เรื่องของ ดร.สมิทธ ที่บอกกล่าวนั้น ผมมีความเห็น ดังนี้
ในระบบการทำงานขององค์กรพิเศษที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐเพื่อทำงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯนั้น จะมีการจ้างนักวิชาการที่มีแนวคิดและปรัชญาความเชื่อที่มีความขัดแย้งกันรวมอยู่ด้วย เพื่อจะได้มีการถกเถียงกันและมีการพิสูจน์ทางวิชาการกันอย่างถึงแก่น เื่พื่อหาข้อยุติที่เป็นไปได้มากที่สุดหรือถูกต้องมากที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันก็ทำให้ได้พบอะไรใหม่ๆบนเส้นทางของการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือตั้งใจก็ไม่อาจทราบได้ที่ฝ่าย Con นั้นมักจะเป็นกลุ่มคนที่คิดใน Doctrine ของ Jehovah's Witnesses และ Evangelism ซึ่งกรณี 21/12/12 นั้นผมก็คิดว่ามาจากคนในกลุ่มนี้ ซึ่งหยิบเอาข้อมูลเฉพาะบางส่วนที่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ นำมาสนับสนุนความคิดเห็นตามปรัชญาของตน นำมาผูกเป็นเรื่องราวตามความเชื่อของตนให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น กล่าวมาเพียงเท่านี้ก็คงพอจะเข้าใจในนามธรรมของเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอแล้วนะครับ
ผมไม่สามารถนำข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดมาเล่าให้ฟังได้ เนื่องจากจะต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในหลากหลายสาขา มิฉะนั้นก็จะต้องปูพื้นฐานเป็นเรื่องๆไป ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากทีเดียว (เหมือนกับที่ผมพยายามจะปูเรื่องของกระทู้นี้) และผมเองก็มิใช่มีความรอบรู้ลึกซึ้งเพียงพอในระดับที่จะสามารถเล่าในลักษณะเปรียบเทียบได้
เอาเป็นอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ 21/12/12 ผูกเรื่องขึ้นมาจากปฏิทินของชาวมายาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของดาราศาสตร์ วันสิ้นสุดการคำนวนวันของปฏิทินนี้ (เพื่อสนับสนุนความเชื่อเรื่อง Doomsday)ไปจบอยู่ที่วันที่โลกเคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในแนวระนาบของทางช้างเผือกที่เรียกว่า Dark rift ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่บางดวงและดวงอาทิตย์เข้าไปอยู่ในระนาบนี้ด้วย ประจวบเหมาะกับเป็นปีและเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะปล่อยพายุสุริยะออกมาพอดี แล้วก็เอาเรื่องของแรงดึงดูดบ้าง เอาเรื่องของพายุสุริยะบ้าง เอาเรื่องของช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดมัวบ้าง มาผูกกันเป็นการทำนายคาดฝันว่าความบังเอิญเหล่านี้ จะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆบนผิวโลกซึ่งจะทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตในโลกสิ้นสุดลง ไปจนถึงกระทั่งการแตกสลายของโลก
ประการแรก เรื่องของแรงดึงดูดที่อธิบายว่า จะมีแรงดึงดูดมากขึ้น ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทั่วไป แท้จริงแล้วแรงดึงดูดในระบบทางช้างเผือกที่จะเพิ่มมากขึ้นจนมีผลต่อโลกนั้น มันห่างไกลมากจนมีอิทธิพลมีผลต่อโลกของเราน้อยมากๆๆๆ เพราะเราอยู่ในระบบแรงดึงดูดของระบบสุริยะจักรวาลซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง (ระบบสุริยะจักรวาลของเราเป็นติ่งน้อยนิดในทางช้างเผือกเท่านั้น)
ประการที่สอง เรื่องของพายุสุริยะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Electromagnetic field ที่จะมีผลโดยตรงต่อเส้นแรงแม่เหล็กโลก ระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราใช้ในการสื่อสาร และระบบไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ตามบ้านในปัจจุบัน ซึ่งจะเปลี่ยนไป ขาดหายไป และใช้ไม่ได้ในช่วงที่พายุสุริยะเดินทางผ่านโลกเรา แท้จริงแล้วโลกเราเคยโดนพายุนี้มาแล้วสองครั้งใหญ่ๆ ในช่วงปี 1800++ และในช่วงปี 1900+++ สำหรับครั้งแรกได้ทำให้คนสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้ในเวลากลางคืน และสำหรับครั้งที่สองได้ทำให้ระบบไฟฟ้าตามบ้านเรือนดับไปเกือบจะครึ่งทวีป (สหรัฐฯตอนเหนือและแคนาดา) แล้วก็มีการอธิบายด้วยว่าจะมี Cosmic particle ลงมาถึงยังพื้นโลกมากมาย ทำให้เกิด......ซึ่งแท้จริงแล้วมีแต่ไม่มากซึ่งสนามแม่เหล็กโลกจะช่วยป้องกันไว้ แล้วก็อีกประการหนึ่งก็ว่าเส้นแรงแม่เหล็กโลกจะกลับทิศ อือม์..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดมาจากกลไกของแกนกลางโลก คงจะไม่เกี่ยวกันกระมัง
ประการที่สาม เรื่องท้องฟ้ามืดมัวนั้น ผมไม่มีความสามารถเอาภาพ Abstract ที่ทราบมาบรรยายได้ครับ
อนึ่ง โลกได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 4500 ล้านปีแล้ว คงจะผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มามากหลายรอบแล้ว โลกคงจะยังไม่แตกสลายไปง่ายๆ และเรื่องตายหมู่จนสิ้นเผ่าพันธุ์ (Extinction) นั้น ที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องของอุกกาบาต ซึ่งด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันเราทราบได้ว่ามีดาวเคราะห์น้อยใดๆบ้างที่มีวิถีวงโคจรมาชนโลก
ผมเห็นว่าเรื่องทั้งหลายก็ปั้นกันขึ้นมาบนฐานทางวิทยาศาสตร์เหมือนเรื่องของ Y2K
ลองไปอ่านเรื่องราวและพิจารณาไปตามความเชื่อของตนเองในเว็ปไซด์นี้ซิครับ
http://www.nasa.gov/topics/earth/features/2012-alignment.htmlและ
http://www.viewzone.com/endtime.html