เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 28 มี.ค. 01, 13:05



กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 มี.ค. 01, 13:05
คุณนวลช่วยพาชาวเรือนไทยทัวร์เขาพระสุเมรุในกระทู้ก่อน    
 ตอนนี้ดิฉันขอเป็นเจ้าภาพ เชิญคุณนวลและสมาชิกเรือนไทยไปเยี่ยมๆมองๆ ชมสวรรค์จากที่ไกลค่ะ

เอาฉกามาพจรก่อนนะคะ  สวรรค์หกชั้นแรก
ชื่อแปลว่า (ผู้)ท่องเที่ยวไปในกามสุข จำนวน ๖ ชั้น
  คือเป็นสวรรค์ของเทวดาที่ยังมีกิเลสต้องเวียนว่ายตายเกิด   แต่มีความเป็นอยู่รื่นรมย์กว่ามนุษย์
เรียงลำดับจากล่างไปบนค่ะ
๑   จตุมหาราชิก  
โลเคชั่น- ตั้งอยู่บนยอดเขายุคนธร  สูงจากพื้นผิวโลก ๔๖๐๐๐ โยชน์
การแบ่งเขต หรือเคานตี้ - แบ่งเป็น ๔ เขต  มีหัวหน้าเขตเรียกว่าท้าวจตุโลกบาล  มี ๔ คน
มนุษย์ที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้   ต้องประกอบกุศลกรรม  รักษาศีลอุโบสถ  ยึดมั่นในพระรัตนตรัย แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นปฏิบัติทางจิต และยังไม่บรรลุถึงโสดาบัน
๒   ดาวดึงส์
โลเคชั่น - อยู่เหนือขึ้นไปจากชั้นแรก ๔๒,๐๐๐ โยชน์   ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ
ผู้ปกครองสูงสุด- พระอินทร์    ซึ่งเป็นตำแหน่ง เหมือนประธานรัฐสภา ไม่ใช่ชื่อตัว  มีการหมดวาระได้

สวรรค์ชั้นนี้มีการกล่าวถึงเทพอื่นๆด้วย อย่างพระวรุณ พระปชาบดี   แต่ไม่ชี้เฉพาะลงไปกว่ามีหน้าที่อะไรแน่    แต่บางองค์ก็มีหน้าที่ชัดเจนเช่นพระมาตุลี เป็นผู้ขับรถให้พระอินทร์  พระวิษณุกรรมเป็นเทพแห่งช่าง มีหน้าที่เนรมิตอะไรต่อมิอะไรให้พระอินทร์ตามเทวประสงค์
ดาวดึงส์เป็นสวรรค์ที่คุ้นหูคนไทยชาวพุทธมากที่สุด    จนบางทีก็ทำให้เข้าใจผิดไปว่าเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด เพราะมีการพรรณนาไว้โอฬารในวรรณคดีไทย  
อีกอย่างพระอินทร์ก็เป็นเทพที่ปรากฏกายในพระไตรปิฎกมากกว่าเทพอื่นๆ  มีบทบาทว่าเลื่อมใสพุทธศาสนาและเป็นโยมอุปัฏฐากองค์หนึ่งด้วย จนดูเหมือนกับว่าเป็นเทพองค์สำคัญที่สุดก็ว่าได้
 
ดาวดึงส์มีความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยพระเวท   ก่อนจะกลายมาเป็นสวรรค์ชั้นดังในพระไตรปิฎกสำหรับชาวพุทธ  เพราะฉะนั้นความเป็นมาก็เลยมีหลายกระแสค่ะ    ในที่นี้จะพูดแต่ส่วนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเพียงย่อๆ

มนุษย์ที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ต้องประกอบกุศลกรรมยิ่งยวด เช่นการยึดมั่นในพระรัตนตรัยโดยไม่หวั่นไหว   มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา  กตัญญูต่อบุพการี  เคารพสมณะชีพราหมณ์และผู้อาวุโสอย่างสม่ำเสมอ  แต่ก็ยังเป็นการประกอบความดีในชั้นโลกียวิสัยอยู่

๓      ยามา
โลเคชั่น   สูงกว่าพื้นดิน ๘๔,๐๐๐ โยชน์    อยู่สูงกว่าพระอาทิตย์   จึงไม่ได้อาศัยแสงอาทิตย์ให้ความสว่าง   สวรรค์ชั้นนี้มีลักษณะพิเศษคืออาศัยรัศมีจากกายเทพเองส่องสว่างตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง    ไม่มีกลางวันกลางคืน   ไม่มีเช้าสายบ่ายเย็น   อยากจะรู้เมื่อไรเช้าเมื่อไรค่ำ ต้องสังเกตดอกไม้บนสวรรค์  คือพอดอกไม้บานก็รู้ว่าเช้า   พอหุบก็รู้ว่าค่ำ
ผู้ปกครองสูงสุด    ท้าวสุยามเทวราช
มนุษย์ที่จะขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ คือผู้บริจาคทาน  แม้อยู่ในความสุขทางโลกก็ไม่ได้นิยมยินดีกับสิ่งนี้    มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาเช่นเดียวกับเทพชั้นดาวดึงส์ แต่เพิ่มอีกอย่างคือถือศีลอุโบสถ
**************************
หยุดพักเพื่อคุยตรงนี้ก่อนค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 22 มี.ค. 01, 14:13
สวรรค์ตามความเชื่อแบบชาวพุทธ นั้น ไม่ค่อยหวือหวาเหมือนสวรรค์ ตามคติพระเวทย์เท่าไหร่นัก สวรรค์แบบพระเวทย์ นั้น สนุกสนานเหมือนกับสวรรค์โอลิมปัสของเทพเจ้ากรีกกับโรมัน โดย เซอุส ที่เป็นเทพสูงสุดก็ใช้ สายฟ้าเป็นอาวุธเหมือนกับพระอินทร์ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครจะลอกใครระหว่างกรีกกับอินเดียนะครับ หรือไม่ก็พ้องกันโดยบังเอิญ นอกเรื่องอีกแล้วผม


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 01, 15:02
สวรรค์ชาวพุทธค่อนข้างจะสงบค่ะ  เทวดาใจบุญสุนทาน ชอบฟังธรรม
การบันเทิงก็มีคาราโอเกะ   เทพขับระบำรำฟ้อนเท่านั้น
เอง


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 22 มี.ค. 01, 18:59
มาอ่านค่ะ ... มีคำแนะนำ How to get there ด้วย อิ อิ อิ
มีบอกราคาค่าตั๋วด้วยหรือเปล่าคะ คุณเทาชมพู


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มี.ค. 01, 20:08
๔   ดุสิต
โลเคชั่น-ไม่ระบุ
เป็นสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามากกว่าสวรรค์ชั้นอื่น  คือพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายก่อนจุติลงไปเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมเสวยพระชาติอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้
พระพุทธบิดาและพระพุทธมารดาก็ทรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
พระศรีอาริยเมตไตรยก็ยังอยู่ในชั้นนี้  ทรงพระนามว่า "นาถเทวะ"
เทพบนสวรรค์ชั้นดุสิตใฝ่ธรรมะ  ฟังธรรมเป็นเนืองนิจ และปฏิบัติสมาธิด้วย
ผู้ปกครองสูงสุด-ท้าวสันดุสิต
๕   นิมมานนรดี
โลเคชั่น ไม่ระบุ
เทพบนสวรรค์ชั้นนี้คือผู้บรรลุโสดาบันแล้ว  สามารถเนรมิตสมบัติทิพย์ด้วยตนเองได้
๖   ปรนิมมิตวสวตี
โลเคชั่น-ไม่ระบุ
เทพพวกนี้บรรลุโสดาบันแล้ว แต่มีภูมิสูงกว่าชั้นที่ ๕  ไม่จำเป็นต้องเนรมิตสิ่งต่างๆเอง แต่จะให้ผู้อื่นเนรมิตให้
เขต-มีผู้ปกครองสองคนคือท้าวปรนิมมิตวสวตีและพญามาราธิราช  อยู่กันโดยไม่ไปมาหาสู่กัน

คุณนวล- ราคาตั๋วแพงเอาการละค่ะ  แค่ถือศีลอุโบสถดิฉันก็ไม่มีปัญญาจ่ายแล้ว


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 23 มี.ค. 01, 13:08
เอ๊ะ คุณเทาชมพูบอกว่ามีสวรรค์อยู่ 6 ชั้น
แล้ว สวรรค์ชั้น 7 ที่เคยสร้างเป็นหนัง ไทย เนี่ยอยู่ไหนเหรอครับ อิอิ
มาพาเรื่องเค้าเสียต่อไปอีก เฮ้อ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 01, 13:16
ชั้นนั้นคุณทรนง ศรีเชื้อเป็นผู้ครองค่ะ
บัตรผ่านคุณพระนายต้องไปสืบถามเอง
อย่าลืมบอกแม่นกยูงไว้ก่อนสมัครนะคะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 23 มี.ค. 01, 16:58
สวรรค์ชั้นเจ็ดที่ไม่ใช่ของคุณทรนงนั้น เข้าใจว่าเป็นสวรรค์ฝรั่งครับ ความเชื่อของฝรั่งโบราณว่า เลข 7 เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์ฝรั่งก็เลยมี 7 ชั้น แต่จริงๆ ที่ว่าเลข 7 ศักดิ์สิทธิ์ ก็เข้าใจว่า เดิมมาจากพวกยิวพวกอาหรับโบราณ เข้าไปอยู่ในสมองฝรั่งผ่านทางศาสนาคริสต์
ดูเหมือนฝรั่งจะมีคำพูดอีกคำว่า สวรรค์ดั้นเมฆชั้น 9 คลาวด์ ไนน์ ว่ากันว่าเป็นสุขสุดๆ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 01, 17:26
cloud no.9?


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เอก ที่ 24 มี.ค. 01, 01:11
สวรรค์มี 7 ชั้นจริง ๆ ครับ อย่าลืมโลกมนุษย์ซิครับ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่าโลกมนุษย์เนี่ยนะก็คือสวรรค์ โลกมนุษย์เป็นเพียงภูมิเดียวเท่านั้นที่พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรบารมีนานนับอสงไขยจะจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายข้ามห้วงแห่งความทุกข์ แม้สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น กับสววรค์ชั้นพรหมทั้ง 20 ชั้น ( รูปพรหม 16 อรูปพรหม 4 ) ก็ไม่อาจเทียบได้ และถ้าให้คิดกันในอีกแง่หนึ่งก็คือ โลกมนุษย์เป็นส่วนกลางของจักรวาลเป็นโรงงานที่จะส่งผู้คนไปยังดินแดน 3 แห่ง คือ แดนแห่งความทุกข์ ( นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ) แดนแห่งความสุข ( สวรรค์ทั้ง 6 พรหมโลก 20 ) และแดนแห่งนิพพาน ( พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ) ใครเลือกทางไหนก็สุดแต่กรรมพาไปเถิด


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 24 มี.ค. 01, 02:32
ขอเบียดแทรกตัวเข้ามานอกเรื่องสักนิดว่า...
เจอแล้วค้า เจอ "โองการฯ" ของคุณ นกข แบบเต็มๆ แล้ว
ขอเวลาไปตั้งสติก่อนคีย์มาให้นะคะ ยาวเจงๆ ...
คุณ นกข อย่าลืมเตรียมเผาพริกกะเกลือด้วยนะ
จะได้ครบสูตร


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 24 มี.ค. 01, 03:19
ขอบคุณครับป้านวล
ผมกะไม่เผาพริกเผาเกลือหรอกครับ แสบร้อนแย่ อันนั้นเป็นการสาปแช่งกัน แต่ผมตั้งใจจะเอาไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่นุ่มนวลอ่อนโยนหอมหวานกว่าแยะ กะไปทำพิธีร่ายโองการเสกไอติม สาบานรักครับ แต่ยังหาคนร่วมกินไอติมเสกสาบานด้วยไม่เจอ...


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 24 มี.ค. 01, 12:05
โอ้... อ่านความเห็น # 11 แล้ว น่าฉงฉานเป็นที่ซู้ดดดด...
ส่งใจไปลุ้นเต็มทีค่ะ พร้อมกับขอโฆษณาว่า
หนุ่ม นกข. นี้เป็นคนดี มีน้ำใจ ความรู้ดี
อาชีพการทำงานมั่นคง อารมณ์ดีเป็นนิจ
สุภาพ ทะลึ่งนิดๆ (เพื่อให้จิตแจ่มใส)
ไม่รังเกียจเข้าครัวทำอาหาร มีเหตุมีผล
และให้เกียรติผู้หญิงค่ะ... (ว้าววววววว!)
ผู้ใดสนใจโปรดติดต่อขอไปทานไอติมด้วยตนเอง
[ป.ล. สรรพคุณที่ได้บรรยายมานั้น เป็นความรู้สึกจริงๆ
ที่ได้รับจากการตามอ่านข้อเขียนของคุณ นกข.
ป.ล.ล. ป่าวได้ค่าโฆษณา หรือค่านายหน้า (แต่ถ้าได้ ก็ดี)
ป.ล.ล.ล. ขออำไพเจ้าของกระทู้ด้วยที่เลี้ยวออกนอกเรื่อง
มาตั้งไกล รู้สึกว่าอิฉันกำลังหลงทางอยู่อ่ะ]


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 24 มี.ค. 01, 15:04
เอ อย่างนี้คุณนวล ไม่ไปเจนีวาซะเองเลยดีกว่ามั้ยครับผม เค้าว่าสวิสนี่ก็สวยเหมือนแดนสวรรค์เหมือนกันนา อาจจะเป็น ยูโทเปียได้บ้างเหมือนกัน โยงเข้าเรื่องซะหน่อย อิอิ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 24 มี.ค. 01, 19:21
อิ อิ อิ คุณพระนาย โนแคนดู โนแคนดู
ขืนไปเจนีวา อิฉันก็กลายเป็น กขค.
ของคุณ นกข. ไปนะซิ
แต่ไม่ว่าจะทำโฆษณาดีอย่างไง อาจเป็น
ลิขิตของสวรรค์ ให้คุณ นกข. ต้องเป็น
สลก. อยู่หมู่บ้านคานทองแท้ก็ได้ อิ อิ อิ

อีกอย่าง..  อะแอ่ม สวรรค์ของอิฉันอยู่ที่
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ........ อมรพิมาน
อวตารสถิตย์ ........
ดังนั้น สิบเจนีวา ก็มิอาจมาเทียบหนึ่งกรุงเทพฯ ได้
(ถึงจะน้ำท่วมทุกปีก็เหอะ... เฮ้อออออ!)

ว่าแต่ คุณพระนายช่วยกระโดดคว้าคุณ นกข หน่อยเถอะ
รู้สึกว่าอ่านคำโฆษณาของอิฉันแล้ว ตัวจะลอยไปไหนแล้ว
ก็ไม่รู้ 5555555


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: N.K.Kh. ที่ 25 มี.ค. 01, 04:57
You make me blush, Pa Nual...
I am not that perfect. Better change the subject back to the issue at hand.

You promised me the Ongkarn Chaeng Nam? Please?

About the 9th heaven, I have looked up in my dictionary and it gives the phrase "on cloud nine" as meaning very happy.

How many levels are there in the Thai Hell?

Somehow I think the multi-leveled Heaven and Hell is an oriental concept. For Farang (apart from such expressions as "cloud nine" or "seventh paradise") Hell is just Hell and Heaven is just Heaven...


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 25 มี.ค. 01, 14:16
It's rather surprising to learn that there are

still some nice young men around nowadays.

At least some still know how to blush!

Being accommodating and yet, not submissive.

That's very nice and a great virtue.  I thought

that this virtue has died out since my time

and  been replaced by arrogance and

pompousness to the point of being abusive!

You're a  Min. of F.A.'s asset, though still

far from perfection!

Keep on  the good self. - Auntie N.

<><><><><><><><><><><><><><>



ลิลิตโองการแช่งน้ำ

(ร่าย) o โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น

แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคธราธรณี

ภีรุอวตาร อสุรแลลาญทัก ททัคนีจรนายฯ (แทงพระแสงศรปลัยวาต)



o โอมบรเมศราย ผายผาหลวงอคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก

เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเป็นปิ่น ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง

แกว่งเพชรกล้า ฆ่าพิฒน์จรรไรฯ (แทงพระแสงศรอัคนิวาต)



o โอมไชยะไชย ไขโสฬศพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง

ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า หน้าจตุรทิศ ธรรมิตรดา

มหากฤตราไตร อมไตยโลเกศี จงตรีศักดิท่าน พิญาณปรมาธิเทศ

ไทธเรศสุรสุทธิพ่อ เสวยพรหมานทรใช่น้อย (ประถมบุญภารดิเรก)

บูรภพรู้กี่ร้อยก่อมาฯ (แทงพระศรพรหมมาศ)



(ของแถม)

o นานาเอนกน้าว........เดิมกลัป์

จักร่ำจักรพาฬ............ เมื่อไหม้

ตระวันเจ็ด................. อันพลุ่ง

น้ำแล้งไข้................... ขอดหาย

เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า..... เป็นไฟ

วาบจตุราบาย............. แผ่นขว้ำ

ชักไตรตรึงษ์.............. เป็นเผ้า

แลบล้ำ....................... สีลอง



ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

(วรรณกรรมไทยสมัยกรุงสุโขทัย - กรุงศรีอยุธยา)



คุณเทาชมพูค่ะ กรุณาอธิบายให้ด้วยเถอะค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มี.ค. 01, 14:54
ตอนต้นเป็นการอ่านโองการอัญเชิญเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม เชิญองค์หนึ่งมาก็เอาพระศรศักดิ์สิทธิ์ แทงลงในน้ำที่จะใช้ดื่ม
องค์แรก พระนารายณ์ บรรยายรูปลักษณะ  เอางูเป็นแท่นคือประทับอยู่บนบัลลังก์นาค   ภีรุอวตารเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์  ฯลฯ
องค์ที่สอง พระศิวะ  เอาเงือกเกี้ยวข้าง แปลว่าเอางูพันท่อนบน  เพราะสังวาลย์ของพระศิวะคืองู
องค์ที่สาม พระพรหมค่ะ อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม ๑๖ ชั้น  เจ้าคลี่บัวทอง คือประทับบนดอกบัว  ไปไหนมาไหนโดยขุนห่าน(แปลว่าหงส์)  มี ๔ หน้า

แล้วต่อมาก็ประเดิมด้วยวันสิ้นโลก(เก่า ) เกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก  ดวงอาทิตย์ร้อนขึ้นจนเผาน้ำเหือดแห้งมหาสมุทร   เผาไปลงจนปลา ๗ ตัว ที่หนุนโลกติดไฟมันปลาละลายพุ่งขึ้นมาเป็นไฟ  ไฟนั้นก็ลามไหม้นรก ๔ ขุม  และไหม้ขึ้นสวรรค์ถึงดาวดึงส์


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 26 มี.ค. 01, 01:52
ขอบคุณค่ะ คุณเทาชมพู
- อย่าลืมพรุ่งนี้นะคะ ไปเสียแต่เนิ่นๆ จะได้มีที่จอดรถ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: N.K.Kh. ที่ 26 มี.ค. 01, 05:30
Thank you Khun Nual and Khun Taochompu.

It is interesting that the Brahma in the Thai Ongkarn Chaeng Nam, which was supposed to be one of the three Hindu supreme Gods, shared some characteristics with the Buddhist Brahmas.

In Buddhism, "Brahma" does not mean "God the Creater". brahmas are just another kind of divine beings, higher than the devas because of their mental achivement, their meditation, their "Dhyana", living in their own heavens (16 levels for brahmas with forms and 4 levels for formless brahmas). They are still under the Three Laws of Trailaksana.

In the Thai Ongkarn Chaeng Nam, the God Brahma presided over the 16 Brahmanic worlds - the number is the same as that of the worlds of the Rupa Brahmas. I believe that in pure Hinduism, Brahma the God stays in His own Heaven, without any mention of the 16 worlds. The number 16 seems to be Buddhist influence here. (I may also argue that in the mind of the Thai author (s) of the Ongkarn, Brahma God is just only Rupa - formed - Brahma. His mental achievement has not yet even reached the level of the Arupa - formless- Brahmas! )

Another evidence that suggests to me that the Thai authors of the Ongkarn had blended the Buddhist Brahmas and the Hindu God Brahma together is the mention of reincarnation. The Ongkarn states that the God Brahma attained his high status after many hundreds lives of reincarnations, to fulfill his barami.

But this concept is not quite like pure Hinduism. The God Brahma, in Hinduism, is one of THE Gods. He is the Beginning and the End. The Cycles of births, deaths and rebirths are things for us mortals, not for GOD like him.


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 01, 09:41
อ่านการตีความของคุณ นกข.แล้ว  ต้องกลับมาแปลเรื่องพระพรหมอีกที

โอมไชยะไชย ไขโสฬศพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง
บวงสรวงพระพรหมผู้ครองสวรรค์ ๑๖ ชั้น   ประทับอยู่บนดอกบัวทอง

ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า หน้าจตุรทิศ ธรรมิตรดา
ประทับอยู่บนหงส์  เป็นผู้สร้างจักรวาลและสวรรค์  มี ๔ พักตร์  เป็นผู้ทรงธรรม

มหากฤตราไตร อมไตยโลเกศี จงตรีศักดิท่าน พิญาณปรมาธิเทศ
เป็นผู้กระทำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ โลก   อยู่เป็นอมตะ   บรรลุถึงญาณอันยิ่งใหญ่

ไทธเรศสุรสุทธิพ่อ เสวยพรหมานทรใช่น้อย (ประถมบุญภารดิเรก)
บูรภพรู้กี่ร้อยก่อมาฯ (แทงพระศรพรหมมาศ)
เป็นเทพยิ่งใหญ่ผู้บริสุทธิ์   ครองความเป็นพรหมด้วยบุญอันกระทำไว้ในกาลก่อน   ในหลายร้อยชาติ
หรือ  ได้สร้างภพมาแล้วหลายร้อย(?)
ประโยคท้ายนี่ตีความได้ ๒ อย่าง

ถ้าตีความอย่างแรก  คือบำเพ็ญบุญมาหลายร้อยชาติจึงได้เกิดมาเป็นพระพรหม ก็เป็นพรหมแบบพุทธ อย่างคุณนกข.ว่า
ถ้าตีความอย่างหลัง  แปลว่าได้สร้างโลกมาแล้วหลายร้อยครั้ง (คือจำนวนมาก) เป็นพรหมแบบพราหมณ์ค่ะ
เพราะเชื่อกันว่าโลกสร้างขึ้นและแตกทำลายมาหลายครั้งแล้ว  ทุกครั้งพระพรหมจะสร้างใหม่


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 01, 09:42
คุณนวล  เย็นนี้ดิฉันไปเดินสวนไปสวนกันมากับคุณนวลที่ริมสระน้ำค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: วรวิชญ ที่ 26 มี.ค. 01, 09:56
สวรรค์ชั้นที่เจ็ด อยู่ในเมืองไทยนี่เอง อยู่ไม่ไกลด้วย ที่ถนนเยาวราช ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเมืองไทยมีตึกสูงที่สุดเรียกว่าตึกเจ็ดชั้น เยาวราช บนชั้นที่เจ็ดมีการแสดงแบบที่เรียกว่าระบำตาหรั่ง นักเที่ยวจึงเรียกกันว่าสวรรค์ชั้นเจ็ด ปัจจุบันตึกเจ็ดชั้นเยาวราชยังอยู่แต่ไม่เป็นตึกที่สูงที่สุดของเมืองไทย และไม่มีระบำให้ชมแล้ว


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 26 มี.ค. 01, 22:55
ขอนอกเรื่องหน่อย

ตกลงคุณเทาชมพูกับคุณนวลไปหากันเจอในงาน 84 ปี หรือเปล่าครับ

ได้เฝ้า "แว่นแก้ว" ด้วยไหม

วันนี้เมื่อ 2 ปีก่อนที่หอประชุม ข้างหน้าเทวาลัย ผมก็มีโอกาสไปร่วมยืนในแถวเฝ้า "แว่นแก้ว"  ถือโอกาสกราบลาท่านมาที่นี่


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 26 มี.ค. 01, 23:03
ท่านผู้ร่วมเรือนไทยทุกท่านคงทราบนะครับว่านักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า "แว่นแก้ว" นั้น พระองค์จริงคือใคร

เรื่องเกี่ยวกับ " แว่นแก้ว" จำได้เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับลิเก ฝากไปที่วิกโน้นที่กำลังเล่นกันอยู่ด้วย ว่า เคยทรงร้องลิเกในงานรับน้องสมัยโน้น (ไหนไหนก็เล่นเรื่องเกี่ยวกับจระเข้อยู่ ผมขอมั่วว่า ต้นตระกูลจระเข้สืบขึ้นไปก่อนปู่ท้าวพันตา หลายชั่วคน เอ๊ยชั่วจระเข้นั้น คือไดโนเสาร์ อันเป็นบรรพชนของสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย....) ความในบทลิเกที่ทรงร้อง มีว่า
...ไดโนเสาร์สัตว์โบราณ
อดอาหารมาหลายเพลา
เดินโซเซก็โซซัด
ไปพบหน่อกษัตริย์ (ตามธรรมเนียมลิเก) ที่กลางป่า
สัตว์ประหลาดดีใจ
จนน้ำลายไหล... ออก.. มา ...
(เตร๊งเตรง เตร่ง เตร๊ง....)


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มี.ค. 01, 23:40
เพิ่งกลับจากงานกลับมาถึงบ้านค่ะ  คุณนกข.
ปีนี้จัดอลังการสมกับครบ ๗ รอบ  มีการแสดงประกอบแสงสี  เล่าถึงประวัติของมหาวิทยาลัย และบทบาทของนิสิตจุฬาฯต่อสังคม
และที่สำคัญคือ เท้าความกลับไปถึงเมื่อครั้งสมเด็จพระเทพฯ ทรงเข้ามาเป็นนิสิตจุฬา
มีบทบรรยายเล่าถึงบทลิเกในวันรับน้องใหม่  ที่รุ่นพี่ทูลขอให้ทรงร้องด้วย  เช่นเดียวกับพระจริยาวัตรและพระกรุณาธิคุณต่อพระสหายนิสิต
ซาบซึ้งตรึงใจมากค่ะ เกินกว่าจะบรรยาย

งานนี้สมเด็จพระเทพฯเสด็จมาเป็นองค์ประธาน   เปิดโอกาสให้ชาวจุฬาฯได้เข้าเฝ้าชมพระบารมี อย่างอิ่มใจทีเดียวค่ะ

นิสิตเก่าคับคั่งมาก   ละลานตา  ไม่รู้ว่าใครอยู่ตรงไหน  โต๊ะปนกันหมด ไม่มีแยกตามคณะ
อย่าว่าชาวเน็ตผู้รู้จักกันแต่ชื่อแฝงอย่างคุณนวลกับดิฉันเลย  ต่อให้เราสองคนพร้อมใจกัน นัดกันแต่งเป็นแฮรี่ พอตเตอร์  ก็คงมองหากันไม่พบอยู่ดีละค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 27 มี.ค. 01, 01:17
แหะ.. แหะ.. คุณเทาชมพู กะคุณ นกข เจ้าค่ะ
อิฉันหน่ะ บ่มีเลือดสีชมพูเจ้าค่ะ แต่รู้มากรู้เยอะ
เพราะคนรอบกายนั้น มีตั้งแต่สีเลือดหมู สีดำ
สีเทา สีฟ้า (แล้วคณะเศรษฐศาสตร์ แพทย์ศาสตร์
กะครุฯ นี้ สีอะไรคะ จำไม่ได้)
เลยรู้เรื่องงานตั้งแต่เริ่มประชุมจัดงานเรื่อยมากระทั่ง
ตรวจความเรียบร้อยคืนสุขดิบ คือว่ารู้ไปหม้ด.. แหะ แหะ
ตอนนี้ ก็เห็นพากันเปิดทำเนียบรุ่นที่ได้รับมาจากงานดูใหญ่
ว่าแต่คุณเทาชมพูไปแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกครบ ๘๔ ปี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เก็บไว้บ้างหรือเปล่าคะ
ทางกรมธนารักษ์ทำขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะเชียวนะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 27 มี.ค. 01, 01:35
ครุฯ สีแสดครับ ดูเหมือนตั้งใจจะให้หมายถึงสีเพลิง คบเพลิง ประทีปส่องทาง
แพทย์ สีเขียวครับ ยังกับว่าเป็นสีเขียวพิเศษอยู่โทนหนึ่งด้วย เขียวมะกอกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
เศรษฐศาสตร์ถ้าจำไม่ผิด สีทอง? สีเงิน? สีน้ำเงิน? จำไม่ได้แล้วครับ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 มี.ค. 01, 10:11
สีน้ำเงิน นิเทศศาสตร์ค่ะ
เศรษฐศาสตร์ สีทอง?

เหรียญพิเศษ  อดค่ะ...เสียดายจัง


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 27 มี.ค. 01, 15:46
ขอถามหน่อยนะคะ  จากบทนี้น่ะค่ะ

o นานาเอนกน้าว........เดิมกลัป์
                                จักร่ำจักรพาฬ............ เมื่อไหม้
                                ตระวันเจ็ด................. อันพลุ่ง
                                น้ำแล้งไข้................... ขอดหาย
                                เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า..... เป็นไฟ
                                วาบจตุราบาย............. แผ่นขว้ำ
                                ชักไตรตรึงษ์.............. เป็นเผ้า
                                แลบล้ำ....................... สีลอง

เป็นโคลง หรือ กลอน หรืออะไรคะ  หาฉันทลักษณ์ไม่ถูกเลยค่ะ

แล้วอยากถามเรื่อง โคลงดั้นหน่อยค่ะ  ว่ามันมีกี่รูปแบบอะไรบ้าง  เคยจะได้เลาว่ามี โคลงดั้นวิชชุมาลีอีสาน น่ะค่ะ  ไปอ่านบทกวี ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง แล้วก็แกะไม่ออก  แล้วเห็นรูปแบบฉันทลักษณ์ที่ดูไม่ออกเลยค่ะ  หนังสือไม่รู้อยู่ไหนแล้วเดี๋ยวสว่างแล้วจะไปหาดูอีกทีค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 มี.ค. 01, 16:27
คุณพวงร้อยคะ หาอ่านเรื่องโคลงดั้นได้ที่นี่ค่ะ

http://thaiarc.tu.ac.th/host/thaiarc/poetry/khloong/dun/

ส่วนคำประพันธ์ในโองการแช่งน้ำที่คุณถามมา  รัชกาลที่ ๖ ทรงสันนิษฐานว่า

 บางบทเป็นโคลงสาม  และบางบทเป็นโคลงสามดั้น

พ.ณ ประมวลมารค (ม.จ.จันทร์จิรายุ รัชนี)  ทรงเห็นว่าเป็นโคลงดั้น ที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

พระยาอุปกิตศิลปสาร เห็นว่าเป็นโคลงมณฑกคติ โคลงห้า และสัมผัสแบบโคลงบาทกุญชร

จิตร ภูมิศักดิ์ บอกว่าเป็นโคลงดั้นบาทกุญชร

นอกจากนี้ มีผู้เห็นว่าเป็นร่ายก็มี

 คำตอบ(ส่วนตัว) คำประพันธ์เกิดก่อนกฏเกณฑ์ฉันทลักษณ์    โองการแช่งน้ำก็อยู่ในข้อนี้  คือมีขึ้นมาก่อนจะมารวบรวมจัดกลุ่มประเภทคำประพันธ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์   เพราะฉะนั้น....เป็นอะไรก็บ่ฮู้ค่ะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: ชายต๊อง ที่ 28 มี.ค. 01, 17:02
อยากไปทัวร์พรหมกับอรูปพรหมด้วยครับเมื่อไหร่คุณเทาชมพูจะพาไป


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 มี.ค. 01, 18:08
ท่าทางคุณชายจะรู้จักแล้วนี่คะ


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 28 มี.ค. 01, 18:48
ตามจินตนาการของช่างเขียนไทยโบราณเมื่อจะต้องวาดภาพอรูปพรหม ซึ่งไม่มีรูป ไม่มีหน้าตาแขนขาอวัยวะใดๆ ก็สมมติและวาดออกมาเป็นลูกอะไรอันหนึ่ง กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนแท่น ซึ่งเรียกภาษาปากว่า พรหมลูกฟัก

ตามทฤษฎีก็ว่าพรหมลูกฟักเหล่านี้ไม่ต้องมีรูปมีร่างกาย เสวยสุขอยู่ได้ด้วยการเพ่งจิต ด้วยการเจริญฌาณ

ผมยังเป็นปุถุชนที่ไม่ได้ทรงฌาณ จึงนึกไม่ออกครับว่า สุขแบบพรหมลูกฟักนั้นจะเป็นสุขแบบไหน


กระทู้: ชมสวรรค์ชั้นฉกามาพจร
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 29 มี.ค. 01, 01:05
ขอบคุณมากค่ะ คุณ เทาชมพู  เว็บนั้นดีจังที่มีโคลงแบบอื่นๆด้วย