เช่นนี้แล้ว ตำแหน่งกงศุลใหญ่ ในสมัยนั้น มีอำนาจหน้าที่อย่างไรกัน หรือเขามีอำนาจบารมีขนาดไหนกัน ถึงได้สามารถเจรจาข่มขู่พระเจ้าแผ่นดินได้
นายน๊อกซ์เป็นทหารอังกฤษประจำการอยู่ในอินเดีย คงมีวิญญาณนักเผชิญโชคเช่นฝรั่งสะพายเป้ทุกยุคทุกสมัย จึงเดินทางมาสยามแล้วได้งานทำเป็นครูฝึกทหารให้วังหน้า
ต่อมาเกิดชอบพอกับอำแดงปราง สาวปากลัด นางข้าหลวงของพระองค์เจ้าวงจันทร์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าก็สมรสพระราชทานให้
ต่อมาเมื่ออังกฤษมาตั้งสถานกงสุลหลังสนธิสัญญาเบาวริ่ง ได้พักหนึ่ง ร้อยเอกน๊อกซ์ก็ลาออกจากข้าราชการวังหน้า ไปเป็นล่ามให้สถานกงสุล แล้วไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจนได้เป็นกงสุล และกงสุลใหญ่ตามลำดับ
การที่กงสุลน๊อกซ์มีประสบการณ์มากมายในเมืองไทย และพูดภาษาไทยได้ จึงทำให้เขาดูน่ากลัวเพราะรู้เรื่องของเรามากเกินไป ไม่ค่อยมีผู้หลักผู้ใหญ่อยากคบกับเขา มีแต่กรมพระราชวังบวร เพราะทรงถือว่าเป็นเพื่อนเก่าเพือนแก่ และพระองค์เองก็เป็นคนน่ารัก เข้ากับคนง่าย ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวหนุ่ม ทรงระแวงไปทุกคนนอกจากพระอนุชาและเจ้านายใกล้ชิด นายน๊อกซ์นั้นเข้าไม่ติด ตั้งแต่ทรงคิดว่าเขาทะลึ่งที่พยายามจะสอนพระองค์ต่อหน้าคนอื่นในคราวเสด็จเมืองอินเดีย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายน๊อกซ์ก็จะไม่ชอบพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน แล้วยิ่งเพิ่มความสนิทสนมกับวังหน้าจนทำให้ทรงเขม่นทั้งคู่หนักเข้าไปอีก
หลังวิกฤตวังหน้าจบลงเพราะอิทธิพลของอังกฤษ พระเจ้าอยู่หัวทรงลดอำนาจของวังหน้าได้แต่ไม่สามารถลดบทบาทของขุนนางตระกูลบุนนาคได้ และดูเหมือนว่าอังกฤษจะยังมีอิทธิพลสืบเนื่อง คงจำบทความของนิวยอร์คไทม์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า ตอนนั้นกงสุลน๊อกซ์เสมือนเป็น The first king of Siam เพราะสามารถเข้ากันได้กับทุกกลุ่มการเมือง พูดอะไรใครก็ฟัง และทำให้คิงจุฬาลงกรณ์เป็น King of the palaceไป
บทความในนิวยอร์คไทม์สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของนายน๊อกซ์ ที่เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวยังเด็ก(หมายความว่าประสบการณ์ยังน้อย) จึงควรจะต้องเชื่อฟังเขา โดยเฉพาะหากคิดว่าสยามยังจะต้องพึ่งอิทธิพลของอังกฤษในการคานอำนาจกับฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นกลืนเขมรและลาว เมืองขึ้นของสยามไปแล้ว
สำหรับเรื่องพระปรีชา เมื่อพระเจ้าอยู่หัวไม่นำพาต่อข้อเรียกร้องของเขา จึงอดกลั้นไม่ได้ที่จะแสดงสันดานดิบออกมาบ้างตามนั้น