han_bing
|
เมื่อไม่นานมานี้ช่วงที่ไปพักบ้านที่อยุธยา (บ้านข้าพเจ้าอยู่ที่อำเภอบางไทร) หลวงพ่อที่นับถือท่านหนึ่งได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า เพราะท่านจะบอกข่าวดีเรื่องการบุรณวัด
วัดนั้นคือวัดชุมพลนิกายาราม
หลวงพ่อรูปนี้ไม่ใช่เจ้าอาวาส แต่เป็นพระชราในวัด ท่านเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงในการบุรณะพระอุโบสถ ตัั้งแต่เริ่มบูรณะพระพุทธรูปให้งามเหมือนเดิม ปิดทองใหม่ให้แสนอร่าม
ข้าพเจ้าชอบหลวงพ่อรูปนี้มากเพราะท่านเป็นนักศิลปะ และซ่อมอย่างนักอนุรักษ์ ตอนท่านซ่อมพระประธานท่านติดต่อช่างจากกรมศิลปากรมาเลย และพยายามให้เหมือนของเดิมมากที่สุด
ทั้งนี้ตอนข้าพเจ้าไปก่อนจะไปเมืองจีนครั้งล่าสุด (สามปีมาแล้วสิ) ท่านบ่นๆเรื่องซุ้มหน้าต่าง เพราะท่านว่าสมัยก่อนเป็นทรงมุงกฎเพรียวงาม แต่ต่อมาทรุดโทรม เลยถูกซ่อมจนกลายเป็นทรงอะไรก็ไม่รู้ ท่านอยากจะบูรณะใหม่ให้เหมือนเดิมเหลือเกิน แต่ขอให้ทำพระประธานกับหลังคาให้แล้วก่อน เพราะห่วงเรื่องฝนรั่ว
ตอนนี้พระประธานซ่อมเสร็จแล้ว หลังคาไม่รั่วแล้ว กำลังจะยกช่อฟ้า และปิดกระจก หน้าต่างก็กำลังซ่อม ท่านเรียกข้าพเจ้าไปเพื่ออวดหน้าต่าง คือท่านทุบที่ซ่อมจนเสียใหม่ แล้วแปลงให้เหมือนภาพถ่ายเก่าตามที่ค้นได้ ปูนปั้นนั้นใช้ช่างกรมศิลป์ ควบคุมโดยกรมศิลป์ แต่ทางวัดหาเงินมาเอง
ท่านเล่าเรื่อยๆว่า ตอนแรกท่านซ่อมองค์พระเสร็จท่านก็จะกลับแล้ว (ลืมถามว่าจะกลับบ้านเดิมทางเหนือที่สันกำแพงหรือไร เพราะท่านเป็นคนเหนือ) แต่ท่านเห็นว่ายังมีงานค้างอยู่หลายอย่าง เลยยังไม่กลับ
ตอนนี้หน้าต่างกำลังบูรณะช้าๆ สุดท้ายเหลือสิ่งที่ท่านอยากทำที่สุดคือการซ่อมภาพจิตรกรรมฝาพนัง
เนื่องจากพนังมีความชื้นมาก และทางกรมศิลป์กล่าวว่า จะทำาการลอกภาพออกมาแล้วใส่ในผืนผ้า บูรณะพนังใหม่และฉีดยากันชื้น แล้วจะค่อยๆนำภาพมาปิดใหม่
ขาดงบประมาณหลายอยู่
ที่ข้าพเจ้าเรียกมานี้ไม่ใช่เพราะว่าจะชวนทำบุญหรืออะไร แต่อยากจะขอชมความพยายามในการอนุรักษ์ศิลปะเก่าๆของไทยไว้ แม้จะอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆก็ตาม
ท่านที่อ่านเรื่องนี้อยากไปชมก็ไปชมได้ ขณะนี้กำลังซ่อมอยู่ และเป็นการซ่อมอย่างที่เห็นแล้วไม่รู้สึกเศร้าใจ เพราะเห็นว่าซ่อมแล้วงามดังเดิ่ม
ส่วนจะทำบุญร่วมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ ครั้นพูดไปเหมือนจะช่วยหาเงินอาจจะดูไม่งาม
สวัสดี
ปล. ท่านเล่าอย่างยิ้มๆว่า ถ้าซ่อมทุกอย่างเสร็จท่านก็จะกลับบ้านแล้ว หมดห่วง แล้วใครอยากเห็นรูปเก่า ขณะนี้ท่านติดรูปตอนอุโบสถสมัยโทรมสุดๆๆไว้อาจชมได้
ท่านอยากให้ชมด้วย เพราะว่า "ทุกคนจะได้มีเครื่องเตือนใจว่าอย่าปล่อยให้สมบัติชาติต้องทรุดโทรมจนสุดท้ายเกือบจะสูญสิ้น"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 30 ส.ค. 11, 15:35
|
|
ภาพจิตรกรรมด้านข้างพระประธานหายไปเยอะเหมือนกัน เห็นแล้วน่าใจหายไม่น้อยเลยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 30 ส.ค. 11, 15:43
|
|
พระพุทธรูปบนฐานชุกชีได้ปิดทองใหม่ อย่างสวยงามอย่างยิ่งครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 30 ส.ค. 11, 16:06
|
|
ขออนุญาตคุณหาญเล่าเกริ่นความสำคัญและประวัติสักเล็กน้อย เพื่อผู้เข้ามาอ่านจักได้รู้จักประวัติวัดแห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น
วัดชุมพลนิกายาราม สันนิฐานว่าวัดน่าจะถูกสร้างในช่วงหลัง พ.ศ. ๒๑๙๓ ส่วน น. ณ ปากน้ำให้ข้อสันนิฐานว่า พระเจดีย์ย่อมุมคู่ทางด้านหลังพระอุโบสถ มีความคล้ายคลึงกับเจดีย์เพิ่มมุมหน้าพระอุโบสถวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
จุดประสงค์การสร้างวัดนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเชื่อว่า พระเจ้าปราสาททองทรงโปรดให้สร้างวัดชุมพลนิกายาราม ขึ้น ณ สถานที่ประสูติของมารดาพระองค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 30 ส.ค. 11, 16:17
|
|
พระพุทธรูปหมู่ ๗ องค์บนฐานชุกชี
รายนามพระพุทธรูปมีดังนี้
๑. พระพุทธวิปัสสี ปางมารวิชัย สูง ๗ ศอก ๑๔ นิ้ว
๒. พระพุทธสิขี ปางสมาธิ สูง ๔ ศอก ๕ นิ้ว
๓. พระพุทธเวสสภู สูง ๓ ศอก คืบ ปางมารวิชัย
๔. พระพุทธกุกกุสันธ ปางสมาธิ สูง ๓ ศอก ๕ นิ้ว
๕. พระพุทธโกนาคม ปางสมาธิ สูง ๓ ศอก ๔ นิ้ว
๖. พระพุทธกัสสป สูง ๓ ศอก ปางมารวิชัย
๗. พระพุทธโคดม สูง ๒ ศอก คืบ ๓ นิ้ว ปางมารวิชัย
ซึ่งพระพุทธวิปัสสี อันเป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุด กำหนดไว้ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีความเชื่อกันว่า พระพุทธรูปทั้ง ๗ องค์ที่รวมกันนี้ อาจจะหมายถึงลำดับของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธวงศ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 30 ส.ค. 11, 16:36
|
|
ภาพจิตกรรมฝาผนัง
ในส่วนภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถนี้ เป็นงานวาดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นเรื่องราวของอดีตพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์เรียงลำดับกันไป พร้อมมีจารึกหินอ่อนประกอบไว้ด้วย ซึ่งยืนยันได้จาก ภาพพระมหาพิชัยมงกุฎ ที่วาดไว้บนส่วนยอดของภาพเรือนแก้ว (วงกลมตามภาพ) ซึ่งท่านยังสมารถพบได้ที่วัดปทุมวนาราม , วัดพระสมุทรเจดีย์, วัดเสนาสนาราม และวัดชิโนรสาราม ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 03 ก.ย. 11, 13:05
|
|
เนื่องจากพนังมีความชื้นมาก และทางกรมศิลป์กล่าวว่า จะทำาการลอกภาพออกมาแล้วใส่ในผืนผ้า บูรณะพนังใหม่และฉีดยากันชื้น แล้วจะค่อยๆนำภาพมาปิดใหม่
ขาดงบประมาณหลายอยู่ ลักษณะกรบูณณะอย่างนี้มีตัวอย่างให้ชมที่พระอุโบสถวัดระฆังโฆษิตาราม นับเป็นวิธีที่ทำยากวิธีหนึ่งแต่ดีในแง่การเก็บรายละเอียดของเดิมได้หมด แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของจิตรกรรมฝาผนังไทยก็คือผนังส่วนที่ติดตั้งนี่แหละ ที่ปัจจุบันการทำปูนตำแบบโบราณแท้ๆไม่มีใครมีสูตรที่ชัดเจนเลยเพราะเป็นเทคนิคช่างที่ต่างคนต่างมีกลเม็ดไม่บอกต่อได้แต่ครูพักลักจำกันมา จึงเกิดปัญหาที่อยากจะทำอย่างโบราณได้ปัจุบันเลยล่อแต่ปูนซิเมนต์ซะฉิบ ก็เลยได้ฉิบหายกันหมดต่อให้บูรณะกันกี่ทีก็ไม่รอด ทุกวันนี้จิตรกรมมฝาผนังไทยในทุกทีมีแต่รอวันตาย เพราะศิลปะทุกวันนี้มิสำคัญเท่าปากท้องคนจะเสพจะเข้าใจมีอยู่ในวงจำกัด เท่าที่อยู่ในวงการนี้มากว่า25ปียังไม่เคยพบการบูรณะทีใดที่ทำให้จิตรกรรมฝาผนังคงอยู่ได้เท่าของเดิมเลยสักที่(ดูภาพประกอบความวิบัติฉิบหายของจิตรกรรมฝาผนังไทยที่วัดป่าเกดอันเกิดจาการอนุรักษ์เป็นตัวอย่าง รูปแรกก่อนอนุรักษ์รูปสองเมื่ออนุรักษ์แล้ว)
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 04 ก.ย. 11, 20:02
|
|
เรื่องพวกนี้คงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป ตอนนี้สิ่งสำคัญน่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลไว้ให้มากที่สุดมากกว่าและนำข้อมูลนั้นมาทำการศึกษาให้เกิดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาต่อยอดสำหรับเด็กรุ่นใหม่ต่อไป พี่ยินส์ครับ น้องๆคิดถึงมากว่างๆออกมาทานข้าวกันบ้างนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|