กระดูกของ “ท่านป้าฉวีวาด”: การชันสูตรใหม่ (2) ละครเจ้าจอมมารดาอำภา ธิบดี บัวคำศรี
8 กรกฎาคม 2555 (PDT)
https://www.facebook.com/notes/suwasadee-photpun/กระดูกของ-ท่านป้าฉวีวาด-การชันสูตรใหม่-2/4950507638456242. ละครเจ้าจอมมารดาอำภา คึกฤทธิ์เล่าไว้ใน โครงกระดูกในตู้ ว่า เมื่อฉวีวาดหนีออกไปกรุงกัมพูชาภายหลังการเกิดขึ้นของเหตุการณ์อันนำไปสู่วิกฤตวังหน้าเมื่อ ค.ศ.1874 นั้น ฉวีวาดนำ "ละครของเจ้าจอมมารดาอำภาซึ่งตกมาถึงท่านนั้นลงเรือทั้งโรงพร้อมด้วยเครื่องละครและดนตรีปี่พาทย์รวมเป็นคนหลายสิบคน" และกล่าวต่อไปด้วยว่า "ละครโรงนี้เป็นกุญแจไขประตูเมืองเขมรให้เปิดรับท่านอย่างกว้างขวาง" (คึกฤทธิ์ 2514, 68-69) ด้วยเหตุว่า
เรื่องละเม็งละครนั้น จะถือว่าเป็นเรื่องเล็กไม่ได้ในสมัยนั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะประเทศต่างๆ แถวนี้ถือว่าโขนละครและหนังนั้นเป็นสมบัติที่ส่งเสริมเกียรติยศของบ้านเมือง และโขนละครและหนังใหญ่ของไทยนั้นถือกันว่าประเสริฐสุด ทุกประเทศก็อยากได้ไปไว้เป็นของตนหรือเป็นแบบฉบับ.....ที่เมืองเขมรนั้นในฐานะที่เป็นเมืองประเทศราชเช่นเดียวกับเวียงจันท์ คงไม่มีสิทธิ์ที่จะมีโขนหลวงและละครในเช่นเดียวกัน.....เมื่อท่านป้าฉวีวาดเอาละครเจ้าจอมมารดาอำภาซึ่งเล่นแบบละครในไปด้วยทั้งโรงเช่นนี้ สมเด็จพระนโรดมย่อมจะต้องเห็นว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่ต้องการมานานแล้ว สมเด็จพระนโรดมจึงได้รับท่านป้าฉวีวาดและละครของท่านทั้งโรงเข้าไปอยู่ในพระราชวังในฐานะละครในเมืองเขมร และให้หัดละครเมืองเขมรสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ (คึกฤทธิ์ 2514, 78-80. การเน้นเป็นของผม, tb)
เรื่องนี้นับถือต่อๆ กันมา ถูกเติมแต้มความให้ขยายและกลายเป็นที่อ้างอิงของมากผู้หลายคนว่า ละครเขมรมีกำเนิดจากคณะละครที่ฉวีวาดนำไปนั้นเอง [Note 2.1]
กระนั้น ผมเห็นว่าความที่คึกฤทธิ์เขียนไว้ข้างต้นนั้นมีที่สงสัยอยู่หลายส่วน
เมื่อคึกฤทธิ์ไปเยือนกัมพูชาในปลาย ค.ศ.1952 ต่อต้น ค.ศ.1953 และเขียนถึงการเดินทางครั้งนั้นไว้ในหนังสือชื่อ ถกเขมร พิมพ์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 1953 นั้น คึกฤทธิ์และคณะไปเยือนเสียมราฐก่อน แวะเที่ยวที่นั่นอยู่หลายเพลาจากนั้นจึงเดินทางต่อมายังกรุงพนมเปญ พำนักที่นั่นเพียงชั่วไม่นานวันแล้วก็กลับเมืองไทย ถ้าใช้คำคึกฤทธิ์เองก็ต้องว่า "ผมอยู่พนมเป็ญไม่นานพอที่จะสังเกตการณ์ได้กว้างขวาง สิ่งที่ได้พบเห็นจึงนับว่าฉาบฉวย" (คึกฤทธิ์ 2506, 220)
เมื่ออยู่ ณ กรุงพนมเปญนั้น คึกฤทธิ์และพวกเข้าไปเที่ยวในพระบรมราชวัง
ในวังนั้นเราได้ยินเสียงใครซ้อมปี่พาทย์ และเราได้เห็นโรงละครขนาดใหญ่อยู่โรงหนึ่ง จึ่งทราบว่าในพระราชวังเมืองเขมรนั้น ยังมีละครในเป็นของออกหน้าออกตาอยู่ ละครในเมืองเขมรนั้นยังรักษาแบบแผนประเพณีและศิลปะละครรำอย่างของไทยไว้ ความจริงละครรำในเมืองเขมรนี้ ราชสำนักเขมรได้นำออกไปจากกรุงเทพฯ บทที่เล่นยังเป็นเรื่องอิเหนา อุณรุธ สุวรรณหงส์ ไกรทอง และสังข์ทอง และอื่นๆ ทำนองนั้น (คึกฤทธิ์ 2506, 209-210)
ข้อที่คึกฤทธิ์เขียนเล่าข้างต้นนี้เป็นเรื่องจริงอยู่มากส่วน แต่มีข้อแปลกตรงที่ว่า ถ้าละครเมืองเขมรสืบทอดมาแต่ละครเจ้าจอมมารดาอำภาที่ฉวีวาดนำเข้าไปอย่างที่คึกฤทธิ์เล่าไว้ใน โครงกระดูกในตู้ เหตุใดคึกฤทธิ์ผู้เป็นหลานที่ฉวีวาด "โปรดปราน...และเอาไป “เลี้ยง” ไว้กับท่าน" จึงไม่เอ่ยถึงฉวีวาดเลยเมื่อเล่าถึงเรื่องละครเมืองเขมรไว้ใน ถกเขมร
อาจเป็นได้ว่า เพราะฉวีวาดเป็น "โครงกระดูกอันใหญ่ในตู้" ที่คึกฤทธิ์เพิ่งจะตัดสินใจเปิดเผยใน ค.ศ.1971 เมื่อยลและยินปี่พาทย์ในพระบรมราชวังกรุงพนมเปญในวันใดวันหนึ่งระหว่างปลาย ค.ศ.1952 ต่อต้น ค.ศ.1953 คึกฤทธิ์จึงงำความข้อนี้ไว้เสีย กระดูกจึงยังอยู่ในตู้เรื่ิอยมากระทั่งเมื่อมีการพิมพ์ โครงกระดูกในตู้ เมื่อ ค.ศ.1971 หรืออาจจะมีคำอธิบายเป็นอย่างอื่นก็ได้ ซึ่งผมจะไม่อภิปรายในที่นี้
ที่นี้ลองมาค้นดูใน โครงกระดูกในตู้ อีกครั้ง ในนั้นคึกฤทธิ์เล่าว่าเคยได้ดูละครนอกเมืองเขมร
เช่นเรื่องไกรทอง ผู้เขียนเองก็เคยได้ดู พอได้ยินเสียงคนบอกบท เริ่มต้นว่า "กาลเนาะ โชมเจ้าไกรทองพงซา" ก็ต้องเบือนหน้าไปยิ้มกับฝาข้างโรง เพราะช่างแปล "เมื่อนั้น โฉมเจ้าไกรทองพงศา" ได้ดีแท้ (คึกฤทธิ์ 2514, 80. การเน้นเป็นของผม, tb)
ซึ่งถ้าว่าตามอย่างที่คึกฤทธิ์เล่าไว้เอง ละครที่คึกฤทธิ์ดูนั้นก็ต้องมีส่วนของมรดกที่ตกมาแต่ฉวีวาด
ปัญหาคือ คึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าว่าเคยดูละครเรื่องไกรทองดังว่านั้นที่ไหน เมื่อไร
ข้อที่ว่าที่ไหนนั้น เป็นได้มากว่าคือที่กัมพูชา ให้แคบไปกว่านั้นคือที่กรุงพนมเปญ อาศัยเหตุดังนั้น คึกฤทธิ์จะได้ดูก็เมื่อก็ต้องเมื่อไปกัมพูชา
ณ เวลานี้ เท่าที่ผมทราบ คึกฤทธิ์ไปกัมพูชาครั้งแรก, และอาจจะเป็นครั้งเดียว, ในปลาย ค.ศ.1952 ต่อต้น ค.ศ.1953 และเขียนเรื่องการเดินทางครั้งนั้นไว้ใน ถกเขมร ดังที่กล่าวถึงข้างต้น หากแต่ใน ถกเขมร นั้นไม่มีความตอนใดเลยที่กล่าวถึงการชมละคร มีก็แต่ได้ยินและได้เห็นการซ้อมปี่พาทย์ดังความที่ยกมาข้างต้น และความที่ว่า
ผมสนใจเรื่องนี้ [ละครรำ - tb]
สักหน่อยก็ไปหาโปรแกรมเก่าๆ ที่เล่นรับแขกเมืองมาดู ปรากกว่าเรื่องอิเหนาและสุวรรณหงส์นั้นยังต้องเล่นเป็นภาษาไทย เพราะตั้งแต่พระเจ้าศรีสวัสดิ์สวรรคตไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะแปลงบทละครรำของไทยออกเป็นภาษาเขมรได้อีกต่อไป (คึกฤทธิ์ 2506, 210) [Note 2.2]
นั่นคือคึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าว่าได้ดูละครรำ
ถ้าที่ผมเดาไว้ข้างต้น, คึกฤทธิ์ต้องได้ดูละครรำเขมรที่กัมพูชาและคึกฤทธิ์ไปกัมพูชาครั้งแรกและครั้งเดียวในปลายปี 1952 ต่อต้นปี 1953, ไม่ผิดไปจากที่เป็นจริง ก็เป็นได้มากว่าคึกฤทธิ์ไม่เคยดูละครรำเขมร
ความที่เดาข้างต้นนี้มีความเสี่ยงในหลายประการ ข้อสำคัญคือไม่จำเป็นเสมอไปที่ผู้เขียนจะเขียนทุกเรื่องที่เขาเห็น ผมสงสัยว่าคึกฤทธิ์ใน ถกเขมร ก็เป็นเช่นนั้น เช่น เราเห็นภาพการ์ตูนประกอบเขียนเรื่องละครบาซะ โดย ประยูร จรรยาวงษ์ ซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยกับคึกฤทธิ์
คึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าเรื่องละครบาซะไว้ใน ถกเขมร แต่ผมค่อนไปทางเชื่อมากว่า คึกฤทธิ์ก็ได้ดูละครบาซะด้วย
กระนั้นก็ดี ผมก็ยังอยากจะเดาอยู่ว่า คึกฤทธิ์ไม่ได้ดูจึงไม่เล่าถึงละครรำไว้ใน ถกเขมร เพราะขนาดถึงว่าขวนขวายไปหา "โปรแกรมเก่าๆ ที่เล่นรับแขกเมืองมาดู" และยังเล่าเรื่องย่อไกรทองสำนวนเขมรไว้ด้วย (คึกฤทธิ์ 2506, 212, 215) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก หากคึกฤทธิ์ได้ดูละครรำมาจริงแล้วน่าที่จะต้องเขียนถึง
พักเรื่อง โครงกระดูกในตู้ ไว้ชั่วครู่แล้วตัดฉากไปที่ นิราสนครวัด
นิราสนครวัด เป็นงานเขียนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เวลาเมื่อยังเป็นที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระฯ ว่าด้วยการเยือนกัมพูชาและโคชินจีนเมื่อปลาย ค.ศ.1924 จับความตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ไปจนกระทั่งและกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม นิราสนครวัด พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1925
ในบ่ายวันที่ 3 ธันวาคม 1924 กรมพระดำรงฯ ไปดูภูมิสถานและของโบราณที่เมืองอุดงค์ ที่นั่น ราชการอาณานิคมฝรั่งเศสได้จัดมโหรี ปี่พาทย์ ลิเก และละคร ไว้รับรองด้วย กล่าวเฉพาะละครนั้น กรมพระดำรงฯ เล่าไว้ว่า
ละครนั้นก็น่าดู ว่าไปหามาจากเกาะแห่งหนึ่งในลำน้ำโขง มีผู้หญิงตัวละคอนสัก 10 คน กับปี่พาทย์เครื่องคู่สำรับหนึ่ง ละคอนแต่งตัวอย่างบ้านนอก แต่แต่งตามแบบละคอนหลวงกรุงกัมพูชา กระบวรเล่นเห็นรำแต่เพลงช้ากับเพลงเร็ว และมีรำเพลงจีนรำพัดได้ เห็นมีหนังสือบทมาวางไว้ ขอเขามาเปิดอ่านดูเปนหนังสือขอม ขึ้นต้นว่า “กาลเนาะ โฉมเจ้าไกรทองพงศา” ก็รู้ได้ว่าเอาบทละคอนไทยไปแปลงนั้นเอง นึกอยากจะให้เล่นให้ดูก็จวนค่ำเสียแล้ว (ดำรงราชานุภาพ 2468, 120. การเน้นเป็นของผม, tb)
น่าแปลกที่เมื่อคึกฤทธิ์เขียนในอีก 40 กว่าปีให้หลังว่าได้ดูละครเขมรก็เป็นต้องจำเพาะว่าได้ดูเรื่องไกรทอง และก็อ้างอิงบทละครวรรคเดียวกันกับที่กรมพระดำรงฯ เล่าไว้ คือวรรคที่ว่า “กาลเนาะ โฉมเจ้าไกรทองพงศา” เป็นแต่คึกฤทธิ์เขียนยักเยื้องให้ออกสำเนียงภาษาเขมรเป็นว่า "กาลเนาะ โชมเจ้าไกรทองพงซา" เท่านั้น
เราจะอธิบายความเหมือนกันอย่างประหลาดนี้อย่างไร ?
ผมเสนอว่ามีคำอธิบายอย่างน้อยสองแบบ
แบบแรก คึกฤทธิ์ไม่เคยดูไกรทองละครเขมร แต่หยิบเอาเรื่องไกรทองเขมร และบทละครไกรทองใน นิราสนครวัด มาดัดให้เป็นของตัว ควรกล่าวด้วยว่ามีผู้อธิบายว่าขนบอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในแวดวงปัญญาชนสยาม คนที่มีปัญญาทันกันก็จะรู้ว่าความข้อนั้นนี้มาจากแหล่งใด (อ้างคำอธิบายของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ จากความทรงจำของผม, tb) การอ้างอิงตามหลักการทางวิชาการเป็นของฝรั่งที่มาทีหลัง
แบบที่สอง ไม่ว่าคึกฤทธิ์จะเคยดูไกรทองเขมรหรือไม่ก็ตาม ความพ้องกันอย่างประหลาดเป็นเรื่องบังเอิญ
ถ้าเราอ่าน ถกเขมร เทียบ นิราสนครวัด ต่อไปในประเด็นอื่นๆ เราจะเห็นอะไร
นิราสนครวัด เล่าเรื่องอื่นๆ ในแบบที่ลงรอยกันดีกับ ถกเขมร หรือไม่ อย่างไร ?
นิราสนครวัด กล่าวถึงฉวีวาดหรือไม่ อย่างไร ?
Note 2.1 - ท่านผู้อ่านอาจทำให้ความข้อนี้ประจักษ์แก่สายตาท่านเองด้วยการใส่คำค้น เช่นคำว่า ฉวีวาด + ละคร หรืออาจเพิ่มคำอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น คึกฤทธิ์ เขมร นโรดม ฯลฯ ลงใน search engine บรรดามี
เช่นเมื่อผมใส่คำว่า "ฉวีวาด" และ "ละคร" ลงไปในช่องค้นคำของ Google ผลที่ได้คือ "About 40,300 results (0.20 seconds)" รายการแรกคือ หม่อมเจ้าฉวีวาด ปราโมช - วิกิพีเดีย เมื่อคลิกเข้าไปและไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ ก็จะพบข้อความว่า "โรงละครโรงใหญ่ของเจ้าจอมมารดาอำภาได้กลายเป็นต้นแบบของละครในประเทศเขมรปัจจุบันนี้" [สืบค้นเมื่อ Jul 8, 2012 (PDT)]
นอกจากนี้ ท่านยังอาจจะดูอัลบั้มที่ชื่อ โครงกระดูกในตู้ ในเฟซบุ๊คของผู้ใช้ชื่อว่า BIRD Cotton
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.147099588676224.39942.125675814151935&type=3ซึ่งไม่เพียงแต่คัดข้อความใน โครงกระดูกในตู้ มาเท่านั้น หากยังอุตสาหะหาภาพมาประกอบด้วย ควรกล่าวด้วยว่าหลายภาพนั้นไม่ไปกับข้อความ
2.2 - เมื่ออ่าน ถกเขมร ตอนนี้ เทียบกับ โครงกระดูกในตู้ ที่ว่า "ละครในเมืองเขมรในปัจจุบันเป็นละครที่ห่างครูไปนาน จึงเรื้อไปมาก บทที่เล่นนั้นถ้าเป็นละครในเรื่องอุณรุทธและอิเหนายังต้องร้องเป็นภาษาไทย แต่ถ้าเล่นละครนอกแล้ว สมเด็จพระศรีสวัสดิ์ได้ทรงแปลไว้เป็นภาษาเขมรเป็นส่วนมาก" (คึกฤทธิ์ 2514, 80) จะเห็นได้ถึงความใกล้กันระหว่างเรื่องเล่าจากหนังสือสองเล่มซึ่งเขียนขึ้นในระยะเวลาที่ห่างกันเกือบ 20 ปี
อ้างอิง คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. 2514.
โครงกระดูกในตู้. กรุงเทพฯ: ชัยฤทธิ์. (พิมพ์แจกเป็นมิตรพลีในงานทำบุญอายุ ครบห้ารอบ 20 เมษายน 2514)
คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.
ถกเขมร. พิมพ์ครั้งที่ 3. พระนคร: ก้าวหน้า, 2506.
ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. 2468.
นิราสนครวัด. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร (ฉบับพิมพ์เป็นของฝากเมื่อปีฉลู พ.ศ.2468).
_______________
ตอนต่อไปของ กระดูกของ"ท่านป้าฉวีวาด": การชันสูตรใหม่ (3) ละครไทยในราชสำนักกัมพูชา