ที่หลังคาทำด้วยวัสดุกึ่งซึมน้ำ อาจจะเหมาะที่สุดสำหรับในพื้นที่ๆเรียกว่ากึ่งแห้งแล้ง (semiarid area) คือในอากาศมีความชื้นแต่มีฝนตกน้อย ได้ทั้งความเย็นในช่วงกลางวัน ความอบอุ่นในช่วงกลางคืน และรวบรวมหยดน้ำให้ไหลมากักเก็บไว้ใช้    หรือหลังคาแบบจั่วที่มีมุมลาดชันหลังคาต่างๆกันในแต่ละท้องถิ่น อาจจะเหมาะสำหรับลักษณะของฝนที่ตกในฤดูประจำปีที่ต่างๆกัน เช่น ตกในลักษณะปรอยๆเม็ดฝนห่างๆ (shower) ตกแบบเป็นห่าใหญ่ๆช่วงเวลาสั้นๆ (thunder shower หรือ heavy rain) ตกแบบจั้กๆต่อเนื่อง (rain) ตกแบบหยุมหยิม (precipitation) ตกแบบเป็นฝอยๆเม็ดเล็กๆ (mist)     หลังคาแบบมีความชันสูงมักจะไม่มีรางน้ำ เนื่องจากต้องการให้น้ำไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะประจำของถิ่นที่มีฝนตกหนักเป็นปรกติ และมีน้ำท่าสำหรับใช้สอยอย่างมากมายเหลือใช้  แต่หลังคาแบบความชันต่ำมักจะมีรางน้ำเพื่อรวบรวมน้ำไปทิ้งในจุดที่ต้องการ หรือเอาไปเก็บไว้ในภาชนะเพื่อใช้สอยต่อไปในยามขาดแคลน ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะประจำของถิ่นที่มีฝนตกแบบไม่หนักและหายไปเป็นช่วงๆ เหล่านี้เป็นต้น   

สำหรับภาษาอังกฤษที่ผมเอามาใ่ส่ในวงเล็บนั้น จะตรง จะผิด หรือจะถูกอย่างไรก็ไม่แน่ใจครับ  เป็นคำที่เห็นฝรั่งเขาใช้เรียกกันสำหรับฝนที่ตกในลักษณะต่างๆ  แต่เมื่อสื่อด้วยคำเหล่านี้ก็ดูจะเห็นภาพตรงกัน


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ค. 12, 22:44
ในรัฐนี้  ไม่มี rain มีแต่ shower ค่ะ  เมื่อได้ยินทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าฝรั่งหมายถึงอะไร  เพราะฝนของเราคือ rain อย่างเดียว    ต่อมาก็เริ่มเข้าใจว่าบ้านเขาไม่มีฝนตกจั้กๆอย่างเรา   มีอย่างมากก็ละอองฝนซึ่งนานมากจะตกสักที      โดยมากเป็นช่วงย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ  อากาศอุ่นขึ้น น้ำเมื่อกลั่นตัวลงจากฟ้าแทนที่จะเป็นหิมะ ก็เลยกลายเป็นละอองน้ำ เรียกว่า shower

กลับไปดูรูปในเมืองอีกที    ชายคาไม่มีรางน้ำ  เพราะฝนไม่ค่อยตก  ส่วนหิมะที่ตกเป็นภูเขาเลากาแค่ไม่กี่วันมันก็ระเหยหายไป  เหลือจับเป็นเกล็ดแข็ง ผสมควันท่อไอเสียสกปรกอยู่ตามริมถนนและสนามหญ้า   พวกนี้แหละเหยียบแล้วลื่นเหมือนกระจก  หกล้มก้นกระแทกกันง่าย   พออากาศอุ่นขึ้นอีกก็กลายเป็นน้ำไหลลงท่อไปในที่สุดค่ะ    ไม่มีการรองหิมะใส่โอ่งเอาไว้เป็นน้ำกินน้ำใช้

เรื่องหลังคาแบบต่างๆ    ถ้าท่านสถาปนิกใหญ่เพื่อนของคุณตั้งจะมีเวลาแวะเข้ามาอธิบาย ก็คงได้คำตอบอีกมากค่ะ


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 พ.ค. 12, 20:13
กลัวเหงา กล่าวถึงเรื่องโรงนามาเยอะ เลยหาเพลงมาประกอบให้ฟังครับ

ทางตะวันออก เล่นด้วย Dulcimer
http://www.youtube.com/watch?v=FGQuVVEnqDU

ทางตะวันตก ต้อง Line dance
http://www.youtube.com/watch?v=003_ulzGw4I&feature=related


กระทู้: ว่าด้วยเรื่องของหลังคาแบบฝรั่ง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 12, 21:48
line dance เต้นเก่งมาก  เป็นประเภท country dance ที่เต้นกันในหลายรัฐทางตะวันตก 
ส่วนDulcimer ไม่คุ้นเลยค่ะ

เมื่อวานนั่งรถมาตามถนนในเมือง  ตอนนี้เริ่มสังเกตหลังคามากกว่าดูแต่หน้าบ้านอย่างก่อนๆ  พบว่าหลายบ้านมีหลังคาแบบโรงนา  เมื่อก่อนไม่ได้สังเกตเลย
หาย jet lag เมื่อไรจะไปเก็บรูปมาให้ดูกันค่ะ    ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  แดดดีมาก  ดอกไม้บานเต็มเมือง  เหมาะจะถ่ายรูป