เล่ามาเสียนาน ขอสรุปสั้นๆว่าจีนใหม่ในนิราศเมืองแกลงนี่เห็นจะใช้เป็นหมุดเวลาที่สำคัญไม่ได้ครับ
ขอตัดพ้อคุณอาชาผยองหน่อยเถอะค่ะ
ถ้าจะปักหมุดสำคัญให้คุณอาชาเชื่อได้ ก็มีทางเดียวคือกวีต้องระบุวันเดือนปีพ.ศ. ที่แต่งไว้ในนิราศ ชัดๆ นั่นแหละ ซึ่งถ้าเป็นงั้นท่านทั้งหลายที่อ่านนิราศกันมาตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรก คงปักให้เราเรียบร้อยแล้วละ
ก็ที่พวกเรามานั่งล้อมวงถกประเด็นกันเอาเป็นเอาตาย ก็คือพยายามปักหมุดเวลาจากสภาพแวดล้อมทางสังคม
ดิฉันว่าเรื่องจีน ถ้าปะติดปะต่อให้ละเอียดอาจจะพอทำให้เห็นภาพเวลาได้ไม่มากก็น้อย
มาช่วยแกะรอยคนจีนตามเส้นทางไปเมืองแกลง อ่านๆดู ชุมชนคนจีนอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียวละค่ะ
เริ่มที่บางปลาสร้อย
แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
ตรงนี้ เป็นชุมชนคนจีนที่ตั้งถิ่นฐานทำประมงจนลงตัวแล้ว อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ยังคงวัฒนธรรมของตัวเองอยู่เหนียวแน่น
แสดงว่ามีการรวมตัวเป็นเอกเทศ ไม่ปะปนอยู่ในกลุ่มเชื้อชาติอื่น
เช่นยัง"กินโต๊ะ" คือมีโต๊ะนั่งกินข้าว ไม่กินกับพื้นอย่างคนไทยที่ปูเสื่อกินข้าว พูดภาษาจีนระหว่างกัน ไม่พูดภาษาไทย
เรียกได้ว่ามีหมู่บ้านจีนอุ่นหนาฝาคั่ง ในอำเภอบางปลาสร้อยของไทยในยุคที่กวีหนุ่มไปเมืองแกลง
กวียังย้ำถึงคนจีนที่บางปลาสร้อยไว้อีกครั้ง ในตลาด
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้า หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ข้อนี้บอกอะไรได้บ้าง
บอกได้ว่า
๑) คนจีนที่บางปลาสร้อย ไม่ใช่เข้ามาเป็นแรงงานอย่างในรัชกาลที่ ๓ แต่มาอยู่ตั้งถิ่นฐาน ทำมาหากิน
ทำอาชีพประมง และปลูกผักปลูกพืชขาย
น่าจะเข้ามานานแล้ว อย่างน้อยสองชั่วคน คำบรรยายบอกให้รู้ถึงการลงหลักปักฐานที่มั่นคงแล้ว
๒) พวกนี้ต้องเป็นจีนพูดภาษาเดียวกัน ถึงรักษาวัฒนธรรมกันไว้ได้เหนียวแน่น ถ้าแต้จิ๋วก็แต้จิ๋วทั้งก๊ก แคะก็แคะทั้งก๊ก
๓)สำเนียงจีนที่พูดกัน สำเนียงอะไรไม่ทราบ กวีเรื่องนี้จับได้เพียงไกลๆเท่าที่ได้ยิน
ไม่มีบทสนทนาปราศรัยด้วย อาจจะไม่ใช่แต้จิ๋ว