การเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธฯ นั้น เป็นโรงเรียนประจำกินนอน ผมได้กลับเข้ามาในวังแค่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่รู้สึกขมขื่นแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกขาดทุนเล็กน้อยที่อดฟังนิทานพระราชทานจากพระโอษฐ์ ในตอนค่ำของวันธรรมดา
ที่โรงเรียนวชิราวุธฯมีระบบในการรับเบี้ยเลี้ยงจากครูใหญ่เป็นรายสัปดาห์ และในแต่ละวันพอสี่โมงเช้าพักเรียนก็ไปกะหรี่ปั๊บหรือขนมอื่นที่มีประโยชน์มากิน สำหรับกิจกรรมแล้วที่นี่ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬามีทีมฟุตบอลหลายรุ่น และมีฝีเท้าที่หนักของผมก็เป็นที่ยอมรับให้เป็นกัปตันทีมรุ่นเด็ก อีกทั้งผมยังเป็นนักมวยอย่างบังเอิญด้วย
คือที่โรงเรียนมีกฎห้ามชกต่อยเหมือนเป็นเด็กริมถนน ใครไม่ชอบหน้ากันหรือมีเรื่องโกรธแค้นกัน จะต้องมาหาครูสอนยิมนาสติกขอนวมมาต่อยกันต่อหน้าคนอื่น ๆ ในห้องยิมนาสติกนั่นเอง เมื่อเลิกชกกันแล้วต้องจับมือกันสำหรับผมได้เป็นนักมวยบังเอิญ ไม่ใช่ว่าผมไปมีเรื่องทะเลาะกับใคร แต่เป็นเพราะวันหนึ่งครูบอกว่าจะสอนวิธีการชกมวยให้รู้ไว้เพื่อป้องกันถูกรังแก ครูมีลูกศิษย์คนหนึ่งตัวผอมกะหร่อง หัวโต เขาเดินเข้ามาพร้อมมือสวมนวมเรียบร้อย ครูก็มองหานักเรียนที่อยู่ตรงหน้าที่จะมาเป็นคู่ซ้อม และสายตาครูก็มาหยุดที่ผม พร้อมบอกว่า
“รูปร่างท่าทางใหญ่ แข็งแรงดี คงจะได้” แล้วสั่งให้คนนำนวมมา ความเป็นเด็กบ้านนอกไม่เคยเห็นนวมมาก่อน เห็นไกล ๆ นึกว่า ลูกมะพร้าว เขาก็เอานวมมาใส่ให้ ครูก้บอกว่าต่อยกันเสร็จแล้ว ห้ามถือโทษโกรธกัน เพราะนี่เป็นกีฬา แต่ผมเคยเห็นแต่เด็กวัด เขาชกกันเหมือนควายขวิด ซึ่งผมคิดว่าเป็นแบบฉบับที่สมบูรณ์
พอครูบอกเริ่ม เขาก็ก้มหน้าก้มตาเข้ามาต่อยตุ้บ ๆๆๆ ผมพยายามหลบ แต่แล้วก็เห็นหนังลูกกลม ๆ ลอยมาที่กกหู ตุ้บ! เสียงในหูดังวี้ด ๆๆๆ แล้วเขาก็เต้นโยกตัวหาไม่เจอเลย มีแต่เสียงลมวืด ๆๆ ผมจะต่อยก็ไม่โดน เป็นแบบควายขวิดทุกที แล้วก็นึกได้ว่า ก่อนอื่นต้องหาว่าเท้าเขาอยู่ไหน ตัวเขาถึงจะอยู่ตรงนั้น พอผมจับจังหวะเท้าเขาได้ ผมก็ชกพั่บเข้าไป ไม่ทราบโดนตรงไหน แต่เขาล้มโครม ครูบอกให้พอ และจับมือกัน ครูพูดว่า
“ตานี่หมัดหนัก น่าจะพัฒนา” หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ต่อยมวยอีก จนได้ไปแสดงฝีหมัดอีกครั้งที่ต่างประเทศ ไว้ผมจะเล่าให้ฟังคราวต่อไป
จาก
ใต้ร่มฉัตร เรื่องราวชีวประวัติหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ นักเรียนวชิราวุธคนเก่ง ตอนที่ ๕http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5199.msg107773#msg107773