เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:17



กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:17
 ต่อจากกระทู้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=46679

คุณวิวันดานำเรื่องเจ้านายอังกฤษ ที่ยืดยาวและซับซ้อนมาเล่าสู่กันฟังด้วยสำนวนง่ายๆ   แต่ว่ารสชาติแซ่บเหลือหลายค่ะ
****************************************
สองสามวันต่อมา..เจ้าฟ้าชายและพระชายาจึงเตรียมการเสด็จไปพักผ่อนยังหมู่เกาะวินดีเมียร์ บาฮามัส เจ้าฟ้าชายได้ตรัสว่า
"ไดอะน่าคงรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ไปพักผ่อน อาบแดดให้สบายใจก่อนกลับมาคลอด"
และการเสด็จในครั้งนี้ ก็ได้ถูกติดตามโดยขบวนนักข่าวเช่นเคย มาในทุกรูปแบบ แอบซ่อนนอนใต้ท้องเรือห่างลิบๆ ไปบ้าง ไปแคมป์นอนรออยู่บนยอดเขาบ้าง
ทั้งหมดมีกล้องแบบซูมได้ใกล้สุดฤทธิ์ ผลคือ
ภาพของพระชายาที่ทรงครรภ์ได้ห้าเดือน อยู่ในชุดบิกินี่สีส้ม เริงร่าโต้คลื่นอย่างมีความสุข
เมื่อภาพชุดนั้นได้ลงตีพิมพ์ สมเด็จถึงกับทรงประชวรพระวาโย ทรงตรัสว่า
"นี่คือยุคมืดแห่งจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์อังกฤษโดยแท้"
หนังสือพิมพ์เดอะซัน ได้ลงข้อความขอพระราชทานอภัยในการตีพิมพ์ภาพเหล่านั้น

และ เพื่อที่จะให้ประชาชนทราบว่า ขอพระราชทานอภัยในเรื่องอะไร ก้อเลยต้องตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นซ้ำอีก เพราะเหตุผลว่า..คนอีกห้าล้านคนยังไม่เข้าใจว่า เรื่องราวเป็นไปมาอย่างไร?
ศึกระหว่าง เดอะ ซัน และ สมเด็จพร้อมสำนักพระราชวังนั้น เข้าข่ายตึงเครียด เพราะ เจ้าของสื่อ คือ นาย รูเปอร์ต เมอดอค ที่เป็นเจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์ที่มีสื่ออยู่ในมือหลายฉบับ เช่น เดอะ ซัน, ซันเดย์ ไทม์, ไทม์ ออฟ ลอนดอน และ ทีวี ช่อง สกาย ทีวี
นายรูเปอร์ต ได้กำลังสอนมวยให้กับสำนักพระราชวังว่า เงินเดือนค่าจ้างค่าออนของคุณพนักงานในวังที่ทรงจ่ายอย่างตระหนี่ถี่เหนียวนัก จะมาเทียบอะไรได้กับ
เงินรางวัลก้อนงามที่ได้รับเพียงแค่นำข่าวมาขายได้ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ทุกชิ้นมีราคาให้อย่างเหมาะสม
อีกทั้ง นายรูเปอร์ต เป็นชาวออสเตรเลียนที่ไม่ได้สนใจรักใคร่ จงรักภักดีในสถาบันวินด์เซอร์นี้สักเท่าใด จะลงข่าวอย่างไรก็ได้ เพราะในฐานะที่เป็นคนต่างชาติ

เมื่อมาเจอกับคนที่ไม่มีความยำเกรงอย่างนายรูเปอร์ต
สำนักพระราชวังถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า..สมเด็จได้ทรงเรียกประชุมเหล่าบรรณาธิการอีกครั้ง คราวนี้ไม่ขอความร่วมมือแล้ว ทรงออกพระคำสั่งเลยว่า
การเสนอข่าวที่ไม่เข้าท่า เป็นได้ถูกฟ้องแน่ๆ ส่วนพวกมหาดเล็กและคุณพนักงานปากเสียเหล่านั้น ได้ทรงออกกฏออกมาว่า จะต้องถูกต้องโทษทางอาญาเช่นกัน
(เมื่อก่อนแค่ไล่ออก)
เพราะไม่ใช่แต่เรื่องของไดอะน่าในบิกินี่เรื่องเดียว ในช่วงนั้น มีภาพตีพิมพ์ที่น่าสยดสยองออกมาคือ ปีเตอร์ พระนัดดาวัยหกขวบ พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์
กำลังหิ้วคอไก่ป่าที่เพิ่งถูกยิงตายไปหมาดๆ อย่างหน้าตาเฉย ในช่วงฤดูของการล่านก
พระองค์ได้ทรงมีพระบัญชาให้เขตพระราชฐานทั้งหมดของ พระราชวังแซนดริงแฮม และ วินด์เซอร์ เป็นที่ "ต้องห้าม" ของนักข่าว รวมไปถึงงานในครอบครัวทั้งหมด
แม้แต่พิธีล้างบาปตามศาสนา... ก็ห้ามเข้ามายุ่ง  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:22
 พระกุมารได้ประสูติในวันที่ 21 มิถุนายน 1982 ถือเป็นอันดับที่สี่สิบสามของรัชทายาทแห่งราชบัลลังค์อังกฤษ (ที่มีมา)
เจ้าชายพระองค์น้อยนั้นได้รับพระนามชั่วคราวว่า"เบบี้ เวลส์" จนกว่าพระมารดาและพระบิดาจะทะเลาะกันเสร็จถึงเรื่องชื่อที่พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งใช้เวลาไปเจ็ดวัน
มาลงตัวที่William (มาจาก William the Conqueror) Arthur (มาจาก King Arthur ผู้ยิ่งใหญ่) Philip (มาจาก เจ้าชาย ฟิลิป)Louis (มาจาก ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน)
แต่เป็นที่รู้จักกันในพระนามของ เจ้าชายวิลเลี่ยม หรือ "วิลส์" ของพระบิดามารดา
พิธีรับศิลของพระโอรสนั้น ได้จัดให้มีในวันเดียวกันกับวันพระราชสมภพของควีนมัมที่ครบ 82 ชันษา

ใครต่อใคร ต่างชื่นชมยินดีกันทั่วบ้านทั่วเมือง ยกเว้นเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ที่มิได้แสดงอาการตื่นเต้นหรือยินดีสักเท่าไหร่ เพราะพระองค์ได้เสด็จประพาสอเมริกาอยู่ในยามนั้น
เมื่อนักข่าวได้เข้ามาสัมภาษณ์ ถามถึงเรื่องนี้ว่า
"พระองค์อยากตรัสอะไรถึงพระชายาไดอะน่าบ้างพะยะค่ะ?"
"เรื่องอะไรล่ะ ไหน..ลองบอกมาซิ"
"เรื่องการประสูติพระโอรสพะยะค่ะ"
"อ้าว..คลอดแล้วหรือ?"
"พะยะค่ะ เมื่อเช้านี้เอง"
"งั้นเหรอ ก็คงดีมั้ง.."
"เสด็จรัฐนิว เม็กซิโก ทรงพระสำราญดีหรือพะยะค่ะ"
"แล้วไงล่ะ เธอชอบมันมั้ยล่ะ"
"ทรงรู้สึกอย่างไรที่ทรงเป็นพระปิตุฉาในคราวนี้"
"มันก็เรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่กี่ยวอะไรกับใครนี่"

บทสัมภาษณ์ฉบับไร้เสน่หานี่ เล่นเอาเหล่านักข่าวอเมริกันถึงกับสิ้นความเกรงพระทัย..ลงข่าวกันว่า อิจฉาละซิ อย่างเดลิ เมล์ ถึงกับลงว่า
พระธิดาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธแห่งสหราชอาณาจักร ช่างไร้มารยาท หงุดหงิด และ ไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆ
การมองเจ้าฟ้าหญิงในด้านลบนี้ เป็นติดต่อกันมานานถึงสิบปีที่ไม่เคยเปลี่ยน..แต่หลังจากที่ทุกคนได้ประจักษ์ว่าได้ทรงงานอย่างหนักเพื่อเด็กด้อยโอกาสอย่างไม่เคยปริพระโอษฐ์หรือ ไม่เคยแสวงความเป็นข่าวเพื่อเครดิตให้องค์เองนั้น ประชาชนเริ่มมองเห็นแววของเพชรที่จรัสเจิดจ้า บางโพลล์ได้ลงว่า เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงงานมากกว่าเจ้าฟ้าชายพระเชษฐาเสียอีก
แต่ในยามนั้น ใครต่อใครก็พากันตัดสินพระองค์ว่า..เป็นหญิงที่ไร้เสน่หาอันดับต้นๆ ของอังกฤษเลยเชียว..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:27
 สัมพันธภาพระหว่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์และไดอะน่านั้น เข้าข่ายไม้เบื่อไม้เมา
ทรงว่า ไดอะน่านั้น งี่เง่า ไม่มีสมอง บ้าๆ บอๆ เจ้าน้ำตา..
ส่วนทางพระชายาได้พูดถึง พระขนิษฐาในพระสวามีกับเพื่อนๆ ว่า ไม่มีความเป็นผู้หญิงสักนิด ยังกับกระเทย

เพื่อนเธอได้ตอบว่า "อย่าลืมซิ แอนน์เป็นนักกีฬาโอลิมปิค
(ในมอนทรีล 1976) คนเดียวนะ ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจเพศ"
"ใช่ซิ..เดี๋ยวผลออกมาจะได้ฮากันกลิ้งน่ะซิ ยัยนี่น่ะ คือ (เจ้าชาย) ฟิลิปแต่งหญิงชัดๆ "

เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะว่าคนอย่างพระชายาไม่เคยเข้าใจผู้หญิงที่มีความกล้าหาญเด็ดขาด ไม่สนใจในเรื่องการปรุงแต่งโฉมอย่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์
พระองค์ทรงปฏิเสธในเรื่องการใช้เครื่องสำอาง พระเกศาก็แค่ทรงรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ฉลองพระองค์แต่ละชุดราวกับเลหลังออกมาจากห้างมือสอง
ครั้งหนึ่งที่มีข่าวว่าเจ้าฟ้าหญิงได้มี "กิ๊ก" กับยามเฝ้าพระราชวัง  ไดอะน่าถึงกับงงสุดๆ ว่า..ไอ้บ้านั่นมันคิดได้ยังไงของมันกันนะ !!

เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเข้าพระทัยดีในพระขนิษฐาว่าไม่ใช่คนที่เข้ากับใครได้ง่ายๆ
แต่..ในฐานะที่เป็นพระขนิษฐาองค์เดียวที่มี อีกทั้งการที่พระองค์ได้รับเกียรติให้เป็นพ่อทูนหัวของปีเตอร์ พระโอรสองค์โต พระองค์จึงคิดที่จะให้เกียรติอันนั้นคืนบ้าง
โดยการที่จะให้เจ้าฟ้าหญิงแอนน์เป็นแม่ทูนหัวของเจ้าชายวิลเลี่ยมพระโอรส  หากแต่..พระชายามิทรงยอม
เจ้าฟ้าชายถึงลงทุนอ้อนวอน ทรงตรัสว่า.."กรุณาเถิด ที่รัก please...."
ไดอะน่า..ส่ายหน้าท่าเดียว ไม่มีทาง...

ในที่สุด ก็ไม่มีพระนามของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ในรายชื่อของเหล่าพ่อและแม่ทูนหัว.. ซึ่งนี่คือการเริ่มต้นของความร้าวฉานอย่างแก้ใขได้ยากระหว่างคนสองคนนี้..

สองปีผ่านไปในยามที่พระชายาได้ให้ประสูติกาลแก่พระโอรสองค์ที่สอง เจ้าชาย แฮร์รี่ ที่เจ้าฟ้าชายได้พยายามขออีกสักครั้ง..ที่จะให้พระขนิษฐาได้เป็นแม่ทูนหัว แต่ก็มิสำเร็จผลเช่นเดิม..
คราวนี้ นับว่าเป็นศึกใหญ่ เพราะเจ้าชายฟิลิปทรงขัดพระทัยอย่างแรงในเรื่องการที่เจ้าฟ้าชายมิได้ให้เกียรติกับน้องสาวของตัวเอง ถึงกับไม่เสด็จเยี่ยมเยียน ย่างกรายไปหาถึงหกอาทิตย์
เท่านั้นไม่พอ ทรงส่งจดหมายไปตำหนิอีกยาวเหยียดว่า
ทำองค์ไม่สมกับที่เป็นมกุฏราชกุมาร อีกทั้งชมเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระธิดาองค์โปรดว่าทำงานสมเป็นขัตติยะนารี ตลอดปีนี้ได้ออกงานถึง 201 ครั้ง ในขณะที่ มกุฏราชกุมารแท้ๆ ออกงานเพียง 93 ครั้ง เมียก็ออกงานแค่ 51 ครั้ง (ปี 1984)
เธอทั้งสองคนรวมกับยังทำงานไม่เท่ากับแอนน์คนเดียว..

สามปีต่อมา..สมเด็จพระราชินีได้ทรงเลื่อนพระยศให้เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ เป็น Princess Royal อันหมายถึง พระยศสูงสุดในบรรดาเจ้านายฝ่ายหญิง ในพระราชวงค์ (คงเทียบได้เท่ากับ บรมราชกุมารี)

และ เมื่อมิได้รับเกียรติให้เป็นแม่ทูนหัวของพระโอรส Henry Charles Albert David แต่เรียกกันว่าเจ้าชายแฮร์รี่ นั้น
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ก็ไม่เสด็จในพิธีรับศิลของพระนัดดา โดยอ้างว่า ติดงานของครอบครัวที่ต้องไปปิคนิค
นักข่าวถามว่า.."จะมิเป็นการไม่ไว้หน้าพระชายาหรือพะยะค่ะ"
พระองค์ทรงตอบว่า.."ก็ให้ลูกไปแล้วนี่นา แค่นั้นก็พอถมเถแล้ว จะเอาอะไรกันอีก"

แน่นอนว่า..นักข่าวและเจ้าพ่อสื่ออย่างนาย เมอดอค ได้เชือดเฉือนเจ้าฟ้าหญิงแบบไม่มีชิ้นดี ต่างหันมายกยอสรรเสริญพระชายากันอย่างล้นหลาม
ถึงกับยกย่องว่า เป็นที่รักของประชาชนรองลงมาจากควีนมัมทีเดียว..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:31
 การที่พระชายาไดอะน่าได้ครองหัวใจของประชาชนอังกฤษแบบข้ามคืน เพราะว่าเหล่ามีเดียต่างๆ นั้นเบื่อกับการคร่ำเคร่ง พิธีรีตอง เอาแต่ใจตัวจัดของเหล่าเดอะ เฟิร์มทั้งหลายแหล่
อย่างเจ้าชายฟิลิปที่เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาพร้อมกับสมเด็จในปี 1983 ในฐานะแขกบ้านแขกเมืองของประธานาธิบดีรีแกน ที่นคร ซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
ขณะที่ประทับอยู่ในรถลีมูซีนที่ทางรัฐบาลอเมริกันได้จัดถวายการรับรองนั้น ขบวนเกิดติดแหง็ก ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน  เนื่องจากเพราะเหตุฝนตกหนัก การจราจรติดขัด
(ในฐานะที่คนเล่านี้ อยู่ในซาน ฟรานมานานหลายสิบปี จึงขอขยายให้ฟังว่า ถนนหนทางในเมืองนั้น เป็นสภาพภูเขาที่ขึ้นลงลาดชัน สภาพการจราจรจะติดขัด ถ้าหากว่าเกิดมีฝนตก ไม่ว่าใครจะเสด็จก็ตาม ก็ต้องไปตามกระแสคล่องของถนน ไม่มีประเภทที่ห้ามไฟแดง แล้วนำขบวนผ่านตลอด เพราะบนถนนนั้น ยังมีรางรถรางอยู่ตรงกลาง ที่มีตารางวิ่งที่สัมพันธ์กันกับระบบห้ามไฟ....วิวันดา)

เจ้าชายฟิลิปทรงสิ้นสุดความอดทน ตะคอกใส่พลขับว่า
"แซงขึ้นไปได้แล้ว รออะไรอยู่ล่ะ"
"กระหม่อมทำไม่ได้พะยะค่ะ ต้องรอจนกว่าขบวนของท่านประธานาธิบดีจะเคลื่อนออกไปก่อน"
"บอกให้ออกรถเดี๋ยวนี้..!!"
"ต้องรอพะยะค่ะ"
"ไอ้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง บอกให้ขับไปเดี๋ยวนี้"
สิ้นพระสุรเสียง พระองค์ก็หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ในรถขึ้นมาม้วน และฟาดลงไปบนศีรษะของพลขับซีไอเอคนนั้นแบบไม่เบานัก

สมเด็จทรงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ทรงวางเฉยแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ตรัสอะไรเลยสักคำ ทั้งๆ ที่พระสวามีกำลังอาละวาดฟาดหัวชาวบ้านต่อหน้าพระพักต์
แต่เมื่อได้เสด็จกลับไปถึงโรงแรมที่ประทับ พระองค์ได้ส่งมหาดเล็กไปที่ห้องพักของพลขับด้วยข้อความว่า ทั้งพระองค์และพระสวามีขอเชิญมาร่วมในการเลี้ยงค๊อกเทล
พลขับซีไอเอคนนั้นสะบัดหน้าใส่ด้วยความแค้นเคือง บอกว่า ไม่ไป..ขอบคุณ

"กรุณาเถิดครับ..พระองค์ทรงเชิญมาแล้ว"
"ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ไป..ขอบคุณ และผมจะไม่ตามเสด็จไปไหนอีกแล้ว พอกันที "
"ได้โปรดเถิดขอรับ เห็นใจผมด้วยเถอะ ผมไม่สามารถมีหน้ากลับไปทูลว่า คำเชิญของพระองค์ได้รับการปฏิเสธ ผมต้องโดนเล่นงานแน่ๆ ผมรับราชการมาตลอดชีวิต และเหลืออีกเพียงหกเดือนก็จะหมดวาระ ผมไม่อยากถูกไล่ออกก่อนเวลา ไม่งั้นเรื่องเบี้ยหวัดเป็นอันว่าหมดกันแล้วผมจะเอาอะไรกินล่ะขอรับ ผมเข้าใจดีว่า ท่านดยุคนั้นร้ายกาจนักในบางอารมณ์ แต่ครั้งนี้..ขอให้เห็นแก่ผมเถิด"

พลขับนั่น..นิ่งคิดอยู่สักอึดใจ ก่อนที่จะพูดว่า
"เอาละ..แต่ขอบอกตรงนี้ก่อนนะว่า ที่จะไปเนี่ย..เพราะผมเห็นใจคุณจริงๆ ไม่ใช่เพราะคำเชิญอะไรนั่น"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:38
 การถวายอารักขานั้น ค่อนข้างเข้มงวดนักสำหรับราชอาคันตุกะ ที่มักมีการห้อมล้อมไปด้วยตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ อีกทั้งสารวัตรทหารนับสิบที่สร้างความรำคาญให้กับเจ้าชายฟิลิปสุดประมาณ
ในรถที่จัดถวายเป็นรถพระที่นั่งกำลังแล่นผ่านฝูงชนอยู่  พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ไปเปิดไฟในรถจนสว่างจ้า

"ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ กระหม่อมต้องขอให้พระองค์ปิดไฟด้วย เพราะจะกลายเป็นเป้ากระสุนได้พะยะค่ะ"
"ถ้ามันจะเป็น ก็แล้วไง..นายไม่รู้หรือไงว่า ผู้คนที่เขามายืนคอยข้างทางเนี่ย เขามาเพราะอยากจะพบฉัน และอย่างน้อยฉันก็ควรจะโบกมือให้เขาหน่อย"

ผู้อำนวยการฝ่ายพิธีการทูต นาง เซลวา รูสเวลต์ (สามีของเธอคือ หลานปู่ของประธานาธิบดี Theodore Roosevelt) รีบกราบทูลว่า
"พวกเจ้าหน้าที่พวกนี้เขาทำตามหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งมาน่ะ
เพคะ..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ก็จะกลายเป็นความผิดของพวกเขาที่บกพร่องในการถวายอารักขา"
เจ้าชายฟิลิปหาได้ฟังไม่ พอลงจากรถไปได้ก็กระแทกประตูใส่หน้าดังปังใหญ่
และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปรกติ การ์ดเชิญร่วมโต๊ะเสวยก็ส่งไปหาคนโน้นคนนี้อันเป็นเชิงขอโทษ..

การเดินทางจากซาน ดิเอโก ไปยัง ซานฟรานซิสโก จากนั้นก็ต่อไปยัง ซานตา บาร์บาร่า ที่ไร่ส่วนตัวของท่านประธานาธิบดีรีแกน
ไม่ว่าตรงไหน เจ้าชายฟิลิป ก็เที่ยวเดือดดาลกับใครต่อใครไม่เลือกหน้าในเรื่องการคุ้มภัยจนเกินเหตุ ทรงบ่นกระปอดกระแปดกับสมเด็จตลอดเวลา ซึ่งองค์สมเด็จเองก็ทรงตรัสไม่ออก เพราะฝ่ายอารักขาทางด้านของพระองค์เองก็หนักหนาสาหัสเอาการ

หากแต่..ที่ต้องทรงเสด็จมาอเมริกานั้น..เป็นด้วยเหตุผลทางการเมืองล้วนๆ การเสด็จเยือนครั้งนี้คือครั้งที่ห้าของพระองค์ ที่ต้องถนอมสัมพันธไมตรีระหว่างอังกฤษ-อเมริกาให้แน่นแฟ้นเป็นพิเศษ

อีกทั้ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษนางมาร์กาเร็ท แธชเชอร์ กับประธานาธิบดีรีแกน แสนที่จะสนิทสนมกลมเกลียว
ซี้แหงย่ำปึ้ก

นางเเธชเช่อร์ จึงอยากใช้ความสนิทสนมนี้เป็นสะพานในการเจริญสัมพันธไมตรีในส่วนของเดอะ เฟิร์ม ให้กับกลุ่มของประชาชนชาวอเมริกันที่นิยมเรื่องเจ้าๆ นายๆ (ที่ไม่มีเป็นของตัวเองให้กราบกราน)
อีกทั้งการเสด็จเยือนครั้งนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ของสงครามที่เกาะฟอล์คแลนด์ ในปี 1982 ที่ประธานาธิบดี
รีแกนได้ช่วยสนับสนุนนางแธชเช่อร์แบบสุดกำลัง

เนื่องจาก อาเจนติน่าได้เข้ามาบุกหวังที่จะเคลมเกาะฟอล์คแลนด์ที่เป็นของอังกฤษ เพราะเห็นว่า อังกฤษนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ในด้านเศรษฐกิจ ผู้คนตกงานนับแสนๆ
ไหนจะมีปัญญาจัดทัพหลวงมาชิงเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีราคาค่างวดให้เสียเงินเสียทอง เปลืองงบประมาณไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

แต่พวกอาเจนติเนียน มันคงไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ของสงครามมาก่อน..ว่าอังกฤษนั้นมีเลือดบ้าอยู่ไม่น้อย อีกทั้งได้รับการหนุนอย่างไม่อั้นงบจากรีแกน
ไหนเลย..กองทัพอาเจนตินาจะเหลือ ต่างแตกพ่ายวิ่งหนีกระเจิงไปในไม่กี่เดือน (เดือน มิถุนายน 1982)
ส่วนของอังกฤษที่เสียหายไปคือ ทหาร 237 นาย และเงินอีกร่วมสี่พันล้านเหรียญ
ผลดีที่ได้คือ ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ได้กลับคืนมาเป็นขวัญให้กับประเทศชาติ นางแธชเช่อร์ ได้รับสมญานามว่า "นางสิงห์เหล็ก" หรือ the Iron Lady
เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสองค์รองและองค์โปรดของสมเด็จ ได้เป็น วีรบุรุษสงคราม จากการเป็นนักบินในหน่วยของฝูงเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการ

(ไปหาภาพเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ในเครื่องแบบนายทหารมาให้ดูกันค่ะ  ตอนหนุ่มๆพระองค์หล่อมาก จนได้รับสมญาว่า Royal Redford -เทาชมพู)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 09:08
 ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างอังกฤษ-อเมริกานั้น มาหมางจางจืดไปก็เมื่อตอนที่ อเมริกาได้ส่งหน่วยจู่โจมไปบุกที่ Grenadaที่ตั้งอยู่ในคาริบเบียน เป็นที่ที่อยู่ในเขตยึดครองของอังกฤษ และเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ

สมเด็จก็คือ สมเด็จพระราชินีแห่งเกรนาดาด้วย.. และทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งต่อการบุกของอเมริกาในครั้งนี้ อีกทั้ง ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าแม้แต่นิด พระองค์ทรงเรียกนางสิงห์เหล็กให้หาด่วน..
ในเรื่องที่ว่า..ทำไมพระองค์ต้องมาทรงรับทราบข่าวจากสถานีโทรทัศน์ บีบีซี แทนที่จะได้รับรายงานจากนายกรัฐมนตรี
นางแธชเช่อร์ รีบกราบบังคมทูลว่า
"หม่อมฉันก็เพิ่งทราบก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเช่นกันเพคะ"

เมื่อได้ติดต่อกลับไปที่วอชิงตัน..ประธานาธิบดีรีแกนรีบแก้ตัวว่า..
"เป็นการบุกแบบไม่มีอะไรรุนแรง เพราะว่า เราต้องอพยพชาวอเมริกันกว่าหนึ่งพันคนให้พ้นไปจากการรุกรานของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในพื้นที่"

(The invasion of Grenada ในปี 1983 ที่ถือว่าเป็นการลองของ..ของคิวบาที่มีต่อท่าทีของสหรัฐภายใต้การนำของนายรีแกน ว่าจะแข็งกร้าวหรือเอาไหนหรือไม่ ประการใด
จึงเกิดมีการจลาจลเล็กๆ ที่มีการทำร้ายชาวอเมริกันแบบเสียเลือดเนื้อ
สหรัฐจึงถือเป็นสาเหตุอันนับว่าเป็นสิริมงคลที่จะยกทัพเข้ามาถอนรากถอนโคนพวกเผด็จการ พรรคพวกของนาย ฟีเดล คาสโตร ให้หมดสิ้นไปให้รู้แล้วรู้รอด)

ทั้งสมเด็จและนางสิงห์เหล็กต่างไม่ชอบใจในเรื่องนี้นัก แต่ก็ต้องจำยอมให้กับมหามิตร โดยออกข่าวว่า..
ทางรัฐบาลอังกฤษจะไม่ขัดขวาง ในกรณีของเกรนาดา และจะยืนเคียงข้างมหามิตรอเมริกาผู้ซึ่งจะช่วยนำสันติสุขมาให้กับยุโรป  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 09:10
 แต่..กับนางแธชเช่อร์นั้น สมเด็จยังไม่หายเคือง และไม่ทรงเชื้อเชิญให้นั่ง ตลอดเวลาที่ปรึกษาหารือกัน ต่อมา พระอง์ได้ทรงเขียนไว้ในไดอะรี่ว่า
"วันนี้ ยัยแธชเช่อร์ได้ถวายบังคมให้..แค่ถอนสายบัวเพียงสองครั้งเอง"

และทรงแอบล้อเลียนนางแธชเช่อร์ที่มักชอบสำคัญตัวเองผิดๆ เสมอ ที่เธอมักชอบใช้คำว่า "เรา" แทนตัวในการถวายคำปรึกษาหารือกับสมเด็จ หรือ กับเดอะ เฟิร์ม
ยังกับว่าตัวเองคือ "พระสหาย"
เจ้าชายฟิลิป ทรงเรียกเธอว่า "ยัยลูกคนขายผัก" เพราะว่า นางแธชเช่อร์ได้ถือกำเนิดบนชั้นบนของห้องแถวร้านขายผัก และผลไม้ อันเป็นกิจการของครอบครัว

สมเด็จมักชอบทำท่าล้อเลียนเธอเสมอๆ ..คนที่อยู่วงในใกล้ชิดจึงจะทราบว่า พระองค์ทรงมีพระอารมณ์ขันในเรื่องการเลียนแบบท่าทางของคนได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งเล่าเรื่องขำๆ ล้อบุคลิก อย่าง ที่ทรงโปรดเล่าบ่อยที่สุด คือ เรื่องที่นางแธชเช่อร์ไปเยี่ยมเยียน ศูนย์สงเคราะห์คนชรา
และเธอได้ไปจับมือทักทายหญิงชราคนหนึ่ง พร้อมถามด้วยคำถามว่า
"รู้ไหมจ๊ะ..ว่าฉันเป็นใคร?"
(ทรงทำท่าเป็น) หญิงชราคนนั้น ที่พยายามนิ่งคิด และ ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยอัจฉริยะวาจาว่า
"ไม่รู้ซิ..แต่ลองไปถามคุณแม่บ้านดูซิ..เขาคงช่วยบอกเธอได้หรอก ว่าเธอเป็นใคร.."

ภายในเดอะ เฟิร์ม ต่างเป็นที่รู้กันว่า ยามที่สมเด็จทรงเหนื่อยๆ หรือ ไม่สบพระอารมณ์ มักจะทรงทำหน้าตาคล้ายๆ Miss Piggy (การ์ตูน)
จนเป็นที่มาของ Miss Piggyface อันหมายถึง พระองค์ ซึ่ง ทรงรับทราบและเข้าพระทัยเป็นอันดี
ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้เปิดเทปวีดีโอของงานพระราชพิธีเก่าๆ พระองค์ทรงเรียกพระสวามีด้วยพระสุรเสียงที่ตื่นเต้น ว่า
"ฟิลิป มาดูนี่ซิ ฉันนั่งทำหน้าเป็นนังหมูอีกแล้ว.."  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 09:16
 ความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จกับนางแธชเช่อร์นั้น จัดได้ว่า คุ้นเคย แต่ไม่สนิทสนม ไม่เหมือนกับท่านนายกเชอร์ชิลล์ และท่านนายก วิลสันที่ทรงให้ความเป็นกันเองด้วยอย่างมาก
ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่า ทรงไม่เลื่อมใสในความที่นางแธชเช่อร์เป็นผู้หญิงด้วยส่วนหนึ่ง
และ อีกส่วนหนึ่งคือ เธอมักชอบทำท่าเคร่งเครียดจนดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครอง (ตามปากคำของเจ้าฟ้าชายชารลส์)
และจากการที่ค่อนข้างเคร่งครัดในแทบทุกเรื่องของนางสิงห์เหล็ก ทำให้เจ้าฟ้าชายต้องถวายจดหมายไปถึงสมเด็จ เพื่อทูลเตือนให้ทรงทราบว่า
ขืนปล่อยให้นางออกกฏหมายแบบตามใจตัวเองแล้วละก้อ บ้านเมืองเห็นทีจะล่มจมแน่..

ไม่เพียงแต่เจ้าฟ้าชายเท่านั้น ที่ทรงเป็นห่วง เหล่าบรรดาผู้นำประเทศในเครือจักรภพอื่นๆ ก็เห็นด้วย..ว่ายัยนี่คือตัวอันตราย..

เรื่องความหมางระหว่างสมเด็จกับนางสิงห์เหล็กนั้น ส่วนใหญ่คือเรื่องนโยบายของประเทศในเครือจักรภพนั่นเอง
ที่ นางมองไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องมาปรนเปรอดินแดนเหล่านั้น
ส่วนที่ต้องมาสนใจให้มากคือ ความสำคัญของประเทศอังกฤษที่พึงมีต่อกลุ่มประเทศอื่นๆ ในยุโรป
และไม่เห็นด้วยกับที่สมเด็จทรงต่อต้านนโยบายแบ่งแยก
สีผิว จนถึงขนาดไปบ่นกับคนใกล้ชิดว่าสมเด็จไม่ใช่พวกเดียวกันกับเรา

ส่วนทางสมเด็จ พระองค์ก็ทรงตรัสกับนาย แอนโธนี่ เบนน์ ว่า เหล่าผู้นำของประเทศในยุโรปอื่นๆ นั้น ค่อนข้างกระด้าง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงไม่สนพระทัยในการที่จะคบค้าให้มากความ
นายแอนโธนี่จึงได้กลับมาบันทึกในไดอะรี่ว่า..ที่พระองค์ทรงมีความคิดในด้านลบในเรื่องกลุ่มประเทศในยุโรปที่รวมตัวกันเป็นสหภาพนั้น เป็นเพราะทรงเห็นได้ชัดว่า พระองค์ไม่ได้รับความสำคัญใดๆ

นายแอนโธนี่ ได้เขียนเพิ่มเติมไว้ว่า สมเด็จทรงตรัสตามสคริปต์ที่สำนักพระราชวังเขียนมาให้เป๊ะๆ แม้กระทั่งคำว่า "อรุณสวัสดิ์" ถ้าไม่เขียนมา ก็จะไม่ตรัส..


เรื่องที่ทรงที่ไม่พอพระทัยในตัวนายกรัฐมนตรี อีกเรื่องหนึ่งที่ว่า นางสิงห์เหล็กทำท่าว่าจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้ ชาร์ แห่ง อิหร่าน เข้ามาลี้ภัยอยู่ในอังกฤษตามที่ได้ตกลงไว้แต่ทีแรก
สมเด็จจึงต้องประกาศว่า..เมื่อพูดคำไหนแล้ว ควรต้องเป็นคำนั้น เปลี่ยนไม่ได้

แต่ ถึงแม้จะไม่ค่อยโปรดปรานนางสิงห์เหล็กมานัก พระองค์ก็ยังมอบเครื่องราชย์สูงสุด คือ The Order of the Garter ให้ หลังจากที่เธอได้พ้นจากตำแหน่งไป
อันเป็นประเพณี ที่ว่า อดีตนายกจะต้องได้รับทุกคน (ทั้งประเทศจะมีแค่ยี่สิบสี่คน ตามโควต้า)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 09:30
 ยิ่งเรื่องอาณาประเทศในเครือจักรภพของพระองค์นั้น   ไม่ว่านางสิงห์เหล็กจะคัดง้างอย่างไร ก็ไม่ทรงสนพระทัย ทรงเสด็จเยี่ยมเยียน ดูแลทุกข์สุขเช่นเดิม
อย่างเช่น แคนาดา และ ออสเตรเลีย ที่กำลังฮึ่มๆ อยากแยกตัวเต็มทีนั้น
พระองค์ได้ทรงเสด็จไปเยือนแคนาดา ถึง สิบสองครั้ง ออสเตรเลียเก้าครั้ง (สถิติ รวมมาจนถึงปี 1982)

ต่อจากนั้น พระองค์ได้ส่ง เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมาร และ ไดอะน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไปเยือนในปี 1983 นานถึงหกอาทิตย์

ในตอนนั้น ไดอะน่า ได้ปฏิเสธที่จะเดินทาง แต่เมื่อเป็นพระราชประสงค์ เธอจึงขอเกี่ยงงอนด้วยการนำพระโอรสวัยเก้าเดือนโดยเสด็จด้วยพร้อมพระพี่เลี้ยง
โดยการอ้างกับพระสวามีว่า
"จำไม่ได้หรือไง ว่าตัวเองก็เคยว้าเหว่กับการที่ถูกแม่ทิ้งไปนานเป็นเดือนๆ เมื่อตอนเด็กๆ นั่นน่ะ"

อีกทั้งนำความที่พระสวามีเคยปรับทุกข์ให้ถึงการที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นมาตอกย้ำ
ตามด้วยการสำทับว่า
"หม่อมฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับวิลส์ของเราเด็ดขาด ถึงแม้จะยังเล็ก ไม่รู้ประสีประสาอยู่ก็จริง แต่ลูกต้องได้รับความอบอุ่น"

เมื่อเจ้าฟ้าชายได้นำความกลับไปทูลให้สมเด็จทรงทราบว่า พระชายาจะนำพระโอรสไปด้วย ซึ่งสมเด็จค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วยในทีแรก แต่หลังจากที่ได้ปรึกษากับเดอะ เฟิร์มแล้ว..จึงต้องจำพระทัยยอมอนุญาต
ที่ต้องทรงไตร่ตรองให้ดีนั้น เป็นเพราะว่าในระยะนั้น พระชายามีทีท่าที่แปลกประหลาด ยากต่อการเอาใจให้ถูกต้องตามอารมณ์
จากตัวอย่างที่เพิ่งเกิดในการไปเล่นสกีที่ออสเตรีย

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ทั้งเจ้าฟ้าชายและไดอะน่าได้ถูกติดตามโดยเหล่าปาปารัสซี่แบบมืดฟ้ามัวดิน ยุ่บยั่บเต็มไปทั่วหมดทั้งบริเวณ ไม่ว่าโรงแรม ห้องอาหาร ร้านค้าที่มีแต่มนุษย์ที่มีกล้องพร้อมเลนซ์ในมือ
จนเหมือนกับการเกิดโกลาหลย่อยๆ ที่ทุกคนต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะพยายามถ่ายภาพเด็ด
(หมายถึงยามที่ไดอะน่าอาจเกิดการหกล้มก้นกระแทก หรือ ลื่นไถลเสียหลัก)
ยังไม่รวมเหล่านักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาสมทบอีกจำนวนไม่น้อย ที่ตำรวจต้องออกมาทำงานกันอย่างหนัก

คราวนี้เป็นที่น่าแปลกกว่าครั้งไหนๆ เพราะปรกติแล้ว พระชายาจะใช้เสน่ห์หว่านล้อมนักข่าวอย่างได้ผลทุกครั้ง แต่..ครั้งนี้กลับทำท่าบึ้งตึง ไม่ยอมให้ถ่ายรูป โดยการตลบหมวกขึ้นมาปิดหน้าบ้าง ใส่แว่นสกีปิดหน้าบ้าง
พระสวามีถึงกับลงทุนอ้อนวอนว่า..
"ได้โปรดเถอะ ให้เขาถ่ายรูปให้เสร็จๆ ไปได้ไหม..โพสต์ให้เขาหน่อยนะ จะได้จบๆ กันไป"
ไม่ว่าจะตรัสอย่างไร พระชายาก็ไม่ยอมท่าเดียว หลบหน้าหลบตา ก้มหน้างุด..
จนในที่สุด เจ้าฟ้าชายก็ถึงกับเสียพระอารมณ์ไปทั้งวัน

ในหน้าหนังสือพิมพ์ของวันรุ่งขึ้น นักข่าวได้แก้แค้นด้วยการกล่าวหา และทำสกู๊ปข่าวในเรื่องของการไม่เอาไหนของเจ้านายทั้งสองว่า
ไดอะน่าได้ทำกลลวง โดยการทำหุ่นหญิงผมบลอนด์นั่งในรถที่ขับออกไปเป็นการล่อนักข่าว ที่ขับตามกันไปอย่างเร็วถึงเหยียบร้อยไมล์ต่อชั่วโมง
พอขากลับ ก่อนที่จะเข้ามาในบริเวณที่พำนัก ฝ่ายอารักขาได้รับคำสั่งให้เลื่อนที่กั้นเข้ามาปิดเขตอย่างกระทันหัน
จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ที่นักข่าวบางถึงกับได้รับบาดเจ็บถึงเลือดตกยางออก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจถึงขั้นเสียชีวิต

สมเด็จได้ทรงอ่านข้อความอย่างละเอียด ถึงกับตกพระทัย ที่เรื่องราวออกจะบานปลายใหญ่โต จึงมีพระบัญชาให้นาย
วิคเตอร์ แชปแมน นักการทูตชาวเคเนเดี้ยน
ผู้ที่จัดว่ามีสาลิกาลิ้นทอง และ นางฟรานซิส คอร์นิช ฝ่ายเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายไปพบกับพระโอรสและพระสุณิสาเพื่อที่จะเจรจาความว่า เรื่องราวเป็นไงมาไง..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 09:57
 นาย วิคเตอร์ แชปแมน หรือเป็นที่เรียกขานกันสั้นๆ ว่า "วิค" พร้อมกับ นางฟรานซิส ได้รับพระบัญชาให้รีบบินไปยังรีสอร์ตสกีที่ ลิคเทนไทน์ (Liechtenstein) ในบ่ายวันนั้นเพื่อที่จะไปแก้ใขและช่วยสะสางปัญหา
ตลอดในช่วงของการเจรจากับเจ้าฟ้าชายและพระชายานั้น นางฟรานซิสได้ตอกย้ำให้พระชายาได้ทราบถึงภาระและหน้าที่พึงปฏิบัติ  ต้องรู้จักการเก็บน้ำขุ่นอยู่ใน นำน้ำใสออกมาไว้ข้างนอก อย่าไปงัดข้อกับนักข่าวโดยไม่มีความจำเป็น

และที่สำคัญที่สุดเหนือกว่าประการใดๆ ทั้งปวง คือ จะทำอะไรก็ตาม.. ต้องรักษาพระเกียรติและรักษาพระพักต์ของสมเด็จพระราชินีเยี่ยงชีวิต

แต่ไดอะน่าในตอนนั้น หมดความอดทนกับคำสั่งของเดอะ เฟิร์มอย่างเต็มประดา ไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้น
แต่..เมื่อ วิคได้นำข้อความอย่างเดียวกันนั้นมาถ่ายทอดใหม่
อย่างชนิดพูดไปขำไป มีการยักคิ้วหลิ่วตาแถมให้ ไดอะน่ากลับชอบใจ เห็นว่าเขาเป็นคนสนุกและยอมรับฟังมากขึ้น
วิค..ในสายตาของเพื่อนๆ คือ คนที่มีเสน่ห์ในการพูดคุย รื่นเริง เจ้าชู้พอประมาณ แต่งงานมาแล้วสองครั้ง ลูกสาวห้าคน เขารู้เทคนิคดีว่า คนอย่างปริ้นเซสส์ ออฟ เวลส์ นั้น
ต้องใช้ลูกล่อลูกชน..จึงจะได้ผล

พระชายาผู้ซึ่งกำลังมีปัญหามากมายในเรื่องสุขภาพที่พยายามลดน้ำหนักอย่างหักโหมหลังคลอด จนในที่สุด ก็สามารถลดได้ถึง ห้าสิบสามปอนด์
และนั่นหมายถึงสูตรสำเร็จของโรคบูลิเมียอาจกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ เธอได้พยายามที่จะลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ คือ กินให้น้อยและเพื่อเป็นการที่ไม่ต้องฝักใฝ่ในเรื่อง
รับประทานตลอดเวลา เธอจึงใช้วิธีหาทางออกแบบง่ายๆ คือ การช็อปแหลก..

แต่ไหนแต่ไรมา พระชายาเคยฝันเสมอว่า จะต้องเป็นเจ้าหญิง แห่ง เวลส์ที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษตั้งแต่ที่เคยมีมา
และ โอกาสของความเป็นจริงตามฝันกำลังใกล้เข้ามา
ไดอะน่าได้เก็บสะสมภาพของตัวเองพร้อมทั้งคำติชมจากหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เอาไว้เป็นครู
อีกทั้งเธอได้บอกกับเหล่าบรรดานักแฟชั่นประจำตัวทั้งหลายว่า เสื้อผ้า และองค์ประกอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรองเท้า หมวก หรือ กระเป๋าถือนั้น ต้องสุดล้ำแฟชั่น ทันสมัยจี๋ จะให้มาถือกระเป๋าทรงตระกร้าใส่กับข้าว หมวกที่มีขนนกรุงรัง รองเท้ายกพื้น ส้นตึก แบบผู้หญิงในเดอะ เฟิร์ม นั้น
จงลืมไปได้เลย..
ทุกอย่างที่เป็นเธอ จะต้อง เลิศหรู งดงามจนใครเห็นเป็นต้องตะลึง..

ผลคือ..ทุกอย่างได้ออกมาตามนั้น แม้แต่ นิตยสารโวค ถึงกับต้องยกย่องว่า..เธองาม งามเหลือเกิน..จนเห็นแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น..!!


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 06, 10:01
 พระหฤทัยของพระสวามีก็พลอยหยุดเต้นตามไปด้วย ที่เห็นว่า พระชายาได้ใช้เงินถึง 1.5 ล้านปอนด์เพียงเวลาชั่วปีเดียว เงินทุกเม็ดกลายเป็น เสื้อผ้ากว่าสี่ร้อยชุด รวมรองเท้า กระเป๋า หมวก
ยามที่ทรง "โวย"  พระชายาตอบไปว่า จำเป็นต้องมี เพราะต้องออกงานให้เดอะ เฟิร์ม ไงล่ะ หรือจะให้ใช้หนังเสือคลุมร่างไป..

จากนั้นมาความเป็นแม่เสือของไดอะน่า เริ่มออกลายโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หนังเสือมาคลุมร่าง เพราะ เธอได้จัดการกำจัดข้าราชบริพารของพระสวามีตัวสำคัญๆ ที่เธอได้ตั้งชื่อให้ไว้ว่า "The Pink Mafia"
สาเหตุคือ พวกตัวเอ้เหล่านี้ คือ พวกชาวสีม่วงทั้งสิ้น
ไดอะน่าอ้างว่า ไม่ต้องการให้พระโอรสได้คลุกคลีและอยู่ใกล้ชิด   รวมไปถึงคุณสุนัขแลบาดอร์ชราสุดรักของพระสวามีด้วย   เพราะมันช่างฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง

ชีวิตความเป็นอยู่ของสองคนนี้ ไม่ผิดแผกอะไรกับพวกนักการเมือง ที่วันๆ เอาแต่มานั่งสนใจในเรื่องโพลล์ที่จะออกมาเกี่ยวกับตัวเอง หรือไม่ก็นำความไปปรึกษากับ
บรรดาคนสำคัญในพรรคจารีตนิยม
ที่ไม่ว่าเจ้าฟ้าชายจะตรัสอะไร พวกนี้ก็จะกลายเป็นขุนพลอยพยักกันไปหมด
แต่..เพื่อเป็นการโปรโมทครอบครัวตัวอย่างแห่งประเทศชาติ ไม่มีอะไรดีไปกว่าสื่อโทรทัศน์ ที่ทั้งสองจะออกมาให้สัมภาษณ์ตามความเป็นจริง (แบบที่สคริปต์ เขียนมาให้พูด)

เจ้าฟ้าชายได้รับการโค้ชโดย เซอร์ ริชาร์ด แอทเทนโบโร่ ว่าพระองค์สมควรที่จะองค์แบบสามีผู้แสนดี สุดโรแมนติค  พระชายาไดอะน่า ก็เป็นช้างเท้าหลังที่คอยสนับสนุนพระสวามีทุกฝีก้าว พระโอรสทั้งสองทรงพระสำราญแบบเด็กๆ เป็นแบคกราวนด์ของฉาก..
นั่นคือ เดือน ตุลาคม 1985 ซึ่ง สี่สิบห้านาทีของรายการ..ล้วนมีแต่สิ่งที่สมมุติทั้งสิ้น
เช่น..
พระชายาได้ออกมาปฏิเสธว่า..ไม่เคยลดน้ำหนัก (แบบเอาเป็นเอาตาย) ไม่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือย เคารพนับถือเจ้าฟ้าหญิงแอนน์อย่างสุดชีวิตจิตใจ
พระสวามีได้ตรัสว่า..ไม่เคยเล่นกระดานผีถ้วยแก้ว  ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:29
 หลายคนในวงในเริ่มสงสัยว่า หรือโรคบูลิเมียจะกลับมาอีกแล้ว หรือ เป็นเพราะความเครียดหลังคลอด ที่ทำให้พระชายาเริ่มงอแง อารมณ์บูดกับนักข่าว
แต่..กับวิคแล้ว ไดอะน่าได้สารภาพว่า เบื่อเหลือเกินกับการที่มีชีวิตที่ต้องแขวนไว้กับหน้าที่และภาระกิจจนอยากจะท้องอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกงาน

วิครีบเสนอและให้ความเห็นว่า..ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี  หากแต่พระองค์จะไปบอกกับฟรานซิสไม่ได้เชียว ไม่งั้นละก้อ ถึงพระกรรณสมเด็จแน่ๆ

เพราะความทันกันและรู้ใจกันดีนี่เอง วิคจึงได้ร่วมเดินทางไปออสเตรเลียด้วย
ซึ่งในการเดินทางนี้ วิคได้มีโอกาสที่จะแทรกสอนความเป็น "เจ้าหญิง" ให้แก่พระชายาแบบฟูลไทม์ ไม่เว้นช่องไฟแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ

เขาได้ให้บทเรียนบทแรกแก่พระชายาว่า..
"พระองค์ควรที่จะเต้นรำกับพระสวามีบ่อยๆ เพื่อที่จะได้มีภาพออกมาในหน้าสื่อ "
เขาได้บอกก่อนที่ทั้งคู่จะไปปรากฏตัวในงานการกุศลที่ Southern Cross Hotel ในเมล์เบอร์น  ซึ่งไดอะน่าทำหน้าย่น..
เขารีบเสริมว่า
"ออกไปเต้นเถอะ แสดงให้โลกรู้ว่าพระองค์กำลังมีความสุข และเป็นคนที่เต้นรำได้สวยที่สุด"
"คุณว่า..สวยที่สุดจริงๆ หรือ?"
"สวยซิ..ถ้าไม่นับ เดม (=ท่านผู้หญิง) มาโกต์ ฟอนเทน นะ แต่อย่างลืมว่า เดม มาโกต์ น่ะมีคู่เต้น คือ รูดอล์ฟ นูเรเยฟ"
"น่านซิ..แต่ฉันต้องมาเต้นกับชารลส์นี่ซิ..แย่จริง"
ที่พระชายาต้องพูดเช่นนั้น เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เจ้าฟ้าชายไม่ค่อยชอบในเรื่องของการแสดงออกมากกว่าที่จำเป็น

แต่ในที่สุด เธอก็เชื่อวิค ทั้งคู่ได้ออกไปลีลาศอย่างสนุกสนานในท่วงทำนองของจังหวะดิสโกที่กำลังลือลั่น
เป็นข่าวและภาพขึ้นหน้าหนึ่ง..ชาวอังกฤษได้เห็นและต่างพากันชอบอกชอบใจ ต่างเรียกขานพระชายาในนามใหม่ว่า Disco Di

พอจบจากการเดินทางประพาสออสเตรเลียแล้ว.. ปัญหาใหม่ที่ตามมานั่นคือ พระชายาได้บรรลุถึงการเป็นสุดยอดแห่งความเป็นป๊อปปูล่าร์ที่ใครต่อใครทั่วโลกพากันรักใคร่ ใหลหลง
เพราะว่า..เธอมีคุณสมบัติครบถ้วนในความเป็นเจ้าหญิง ดังในความฝันของทุกคน สวย น่ารัก สง่า และมีเสน่ห์

แต่ส่วนที่เป็นปัญหานั่นก็คือ เธอได้ "ดับรัศมี" ของพระสวามีจนหมดสิ้น
จากเจ้าฟ้าชายที่เคยเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งโลก  เมื่อมาประทับเคียงข้างกับไดอะน่า..พระองค์กลายมาเป็นผู้ชายที่ทึ่มๆ เชยๆ คนหนึ่งเท่านั้น
จนพระองค์เองก็ยังแทบไม่เชื่อว่า สิ่งนี้ได้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ต่อตา และเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร..

เพียงชั่วเวลาไม่นาน จากเด็กสาวกะโปโลคนหนึ่ง กลายมาเป็นผู้ที่แย่งชิงความนิยม และครองดวงใจของคนทั้งโลก
ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ผู้คนต่างแห่ตามกันไปรอดูทางฝั่งของพระชายาอย่างหนาแน่น
เท่านั้นไม่พอ บางคนทำท่าผิดหวังที่มาคอยยืนผิดข้าง และต้องมาทนดูหน้าเจ้าฟ้าชาย
บางคนยื่นช่อดอกไม้ส่งให้ และทูลว่า  ฝากไปให้พระชายาไดอะน่าด้วย..ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้ตรัสแกมเย้าแกมขมขื่นว่า

"อ้อ..เดี๋ยวนี้ ฉันกลายเป็นคนส่งดอกไม้ไปแล้วหรือไง.."

ที่แสบสุดคือ บางคนถึงกับบอกพระองค์ว่า.. กระเถิบไปหน่อย..อย่ายืนบังได้ไหม?  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:38
 ภาพนี้ไดอะน่ากำลังเต้นรำกับจอห์น ทราโวลต้า ยอดดาราเท้าไฟแห่ง Grease และ Saturday Night Fever  เมื่อเสด็จเยือนทำเนียบขาว
เป็นที่ฮือฮาไปทั่วอเมริกา  เธอชนะใจคนอเมริกันได้อย่างสวยงาม

ขอออกความเห็นแทรกขึ้นมาหน่อยค่ะในตอนนี้
ดิฉันรู้สึกว่าสามีที่ไม่ค่อยมีวุฒิภาวะนัก มักจะทนภรรยาเก่งกว่า ดังกว่าไม่ได้   แต่สามีที่สุขุมกว่าจะมองในแง่ว่า
เขาเป็นที่อิจฉาของผู้ชายทั่วโลก
ถ้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์คิดยังงี้จริงๆ (ซึ่งก็มีข่าวออกมาหลายทางว่าจริง) ก็น่าสงสารมากที่พระองค์ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย
แทนที่จะมองว่าทรงได้พระชายาที่สามารถประชาสัมพันธ์และเชิดชูความโด่งดังของราชวงศ์วินด์เซอร์ได้อย่างไม่มีใครทำมาก่อน
แฟชั่นของไดอะน่าที่เลือกดีไซเนอร์อังกฤษออกแบบ ก็เป็นการโฆษณาผลงานชาวอังกฤษ นำรายได้มหาศาลมาเข้าประเทศ
มันมีแต่ผลดี     แต่...ก็ทรงมองแต่ผลเสีย ว่ามาข่มพระองค์ให้อับรัศมี   ไม่ได้มองอะไรไกลตัวซักคืบเดียว  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:43
 ข้อนี้มั้งเป็นหนึ่งในหลายๆข้อที่คามิลล่ารู้จุดอ่อน   เห็นได้จากเธอไม่พยายามจะทำตัวเด่นเอาเลย เวลาอยู่เคียงข้างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
นอกจากไม่เด่นแล้วยังพยายามกลมกลืนกับความเชยของอีกฝ่าย  แบบไปไหนไปด้วยกัน
ไม่เชื่อดูภาพนี้สิคะ   แต่งตัวกลมกลืนกันแค่ไหน  แฟชั่นของคามิลล่า ดูแก่พอๆกับควีนมัมทรงแต่งเมื่อพระชนม์ ๙๐
แบบนี้คงทำให้เจ้าชายสบายพระทัยขึ้นมาก


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:47
 หนังสือ Psychology Today ได้เขียนข้อความโดนใจไว้ว่า..บรรดาชาติต่างในโลกนี้ โดยเฉพาะ อังกฤษ และอเมริกา ที่มีชีวิตประจำวันที่แสนน่าเบื่อหน่ายและจำเจ

ทางออกของพวกเขาที่มีนั่นคือ การให้ความสนใจและลุ่มหลงชื่นชม บูชาในสถาบันเจ้านาย
อันข้อความนี้นั้นก็นับว่าจริงอยู่ไม่น้อย ดูตัวอย่างจาก อเมริกาที่ครั้งหนึ่งได้พร้อมใจกันยกย่องจ๊าคเกอลีน
เคนเนดี้ ราวกับเป็นเจ้าหญิง
หรือ อย่างในโมนาโค ที่ รักใคร่บูชาเจ้าหญิงเกรซ อย่างหมดใจ

ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์ ได้มาเหนือเมฆกว่าใครทั้งสิ้น เธอได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวประชาโดยที่ไม่ต้องลงทุนทำอะไรท้งสิ้น แต่ ยิ้ม และ ยิ้ม และ ยิ้ม เท่านั้น..
ผู้คนที่มาคอยเฝ้ายลโฉมของเธอนั้น สามารถทนรอได้นานนับชั่วโมง ไม่ว่าฝนจะตก หรือ หิมะจะร่วง..

วิคเริ่มมองเห็นความอึดอัดที่จะพึงบังเกิดแก่เจ้าฟ้าชาย..เขาแนะนำว่า ตอนนี้คงยังทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากต้องใช้อารมณ์ขันเข้าช่วย ขอให้นึกถึงประธานาธิบดี เคนเนดี้
ที่ครั้งหนึ่งในยามที่เยือนปารีส ก็คงมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะ ท่านได้กล่าวอย่างติดตลกว่า..
"กระผมคือ คนที่ติดตามท่านผู้หญิง จ๊าคเกอลีน เคนเนดี้มาเที่ยวปารีสขอรับ..."
และท่านเองก็ยังเห็นเป็นเรื่องขำ
เจ้าฟ้าชาย..สวนกลับไปว่า
"เผอิญว่า..ฉันไม่ใช่ เคนเนดี้ ซะด้วยซิ..เลยไม่ขำ"
และพระองค์ได้หลุดพระโอษฐ์ไปว่า
"ความจริง..ถ้าจะให้ดีนะ ต้องมีเมียสองคน ซ้ายคน ขวาคน แล้วฉันจะได้เดินตรงกลางสบายๆ ..ดีไหมล่ะ"

วิครู้ดีว่า..คนอย่างเจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมารแต่อ้อนแต่ออกนี่..ทนไม่ได้จริงๆ กับการที่ถูกลดค่าไปอย่างฮวบฮาบ แถมยังต้องโดนเบียดตกเวทีไปเสียอีก
พระองค์ย่อมรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้นำปัญหามาปรึกษากับวิค ในเรื่องของการที่พระชายาได้กัดเล็บตัวเองจนเลือดออกซิบๆ ว่า ช่างเป็นเรื่องน่าอายเสียจริง รู้ไปถึงไหนอายเขาถึงนั่น  เจ้าหญิงมัวมานั่งกัดเล็บเล่น..
ถ้าเป็นคนอื่น..คงต้องผสมโรงและช่วยกันยำเรื่องนี้ให้มีรสชาติขึ้น เพื่อเป็นการเอาพระทัยองค์มกุฏราชกุมาร  แต่กับวิค..เขารีบแก้ข้อความให้ถูกต้องทันที

เขาว่า..
"ที่พระชายาต้องมากัดเล็บตัวเองนั้น เพราะ เธอกำลังมีปัญหาในเรื่องของสื่อต่างๆ ที่ออกข่าวกันอย่างอึกทึกครึกโครมและเกรงว่า ทางเดอะ เฟิร์มจะไม่พอพระทัย
อย่างครั้งหนึ่ง ที่เธอได้ไปออกงานเปิดรัฐสภา พร้อมกับทรงผมใหม่ ที่ผู้คนต่างพากันแตกตื่น..ลืมสนใจ สมเด็จ..องค์ประธานในพิธีเสียสิ้น
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงหันไปเล่นงานเจ้าฟ้าชาย ที่ไม่รู้จักสั่งสอนเมีย และพระองค์เองก็ทรงตำหนิพระชายาอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ด้วย
แน่นอนที่ว่า ไดอะน่าจะต้องเกิดความรู้สึกที่หวาดหวั่น จนแทบไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก นอกจาก กัดเล็บตัวเอง
ขอให้ทรงจำไว้เถอะ ว่า ถ้าทรงเห็นเล็บของพระชายากุดสั้นเมื่อไหร่ แสดงว่า เมื่อนั้นแหละ มีปัญหา.."  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:50
 จากสถิติข่าวของหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ได้รวบรวมไว้ว่า..สามปีแรกของการอภิเษก พระชายาไดอะน่า ได้แสดงการปราศรัยในที่สาธารณะไม่เกินห้าร้อยคำ
เพราะว่า เธอเองได้ขาดความมั่นใจในการออกงานโดยปราศจากพระสวามีเคียงข้าง
แต่..งานแรกที่เธอกล้า "บินเดี่ยว" นั่นก็คือ งานพระศพของเจ้าหญิงเกรซ แห่ง โมนาโคผู้ที่ไดอะน่าได้ ชื่นชมและรักใคร่มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เคยพบกันหนเดียว (1982)
เธอได้เล่าให้เจ้าหญิงแคโรลีน พระธิดา (ของเจ้าหญิงเกรซ) ฟังว่า..เธอได้รู้สึกสนิทสนมกับเจ้าหญิงราวกับรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เพราะไม่ว่าอะไรก็เหมือนกันไปหมด

นับจากเกิดมาในราศีเดียวกัน มาจากครอบครัวที่ร้าวฉานเช่นกัน เป็นลูกคนที่สามเหมือนกัน แต่งงานกับเจ้าเหมือนกัน พอแต่งแล้วต่างก็ "ดัง" กว่าพระสวามีเหมือนกัน

( วิวันดาขอต่อให้เองว่า..มีโศกนาฏกรรมและพบกับจุดจบแห่งชีวิตเหมือนกัน..เรื่องนี้ขอแถมให้ละกันว่า ในหนังสือชีวประวัติของเจ้าหญิงเกรซ ถ้าใครได้อ่านแล้วจะหนาว
เพราะ เบื้องหน้าเบื้องหลังของความเป็นเจ้าหญิงเกรซนั้น มีอะไรหลายอย่างที่น่าตกใจและเศร้าใจ เช่นเรื่องการติดสุรา และ เรื่องชู้สาว)

ความจริงการไปโมนาโคของพระชายานั้น ไม่เป็นที่เห็นชอบของเดอะ เฟิร์มเลย และไม่มีใครสนใจที่จะไป
ส่วนเจ้าฟ้าชายพระสวามี กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงค์องค์แรกที่ทำการบริจาคโลหิตให้กับธนาคารเลือดเป็นตัวอย่าง
แต่กลับไม่เป็นข่าว..
เพราะตอนนั้น หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างสงวนไว้ให้กับข่าวฉลองพระองค์ของพระชายาไดอะน่าเท่านั้น จนเจ้าฟ้าชายถึงกับถอดพระทัย ทรงบ่นว่า..
"ให้ตายเถอะ ฉันอยากเป็นนาย บ๊อบ เกลดอฟ จริงๆ "
(ทรงหมายถึง Bob Geldof นักร้องชาวไอริชที่เพิ่งได้รับการประกาศเกียรติคุณที่ได้ช่วยหาเงินให้กับผู้อดอยากในเอธิโอเปียหลายล้านเหรียญ)

เมื่อฝ่ายราชเลขาธิการฯได้ฟังพระองค์บ่นดังนั้น จึงต้องรีบช่วยส่งข่าวให้ โดยการแจกข่าวพร้อมหลักฐานคือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต และอวัยวะ  ที่มีลายเซ็นแพทย์กำกับไปยังสื่อหลายฉบับ
ซึ่ง..การเขียนข่าวนั้นได้มีการเขียนจริง หากแต่เป็นช่องเล็กๆ ที่กลบทับไปด้วยข่าวของพระชายาในชุดสีเงิน เปิดไหล่ข้างหนึ่ง ในงานการกุศลของคืนก่อน

ไม่กี่วันต่อมา..กลุ่มส่งข่าวของเจ้าฟ้าชายได้กระตุ้นให้บีบีซีได้ทราบและให้ช่วยทำสกู๊ปว่า เจ้าฟ้าชายทรงสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของคนจรจัดในลอนดอนอยู่
ถึงขนาดลงทุนเสด็จเยี่ยมถึงสถานสงเคราะห์ที่พักชั่วคราวในจุดต่างๆ ในเวลาค่ำมืดดึกดื่น  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:54
 พระสหายในกลุ่มที่เล่นโปโลด้วยกันกับเจ้าฟ้าชาย มักลงความเห็นว่า พระองค์ทรงทำองค์แบบสบายๆ และ ธรรมดาที่สุด
หากแต่..เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระขนิษฐาเองได้สรุปได้ลงตัวที่สุด นั่นคือ ทำตัวเว่อร์ไป..
ทรงว่าที่พระตำหนักไฮโกรฟ (ที่ประทับใหม่ของเจ้าฟ้าชายและพระชายา) คุณพนักงานและมหาดเล็กจะต้องสวมยูนิฟอร์มที่ออกแบบพิเศษมีตราประจำของเวลส์ ประทับอยู่
และก่อนที่จะเข้าพบ ต้องถวายบังคมคำนับมาแต่ไกล
และเมื่อเสร็จธุระ ก็ต้องถวายบังคมอีกครั้ง  การเดินออกต้องก้าวถอยหลังออกไป

นายสตีเฟ่น แบร์รี่ รับใช้มากว่าสิบสองปี กล่าวว่า
"จะว่าไปแล้ว ผมก็นับว่าอยู่มานาน แต่ พระองค์ไม่เคยทรงทำให้ผมลืมได้สักครั้งว่า..ใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว"

เรื่องการเป็นดับเบิ้ล สแตนดาร์ดนั้น ไม่มีใครเกินพระพักต์ของเจ้าฟ้าชายอย่างแน่นอน (ถ้าจะมีก็คงเป็นนายกทัก..ของเราคนเดียว)
เช่นทรงปราศรัยบ่อยๆ ในเรื่องของการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง แต่ทรงใช้รถยนตร์ ยี่ห้อ เบนท์ลี่ย์ ที่ซดน้ำมันสิบไมล์ต่อแกลลอน
เรื่องการสนใจความเป็นอยู่ของคนยากจน ถึงขนาดไปเยี่ยมในสลัมหนึ่งวันเต็ม (ในการประพาสสองวันที่พิตตส์เบอร์ค สหรัฐอเมริกา)
แต่พอจบรายการเยี่ยมวันนั้น  วันรุ่งขึ้นก็ทรงไปเล่นโปโล ที่สนามหรูในปาล์ม บีช จากนั้น ก่อนกลับไปยังลอนดอน ทรงแวะเล่นสกีที่สวิตเซอร์แลนด์อีกต่างหาก

พระชายาไดอะน่าได้กลายมาเป็นตราสัญญลักษณ์อันสำคัญสุดของประเทศไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ตีพิมพ์ลงบนอะไร ต่างล้วนสร้างเม็ดเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

อีกทั้งเป็นสมาชิกพระราชวงค์คนแรกที่ยินดีสัมผัสมือกับประชาชนโดยไม่สวมถุงมือ ไม่รีรอที่จะจุมพิตทักทายกับราชอาคันตุกะ ไม่รังเกียจที่จะจับต้องตัวผู้ป่วยด้วยโรคร้าย
เป็นฐานอันมั่นคงให้กับพระราชวงค์วินด์เซอร์โดยเป็นความจริงที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

และมีความสามารถในเรื่องการแสดงอย่างหาตัวจับได้ยาก

ดังที่ได้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 23 ธันวาคม 1985 คือ งานแสดงการกุศลให้กับ ลอนดอน โอเปร่า เฮ้าส์ ที่จัดขึ้นที่หอประชุม Covent Garden
ในช่วงของการพักครึ่งเวลา ที่พระชายาได้ขอตัวไป "ทำธุระ" ต่อพระสวามี
ทันที่ที่ม่านสีแดงได้เปิดออกมา หญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งได้ออกมาทำการแสดงลีลาเต้นรำด้วยท่าทางที่สวยงาม ในเพลงป๊อปของ บิลลี่ โจเอล "Uptown Girl"
และผู้ชมร่วมกว่าสองพัน ต่างส่งเสียงฮือฮา ทันทีที่จำได้ว่า หญิงสาวคนที่กำลังแสดงความสามารถคู่กับนักเต้นบัลเล่ต์ชายชั้นนำของอังกฤษ นามว่า เวย์น สลีป อยู่นั้น คือ พระชายา ไดอะน่า ในชุดผ้าซาตินสีขาว
ซึ่งเธอได้เฝ้าฝึกซ้อมมาก่อนล่วงหน้าหลายเดือนในพระราชวังเคนซิงตัน เพื่อมีความประสงค์จะให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสกับพระสวามี
ลีลาท่าเต้นนั้น ออกแนวเซกซี่ ที่มีการเตะขาข้ามหัวฝ่ายชาย และการโอบกอด
ซึ่ง เวย์นได้ให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมละตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก พระชายาสูง เกือบหกฟุต ผมสูงแค่ ห้าฟุต สอง แต่โชคดีที่ไม่มีใครมาเฝ้าดูผม ต่างจับสายตาไปที่เธอคนเดียวหมด
แต่ผมก็ยังไม่วายหวั่น เพราะผู้หญิงในวงแขนของผมนั้น คือพระราชินีของเราในอนาคต"

หลังจากที่การแสดงได้จบลง เสียงเรียกให้ออกมารับการปรบมือดังติดต่อกันยาวนานจนทั้งคู่ต้องออกมาโค้งถึงแปดครั้ง
ไดอะน่าได้หันไปถอนสายบัวให้กับทิศทางของพระสวามีที่ประทับอยู่ในชั้น รอยัล บ๊อคซ์
เจ้าฟ้าชายเมื่อหายจากการตื่นตะลึง ก็ทรงลุกขึ้นปรบพระหัตถ์ให้ ..

หากแต่..เมื่อลับหลังแล้ว..พระองค์มิได้ทรงเห็นดีงามด้วยเลยสักนิด ตำหนิพระชายาว่า ไม่เข้าท่า ทำไปเพราะหลงตัวเอง อยากแสดงออกจนไม่คิดถึงว่าอะไรควรไม่ควร และ ที่ทำลงไปเพราะอยากเป็นจุดสนใจ..

ทั้งหมดนี่..คือ ความร้าวฉานที่คนสองคนไม่มีวันเข้าใจในความรู้สึกของกันและกัน ไม่มีทางสมานได้ อีกทั้งกลายมาเป็นพลังแห่งความเบื่อหน่ายจนต้องไปหาที่พักพิงใจจาก "ที่อื่น" และ "คนอื่น"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:55
 คุณวิวันดาหารูปมาให้ดูกันจุใจ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:56

*


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 06, 10:57

*


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:00
 มาถึงปี 1985 ที่ชีวิตคู่เริ่มอับเฉา และ กำลังจะอับปางนั้น ทั้งคู่เริ่มต่างแยกกันออกงาน ต่างคนต่างไป..

เจ้าฟ้าชายชารลส์แทบจะแน่พระทัยเลยว่า..พระชายาได้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับองค์รักษ์ สิบโท แบร์รี่ แมนเนคี อย่างแน่นอน เพราะในยามนั้น ไม่ว่าไดอะน่าจะไปที่ไหน แบร์รี่ได้ติดตามราวกับเงาตามตัว

แบร์รี่ คือ หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้า แต่งงาน มีบุตรแล้วสองคน เขาเป็นคนที่ท่าทางสมาร์ทแบบชายชาตรี และ เป็นคนอารมณ์ดี เข้ากับใครต่อใครได้ง่าย
มีบุคลิกเหมาะสมกับงานที่ต้องดูแลไดอะน่าอย่างที่สุด เพราะเขาเป็นคนที่ยินดีรับฟังความทุกข์ของเธอได้ทุกเรื่อง อีกทั้งรู้จักการปลอบโยนให้กำลังใจ
จนเขาได้รับความไว้วางใจให้ติดตามไปได้ทุกที่ แม้กระทั่งพาพระโอรสไปตัดพระเกศา หรือ เป็นคนคอยหิ้วถุงให้ในยามออกไปช้อปปิ้ง

ในช่วงมรสุมร้ายๆ ที่กระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ขาดระยะนั้น หลายครั้งที่พระชายาไปปรับทุกข์กับแบร์รี่ บอกเขาว่า
"ฉันกำลังจะทนไม่ไหวแล้วนะ อยากจะหลุดพ้นไปจากไอ้วงจรบ้าๆ นี่เสียที"
แบร์รี่ได้อุทิศแผงอกให้เธอได้ซบ และ ช่วยซับน้ำตา ..เขาว่า
"อย่าว่าแต่ผมเลย..เป็นใครๆ ก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องโรแมนติคบ้าบออะไรนั่นซะหน่อย"
เขาได้กลายมาเป็นผู้ที่รับรู้เรื่องความในใจของเธอเกือบทั้งหมด ไดอะน่าได้เล่าให้แบร์รี่ฟังว่า เธอเชื่อมั่นว่า พระสวามีและนางคามิลล่า ไม่เคยเลิกราจากกันตามที่พระองค์ได้เคยสัญญาไว้กับเธอก่อนการอภิเษก  เขากลับไปหากันอีก
เพราะว่า ในช่วงวันหยุดช่วงหนึ่ง ที่เธอได้มาถึงพระตำหนักไฮโกรฟ พระสวามีไม่อยู่..
มหาดเล็กแจ้งว่า พระองค์ได้เสด็จไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที ขับรถสปอร์ตออกไปและไม่ได้บอกไว้ว่าเสด็จไปไหน..
เธอจึงเข้าไปค้นหาหลักฐานในห้องทรงพระอักษร กดย้อนดูเบอร์โทรต่างๆ ในเครื่องโทรศัพท์ และกดเบอร์สุดท้าย..ปรากฏว่า เป็นเบอร์ของบ้านคามิลล่าที่มีคนมารับสาย เธอจึงได้วางหูลง ไม่ได้พูดอะไร
เพราะแน่ใจแล้วว่า พระสวามีไปที่นั่น..

จากนั้น ก็ค้นต่อไปที่สมุดบันทึกนัดส่วนพระองค์ และพบว่า ในวันนั้น เวลานั้น ได้มีเขียนตัวอักษร C เอาไว้..
และ ในลิ้นชัก เธอได้พบกับจดหมายของคามิลล่าปึกใหญ่
ที่เขียนด้วยเนื้อความที่สนิทสนม และ ลึกซึ้ง
และจ่าหัวไว้ด้วยคำขึ้นต้นว่า My Beloved !!  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:03
 หลังจากที่เล่าจบ ไดอะน่าได้ฟูมฟาย รบเร้าถามแบร์รี่ว่า
"ทำไม..ทำไม เขาถึงเห็นนังนั่นมันดีไปกว่าฉันล่ะ"
"ทรงไม่ค่อยฉลาดกระมังพะยะค่ะ..ไม่ฉลาดค่อยข้างมากด้วย" แบร์รี่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน
แค่นั้น ไดอะน่าก็ยิ้มออก เพราะเธอมักรู้สึกขันในสำเนียงอังกฤษชั้นกลางปนล่างๆ ของเขาบ่อยๆ
หรือไม่ว่าก่อนออกงานไปไหนทุกครั้ง เธอมักจะถามเขาถึงความเห็นในเรื่องเครื่องแต่งกายก่อนเสมอ ว่า ดีไหม สวยไหมซึ่งทุกครั้งนั้น เธอมักได้คำตอบที่น่าพอใจ

ความสนิมสนมของคนทั้งสองในฉันท์มิตรนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าฟ้าชายอย่างมากมาย
เพราะดังที่บอกแล้วว่า เรื่องดับเบิ้ล สแตนดาร์ด เนี่ย..ไม่มีใครเกิน
พระองค์ได้กล่าวหาพระชายาว่า ไม่รู้จักวางตัว ชอบเกลือกกลั้วคบหากับคนใช้
สาเหตุอื่นๆ ก็เป็นเพราะว่า พระองค์ทรงอายเหลือกำลัง ที่พวกคุณพนักงาน มหาดเล็กทั้งหลายนั้น ต่างได้รับรู้ รับเห็นการทะเลาะเบาะแว้งของพระองค์และพระชายา ที่เมื่อก่อนก็มีการปึงปังกันในห้องหับมิดชิด
แต่ในระยะหลังๆ นั้น ไม่ว่าตรงไหนก็เกิดเหตุได้ทั้งนั้น

พระองค์ได้กล่าวหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ช่างเถียงอย่างไม่ลดละ ไม่เคยให้เกียรติกัน
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เมื่อแรกของการแต่งงานใหม่ๆ พระชายาเป็นคนติ๋มๆ ติดขี้อายซะด้วยซ้ำ
หากแต่..เริ่มจากที่เธอได้รับแรงใจ และ แรงเชียร์จากประชาชนทั่วประเทศในการเป็นดาวดวงเด่นแห่งวินด์เซอร์ ความเกรงพระทัยในพระสวามีก็ลดน้อยถอยหายไปอย่างหมดสิ้น
เคยมีการทะเลาะกันที่ถึงขนาดว่า เธอได้ขว้างกาน้ำชาไล่หลังพระสวามีแบบลอยละลิ่ว..เฉียดหน้าคุณพนักงานไปฉิวๆ

ไดอะน่าไม่เคยชอบทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่อยู่รอบพระสวามี เช่นกีฬาโปโลที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนแก่ๆ ที่พล่ามทั้งวัน ตัวเหม็นไปด้วยกลิ่นซิการ์หึ่ง..การตกปลา ไปเล่นสกี
ทั้งหมดนั้น เธอได้กล่าวหาว่า มันคือข้อแก้ตัวที่ยกมาใช้ในการที่จะหนีไปจากเธอให้พ้นๆ

เจ้าฟ้าชายได้สวนตอบไปว่า..
"ที่ต้องออกไปให้พ้นๆ หน้าเธอ เพราะ อยากจะให้สมองได้พักผ่อนมั่งน่ะซิ ใครจะไปทนอยู่กับคนที่สติไม่ดีได้ล่ะ ไปไหนก็เป็นลม ป่วยได้ทั้งปี ทำไมไม่รู้จักทำตัวให้เหมือนเฟอร์กี้บ้างล่ะ"
(ตอนนั้นคือตอนที่บูลิเมียได้คุกคาม กินอะไรไปก็ออกมาหมด ท้องว่าง..พอไปงานก็เป็นลมพับถึงขนาดต้องหาม)

แต่ยามที่ทั้งคู่ต้องออกงานสู่สายตาของประชาชน การเล่นละครยังคงฝืนกระทำได้ดี


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:05


   วิธีเดียวในการแก้แค้นของพระชายาคือเธอรู้ดีว่า พระสวามีนั้นเป็นคนที่ตระหนี่ (ค่อนข้างมาก) การจับจ่ายใช้สอยแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังได้เกิดขึ้นทันที

เรื่องการเหนียวของเจ้าฟ้าชายนั้น ช่างเสมอเหมือนและเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับคามิลล่าอย่างที่สุด   นี่คือสิ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่พระองค์ได้ชื่นชอบผู้หญิงคนนี้นักหนา

ตัวอย่างเช่น ทั้งสองคนได้คุยกันในงานหนึ่ง คามิลล่าบ่นว่า ค่าซักแห้งเสื้อผ้าสมัยนี้ช่างแพงจนจับไม่ลง เจ้าฟ้าชายรีบพยักเพยิดเห็นด้วย รีบตรัสว่าบิลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของพระองค์ก็มากมาย เห็นแล้วยังไม่วายพระทัยหาย..

ว่าแล้วทั้งคู่ก็ผสมโรงคุยเรื่องของแพงกันเป็นวรรคเป็นเวร (ทั้งๆ ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์จัดอยู่ในอันดับของบุคคลที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง)



ครั้งเมื่อพระชายาเอ่ยขอให้สร้างคอร์ทเทนนิสในพระตำหนักไฮโกรฟ ในตอนที่ย้ายเข้าไปใหม่ๆ พระองค์ทรงว่า สิ้นเปลืองอย่างไม่จำเป็น และ ไม่สร้าง

"ทรงตรัสเล่นหรือเปล่าเพคะ เงินแค่สองหมื่นเนี่ยนะ..กับความสุขของครอบครัว ว่า สิ้นเปลือง แล้วทีกับไอ้สวนผักบ้าๆ ที่สร้างแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่

ทำไมไม่ตรัสบ้าง..พระองค์ไม่เคยสนใจเลยว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร สนใจแต่เรื่องขององค์เองเท่านั้น เห็นแก่ตัวที่สุด " พระชายาโวยอย่างสุดกลั้น

เจ้าฟ้าชาย..ทรงยกพระอังสะแบบไม่สน และเสด็จออกไปนอกห้องทันที



ไดอะน่าอาละวาดสุดฤทธิ์อยู่ในห้อง ยามถึงเวลาดินเนอร์ เธอไม่ลงมาร่วมโต๊ะเสวย แต่ให้จัดถาดไปให้ในห้องพระโอรส..บอกว่า

"ที่นี่คือที่เดียว..ที่ฉันได้รับความรักอย่างเต็มที่ ไม่ต้องแบ่งปันกับใคร"



ศึกพายุอารมณ์นั้น เพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน มีการขว้างปาทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ หรือ ผรุสวาทด้วยถ้อยคำหยาบคาย

ที่ครั้งหนึ่ง พอเริ่มการทะเลาะกันเจ้าฟ้าชายก็กระแทกพระบาท..เสด็จออกไปข้างนอกตามเคย..

พระชายาวิ่งปราดไปที่หน้าต่าง ตะโกนจากชั้นบนลงมาว่า..

"You're shit, Charles, an absolute shit!"

ในครั้งที่ขว้างกาน้ำชาคราวนั้น ไม่ใช่แต่กาเฉยๆ แต่เสียงด่าตามหลังไปด้วยว่า

"You're fu...ing animal, Charles, and I hate you!"



ข่าวนี้ได้รู้ถึงหูของนักข่าว แน่นอนว่า ไม่กี่วันต่อมา หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล์ ที่เป็นฐานเสียงของเดอะ เฟิร์ม ได้โจมตีพระชายาอย่างไม่มีชิ้นดี ว่าเป็นหญิงที่มีนิสัยเลวร้าย ขยันสร้างปัญหาให้กับพระสวามีจนไร้ซึ่งความสุขและสันติ



แบร์รี่ได้ถูกสั่งย้ายไปประจำยังหน่วยงานอื่น ไม่ต้องเป็นองค์รักษ์อีกต่อไป และไม่กี่เดือนต่อมา เขาได้ประสบอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุก เสียชีวิต..

ซึ่งพระชายาได้เชื่อว่า มันมิใช่อุบัติเหตุธรรมดา อาจเป็นฝีมือของพวกสายลับอังกฤษที่จอมบงการน่าจะเป็นคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:07
 กระแสเคลื่อนไหวในข่าวของการแตกร้าวได้เริ่มประโคม เพราะจากการออกงานมาตลอดปีนั้น พอสรุปได้ว่า คนทั้งคู่แทบไม่เคยออกงานด้วยกัน ต่างคนต่างไป
ไดอะน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดในเรื่องนี้ เธอมักแสดงความฉุนเฉียวกับนักข่าวบ่อยๆ
ในการเยือนสถานเลี้ยงเด็กต่อมา มีผู้ได้ขอให้เธอยืนให้ช่างภาพได้ถ่ายรูป เธอตอบอย่างสะบัดๆ ว่า
"ก็เรื่องอะไรล่ะ หนังสือพิมพ์ไม่เคยมาทำอะไรให้ฉัน"

วันรุ่งขึ้นเท่านั้น..ประโยคนี้ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ได้ตอบสวนทันทีว่า
"ก็ทำมาให้ทุกอย่างนั่นแหละ.."
ต่อด้วยว่า..หากถ้าไม่มีหนังสือพิมพ์คอยหนุนหลัง คอยยกยอส่งเสริม อย่าว่าแต่ไดอะน่าเลยทั้งเดอะ เฟิร์ม (ด้วย..เอ้า)
รับรองว่า จืดชืดสนิท ไม่มีใครรู้จัก สนใจ เผลอๆ อาจเซ็งยิ่งกว่าราชวงค์ของเดนมาร์ค และ สวีเดนอีกซะด้วยมัง..

ไดอะน่าเริ่มรู้สึกตัว อ้อมแอ้มตอบว่า ก็ทำงานอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาไปมั่งนี่
(แม้แต่ทางสำนักพระราชวังก็ไม่มีการให้ความร่วมมือ ทุกคนหวังให้เธอ ออกงานให้ครบ และ ปิดปากให้นิ่งๆ เท่านั้นพอ)
หรือแม้แต่กับพระสวามีที่เธอก็ไม่สามารถขอความคิดเห็นอะไรได้ แค่เพียงเริ่มจะอ้าปาก พระองค์ก็ทรงทำท่าเบื่อ บ่นว่า
"อะไรอีกล่ะ ทีนี้น่ะ..."

จะหันไปพึ่งพี่สาว เลดี้เจน..ก็แทบหมดหนทาง เพราะ พี่เขย คือ เซอร์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ ราชเลขาส่วนพระองค์คนสำคัญของสมเด็จ.. (ย่อมไม่ฟังเธออยู่แล้ว)
จะหันไปพึ่งคู่สะใภ้ ซาร่าห์ ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนคนนั้น พยายามประจบประแจงเจ้าฟ้าชายชารลส์อย่างออกหน้าออกตา
จะหันไปพึ่งเพื่อนสนิท อดีตรูมเมท คาโรลีน บาร์โธโลมิว ก็ อายที่จะบอกไปว่า ชีวิตอภิเษกที่เหล่าเพื่อนๆ เคยอิจฉาในโชคชะตานักนั้น กำลังล่มสลาย..
สิ่งเดียวที่พระชายาได้บอกกับเพื่อนคือ เจ้าชายนั้น ไม่ได้ชาร์มมิ่งอย่างที่คิด  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:15
 ฉะนั้น คนที่ก้าวเข้ามาถูกจังหวะ นั่นก็คือ นาย เจมส์ฮิววิทท์(ดูในรูปค่ะ) ที่ได้คบกันอย่างเกินเลยจนเข้าขั้นมีสัมพันธ์สวาท
ตอนนั้น ข่าวก็เริ่มรั่วถึงความไม่ชอบมาพากล  ชารลส์ สเปนเซอร์ น้องชายของเธอได้ออกมาประกาศแก้ตัวให้กันว่า
"ไดอะน่ามีผู้ชายคนเดียวในชีวิต นั่นคือ เจ้าฟ้าชายพระสวามีเท่านั้น"
ซึ่งต่อมา ผู้พันเจมส์ได้หาทาง"แก้จน" ด้วยการนำความลับมาไขในที่แจ้งด้วยราคาแสนกว่าปอนด์
แต่..นั่นหมายถึงเขาได้ขายศักดิ์ศรีของชายชาติทหารไปด้วย เพราะ ชื่อนี้ ไม่มีใครคบหาอีกต่อไป..

(หมายเหตุ  เจมส์ ฮิววิทท์ เป็นนายทหารที่มาเป็นครูฝึกสอนขี่ม้าให้ไดอะน่าและพระโอรส   จึงมีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกัน จนกลายเป็นความสัมพันธ์ลับ
เมื่อข่าวซุบซิบเริ่มรั่วไหล  หนังสือพิมพ์เสนอราคาอย่างงามให้การเปิดเผยเบื้องหลัง    ผู้พันเจมส์ที่มีแต่ยศแต่ถังแตก ก็เห็นแก่เงิน  ยอมขายเจ้าหญิงเป็นเงินก้อนโต
ในตอนแรกไดอะนาปฏิเสธ  แต่เธอก็คิดใหม่ กลับมาให้สัมภาษณ์ยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา
เธอยอมรับว่าเธอหลงรักเขา และเธองี่เง่ามากที่เชื่อคำพูดเขา   แม้แต่เขาขายเรื่องให้นสพ.ไปแล้วยังมีหน้ามาโทร.บอกเธออีกว่าให้ไว้ใจเขาได้  ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะพูด
คำสารภาพของไดอะน่าที่เผยแพร่ไปทั่วโลกเรียกคะแนนกลับมาให้เธออีกครั้ง  ส่วนผู้พันนั้นก็ได้สมญาว่า the Rat
วงสังคมทุกสังคมตัดขาดไม่รับเขาอีกจนปัจจุบันนี้ -เทาชมพู)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:18
 เมื่อไว้ใจผู้ชายคนไหนไม่ได้ พระชายาจึงต้องหันมาคบเพื่อนเก่า นาย เจมส์ กิลบี้ส์ อันเป็นที่มาของ เทปลับ "สควิดจี้" ที่มีข้อความค่อนข้างส่วนตัวมากมาย
แต่อย่างน้อย นาย กิลบี้ส์ ก็ไม่เคยนำเรื่อง"ลับๆ " มาขายให้เสื่อมเสีย
(เพราะ นายกิลบี้ส์ ไม่มีความจำเป็นในเรื่องเงินๆ ทองๆ ตัวเขาเองคือทายาทโรงกลั่นเหล้ายิน Gilbeys ที่มีชื่อเสียงขายไปทั่วโลก)

จากนั้นมา..คือศึกที่ทั้งสองได้ประกาศต่อสื่อจนเป็นที่อึกทึกครึกโครม นับตั้งแต่ หนังสือชีวประวัติ Diana, true story
จนถึงการผลัดกันถ่ายทอด
ให้สัมภาษณ์ และแถลงชี้แจง แบบเปิดอกแบบหมดใส้หมดพุงแล้ว..ความลับอะไรก็ไม่มีเหลือทั้งสิ้นจนมาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตการอยู่ร่วมกันที่สมเด็จพระราชินีต้องรีบประทานพระบรมราชานุญาตแบบไม่รีรอ เพราะยิ่งอยู่นานยิ่งอับอายขายหน้า..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:21
 ตรงนี้ไม่อยากเล่าซ้ำนะคะ เพราะ ข่าวตอนนี้ใครต่อใครก็ทราบ..
แต่จะเล่าเบื้องหลังของที่มาที่ไป ว่า..ทั้งหมดนี้คือการแก้แค้นซึ่งกันและกันโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือประหัตประหาร
เข้าทำนองว่า..อยากแฉนักใช่ไหม..งั้นก็ซื้อ "ปี๊บ" เตรียมไว้ได้เลย.."สองใบ"

คือหลังจากที่ผู้พัน เจมส์ ฮิววิทท์ ได้ออกมาทำหนังสือขาย..
ไดอะน่าก็ได้ (แอบ) ใช้มือคนอื่นเขียนหนังสือออกมาฟ้องประชาชนถึงเรื่องการที่พระสวามีลอบเป็นชู้กับชาวบ้าน
เป็นอันว่าไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่แล้ว เจ้าฟ้าชายชารลส์จึงได้ทำหนังสือชีวประวัติออกมาเล่มหนึ่งกะเขาเหมือนกัน คนเขียนคือ นายโจนาธาน ดิมเบิลบี้
ที่ได้เขียนยอมรับว่า พระองค์มีสัมพันธ์สวาทกับคามิลล่า จริง..รวมทั้งเรื่องความอัดอั้นตันพระทัยอื่นๆ

ไดอะน่าหมดความอดทน..เธอเริ่มดำเนินการสาดโคลนแบบใหม่ทันที..คราวนี้ มาเหนือเมฆ คือ เธอใช้สื่อโทรทัศน์ออกอากาศทั่วโลก..ในรายการ"Panorama" ที่ใครต่อใครชมรมคนใกล้ชิดที่ทราบแผน ได้ห้ามกันตัวโก่งแล้วว่า อย่าทำ..ไม่มีผลดีอะไรทั้งสิ้น
เธอไม่เชื่อ และไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป..
เธอได้ขอให้ทุกคนเก็บการดำเนินรายการครั้งนี้ให้เป็นความลับ
โดยเฉพาะ ท่านประธานกรรมการของสถานี บีบีซี ก็ให้ทราบไม่ได้ เพราะท่านคือ เซอร์ มาร์มาดุค ฮัสซี่ สามีของ
ท่านผู้หญิง ซูซาน ฮัสซี่ นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทของสมเด็จ
ซึ่งการบันทึกเทปได้ตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายนแต่วันออกอากาศนั้นคือ วันที่ 20 เดือนเดียวกัน  ต่อหน้าประชาชนคนดูกว่ายี่สิบสามล้านคน (นับเฉพาะในเกาะอังกฤษ) ซึ่งข้อความทั้งหมดได้เผยแพร่จากปากของเธอเอง ในเรื่องบุลิเมีย เรื่องการทำร้ายตัวเอง  เรื่องคามิลล่า..มือที่สาม
ทุกคนได้ซาบซึ้งกับประโยคสุดท้ายของไดอะน่าอย่างจับใจ ที่ว่า
"อย่างเดียวที่ฉันอยากเป็น นั่นคือ ราชินีในดวงใจของทุกคน..."

แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะ "เชือด" เจ้าฟ้าชายให้ลึกเป็นแผลฉกรรจ์ว่า องค์มกุฏราชกุมารไม่เหมาะต่อการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์
น่าที่จะส่งทอดมาให้เจ้าชายวิลเลี่ยมและอย่าหวังว่าเธอจะจากไปอย่างเงียบๆ เพราะ..
"I will fight to the end."

รายการนี้เล่นเอาเหล่าข้าราชบริพารในเดอะ เฟิร์ม สติแตกกันเป็นแถวๆ ไม่มีใครคิดว่า ไดอะน่าจะกล้าหาญชาญชัยถึงขนาดนี้
ขนาดยอมรับว่า ตัวเองเล่นชู้กับเจมส์ ฮิววิทท์ แถมมีหน้ามาบอกด้วยอีกว่า เคยหลงรักนายนั่น..นั่นก็นับว่าหนักหนาสาหัส
แต่..นั่นหมายถึงว่า คนทั้งโลกได้รับรู้แล้วว่า ชีวิตคู่ของเจ้าฟ้าชายนั้น ล่มสลาย..

ส่วนเจมส์ พ่อชู้ชื่น นั่งดูรายการด้วยอาการงุนงง..สับสนไปหมด เขาให้การว่า
"ผมละช็อคริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยอมรับสารภาพออกมา ส่วนหนึ่งผมด็ใจที่เธอได้พูดความจริง ขอบคุณมาก คนอื่นๆ จะได้ไม่หาว่าผมเป็นไอ้เลว อย่างที่ด่าๆ กัน  แต่ที่เธอบอกมาว่า ผมทำให้ผิดหวังนั้น ทำไมไม่พูดออกมาให้หมดล่ะ ว่าเป็นเพราะอะไร..แต่จะว่าไปแล้ว ไดอะน่าที่น่ารักผมเคยรู้จักกับคนที่อยู่ในทีวีนั่น เหมือนไม่ใช่คนคนเดียวกัน เพราะคนที่เห็นนั่น ช่างกร้าวแกร่งเกินจริง"

สำหรับประชาชน ต่างพากันสงสารและเห็นใจไดอะน่าอย่างที่สุดและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แต่สำหรับ เดอะ เฟิร์มแล้ว..คำว่าจะไม่จากไปเงียบๆ นั้น ถือว่า..นี่คือ คำขู่..!!  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 มี.ค. 06, 09:27
 ในปี 1995 ไดอะน่าได้พบกับชายหนุ่ม ที่เธอได้ขนานนามให้เขาว่า..Mr. Wonderful เขาคนนั้นคือ
นายแพทย์ ฮัสนัท ข่าน {Dr. Hasnat Khan}
ในขณะที่เธอได้ไปเยี่ยมเพื่อน นาย โอนาจ โทโฟโล ที่ได้เป็นคนไข้ในการทำบายพาสหัวใจ ที่โรงพยาบาล รอยัล บรอมป์ตัน
คุณหมอข่านเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่ทำการผ่าตัด
ทันทีที่ได้พบเขา..เธอได้ตกหลุมรักทันที ถึงกับไปเยี่ยมคนไข้ทุกคืน..เพื่อหวังว่าจะพบกับแพทย์
เล่นเอาคนไข้โรคหัวใจทั้งตึกต่างพากันตกอกตกใจ

ทั้งไดอะน่าและคุณหมอข่านออกเดทไปตามที่ต่างๆ คลับและร้านอาหาร โดยที่เธอได้พรางตัวใส่วิก โพกผ้า แว่นตา ปกปิดจนคนจำไม่ได้
ทั้งคู่ได้ไปอยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุดที่บ้านนอกเมืองของญาติคุณหมอ
บางคืน ไดอะน่าได้ไปพำนักอยู่ด้วยที่ห้องพักแพทย์ (on-call) ที่โรงพยาบาล
ในยามนั้น ไดอะน่าได้ให้ความสนใจในด้านการสงเคราะห์คนไข้มากขึ้น (อย่างเรื่องการเจ็บป่วยของเด็กที่ยากไร้, เรื่องเอดส์)

ครอบครัวทางฝ่ายชายก็นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ที่ไดอะน่าพยายามเข้าไปชิดใกล้ ถึงขนาดยอมไปหัดทำกับข้าว ต้มพาสต้า และต้องการใช้ชีวิตคู่ที่เปิดเผยกับคุณหมอที่รัก
แต่..ฝ่ายชายได้บ่ายเบี่ยง บอกว่า ไม่พร้อม
เธอได้พยายามติดต่องานให้เขาที่อาฟริกาใต้ เพื่อที่จะได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน คุณหมอไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้น เพราะยังมีงานวิจัยและรักษาคนไข้ในลอนดอนอีกมากมาย
ไดอะน่าได้ยอมทุกอย่างเพื่อมีส่วนร่วมในงานของคุณหมอ
แม้กระทั่งไปเฝ้าดูการผ่าตัดหัวใจครั้งสำคัญ (จากห้องที่เรียกว่า theatre ที่อยู่เหนือห้องผ่าตัด)
ที่คุณหมอข่านได้ทำงานคู่กับแพทย์ใหญ่ เซอร์ เอ็ม. ยาคุป

ตอนนั้น สื่อต่างๆ พากันประหลาดใจและฮือฮา เพราะไม่รู้ว่ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร
ที่ไดอะน่าจะไปเฝ้าดูการผ่าตัดที่น่าหวาดเสียวนั่นได้อย่างไม่มีทีท่าหวาดหวั่น  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 มี.ค. 06, 09:30
 ความรักของคนทั้งสองดำเนินไปอย่างเรียบและเงียบง่าย ไดอะน่าใฝ่ฝันที่จะได้มีโอกาสร่วมชีวิตครอบครัวกับคุณหมอ ถึงกับยอมทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ในปี 1996 เธอได้เดินทางไปประเทศปากีสถานบ้านเกิดเมืองนอนของฝ่ายชายถึงสองครั้ง

หน้าฉาก..คือการไปพบปะกับเจ้าหน้าที่ในการช่วยจัดหาทุนให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง และให้กับ Shaukat Khanum Memorial Hospital
หลังฉาก..คือการไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของคุณหมอ เพื่อพิสูจน์ให้นาง นาฮีด ข่าน มารดาของคุณหมอ ได้เห็นว่าเธอนั้นมีคุณค่าพอในการที่จะมาเป็นศรีสะใภ้
แต่รายการนี้ ผิดคาด..นาง นาฮีด ไม่ต้องการสะใภ้ต่างชาติ ไม่ว่าจะสูงส่งแค่ไหน เพราะเธอต้องการหญิงชาวมุสลิมปาทานเท่านั้น

ตอนนั้น ไดอะน่าได้พยายามย้อมตัวเองไปหมดแทบทุกอย่าง ไม่ว่าการจุดธูปหอมในที่พำนักในพระราชวังเคน
ซิงตัน ใส่เสื้อคลุมยาว แม้กระทั่งการดูภาพยนตร์ของปากีสถานจากวีดีโอบันทึกภาพ
ซึ่งเหล่าบรรดาคุณพนักงานต่างเห็นเป็นเรื่องขำ

ในที่สุด..ข่าวก็แว่วออกไปถึงหูนักหนังสือพิมพ์จนได้ ว่า เธอกำลังมีอะไรๆ กับคุณหมอต่างชาติขี้อายมุสลิมคนนั้น..
ซึ่งเธอได้ออกมาปฏิเสธให้วุ่นไป..
แต่ก็ได้สารภาพความในใจกับนาย โจเซฟ แซนเดอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า
"ฉันอยากจะอยู่กินกับคุณหมอจะตายไป แต่..ปัญหาที่มีนั่นคือ ครอบครัวของเขาเป็นมุสลิมที่ค่อนข้างเคร่ง อยากได้แต่สะใภ้ที่นับถือศาสนาเดียวกัน.."

หากแต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้น ขึ้นๆ ลงๆ มีทั้งทุกข์และสุข บางครั้งเธอได้คร่ำครวญบอกเพื่อนๆ ว่า
"เขาไม่อยากเจอฉันอีกแล้วละ..เราคงไปด้วยกันไม่ได้"
หากแต่อีกวันหนึ่ง..เธอได้กลายเป็นหญิงที่มีความสุข หัวเราะหัวใคร่ บอกกับใครต่อใครว่า
"ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เธอรู้ม๊ะ..ฉันกำลังมีความสุขจริงจริ๊งงงง..."  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 มี.ค. 06, 09:33
 (ภาพไดอะน่าเฝ้าดูการผ่าตัด)

ในเดือนพฤษภาคม ไดอะน่าได้ไปปากีสถานสองวัน เพื่อการร่วมโต๊ะอาหารการกุศล กับเหล่ารัฐมนตรีทั้งหลายกว่า หกสิบคน บัตรใบละ หนึ่งพันเหรียญ..เพื่อที่จะหาทุนให้กับโรงพยาบาล
และ..เธอได้แอบไปเยี่ยมครอบครัวของคุณหมออีกครั้ง.. โดยที่มิได้บอกให้ฝ่ายชายทราบเลยแม้แต่นิด  

หนังสือพิมพ์ได้นำเรื่องนี้มาลงข่าวกันเอิกเกริก  ซึ่งคุณหมอโกรธเธอมาก ไม่ยอมพูดด้วย ไม่ยอมพบหน้า
ซ้ำร้ายหนักคือ ภาพของไดอะน่าที่ลงตีหราในหนังสือพิมพ์ในขณะที่เธอและ นาย กูลู ลาวานิ (สหายเที่ยว) กำลังเดินออกจากไนท์คลับแอนนาเบลยามตีสองนั้น
สร้างความขัดเคืองให้คุณหมอมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดไม่รับโทรศัพท์เลยคราวนี้..

ข่าวของคุณหมอฮัสนัท ข่าน กับไดอะน่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น แน่นอนว่าต้องถึงหูของชาวมุสลิมอังกฤษไฮโซทั่วๆ ไป คนที่ผึ่งหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจนั้น
คือ นายโมฮะหมัด อัล ฟาเอด อภิมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการนานาชนิด รวมทั้งห้างแฮรอดส์ ที่ไดอะน่าไปช้อปประจำนั้นด้วย
นาย ฟาเอด นั้นเป็นคนที่ทะเยอทะยาน ฝันใฝ่อยากมีส่วนเกี่ยวพันกับเจ้านายอังกฤษอย่างที่สุด เขายอมทุ่มทุนมหาศาลในการเป็นสปอนเซอร์ในพระราชพิธีทุกชนิด
เพื่อที่จะได้มีชื่ออยู่ในรายการเชิญร่วมโต๊ะเสวย
ยอมแจกของขวัญราคาแพงๆ ให้กับฝ่ายข้าราชบริพารในช่วงเทศกาลต่างๆ มิได้ขาด
และ ทุ่มซื้อทุกอย่างที่เคยเป็นสมบัติของพระราชวงค์ หากว่ามีการออกมาประกาศขาย
(อย่างพระตำหนักวินเซอร์ วิลล่า ที่ฝรั่งเศส อดีตคือพระตำหนักของ ดยุค แห่ง วินด์เซอร์ และ หม่อม วอลลิส)

นายฟาเอด ได้มีการคบค้าสมาคมอยู่กับ เรน สเปนเซอร์ โดยให้มานั่งกินตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร (แบบในนาม..ไม่ต้องมาทำงาน) ให้ดูหรูๆ
เขาเริ่มดีดลูกคิดในรางแก้ว..และ ..ยอมลงทุนแบบไม่อั้น โดยการเลียบเคียงชวนไดอะน่าและพระโอรสทั้งสองไปล่องเรือยอชถึง ซังต์ โทรเปซ์
พร้อมกับครอบครัวของเขาที่มีลูกชุดเล็กๆ ของเขาสี่คน..
เดินทางไปด้วย (กะว่าจะให้ลูกๆ ได้สนิทสนมกับพระโอรสเข้าไว้แต่เนิ่นๆ)

ดังที่เล่ามาให้ฟังแล้ว..ว่าเขาคือพ่อบุญทุ่มพันธุ์แท้ เพราะตอนเชิญนั้น ยังไม่มีเรือยอชที่ว่านั่น
ทันทีที่ไดอะน่าตอบตกลง..เขาเซ็นเช็คสั่งซื้อเรือยอชนั่นทันที ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ยี่สิบล้านปอนด์เอง..

ส่วนไดอะน่าที่ตอบตกลงนั้น เพราะว่า เธอเห็นว่า ไม่มีอะไรเสียหาย อีกทั้งพระโอรสทั้งสองจะได้อยู่พร้อมหน้ากันแม่ๆ ลูกๆ ก่อนที่การหย่าร่างจะถึงจุดสิ้นสุดสมบูรณ์

ทันที่ที่เธอและเจ้าชายน้อยๆ ทั้งสองได้ถึงที่หมาย คือ
ซังต์ โทรเปซ์ นั้น ปรากฏว่า เหล่านักข่าวที่แว่วเรื่องนี้อยู่แล้ว ต่างมารอกันแน่น พร้อมที่จะบันทึกภาพ (ไปขาย)
ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้กับเธออย่างที่สุด  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 มี.ค. 06, 09:42
 ต่อมา..ไดอะน่ายอมออกมาพบกับนักข่าวในวันที่ 14 กรกฏาคม สิ่งแรกที่เธอถามนั่นคือ
"พวกคุณจะอยู่เฝ้าดูอีกนานแค่ไหนเนี่ย?"
หลังจากที่นักข่าวตอบ...เธอก็ต่อด้วยประโยคว่า
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมไปอยู่ต่างประเทศซะให้ไกลๆ อย่างที่ลูกๆ ได้แนะนำให้ทำ"

นักข่าวรู้สึกเห็นใจขึ้นมาตะหงิดๆ พวกเขาจึงบอกว่า..
"งั้นเดี๋ยวพวกผมจะโทรไปรายงานให้แผนก บ.ก. ทราบก่อน แล้วก็จะแยกย้ายกลับ"
ปรากฏว่า ไดอะน่ารีบโบกมือ และบอกว่า
"ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ถามว่าจะเฝ้าดูตามติดอย่างนี้ไปอีกกี่วัน..ไม่ได้ไล่ มาครั้งนี้ก็เป็นแขกเชิญของคุณนาย อัล ฟาเอด ไม่ใช่ของ คุณฟาเอด เข้าใจไหม?"
เธอได้พูดทิ้งท้ายต่อไปว่า
"พวกคุณจะต้องตกตะลึงเชียวนะ ถ้ารู้ว่า อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ฉันจะทำอะไรสนุกๆ ให้ดู"
(ตอนนั้นไม่เกี่ยวกับ โดดี้...เพราะยังไม่ได้รู้จักกันเลย)

จากนั้น นักข่าวเล่าว่า ไดอะน่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนที่จะลงเรือกลับไปยังที่พัก แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็ยิ้มร่ากระโดดขึ้นบนเจ๊ทสกี ขับวนไปรอบๆ เรือยอชนั่นหลายรอบ
ก่อนที่พุ่งตัวลงในน้ำด้วยท่ากระโดดที่สวยงาม ให้นักข่าวได้จับภาพอย่างเต็มใจ
เล่นเอาเหล่าเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย ต่างงงกันเป็นไก่ตาแตก..แต่ก็ยอมอยู่เฝ้าหน้าวิลล่าที่พำนักกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง..เพื่อที่จะรอถ่ายภาพกลับส่งมาที่อังกฤษจะได้มาประชันกับข่าวของ การจัดงานวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของคามิลล่า (18 กรกฏาคม) ที่เจ้าภาพคือเจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่จัดให้ที่พระตำหนักไฮโกรฟ ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นเรือนรักของ
ไดอะน่าและพระองค์มาก่อน
อย่างนี้ไม่เรียกว่า หยามหน้ากันแล้ว..จะเรียกว่าอะไร..

แน่นอนว่า..ตลอดการที่พำนักอยู่กับครอบครัวของนายฟาเอด ไดอะน่าได้เล่าถึงความคับแค้นใจให้กับฝ่ายเจ้าภาพฟัง..
สองวันต่อมา..คือการปรากฏตัวของนายโดดี้ บุตรชายเจ้าสำราญคนโตของนาย ฟาเอด..ที่ถูกบิดาเรียกตัวให้มาด่วน
นายนี่..ก็กำลังจะแต่งงานอยู่รอมร่อ กับดารานางแบบ
ชื่อว่า..เคลลี่ ฟิชเช่อร์
ตัวเองในทีแรก...ต้องมาทั้งๆ จำใจ ขัดไม่ได้ เนื่องจากได้ผลาญเงินพ่อไปหลายร้อยล้าน ที่นำไปลงทุนสร้างหนังใหญ่ฮอลลีวู๊ด เรื่อง The Chariot of fire(ได้รับรางวัลด้วยนะ แต่เจ๊งไม่เป็นท่า..)
ดังนั้น พ่อจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ..แต่นำคู่หมั้นมาด้วย โดยแยกให้ไปพักที่อื่น..ที่อยู๋ใกล้ๆ กัน กลางวันก็มาสร้างความบันเทิงให้กับครอบครัว พอตกกลางคืนก็กลับไปหาแฟน
โดยที่ไม่ได้บอกให้ใครทราบว่า มีหญิงมาด้วย..

(ภาพนี้คือนายฟาเอดผู้พ่อค่ะ)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 มี.ค. 06, 09:44
 โดดี้เป็นคนคุยสนุก คล่องแคล่วเจ้าเสน่ห์ตามแบบฉบับลูกเศรษฐี ช่างเอาอกเอาใจสารพัด จึงเข้ากันกับไดอะน่าได้ไม่ยาก
และ สำคัญที่สุด เขารู้ดีว่า นี่คือความต้องการของพ่อ..
ที่ต้องการการเกาะเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้ได้มากที่สุด ถึงกับยอมลงทุนมากมายขนาดนี้
อีกทั้ง ไดอะน่า ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังดังก้องโลก ถ้าได้มาจริงๆ ก็เหมือนกับถูกลอตเตอรี่หมดทุกใบยกแผง
ไม่นับรวมว่า สมบัติของพ่อทั้งหมดจะไปไหนเสีย..
ดังนั้น แฟนคนเก่าจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากสมองและจิตใจของเขา ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนกำลังเตรียมจัดงานแต่งงาน
อย่างขมักเขม้นอยู่แท้ๆ

ส่วนไดอะน่านั้น..กำลังต้องการประชดคุณหมอฮัสนัท อยากให้เขาเกิดอาการหึงหวงจนต้องยอมศิโรราบให้กับเธอ เพราะ ถ้ามีคู่แข่งอย่างโดดี้ที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมนั้น
ใครก็ต้องทำใจไม่ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ข่าวเรื่องของเธอและโดดี้จึงออกมาอย่างติดต่อ โฉ่งฉ่าง เพราะไดอะน่าต้องการให้นักข่าวทราบในทุกฝีก้าว..ไม่ว่าเรื่องเรือยอช ไม่ว่าเรื่องการตากอากาศใน
วิลล่าหรูๆ ของนาย ฟาเอด

เพื่อที่จะให้ข่าวไปถึงพระกรรณของเจ้าฟ้าชายชารลส์ด้วย เป็นการประกาศให้ทราบว่า
"ไม่มีเธอ ฉันก็หาได้ดีที่สุด เพียบพร้อมที่สุดได้..อย่างเธอน่ะเหรอ ได้ดีที่สุดก็แค่นางหมาร้อตไวล์เล่อร์หน้าย่นคนนั้นคนเดียวแหละ"
เธอหมายถึง คามิลล่า..

ส่วนทางนายฟาเอด และลูกชาย..ต่างก็ช่วยกันจัดรายการรวบรัดไดอะน่าให้เร็วที่สุด เพียงช่วงเดือนเดียวที่คนทั้งสองได้รู้จักกัน กำหนดการเชิญให้ไปพักที่โน่นที่นี่
มีอย่างละเอียดยิบ..ซึ่งฝ่ายลูกชายจะต้องติดต่อให้พ่อทราบถึงการเคลื่อนไหวทุกระยะ
ทางด้านแฟนสาว เคลลี่ ได้ทราบข่าวถึงการสลับจัดรางรถไฟของโดดี้จากหน้าหนังสือพิมพ์ และจับโกหกได้ว่า เขาได้ปกปิดเธอในเรื่องนี้อย่างสนิท
จึงมีการโทรติดต่อตามหา ต่อว่ากันข้ามทวีป

นายฟาเอดเป็นคนรับสายเอง เขาได้บอกให้เธอ ตัดขาดไปจากลูกชายของเขา และขอให้ล้มเลิกการแต่งงาน..
ซึ่ง เคลลี่ได้ตั้งทนายฟ้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต..
ไดอะน่าได้ทราบข่าวนี้ด้วย

นายฟาเอดได้อนุญาตให้โดดี้พาไดอะน่าไปเที่ยวชม
วินด์เซอร์ วิลล่า ได้อย่างตามใจชอบ และบอกด้วยว่า จะยกให้ถ้าคนทั้งสองได้แต่งงานกัน (รู้จักกันแค่เดือนเดียว)
ส่วนทางด้านตัวเขาก็จัดแจงส่งข่าวเรื่องการลงเอยของลูกชายอย่างโจ๋งครึ่ม
แม้กระทั่งเรื่องแหวน..รีบร้อนเสียจนกระทั่งเดินเข้าไปไปสั่งซื้อในห้างที่ ซังต์ โทรเปซ์ เอาดื้อๆ แล้วให้เขาส่งไปคอยที่ห้างใหญ่ในปารีส..
(ความจริงระดับนี้แล้ว เขาต้องสั่งทำ ออกแบบเองไม่ให้ซ้ำกับใคร)
เขาได้บอกพ่อว่า มันจะเป็นแหวนหมั้น
แต่ส่วนไดอะน่าได้บอกกับคนสนิทที่สุด นาย พอล เบอเรลล์ว่า จะเป็นแหวนใส่เล่นๆ แบบที่ระลึก

คนที่ใกล้ชิดกับเธอทุกคน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการลงเอยกันในระยะสั้นแบบนั้น
อีกทั้ง..ในหนังสือ My Duty ของพอล เบอเรลล์ที่เขียนนั้น
เขาได้ย้ำหนักหนาว่า..ไม่ใช่โดดี้แน่นอน เพราะหัวใจของไดอะน่านั้นอยู่ในอังกฤษนี่เอง..
(ตอนที่มีข่าวหวือหวาออกมา ไดอะน่าได้โทรไปที่บ้านของคุณหมอ และได้บอกให้ทุกคนทราบว่า ไม่มีอะไรกับโดดี้เกินเลยอย่างที่เป็นข่าว)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เขียวมะกอก ที่ 17 มี.ค. 06, 12:42
 สวัสดีอาจารย์เทาชมพูที่เคารพครับ ผมเข้ามาอ่านเกือบทุกวัน สนุกมากๆ ครับ
ผมติดตามมาตลอดตั้งแต่ราชาเจ้าสำราญ, ศึกสายเลือดราชวงศ์สจ๊วต, ลอดลายรั้ว วินเซอร์ 1,2,3
อาจารย์ทำงานไม่มีวันหยุดจริงๆ ขอบคุณครับ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: สะใภ้จ้าว ที่ 18 มี.ค. 06, 01:43
 สนุกมากเลยค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:19
 ในตอนเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม  นาย เคซ วิงค์ฟิลด์ และ นาย เทรเวอร์ รีส์-โจนส์ ผู้ติดตามของโดดี้ (ที่ส่งมาโดยนายฟาเอด) ได้รับทราบถึงแผนที่เปลี่ยนกระทันหันของเจ้านายว่า จะพาไดอะน่าไปที่ปารีสต่อ.. (แทนที่จะกลับไปอังกฤษตามแผนเดิม)

เขาทั้งสองเตรียมตัวอะไรกันแทบไม่ทัน เพราะทันที่ที่ถึงสนามบินเหล่านักข่าวไปคอยอยู่แล้ว..
จุดหมายแรกที่ทั้งสองไป..นั่นคือ วินด์เซอร์ วิลล่า (ที่โดดี้อยากอวดนักหนา) พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณ สี่สิบนาที
จากจุดนั้น โดดี้ได้สั่งให้ไปแวะที่ร้านเพชร เพื่อที่จะไปรับแหวนที่สั่งด่วนมาล่วงหน้านั่น..

ไดอะน่าได้ใช้เวลาโทรศัพท์คุยกันคนโน้นคนนี้ เธอตื่นเต้นในการที่ได้เล่าว่าในงานการกุศลบางงานจะมีสปอนเซอร์ใหม่ เข้ามาช่วยเหลือ นั่นคือ นายฟาเอด..ที่ได้รับปากรับคำเอาไว้
ทั้งคู่ได้ไปยังอพาร์ตเม้นท์ของโดดี้ในย่านกลางใจเมือง เหล่านักข่าวนกรู้ได้ไปคอยอยู่แล้วฝูงใหญ่

โดดี้ได้เข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสูทเตรียมออกไปดินเน่อร์
เขาได้บอกกับบัทเล่อร์ส่วนตัวว่า กลับจากดินเน่อร์จะมาที่นี่ และจะขอไดอะน่าแต่งงาน..
เขาทั้งหมดได้ไปยังร้านอาหารหรูเลิศ Chez Benoit ที่มีนักข่าวเตรียมเข้ามาต้อนหน้าต้อนหลัง.. โดดี้หงุดหงิดเป็นที่สุด เขาสั่งให้คนรถกระชากรถออกไป  เปลี่ยนร้าน..ไม่กงไม่กินมันแล้ว..
เขาได้พาไดอะน่าไปยังห้องอาหารในโรงแรม Ritz (ก็ของนายฟาเอดนั่นแหละ)

มาถึงตอนนั้น ไดอะน่าก็เสียอารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะจากภาพในกล้องวงจรปิดของโรงแรม บ่งบอกชัดว่า เธอกำลังร้องไห้

ส่วนเหล่าอารักขาของโดดี้ต่างก็เหนื่อยอ่อน เหนื่อยใจกับการเปลี่ยนแผนไปมา ระหว่างอยู่ในห้องอาหาร โดดี้พาลพาโลเอากับเหล่าเบ๊ทั้งหลาย ว่าไม่ได้ดังใจ
อีกทั้งเขาต้องโทรรายงานการเคลื่อนไหวให้นายฟาเอด ผู้พ่อทราบในทุกฝีก้าว

(ถามว่า ทำไมจึงทราบว่ามีการชักโยงใยอยู่เบื้องหลัง เพราะ นาย
ฟาเอดเองได้ให้การละเอียดยิบว่า ได้คุยอะไรกับลูกชายบ้างก่อนเสียชีวิต
เพราะเขาพยายามจะผูกเรื่องว่าทั้งหมดนั้น..คือ ฆาตกรรมอำพราง โดยฝีมือของสายลับอังกฤษ)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:20
 นี่คือภาพเต็มตัวของคุณหมอ ที่คุณวิวันดาหามาให้ชมค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:23
 เบ๊ทั้งสองก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า..ใครจะไปเตรียมอะไรให้ได้ เปลี่ยนแผนไปเปลี่ยนแผนมาจนปวดหัวไปหมด
เมื่อทั้งคู่อารมณ์เริ่มสงบลง..อาหารได้ถูกสั่งขึ้นไปที่สวีทส่วนตัวชั้นบน  นายสองคนนี่ก็ไปนั่งจิบเหล้าแก้เซ็งที่บาร์..มีคนมาร่วมวงด้วย..นั่นคือ หัวหน้าการรักษาความปลอดภัยโรงแรม นามว่า นาย อองรี ปอล

เขาทั้งหมดดื่มเหล้าที่มีชื่อว่า ริการด์ {Ricard} ที่แรงพอสมควร   ที่ดื่มเหล้ากันนั้น เพราะพวกเขาเข้าใจว่า เจ้านายทั้งคู่คงจะไม่ไปไหนแล้ว เพราะเข้าห้องพักกันเงียบเชียบ..
หน้าที่จึง (เข้าใจว่าว่า) จบลงแค่นั้น..หรือ ..อีกเหตุผลหนึ่งคือ คนขับรถตัวจริง คือ นาย ฟิลลีป เดอร์โน นั้น ยังนั่งรอรับใช้อยู่ข้างนอก
นายเคซ วิงค์ฟิลด์ ได้ขึ้นไปที่สวีทของโดดี้ ขณะที่ยืนรออยู่หน้าห้อง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮามาจากข้างใน แสดงว่าทุกอย่างกลับคืนเป็นปรกติ..

โดดี้ ได้โทรไปคุยกับบิดา ผู้ซึ่งได้ให้คำแนะนำว่า ควรจะพักอยู่ที่โรงแรมนั่นเสียเลย..ไม่ต้องออกไปไหนอีก
แต่โดดี้ ต้องการกลับไปยังที่อพาร์ตเมนท์ เพราะว่า กระเป๋าเสื้อผ้าทิ้งไว้อยู่ที่นั่น  อีกทั้งของสำคัญ คือ แหวนที่เตรียมจะให้กับไดอะน่า..
และการออกไปจากที่นั่น เขามีแผนไว้เรียบร้อยแล้ว คือ รถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมจะให้แกล้งขับออกไปพร้อมกับฝ่ายติดตามนั่งไปด้วย ล่อนักข่าว..
เขาและไดอะน่าจะออกไปทางหลังโรงแรม จะให้นายอองรี ปอล เป็นคนขับรถ จะเอานาย รีส์-โจนส์ นั่งไปด้วย  และไม่ต้องมีรถติดตาม
(หมายถึงการให้การอารักขาไดอะน่า ซึ่งสมควรที่จะมี)

พวกนายเบ๊ต่างๆ นี้ เริ่มสับสน เพราะแผนเปลี่ยนไปมาจนหมุนตัวตามแทบไม่ทัน อีกทั้งมันไม่ถูกต้องกับวิธีที่พวกเขาได้ฝึกฝนมาให้ยึดถือปฏิบัติ  จึงมีการโต้แย้งระหว่างนายกับเหล่าผู้ติดตาม
โดดี้ได้บอกว่า..ทุกอย่างเป็นประกาศิตของพ่อของเขา (นั่นหมายถึงนายโดยตรงของพวกเขาเหล่านั้น) ท่านได้รับทราบหมดแล้ว

(นาย ฟาเอดได้มาปฏิเสธทีหลัง..ว่าไม่เคยอนุญาต ไม่เคยรับรู้ แถมยังกล่าวโทษพวกอารักขาอีกว่า ไม่รอฟังคำสั่งของเขา)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:26
 มาถึงตรงนี้แล้ว ต้องเล่ารายละเอียดปลีกย่อยสักนิดว่า..เพียงแค่ผลการตรวจเลือดจากศพของนายอองรี ปอลล์โดยฝ่ายนิติเวชฝรั่งเศสได้เป็นคำตอบแห่งประวัติศาสตร์ที่ทำให้หลายต่อหลายคนต่างหมดมลทิน..
เพราะ ในเลือดของนายอองรี ปอลล์ นั้น มีแอลกอฮอลล์สูงกว่ากฏหมายห้ามขับขี่ยวดยานถึงสามเท่า การตรวจนั้นได้กระทำถึงสองครั้ง
ครั้งแรกคือ หลังจากที่เสียชีวิตใหม่ๆ
และอีกครั้งหนึ่งคือ วันพฤหัสหลังเกิดเหตุ ซึ่งได้กระทำการตรวจพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆ ฝ่าย
ผลออกมาคือ เหมือนกัน...เมาแท้ๆ

แถมตรวจในครั้งหลัง ได้พบสารเคมี (ตัวยา) ประเภทที่ไม่สมควรใช้ควบคู่กับแอลกอฮอลล์ด้วย

ไม่มีใครรู้ว่า นายอองรี ปอลล์ไปแอบดื่มที่ตรงไหน เพราะจากที่บาร์พร้อมกับอารักขาสองคนนั่น ต่างให้การว่า เห็นเขาดื่มเพียงแก้วเดียว และดูเหมือนกับเป็นน้ำสับประรด
(เหล้า ricard ยามที่ผสมน้ำแล้วจะเป็นสีขาวขุ่น ดูเหมือนน้ำผลไม้จริงๆ)
แต่มาทราบภายหลังจากการสืบสวนว่า นายคนนี้คือนักดื่มตัวฉกาจนอกเวลางาน เพียงแต่ในวันนั้น เขาดื่ม เพราะเข้าใจว่าภาระหน้าที่ได้จบสิ้นลงแล้ว
สรุปว่า คืนนั้น ตอนนั้น เขาได้เมามายเรียบร้อยไปแล้ว ภายใต้ท่าทางที่เป็นปรกติ

ก่อนที่จะออกไป..นาย อองรีได้ออกไปที่หน้าโรงแรม พยายามหลอกล่อนักข่าวทำทีว่าออกมาเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่เจ้านายจะออกมา
แต่..นักข่าวเหล่านั้นล้วนแต่มีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทำงานกันเป็นทีม ที่เฝ้าทั้งประตูหน้าและประตูหลัง แถมยังมีอีกกลุ่มใหญ่ไปคอยอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ของฝ่ายชายแล้วด้วย
เวลา 00.30 a.m. ทั้งโดดี้และไดอะน่าได้ออกทางประตูหลังจริงๆ นายอองรี ปอลล์ได้ตระโกนใส่นักข่าวอย่างคึกคะนองว่า
"ไม่มีวันตามได้ทันหรอกว้อย.."

เขาได้ขับรถหลบเส้นทางที่มีสัญญาณไฟ เพราะเลี่ยงการถูกจับภาพโดยการขับไปทางถนนเลียบแม่น้ำที่ต้องมีการลอดใต้ถึงสองอุโมงค์
อุโมงค์ที่สองคือเส้นทางที่ตัดลอด ปลาซ ดาลมา
ในนั้น.. มีช่วงจุดบอดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งมาก สิบห้าปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงสามสิบสี่ครั้ง มีผู้เสียชีวิต แปดคน
ปัญหาของจุดบอดนั้นคือ การมีหล่มลาดเททางซ้ายนิดๆ ในทางโค้ง และไม่มีที่กั้นระหว่างถนนกับเสาคอนกรีตนั่นด้วย
นายอองรี ปอลล์ ได้ทำตามที่สัญญาไว้กับนักข่าว คือไม่มีวันให้จับได้ไล่ทัน เขาเหยียบคันเร่งมิด ด้วยสปีดถึง 65 ในอัตราพิกัดให้ใช้เพียง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง
นักข่าวต่างขี้เกียจที่จะขับตาม ทุกคนไปตั้งกล้องรออยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ของโดดี้เรียบร้อยแล้ว..
ซึ่ง..เมื่อนาย อองรี ปอลล์ ขับเข้าไปในอุโมงค์ที่ว่างสนิทนั้น ไม่มีใครตามมา เขาเหยียบเบ๊นซ์ เอส 500 นั้นแบบสุดๆ
หลังจากที่โศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้นแล้ว ตำรวจฝรั่งเศสบอกว่า ความเร็วน่าจะถึง 97 ไมล์ และการประทะเข้ากับเสาคอนกรีตนั้น เข้าไปแบบเต็มๆ เพราะไม่มีรอยยางของการห้ามล้อแม้แต่นิด
ไม่มีใครสักคนในรถที่ใช้เข็มขัดนิรภัย..
เสาต้นที่..สิบสาม..คือเสามัจจุราช..ที่ได้พรากชีวิตของคนถึงสามคน โดดี้ อองรี ปอลล์ และ ไดอะน่า

ภาพ คือ ไดอะน่าในปากีสถาน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:28
 สองคนแรกนั้น เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
ส่วนไดอะน่า..นายโรมัล รัท และกลุ่มนักข่าวที่ตามมา พยายามเข้าไปช่วย เพราะ ยังหายใจรวยรินโดยสังเกตจากหน้าอกที่ยังกระเพื่อมขึ้นลง
แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีปัญญานำเธออกมาจากสภาพรถที่บุบบี้เป็นก้อนโลหะนั้นได้
ส่วนนาย รีส์-โจนส์ นั้น สภาพยับเยินจนไม่มีใครคิดว่าเขาจะรอดชีวิต

กว่าที่จะงัด และตัดชิ้นส่วนของเหล็กออกไป นำคนเจ็บออกมาขึ้นรถพยาบาลได้ ก็ลุเข้าเวลา ตีหนึ่ง ยี่สิบห้า ซึ่งโดยปรกติ เวลาการเดินทางจากจุดนั้นไปถึงโรงพยาบาล  จะใช้เพียง สิบนาที หากแต่ในกรณีนี้ ต้องใช้ถึงสามสิบนาที เพราะต้องช่วยกันรักษายื้อชีวิตกันตรงนั้น

มีเสียงกล่าวว่า..เป็นเพราะใช้เวลานานเกินไปในรถพยาบาล จึงไม่สามารถช่วยเธอได้ทัน
เหล่าทีมแพทย์ฝรั่งเศสได้ออกมาเถียงคอเป็นเอ็นว่า ในรถพยาบาลของ La Pitie Salpetriere Hospital นั้น ทันสมัยมีเครื่องช่วยชีวิตครบครัน  อยู่ในรถก็เหมือนขาข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้ว
เมื่อรถได้มาถึงโรงพยาบาล นายซามี แนร์ ผู้ช่วยร.ม.ต. กลาโหม (ฝรั่งเศส) ได้มาคอยอยู่แล้วพร้อมกับเจ้านาย

เขาเล่าว่า  เขามาถึงก่อนเพียงสิบนาที ทันที่ที่ได้รับทราบข่าวร้าย เพราะเมื่อรถมาถึง เปลพยาบาลสองเปลก็ถูกนำลงมา
ไดอะน่าได้ถูกสวมด้วยสวมเครื่องช่วยหายใจจากจมูกลงมา
นัยตาสองข้างบวมเป่ง ใบหน้ามีบาดแผล
แต่..ทุกคนยังจำได้ว่า เธอคือ ไดอะน่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์
การผ่าตัดได้เริ่มดำเนินการอย่างทันที เพราะ ทุกคนหวังว่า..เธอมีสิทธิที่จะรอด

จากนั้นเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำฝรั่งเศสได้รุดมาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาใกล้ตีสอง เพราะ ข่าวได้ไปถึงอังกฤษตั้งแต่หลังจากเหตุได้เกิดใหม่ๆ
ในตอนแรกๆ ทุกคนยังสับสน เพราะมีข่าวออกมาหลายกระแส บ้างว่า ไดอะน่าอยู่รอดปลอดภัย เดินออกมาจากรถไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน..
แต่ข่าวและภาพของเหตุที่เกิดขึ้นสดร้อนๆ ในนาทีแรกนั้น ได้ทำการประมูลขายกันอย่างเอิกเกริก  
National Enquirer ให้ราคา 250,000 เหรียญ
อังกฤษให้ หนึ่งล้านปอนด์
จากข่าวที่ว่า คนขับตาย โดดี้ตาย อารักขาสาหัส ดังนั้น ความหวังว่า ไดอะน่าจะแล้วรอดปลอดภัยนั้น ริบหรี่เต็มที  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 มี.ค. 06, 08:30

ยากระตุ้นได้ถูกฉีดให้ที่หัวใจของเธอ รวมทั้งการนวดด้วยมือ แต่ทุกอย่างได้สงบนิ่ง
เธอได้สิ้นลมหายใจไปในเวลา ตีสี่..
นั่นคือ เวลาที่แพทย์ทุกคนได้สรุปลงความเห็นว่า..เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว..
ทันทีที่ข่าวออกไปทั่วนั้น สิ่งแรกเลยคือ ทุกคนมุ่งมาดอาฆาตร้ายกับกลุ่มปาปารัสซี่ ที่ต่างเชื่อว่า คือตัวต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
แม้แต่ ชารลส์ สเปนเซ่อร์ น้องชายคนเดียวของเธอที่ด่ากราดใส่หน้านักข่าวว่า.
สมใจพวกแกแล้วใช่ไหม ไอ้มือฆาตกร !!

เมื่อหลังจากทราบว่า คนขับนั้น เมาสุรา ก็เหมือนกับว่า ทุกคนต่างพ้นโทษ
แต่..คนที่มีบาปในดวงใจอีกทั้งได้รับกรรมสนองนั้นคือ นายฟาเอด ที่เป็นตัวชักนำเพียงเพื่อหวังจะรวบรัดให้ทุกอย่างได้ออกมาสนองในสิ่งที่เขาต้องการ
เพราะ...เขาไม่เคยได้รับเกียรติให้เป็นคนวงในของสมเด็จ พระราชวงค์ หรือ เดอะ เฟิร์ม ไม่ว่าจะทุ่มเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน
และที่สำคัญ..คือ เงินของเขาที่มีมากมายก่ายกองนั้น ไม่สามารถซื้อสัญชาติให้เป็นอังกฤษได้ แม้แต่ในทุกวันนี้
การที่จะมีลูกสะใภ้เป็นถึงพระมารดาของกษัตริย์อังกฤษในอนาคตนั้น คือ ความฝันอันสวยสด..ที่เขายอมทำทุกอย่างที่จะให้ได้มา..
ดังนั้น เขาจึงพยายามทุกทางที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า
นี่คือการ ฆาตกรรม โดยฝีมือของสายลับอังกฤษ

เพราะประการสำคัญสุดๆ นั้นคือ การที่จะต้องไม่มาทนทรมานไปจนตลอดชีวิต ต่อการกระทำของตัวเองที่รู้ดีแก่ใจว่า เรื่องการจัดฉากของคนทั้งสองให้ดำเนินไปอย่างที่เห็น คือ ฝีมือของเขาล้วนๆ
ประการที่สองคือ..เขารู้ดีอีกว่า เรื่องที่ไดอะน่าจะร่วมหอลงโรงกับโดดี้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (ถ้าเป็นมุสลิมดีๆ คนอื่นละก้อไม่แน่..)
เพราะประวัติของโดดี้นั้น ไม่สวยหรู และไม่น่าเชื่อถือ มีแค่คำจำกัดความว่า..หนุ่มเพลย์บอย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเท่านั้น
ส่วนไดอะน่าเอง..กำลังนึกสนุก และ ต้องการที่เย้ยใครต่อใครหลายคนในการที่ควงกับโดดี้ เพราะ เท่าที่ทราบจากหนังสือของนาย พอล เบอร์เรลล์
ที่ได้เขียนละเอียดว่า..คนที่โกรธมาก ถึงกับด่าว่า "ทำตัวไม่ต่างอะไรกับโสเภณีชั้นต่ำ" คือ นาง ฟรานเซส มารดาของเธอเอง
นายฟาเอด จึงพร้อมใจที่จะเชื่อว่า ต้องมีคนขัดขวางอย่างสุดชีวิตในความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสอง และใครเล่าจะมีอำนาจถึงขนาดนั้น  ถ้าไม่ใช่ เดอะ เฟิร์ม..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 08:25
 เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้เสด็จมารับศพด้วยพระองค์เอง ฝ่ายนักข่าวทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจ ที่พระองค์ทรงตรัสด้วยภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด และ ต่างแปลกใจที่เห็นว่า พระองค์นั้นทรงเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างละเอียดละออ
เช่น ตุ้มหูของไดอะน่านั้น หายไปหนึ่งข้าง   พระองค์สั่งให้หา เพราะทรงบอกว่า
"จะเอาไดอะน่าออกไปด้วยตุ้มหูเหลือข้างเดียวไม่ได้นะ"

และฝ่ายกองทัพอากาศได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์มารับ พร้อมที่จะนำเครื่องลงที่หลังคาโรงพยาบาล พระองค์ทรงปฏิเสธ ตรัสว่า
"ไดอะน่าเข้ามาทางรถ ก็จะต้องกลับทางรถ คนที่เขามาคอยอยู่ข้างนอกจะได้มีโอกาสส่งเธอเป็นครั้งสุดท้าย"

ส่วนเรื่องงานพิธีศพจะผ่านไปนะคะ เพราะเล่ามาแล้วในรักร้าว..

เฮ้อ...ถึงบทสรุปได้ซะทีมังคะ..ว่า...

ได้พยายามเล่ารายละเอียดต่างๆ มามาก ก็ได้แต่หวังว่า ทุกคนคงจะพอเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น
คงไม่ใช้ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เอามาตัดสินว่า ใครผิด ใครถูก.. ใครเป็นตัวดี หรือ ตัวร้าย
เพราะเมื่อมองเห็นภาพโดยรวมอย่างชัดแจ่มแจ้งแล้ว.. เราก็จะรู้ว่า ทุกอย่างนั้น คือ "กรรม" ที่ต่างคนต่างมีติดตัวกันมา ที่ต้องมาชดใช้กันนี่เอง
เห็นด้วยไหมคะ..??

ภาพ แหวนที่โดดี้ซื้อจากร้าน Repossi ราคามากกว่า 200,000 เหรียญ แต่ในบางข่าวว่าราคา 245,000 เหรียญ หรือ 150,000 ปอนด์  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 08:30
 คุณวิวันดาจบเรื่องลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ลงเพียงแค่นี้ค่ะ    ถ้าหากว่าอยากอ่านเรื่องอื่นๆของเธอก็ต้องอดใจรอสักระยะหนึ่ง

ส่วนเรื่องของไดอะน่า  ผู้คนก็ยังรำลึกถึงความอ่อนหวาน ความไม่ถือเนื้อถือตัวกับประชาชน   และเสน่ห์ที่ประทับใจคนทั่วโลกอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ขอนำภาพต่างๆที่ไดอะน่าไม่มีโอกาสเห็น มาให้ชมกันค่ะ  
เช่นพระโอรสที่เจริญพระชนม์ขึ้นเป็นชายหนุ่ม ขวัญใจชาวอังกฤษ อย่างที่พระมารดาเคยเป็นมาก่อน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 09:05
 ภาพความสุขสมของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลล่า  ผู้หญิงซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นพระชายา ในนามดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์
และมีการประชาสัมพันธ์จากสำนักพระราชวังว่า  นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงรักแท้ของทั้งสองคน    ประชาชนชาวอังกฤษก็เริ่มเห็นใจและให้การยอมรับ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 09:06

คามิลล่าในฐานะพระชายา


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 09:11

กุหลาบสีชมพูปนสีงาช้างพันธุ์นี้  มีชื่อเหมาะสมกับความงาม
ว่า Diana Princess of Wales


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มี.ค. 06, 09:14

When she shall die, take her and cut her into little stars.
And she will make the face of heaven so fine,
that all the world will be in love with night
and pay no worship to the garish sun.

(William Shakespeare)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 20 มี.ค. 06, 10:02
ขอปรบมือดังๆให้กับคุณวิวันดาและอาจารย์เทาชมพูสำหรับ mini series ชุดนี้ ขอบคุณครับ

ผมจำได้ว่าได้ดูถ่ายทอดสดงานพิธีพระบรมศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ซาบซึ้งกับบทกวีที่พี่สาวของไดอาน่า ทรงอ่านถวาย

Time is Too slow for those who Wait,
Too swift for those who Fear,
Too long for those who Grieve,
Too short for those who Rejoice,
But for those who Love Time is Eternity.

Henry Van Dyke


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: Aukung ที่ 21 มี.ค. 06, 12:30
 อยากเรียนถามอ.เทาชมพูค่ะว่าลิ้งค์ของตอน"รักร้าว.."ที่อ.เทาชมพูหรือคุณวิวันดากล่าวถึงในเรื่องนี้อยู่ตรงไหนค่ะ พยายามหาอ่านแต่หาไปเจอ อยากติดตามค่ะ ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความนี้ให้ความรู้และความเข้าใจในหลายๆเรื่องมากจริงๆค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: Aukung ที่ 21 มี.ค. 06, 14:45
 ขอบพระคุณคุณวิวันดามากค่ะที่กรุณาข้อความของดิฉัน และเมื่ออ่านประโยคที่ว่า จะนำกระทู้รักร้าวของเจ้านายมาให้อ่านต่อ... ดีใจมากค่ะ อยากอ่านมากค่ะ (แอบมารอลิ้งค์รักร้าว..ตั้งแต่ขอไปไม่ยอมไปไหน ฮิฮิ)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 มี.ค. 06, 15:10
เตรียมกุหลาบอังกฤษมารอหน้าเวที  
รอเจ้าของเรื่องรักร้าวค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (3)
เริ่มกระทู้โดย: Tori ที่ 22 มี.ค. 06, 01:53
 ตามมาอ่านเรื่องของพี่วิวันดาค่ะ
รวบยอดซะตาแฉะไปหมดเลย