เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 8 9 [10]
 91 
 เมื่อ: 12 พ.ค. 24, 16:12 
เริ่มโดย agree - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
     สงสัยว่าชาวสุโขทัยสมัยราชวงศ์พระร่วงมีดีเอ็นเอมอญ หรือมอญเขมร     เดาว่าเป็นอย่างหลัง 
     พ่อขุนรามน่าจะมีสายสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในอีสาน   ไม่งั้นคงไม่เสด็จไปถึงแม่น้ำโขง  ที่อยู่ไกลถึงสุดเขตอีสาน
     "กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีตระพังโพยสีใสกินดี ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง”

 92 
 เมื่อ: 12 พ.ค. 24, 16:00 
เริ่มโดย เทาชมพู - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
รูปเนื้อรูปตัว ------------>ลูบเนื้อลูบตัว

 93 
 เมื่อ: 12 พ.ค. 24, 10:02 
เริ่มโดย k0be - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
 ยิงฟันยิ้ม

 94 
 เมื่อ: 12 พ.ค. 24, 09:35 
เริ่มโดย k0be - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เพ็ญชมพู
ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีความสุขในวันแม่สากล  ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗

คนไทยยกย่องให้วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ในความเป็นสากลแล้ว อีกหลาย ๆ ประเทศกำหนดให้ วันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่สากล

เริ่มที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๘๗๒ จูเลีย วอร์ด ฮาว (Julia Ward Howe) นักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวบอสตัน สหรัฐอเมริกา ต้องการเรียกร้องสันติสุขสำหรับการพบแม่ในวันแม่ Mother's Day meetings แต่เวลาผ่านมาจนกระทั่งมีผู้มุ่งมั่นเรียกร้องให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการเมื่อ แอนนา มารี จาร์วิส (Anna Marie Jarvis) คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ได้เรียกร้องให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. ๑๙๐๘ หลังจากเธอต้องสูญเสียแม่ผ่านไป ๒ ปี เธอต้องการให้ทุกคนระลึกถึงบุญคุณของแม่ ซึ่งความพยายามของเธอก็เป็นผลในปี ค.ศ. ๑๙๑๔ หลังประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

ทั้งนี้ วันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ได้กลายเป็นวันแม่แห่งชาติของหลายประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศอังกฤษ, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, อิตาลี, ตุรกี, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก, แคนาดา, จีน, ญี่ปุ่น, และเบลเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเทศที่กำหนดวันแม่แห่งชาติของตนเอง แต่ยังคงกำหนดวันอาทิตย์เช่นกัน

ข้อมูลจาก kapook.com


 95 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 16:35 
เริ่มโดย agree - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เพ็ญชมพู
พออ่านที่คุณเพ็ญชมพูยกมา เลยอยากถามว่า ดีเอ็นเอของชาวสิบสองปันนากับทางเหนือของไทย  ทางไหนเป็นต้นน้ำ ทางไหนเป็นปลายน้ำกันแน่คะ

ต้นน้ำมาจากสิบสองปันนา ไหลบ่าสู่เมืองเหนือของไทย

ชาวสิบสองปันนา และคนไทยทางเหนือเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกันคือ ไทลื้อ จากหลักฐานตำนาน ที่สันนิษฐานได้ว่า พญาเจิงผู้นำของชาวไทลื้อ ที่สามารถสถาปนารัฐไทขึ้นมาได้ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ อาณาจักรของรัฐไทลื้อแต่เดิม สถาปนาและขยายอาณาเขตการปกครองระดับรัฐ กระจายอำนาจและเครือข่าย ไปตามที่ราบระหว่างหุบเขา จากเขตลุ่มน้ำโขงตอนบน ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ออกไปทางตอนเหนือของเวียดนาม ตามลุ่มน้ำแดง ภาคเหนือและภาคตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศพม่า ภาคเหนือและภาคกลางตอนบนของลาว และภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย คือเชียงแสนและเชียงราย

ตามตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ บ้านเมืองของชาวลื้อปรากฏและถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่อดีต นับจากกำเนิดของพญามังราย การอพยพเข้ามาปักหลักตั้งชุมชนชาวไทลื้อในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย น่าจะมีมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่การสถาปนารัฐไทในประวัติศาสตร์ของล้านนายุคต้น เนื่องจากปรากฏรายชื่อนิกายลื้อ ในเอกสารตำนานรายชื่อหมวดวัดในเวียงเชียงใหม่ ชุมชนแถบสันติธรรมด้านนอกคูเมืองปรากฏมีป่าช้าลื้อตั้งอยู่ จวบจนถึงยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ที่ผู้คนในแถบสิบสองปันนาถูกกวาดต้อนลงมาสร้างบ้านสร้างเมืองใหม่ในดินแดนล้านนา ปัจจุบันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ปรากฏชุมชนของชาวไทลื้อ ตั้งหมู่บ้านในรูปแบบรวมเป็นชุมชนชาวไทลื้อและอาศัยปะปนกับชุมชนคนไทโยน มีชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมากในจังหวัดเชียงราย น่าน จังหวัดพะเยา

ข้อมูลจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

 96 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 15:35 
เริ่มโดย เพ็ญชมพู - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เพ็ญชมพู
Tiffany Blue snake ไม่ใช่ชนิดงู แตเป็นการตั้งฉายาให้ตามสีอันสวยงามของมัน งูชนิดนี้เป็น งูเขียวหางไหม้ชนิดหนึ่ง (Trimeresurus sp.) แต่มีสีแตกต่างไปจากงูเขียวหางไหม้ปรกติ

ปรกติมีสีเขียว               
หายากเขียวตัวสีฟ้า
ธรรมชาติสร้างสรรค์มา     
ประดับป่าแลผืนดิน


 97 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 15:19 
เริ่มโดย chupong - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
   ฝนเดือนหกเริ่มมาเยือนบางส่วนของประเทศไทยแล้ว   หลังจากคลื่นความร้อนปกคลุมทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทำให้เกิดอาการ "ร้อนเป็นบ้า" หรือ "ร้อนตับแตก" มาตั้งแต่ต้นฤดูร้อน
    องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ระบุว่า ในขณะนี้เอลนีโญกำลังอ่อนตัวลง และจะเข้าสู่ยุคของ “ลานีญา” ภายในเดือนสิงหาคม 2567

     ‘ลานีญา’ คืออะไร

    เมื่อปรากฏการณ์เอลนีโญที่จบลง โลกจะเข้าสู่ “สภาพเป็นกลาง” (Neutral Phase) ประมาณ 3-5 เดือน ก่อนที่จะเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาอย่างเต็มตัว และยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนที่กว่าที่ลานีญาตจะเริ่มส่งผลต่อสภาพอากาศ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ในปีนี้อุณหภูมิจะยังคงสูงต่อไป จนสามารถทำลายสถิติของปีที่แล้ว หากลานีญาที่เกิดในปีนี้ไม่รุนแรงมากเพียงพอ
    แม้ลานีญาจะเป็น “ขั้วตรงข้าม” ของเอลนีโญ แต่ไม่ได้หมายความว่าผลกระทบของเอลนีโญและลานีญาจะตรงกันข้ามเสมอไป พาเมลา น็อกซ์ นักอุตุนิยมวิทยาการเกษตรจากมหาวิทยาลัยจอร์เจียเอ็นเทนชัน กล่าวว่า
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นเอลนีโญและลานีญาจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้นักพยากรณ์อากาศคำนวณได้ว่า ในอีกไม่กี่เดือนหน้าจะมีสภาพภูมิอากาศอย่างไร”
      ขณะที่ มิกกี้ แกรนท์ ผู้อำนวยการสมาคมเสริมสร้างขีดความสามารถ แห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ ตั้งข้อสังเกตว่าลานีญาไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้รูปแบบการเกิดฝนและความร้อนในบางภูมิภาครุนแรงขึ้นอีกด้วย “พื้นที่ไหนที่ปรกติแล้วมีฝน ฝนจะชุกกว่าเดิม แต่ถ้าแห้งแล้งอยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะแห้งแล้งกว่าเดิม” แกรนท์กล่าว

     https://www.bangkokbiznews.com/environment/1125365

 98 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 14:50 
เริ่มโดย agree - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู

"ดีเอ็นเอของคนไทยในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน คนเมืองซึ่งเป็นประชากรหลักในภาคเหนือของไทย มีดีเอ็นเอคล้ายกับชาวไดจากสิบสองปันนา ประเทศจีนตอนใต้

ส่วนคนไทยภาคกลางและภาคใต้มีดีเอ็นเอที่เหมือนดีเอ็นเอของชาวมอญ และยังพบว่าดีเอ็นเอของคนภาคกลางและภาคใต้ยังมีบางส่วนเหมือนกับชาวอินเดียตอนใต้ ซึ่งแสดงถึงการผสมผสานทางพันธุกรรมจากเอเชียใต้สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งสามารถประมาณอายุได้ ๖๐๐-๗๐๐ ปี ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยาของไทย"

   ตำราเรียนตอนเด็กๆเขียนว่าคนไทยอพยพมาจากทางใต้ของจีน   ส่วนตำราและบทความยุคที่ดิฉันทำงานแล้วบอกว่าคนไทยอยู่ที่สุวรรณภูมินี่เอง ไม่ได้อพยพมาจากไหน   แต่เจ้าของบทความเหล่านี้ไม่ได้อ้างหลักฐานทางนิรกติศาสตร์ว่า ภาษาไทยลุ่มเจ้าพระยามีหลายคำเหมือนหรือคล้ายไทยในสิบสองปันนา
   เคยเอาคำถามนี้ไปถามนักวิชาการคนหนึ่ง   เขาบอกว่าที่ภาษาคล้ายกัน อาจจะกระจายจากไทยขึ้นไปถึงสิบสองปันนาก็ได้  ไม่จำเป็นว่าต้องจากทางโน้นลงมาทางนี้
   พออ่านที่คุณเพ็ญชมพูยกมา เลยอยากถามว่า ดีเอ็นเอของชาวสิบสองปันนากับทางเหนือของไทย  ทางไหนเป็นต้นน้ำ ทางไหนเป็นปลายน้ำกันแน่คะ

 99 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 14:21 
เริ่มโดย เทาชมพู - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
     ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ...   คือให้มีการเปลี่ยนชื่อสำนักงานจาก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินฯ  กำหนดให้สำนักงานทรัพย์สินฯ มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย และในจำนวนนี้จะได้ทรงแต่งตั้งกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์คนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ

   

 100 
 เมื่อ: 11 พ.ค. 24, 14:00 
เริ่มโดย เทาชมพู - ความคิดเห็นล่าสุด โดย เทาชมพู
   พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 กำหนดให้มีคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และจะทรงแต่งตั้งหนึ่งคนในจำนวนนี้ให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ
     รัฐบาลไม่ได้เก็บสำนักงานทรัพย์สินฯไว้เฉยๆ   แต่นำรายได้จากสำนักงานฯ ไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ  โดยคณะกรรมการฯเป็นผู้จัดการ  พระมหากษัตริย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งด้านบริหาร และไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด   เงินทองที่เป็นกำไรจากการลงทุนตกเป็นของรัฐทั้งหมด  เป็นอย่างนี้มาตลอดรัชกาลที่ 9 
    ดังนั้น การรวมรายได้จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เข้าเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ดังที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศบางฉบับ   จึงเป็นความเข้าใจผิด อันอาจจะเกิดจากชื่อหน่วยงานทำให้เข้าใจเป็นเช่นนั้น

    จนกระทั่งปี 2560 คณะ คสช.จึงได้ออกกฎหมาย ถวายสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อันเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ต้น  คืนกลับไปสู่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

หน้า: 1 ... 8 9 [10]
Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.052 วินาที กับ 15 คำสั่ง