เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: TNT108 ที่ 04 มิ.ย. 06, 20:45



กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 04 มิ.ย. 06, 20:45
 ไม่ทราบว่า ผมจะเขียนผิดหรือไม่นะครับ แต่สมัยเด็กๆ เวลาที่กรวดน้ำเสร็จแล้วก็จะนำไปเทที่โคนต้นไม้ คุณแม่ผมก็จะสอนให้ท่องว่า "ยายกะลี ตากะลา แม่พระคงคาที่เคารพ ลูกขอฝากน้ำหลั่งสิโณทก ..."

พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มคิดเยอะขึ้น เลยอยากทราบว่า ยายกะลี ตากะลา นี้มีที่มมาทีไปอย่างไร หรือว่า เป็นแค่บทท่องจำให้จำง่าย จะว่าจำง่ายก็ไม่ได้ง่ายนะเพราะผมน่ะท่องเป็น ยายกะลี ตีกะลา ประจำเลยครับ ว่าจะถามเรื่องนี้กับคุณแม่ท่านก็ด่วนจากไปเสียก่อนจะได้ถาม เลยมาขอความรู้จากบนเรือนไทยแห่งนี้นะครับ

แล้วอีกข้อนะครับ คือบทท่องดังกล่าวมีใครเคยได้ยินหรือเคยท่องบ้างครับ บทเต็มๆ ว่าอย่างไร ใครพอจะมีบ้างครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มิ.ย. 06, 21:26
 ไม่เคยได้ยินคำนี้ค่ะ คิดไม่ออก  
เดาว่าเป็นเวอร์ชั่นที่เพี้ยนมาไกลจาก ยถา วารีวหา  บทกรวดน้ำ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: คุณพี่ ที่ 04 มิ.ย. 06, 23:11
 เรื่อง...ยายกะลา   ตากะลี  เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ท่านบอกเล่ากันมาว่า ยายกะลา  ตากะลี เป็นผู้ที่มีอำนาจมากในมวลหมู่ผีทั้งหลายหรือเรียกว่าเป็นใหญ่ในหมู่ผี..คำว่า ยายกะลา  ตากะลี..บางท้องถิ่นก็จะเรียกว่าปู่กุลา  ย่ากุลี หรือปู่กะลา  ย่ากะลี  หรือเรียกอีกอย่างก็คือปู่สังกะสา  ย่าสังกะสี...เวลาจะทำการสิ่งใด เช่นการปลูกบ้านปลูกเรือน  ยกศาลพระภูมิ ฯลฯ ก็จะมีการบอกกล่าวท่านก่อน..... และก็จะมีคำคล้ายๆกันเช่น..พระภูมิเจ้าที่  ธรณีเจ้าทาง........อ่อ..หากอยากได้รายละเอียดอีกก็จะค้นหามาให้ครับ.....สวัสดีครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Gabriel ที่ 05 มิ.ย. 06, 01:22

....ยายกะลา ตากะลี....
คือเจ้าที่เจ้าทาง แต่เจ้าที่ในที่นี้ ไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทางแบบศาลเจ้าที่ๆอยู่ในบ้านนะครับ  ....ยายกะลา ตากะลี เป็น ผีผู้คุมเหล่าผีในป่าช้า (ที่ฝังศพนั่นล่ะ) หรือที่หมอผีเรียกว่า "นายป่าช้า" ก่อนที่หมอผีจะเข้าไปทำกิจอันใดก้อตามในป่าช้า จะต้องบวงสวงนายป่าช้าก่อนว่าจะยินยอมให้ทำกิจนั้นๆได้รึไม่ (อย่างเช่นขุดศพเพื่อเอาน้ำเหลืองศพไปทำน้ำมันพลาย เป็นต้น) ถ้านายป่าช้าไม่ยอมรึไม่พอใจในเครื่องเซ่นไหว้ หมอผีคนๆนั้น จะมิอาจที่จะละเมิดได้ เพราะถ้าฝืนไปจะต้องเกิดอันตรายกับตัว.....
....บางครั้งเผาศพ เราจะได้ยินคนเฒ่าคนแก่มักจะโยนเงินใส่ไปในโรงศพแล้วพูดว่า "ยายกะลา ตากะลี ขอซื้อที่สามวาสองศอก" เหมือนเป็นการซื้อที่ให้กับผู้ตาย เพราะสมัยก่อนศพคนตายมักจะฝังเอาไว้ก่อนค่อยเผาทีหลัง  


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Gabriel ที่ 05 มิ.ย. 06, 01:27
 ปล.ข้อมูลนี้ได้จาก หนังสือ พระไสยเวทย์


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 05 มิ.ย. 06, 11:50
 อ้าวววว ตกลงเป็น ยายกะลา ตากะลี หรอกหรือนี่ หลงท่องสลับมาตั้งนาน ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ผมคงต้องตามอ่าน พระไสยเวทย์เพื่อประดับความรู้บ้างแล้วหละ แต่หากใครมีที่มาที่ไปอื่นๆ ก็เชิญมาร่วมกันแบ่งปันความรู้ต่อๆ กันนะคร้าบบบบ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 05 มิ.ย. 06, 14:06
 เคยได้ยิน ยายกะลา ตากะลี เหมือนกันครับ

รายละเอียดผมไม่ชัดเจนนัก แต่คล้ายๆ กับที่ท่านอื่นๆ ว่ามาแล้วในนี้

ผมเดาว่า อาจเกี่ยวกับ กาลีหรือกลี ซึ่งเป็นตัวความชั่วร้ายของฮินดู อย่างที่สิงพระนล ไทยเราจะเกณฑ์ให้แกเป็นนายผีในป่าช้าด้วยก็คงพอไปกันได้ แต่จะไกลไปถึงขนาดว่าเลือนมาจากพระแม่เจ้ากาลีหรือพระอุมาภาคดุ (ซึ่งก็เป็นนายหญิงของบรรดาผีเหมือนกัน พระสวามีคือพระศิวะนั้น ได้ชื่อว่าภูเตศวรแปลว่านายผี) หรือไม่นั้นผมไม่กล้ายืนยันขนาดนั้นครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 05 มิ.ย. 06, 15:01
คุณหลวงนิลครับ ผมคุ้นๆว่าผีพวกนี้จะเก่ากว่าความเชื่อผีแนวใหม่ที่เข้ามาจากอินเดียพอดูนะครับ
ผีแนวใหม่ของคนอินเดียเป็นเทพเจ้า มีตำนานยาวเฟื้อยที่นักปราชญ์บรรจงแต่งแต้มสีสันเป็นรากฐาน
ซึ่งพออ่านตำนาน เห็นเทวรูป แล้วคนพื้นเมืองก็เทคะแนนศรัทธาให้จนเกือบจะลืมผีเก่าๆของตัวเองไปเลยก็ว่าได้
ทั้งๆที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาก็เล่ากันถึงผีเก่าๆพวกนี้มาน่ะล่ะ เวลาลูกๆหลานๆมาถามว่า "โลกเกิดมายังไงอ่ะปู่"

สำหรับผีอย่างยายกะลา ตากะลี ถึงจะถูกลืมไปเยอะแล้ว แต่ก็ดูจะแอบแฝงอยู่ในวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองเดิมในท้องถิ่นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เยอะนะครับ
ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชาวลาวที่ถูกเทครัวเข้ามาอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยหลายกลุ่มจะเรียกชื่อผี หรือเทพ 2 องค์นี้กันบ่อยมากในการประกอบพิธี หรือประเพณีต่างๆ เช่น เวลาจะเซ่นผี เข้าทรง หรือขึ้นบ้านใหม่ ก็น่าจะมีนะครับ


ถามเจ้าของกระทู้อย่างคุณ TNT 108 ดีกว่า ว่าคุณเป็นคนจังหวัดอะไร อำเภอไหน แล้วก็มีเชื้อสายอะไรครับ
เผื่อผมจะหาวิธีไปค้นมาให้เพิ่มเติมได้ ว่าผีที่คุณเล่ามาเขามีตำนานกันมาว่าอะไรบ้าง


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 05 มิ.ย. 06, 18:55
 คุณติบอครับ โดยส่วนตัวผมเป็นคนกรุงเทพ โดยกำเนิด แต่คุณแม่ผมท่านเป็นคนแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงครามน่ะครับ ก็คิดว่าท่านน่าจะได้บทท่องจำนี้จากที่บ้านเกิดกระมัง แต่ถ้าถามถึงเชื้อสาย ทางตระกูลท่านทั้งหมดก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนล้วนๆ น่ะครับ แต่ท่านก็เป็นสาวชาวบ้านคนนึงที่เข้าวัดเข้าวาตามธรรมเนียม ช่วยกิจการงานวัดตามประเพณี โดยเฉพาะด้านงานครัว ท่านมีฝีมือทางอาหารเป็นเลิศ(โฆษณาซะงั้น หึหึหึ) ท่านเลยไม่ค่อยจะเป็นจีนเท่าไร ค่อนข้างโอนมาทางไทยมากกว่า พูดไทย เรียนหนังสือไทยครับ
ไม่ทราบว่าข้อมูลเกินเลยไปมากน้อยแค่ไหนนะครับ

ต้องขอบพระคุณมากเลยครับ ที่ทำให้ผมได้ข้อมูลมากขึ้นมาก และทำให้ผมกระหายใคร่รู้มากกว่าเดิมอีกเยอะ ด้วยสเน่ห์ของเรื่องราวยายกะลาตากะลี ที่เป็นตำนานเล่าขานกัน ต้องไปหามาอ่านมากขึ้นแล้วหละครับ แต่ท่าทางจะลำบากนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยได้ไปห้องสมุดเลย แล้วอยู่ต่างจังหวัดด้วย จะได้ออกไปในเมืองก็ไม่ค่อยได้ไป แต่ยังโชคดีที่เล่นเน็ตเป็น เลยได้หาความรู้จากในเน็ต  และได้มาพบกับเรือนไทยจึงได้แวะมาพักชม ได้ความรู้แล้วก็ผ่านไปเป็นระยะๆ จนได้เวลาหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า น่าจะเข้ามากราบคารวะท่านผู้รู้บนเรือนแห่งนี้ เพื่อขอความรู้ประดับตนไว้ เลยตกลงขออนุญาตท่านอาจารย์เทาชมพู ขอซุกอยู่ซอกหนึ่งข้างๆ เรือน คอยฟังผู้ใหญ่เล่าแจ้งแถลงความ ไขขานเรื่องราวต่างๆ ให้จดจำไว้ประดับสมอง และก็พยายามเข้ามาอ่าน มาเก็บเกี่ยวความรู้ไว้เสมอครับผม


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 05 มิ.ย. 06, 22:19
 เข้ามาว่าจะตอบคุณ TNT 108 แต่เห็นทีจะตอบยากเสียแล้วสิครับเนี่ยะ
แม่กลองเคยเป็นที่อยู่ของลาวเทครัวจริงๆครับ ถ้าเอาเท่าที่สมองเบลอๆของผมจะจำได้ตอนนี้ น่าจะเป็นโซ่ง ?
แต่ไม่ได้มั่นใจว่าข้อมูลที่ตัวเองตอบไปตอนนี้จะถูก


ผมเชื่อว่าเป็นไปได้มากครับ ที่คุณแม่ของคุณ TNT 108 ท่านจะได้ยินบทสวดที่ว่ามาจากผู้นำชุมชนซึ่งเป็นชนเชื้อสายอื่น
เพราะตามนิสัยของคนจีนซึ่งแทรกตัวอยู่ในประเทศไทย มักรับและส่งอิทธิพลวัฒนธรรมของตัวเองให้กับคนในท้องถิ่นได้อย่างแนบเนียน

ผมเองก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกเสี้ยวจีน เพราะมีแค่ทวดคนหนึ่งใน 8 คนเป็นคนไทย ที่เหลืออีก 7 ก็จีนทั้งหมด
แต่ตอนนี้จะอ้าปากพูดภาษาแต้จิ๋วซักคำก็ยากแสนยาก ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ฟังแม่ค้าตำส้มเว่าลาวเสียยังจะรู้เรื่องมากกว่าอีก


ตอนนี้ขอใช้วิชาเดาชั่นเดาเอาก่อนนะครับ ว่าบทสวดที่คุรได้ยินมาน่าจะมาจากสายลาวโซ่ง
เพราะผมเชื่อว่าบทสวดในพุทธศาสนาคงไม่เอาผีขึ้นมาสวดก่อนแล้วล่ะครับ

ลองหาญาติพี่น้องท่านอื่นๆของคุณที่อาศัยอยู่ในละแวกที่คุณแม่ของคุณท่านเคยอาศัยอยู่ถามดูก่อนมั้ยครับ
เพราะตำนานปู่สังกะสาย่าสังกะสี หรือ ยายกะสา ตากะสี ทำนองนี้ผมได้ยินจากคนในกลุ่มนี้มากเอาการอยู่นะครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 05 มิ.ย. 06, 23:40
 คุณติบอครับ ผมไม่เคยได้ยินญาติคนอื่นๆ พูดถึงเรื่องนี้เลย หรือไม่เขาก็อาจจะท่องโดยไม่ให้ได้ยินก็ได้นะ สงสัยต้องลองถามตรงๆ เพราะอันที่จริง เวลากรวดน้ำท่านก็กรวดน้ำปกติ ท่านจะสอนให้ท่องบทนี้ตอนเทน้ำกรวดแล้วลงดิน จำได้เบลอๆ ว่าท่านบอกว่า ให้ท่องบทนี้เพื่อขอฝากน้ำกรวดให้รักษาไว้ เพื่อให้บุญกุศลที่ทำ เทวดาอารักษ์เมื่อผ่านมาจะได้รับไป อะไรทำนองเนี้ยครับ ก็เป็นการอธิษฐานประมาณว่า เผื่อเทวดาท่านยังไม่ว่างมารับบุญกุศลที่ทำไปให้แก่บุคคลที่เราแผ่ไปให้ก็ขอให้ ยายกะลาตากะลี ช่วยรับไว้ก่อนเพื่อส่งต่อให้อะไรทำนองนี้น่ะครับ

คนสอนท่านก็ไม่อยู่ให้ถามแล้วนี่สิครับ เฮ้อออ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 06 มิ.ย. 06, 00:13
 คุณ TNT 108 ครับ ไม่ต้องไปถามเขาก็ได้ครับว่ารู้จักมั้ยเพราะถ้าแม่คุณท่านยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
การถามข้อมูลลักษณะนี้ ผมเปิดเรื่องไว้ให้คุณส่วนนึงแล้ว ว่าคุณแม่คุณท่านอาจจะได้ยินมาจากเผ่าใดซักเผ่า

ถ้าคุณลองถามญาติๆคุณที่เคยอยู่ในชุมชนนั้น ว่ามีชนเผ่าใดอาศัยอยู่ในชุมชนบ้างได้ คุณก็ไปค้นต่อได้
หรือถ้าญาติๆคุณจำไม่ได้ก็ลองถามเรื่องเทศกาล งานพระเพณีต่างๆ ว่ามีรายละเอียดยังไง คุณก็ไปหาต่อได้

บางครั้งเรื่องใครเป็นเผ่าอะไร อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใครจะใส่ใจจำเท่าใดนัก เพราะไม่รู้จะจำไปทำไม
แต่อาจจะมีรายละเอียดอื่นๆที่เขาจำได้ เช่น คุณลองไปถามดูว่าเวลางานประเพณีเขาแต่งตัวกันยังไง
หรือถามเรื่องวิธีการแต่งงาน การรับประทานอาหาร การขึ้นบ้านใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ติดตามากกว่า เขาอาจจะจำได้
เมื่อคุณก็เก็บเอารายละเอียดพวกนี้มาทีละเล็กทีละน้อย แล้วค้นต่อก็ได้ว่าคุณแม่คุณท่านจำมาจากไหน

ทางลัดน่ะ หายากนะคุณ ถ้าคุณอยากค้นคว้าจริงๆ ต้องหาจุดที่คุณจะค้นได้ไปเรื่อยๆค่อยๆสืบต่อไป




ว่าแต่ อีกซักครู่ อาจจะมีสมาชิกท่านอื่นที่ให้ความกระจ่างกับคุณได้มากกว่าผมมาเล่าให้คุณฟังก็ได้ครับ ว่าเรื่องเป็นยังไง


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 06 มิ.ย. 06, 20:40
 ขอบคุณคุณติบอมากครับ

หากว่าผมได้แวะไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ทางคุณแม่ ผมจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามรายละเอียดตามข้อแนะนำของคุณติบอครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 02:52
 ออกตัวก่อนนะครับว่า เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ "ยายกะลี ตากะลา" เลยไปคุยกับคุณน้องติบอพอได้แนวคิด ก็เลยลองหาข้อมูลในเน็ตนี่แหละครับ ไปพบว่า เหมือนกับที่คุณคุณพี่บอกคือ ชื่อคู่นี้มีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่พบมากคือ "ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี"

ไม่ว่าจะเป็น "ยายกะลี ตากะลา" หรือ "ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี" ต่างก็เป็นความเชื่อในลัทธิบูชาผีบรรพบุรุษ ครับ ซึ่งเป็นลัทธิดั่งเดิมของคนไทเดิม ก่อนที่คนไทเดิมจะยอมรับนับถือพุทธศาสนาครับ

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะนับถือพุทธศาสนาแล้ว แต่ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ ก็ยังคงอยู่ในพิธีกรรมต่างๆ ทำให้คนไทเดิมบางกลุ่ม รับเอาเรื่องในพุทธศาสนามาผสมเป็นท้องเรื่องให้กับผีบรรบุรุษ กลายเป็นนิทานที่มีโครงเรื่องมาจากคัมภีร์ฝ่ายพุทธ แต่มีตัวละครหลักมาจากลัทธินับถือผีบรรพบุรุษ

ทั้ง "ปู่-ย่า" และ "ตา-ยาย" ต่างก็ชี้ให้เห็นว่า เป็น ผีบรรพบุรุษ ครับ ส่วนชื่อ สังกะสี-สังกะสา หรือ กะลี-กะลา นั้น น่าจะเป็นการเรียกเพี้ยนแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มของคนไทเดิม อย่างชื่อที่ยกมานี้จะเห็นว่า มีการเพี้ยนกับไปมาระหว่าง "ส" กับ "ล"

สรุปว่า การนับถือ ยายกะลี-ตากะลา หรือ ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี เป็นลัทธิบูชาผีบรรพบุรุษครับ กลุ่มเดียวกับการนับถือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ดังนั้น บทบาทของ ผีบรรพบุรุษ คู่นี้ จึงมากในพิธีกรรมทางศาสนาครับ ซึ่งปัจจุบันจะปะปนกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาในบางท้องที่ ส่วนใหญ่จะเป็นทางภาคเหนือ และอีสาน ซึ่งยังคงนับถือผีบรรพบุรุษควบคู่กันกับพระพุทธศาสนา


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:01
ต่อไปนี้ เป็นคำอธิบายของคุณ บ่อซอน จากเว็บ http://www.thaioctober.com

-------------------------------------------------------------
โดย บ่อซอน เมื่อ: 14 ก.ค. 2002, 00:36

คนไทเรามีอยู่หลายต่อหลายกลุ่ม ในหลายประเทศ แต่มีข้อสังเกตุว่ากลุ่มไทลื้อ กับไทยวน (เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา ฯลฯ) จะใกล้ชิดถ่ายเทวัฒนธรรม ตำนาน ความเชื่อถึงกันและกันได้ตลอด

ยกตัวอย่างเช่น ตำนานความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องการสร้างโลก (creation myth) ของคนไทแต่โบราณจะแบ่งเป็นสองพวกใหญ่ๆ พวกแรกจะยึดตำนานในแบบ ปู่-ย่าสร้างโลก ได้แก่ไทลื้อ ไทยวน ไทเขิน (ในรัฐฉานพม่า) รวมทั้งไทอิสานบ้านเรา  โดยมีตำนานคล้ายๆ กันว่า ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี  หรือปู่แถนย่าแถนเป็นผู้สร้างโลก หรือ เป็นมนุษย์คู่แรกของโลก หรือ เป็นผู้ปั้นดินขึ้นเป็นมวลมนุษย์ รายละเอียดจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่

คนไทลื้อ เรียก ปู่ย่าผู้ให้กำเนิดนี้ว่า ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี
คนไทยวนเชียงใหม่ เรียก ปู่สังสะ-ย่าสังไส้  หรือ ปู่สองสี ย่าสองไส้ ก็มี
คนไทเขินเชียงตุง เรียก ปู่สังกะสี-ย่าสังกะไส้ หรือ ปู่แถน-ย่าแถน
คนอิสานเรียก ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี เหมือนไทลื้อ

พวกที่สองจะยึดตำนานเรื่องมนุษย์ออกมาจากน้ำเต้า  ได้แก่ลาว ไทดำ และไทขาว (ในเวียดนาม) ไทคง (แม่น้ำคง หรือสาละวิน) ในยูนนาน จ้วง(ในกวางสี) อาจรวมถึงไทอาหม (ในอัสสัม) ที่คนออกมาจากผลฟักทอง แทนที่จะเป็นน้ำเต้า แกนเรื่องจะคล้ายๆกันตรงหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก แถนจะมาเจาะรูผลน้ำเต้าให้มนุษย์ออกมาสร้างเผ่าพันธ์บนโลก

นี่เป็นการแบ่งกลุ่มคร่าวๆ แต่พอลงไปในรายละเอียดจะมีเนื้อหาซ้ำซ้อนคาบเกี่ยวข้ามกลุ่มกันไปกันมาพอสมควรเพราะเป็นเรื่องของการถ่ายเททางวัฒนธรรม มีการเอาโครงหลักๆของเรื่อง เช่นเรื่องมีปู่ มีย่าไปสร้างตำนานย่อยๆของท้องถิ่น และเอาไปผสมกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาที่เข้ามาในตอนหลังอีก

เรื่องปู่และย่า ของทางเชียงใหม่จะเข้ากฏเกณฑ์นี้หรือไม่  ยังไม่ค่อยแน่ใจครับ ทราบเพียงเนื้อหาคร่าวๆ ว่าเป็นยักษ์ปู่ย่าบรรพบุรุษผู้คุ้มครองเมือง เมึ่อก่อนชอบกินเนื้อมนุษย์ แต่ละเลิกได้เพราะองค์พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาและห้ามไว้ กระนั้นชาวบ้านยังต้องทำบัดพลีกรรมฆ่าควายให้กินอยู่ ทางหลวงพระบางก็มีปู่เยอ-ย่าเยอ คล้ายๆกัน ทีนี้ทางไทยวนมีพิธีกรรมความเชื่ออะไร ทางไทลื้อก็คงต้องมีด้วยเพราะจัดเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดทางด้านวัฒนธรรมกันดังกล่าวอยู่แล้วครับ

ถ้าคุณดิน หรือเพื่อนๆสนใจรายละเอียดลองไปหาอ่าน หนังสือ ชนชาติไทยในนิทาน โดย อาจารย์ศิราพร ณ ถลาง สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม  เป็นงานวิจัยที่ให้ข้อมูลเพียบน่าสนใจมาก ผมอ่านแล้วก็จำๆมาเล่าเท่านั้นแหละครับ

-------------------------------------------------------------


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:03
 อ้าว ลืมเปิด / ที่ b อิอิ
ฝ่ายเทคนิคช่วยแก้ให้ด้วยนะครับ  [/b]


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:12
 ต่อไปเป็นนิทาน ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี ฉบับอีสาน
จากเนื้อหา จะเห็นได้ชัดเจนว่า นิทานเรื่องนี้ ผูกขึ้นมาหลังจากที่ลัทธิบูชาผีบรรพบุรุษ ได้ผสมเข้ากับพุทธศาสนาแล้ว ดังนั้น โครงเรื่องที่ใช้จึงนำมาจากคัมภีร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างจักรวาล การสร้างโลก (ซึ่งพุทธศาสนาเองก็ได้อิทธิพลทางปรัชญานี้มาจากศาสนาพราหมณ์โบราณ) ซึ่งสามารถหาอ่านได้ใน จักกวาฬทีปนี หรือ ไตรภูมิพระร่วง


--------------------------------------------------
บทความนี้มาจาก อนุรักษ์อีสานบ้านเฮา http://www.easan.org  (ปัจจุบันไม่อยู่แล้วครับ แต่โชคดีที่ Google สำรองข้อมูลไว้)
วัน อังคาร 02 พ.ย. 04@ 10:49:31 ICT
หัวข้อ: ตำนานอีสาน

ตำนานความเชื่อ เรื่อง ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี

กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว ได้เกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ มีทั้งสวรรค์นรก อเวจี ครุฑ นาค เทวดา พระอินทร์ พระพรหม และพระอาทิตย์พระจันทร์แต่ยังไม่มีแสงส่องพื้นโลก ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆ ควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมา เคว้งคว้างไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำ มหาสมุทร ในคัมภีร์เรียกว่า " ปฐมมูล ปฐมกัป "

ก่อนที่จะมีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินนั้น มีเพียงมหาสมุทรลอยไปมาอยู่ในอากาศ ลมพัดลอยเคว้งคว้างไปมาหาทิศทางไม่ได้ ลมพัดน้ำอยู่นานจนเกิดเป็นแผ่นดินเล็ก ๆ คือ "แผ่นดินท่อฮอยไก้ ต้นไม่ ท่อลำเทียน" (เป็นคำในภาษาอีสาน หมายถึง แผ่นดินเท่ากับรอยกระจง และต้นไม้เท่าลำเทียน) ลมพัดจนแผ่นดินเล็ก ๆ นี้แยกออกเป็นสองส่วน ลอยไปในมหาสมุทร ล่วงเวลาต่อมาอีกนานแผ่นดินทั้งสองก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น บังเกิดมนุษย์ผู้ชายอยู่บนแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ปู่สังไกยสา" และเกิดมนุษย์ผู้หญิงอีกแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า "ย่าสังไกยสี"

มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้เกิดจากการรวมตัวของสรรพสิ่งต่างๆ ปั้นรูปสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นในโลก

อยู่ต่อมาเกิดลมพายุพัดพาแผ่นดินทั้งสองลอยไปตามน้ำมาพบกัน ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็ได้พูดคุยกัน และอยู่ด้วยกัน แล้วจึงคิดจะสร้างมนุษย์ชายหญิงเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าการที่มีผู้คนมาก ๆ จะสนุกสนานกว่าอยู่ผู้เดียวเหมือนแต่ก่อนที่แผ่นดินยังแยกกัน มนุษย์ชายหญิงที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างขึ้นมามากมาย รวมกันอยู่

ครั้นอยู่รวมกันนานวันเข้า ธรรมชาติก็ดลใจให้เกิดตัณหาแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนที่มีตัณหาสมสู่กันจึงมีลูกหลานสืบต่อมา เพราะมีตัณหาสมสู่กันมนุษย์ที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างมานั้นจึงมีรูปร่างเปลี่ยนเป็นแก่ชรา และมนุษย์ชายหญิงก็ยิ่งมากทวีคูณสืบต่อมาถึงทุกวันนี้

ในตำนานยังเล่าถึงการสร้างโลกสร้างจักรวาลของปู่ย่าทั้งสองว่า ครั้นสร้างมนุษย์ชายหญิงแล้ว ปู่ย่าทั้สองก็สร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล มีทวีปทั้งสี่ คือ

=> ชมพูทวีป

=> อุตรกุรุทวีป

=> บรพวิเทหทวีป

=> และ อมรโคยานทวีป

อยู่ทั้งสี่ทิศของเขาพระสุเมรุ สร้างเขาสัตภัณฑ์คีรี 7 เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ (มี เนมินธร ยุคธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ อัสกัณ และวิตกคีรี) มีแม่น้ำล้อมรอบเขาทั้งเจ็ดคาดว่าจะเป็นทะเลสีทันดร หลังจากนั้นก็ให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสงและเดินรอบจักรวาล ทวีปทั้งสี่ก็ได้รับแสงอาทิตย์โดยครบถ้วน แล้วจึงเกิดราศี 12 ราศี และฤดูทั้งสาม มีพระอาทิตย์เป็นตาโลกมาตั้งแต่ปฐมกัป ชักรถผ่านเขาพระสุเมรุผ่านจักรวาลโดยรอบ และเดินเร็วกว่าพระจันทร์ พระจันทร์จึงถูกพระอาทิตย์บังแสงเกิดเป็นเดือนดับ (ข้างแรม) และหากพระอาทิตย์ไม่บังแสงจันทร์จะเกิดเดือนเพ็ญ (เดือนเต็มดวงในวันเพ็ญ)

ณ ... ชมพูทวีป ที่เชิงเขาพระสุเมรุมีทางน้ำไหลออกมา 4 ทาง คือ ทางปากราชสีห์ ทางปากช้างแก้ว ทางปากม้าและทางปากวัวอุสุภราช ไหลรอบเขาพระสุเมรุออกมาผ่านโขดหิน ภูผาจนมาเป็น แม่น้ำมูล แม่น้ำโมง และแม่น้ำอโนมา มีสระอโนดาตน้ำใสสะอาด พื้นเป็นทรายเงินทรายทองริมท่าน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสีได้ตกแต่งเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทโธ (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศาสดาสั่งสอนพระธรรม) และพวกฤาษี

ณ ที่แห่งนั้นได้เกิดดอกไม้งามสะพรั่งในบริเวณฝั่งน้ำ ทั้งแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิมหาสาคเรศ น้ำไหลเรื่อยต่อไป แผ่กว้างสาขาอยู่ในชมพูทวีป มีแม่น้ำของ(โขง) เป็นเค้าในภาคพื้นชมพูทวีปและมีเกาะลังกาอยู่ฟากน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสี เป็นสามีภรรยาที่สร้างสรรพสิ่งในโลก และได้สั่งสอนให้มนุษย์โลกตั้งตนอยู่ในศีล สร้างกุศลบำเพ็ญ เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ หากใครอยากจะไปเกิดอยู่ในนรกอเวจี ก็ให้สร้างกรรมเวร จะได้จมอยู่ใต้นรกอเวจี


-------------------------------------------------------------


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:19
 นอกจากนี้ ความเชื่อเรื่อง ผีปู่-ย่า ได้ถูกนำไปผูกเป็นนิทาน อธิบายเรื่องแปลกๆ ของธรรมชาติ ตามแต่ละท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น หอยขมก้นตัด ก็อธิบายว่า ย่าสังกะสี นี่แหละที่เป็นคนตัด เพราะปู่สังกะสาเจ้าชู้ เป็นต้น

---------------------------------------------------------


หอยก้นตัดลำน้ำเข็ก มหัศจรรย์จากฤทธิ์หึงย่า... เมื่อปู่เจ้าชู้
โดย ก้อง กังฟู
ไทยรัฐ
ปีที่ 57 ฉบับที่ 17583 วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2549

ลำน้ำเข็ก........เป็นลุ่มแม่น้ำ ในพื้นที่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการ......... กลืนกินชีวิตมนุษย์และสัตว์มา แล้วนับจำนวนไม่ถ้วน

.....เมื่อครั้งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นเวทีชำระความขัดแย้ง ....ซึ่งต้องใช้ “ชีวิต” เข้าสังเวย

มาอีกช่วงระยะหนึ่งสดๆร้อนๆ เมื่อปี 2544 ที่เพิ่งผ่าน ลุ่มน้ำแห่งนี้ก็ได้ กลืนชีวิตมนุษย์ไปถึง 137 ราย และชีวิตสัตว์อีกจำนวนไม่น้อย...ด้วยอุทกภัย

แต่ในอดีตอันไกลโพ้น..... ได้มีหลายชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นที่แห่งนี้ ที่กำลังจะถูกปลิดชีวิตทิ้งไป ในช่วงของเสี้ยวนาที แล้วก็เกิดสถานการณ์วิกฤติ ทำให้ สืบเผ่าพงศ์ ถ่ายทอดมีลูกหลานเหลนมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้......ท่านเชื่อหรือไม่...

O O O

“เหนือฟ้า ใต้บาดาล”.......ได้เดินทางเข้า สู่เขาค้อ ทวนลำน้ำเข็กขึ้นไปจนถึง “แก่งบางระจัน” ซึ่งบริเวณนั้นโขดหินสลับซับซ้อนกัน ด้านบนมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ อันเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ น้ำนานาชนิด

เส้นทางเดินจากบนฝั่งลงไปสู่ พื้นน้ำแก่งบางระจัน มี ศาลเจ้า 2 หลัง ตั้งติดกันอยู่ภายใน ร่มของ ต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น “จ.ส.อ.เกรียงไกร สมนรินทร์” ประธานชมรมคนรักป่า อดีตทหารผู้เจนจัด ในสมรภูมิแห่งนี้บอกว่า.......

.......ตรงนี้คือศาลเจ้าย่า ในอดีตนั้นก่อนจะเข้าป่า จะมากราบที่ศาลเจ้าย่าก่อน เพื่อให้ ท่านปกป้องคุ้มภัย เข้ารบให้ได้ชัย ชนะ.....

ด้วยความเลื่อมใสว่า เจ้าย่านี้ในอดีต ได้เป็นผู้คืนชีวิตให้สัตว์รอดตาย จึงจะต้องช่วยให้สิ่งต่างๆที่มีชีวิตนั้นได้อยู่อย่างปลอดภัย ซึ่งจะสังเกตได้ว่าในแอ่งน้ำแห่งนี้จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ชนิดต่างๆมากมาย

โดยเฉพาะสัตว์ บางอย่างที่ไม่เคยมีและหายากสุดๆบนโลกสีฟ้าใบเขื่อง จะมีให้พบเห็นที่นี่ อย่างเช่น “แมงกะ-พรุนน้ำจืด”

O O O

และที่ พิสดารที่ สุดแห่งลุ่มน้ำเข็ก ก็คือ หอยขม ชนิดหนึ่งที่ไม่ เหมือนกับตัวอื่นๆ ทั้งๆ ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ว่าตรง ก้นของมันจะถูกตัด ทิ้งออกไป ลักษณะคล้ายกับหอยขม ที่เขาจะนำมาปรุงอาหารแล้วตัดก้นออก (เมื่อ สุกแล้วจะได้ดูดเอาตัวหอยออกมา รับประทานได้ง่าย ......ยังไงก็ยังงั้น)

พอได้รับคำบอกเล่า คุณสัญญา ลีชัยภูมิ ทีมงาน “เหนือฟ้าฯ...” ผลัดผ้าขาวม้ากระโดด ลงไปในแก่ง สักพักก็ได้หอยขมขึ้นมา 1 กำมือ หอยเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับ หอยทั่วไปที่เปลือก เป็นเกลียว ปากหอยจะมีฝาปิดเหมือนกับหอยขม ตามขอบเปลือกจะมีปุ่มขึ้นเป็นแถวคู่ แต่ละตัวถูกตัดก้นทิ้ง........ดั่งคำบอกเล่า

ด้วยลักษณะที่แปลก นี้ ทำเอานักประมงน้ำจืด จำเป็นที่ลงไปงมหอยในครั้งนี้ เอามืออีกข้างตบ หน้าผากตัวเองแล้วอุทานว่า “...งึดหลายเด๊...

.....มันก็น่าแปลกอีกอย่างที่ชาวบ้านในย่าน นั้นบอก.....จะมีอยู่ในบริเวณนี้คือ ที่แก่งบางระจัน น้ำตกศรีดิษฐ์ แล้วลงมาตามลำน้ำเข็ก จนถึงบริเวณหมู่บ้านสระแก้ว และล่างลงมาจากนั้นก็ไม่มีหอยชนิดนี้...ถึงมีก็น้อยมาก

ประชากรของ “หอยตัดก้น” ในอดีตนั้นมีกันในบริเวณแก่งบางระจันหนาแน่นมาก ชาวบ้าน เพียงแค่กวาดมืองม 4-5 ครั้ง ก็พอหม้อแกง......

........ด้วยความสะดวกและง่ายต่อการที่จะนำไปเปิบอร่อย เลยเป็นที่นิยมของชาวบ้าน ปัจจุบันประชากรหอยตัดก้นจึงร่อยหรอลงไปทุกที ีก็ยังพอกล้อมแกล้มที่จะหาไปเป็นอาหารของชาวบ้าน ในย่านนั้นอยู่

O O O

“หอยตัดก้น”.......ที่เกิดขึ้นในบริเวณลุ่ม

น้ำเข็กแห่งนี้ มีความผูกพันกับศาลเจ้าย่า ที่ตั้งอยู่บนฝั่ง คุณเสวี เพชระบูรณิน อดีตพัฒนากรจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เคยเข้านอกออกในกับชาวบ้าน ถ่ายทอดมาว่า......

อดีตมี ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี 2 คนผัวเมีย เป็นผู้ที่นับถือของชาวบ้านอาศัยอยู่ในเมืองเพชร ปู่ เป็นหมอแผนโบราณที่เป็นคนรูปงาม และมีอัธยาศัยดีเป็นที่พออกพอใจของบุคคลทั่วไป.....ย่าเป็นแม่บ้าน แม่เรือนที่ดีมีเมตตา

วันหนึ่งปู่กับย่าเดินทางไปเขาค้อ เพื่อหาหน่อไม้ และสมุนไพร ช่วงที่พักนั้น ปู่จึงได้งม “หอยเขา” จากแม่น้ำเข็กเพื่อให้ย่าปรุงอาหาร......ซึ่งย่าก็ไม่เต็มใจ นัก เนื่องจากจะต้องตัดก้นหอยอันเป็นการทรมานสัตว์ ...แต่ก็เลี่ยงไม่ได้จึงยอมตัดก้นหอยเพื่อทำอาหาร

ขณะที่กำลังเตรียมทำอาหารนั้น มีการพูดคุย กันบ้างตามประสาผัวเมีย และมีตอนหนึ่งที่พาดพิงไปถึง “นางขอนดอก” หญิงงามคนหนึ่งที่หลงรักปู่ (คงจะมีแนวโน้มว่าปู่ก็กิ๊กนางขอนดอกด้วย)...จึงเกิด การทะเลาะกัน

ย่าโมโหสุดขีด (และมีความสงสารหอยอยู่ด้วย)...เลยเอาหอยตัดก้นนั้นเทลงคืนแม่น้ำ

O O O

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หอยตัดก้นได้แพร่ ขยายพันธุ์ออกลูกหลานเหลน มาจนกระทั่งทุกวันนี้...และแต่ละตัวก็ถูกตัดก้นพร้อมที่จะถูกแกง........

......จากวันนั้น วันที่เกิดตำนาน “ปู่อดกินแกงหอย” ทำให้เหลนๆได้มีหอยที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หอยย่าก้นตัด” กิน จากความเมตตาและแรง หึงของย่า.....

......ท่านเชื่อในความเป็นมาของ “หอย” ตัวนี้หรือไม่... !

----------------------------------------------------------


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:26
 บทต่อไป คัดมาจาก ประมวลสาระวิชา มนุษย์กับสังคม  202205 http://www.sut.ac.th/ist/ge/web/man_3_47/texts/man_so_text1.doc



โดย อาจารย์สุริยา สมุทคุปติ์  และอาจารย์ ดร.พัฒนา  กิติอาษา



-------------------------------------------



1.4 ตำนานกำเนิดโลกและมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไตหรือไท



ตำนานกำเนิดโลกและมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไต หรือไท มีหลายสำนวน กลุ่มชาติพันธุ์ไต/ไท โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และดินแดนส่วนใหญ่ของลาวในปัจจุบัน เชื่อว่าผีฟ้า หรือผีแถนเป็นผู้สร้างโลก ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าเทพยดาสูงสุด หรือผู้สร้างโลกว่าพญาแถน  



ชาวบ้านที่เรียกตัวเองว่า "ลาวข้าวเจ้า" ในเขตอำเภอสูงเนิน สีคิ้วและปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เชื่อว่ากำเนิดโลก และมนุษย์มาจากแถน "[เพราะ] แถนเป็นคนแต่งโลกขึ้นมา โดยการปั้นรูปผู้หญิงหงาย ปั้นรูปผู้ชายคว่ำ ปั้นไว้เฉพาะวิญญาณ ยังไม่มีตัณหา ลมพัดกระจัดกระจายตกไปอยู่คนละแห่ง ต่างคนต่างอยู่ ต่อมาเกิดไฟไหม้แผ่นดิน กลิ่นหอมโชยขึ้นไปถึงแถน กลิ่นหอมไปถึงคู่ชาย-หญิงที่แถนปั้นไว้ แถนก็พูดว่า 'โลกทางลุ่ม [ข้างล่าง] คือหอมแท้' ว่าแล้วชาย-หญิงคู่นั้นก็ลงไปกินดินที่ถูกไฟไหม้ในโลกมนุษย์ จากนั้นทำให้คนเกิดตัณหาขึ้นมา พอสมสู่กันแล้วก็ไม่สามารถกลับคืนไปอยู่สวรรค์ได้อีกต่อไป…" (อ้างในสุริยา สมุทคุปติ์และคณะ 2540:93)



คำบอกเล่าของชาวบ้านข้างต้นนี้ใกล้เคียงกับตำนานการเกิดมนุษย์ที่ปรากฎในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเล่มสำคัญ และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ หนังสือเรื่อง "ไตรภูมิพระร่วง" ซึ่งแต่งโดยพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย ปฐมบทของมนุษย์ในโลกเกิดจากการที่อภัสรพรหมลงมากินง้วนดินในโลกมนุษย์แล้วทำให้เกิดราคะขึ้นมา (อ้างใน ส. ศิวรักษ์ 2538:10)



อย่างไรก็ตามตำนานการเกิดมนุษย์ของชาวบ้านอีสานหรือกลุ่มชาติพันธุ์ไทย-ลาวบางสำนวนก็บอกว่ามนุษย์ไม่ใช่ประดิษฐกรรมของพญาแถน เพราะมนุษย์ในโลกทัศน์ของคนเชื้อสายไทย-ลาว เกิดจากคราบไคลของน้ำในห้วงน้ำใหญ่ ซึ่งเรียกว่า "ขี้ตมปวก" หรือ "ขี้ไคน้ำ" มนุษย์คู่แรก เรียกว่า "ปู่สังไคสา-ย่าสังไคสี" (ต่อมาเรียก ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี)




-------------------------------------------------------------


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 07 มิ.ย. 06, 03:31
 สุดท้าย ครับ ตำนานของทางไทลื้อ ได้มาจากเว็บของ สมบัติทัวร์ http://www.sombattour.com  จะเห็นว่า ฉบับนี้ มีการนำเอา "น้ำเต้า-พญาแถน" มาผสมกับ "ปู่-ย่า" ด้วยครับ

---------------------------------------

ตำนานการสร้างโลกของไทลื้อ

เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
Date: Sep 17, 2005 - 03:14 PM

       ไทลื้อเป็นชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ทางประเทศจีนตอนใต้ในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน นอกจากนี้ยังอยู่กระจัดกระจายตามถิ่นต่าง ๆ เช่น เมืองสิงห์ในประเทศลาว เมืองยอง ประเทศพม่า จังหวัดน่าน พะเยา ลำพูน เชียงรายในประเทศไทย

       ชาวไทลื้อมีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ศิลปหัตถกรรมที่รู้จักกันดีคือผ้าทอลายน้ำไหล นอกจากนี้ชาวไทลื้อยังมีวรรณกรรม ทั้งเป็นแบบจารึกและแบบมุขปาฐะอีกมากมายให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาดังเรื่องที่จะกล่าวถึงนี้เป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้เป็นธรรมใบลานใช้อ่านในวันธรรมสวนะ และโอกาสพิเศษอื่น ๆ

       ตำนานกล่าวถึงยุคก่อนที่จะมีดวงอาทิตย์ และสรรพสิ่งอันใด จอมแถนฟ้า (พระอินทร์) จึงได้สั่งให้ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี (บางตำนานจะเรียกปู่สังไกไส้ ย่าสังไกสี) ซึ่งเป็นแถนฟ้า (เทวดา) นำเอาน้ำเต้าวิเศษมายังบนโลก

       เมื่อลงมายังบนโลกแล้วปู่สังกะสาย่าสังกะสีจึงทุบน้ำเต้าแล้วนำเอาเมล็ดหว่านไปทั่วผืนแผ่นโลก และท้องฟ้าทำให้เกิดดวงดาวและดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์

       ส่วนมนุษย์โลกและสัตว์ยังไม่เกิดขึ้น ปู่สังกะสาและย่าสังกะสีจึงนำเอาดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนเพศชาย หญิงและปั้นรูปสรรพสัตว์ทั้งหลายขึ้นโลกจึงมีสิ่งชีวิตขึ้น ณ บัดนั้น


--------------------------------------------------------------


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: TNT108 ที่ 07 มิ.ย. 06, 11:20
 ขอบคุณ คุณ  Hotacunus อย่างมากเลยครับ


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 09 มิ.ย. 06, 10:41
 ยายกะลา ตากะลี เท่าที่เคยได้ยิน เป็นเจ้าที่ผีป่าช้า แต่ก็มีบางคนบอกว่า ยายกะลา ตาละลี เป็นชื่อเรียกผีเจ้าที่เจ้าทางทั่วไป ซึ่งผม ก็ขอสรุปเอาเองว่า ตามความเชื้อพื้นเมืองของไทย และชนชาติในภูมิภาคนี้ เชื่อเรื่องผีอยู่อย่างลึกซึ้ง แม้นว่าพระพุทธศาสนาจะเข้ามาเผยแผ่พระศาสนาแล้วก้ตาม ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงอยู่แนบแน่นกับชนชาติ ดังนั้นการที่จะออกชื่อผีที่เชื่อถือกันว่าเป็นผีที่สิงสู่อยู่ในสถานที่นั้นมาก่อน ก็ได้เกิดการคิดที่จะเรียกขานชื่อออกมา ซึ่งก็คือ การออกชื่อ ยายกะลา ตากะลี ซึ่งเป็นการเรียกชื่อรวมๆ เหมือนกับที่ เราออกชื่อพระภูมิ ว่าพระชัยมงคล ทั้งๆที่ถ้าดูตามตำนานแล้ว พระชัยมงคล เป็นโอรสของท้าวทศราชเจ้ากรุงพลี ซึ่งก็มีโอรส ๙ องค์และแบ่งสถานที่ให้โอรสไปดูแล ต่างกัน แต่ภายหลัง คนก็รู้จักคุ้นแต่พระชัยมงคลเท่านั้น


กระทู้: ยายกะลี ตากะลา
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 09 มิ.ย. 06, 10:45
 จากตำนานโบราณ   มาจากอารยะธรรมของฮินดู    ศาสนาพราหมณ์  ตำนานพระนารายณ์อวตาร ๑๐ ปาง   ปางที่ ๕  พระนารายณ์อวตาร  ลงมานามว่า วามนพราหมณ์

              ความเดิมมีอยู่ว่า   มียักษ์ตนหนึ่งชื่อพลี   ถูกเทวดาฆ่าตาย  ในสงครามกวนน้ำทิพย์   พวกพ้องพาศพไปให้  พราหมณภาร์ควะ    ชุบให้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา    ท้าวพลี (เจ้ากรุงพาลี)   ซึ่งบำเพ็ญตะบะจนกระทั้ง   บังเกิดอิทธิฤทธิ์แก่กล้า     จึงยกกองทัพขึ้นไปรบ    กับพระอินทร์และเหล่าเทวดาทั้งหลาย     เพื่อล้างแค้นและแก้กลโกงของเทวดา   ที่ได้กระทำตน   ในคราวกวนน้ำอมฤตนั้น      

               ท้าวพลีได้รับชัยชนะ  เป็นผู้เข้าครองโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ มนุษย์ และบาดาล อยู่ระยะหนึ่ง   จนกระทั่งเทวดาทั้งหลายพากันไป   อัญเชิญพระนารายณ์        พระนารายณ์ทรงอวตารลงมา   นามว่า  "วามนพราหมณ์"

               วันหนึ่งวามนพราหมณ์  ได้ข่าวว่า   เจ้ากรุงพลี เตรียมจะทำยัญญะกิจพิธี    จึงเดินทางไปหาท้าวพลี    ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี   และออกปากว่าจะให้ทุกอย่าง  ที่มีแก่ วามนพราหมณ์  ๆ ได้ช่องจึงทูลขอที่ดิน   เพียงสามย่างก้าวเท่านั้น   ท้าวพลีก็ตกปากรับคำให้โดยทันที   ปราศจากการไตร่ตรองใดๆ  ทั้งสิ้น   วามนพราหมณ์ ได้ที   จึงแผลงฤทธิ์เหยียบพื้นดิน  ไปเพียงสองย่างก้าวเท่านั้น   ก็ตลอดหมดโลก แล้วกลายร่างเป็น "พระนารายณ์"

                 ท้าวพลี ได้แต่นั่งตะลึง   คอตกพูดอะไรไม่ออก   เพราะได้เอ่ยวาจาจะให้    ตามที่วามนพราหมณ์ขอไว้แล้ว    บัดนี้ย่างไปเพียงสองก้าว    ก็ตลอดจดหมดโลกแล้ว   ยังอยู่อีกก้าวหนึ่ง   ก็ไม่รู้จะเอาที่ไหน    ฉะนั้นท้าวพลีจึงไม่มีสิทธิ   ที่จะอยู่โลกนี้ต่อไป  

                 ท้าวพลีก็ถูกลงโทษ     ให้ไปอยู่ในโลกบาดาล    ท้าวพลีทูลอ้อนวอน    ของประทานอภัยโทษแก่พระนารายณ์  ๆ    ทรงโปรดประทานยกโทษ    และให้ไปครองแดนสตุล   คือภาคสูงของบาดาล

                 ท่านเจ้ากรุงพาลี มีโอรส  ๙  พระองค์    ได้มีการของร้องแต่องค์พระนารายณ์ว่า   ขอแบ่งที่เล็กน้อยให้แก่บรรดาลูก ๆ   ของท้าวพลี บ้าง   จึงกลายมาเป็นที่มา   ของการตั้งศาลพระภูมิ   ว่าเป็นการอัญเชิญบรรดาลูก  ๆ    ของท้าวพลี   ลงมาสถิตอยู่   โดยแต่ละพระองค์   จะถูกอัญเชิญไปตามสถานที่ต่าง  ๆ      แตกต่างกันดังนี้

                                   รายพระนามเทวาบุตร  ทั้ง  ๙  พระองค์    ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้ากรุงพาลี

๑.  พระชัยมงคล                                       รักษาเคหะสถาน ร้านโรง(สมาคม) หอการค้า

๒. พระนครราช                                       รักษาค่ายทหารและบันได

๓.  พระเทวเกร                                         รักษาคอกสัตว์

๔.  พระชัยสพ                                          รักษา ยุ้งฉางข้าว  เสบียงคลัง

๕.  พระคนธรรพ์                                     รักษาโรงพิธี  อาวาห์และวิวาห์  เรือนหอบ่าวสาว

๖.  พระธรรมโหรา                                   รักษา ที่นา ทุ่งนา ลานและป่าเขา  ตามคันนา (เจ้าพ่อทุ่งดำ)

๗.  พระวัยทัต                                            รักษา วัดวาอาราม  วิหาร  และปูชนียวัตถุ

๘.  พระธรรมมิกะราช                             รักษา  อุทยาน  สวนผลไม้ พืชพันธุ์

๙.   พระทาษราช                                       รักษาห้วย หนอง คลอง คู บึง แม่น้ำ