ราชสำนักอยุธยาตอนต้นใช้คำเขมรมากกว่าราชาศัพท์ปัจจุบันนี้มากนัก ผมคิดว่าการที่ภาษาเขมรมีอิทธิพลต่อภาษาไทยกลางมากขนาดนี้
นอกจากจะเป็นเพราะเป็นพื้นที่ที่ไทยอยู่ร่วมกับเขมรแล้ว ยังเป็นเพราะราชสำนักอยุธยาใช้ภาษาเขมรมาก เป็นไปได้มากว่ามีการรับรูปแบบหรือ
ถึงกับมีการถ่ายโอนอำนาจจากเขมรมาสู่ไทย
เมื่อราว ๒ เดือนก่อน สยามรัฐลงบทความของ คุณชายคึกฤทธิ์ เกี่ยวกับการรับขนบธรรมเนียมประเพณี
ของอีกชาติหนึ่งมาใช้ ระหว่าง เขมร - ไทย - พม่า ครับ
โขนอโยธยาไปพม่า เรื่องที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะรับเอาขนบธรรมเนียมประเพณีของอีกชาติหนึ่งมาใช้ก็เห็นว่าแปลก ยกตัวอย่างเช่น
วัฒนธรรมของพวกขอมที่เคยอยู่ในประเทศเขมรเป็นต้น
คนไทยเราเคยวิสาสะกับขอมมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย แต่สมัยนั้นถึงเราจะรับเอาวัฒนธรรมของขอมมาบ้างก็ไม่มากนัก และ
เราทำอย่างช้าๆ จากพ่อขุนรามคำแหงไปจนถึงพระยาลือไทย ซึ่งทรงใช้พระนามว่า พระบาทสมเด็จกมรเตงอัญ อันเป็นบรรดาศักดิ์เขมร
ก็กินเวลาถึงหกรัชกาล
แต่พอถึงกรุงศรีอยุธยารัชกาลพระเจ้าสามพระยา กองทัพไทยไปตีนครธมเมืองเขมรได้ วัฒนธรรมเขมรก็ไหลบ่าเข้ามา
ในเมืองไทยอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมของเขมรดูเหมือนจะเป็นราชพัทยาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ขนบธรรมเนียมราชประเพณีการปกครอง
ก็เปลี่ยนไปเป็นเขมร กฎหมายก็เอาของเขมรมา
และเจ้านายไทยก็เริ่มใช้ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์ แทนที่จะเป็น “เจ้า” ซึ่งเป็นภาษาไทยก็กลายเป็น “เสด็จ”
แล้วก็เลยพาลสรงเสวยพาลบรรทม เป็นภาษาเขมรไปสิ้น
ครั้งพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้ เหตุการณ์อย่างเดียวกันก็เกิดขึ้น ไทยเป็นผู้แพ้ในการสงคราม แต่กลับเป็นผู้ชนะในทางวัฒนธรรม
สิ่งใดที่เป็นของอยุธยาหรือที่พม่าเรียกว่า “โยเดีย” ก็กลายเป็นของดีงามสำหรับพม่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายผลหมากรากไม้
ถ้าอ้างว่าเป็นของ “โยเดีย” ก็มีราคาสูง ศิลปหัตถกรรม การดนตรี ตลอดจนกะปิน้ำปลา ถ้าเป็น “โยเดีย” ก็กลายเป็นของทิพย์ในสายตาพม่า
แต่สิ่งที่พม่าเห็นว่าดีนักดีหนาเห็นจะได้แก่ โขนละครของไทยที่ได้ไปจากกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้น โขนนั้นพม่าได้เรื่องรามเกียรติ์ไป
ส่วนละครก็ได้ไปหลายเรื่อง เป็นต้นว่า อิเหนา .....