ท่านอ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายแล้วนี้ ในฐานะที่เป็นคนไทย ท่านคิดอย่างไรกันบ้างครับ
ในฐานะคนไทย ผมคิดว่าชาติตะวันตกนี่มันเลวจริงๆ มาสูบทรัพยากรเราไปบำรุงความร่ำรวยของตน กดขี่ชนพื้นเมือง แต่นี่เป็นสิ่งที่วิถีคิดแบบชาตินิยมที่ปลูกฝังอยู่ทั้งในบทเรียนและวัฒนธรรมเราอย่างได้ผล ชวนให้เราคิดอย่างนั้น ดังนั้นผมจะไม่มองความแตกต่างของวิถีชีวิตของชาวบ้านว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่มองว่าชาวบ้านทั่วไปมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร มีอิสระเสรีที่จะทำมาหากินโดยไม่โดนเกณฑ์แรงงานมากขึ้นไหม มีระบบยุติธรรมหรือการดูแลรักษาความปลอดภัยมากขึ้นหรือเปล่า ดังนั้นผมจะมองเห็นแต่ข้อเสีย เห็นแต่ฝรั่งเป็นยักษ์มาร แต่จริงๆ แล้วพอคิดให้ลึกไปอีกนิด "พม่าแดดเดียว" ตำรับอังกฤษ กับ"พม่าทุบ" ที่สีป่อ เมีย และแม่ยายรู้เห็นเป็นใจเอาญาติมาทุบฝังลงหลุมทั้งลูกเด็กเล็กแดงชายหญิง แบบไหนมันชั่วช้ากว่ากัน?
เหมือนการเปิดประเทศของเราตามสนธิสัญญาเบาริ่ง ผมจำได้แต่ว่าตอนเรียนมีแต่ความรู้สึกว่าฝรั่งมันเลว มันบังคับเรา มันมาหาผลประโยชน์ของเรา มองไม่เห็นว่าหรือไม่ได้รับการสอนว่าแต่อย่างน้อยมันทำให้ระบบการค้าที่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มขุนนางหรือเจ้านายมันลดลงไป และเป็นที่มาของการที่เราต้องปรับปรุงประเทศอย่างขนานใหญ่
ถ้าเอาพม่ามาเปรียบกับไทยในยุคสมัยเดียวกัน ต้องนับว่าเราโชคดีกว่ามากที่พระมหากษัตริย์ของเรามีสายพระเนตรกว้างไกล และมีสิ่งที่ไม่ขอใช้คำราชาศัพท์ว่าแต่ละพระองค์ทรงรู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่จะรับผิดชอบชีวิตของราษฎรด้วย มีทั้งพระเดชและพระคุณ ไม่ได้เอาแต่หาความสุขสำราญแบบสีป่อ เมีย และแม่ยาย ที่มีแต่พระเดช ทั้งที่ข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรคนของเรากับพม่าน่าจะคล้ายๆ กันมาก คือมีแต่ปริมาณ แต่ด้านความรู้แบบสมัยใหม่ที่จะเอาไปสู้ฝรั่งยังขาดแคลนมาก ถ้ากษัตริย์ของเราและคนแวดล้อมในยุคสมัยนั้นมีแนวคิดหรือเป็นกษัตริย์แบบกษัตริย์อยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูตาหลวง ผมคิดว่าเราคงได้อยู่ในเครือจักรภพหรือกลายเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเวียดนามในฐานะอดีตอาณานิคมด้วยกันเป็นแน่เท้
ในฐานะคนยุคหลัง เรามองการเสียบ้านเสียเมืองของพม่า เรามองการรุกรานของตะวันตกในสายตาแบบคนเอเชียที่ถูกรุกราน แต่ถ้าเราเป็นฝรั่งในเวลานั้นเราคงมองว่าเป็นความชอบธรรมของเราที่จะนำพาความเจริญไปสู่ดินแดนห่างไกล ดังนั้นคำตอบที่แน่ชัดจึงฟันธงไม่ได้ เพราะต้องถามว่าจะมองจากมุมไหน แต่ละมุมก็ฟังดูเข้าท่าดีทั้งนั้น แต่ถ้าในฐานะพลเมืองโลก ตัดความคิดเรื่องชาตินิยมออกไป ผมมองว่าหลักๆ คือการเปลี่ยนถ่ายผู้ปกครองจากชาวพม่าด้วยกันแต่เป็นเจ้า มาเป็นอังกฤษ
นโยบายแบ่งแยกและปกครองเป็นเรื่องธรรมดามากที่ชาติที่เป็นผู้ปกครองทั้งหลายกระทำกับผู้ใต้ปกครอง ปลูกฝังความเกลียดชังระหว่างกันเพื่อให้มัวแต่ระวังรบกัน ง่ายต่อผู้ปกครองที่จะจัดการ วิธีแบบนี้ไม่ได้มีแต่อังกฤษใช้ แม้แต่รัฐบาลทหารพม่าหลังรับเอกราชก็ยังใช้ หรือแม้แต่ระบบการเมืองไทยในปัจจุบันจะเห็นภาพนี้ได้ไม่ยาก ถ้าจะบอกว่าอังกฤษเลว ก็ต้องมองด้วยว่าหลังอังกฤษออกไปคนพม่าปกครองกันเองแล้วเป็นอย่างไร ดีกว่าเกาหลีเหนือแค่ไหนเชียว ย่ำแย่กว่าสมัยอยู่ใต้อังกฤษอีก
ดังนั้นสำหรับผมแม้อาจจะขัดใจหลายๆ ท่าน ก็ต้องบอกว่าผมมองผู้ปกครองชาติใดไม่สำคัญ สำคัญว่าใครสามารถทำให้วิธีชีวิตของผู้คพลเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากัน อะไรดีก็ต้องบอกว่าดีกว่า อะไรไม่ดีก็ต้องยอมรับว่าไม่ดี จะมองแต่ข้อไม่ดีอย่างเดียวก็ออกจะอคติไป แต่อย่างไรก็ตาม มรดกความขัดแย้งที่อังกฤษทิ้งไว้ให้จนเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน เช่นความขัดแย้งระหว่างชนแต่ละชาติในพม่า หรือเรื่องที่เศร้ามากคือเรื่องพวกโรฮิงญา ที่อังกฤษขนมาทิ้งไว้ ก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องประนามอังกฤษและเรียกร้องให้เข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย
นอกจากนี้ถ้าจะมองการรอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นของเราว่าดีพอแล้ว เราควรจะเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาคล้ายๆ กันด้วย ในขณะที่การปรับปรุงของเรามุ่งไปที่การเลียนแบบจะให้เจริญแบบฝรั่ง แต่เพราะวิธีคิดของเราเน้นอะไรง่ายๆ สบายๆ ซื้อเค้ามาใช้แล้วก็แล้วกัน วันนี้เราจึงยังรับจ้างทำของอยู่เลย แต่ของญี่ปุ่นเน้นว่าอะไรที่เอ็งทำได้ ตรูก็ทำเองได้เหมือนกัน และเน้นที่จะทำเอง สุดท้ายปลายทางระดับการพัฒนาเลยต่างกัน
ปล ท่านอาจารย์ V_Mee ว่าพวกนักวิชาการไทยใจทาส ผมสงสัยว่าเค้าใจเป็นทาสใครครับแต่คิดว่าไม่ใช่ฝรั่งหรอกกระมัง แต่น่าจะเป็นพวกแอนตี้ระบบกษัตริย์มากกว่า พวกนี้จะมองประวัติศาสตร์ทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของพระมหากษัตริย์ มองเห็นแต่ความไม่ดี มองว่าการปรับปรุงพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเพื่อเสริมความมั่นคงของอำนาจของสถาบัน และจะมองไม่เห็นสำนึกความรับผิดชอบต่อราษฎรที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงรู้สึก ทรงมี และทรงแสดงออกมาผ่านพระราชกรณียกิจต่างๆ มาหลายรัชกาลแล้ว