ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 12 มี.ค. 13, 18:41
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
นางมารน้อย
พาลี
ตอบ: 306
ทำงานแล้วค่ะ
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 08 พ.ค. 13, 13:18
|
|
เพิ่งได้มาติดตามอ่าน สนุกมากชอบมากๆเลยค่ะ ชอบอ่านเรื่องของคุณหมอศานติด้วยค่ะ เล่าสนุกมากๆเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สวัสดีทุกๆท่านค่ะ
|
|
|
mutita
มัจฉานุ
ตอบ: 93
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 03:09
|
|
ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหนก็จะต้องนำหนังสือเมื่อคุณตา คุณยายยังเด็กติดตัวไปด้วยเสมอ เข้าใจมาตลอดว่ามีเพียงสองเล่ม เอาไว้กลับไปเมืองไทยครั้งหน้าจะติดตามหาเล่มสาม และเล่มสี่ ให้ครบถ้วน ขอขอบพระคุณทุกๆท่านสำหรับความรู้และเรื่องราวต่างๆที่บอกเล่าให้ทราบด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SRISOLIAN
อสุรผัด
ตอบ: 36
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 09:42
|
|
ผมดีใจมากที่กระทู้นี้ได้ต่อยอดขยายมาเป็นกว่า 150 ตอน พอดีได้มีโอกาสไปอ่านประวัติของคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา สมัยเขียนเมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กลงสตรีสาร ผู้สัมภาษณ์คือคุณธิดา มหาเปารยะ (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกหรือเปล่า) เลยทำให้รู้ว่าคุณทิพย์วาณีเคยเป็นโปลิโอ แต่ได้น้ำมันสมุนไพรของมารดานวดทำให้อาการทุเลา และเธอยังมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ และช่วงเวลาที่นอนไม่หลับนี้เองได้กลายมาเป็นเรื่องราวอันทรงคุณค่าอย่างเมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก และยังมีเรื่องสั้นชุดฝันดี และ กระเช้า อีกด้วย และอย่างที่เธอว่าไว้คุณตาคุณยายยังเด็กเหล่านี้มาจากบุคคลรอบข้างซึ่งเป็นญาติของเธอ (ข้อมูลเหล่านี้อยู่ในหนังสือสตรีสารเมื่อประมาณปี 2525) ส่วนท่านใดยังคงคิดถึงเมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กที่แทรกอยู่ในสตรีสารแล้ว สามารถไปอ่านได้ที่ห้องสมุดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง บก.สตรีสารได้บริจาคไว้แก่ห้องสมุดคณะอักษรฯ หนังสือชุดนี้ทรงคุณค่ามากและที่นี่มีตั้งแต่ฉบับแรก ซึ่งอยู่ในประมาณปีพ.ศ.2490 โดยประมาณ ส่วนสตรีสารภาคพิเศษน่าจะมีมาในตอนหลังราวปีพ.ศ. 2524
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mutita
มัจฉานุ
ตอบ: 93
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 14:24
|
|
ขอบคุณมากๆสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมค่ะคุณ SRISOLIAN มีโอกาสจะหามาอ่านให้ครบทุกเล่มตามที่บอกมาเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 18:49
|
|
ยังคิดถึงเรื่องนี้ค่ะ ไปงานมหกรรมหนังสือ เห็นพิมพ์ปกใหม่วางขายอยู่ ก็ดีใจว่ายังมีคนสนใจอ่านอยู่เรื่อยๆ ไปเจอตอนนี้ในอินทรเนตร เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ไปช่วยงานศพ เมื่อเด็ก ๆ คุณยายและพี่สาวลูกคุณป้าคนหนึ่ง เป็นเด็กที่กลัวผีอย่างยอดเยี่ยม ขึ้นชื่อว่าคนตายแล้วต้องเป็นผีก็ต้องกลัวไว้ก่อน กลัวทั้งกลางวันและกลางคืน แต่กลางคืนนั้นกลัวมากกว่า เพราะความขี้กลัวนี้จึงถูกพวกเด็กผู้ชายโต ๆ แกล้งหลอกต่าง ๆ ให้ตกใจกลัวมากขึ้น จนเป็นไข้เพราะความกลัวไปหลายครั้ง
ใกล้บ้านมีการตายก็ต้องมีงานศพ เอาศพตั้งไว้ที่บ้าน กลางคืนก็มีสวดศพบ้านอยู่ห่างกันตั้งไกล สองคนนี้ก็กลัวแล้ว พอได้ยินเสียงพระสวดรีบมุดเข้ามุ้ง คลุมโปง พยายามหลับเท่าไร ๆ ก็นอนไม่หลับ นอนเปลี่ยนท่าเปลี่ยนทางไปเท่าไรก็นอนไม่หลับ บางครั้งอากาศร้อนมาก โผล่ออกมาจากโปงก็ไม่ได้ เพราะกลัวจะเห็นผีหรือผีจะมาเห็นเข้า ต้องทนร้อนอยู่ในโปง กลางคืนเดินผ่านวัดก็ไม่ได้ต้องข้ามฟากไปอีกผั่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ผ่านวัด ทั้งที่วัดนั้นไม่มีการทำศพแต่ขึ้นชื่อว่าวัดแล้วต้องมีผี ต้องรีบหลับตาเดินและจับมือผู้ใหญ่ให้แน่นจนกว่าจะพ้นวัดไป แต่เมื่อคุณยายมีความจำเป็นต้องไปงานศพก็ไปได้ เพราะที่บ้านงานไฟสว่างและมีแขกขวักไขว่ทำให้ไม่กลัว และพยายามหาที่นั่งสว่าง ๆ คนมาก ๆ งานศพนี้เจ้าภาพนิยมจัดแจกันด้วยดอกซ่อนกลิ่นที่ส่งกลิ่นหอม พวงหรีดที่วางหน้าศพก็เป็นพวงหรีดที่จัดทำกันเอง ตามแต่จะมีดอกอะไรในบ้าน ผู้เป็นช่างมีฝีมือก็ทำกันได้สวย ๆ ตามความคิด โดยมากใช้ใบปรง ๒ ใบขดเป็นรูปพวงหรีดเป็นโครง และใช้หยวกกล้วยเป็นหลักในการจัดปักดอกไม้ตกแต่งหน้าศพ เพราะไม่มีร้านขายหรือรับทำพวงหรีดหรืดอกไม้ พวงมาลัยต่าง ๆก็ร้อยกันมาเอง การแต่งตัวในงานศพนั้น ถ้าตายใหม่ ๆ ยังอยู่ในทุกข์หนัก ก็จะแต่งขาวกันผ้านุ่งที่ทำจากผ้าขาวออกจากพับใหม่ ๆ มักจะมีแป้งแข็ง เดินดังสวบสาบ สวบสาบ บางคนตัดเสื้อใหม่เอี่ยมด้วยความรีบร้อนจนลืมพับริมเสื้อหรือเลาะด้ายเนาก็มี ต่อเมื่อตายหลาย ๆ วันแล้ว เช่น ทำบุญ ๕๐ วัน จึงเปลี่ยนมาแต่งสีดำแทน งานศพนี้เจ้าภาพออกจะเหนื่อยมาก เพราะต้องทำอาหารเลี้ยงทั้งแขกและพระที่มาสวดและมางานศพ โดยไม่ให้ขาดทั้งคาวและหวาน น้ำร้อนน้ำเย็น โดยมากใช้น้ำชาและยาอุทัย ต้องทำทั้งมื้อกลางวันและเย็นด้วยบางทีแขกอยู่ดึกก็ต้องมีอาหารว่างอีกมื้อ คุณปู่ของคุณยายมักจะบ่นว่า "คนไทยนั้นชอบละลายเงินในงานศพกันมาก ต้องทำอาหารเลี้ยงแขกเพียง ๓๐แต่แม่ครัวถึง ๕๐" ในครัวจึงแน่นไม่มีทางเดินเลย ระบายออกมาทำกันที่ทางเดินบ้าง ระเบียงครัวบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 18:53
|
|
คุณยายคิดว่าเป็นความจริงที่คุณปู่พูดอย่างนั้น เพราะคุณแม่ของคุณยายเวลาจะมางานศพนี้ก็เตรียมเอามีดพับ มีดคว้านใส่กระเป๋ามาด้วย เพื่อจะมาช่วยคว้านเงาะ ปอกผักผลไม้ด้วย เด็กผู้หญิงก็ต้องมาช่วยกันเด็ดถั่วงอก ซอยหัวหอมหรืออย่างน้อยคุณยายพอจะช่วยปอกกระเทียมได้ ส่วนเด็กผู้ชายนั้นมีหน้าที่วิ่งเล่นและกินอย่างเดียว ซึ่งคุณยายคิดเสมอว่าไม่ยุติธรรมเลย เมื่อตั้งศพไว้นานถึง ๑๐๐ วัน ก็จะมีการนำไปเผาที่วัด ก่อนนำไปเผาก็มีการตั้งสวดกันที่บ้านก็ต้องมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง เพื่อนบ้านไปตระเตรียมทำดอกไม้จัดแต่งสถานที่กันที่วัดอีกด้วย พวกผู้หญิงที่มีฝีมือทางดอกไม้ก็ทำดอกไม้สด ถ้าจะทำกันล่วงหน้ามักใช้ดอกบานไม่รู้โรยเพราะทนดี ทำกันล่วงหน้าไม่ต้องกลัวเหี่ยว สมัยนั้นนิยมทำตาข่ายดอกพุดคลุมหีบศพกันที่เชิงตะกอนบนเมรุก็ทำตาข่ายเป็นม่าน มีอุบะดอกจำปาสีเหลืองสวยงามหอมด้วยบางทีก็ "เย็บแบบ" ด้วยดอกบานบุรีสีเหลืองสด บางคนที่มีฝีมือก็เย็บแบบหรือจัดดอกไม้เป็นปีเกิดของผู้ตายอีกด้วย ถ้ามีช่างมากงานศพก็สวยหรู แต่มันสิ้นเปลืองดอกไม้มากมายและมีเศษดอกไม้ ใบไม้ ใบตอง หยวกกล้วยอีกกองโต ดอกไม้บางดอกยังดี ๆ อยู่ คุณยายหยิบเอามาเล่น พวกผู้ใหญ่เห็นเข้าก็จะดุว่า "อย่าเอาดอกไม้งานศพไปเล่น หรือเอาไปบ้านเลยเป็นอันขาด ไม่เป็นมงคล ต้องทิ้งไว้ที่วัดนี่" คุณยายจำต้องทิ้งดอกไม้ด้วยความเสียดาย พี่สาวของคุณยายชอบดอกลั่นทมและดอกซ่อนกลิ่น เพราะเห็นว่าขาวสวยและหอมดีจึงเอามาปักแจกัน ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามอีกว่า "ดอกลั่นทมและดอกซ่อนกลิ่นเป็นดอกไม้สำหรับงานศพ จะเอามาใช้ปักแจกันตกแต่งในบ้านไม่ได้" คุณยายสงสัยจึงไปถามคุณป้าว่าทำไมจึงห้ามใช้ดอกไม้หอมและสวยอย่างนี้ คุณป้าอธิบายว่า "ดอกซ่อนกลิ่นและดอกลั่นทมกลิ่นหอมแรง กลบกลิ่นศพได้ดี จึงนิยมใช้ดอกไม้นี้ดับกลิ่น"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 22 ต.ค. 13, 18:53
|
|
เมื่อถึงเวลาเผาศพ ก็จะมีพิณพาทย์มอญบรรเลง ปี่มอญนั้นเสียงเศร้าทำให้คุณยายใจหาย ครั้งหนึ่งคุณยายได้มีโอกาสไปงานพระศพเจ้านาย มีกองเกียรติยศที่สำนักพระราชวังจัดพระราชทานมา มีพวก "เปิงพรวด" แต่งกายสีแดง สวมหมวกทรงประพาสสีแดง เป่าแตรงอนแตรฝรั่งและตีกลอง จะมีหัวหน้าตีให้จังหวะ "ตุ๊ม ตุ๊ม ตุ๊ม" แล้วก็ตีพร้อมกันดัง "พรวด"นี่เองคุณยายคิดว่าจึงชื่อว่า "เปิงพรวด" แต่ที่สำคัญคือคนเป่าปี่ เขาจะเป่าปี่เพลง "พระยาโศก"จนแก้มโป่ง เสียงปี่ทำให้คุณยายใจหายจนน้ำตาไหล เพราะมันเศร้าใจมาก มีผุ้หญิงแก่ ๆหลายคนได้ยินเสียงปี่แล้วตาแดงจนน้ำตาไหล คนเป่าก็เป่าไป มีเปิงพรวดรับเป็นจังหวะเพลงพระยาโศกและเพลงธรณีกรรแสงเป็นเพลงใช้ในงานศพ มันเรียกน้ำตาคนใจอ่อน ๆ อย่างคุณยายได้มาก
ในวันเผาศพนี้ เราก็แต่งสีขาวกันอีกทั่วทุกคน เพราะถือว่าเป็นวันทุกข์หนัก แขกทุกคนนำดอกไม้จันทน์ ธูป เทียน มาเอง บางคนที่มาไม่ได้ก็ฝากคนอื่นมา ถือว่าเป็นการอโหสิกรรมครั้งสุดท้าย ส่วนเด็ก ๆ นั้นไม่รู้เรื่องการอโหสิกรรม เขาบอกให้ใส่ดอกไม้จันทน์ ธูป เทียนก็ใส่ลงไปโดยไม่รู้เรื่อง รู้แต่เพียงว่ามาเผาศพเท่านั้น คุณยายเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันเผาหลอกมีแขกเหรื่อมากมายตอนเย็น เผาจริง ๆ เอาตอนสองยาม มีแต่ญาติที่สนิทจริง ๆ เด็ก ๆ กลับบ้านนอนหมด แต่คุณยายและพี่สาวนั้นกลัวผีมาก ได้รับคำสั่งให้ล้างหน้าหลาย ๆ ครั้งจะได้ไม่มีภาพศพหรือคนตายติดตา จะได้นอนหลับ แต่มันก็ยังติดตาและไม่หายกลัว ที่หลับได้เพราะง่วงมากต่างหาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mutita
มัจฉานุ
ตอบ: 93
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 23 ต.ค. 13, 01:37
|
|
ขอบคุณ คุณเทาชมพูมากๆค่ะ อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกเลยเพราะตัวเองเป็นคนที่กลัวผีมากๆ ข้างบ้านเคยจัดงานศพ ถึงแม้จะเป็นการจัดแบบจีน ที่ไม่น่ากลัวมาก
เท่ากับงานศพของไทย(ในความคิดของตัวเอง) ก็ยังกลัวจนไม่กล้าลุกไปห้องน้ำ จินตนาการไปใหญ่โต ยิ่งป่าช้าแล้วด้วยให้ผ่านตอนเย็นๆยังสยองเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SRISOLIAN
อสุรผัด
ตอบ: 36
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 09:22
|
|
มาขอบคุณ คุณเทาชมพู ที่กรุณาพิมพ์ตอนต่างๆ เพิ่มเติม ผมอ่านก็ทีก็สนุกได้เกร็ดความรู้ในสมัยอดีต เพราะจะหาเรื่องสั้นที่เป็นเกร็ดความรู้ อ่านง่าย นึกภาพตามง่าย ถ้าเป็นไปได้ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาอยู่หรือเปล่านะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 12:56
|
|
ไปเจอตอนที่หายาก คือ "หัวอีตู้" แล้วค่ะ แต่ว่าเจ้าของหนังสือคือคุณดาบสุริยา สแกนมาลงทั้งหน้า ไม่ได้พิมพ์ เลยต้องขยายภาพมาให้อ่านกัน พิมพ์ไม่ไหว ไม่ทราบว่าชัดพอจะอ่านได้หรือเปล่า ใครอ่านไม่ออก ช่วยเข้ามาบอกด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mutita
มัจฉานุ
ตอบ: 93
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 14:42
|
|
มัวมากเลยค่ะคุณเทาชมพู เดี๋ยววิ่งไปหาแว่นสายตาก่อนนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sirinawadee
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 17:48
|
|
แกะออกมาได้ดังนี้ค่ะ
คุณพ่อของคุณยายเคยพาไปหาหมอญี่ปุ่น ระหว่างที่นั่งรอหมออยู่ คุณยายกวาดตามองไปทั่ว ๆ ร้านของหมอ มีขวดยาตั้งเป็นแถว ๆ มีเครื่องมือหมอ มีขวดแก้วใหญ่ ๆ ใส่น้ำสีต่าง ๆ ไว้ล่อเด็ก แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในร้านก็คือ หัวกะโหลกผีที่อยู่ในตู้ ซึ่งคุณยายกลัวมาก แต่ก็อดชำเลืองดูไม่ได้ ทุกครั้งที่คุณยายมาหาหมอร้านนี้ จะพยายามไม่มองหัวกะโหลกนี้ แต่ก็ต้องแอบชำเลืองดูด้วยความกลัวทุกที เวลากลางวันคุณยายไม่กลัวผี แต่เวลากลางคืนอดกลัวไม่ได้ถ้านึกถึงหัวกะโหลกหัวนี้ขึ้นมา
คุณยายได้รู้เรื่องหัวกะโหลกนี้จากน้าห่าง ๆ ของคุณยายว่า เป็นหัวของอีตู้ นักโทษประหารเมืองแพร่ ในสมัยนั้นนักโทษชาย มีคำนำเรียกหน้าว่า “อ้าย” ถ้าหญิงเรียก “อี” อีตู้เป็นนักโทษที่เหี้ยมโหดฆ่าผัวตาย ธรรมดาต้องถูกตัดสินตัดหัวให้ตายตกไปตามกัน แต่เป็นผู้หญิง จึงแค่ให้ขังคุกไว้ตลอดชีวิต
ไม่ได้เข้ามาเสียนาน มัวไปสู้น้ำท่วมอยู่ค่ะ กราบสวัสดีอาจารย์และส่งใบลาค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 17:54
|
|
ตอนนี้รอดน้ำท่วมแล้วใช่ไหมคะ ดีใจที่มีเวลาแวะมาอีกค่ะ ดื่มน้ำตะไคร้ให้ชุ่มคอก่อนนะคะ ถ้าท่านอื่นอ่านออก ก็ช่วยกันอ่านหน่อยนะคะ สงสารคุณสิริณาวดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 24 ต.ค. 13, 17:55
|
|
หน้าจบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|