มันมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมตัดสินใจสู้ราคาโดยไม่ต้องคิดนาน คือที่ดินแปลงสี่ไร่เศษนี้เขามีกิจการบังกะโลติดที่อยู่ด้วยแล้ว แม้จะเป็นโครงสร้างง่ายๆหลังคามุงจาก ประกอบด้วยร้านอาหาร บังกะโลแบบเล้าไก่ ๑๕หลัง และที่พักคนทำงานเป็นเรือนๆไม้ยาวๆ ทั้งหมดเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เขายินดียกให้ผมในราคาที่ว่าด้วย
เจ้าของที่สี่ไร่เศษที่เขาบอกขายผมในราคาอนาคตนั้น สมมุติว่าชื่อคณิตก็แล้วกัน ลูกน้องคนใต้ของเขาจะออกนามว่านายฮั๊วข่าหนิด ทั้งๆที่เขาเป็นคนกรุงเทพพื้นเพแถวรังสิต
ผมย้ำทำความเข้าใจว่า ผมต้องการสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของเขาด้วยตามสภาพ ตามที่ผมไปเห็นกำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเตรียมจะเปิดเป็นกิจการแล้ว โดยมีสองคนผัวเมียอายุเกษียณมาแล้ว อ้างตนเป็นเจ้าของ
“ไม่มีปัญหา ถ้าหม่อมโอนเงินดาวน์ให้ผมแล้ว ภายในสามวันหม่อมไปรับมอบจากไอ้เอี๊ยดได้เลย” นายคณิตบอกกับผมทางโทรศัพท์อย่างนั้น
หลังการทำสัญญาจ่ายเงินดงเงินดาวน์กันที่กรุงเทพแล้ว ผมก็นัดหมายเดินทางลงไปกับบักหมงเพื่อรับมอบกิจการ กะกันว่าหลังรับมอบแล้วหมงจึงจะขึ้นไปกวาดต้อนสมัครพรรคพวกจากบ้านท่าแยก อำเภอสระแก้วมาทำงานบุกเบิกสักสิบคน
เวลานั้นถ้าขับรถแบบไม่รีบเร่งนักก็จะใช้เวลาประมาณ ๑๐ ชั่วโมง จากกรุงเทพถึงกระบี่ เรานอนที่อ่าวพระนางคืนนึง เช้าวันนัดหมายผมกับบักหมงก็นั่งเรือหางยาวเข้าไปที่แหลมพระนางทางด้านอ่าวน้ำเมา กำชับให้คนเรือรอรับกลับแล้ว เราก็เดินผ่านกิฟท์บังกะโล กิจการแรกที่มาบุกเบิกบนไร่เลนี้ บังกิฟท์มาเช่าที่ดินบนที่ของบังโกบ ผู้ซึ่งตกลงขายที่ดินไปให้ผมก่อนหน้าแล้วโดยมีเงื่อนไขว่า ผมต้องยอมให้บังกิฟท์ทำบังกะโลต่อโดยไม่ได้รับค่าเช่า จนกว่าจะหมดเวลา ๒ ปี ตามสัญญา ผมก็โอเคโดยดี เพราะนอกจากจะไม่อยากให้เกิดปัญหาซับซ้อนแล้ว ผมเห็นว่า กิจการบังกะโลหลายๆเจ้าจะดีกว่ามีเพียงเจ้าเดียวโดดเดี่ยว โชคดีบังกิฟท์ก็เชื่ออย่างนั้น เขากับบังยมหุ้นส่วนเป็นคนมีการศึกษา ดูเหมือนจะจบจากวิทยาลัยครู นอกจากจะคุยกับฝรั่งรู้เรื่องแล้วยังคุยกับผมรู้เรื่องด้วย
ครับ คนแถวนั้นใช่ว่าจะคุยกับคนกรุงเทพรู้เรื่องทุกคน บางเรื่องก็ทำมึน ไม่เข้าใจเสียเฉยๆ ผิดถูกกูไม่รู้กูจะเอายังงี้ก็แล้วกัน คุยด้วยก็เสียกบาลมาก
สองผัวเมียดูเหมือนจะเตรียมตัวจะเดินทางกลับพร้อมอยู่แล้วหละ ผมเห็นเตรียมข้าวเตรียมของเรียบร้อย ผัวเอนตัวรออยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนเมียนั่งบนแคร่ข้างโรงอาหาร สองคนผัวเมียไม่มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นผมและบักหมงเดินเข้ามาในอาณาบริเวณ ผมกับแกเคยคุยกันหลายครั้งแล้วแบบมิตร ตอนนั้นแกยังไม่ทราบว่าผมอยากจะซื้อที่ดินแปลงนี้ แต่คราวนี้ดูท่าทีไม่เป็นเช่นเดิม นายเอี๊ยดดูจะยังแฮ้งค์ๆจากฤทธิ์เหล้า แต่คุณผู้หญิงผู้ภรรยาจะออกอาการเศร้าสร้อย ไม่พูดไม่จา ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำไป
“นายฮั้วข่าหนิดมาด่วยไม๊” นายเอี๊ยดถาม หลังจากผมทักว่าสวัสดีครับ
“ไม่นี่ เขาให้ผมมารับมอบเอง เขาว่าเขามีธุระ ไม่ว่างจะมาด้วย” ผมตอบ
“เขาฝากเงินคุณมาด้วยหรือเปล่า” เขาถามต่อ เปลี่ยนสำเนียงเมื่อนึกได้ว่าผมไม่ใช่ค่นต้าย
“เปล่าครับ เขาว่าเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณก็พร้อมจะออกแล้ว ให้ผมมารับมอบได้เลย ใช่ไหม?” ผมก็ว่าไปตามความเป็นจริง
นายเอี๊ยดดูจะทั้งหัวเสียและผิดหวัง เขาตาขวางใส่ผม “ พร้อมฮ่าอะไร ผมลงเงินลงทองไปตั้งเยอะแยะ ยังไม่มีรายรับสักบาท จะมาไล่ผมอย่างหมูอย่างหมา ผมยอมตายอยู่ที่นี่แหละ ไม่ไปโว้ย”
ว่าแล้วเขาก็หันหลังให้ผม เดินเข้าไปในห้องหลังโรงอาหารที่เขาและเมียใช้เป็นที่อยู่ที่นอน ฝ่ายผู้เป็นเมียก็ลุกขึ้น พูดอะไรฟังไม่ถนัดรู้แต่ว่าแกแดกดันผม ผมว่า แกไม่กล้าออกอาการแรงๆอะไรกับผม เพราะเห็นไอ้หนุ่มร่างใหญ่ยืนอยู่ด้วย เสียงผัวที่ตะโกนออกมาด่าเธอ ห้ามไม่ให้พูดลอดออกมาเต็มหู ด่าเมียก็จริงแต่ก็แบบตั้งใจให้กระทบผมนิดๆ
เมื่อเห็นว่าภารกิจไม่สำเร็จแน่แล้ว ผมก็ชวนบักหมงกลับไปตั้งหลักใหม่ที่ที่พักเมือคืน
แต่กว่าผมจะต่อโทรศัพท์ยุคบุกเบิกกลับไปกรุงเทพได้ก็ร่วมเย็น “คุณคณิตครับ นายเอี๊ยดเขาไม่ยอมออก ทำไงดี”
“อ้าวทำไมล่ะ” เสียงทางโน้นแสดงความแปลกใจเท่าๆกับไม่พอใจ
“ฟังเหมือน เขาว่า เขาไม่ได้เงินนะ” ผมตอบเข้าเป้า ไม่อ้อมค้อม
“เฮ้ยไอ้เอี๊ยดนี่ มันจะมากไปแล้ว…(เซ็นเซ่อร์)…” เขาเอ่ยวาจาผรุสวาทกลับมา ลืมไปว่าคนฟังคือผม ไม่ใช่นายเอี๊ยด
“หม่อมไม่ต้องเป็นห่วง ผมพูดคำไหนเป็นคำนั้น เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้เรียบร้อย”
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“เดี๋ยว ผมจะเดินทางเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เช้าเราเจอกันก่อนหกโมง หม่อมเตรียมเรือไว้เลย ไอ้…(เซ็นเซ่อร์)….เอี๊ยด มันรับคำกับผมแล้วยังทะลึ่งเบี้ยวหม่อม ไอ้ฮ่านี่มันต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง”
“โอเค พรุ่งนี้เช้า เรือเข้าทางอ่าวพระนางได้ หกโมงเจอกันหน้าหาด” ผมสรุป