เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: pipat ที่ 20 ก.ย. 07, 22:26



กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 20 ก.ย. 07, 22:26
ผมโชคร้าย ได้ดูรายการแย่งกันเป็นนักร้องที่บริษัทหนึ่งจัด
แค่ดูเพียงสองสามนาทีก็ให้แสนที่จะปลง
คือเห็นชัดว่า ผู้จัด เอาของชั้นต่ำมาขายเป็นของชั้นสูง
ที่พูดนี่ ไม่ได้จะว่าน้องๆ ที่มาล่าฝันร้าย ว่าเป็นของชั้นต่ำนะครับ
น้องพวกนี้ ถ้าเพาะบ่มถูกวิธี ชาตินี้ อาจจะร้องเพลงประกอบจิงเกิ้ลโฆษณาได้
หลายคนเสียงดีพอประมาณ ความกล้ามีมาก
และศักยภาพในการลอกเลียนแบบก็มีอยู่เต็มทั่วสรรพางค์

แต่อยากจะตำหนิคนทำรายการตรงๆ ว่า ทำให้วิจารณญานในการเสพสุนทรียรสของมนุษย์
ผิดเพี้ยนไปในทางตรงกันข้ามกับความงอกงาม
ผมคิดอย่างนี้ ตอนที่พวกน้องๆ มาร้องเพลงพระราชนิพนธ์
ร้องกันเป็นหมู่ใหญ่ ร้องห่วยจนน่าสมเพช ไม่ใช่แค่ร้องเพี้ยน ผิดคีย์อย่างง่ายๆ เท่านั้น
แต่ยังเข้าจังหวะเสียง ที่ต้องรับส่งกันให้มีความเสนาะ กลายเป็นป๋าเหนาะ
คือเข้าแก้งค์ใหน หัวหน้าตายหมด....55555
เปรียบไปก็เหมือนผืนผ้าที่มาเพลาะต่อกันหมายให้เป็นผืนงาม แต่รอยต่อนั้นปุปะตะปุ่มตะป่ำ
อย่าว่าแต่ลูบเลย ดูด้วยตาเปล่าก็ฝันร้ายแล้ว

การรวมหมู่ร้องเพลงนั้น หากว่าความสามารถไม่เท่ากัน มันก้อฉิ่งฉับทัวร์เราดีๆ นี่เอง
แต่โทษทีนะครับ
ทุกฉิ่งฉับทัวร์ จะต้องมีตัวเด่นที่ร้องเพลงเก่ง เป็นคนคอยกลบเกลื่อน และเป็นหลักให้คนอื่นเกาะ
แต่น้องทั้งฝูง บนเวทีคืนนั้น ร้องได้แย่แข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
หัวเสียงของแต่ละหน่อ จะแทรกโผล่ขึ้นมา ราวกะหน่อไม้หน้าฝน ตำเจ็บความรู้สึกแปล๊บๆ

ผมจึงเกิดความสงสัยว่า
เดี๋ยวนี้ มาตรฐานความเหมาะเจาะมันหายไปใหนหมด
ตามตำราโบราณที่ผมรู้จัก เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าของทำเทียมและเลียนแบบ เทียบไปก็แค่ของแบกะดิน
ทำไมมาขึ้นหิ้ง ปลอมตัวเป็นของดีไปได้

ปรากฏการณ์นี้ เท่าที่ผมสังเกตมาในช่วงชีวิตแสนสั้น
พบว่ามันหนักข้อขึ้นทุกที
ไม่ว่าจะเป็นศิลปินจอมโว ที่ทำงานด้วยปากจนเป็นที่ยอมรับ นั่นพวกเราก็เรียกกันในวงว่า นักเขียนรูปประกอบ
ชาตินี้อย่าหวังจะทาบระดับพี่สุเชาวน์ อย่าว่าแต่จะขึ้นถึงครูวี ยิ่งเฟื้อหนุ่มนี่ .......ตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีทาง
ให้สามสิบชาติในเชียงรายเลย เอ้า

ในแวดวงร้องเพลง ก็เห็นชัดว่า มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ออกเสียงให้ครบคีย์ยังทำไม่ได้ก็มาร้องเพลงแล้ว
ย้อนกลับไป ก็น่าจะตั้งต้นที่คุณนักร้องคางยาน ที่เป็นหัวหน้าวงเป็นไปไม่ได้ ที่อาศัยไมค์ขยายเสียง
ถ้าร้องสดจะขาดใจตายกลางเพลง

มาที่นักแสดง ถ้าตั้งหลักที่คุณพี่พิศมัย นักแสดงเกือบ 95 % ของประเทศนี้ ก็ยิ่งต้องไปเกิดใหม่
พอเข้าวงนักเขียน โอ้โห...ให้ตายเหอะ ทำไมของปลอมมากจัง มีกระทั่งปลอมตัวเอง.....ฯลฯ
(ไว้ค่อยมาแจกแจงทีหลัง)

สิ่งที่ผมสงสัยในการตั้งกระทู้นี้ก็คือ
โลกเราเป็นอะไรไปหนอ จึงเอาของเกรด B
มาทำจนกลายเป็นเหมือนของเกรด A ยกย่องเชิดชูกันจนแทบขาดใจ
ทั้งที่มันก้อเพียงกำมะลอศิลป์ วันพรุ่งก็เน่าสลาย หาความอมตะพอสมควรแก่การยกย่องได้ไม่

ยกตัวอย่างที่ผมเพิ่งอ้วกไปหมาดๆ
ก็หนังซามูไรชั้นต่ำของพ่อกวนตีน ตาเร็นติโน่ หากนำไปเปรียบคุโรซาว่า ก็เหมือนหนอนที่ตอมอกร่อง
อาจจะมีกลิ่นติดมาชั่วครั้งชั่วคราว ....แค่นั้น แต่หากหนอนจะกลายเป็นอกร่องไปได้....555555

ก็เป็นได้แต่ในหนังเกรด B เท่านั้นแล


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 20 ก.ย. 07, 23:26
แบกะดินขึ้นห้าง

ผมโชคร้าย ได้ดูรายการแย่งกันเป็นนักร้องที่บริษัทหนึ่งจัด
แค่ดูเพียงสองสามนาทีก็ให้แสนที่จะปลง
คือเห็นชัดว่า ผู้จัด เอาของชั้นต่ำมาขายเป็นของชั้นสูง
ที่พูดนี่ ไม่ได้จะว่าน้องๆ ที่มาล่าฝันร้าย เป็นของชั้นต่ำนะครับ
น้องพวกนี้ ถ้าเพาะบ่มถูกวิธี ชาตินี้ อาจจะร้องเพลงประกอบจิงเกิ้ลโฆษณาได้
หลายคนเสียงดีพอประมาณ ความกล้ามีมาก
และศักยภาพในการลอกเลียนแบบก็มีอยู่เต็มทั่วสรรพางค์

แต่อยากจะตำหนิคนทำรายการตรงๆ ว่า ทำให้วิจารณญานในการเสพสุนทรียรสของมนุษย์
ผิดเพี้ยนไปในทางตรงกั้นข้ามกับความงอกงาม
ผมคิดอย่างนี้ ตอนที่พวกน้องๆ มาร้องเพลงพระราชนิพนธ์
ร้องกันเป็นหมู่ใหญ่
ร้องห่วยจนน่าสมเพช ไม่ใช่แค่ร้องเพี้ยน ผิดคีย์อย่างง่ายๆ เท่านั้น
แต่ยังเข้าจังหวะเสียง ที่ต้องรับส่งกันให้มีความชวนเสนาะ กลายเป็นป๋าเหนาะ
คือเข้าแก้งค์ใหน หัวหน้าตายหมด....55555
เปรียบไปก็เหมือนผืนผ้าที่มาเพลาะต่อกันเป็นผืนงาม แต่รอยต่อนั้นปุปะตะปุ่มตะป่ำ
อย่าว่าแต่ลูปเลย ดูด้วยตาเปล่าก็ฝันร้ายแล้ว

การรวมหมู่ร้องเพลงนั้น หากว่าความสามารถไม่เท่ากัน มันก้อฉิ่งฉับทัวร์เราดีๆ นี่เอง
แต่โทษทีนะครับ
ทุกฉิ่งฉับทัวร์ จะต้องมีตัวเด่นที่ร้องเพลงเก่ง เป็นคนคอยกลบเกลื่อน และเป็นหลักให้คนอื่นเกาะ
แต่น้องทั้งฝูง บนเวทีคืนนั้น ร้องได้แย่แข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
หัวเสียงของแต่ละหน่อ จะแทรกโผล่ขึ้นมา ราวกะหน่อไม้หน้าฝน ตำเจ็บความรู้สึกแปล๊บๆ

ผมจึงเกิดความสงสัยว่า
เดี๋ยวนี้ มาตรฐานความเหมาะเจาะมันหายไปใหนหมด ตามตำราโบราณที่ผมรู้จัก
เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าของทำเทียมและเลียนแบบ เทียบไปก็แค่ของแบกะดิน
ทำไมมาขึ้นหิ้ง ปลอมตัวเป็นของดีไปได้

ปรากฏการณ์นี้ เท่าที่ผมสังเกตมาในช่วงชีวิตแสนสั้น
พบว่ามันหนักข้อขึ้นทุกที
ไม่ว่าจะเป็นศิลปินจอมโว ที่ทำงานด้วยปากจนเป็นที่ยอมรับ นั่นพวกเราก็เรียกกันในวงว่า นักเขียนรูปประกอบ
ชาตินี้อย่าหวังจะทาบระดับพี่สุเชาวน์ อย่าว่าแต่จะขึ้นถึงครูวี ยิ่งเฟื้อหนุ่มนี่ ตายแล้สเกิดใหม่ก็ไม่มีทาง

ในแวดวงร้องเพลง ก็เห็นชัดว่า มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ออกเสียงให้ครบคีย์ยังทำไม่ได้ ก็มาร้องเพลงแล้ว
ย้อนกลับไป ก็น่าจะตั้งต้นที่คุณนักร้องคางยาน ที่เป็นหัวหน้าวงเป็นไปไม่ได้ ที่อาศัยไมค์ขยายเสียง
ถ้าร้องสดจะขาดใจตายกลางเพลง

มาที่นักแสดง ถ้าตั้งหลักที่คุณพี่พิศมัย นักแสดงเกือบ 95 % ของประเทศนี้ ก็ยิ่งต้องไปเกิดใหม่
พอเข้าวงนักเขียน โอ้โห...ให้ตายเหอะ ทำไมของปลอมมากจัง มีกระทั่งปลอมตัวเอง.....ฯลฯ
ไว้ค่อยมาแจกแจงทีหลัง

สิ่งที่ผมสงสัยในการตั้งกระทู้นี้ก็คือ
โลกเราเป็นอะไรไปหนอ จึงเอาของเกรด B
มาทำจนกลายเป็นเหมือนของเกรด A ยกย่องเชิดชูกันจนแทบขากใจ
ทั้งที่มันก้อเพียงกำมะลอศิลป์ วันพรุ่งก็เน่าสลาย หาความอมตะพอสมควรแก่การยกย่องได้ไม่

ยกตัวอย่างที่ผมเพิ่งอ้วกไปหมาดๆ
ก็หนังซามูไรชั้นต่ำของพ่อกวนตีน ตาเร็นติโน่ หากนำไปเปรียบคุโรซาว่า ก็เหมือนหนอนที่ตอมอกร่อง
อาจจะมีกลิ่นติดมาชั่วครั้งชั่วคราว ....แค่นั้น
แต่หนอนจะกลายเป็นอกร่องไปได้....555555

ก็เป็นได้แต่ในหนังเกรด B เท่านั้นแล
***************************
ย้อนมองกลับไป
ผมคิดว่าวงการเพลง เป็นแหล่งรวมของปลอมมากที่สุด มายมายยั้วเยี้ย จนของจริงโผล่ไม่ขึ้น
ตั้งแต่หมดยุคที่ต้องใช้เสียงจริงมาร้องเพลง
เพราะคนบอกว่าเป็นนักร้อง แท้จรืงมีอาชีพหลักคือเป็นคนดัง เช่นเป็นดารา เกิดมาแทบไม่เคยร้องเพลง
แต่ความที่คุ้นตาชาวบ้าน ก็เลยมีคนจับมาแหกปาก
แต่งเพลงง่ายๆ ให้ หาแก๊กที่แตะใจคนฟังหัวอ่อน จับพลัดจับผลูก็รวยเละ
(บริษัทเพลงนะครับ นัก(แกล้ง)ร้อง ไม่เกี่ยว)

จะยกตัวอย่างคุณบ๊อบ พระเอกหนังที่ถนัดบทกะล่อนยิ้มกริ่ม มีงานสร้างชื่อพอประมาณ
แล้วต่อมาก็เลิกอาชีพ ไปเปิดบริษัทเอเยนต์ซี่...จู่ๆก้อ ออกเทป
คนที่รู้เรื่องก้ตกใจ เพราะคุณบ๊อบ พูดไทยยังไม่ค่อยชัด
พูดแล้วก็นึกถึงอีกคนที่ตามรอยมาในอีกร่วมสิบปีต่อมา ไมเกิ้ล แหว่ง หนุ่มเจ๊กฮ่องกง
โผมมากลาย.....นั่นก็ถูกเอาไมค์ยัดปาก เหมือนกัน

มันเสียหายอะไรล่ะ นักร้องที่ไม่ได้ร้องเพลงน่ะ
เออ...นั่นดิ นักร้องต้องร้องเพลงด้วยรึ
เพื่อนเคยเล่าถึงครูสมยศ ซึ่งร้องเพลงอยู่จนวัยร่วมเจ็ดสิบ ตระเวณตามหัวเมืองห่างไกล
ไปยังที่ ที่ท่านคิดว่า คนยังมาฟังนักร้องร้องเพลง

นั่นก็ของประหลาดอะดิ เป็นนักร้องที่ต้องร้องเพลง........


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 20 ก.ย. 07, 23:49
ถ้าเช่นนั้น ผมก็คงโชคดีที่ไม่ได้ดู อิอิ  ;D

สาเหตุคงเป็นเพราะ ทุนนิยม งก โลภ อยากได้เงิน ครับ เงิน เงิน เงิน จากการโวตเท่านั้น

หล่อๆ เข้าไว้ เสียงแบบลูกหมาครางไม่เป็นไร เพราะ สาวๆ (ที่หลอกง่ายๆ) ไม่สน เค้าโวตเพราะหน้าตา
ผู้หญิงเป็นไม้ประดับ เพราะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคนโวต เพราะคนโวตมีแต่สาวๆ เป็นส่วนใหญ่

กี่วี กี่ก็มีแต่ชาย

ไม่เคยดู แต่พอใจเข้าใจ "ระบบหาเงินแบบง่าย" ของผู้จัดครับ ยิ่งได้ยินข่าวว่า แม่ของบางคนทุ่มเงินโวตเป็นแสน เป็นล้าน มันก็สะท้อนถึง "ความบ้าวัตถุนิยม" ของครอบครัวนั้นเกินพอแล้วครับ มีเงินไม่ผิดจะใช้อะไรก็ใช้ แต่มันก็สะท้อนอะไรบางอย่างในสมองของบุคคลนั้นๆ ได้

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ที่ฝรั่งเศสก็มีครับ แต่ไม่ได้เชียร์ฝรั่ง ว่ากันตามคุณภาพ ดีกว่าของไทยมากครับ เทียบกันไม่ได้

แต่ละรอบนักร้อง จะถูกคัดออกโดยกลุ่มอาจารย์จำนวน ๓ คน จากนั้น ก็จะให้เวลาห้าวัน ให้คนทางบ้านโวตช่วยหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออีกสอง ให้เพื่อนในบ้านเลือก
เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ครับ ดังนั้นคนที่ได้ ก็จะมีคุณภาพมาระดับหนึ่ง ไม่ใช่เปิดโวตอิสระให้ทุกคนแบบเมืองไทย (ทำแบบนี้ได้เงินเยอะ อ่ะดิ ๕๕๕)

ที่ผ่านๆ มาก็มีออกเทปกัน เสียงดีทุกคนครับ ไม่ได้ทำแบบไฟไหม้ฟาง

 8) ขอประนามผู้จัดครับที่ "งก"


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 20 ก.ย. 07, 23:57
ผมว่างานนี้ไม่มีใครผิดหรอกครับ

เพราะสิ่งที่ขายไม่ใช่ "ศิลปะ"
สิ่งที่ซื้อก็ไม่ใช่ "ศิลปะ" อีก

ใครที่หวังจะชื่นชมศิลปะก็ต้องเจ็บช้ำน้ำใจไปตามระเบียบ

ใครจะไปรู้ ถามลึกถึงใจคนทำ เขาอาจจะตอบตรงๆให้ฟังก็ได้ว่า

สิ่งที่ทำให้ของขายได้คือ "การตลาด" คุณมาถามหา "คุณภาพ" อะไรแถวนี้ หลงทางป่าวจ๊ะ อิอิ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ก.ย. 07, 00:16
ตั้งใจตั้งหัวข้อว่า แบกะดิน และมีคำว่า ห้าง
เพราะเห็นแต่แรกแล้ว เรื่องพานิชย์ศิลป์ และเห็นว่า จำเป็นต้องถามให้สะเด็ดน้ำว่า...ของห่วยอย่างนี้ ขายแพงอิหยั่งงี้ได้ไง
แจกฟรียังต้องแถมตังค์เล๊ย

คนเราอะนะ เกิดมาทั้งที จิตใจจะทำสิ่งที่เป็นป้ายแปะยี่ห้อให้เลื่องลือ ยังไม่กล้าหาญจะมีเลยหรือ
ที่ผมสงสัย คือการที่มีเจตนาทำแต่ของห่วย นี่ มันเอาความกล้าและปัญญามาแต่ใหน
แต่ละคนที่เกี่ยวข้องก็โตจนหมาเลียก้นไม่ไหวแล้ว
ยังทำมันแต่ของห่วยๆ อยู่นั่นแหละ

ผลดีที่ได้แก่เจ้าของกิจการนั้น คงไม่ต้องเอ่ย เพราะแต่ละหน้าล้วนมีโลหิตหล่อเลี้ยงทั้งนั้น
แต่ผมอยากแสดงความเห็นในฐานะผู้บริโภค ซึ่งหมดทางเลือกในสังคมยัดเยียดอย่างนี้
จะบอกว่าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูก็พูดได้ แต่ผมก็บอกได้เหมือนกันว่า คุณทำของเน่าออกมา ผมก็ต้องโวยเหมือนกัน
เพราะลูกผมเขาเห็น โชคดีที่เปลี่ยนทัน

ทีนี้ มองในภาพรวม การที่ทีวีเอาของเน่ามาออกอากาศ มันก็สะท้อนความเหม็นของระบบรสนิยมสาธารณะไปด้วยในตัว
การที่เรายกย่องสิ่งผิด แทนที่จะตำหนิเราดันไปเชิดชู มันก็อายไอ้ที่มาเลียตูด จริงใหมครับ
แล้วทีนี้ โรคนี้เกิดมานานหรือยัง
แก้ได้ใหม

หรือว่าเราเองแหละ ที่ยึดถือตำราผิด
ที่เขาทำๆ กันตอนนี้น่ะ ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบ.......
คุณเห็นว่าห่วย แต่ที่จริงมันดีอะกั๊บ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 21 ก.ย. 07, 06:12
เห็นด้วย เข้าใจ เห็นใจ คุณPipat ที่หงุดหงิดกับรายการไร้คุณภาพในทีวีไทย  ดิฉันไม่รู้ว่าคุณPipatไปดูรายการไหน  แต่อยากจะบอกว่ารายการที่ดูดีก็มีนะคะ  อย่างรายการ "คุณพระช่วย"  "ชิงช้าสวรรค์"  ไปดูรายการพวกนั้นเถอะ  รายการเหล่านั้นจะได้เคตติ้งดี ๆ แล้วอยู่ได้  รายการที่ไม่ดีโปรดอย่าดูนะคะ  เรตติ้งจะได้ตก  ช่องเขาก็จะหารายการใหม่มาแทนค่ะ  แต่ปัญหาก็คือ  ไอ้รายการห่วย ๆ ที่คุณpipatว่า  เรตติ้งอาจจะยังไม่ตก  แปลว่ามีคนดูอยู่พอสมควร  รายการก็เลยยังอยู่  อันนี้ก็ต้องค้นหาก้นหน่อยล่ะคะว่า  ทำไมคนยังดูอยู่

ประเด็นเรื่อง แบกะดิน ขึ้น ห้าง คุณpipatยกแค่รายการทีวีมาเป็นตัวอย่าง  จริง ๆ แล้วดิฉันว่า  มันระบาดไปทุกวงการทีเดียวเชียวค่ะ  แม้แต่ตัวห้างเองก็กำลังจะกลายเป็นศูนย์รวมสินค้าแบกะดิน ห้างแบกะดิน ไปแล้วนะคะ  ก็ยุคนี่ดูจะเป็นยุคของถูก  แล้วของถูกและดีมีที่ไหนค่ะ  ใครรู้บอกกันบ้างนะคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ย. 07, 09:10
เห็นด้วยกับทุกท่านค่ะ
รายการเดี๋ยวนี้ ยึดสปอนเซอร์เพื่อให้อยู่ได้       สปอนเซอร์จะให้ก็พิจารณาจากเรตติ้ง    รายการจึงต้องทำทุกทางเพื่อเรียกเรตติ้ง 
ทั้งหมดนี้ คุณภาพไม่ใช่เป้าหมาย    เป้าหมายคือความนิยม    แม้เป็นความนิยมกลวงๆ ชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่ว่ากัน


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ก.ย. 07, 14:31
                 ชอบครับ ได้ทั้งอ่านเอาเรื่องและอ่านเอามัน
         ทุกวันนี้ ทุกวงการ ของจริง ตัวจริงเป็นของหายาก มีแต่ของปลอม ตัวปลอมที่เมื่อมันไม่ใช่ ไม่แท้ อายุการใช้งานก็ย่อมสั้น
ไม่นานก็ต้อง expire แต่ไม่รู้หมดเพราะมีของ(ปลอม)รุ่นใหม่ตามมาหลอกขายอยู่เรื่อยๆ

         คนยุคสะดวกด่วน-ตามสบายเข้าว่าถูกมอมเมาด้วยของปลอมจากนายทุนผู้ผลิตจนยากจะหวังให้เขาหันมาเรียน - รู้คุณค่าว่า
ไหนของแท้ของดี   ของแท้ของดีแต่ไม่"โดน" จึงไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควรมีแต่จะค่อยๆ หายไป จะปรับปรุงใหม่ให้ถูกรสนิยมสมัย
ก็จะเป็นกลายเป็นพันธุ์ทางไปไม่ใช่พันธุ์แท้ ของปลอมขายได้เพราะโดนใจจึงครองตลาดไป

          ทุกวันนี้เท่าที่ทำอยู่จึงได้แต่ชี้ชวนบางคนในแวดวงคุยกันบ้างบางเวลาที่เหมาะสม แล้วก็คอยปล่อยวางใจให้เป็นกลาง
มองว่ามันเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งมีเกิด มีเสื่อม มีสูญไปตามกาล
     


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 21 ก.ย. 07, 14:38
ไม่เฉพาะการเอาของไม่ดีมาทำให้มีราคามั้งครับ
ลักษณะและรูปแบบของรายการที่นำเอาคนมาอยู่ร่วมกันในบ้าน
และแอบซุกแอบซ่อนกล้องไว้สาระพัดที่..... ไม่เว้นแม้แต่ในห้องนอน หรือห้องน้ำ
ให้ทั่นผู้ชมทั้งหลายที่อยู่ทางบ้านคอยกดรีโมตทีวีดูพฤติกรรมของคนในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดูๆๆๆๆๆๆ เขา ตั้งแต่เช้ายังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมากินข้าว จนดึกเข้านอนหลับยังไง ดิ้นท่าไหน จะกรนมาคีย์อะไรได้ยินมันหมด
คนที่อยู่ในบ้านไม่ก็รู้ตัวเพราะกล้องมันซ่อนอยู่
แต่คนดูนับหมื่นนับแสนต้องคอยจับตาดู

สำหรับผม รายการแบบนี้ออกจะดูจิตวิตถารอยู่
ที่นำกระแสความอยากรู้อยากเห็นอย่างเกินไปมากจากจากขอบของคำว่าความพอดีมายัดเยียดให้แก่สื่อสาธารณะนะครับ

โถ่เอ๊ย....... เปาบุ้นจิ้นถูกจัดอยู่ในรายการที่เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีควรมีผู้ใหญ่แนะนำ
แต่ทำไมรายการถ้ำมองแบบนี้เขาไม่มีกำหนดไว้บ้างเลยก็ไม่รู้






สำหรับคุณ pakun2k1d
รายการอย่างคุณพระช่วยผู้จัดก็เลือกเอานักวิชาการบางท่านที่เป็นนักวิชาการ "แบกะดิน" ที่พอจะมีชื่อมาขึ้นห้างเหมือนกันนะครับ
เห็นหยิบเอาโบราณวัตถุชิ้นไหนมาพูดทีไร(โดยเฉพาะผ้า)...... คนรู้จักของเขาอยากหารีโมตมากดหนีกันซะเกือบทุกชิ้นครับผม แหะๆ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ก.ย. 07, 15:46
ปัญหาชวนหงุดหงิดใจของผม ไม่ใช่เรื่องความห่วยของรายการทีวี
แต่เป็นเรื่องของการวินิจฉัยและยอมรับในคุณค่า ที่บิดเบี้ยวปราศจากมาตรฐานอันพึงสดับ
แล้วผู้คนเป็นอันมากก็คล้อยตามกันง่ายๆ เหมือนฝูงชีวิตที่ไร้ทางไป ใครจะกวาดต้อนไปทางใหนก็เดินหง็อย
ตามไปอย่างเซื่องๆ แต่ส่งเสียงราวกับตนเองเป็นศาสดารู้แจ้ง

ยกตัวอย่างอีกทีก็ได้ จากรายการอันสูญเปล่ารายการนั้น ที่เปิดเวบให้คนแสดงความรักไคร่ไหลหลง
แต่ก็มีคนสถาปนาตน เป็นผู้รู้ และมีคนคล้อยตาม ไอ้ที่น่ากลัวก็อย่างเช่น เขาบอกว่า
"V8 จงรัก สุเทพ-หนูเจ เจ?
เพลงนี้ง่ายๆมากๆ ไม่มี "มิติ" อะไรเลย ถ้าคุณสุเทพมาเกิดยุคนี้ ต้องไปขายก๋วยจั๊บแน่เลย เพราะร้องก็งั้นๆ
ร เรือ เยอะ ระวังลิ้นพันกัน แค่นั้นเอง แล้วก็ คำว่า นิรันดร์ กับ ปานนั้น มันขึ้นจมูก ต้องใส่ลูกคอนิดนึง
ดังนั้นเพลงนี้ ทำให้มิว ได้เรียนรู้การใช้การสั่นเสียงแล้วล่ะ(ใครจะสอนเนี่ย)
หายใจดีๆ แบ่งวรรคตอนให้ถูก อ้อนๆ ยิ้มตลอด หวานๆ ไม่ต้องแอกติ้งอะไรทั้งนั้น
เดี๋ยวมันจะเกินเพลง ขอบอกว่าเพลงนี้ พวก อบต. ข้าราชการแก่ๆชอบร้อง
ดังนั้น ร้องให้ดีกว่าต้นฉบับก็ไม่ยากเลย"


ผมเองไม่ใชแฟนคุณสุเทพ แต่ผมก็ยังเห็นว่าคุณภาพของเสียงคุณสุเทพนั้น ยากจะหาคนมาสู้ได้
และจะพูดให้เกินจริงสักหน่อยก็ได้ว่า จะมีก็น้อยคนนักที่ร้องเพลงไทยสากลได้ดีเท่า....
แต่คนที่ออกความเห็น ไม่รู้ไปเรียนวิชามาจากสำนักโลกันตร์ใด จึงกล้าออกวินิจฉัยที่ชวนเวทนาถึงปานนั้น
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ดันมีคนชอบ นี่สิครับหายนะ
เราไม่มีทางรู้เลย ว่าความคิดพิลึกแบบนี้ จะไปฝังตัวงอกงามอยู่ที่ใหน อย่างไร
และจะพาอารยะธรรมตกเหวเมื่อไหร่

อย่างไรก้อดี คงมีคนเป็นอันมากที่อ้างสิทธิส่วนตัว บอกว่าข้าชอบของข้าอย่างนี้ จะทำไม
เหมือนเมื่อก่อนมีหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า ฉันรักผัวเขา....เออ เอากะมันดิ แร่ดจริงๆ
จริงอยู่ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางผิด อันนี้เราไม่ว่ากัน แต่ผมเห็นว่า คนอีกจำนวนมาก ไม่ควรโดนบอมบ์บาร์ดด้วยของแสลง
นานเกินไป มากเกินไป จนวิจารณญานพิการ ของเกรด B ก็หลงยึดว่าเป็น A มันจะเสียรู้เขาน่ะนา
คือว่า สนุกกับของชั้นต่ำได้ แต่ต้องรู้ว่า มีดีกว่านี้อีกเพียบ
และต้องยกตัวเองให้ขึ้นถึงของที่เหนือกว่าให้ได้ด้วย อันนี้เป็นเรื่องของหลักวิชาจริงๆแล้วละครับ
ไม่ใช่เรื่องของรสนิยมอย่างที่ชอบอ้างมาปกป้องตัวเอง

การวินิจฉัยคุณค่า มันควรจะน่าเชื่อมากกว่าการมาพูดเอาแต่ได้ในเนต
(อย่างที่ผมเองก็ทำอยู่อย่างเพลิดเพลิน...อ้าว เป็นงั้นไป)
คิดแล้วกลุ้มแทนลูกแฮะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ก.ย. 07, 16:09
ประเด็นที่ชวนให้คิดก้คือ
1 เราไม่รู้หรอกว่า ของเกรด B ต่างจากของเกรด A มากเพียงใด
2 รู้ทั้งรู้ แต่มีคนหลอกเอาของชั้นต่ำมาขายเป็นของชั้นสูง

ยกตัวอย่างต่อก็ได้
เอาที่เข้าใจง่ายๆ ก่อน อย่างละคอนไทยนี่ไง
เห็นอ้างกันนักว่า ต้องทำให้ห่วยๆ เพื่อสนองชาวบ้าน ที่ยังโง่เง่าเต่าตุ่น
นักประพันธ์อุตส่าห์เขียนเรื่องอย่างสุดฝีมือ เพื่อให้แตกต่าง
เพื่อกระตุ้นคนอ่านให้ยกระดับการเสพย์ศิลปะ ยิ่งๆ ขึ้นไป
ผู้สร้างละคอน ดันบอกว่าชาวบ้านรับไม่ได้ดอก กับการวางเรื่องซับซ้อนแหวกแนวอย่างนั้น
แทนที่จะอ้างว่า ฉันทำไม่ไต้หรอก ของที่ต้องเสี่ยงกับการขาดทุน(กำไร)
ฉันขอทำอย่างที่ฉันจะได้ตังค์ แต่พอถูกด่าว่าทำน้ำเน่า...ทีนี้ละ มีข้ออ้างมาเป็นกุรุส

แม้แต่นักวิชาการเอกอุ ยังอุตส่าเขียนเรื่องความล้ำลึกของน้ำเน่า....เอากะเพ่เขาดิ
....ว่าแล้ว ก็จมปรักในน้ำเน่าต่อไป

พอเราหมดทางเลือก ต้องไปดูของต่างด้าว
ซึ่งมีมาตรฐานทางวิชาชีพเหนือกว่าของปลอมที่ไทยทำ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
ก้อ โดนด่าอีก ว่าไม่อุดหนุนของไทย....เฮ้อ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ย. 07, 16:15
ความเห็นที่คุณพพ.ยกมา  เขียนโดยผู้ไม่รู้   หรือรู้ไม่จริง แต่เรียกร้องความสนใจ  ไม่มีค่าควรที่จะยึดถือ
ตำหนิคนที่รู้ไม่จริงไปก็เหนื่อยค่ะ   ไม่ได้อะไรขึ้นมา     เจ้าตัวเขาอาจจะนึกว่าสิ่งที่เขารู้แค่นี้มันกว้างขวางลึกล้ำฉลาดเฉลียวเต็มประดาแล้ว
ถ้าได้คนรู้จริงมาบอกว่า "สิ่งที่จริงและถูกต้อง" คืออะไร  ก็จะดีกว่า  
คนอ่านที่ไม่รู้จะได้รู้ขึ้นมาด้วย
  
ดิฉันยังไม่เคยเห็นนักร้องสมัครเล่นยุคปัจจุบันคนไหนร้องเพลง จงรัก ได้ดีกว่านักร้องเก่าที่อยู่ในยุคเดียวกับเพลง
ทั้งนี้ไม่ได้ตำหนิว่าหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่เก่ง ไม่ดี ไม่มีฝีมือหรือไม่มีเสียงที่ดีพอ  แต่เห็นว่าการฝึกฝนไม่เหมือนกัน   พื้นเสียงที่แตกต่างกันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
ไม่ต้องอะไร จะฝึกให้หนุ่มสาว ออกเสียง ส ให้ชัดเจน  ไม่ให้ออกมาเป็น sh หรือ ch  
ไม่ให้ออกเสียงวรรณยุกต์จัตวาเพี้ยนเป็นวรรณยุกต์ตรี ฯลฯ  
ก็ยากมากแล้วละค่ะ  


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 21 ก.ย. 07, 17:02
อ่านกระทู้พระเจ้าตา PP แล้วมันยิ่งกว่ากินแห้วครับ เพราะนอกจากมันแล้วทั้งดุ ทั้งเด็ด และยังเผ็ดด้วย

ผมสารภาพว่า ไม่ได้ดูรายการล่าฝัน หรือเข้าบ้านอะไรทำนองนี้เลย แต่ผมทราบว่ามีหลายคนดูและติดอย่างงอมแงม เคยดูหนเดียว หลงแวะไปเยี่ยมบ้านเพื่อครอบครัวหนึ่งตอนที่ทีวีออกอากาศรายการพวกนี้อันหนึ่งพอดี แต่ผมไม่รู้จะกรี๊ดใคร เพราะไม่เคยดู เวลาแฟนๆ เขาคุยกันผมก็ต่อไม่ค่อยติดว่า วีอะไรต่อวีอะไรที่เขาว่าน่ะ ใครเหรอ?

สมัยผมเป็นเด็กๆ รู้จักแต่ไอ้มดแดงไรเดอร์วี 1 วี 2 มดเขียววี 3 มดดำวี 4 ... ฯลฯ ครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 21 ก.ย. 07, 17:39
ยังมี v1-immunitor อีกตัว ดังกระฉ่อนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี่เอง  :P


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 21 ก.ย. 07, 22:56
โอโฮ้  คุณติบอโดนใจมาก ๆ ค่ะ  ดิฉันน่ะติดใจอยู่นานแล้ว  แต่ไม่กล้าแย้มพราย  ความที่ดิฉันเป็นคนชอบเรื่องผ้าไทยมาก ๆ แต่ศึกษาไม่มากนัก  ขนาดศึกษาไม่มากยังรู้สึกตะหงิด ๆ  หรือบางทีเรายังศึกษาไม่พอ  หรือเรารู้ไม่จริงหว่า

ที่จริงก็รู้สึกว่ารายการ "คุณพระช่วย" เป็นรายการ ฉาบ แล้ว ฉวยเอามาโชว์อยู่มากเหมือนกัน  แต่ก็อย่างที่คุณpipatว่า  มันมีทางเลือกอยู่ไม่มาก 

เอาอย่างนี้ดีไหมค่ะ  ความที่ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยดูทีวี  อยากได้คนช่วยแนะนำรายการทีวีที่ดี  มีประโยชน์ในระดับที่พอรับได้มาชวนกันชมหน่อย เพราะอย่างดิฉันดูทีวีก็ต่อเมืออ่านหนังสือไม่ได้ เช่น เวลาทำงานบ้าน  หรือบางทีก็พยายามจะดู  เพราะอยากรู้ว่าเด็กสมัยนี้เขามีอะไรดูกันบ้าง  ดูแล้วก็อึดอัด หงุดหงิด ไม่ล่ายหลั่งใจ  ไม่มีอะไรดู  ก็รบกวนชวน ๆ กันดูนิด  เพราะรู้สึกว่ารายการดี ๆ จะไปอยู่ในเวลาที่คนดูน้อย ๆ ค่ะ

ขอแสดงความอึดอัดอีกนิดค่ะว่า  ทุกวันนี้หาพิธีกรรายการดี ๆ รู้จักฟัง รู้จักตั้งคำถามดี ๆ ยากจริง ๆ ดูพวกรายากรข่าว วิเคราะห์เจาะลึกเมื่อไหร่จะโหยหาถึง คุณพิชัย วาสนาส่ง  อาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล คุณสุทธิชัย หยุ่น ทุกที  อย่างดีของทุกวันนี้ก็ยังห่างชั้นท่านเหล่านี้จริง ๆ แต่ก็อยากให้กำลังใจ  ไปให้ถึงมาตรฐานนั้นนะคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพื่อนพระเอก ที่ 21 ก.ย. 07, 23:31
ในความคิดผม ผมรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ก็รู้กันดีนะครับว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม แต่จะด้วยหลักการตลาด รสนิยมคนดู ช่วงเวลา หรืออะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่ว่าจึง "เต็มใจ" หันไปเลือกของปลอมและเมินของจริง อย่างล่าสุดละครชุมแพของช่อง 7 นั่นก็ห่วยมากๆ ไม่ว่าจะบท โปรดักชั่น นักแสดง ฯลฯ เรียกได้ว่าห๊วยห่วย แต่คนดูกลับมีเยอะมากๆ เห็นว่าเรตติ้งพุ่งไปถึง 20 กว่าด้วยซ้ำ ผมเองก็ดูเหมือนกัน แต่ที่ดูไม่ใช่ว่าชอบหรอกนะครับ แต่ดูเพราะมันห่วยนี่แหละ ดูแล้วก็ขำ แล้วก็ด่าไปตามเรื่องตามราวว่าทำไมมันห่วยได้ใจยังงี้ฟะ

อย่างรายการนักล่าฝันนั้น ความจริงก็รู้ทั้งรู้ว่ามีบทแซมอยู่ แต่ไม่มีอะไรดูก็เลยดูไปเพลินๆ ขำๆ อีกอย่างคนในบ้านนั้นเขาก็รู้นะครับว่าตอนนี้กล้องจับเขาอยู่หรือไม่ เพราะถ้ากล้องตัวไหนออนแอร์จะมีไฟขึ้นที่กล้อง นั่นจึงมีฉากดราม่าเช่นร้องห่มร้องไห้ หรือทะเลาะกันมาออกอากาศให้คนได้เห็น

คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเคารพอาชีพตัวเองสักเท่าไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร นักแสดงก็เหมือนกับเชื่อว่าการแสดงดีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ตัวเองดังได้เสมอไป นักร้องก็ไม่ได้แปลว่าต้องร้องดีถึงจะมีชื่อเสียง แต่มันมีองค์ประกอบมาเสริมส่งอีกมากมายหลายอย่าง อาจเพราะยังงี้มั้งครับถึงเรียกกันว่าวงการมายา คือมายามันทุกอย่าง ไม่มีคำว่าจริงแม้แต่รายการที่บอกไว้ว่าเป็นเรียลิตี้ เพราะถ้าเลือกจะเป็นนักแสดง เล่นดีแต่ไม่มีคนดู แบบนั้นต่อไปก็คงไม่มีคนจ้าง เพราะอาชีพนักแสดงย่อมต้องแสดงให้คนดู เป็นนักร้องเสียงดีแต่ไม่มีคนฟัง แบบนั้นจะเป็นทำไมในเมื่ออาชีพนักร้องก็มีเพื่อร้องให้คนฟัง อย่างนักร้องที่ทำเทปขาย ถ้าเทปขายไม่ออกอนาคตก็คงจะสั้นแน่ๆ เพราะเทปชุดหนึ่งลงทุนกันเป็นล้าน แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจะอยู่ในวงการได้นานแค่ไหน ในเมื่อได้เข้ามาแล้วทุกคนก็ล้วนแต่อยากจะมีชื่อเสียงและอยู่ได้นานๆ กันทั้งนั้น เรื่องนี้พูดยากจริงๆ นะครับผมว่า

แต่ก็ไม่ใช่ดารานักร้องจะเป็นอย่างที่ว่าทุกคนนะครับ เพราะเท่าที่เคยสัมผัสมา ก็มีคนที่ให้เกียรติอาชีพตัวเอง และพยายามจะเป็น "ของจริงที่ขายได้" อยู่ไม่น้อยเหมือนกันครับ  8)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 21 ก.ย. 07, 23:47
จะเล่าให้ฟังว่าของปลอมเป็นอย่างไร  ในรายการพระเจ้าช่วย .....โอ้ม่ายรอด
วันหนึ่งเธองัดหนังสือพิมพ์ของราชการไทยเล่มแรกมาเล่า คือราชกิจจานุเบกษา
เธอ"ควัก"ออกมา กางพรื่ด แล้วชี้ชวนว่าหนังสือนี้เก่าแก่อย่างไร เป็นสิ่งพิมพ์มีค่าเพียงใหน
ผมก็นั่งดูด้วยความสนใจ พลางนึกว่า เมื่อไรจะหยิบเล่มจริงมาอวดเสียที
เปล่าครับ ....เธอชี้สมุดเล่มน้อย บางๆ มีสักแปดเก้าสิบหน้าได้ เก่าคร่ำคร่า
บอกว่า นี่แหละราชกิจจานุเบกษา.....โอ้ย ถ้าเป็นพ่อจ๊กม๊กหม่ำพูดละก้อ ผมจะปลื้มกว่านี้
ว่าอุตส่าห์ไปรู้ประวัติความเป็นมา เล่าได้เป็นต่อยหอย

แต่นี่เป็นคุณแพรว ซึ่งมีชื่อเลื่องลือว่ารู้ของเก่า
ทำไมจึงไม่รู้เลย ว่า เจ้าเล่มบางๆที่เธอควักมาอวดน่ะ เป็นการพิมพ์ใหม่
มีเจ้านายท่านหนึ่ง เห็นว่าราชกิจจาฯ รัชกาลที่ 4 หาฉบับยาก ที่มีก็ผุฟัง ไม่นานคงจะสูญ
ท่านจึงให้เรียงพิมพ์เนื้อความที่รวบรวมได้ขึ้นมาใหม่ สำหรับแจกคนในวงจำกัด เมื่อกลางรัชกาลที่ 5
เป็นเล่มขนาดแปดหน้ายกเล็ก

ส่วนราชกิจจานุเบกษาของจริงนั้น
เป็นอลังการของงานพิมพ์แห่งประเทศสยาม เล่มโตเท่าไทยรัฐพับครึ่ง ตัวเรียงงดงาม
ตราแผ่นดินที่พิมพ์เป็นหน้าเบิกเล่มนั้น งดงามคมชัด เนื้อกระดาษหนา มีน้ำหนัก
นักเล่นหนังสือ หากว่าได้ครอบครอง เป็นไม่ยอมให้ไอ้หน้าใหน มาพลิกจิ้ม
โยกไปโยนมาอยู่หน้าจอทีวี ราวคนไม่มีสกุลรุนชาติ

เขาต้องเอาขึ้นขาหย่าง  กางออกให้กระดาษมีสุขภาพสมบูรณ์
สป็อตร้ายของห้องส่ง อย่าหวังได้มาลามเลีย ให้เกิดสันดาบแก่สมบัติล้ำค่า
คนเชิญมาก็ต้องนุ่งขาวห่มขาว....เอ้ย ไม่ถึงอย่างนั้น แค่นุ่งถุงมือขาว
มีผ้าปิดน้ำลาย จะได้ไม่กระเซ็นมาโดนของสูง
และคนที่มีสิทธิ์หยิบจับสิ่งของนี้ได้ ต้องจบสาขาวิทยาศาตร์การอนุรักษ์
หาไม่ก็ต้องเป็นนักเลงหนังสือระดับเอกอัครบรรณารักษ์เรียกท่าน

เฮ้อ ...ทำไมมีแต่ของปลอม คนปลอมหนอ
แบกะดินอนาถาเสียจริง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 22 ก.ย. 07, 00:06
เหตุผลของคุณเพื่อนพระเอก เป็นเสมือนเกราะคุ้มภัยให้กับพวกสมัครเล่น
เมื่อเร็วๆนี้ มีละคอนออนแอร์ของเจ้าไก่ ซึ่งไปลากเจ๊นักร้องมาขึ้นตะแลงแกง
การแสดงที่ออกมา ก็พอรับได้ แต่ ที่เธอบันจงไปขุดมานั้น นับไปก็เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น
แต่ผมดูด้วยความพิศวง ว่าแต่ละคนยังทำเหมือนเป็นเด็กฝึกงาน
เริ่มตั้งแต่เจ้าไก่ ที่คิดยังงัย จึงไปขุดโบราณวัตถุมาเล่นบทนางงาม
ก็นางงามนี่ เขาไม่ถึงกับห้ามคนวัยสี่สิบเข้าประกวดดอก....จริงใหม
แต่อย่าเอาพะโล้ติดตัวมาด้วย.....ฮา

คุณจินตะหรานั้น หากว่าเคยเป็นดารา ก็เป็นสมัยอดีตกาลนานโพ้น จนป่านนี้ก็ยังออกเสียงอยู่ในลำคอ
ไม่สมกับความผ่องของใบหน้า...แต่ แม้...ไม่นึกว่าเธอจะท้วมได้ขนาดนี้

เอาละ จะเอ่ยถึงของดีในละคอนนี้ คือคุณจารุณี เพียงเธอปรายตา อย่างคนที่รู้ว่าเป็นรอง
แววน้อยเนื้อต่ำใจฉาบฉาบอยู่ทุกร่องรอยบนใบหน้า ผมไม่เคยเห็นยอดดาราอย่างนี้มาตั้งแต่คุณเมตตาเธอเกษียณ
อย่างไรก็ดี ละคอนนี้ ก็จะต้องประสบความสำเร็จ และได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่ขึ้นหิ้ง

และจะเป็นคำตอบโยนใส่เพื่อนพระเอกว่า...ผมไม่รับดอกครับ คำแก้ตัวที่ซ้ำซากอย่างนั้น

ในโลกที่หมดทางเลือกอย่างประเทศนี้ ห่วยก็คือห่วย ห่วยไม่มีทางมาเผยอเทียบดีได้ และดีก็รอดได้ ถ้ารักดี
ส่วนช่องที่มีสีเท่ากับวันในสัปดาห์นั้น ท่านได้ผูกขาดการกระจายภาพของประเทศมาหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว
หมดเวลาทำเล่น ผลิตเป็นแต่ของปลอมแล้ว ท่านต้องทำของจริงเสียที......ชาวบ้าเซ็งง่ะ
แล้วชาวบ้านที่ท่านชอบอ้างมารับผลกรรมห่วยๆ น่ะ
ตายไปหลายรุ่นแล้วครับ แต่ท่านก็มอมรุ่นใหม่ ให้ดักดานเหมือนรุ่นที่ผ่านไป สำเร็จสมความปรารถนา

เฮ้อ.....เงิน เงิน....เงิน


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพื่อนพระเอก ที่ 22 ก.ย. 07, 00:15
เป็นไปได้ไหมครับว่า หรือความเชื่อของคนสมัยนี้คือ...ของปลอมที่ขายได้เรียกว่าของจริง ส่วนของจริงที่ขายไม่ได้ คือของปลอม ถ้าเป็นอย่างนี้จะแก้ที่ไหนก่อนดีละคับ ยากไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย  :-\


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 22 ก.ย. 07, 01:22
ช่างแต่งหน้าละครคนหนึ่งเคยพูดกับผมว่า


"เธอไม่รู้อะไร หนังช่อง... น่ะ เขาสั่งลงมา
เรื่องดีแค่ไหนแต่ไม่แต่งหน้า.... เขาไม่ซื้อ"



ฟังเข้าไปทีเลยอนุมานเอาได้ว่าละครช่องนี้สีสันคงไม่ได้สำคัญที่บท หรือความสามารถของนักแสดง
แต่อยู่ที่สีบนหน้าต่างหาก ใครตกกระด้งแป้งได้บ่อยกว่า........ กันตนาจ้างไม่เลิกครับ




ปล. ถึงคุณpakun2k1d อีกซักรอบครับ
สำหรับผมเอง กดไปดูรายการคุณพระช่วยครั้งแรกในชีวิต ก็เจอคุณสุภัทรา ออกมาขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์แจส
คู่กับวงดนตรีไทย
อ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมก็ดูไม่ผิดเหมือนกัน ทั้งระนาด ทั้งตะโพนวางหราอยู่บนเวทีแบบนั้น
จำได้ว่าครั้งนั้นนั่งจ้องจออยู่ได้ซักสามวิพอจะได้ยินเสียงหวานๆที่ปกติมักจะเคล้าไปกับเปียนโนของคุณดนู อย่างเพลง "เพลงราตรี" หรืออีกหลายๆเพลงของคุณสุภัทรา
แต่ครั้งนั้นมาคู่กับเสียงตะโพนแทน แถมพิธีกรยังอวดว่า "เป็นครั้งแรกของโลกที่มีการบรรเลงบทพระราชนิพนธ์แจส กับวงปี่พาทย์"
ผมก็เลยได้แต่ร้อง "คุณพระช่วย" ออกมาแล้วกดไปดู UBC ช่อง discovery ต่อ


ส่วนอีกครั้งนึง กดไปเจอเขาแข่งกันวาดภาพไทย โดยให้วาดภาพจากเสียงเพลง
ก็มีเพลงอะไรสักอย่างที่คล้ายๆจูบเย้ยจันทร์ลอยออกมา แล้วขอบจอก็มีคำว่า "แขกมอญบางขุนพรหม" ปรากฏขึ้น
ผู้เข้าแข่งขันก็แข่งกันไปเรียบร้อย จนตอนตัดสิน กรรมการตัดสินให้คนที่วาดภาพนกกำลังจู๋จี๋กันชนะ
เพราะเหตุผลว่า "เพลงนี้เป็นเพลงที่มีสำเนียงสนุกสนาน ชวนให้นึกถึงคู่รักในอารมณ์หวานชื่น"
เลยได้ร้อง "คุณพระช่วย" เป็นหนที่สองก่อนจะรีบไปควานเอาตำราเนื้อเพลง - ชื่อเพลงมาเปิดดูใหม่อีกรอบ
แขกมอญบางขุนพรหมทั้ง 3 เนื้อตามที่จำได้ พลายชุมพลอันนึง ขุนแผนขอโทษแก้วกิริยาหลังเข้าห้องผิดอันนึง กับ พลายงามลาศรีมาลามาบอกพ่อให้ไปขอเมียอีกอันนึง
ดูแล้วถึงจะคู่รักก็รักแอบเศร้านะครับ แล้วไหนล่ะ..... สนุกสนานของคุณกรรมการ ?


หลังจากนั้นก็เลิกศาลาไปกับรายการนี้โดยปริยายครับ ขี้เกียจอุทานเป็นชื่อรายการซะทุกเบรค
เหนื่อยใจ....... เด็กไทยหลายคนที่ดูไป ถ้าเชื่อถือ ยึดมั่นไปตามนั่นล่ะ..... จะหมดอนาคตมั้ยน้อ





ปล.2 วันก่อนผมกดไปเจอรายการนำเที่ยวอีกช่องหนึ่ง พูดถึงจิตรกรรมรูปทวารบาลไว้ 5 หรือ 6 ครั้ง ผู้ดำเนินรายการก็อ่านออกเสียงมาเป็น "ทะ - วาน - บาน" หมดทุกครั้ง อันนี้ฟังแล้วก็ปวดหัวไม่แพ้กันครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 22 ก.ย. 07, 10:52
 ;D ;D ;D
ratingและที่มา
มีบริษัทรีเสิชเก่าแก่บริษัทหนึ่ง เอาไอ้เครื่องมือจดบันทึกการดูไปตามบ้านใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่บ้านเราน่ะแหละ ในบรรดากลุ่มตัวอย่าง บ้านเหล่านี้จะเข้าข่ายกลุ่มรายได้ซึ่งจัดเป็น a b และ c ซึ่งมากหน่อย
สามารถแยกย่อยเป็นadult, ชายหรือหญิง อายุ จำนวนบ้านเหล่านี้ เอามาคำนวณแบบมีสูตร เพื่อหาว่าแต่ละรายการ ละคร ข่าว เกมโชว์ มีคนดูในกลุ่มอายุ กลุ่มรายได้นั้น กี่คน
แล้วออกมาเป็นเรตติ้ง
จะว่าไปแล้วดิฉันก็ไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
ไอ้กล่องนั่นก็จะบันทึกว่าบ้านเหล่านี้ เขาดูรายการอะไรกันบ้างด้วย
...
ลูกค้าบางราย จะเอาความคิดของตัวเป็นใหญ่ รายการนี้ชั้นไม่ดู อย่าเอาโฆษณาลงนะ รายการนี้ช้อบ ชอบ ลงด้วยนะ บรรดาmedia plannerจึงต้องอาศัยข้อมูลจากบริษัทรีเสิชซึ่งซื้อขายกันเป็นแสนๆ มาประกอบ
ลูกค้าบางรายถึงกับระบุว่าในแผนต้องมีข้อมูลนี้ประกอบ
เราจึงเห็นโฆษณาของลูกค้าที่มีเงินเยอะๆในรายการที่เราไม่ค่อยอยากดู



กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 23 ก.ย. 07, 17:07
บรรยายความเรื่องน้ำเน่า(แต่ไม่เกี่ยวกับเงาจันทร์ :D)
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1649.0
 ;) ผมเข้าใจว่าจะพูดเรื่องที่ อ.พิพัฒน์สาธยายมาตอนต้นๆครับ
ส่วนเรื่องเพลงไทยเดิมนี้ ผมยังไม่มีความรู้พอจะสาธยายได้อย่างหลายๆท่านครับ
เวลาดูรายการคุณพระช่วย ก็เลยได้แต่คล้อยตามเขาว่าครับว่าเป็นยังไง
รายการนี้ถือว่าเป็นรายการที่ดี แต่อย่างที่หลายๆท่านบอกว่ายังมีข้อบกพร่องหลายประการครับ
แต่...ก็น่าคิดเหมือนกันครับว่าเขาจะแก้ไขอย่างไร เพราะรายการอย่างนี้
โอกาสที่จะมีคนทักท้วงจนดังอย่างเรื่องชุด นศ.,แอ๊บแบ๊ว,ภาษาแชต,รับน้องเขย่าขวัญ(แต่ทีรับน้องดีๆ สื่อกลับไม่ประโคม >:(),ฯลฯ น้อยยิ่งนัก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ย. 07, 17:29
กลับไปอ่านกระทู้เก่าๆ เพลินดีเหมือนกันค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 23 ก.ย. 07, 18:04
ขอบพระคุณครับ อ.เทาชมพู และขออภัยทุกๆท่านด้วยนะครับที่เข้ามาโดยมิได้ทักทายก่อน
เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องฝอยตะเข็บมาตอนต้นๆ ครับผม เนื่องจากกระผมโพสต์ไม่ทัน
1.ตอนเด็กๆ ผมก็เคยดูรายการพวกนี้ (เช่น เดอะสตาร์ 2 โครงการแรก) ส่วนเอเอฟนั้น ผมไม่ได้ดูครับ ทราบแต่ผลการประกวดซึ่งสื่อชอบเอามาประโคมเสียจริงๆทั้ง 4 โครงการ
แล้วเราก็รู้ว่า คนที่ไม่ได้อันดับ 1 นั้น ดังกว่าคนที่ชนะเลิศเสียอีก อีกทั้งมีงานต่างๆ เข้ามามาก
หลายๆท่าน หากสังเกตเรียลิตี้พวกนี้ดีๆ จะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง...แต่ก็ไม่พ้นเรื่องเอาเงินเข้ากระเป๋าอยู่ดีแม้จะอยู่ในระหว่างประกวดหรือประกวดจบไปแล้ว(แม้แต่ก่อนประกวดก็ยังมีอีก โดยเฉพาะปีนี้)
บางครั้ง ก็น่าเอือมระอา แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่คนออกตังค์ :(

2. คิดว่าหลายๆท่านคงได้ยินเรื่องแผนที่ลิ้น ที่ว่าบริเวณลิ้นจุดนั้นจุดนี้นั้นรับรสอะไรหรือเปล่าครับ
จะเข้ากับเรื่อง ท่านผู้รู้ในรายการคุณพระช่วยเสนอข้อมูลผิดๆ หรือเปล่าครับ ???
(มีต่อครับ ในโอกาสต่อไป)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 27 ก.ย. 07, 16:13
ได้ดูละครเรื่องที่คุณพพ.พูดอยู่คืนหนึ่งค่ะ ฝีมือแต่ละนางเหลือร้าย ทั้งนันทิดา จารุณี และจินตะหรา ซึ่งคิดไงไม่ทราบทิ้งบทกุลสตรีมาร้ายแต่ก็ร้ายได้ไม่แนบเนียนเท่าไหร่ นันทิดานั้นงดงามในบทนางเอกน้ำเน่า จารุณีก็เล่นดีเหลือใจ แค่ถอนใจทีเดียวก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร น่าจะมอบปริญญาศิลปะการละครให้เสียเลย
เจ๊ไก่ตีบทกระเทยได้ไม่กระจุย อีตารูปหล่อฉัตรชัยก็ลอกแบบขุนแผนแสนเลวมาเลย(แบบไม่มีส่วนดีเลยน่ะ)ส่วนนายป้องนั่นก็เล่นได้ดีมาก ยกรางวัลให้ไปเลย
ไปอ่านเนื้อเรื่องอันเน่าสนิทแล้วกลุ้ม..ทำไมโง่กันได้ทั้งเรื่องก็ไม่รู้..ผู้ชายไทยเรา


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 27 ก.ย. 07, 18:15
จารุณีเป็นคนที่จะบอกว่าโชคดีก็ได้ โชคร้ายก็ได้
เธอเคยมาฝึกมือเพื่อจะเข้าเรียนมัณฑนศิลป์....น่าเสียดายที่เธอมาก่อนยุคอาจารย์เลียดารา
เธอน่าจะเป็นเด็กสาวที่คนไทยรักไคร่มากที่สุด แต่เธอก็เจอสะพานฟาดหน้าจนแทบไม่รอด

ผมนับถือเธอ ที่ไม่ยอมหยุด ถึงกับไปเรียนและเล่นละคอนเวที(สด)
มาถึงวันนี้ อยากจะยกรางวัลยอดดาราหมายเลขสองให้เธอ
(หมายเลขหนึ่ง ยกให้เจ๊พิศมัยไปแล้ว)

เห็นเธอเล่นเรื่องนี้แล้ว ขอบอกว่า ราวกับนางสีหราช มาปนอยู่กับหมู่มุกสิกจริงๆ
คือคนอื่นๆ ก็เหมือนแบกะดินขึ้นห้าง
มีแต่เธอคนเดียว ที่เป็นเพชรในตม


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 27 ก.ย. 07, 23:26
คุณpipatลำเอียงหรือเปล่าคะ  เทใจไปให้จารุณีเต็ม ๆ   ดิฉันน่ะตั้งใจรอดูละครเรื่องนี้เลยนะคะ  ตอนที่ฉายตัวอย่างให้ดู ยังนึกชมคุณไก่อยู่ว่า  ช่างไปหยิบมาทำได้โดนใจจริง ๆ เพราะว่าเพลงลูกกรุงรุ่นนี้หายไปเลยนะคะ  เพลงลูกทุ่งยังมีคนหยิบมาทำ  ทั้งรายการ "ชิงช้าสวรรค์" "ตีสิบ" ซึ่งทั้ง 2 รายการทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว  แต่ลูกกรุงไม่เห็นเลย  ดาราเรื่องนี้ก็ได้ชื่อว่าระดับฝีมือทั้งนั้น  นักร้องก็เป็นคุณนันทิดา  ซึ่งไม่ได้ยินเธอร้องเพลงมานานแล้ว 

ดิฉันได้ดูละครเรื่องนี้ 2 ครั้ง  แต่ละครั้งไม่เคยดูจนจบตอน  ไม่วิจารณ์ให้เสียเวลาอ่าน"เปิดกรุดาราฮอลลีวูด"  ตอนนี้ก็คงได้แต่รอดูว่าจะจบเมื่อไหร่  เผื่อว่าเรื่องใหม่จะมีอะไรน่าสนใจค่ะ 

ช่วงนี้ไม่มีละครที่น่าสนใจ ก็อยากชวนทุกท่านไปให้กำลังใจรายการ "ตัวจริง ชัดเจน" ของTITV  ซึ่งต้องส่งใจช่วย คุณจอม เพชรประดับ พิธีกรของรายการกันหน่อยนะคะ  เพราะดิฉันเองรู้สึกว่าเธอยังขึ้น ๆ ล่อง ๆ อยู่  บางวัน บางประเด็น เธอก็ดำเนินรายการได้คม  ใช้คำถามได้ดี  บางวันเธอก็ถามโดดไปโดดมา แต่ก็ถือว่าเป็นมือใหม่ที่น่าให้กำลังใจค่ะ  หรือรายการของ ทีวีบูรพา ทางช่อง 9 ก็ดีนะคะ  ไม่ว่าจะเป็น"จุดเปลี่ยน" "คน ค้น คน" "กบนอกกะลา" "ปราชญ์เดินดิน" รายการเหล่านี้จะได้มีเรตติ้งดี ๆ  สปอนเซอร์จะได้เยอะ ๆ มีสตังค์มาพัฒนารายการให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น  แล้วเราจะได้มีรายการดี ๆ ดูกัน  อ้อ... รายการ "ชีพจรโลก" ของ คุณสุทธิชัย ทางช่อง 5 ดูเมื่อไหร่ก็ได้ปัญญางอกเงยทุกที

อีกนิดนะคะ  ดิฉันว่า ยุคนี้หา"ตัวจริง ชัดเจน" ยากค่ะ  ก็อยากชวนช่วยกันยกระดับ ประเภทตั้งใจจริง แทนนะคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 27 ก.ย. 07, 23:43
อาจจะต่างกับอีกหลายท่าน
แต่โดยส่วนตัวผมกลับไม่รู้สึกประทับใจในผลงานเพลงของคุณนันทิดาจากภาพยนต์เรื่องนี้ซักเท่าไหร่ครับ
ฟังแล้วแต่ละเพลงเหมือนว่ามันไม่ใช่ "เพลงของเธอ"
ร้องออกมาแล้วไม่เหมือนเพลงสากลอีกหลายๆเพลงของเธอที่ผมเคยฟังและประทับใจ

ไม่ได้บอกว่าเธอร้องไม่ไพเราะ หรือเสียงไม่ดีนะครับ
แต่ฟังแล้วอารมณ์มันขาดๆไปกว่านักร้องอีกหลายท่านที่เคยร้องเพลงนั้นๆมาแล้วยังไงก็ไม่ทราบครับ




ปล. ฟังเพลงของคุณนันทิดาชุดนี้แล้วนึกถึงตอนป้า Barbra ยก broadway album ตอนปี 1985 มาร้องใหม่ยังไงไม่รู้
เสียงป้าดีนะ.... แต่หลายเพลงร้องไปแล้ว "มันไม่ถึง" อ่ะป้า.......

แต่ถ้าเทียบป้าตู่กับป้า barb..... ป้าตู่สอบตกครับผม


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 ก.ย. 07, 00:26
ชอบที่คุณ ติบอ เล่าเรื่อง แข่งขันวาดภาพไทย
ยิ้มได้ทั้งวันเลยค่ะ

นกจู๋จี๋กัน   สงสัยจะร้องจู้ฮุกกรู...จู้ฮุกกรู


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 28 ก.ย. 07, 00:30
ผมมันหลงง่ายครับ
อยากเห็นดาราอย่างจารุณีมานานแล้ว ตั้งแต่เธอเลิกเตะผู้ร้าย แต่ละครั้งที่เธอเล่น
ไม่เคยมีตัวเธออยู๋ในบท มีแต่ตัวละคอน

คนที่เล่นต่ำคุณภาพที่สุดผมยกให้คุณนันทิดา เธอใชตาไม่เป็นเลย
รวมทั้งคนอื่นๆ เกือบทั้งหมด ล้วนแต่พกตาปลาตายมาเข้าบท แข็งทื่อไม่มีแวว
ยังสู้ลูกสาวคุณพิศาลไม่ได้เลย

คุณจารุณี สามารถใช้การเหลือบตาลงนิดเดียว ถ่ายทอดความขมขื่นในใจออกมาได้
ผมก้อหลงอ่ะสิ

รายการของเวิร์คพ้อยท์ และตีวีบูรพา ผมไม่ชอบเลยครับ
ฟากหนึ่งก้อมืออาชีพซะเหลือเกิน ฟากหนึ่งก็เด็กนักเรียนเสียยิ่งกว่า หาจุดพอเหมาะไม่ได้
ผมกลับไปชอบคุณผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำรายการนำเที่ยว ทางช่อง 5 แต่ไม่ถึงกับโปรดปราน
เพียงแต่คิดว่า เธอทำงานสมกับเวลาที่เราเสียให้เธอ

แต่รายการทั้งหมดที่รับประทานเวลาท่านผู้ชมอยู่มนปัจจุบัน
ยังไม่มีใดเทียบกับที่คุณสมเกียรติเธอทำ "ใต้ทะเลไทย" ได้เลย


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ก.ย. 07, 08:53
เล่าเรื่องหนูจารุณีให้คุณพพ.ฟังดีกว่า
ตอนที่ดิฉันเริ่มงานโฆษณาใหม่ๆ เห็นเด็กคนนี้ก็รู้ว่าดังแน่ เพราะอีหนูแกครบเครื่อง
young and talented ..อันนี้แน่นอน
สวย...แบบสาวข้างบ้าน ปนลูกครึ่ง น่ารักมากกว่า
ทะมัดทะแมง...ดูแก่นคล้ายเกศริน ปัทมวรรณแต่โลโซกว่า
เสียงดี..มีชัยไปอีกครึ่ง พูดไทยชัด มีควบกล้ำ
ดูจน..(และจนจริง)อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญของการเป็นนางเอกหนังไทยชนะใจประชาชนมาหลายยุค
ดูฉลาด..
เรามีแบรนด์ไทยใหม่ที่คุณภาพดี อยากจะแจ้งเกิด เพราะตอนนั้นเราขายรองเท้าให้ไนกี้ในเมืองไทย หัวหน้าใหญ่ดิฉันพัฒนาจนได้ยี่ห้อว่าแพน จะหาคอนเส็ปท์โฆษณา
ท่านก็คิดคำมาหลายคำ
ดิฉันก็ว่าดีๆทั้งนั้น แต่สำคัญที่ดิฉันเสนอจารุณีเป็นนางแบบค่ะ เพราะเชื่อว่าเธอเป็นดาวรุ่งแน่ มีแต่จะขึ้น
ท่านเลือกดอน สอนระเบียบ ดิฉันเลือกจารุณี
อะไรหลายๆอย่างประกอบกันด้วยmarketing mix แบรนด์จึงค่อยๆเติบโตเข้มแข็ง
แต่วันนี้ไม่ทราบนะคะ ว่าไปถึงไหน..


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ก.ย. 07, 09:03
พันคำและภรรยาเอาจารุณีมาเลี้ยง ให้เงินเดือนและให้เรียนหนังสือ รายได้ค่าตัวเข้าบริษัท ถึงเธอจะมีหนังและโฆษณาเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็อยู่แบบลูกจ้างกึ่งลูกบุญธรรม รุ่งสุดขีดอย่างไร ก็มีตก..
ทั้งสุขภาพ และความรัก..งงๆกับชีวิต รักดี ชอบศิลปะ คิดจะเป็นนักตกแต่งภายใน จะเรียนมัณฑนะศิลป์ ศิลปากร อุตส่าห์ติว  แต่ก็สอบไม่ผ่าน
อดเรียน
มีความหมองเศร้าผ่านมาในชีวิตมากมาย จนได้มาเจอคุณอัจฉราพรรณ แล้วก็ช่วยกันตามหาพ่อ โดยอาศัยรูปหนึ่งใบจากแม่ที่เป็นกรรมกรทำงานเลี้ยงลูก
ที่น่าเวทนาคืออีตาพ่อซึ่งเป็นฝรั่งเศสให้พิสูจน์ยีนส์อีก (ตอนนั้นไม่ทราบอาจารย์คล้ายอัปสรรับตรวจหรือยัง)
แต่ก็ผ่านด้วยดี
ชีวิตจึงเป็นยิ่งกว่านิยาย ..บ้านทรายทองเสียอีก..
ให้รับบทผกา ..หมูมาก
..
คุณพพ.เรียกนันทิดาสาวผมงามว่าป้าตู่เชียวเหรอคะ
แหม..โหดจัง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ก.ย. 07, 09:14
ตอนดังสุดขีด จารุณีเกิดวิญญาณปฏิวัติ ผละจากอ้อมอกพันคำ จากนั้นรับงานที่ไม่ส่งเสริมเธอเลย ก็เลยมีการตัดสินใจแปลกๆ ไม่เอื้อต่อชีวิตการแสดง
พอๆกับเอลวิส พอหลุดจากผู้พันทอม พาร์คเกอร์
เฮ้อ.. คนดัง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 28 ก.ย. 07, 09:30
เท่าที่ดิฉันทราบ คุณนันทิดาเธอเป็นนักร้องไม่ใช่นักแสดงนะคะ ปกติถ้าไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ ก็ต้องฝึก ต้องเรียนการแสดงก่อนมารับบทต่าง ๆ ก็ดูขนาดคุณสินจัยจะเล่นละครเวทีซิค่ะ  เธอเคยแสดงมาแล้วเธอยังต้องฝึก ต้องเรียนอีก แล้วถึงจะเป็นนักร้องก็ต้องฝึกฝนสม่ำเสมอเพื่อให้ควบคุมการออกเสียงได้ตามที่ต้องการ  ต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อเสริมสร้างพลังเสียง  ดิฉันไม่ทราบว่าคุณไก่เธอใส่ใจในรายละเอียดสิ่งเหล่านี้แค่ไหน หรือมีปัจจัยอื่น ๆ ใดอีกที่ทำให้เธอทำงานได้คุณภาพแค่นี้  หรือเพราะแค่ชื่อ ไก่วรายุทธ ก็ขายได้แล้ว ดิฉันไม่อยากเดา ขอฝากเพลง "อื่น ๆ อีกมากมาย" ของวงเฉลียงเอาไว้ใช้ประกอบการทำใจแล้วกันนะคะ(ดิฉันไม่รู้จะหาเพลงนี้มาลงในกระทู้ได้อย่างไรค่ะ  เชิญท่านผู้มีความสามารถด้านนี้อนุเคราะห์ด้วยนะคะ)

คุณpipatค่ะ  รายการ "ใต้ทะเลไทย" ไม่ได้ออกอากาศแล้วใช่ไหมค่ะ  ถ้ายังออกอากาศอยู่ช่วยบอกทีนะคะว่าช่องไหน วันไหน เวลาไหน อยากตามไปดูค่ะ  รายการนำเที่ยวที่คุณpipatพอรับได้ดิฉันก็อยากตามไปดูค่ะว่าเป็นอย่างไร  เพราะเท่าที่ดูรายการในปัจจุบันก็เห็นมีแต่เรื่องชวนกินชวนเที่ยวจนเบื่อ เคยดูที่คุณปองพลเป็นพิธีกร  ซึ่งน่าสนใจตรงความรู้ของคุณปองพลที่นำมาบอกเล่าในรายการนั่นแหละค่ะ  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันติดตามดูหรอกค่ะ อ่านหนังสือดีกว่า

ส่วนเวิร์คพอยต์กับทีวีบูรพา ขอนินทาหน่อย  ดิฉันว่าต้นทุนในการผลิตรายการคงต่างกันราวฟ้ากับดิน  เคยมีคนประชดว่า เวิร์คพอยต์ น่ะเงินมหาชนค่ะ  แล้วขนาดเงินมหาชน ทำฉากหรูหราอลังการ แต่เนื้อหายังมีเรื่องให้เราได้ค่อนขอดติฉินนินทาอย่างรายการ คุณพระช่วย อยู่อีก 


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ย. 07, 11:43
ละครเรื่องนั้น เห็นใจไก่ที่พยายามฟื้นฟูเพลงลูกกรุง   และบรรยากาศยุค ๔๐ ปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง   ชอบเพลงในเรื่องมาก
ส่วนที่น่าเสียดาย คือดาราไม่สามารถทำให้ดิฉันคล้อยตามบทได้    เพราะแต่ละคน อยู่ในวัยที่สูงกว่าบทในเรื่อง อย่างน้อยก็ ๒๕ ปี
ป้ามาเล่นบทสาวน้อย    ลุงมาเล่นเป็นหนุ่มแน่น  เมคอัพ แสงและมุมกล้องช่วยไม่ได้  เมื่อเล่นติดต่อกันนานๆตอนแล้วตอนเล่า   ฝีมือการแสดงก็ถูกเบียดบังด้วยตีนกา และหุ่นวัยกลางคน 
นอกจากนี้สีหน้าแววตาแต่ละคนก็ไม่ใช่อยู่ในวัยหนุ่มสาวอีกแล้ว
มันแย่พอๆกับเอาเด็กสาวอายุ ๑๘ มารับบทแม่ผู้ผ่านชีวิตมาจนลูกโตเป็นสาว ยังไงแม่อายุ ๑๘ ก็ยังบ้องแบ๊วอยู่  โดยไม่ต้องแอ๊บแบ๊ว

จินตะหราสวยหวานเกินกว่าจะเล่นบทร้าย ให้เธอไปเล่นเป็นสาวใหญ่แสนเปรี้ยวในลูกคุณหลวงยังเหมาะกว่า
นันทิดาไม่สามารถแสดงความรู้สึกทางสีหน้าได้   หน้าเธอนิ่งสนิทเก็บอารมณ์ มาแต่ไหนแต่ไร    โครงหน้าเธอแข็งเกินกว่าจะเป็นนางเอกอ่อนหวานแสนซื่อในเรื่อง
ทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของนันทิดา ที่รับบทไม่เหมาะกับหน้าตาบุคลิก   เหมาะแต่เสียงเพลง

ส่วนจารุณี  ดิฉันกำลังรอดูละครเรื่องใหม่ที่เธอจะรับบทผู้หญิงโรคจิตวัยกลางคน
ที่เพ้อฝันนึกว่าตัวเองถอยกลับเป็นเด็กวัยรุ่นตอนต้น อายุ ๑๒-๑๔
แล้วพยายามซ่อนไม่ให้คนอื่นจับได้ว่าตัวเองโรคจิต  บทนี้ถ้าไม่ใช่จารุณีเล่น คงออกมาติงต๊องมาก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 28 ก.ย. 07, 13:35
ความจริงคุณไก่แกทำละครมาชั่วชีวิต น่าจะรู้ว่า การนำดาราโรยมารับบทรุ่นๆ โดยที่แสงและเมคอัพทีวีไทยไม่ได้ช่วยลดอายุดาราเลยน่ะ ผลลัพธ์ก็ออกมาแบบนี้ไม่เป็นอื่น
แต่แกคงคิดสาระตะแล้วว่า นักแสดงเด็กๆหรือจะสู้วัยโรยได้ และบทเน้นไปเน้นตอนลูกๆโต ปล่อยสาวๆเหล่านี้ชรากันหมด จึงสู้ทนจับจินตะหรามาเป็นเทพี นันทิดามาเล่นบทเศร้า และจารุณีมารับบทสาวรักคุด
เป็นการลงทุนเรื่องค่าตัว เสื้อผ้า..และเจตนาที่จะอนุรักษ์เพลง
แต่นอกจากความบันเทิงแล้ว มันน่าจะมีศิลปะการทำมากกว่านี้นะคะ
..


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 28 ก.ย. 07, 17:35
เห็นด้วยกับอาจารย์เทาชมพู และคุณกุ้งแห้งเยอรมันสุดใจครับ เรื่องดาราโรยๆ

แต่จะว่าไป ถ้าลองเทียบเรื่องนี้กับ "เมื่อดอกรักบาน" ที่เพิ่งจบไป
เรื่องนั้นคนรุ่นพ่อยังหล่อ รุ่นแม่ยังสวย...... สวยเกินลูก
ดูแล้วผมว่ามันก็ได้อารมณ์กันไปคนละอย่าง



จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่เคยขึ้นรถทัวร์กลับจากเชียงใหม่
บนรถเขาเอา broke back moutain มาเปิด
(ไม่ทราบเอามาเปิดได้ไง สยิวกิ้วมาก ที่กล้าเปิดหนังดรามาเพศที่ 3)
ดูแล้วผมชื่นชมกับช่างแต่งหน้า (น่าจะเรียกว่าแต่งเอฟเฟค) ของภาพยนต์เรื่องนั้นมาก
คนจะแก่ก็แก่สมวัย มีกระ มีฝ้า ลงพุงได้
ทั้งๆที่ตอนเปิดเรื่องตาพระเอกสองคนนั่นก็ยังหุ่นดี ดูเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 20 ต้นๆอยู่



..... ไม่รู้เมื่อไหร่เมืองไทยจะทำได้แบบนั้นบ้าง
เห็นดาราหนังสาวๆช่องไหน ต่อให้ผิวดีหน้าเนียนก็ต้องโบ๊ะแป้งเป็นกุ้งเทมปุระซะทุกเรื่อง
(แบบนี้พระเอกคงจูบลำบากนะครับ อิอิ)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 28 ก.ย. 07, 18:00
ไม่ได้ดูละครมานานมาก ถ้าวิจารณ์อาจจะไม่ยุติธรรม เพราะเขาอาจจะปั๊ดตะนาแล้ว

แต่ถ้าเป็นเรื่องเก่าๆ คนข้างตัวผมตั้งข้อสงสัยว่าผมมีอคติกับคุณไก่เป็นพิเศษ เพราะเห็นละครคุณไก่แล้วมันจี๊ดๆๆๆๆๆ ต้องบ่นทุกครั้งไป

เรื่อง "แสง" ครับ การจัดแสงแบบ ง่า... อ้า... เอ้อ... ไม่นิยามดีกว่า แต่เป็นแบบที่เน้นหน้าพระเอกนางเอกให้มันสว่างชัดเจนอย่างเดียว ไปถ่ายทำถึงเมืองนอก ฟ้ามันปิด แสงมันน้อย ช่างไฟท่านก็อัดแสงเข้าไปที่หน้าคู่พระคู่นาง โดยไม่สนใจสภาพแสงรอบข้างเลย ผลคือแสงมันหลอกมาก ผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ และไม่ใช่รสนิยมที่ดีเลย (เอิ๊บ... เผลอหลุดปากออกมาจนได้)

ป่านนี้คงแก้ไขแล้ว... มั้ง ???


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 29 ก.ย. 07, 00:02
ดูอย่างรายการ"ดาวล้านดวง"ปะไรครับ  เชื่อว่าคุณไก่น่าจะติดมาจากคอนเซ็ปต์รายการหรือไม่ก็ลักษณะความเป็นตัวของเธอเอง ที่เน้นความอลังการงานสร้าง แสงไฟสีสรร ต้องเวอร์ๆเข้าไว้ ติดๆไปแนวนางโชว์หน่อย  ซีนไหนมีนางเอก-พระเอก ไฟกล้องจะต้องเจิดจรัสไว้(บางทีนึกว่าผีหลอก).....จะได้เริ่ด  :-X

 ;D


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 29 ก.ย. 07, 00:10
ก่อนจะกลับไปที่ประเด็นหลักเรื่อง แบกะดินขึ้นห้าง ขอเติมเรื่องคุณนันทิดา และละคร กรุงเทพราตรี อีกนิดเถอะค่ะ  คุณนันทิดาตอนร้องเพลงชนะการประกวดด้วยเพลง I who have nothing แล้วก็ติดลมเป็นนักร้องอาชีพนั้น  พลังเสียงเธอดีกว่าตอนนี้มากค่ะ  ส่วนนักแสดงตามบทในละคร  ถ้าคุณไก่ไม่ติดว่าจะต้องใช้นักแสดงที่มีอยู่แล้ว  ไปคัดนักแสดงใหม่ ๆ มาแสดงบางทีเราอาจจะได้ละครที่น่าดูกว่านี้นะคะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะเราก็ไม่ทราบคุณไก่คิดอย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้างหรือเปล่าในการทำงาน ก็เผื่อใจไว้ให้เธอหน่อยว่า เธอน่าจะตั้งใจทำดีที่สุดแล้วเท่าที่เธอทำได้  แต่เราก็อยากจะบอกว่า เราอยากได้ดีกว่านี้  ซึ่งผู้สร้างละครไทยคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีให้มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นบ้าง  ดิฉันชอบ "เมื่อดอกรักบาน" ของคุณอ็อบ พงษ์พัฒน์ มากกว่าค่ะ  ไม่ได้อลังการมากแต่เห็นความพิถีพิถัน ตั้งใจ เป็นแนวโน้มที่ดีค่ะ อย่างนี้ถ้าใช้มาตรฐานคุณpipatพอจะขึ้นห้างได้ไหมค่ะ  (ขออนุญาตพาดพิงด้วยความเคารพนับถือจริง ๆ ค่ะ)

ว่าด้วย แบกะดินขึ้นห้าง ดิฉันมีคำถามชวนคิดค่ะว่า  ถ้าเราเป็นเยาวชนปัจจุบัน  เราอยากเป็นใครค่ะ คุณกาละแมหรือเป็นอาจารย์ประทุมพร วัชระเสถียร  เป็นอาจารย์เสรี หวังในธรรม หรือ เป็นคุณเท่ง เถิดเทิง เป็นพระเอกลิเกอย่างไขยา มิตรชัย หรือ เป็นผู้ชนะ AF  ดิฉันไม่มั่นใจว่าถ้าเราไปถามนักศึกษามหาวิทยาลัยปัจจุบัน ใน 100 คนจะมีกี่คนรู้จัก อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ระหว่างคุณเผ่าทอง ทองเจือ กับอาจารย์รุ่งธรรม (ดิฉันจำนามสกุลอาจารย์ไม่ได้ค่ะ) ใครเป็นที่รู้จักมากกว่ากัน  ดิฉันว่า สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการสร้างค่านิยมสินค้าแบกะดิน  เรามาพิจารณาดูคุณภาพของคนที่ยึดพื้นที่หน้าจอทีวีปัจจุบันซิคะว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง  เมื่อคุณภาพระดับนี้เป็นที่ยอมรับให้เผยแพร่เป็นที่รู้จักทั่วไป  ของดี ของจริง ไม่มีโอกาส สุดท้ายก็คงค่อย ๆ จมหายไปใต้สินค้าแบกะดินนี่แหละค่ะ   ดิฉันขอยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาชวนกันคิดเห็นหน่อยนะคะ  มีใครจำคุณนาเดียตอนเป็นพิธีกรรายการภาษาไทยวันละคำได้ไหมค่ะ  กับคุณนาเดียวันนี้  อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนได้ขนาดนี้ 

คำถามสุดท้ายค่ะ  เราจะทำอย่างไรให้ของดีมีคุณภาพเป็นที่ปรากฏ และจดจำสำหรับเยาวชนที่กำลังจะขึ้นมาทดแทนพวกเราค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 29 ก.ย. 07, 00:48
คุณpakun2k1d  จี้ตรงจุดวิกฤติของสังคมปัจจุบันจริงๆ
แนวโน้มในรอบสามสิบปีที่ผมเฝ้ามองความเป็นไปในสังคมเรานั้น มันแย่ลงอย่างน่าวิตก
แย่ถึงระดับที่เราแยกแยะความดีออกจากความเลว....ไม่ได้

ผมกำลังกังวลต่อว่า
หรือเราจะมาถึงจุดที่....
ดีคือเลว
เลวคือดีเลิศ แล้วละหรือ

ถ้าจะต้องหาใครมาปรับทุกข์สักคน ก็ต้องเป็นคนที่ทำสื่อ
ไม่ครับ ผมไม่ได้มองไปที่คนทำงาน แต่มองไปที่คนออกนโยบาย
วันก่อนที่มีรมค. ตัดสินใจลาออกในเสี้ยววินาที ผมก็ใจชื้นว่า ของจริงยังมีให้เห็นแฮะ
แต่คนที่เหลือ ทำใจฟูของผม แฟบลงทันที โดยเฉพาะคนที่บอกว่า ผมไม่ได้เสนอตัวเข้ามา เขา"เชิญ"ผมตะหาก

ผมไม่หวังอะไรสูงมากนัก ทำได้แต่เพียงคัดท้ายลูกชายคนเดียวอยู่สองสามเรื่อง
เอกชนคนเล็กๆ อย่างเรา นอกจากปรับทุกข์ในเวบนี้

ก็เหลืออะไรให้ทำได้อีกไม่มากกระมัง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ย. 07, 09:27
จริงค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 01 ต.ค. 07, 15:05
ดิฉันเก็บประเด็นเรื่องการแยกแยะความดี-เลว ถูก-ผิด มาต่อกันหน่อยนะคะ  เรื่องนี้ดิฉันเองขบคิดอยู่เหมือนกัน  แต่ไม่ได้เอาจริงเอาจังซะที  พอคุณpipatมาเปิดประเด็นอีกก็เลยนำมาขบต่อ  ดิฉันว่าอย่างนี้นะคะ

ยังไม่ต้องคิดนะคะว่าเหตุมาจากไหน  แต่ปัจจุบันการชี้ ถูก-ผิด ดี-เลว เป็นเรื่องยาก และซับซ้อนมากขึ้น แล้วถ้าเราสังเกตุก็จะเห็นว่า  เพราะเราพยายามจะชี้ ถูก-ผิด ดี-เลว สุดท้ายมันจะค่อย ๆ กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งข้าง แล้วเรื่องก็จะค่อย ๆ จางหายไป ไม่ว่าจะเพราะการถูกสรุปไปทางใดทางหนึ่ง  ซึ่งข้อสรุปที่เกิดขึ้นอาจจะเพราะพวกมากลากไป พวกน้อยก็เก็บความเจ็บช้ำน้ำใจไว้แก้มือวันหลัง  แล้วพวกมากนี่ก็ได้มาจากหลายทาง  หรือสร้างภาพได้ดีภาพพาไป หรือสร้างเรื่องอื่น ๆ มากลบแล้วก็ลืม ๆ กันไป  แล้วก็เอาเรื่องใหม่ ๆ มาทะเลาะกันอีกด้วยวัฎจักรเดิม ๆ พอต่างฝ่ายต่างรวมพวกกันได้เยอะขึ้นก็เริ่มจะไม่ยอมกัน  แล้วก็บานปลาย   

เราจะแก้วัฏจักรของการทะเลาะเบาะแว้งนี้ได้อย่างไร  แค่โครงการคุณธรรมนำไทยบอกให้คนไทยรู้รักสามัคคีคงไม่พอค่ะ

ทำอย่างไรที่จะให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ถกเถียงกันด้วยข้อมูลและความรู้โดยปราศจากอคติ เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นเหตุ เป็นผล และเป็นประโยชน์มากกว่าการให้ความสำคัญแค่ความถูก ผิด ดี เลว อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เยาวชนของเราเลยนะคะ  ทุกวันนี้บางทีดิฉันยังงง ๆ เลยว่า  ใครถูกใครผิด  แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป  เพราะทุกวันนี้สิ่งที่เราเห็นก็คือการถกเถียงและนำเสนอข้อมูลที่อยู่บนพื้นฐานของอคติ  หรือข้อมูลความเป็นจริงแต่ถูกทำให้สับสน  แล้วอย่างนี้เยาวชนจะเรียนรู้ความถูกผิดดีเลวจากอะไร  หรือจากใครค่ะ 

นอกจากความสับสนเรื่องถูกผิดดีเลวแล้ว  ยังมีความเข้าใจต่อไปอีกว่า  คนที่ได้รับการชี้ว่าดีแล้วทำอะไรก็ได้  เพราะจะไปทำอะไรต่อก็ถูก ก็ดี ทั้งนั้น ไม่ต้องคิดอีก

ดิฉันเองมองไม่เห็นที่พึ่งสำหรับเด็ก ๆ เหมือนกันนะคะว่า  เขาจะเรียนรู้การวิเคราะห์แยกแยะ ข้อเท็จ ข้อจริง ถูกผิดดีเลว และรู้จักนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์จากไหน  ได้อย่างไร  ถ้าไม่ใช่ได้มาจากครอบครัว  ไม่ว่าจะโรงเรียน หรือวัด ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรให้เชื่อถือได้เลยนะคะ

เครียดจัง  จบความเห็นดีกว่า


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 01 ต.ค. 07, 16:11
เครียดได้ แต่ห้ามจบ
ขอยกตัวอย่างไกล้ตัว สดๆ ร้อนๆ เรื่องรูปภิกษุกา
โดยหลักการแล้ว งานที่ทำไม่มีอะไรต้องตำหนิ เป็นหน้าที่ของศิลปินอยู่แล้ว ที่จะต้องโวยในเรื่องแบบนี้
ขณะเดียวกัน ผมก็เห็นใจพระคุณเจ้า ท่านก็รักศาสนจักร เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้ทำความมัวหมอง
ท่านก็ต้องโวย

แต่แทนที่มหาวิทยาลัยจะเชิญมหาท่านมาปรึกษา คนของศิลปากรที่เป็นมหาก็มีตั้งเป็นโขลง
ท่านเล่นส่งคนออกทีวี เพื่อสนองความอยากของคนทำลายการ....เอ่อ รายการน่ะครับ
มันจะอยากออกทีวีอะไรกันนักหนาว้า.....

ทีนี้คนที่ไปออก ท่านก็เลือกได้สุดยอด คนนึงก็พี่มาดแยะ อีกคนก็พี่โฮกฮ้าก
ลูกผมนั่งดูอยู่ แกอายุจะ 12 แล้ว แกก็ถามผมว่า ศิลปินที่พูดอยู่น่ะ เชื่อได้ใหม
ผมตอบไม่ได้ครับ
ที่ศิลปินพูด จะกล้อมแกล้มบอกว่าใช่ ก้อพอได้....แต่....อีกแระ ต้องมีคำนี้
ไอ้คนพูดน่ะ สวดพระอภิธรรมอยู่ ผมยังไม่เชื่อเลย

แล้วเราจะอธิบายให้เด็กเข้าใจเรื่องการแยกแยะ การประเมิน หรือการยึดถือซึ่งหลักการอันพึงยึดถือได้อย่างไร
ผมก็เลยตัดบทว่า อย่าไปเชื่อที่เขาพูด คิดเองแล้วกัน ว่า คนเขียนรูปด่าคนเลว
เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่

ท่านที่ออกเวทีอยู่ในวันนั้น ใช้เป็นตัวอย่างของแบกะดินขึ้นห้างได้เลย
ทุกคน ไม่มีสถานะภาะสมกับสถานะที่ตนเองดำรงอยู่
ยกเว้นน้องศิลปิน ที่ยังละอ่อนเกินไป ยังบอกไม่ได้ว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร
ถ้าเป็นอย่างรุ่นพ่ๆ ที่สลอนเรียงรายอยู่ ก็ตัวใครตัวมัน

เห็นด้วยจริงๆ ครับ ว่าการคัดกรอง ทำยากจริงๆ
ผมก็ทำแค่ในรั้วบ้านผมเท่านั้นแหละครับ คิดว่าผลิดคนโง่ออกไป ยังดีกว่าปล่อยคนชั่วออกไปสู่โลก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ต.ค. 07, 17:18
ถ้าคุณ Pakun ไม่เข้าใจว่าคุณพิพัฒน์พูดเรื่องอะไร  ลองใช้กูเกิ้ลค้นคำว่า ภิกษุสันดานกา   ดูนะคะ 
ดิฉันมีลิ้งค์มาให้เป็นตัวอย่าง
๑)
http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0111260950&day=2007-09-26&sectionid=0301
๒)
http://www.khum.net/news-read/552400
๓)
http://news.thaieasyjob.com/crime/show_news-7169-4.html

อาจจะลองทดสอบดูว่า  ปัจจุบันการชี้ ถูก-ผิด ดี-เลว เป็นเรื่องยาก และซับซ้อนมาก  อย่างที่คุณว่า จริงๆ
เรื่องภาพนี้ คุณ pakun เห็นว่าอะไรถูกอะไรผิดล่ะคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 01 ต.ค. 07, 20:20
นับถือ นับถือ นับถือ ค่ะ
คุณเทาชมพูนี่นอกจากรู้รอบ รู้จริง แล้วยังรู้ใจอีก
ดิฉันอ่านคุณpipatแล้วก็งงว่าเธอพูดเรื่องอะไร  จนได้ดูรูปที่คุณเทาชมพูเตรียมไว้ให้นั่นแหละคะ

ตอบคุณเทาชมพูก่อนนะคะ

ดิฉันว่ารูปนี้ไม่ควรได้รับรางวัล  แม้ว่าจะผู้วาดจะมีฝีมือและมีเจตนาดีที่ต้องการสะท้อนภาพสังคม  แต่ภาพที่ได้รับรางวัลควรมีวิธีการที่สร้างสรรค์และแยบยล  ไม่ควรมีข้อด่างพร้อยที่อาจทำให้เข้าใจผิด  เพราะภาพที่ได้รับรางวัลจะได้รับการยกย่อง และเผยแพร่

อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะคะ  ดิฉันเคยอยู่ในบรรยากาศการตัดสินภาพวาดแต่เป็นระดับเยาวชนนะคะ  กรรมการแต่ละท่านจะพิจารณาทั้งฝีมือ ความหมายของภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และผลกระทบต่อสังคม   แต่ละท่านจะแสดงความคิดเห็น  ถกเถียงกันตรงไปตรงมาด้วยความเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน   แต่สุดท้ายก็จบด้วยเสียงข้างมากอยู่ดีค่ะ  ซึ่งภาพนี้เราไม่รู้ว่ากรรมการส่วนใหญ่ท่านพิจารณาจากอะไร  ป่านฉะนี้ท่านคงรู้แล้วละค่ะว่า "สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลัง"

ส่วนรายการที่คุณpipatพูดถึง  ไม่ได้ดูค่ะ  ไม่แปลกใจค่ะเรื่องรายการทีวีต้นแบบของ แบกะดินขึ้นห้าง โชคดีที่ลูกชายของคุณpipatมีคุณพ่อดู และคอยชี้แนะอยู่ข้าง ๆ ค่ะ  สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่มี  หรือถึงจะมี  ผู้ปกครองหลายคนก็ตกอยู่ในวังวนความมักง่ายของผู้จัดทำรายการที่ทำลายคุณค่าของสื่อสารมวลชนอย่างน่าเสียดายค่ะ

ล่าสุด  คุณpipatและคุณเทาชมพูได้ข่าวเรื่องเพลง นางฟ้าคืนเดียว หรือยังค่ะ  กรณีนี้ดิฉันยกย่องคนแต่งเพลงนะคะที่ออกมากล่าวโทษ  และพูดอย่างชัดเจนว่าตัวเองผิดอย่างไร  แล้วต่อไปต้องทำอย่างไร  ทั้ง ๆ ที่เพลงนี้ผ่านเซ็นเซอร์นะคะ

มาต่อเรื่องท่านรัฐมนตรีดีกว่านะคะ  น่าสนใจ และยากดีค่ะว่าจะตัดสินอย่างไร  ตอนนี้รัฐมนตรีที่เขาว่าผิดจรรยาบรรณลาออกกันไป  ได้รับคำยกย่องว่ามีสปิริต  แต่จริง ๆ แล้วทิ้งเพื่อน  หนีรำคาญหรือเปล่าค่ะ    แล้วคนชี้ถูกชี้ผิดไม่ต้องรับผลด้วยนะคะเนียะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ต.ค. 07, 21:21
นี่ละค่ะตัวอย่างของการชี้ ถูก-ผิด-ดี-เลว ที่ไม่อาจลงตัวกันได้ง่ายๆ

ในการตัดสินรางวัลอะไรก็ตาม  จะให้กรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นจะยากมาก  ดิฉันเชื่อว่ากรรมการที่เห็นอย่างคุณ pakun ก็คงมีเหมือนกัน  แต่ในเมื่อภาพนี้ได้รางวัล แสดงว่ากรรมการส่วนใหญ่เห็นแตกต่างไปจากคุณ   ภาพนี้จึงได้รางวัล
ผลกระทบจากการประท้วง  ต้องดูด้วยว่าใครประท้วง และประท้วงด้วยเหตุผลอะไร   
อย่าเพิ่งคิดว่าถ้ามีคนประท้วงแล้วจะแสดงว่า กรรมการเป็นฝ่ายผิดพลาด     ทำไมไม่คิดว่าคนประท้วงนั่นแหละ ผิด

ภาพนี้ แสดงถึงอลัชชี  ไม่ได้แสดงถึงสงฆ์
อลัชชีทุกคน ไม่มีใครแต่งกายอย่างชาวบ้าน   ทุกคนห่มผ้าเหลืองทั้งนั้น   ไม่มีใครอยู่บ้านช่อง  ทุกคนอยู่วัด
อลัชชีเมื่อดูภายนอก ด้วยสายตา  ถ้าอยู่นิ่งๆก็ไม่ต่างจากสงฆ์  ต่อเมื่อเคลื่อนไหวแสดงความประพฤติ ถึงรู้ว่าไม่ใช่สงฆ์

ภาพนี้ไม่ใช่สะท้อนถึงสงฆ์แน่นอน แต่สะท้อนผู้แต่งกายโกนหัวอย่างสงฆ์ แต่ความประพฤติไม่ใช่สงฆ์  แอบแฝงอยู่ในนามของสงฆ์
สงฆ์รูปไหนทำตัวไม่เหมาะ นั่นไม่ใช่สงฆ์อีกแล้ว   กฎหมายจะเรียกว่าพระสงฆ์หรือสถานที่สังกัดอยู่เรียกว่าพระสงฆ์ก็ตามเถอะค่ะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่

พุทธศาสนาไม่เคยสร้างกฎเกณฑ์ใดๆว่า ห้ามวิพากย์วิจารณ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์    ห้ามแสดงความไม่เชื่อถือ  ห้ามสงสัยและห้ามตรวจสอบ ต้องศรัทธาอย่างเดียว   
ตรงกันข้าม  พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านใคร่ครวญตรวจสอบจนแน่ใจเสียก่อน จะได้สามารถนับถือได้ด้วยจิตที่ผ่านการไตร่ตรองแล้ว
ในพุทธประวัติ มีพระอรหันต์ไม่รู้ว่าเท่าไรที่ตอนเข้ามาพบพระพุทธองค์ ก็ซักถามท่านอย่างไม่เกรงใจ  โต้กันไปมาอยู่จนกระทั่งจำนนต่อคำตอบ ถึงเข้ามาบวช
คนที่ไม่ได้บวช แต่ติดตามพระธรรมเทศนาอย่างสม่ำเสมอ  ก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา สองในพุทธบริษัท

ชาวบ้านเป็นพุทธบริษัท  มีหน้าที่ปกป้องศาสนาจากมาร  ไม่ใช่มารโกนหัวห่มผ้า แล้วก็เลยต้องนับถือโดยอัตโนมัติ
เท่ากับเอาหนอนมาบ่อนไส้   เอาสนิมมากินเนื้อในของเหล็ก   เอาแกลบมาใส่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในกระบุงข้าวสาร

ศิลปินคนวาดภาพนี้ เขาไตร่ตรองแล้ว จึงพยายามแยกแกลบออกจากข้าว   ด้วยวิธีตามแบบที่เขาถนัด
การแยกแกลบออกจากข้าว  จะไปกำหนดให้บรรจงหยิบอย่างทะนุถนอมออกมาทีละเม็ด   ก็สายเกินไปแล้ว  ถ้าได้ผล  แกลบคงไม่เต็มยุ้งฉางพุทธอยู่อย่างทุกวันนี้  พิสูจน์ได้จากข่าวในหนังสือพิมพ์
แกเลยใช้วิธีร่อนแรงๆ   กรรมการเขาก็เห็นและเข้าใจ เขาจึงให้รางวัลไงล่ะคะ

ส่วนคนประท้วงนั้น  ดิฉันแยกเป็น ๒ พวก คือพวกที่ประท้วงด้วยใจซื่อ เกิดความสะเทือนใจจริงๆ   แต่เป็นความสะเทือนใจที่มีพื้นฐานบนความเข้าใจผิด มองคนละทางกับสิ่งที่คนวาดต้องการสื่อ และไม่เข้าใจว่าคนวาดหมายถึงใครหรืออะไร
กับอีกพวก...หุหุ  ไม่พูดก็คงเข้าใจ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 01 ต.ค. 07, 22:16
การสร้างงานที่เน้นการประท้วง เปิดโปง หรือล้มล้างความเชื่อนั้น
ไม่สามารถทำได้ด้วยความนุ่มนวลครับ....ไม่ อย่างน้อยก็เท่าที่มีการสร้างงานแนวนี้ออกมา
อันที่จริง ต้องนับถือจิตใจของคนทำงาน และก็ต้องคารวะต่อกรรมการ ที่ให้รางวัลสูงสุดแก่งานเยี่ยงนี้
อย่างน้อย ก็เป็นการส่งสัญญานไปยังสังคม ว่า
จะทนดูพฤติกรรมตามที่งานนี้ ถลกกำพืด สำแดงออกมา ได้หรือไม่

เวลาที่ไฟไหม้บ้าน...คงไม่มีใครมาร้องเสียงนุ่มหูว่า
คุณครับ คุณครับ ....ขอโทษนะครับ ดูเหมือนมีไฟกำลังไหม้บ้านคุณใช่ใหม
ระดับของหายนะ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ความรุนแรงของการแสดงออก
อันที่จริง ถ้าศิลปินแสดงเนื้อหานี้ ออกมาด้วยรูปแบบที่จำเจ สะบายตา ก็คงไม่ได้รางวัลแน่ๆ

นั่นเป็นเรื่องของรูปแบบ
ทีนี้ มาพิจารณากันที่เนื้อหา
ศิลปินคนนี้ ไม่ยอมเสนอทิพย์ของพระธรรม ทั้งๆที่เราจะเห็นจากชิ้นส่วนที่เขาใส่ลงในรูป ล้วนชี้ว่า เขาศึกษาและเข้าใจพอสมควร
ทำไมเขาจึงไม่เดินตามทางอันสะดวกดาย ที่รุ่นพี่ๆ ถากถางไว้ให้
คำตอบก็คือ งานของท่านพี่ๆ ไม่สามารถขบปัญหาในใจของเขา ปัญหาเรื่องพระภิกษุปลอมปน
คนปลอมเป็นพระ มีมาแต่พุทธกาลแล้วนะครับ ถูกสึกมาก็ตั้งแต่ครั้งนั้นไม่เคยขาดสาย
มาถึงสมัยเจ้าตาก ไปเมืองใหนก็นิมนต์พระมาสวด และสอบ ทำไม่ได้ก็ฆ่าทิ้ง
เพราะความผิดเรื่องนี้ ในสมัยโบราณเป็นโทษถึงตาย

ปัจจุบันนี้ เราไม่ใช้โทษระดับนั้นกับคดีแค่นี้...แต่แค่เขียนรูปด่า ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง
ที่สำคัญ ด่าได้ถูกต้องด้วย

ส่วนเรื่องรมต. ลาออก นั่นไม่ควรคิดเป็นการทิ้งเพื่อนนะครับ แม้ว่าจะทิ้งจริงก็ตาม แต่เขานั้น
ไม่สมควรมาเข้าเพื่อนแต่ต้น
คุณจะเข้ามารับใช้ชาติ กะอีบริษัทจิ๊บจ๊อยแค่นี้ ไม่ยอมตัด
อามิสเพียงนี้ ยังมีโลภะที่จะยึดไว้ อามิสใหญ่กว่านี้ จะทนได้หรือครับ
การเกาะตำแหน่ง ก็เป็นเครื่องชี้อย่างดีครับ
คุณรมต. ที่เป็นดอกเตอร์ ยังซ้ำให้ผมชื่นใจอีกว่า
ขอบคุณผู้ตรวจสอบ ที่ทำงานตรงไปตรงมา
คำพูดเพียงนี้ ก็ยกระดับจริยธรรมที่กระปลกกระเปลี้ยของเรา ให้กระเตื้องได้นิดหน่อย
ความเป็นรัฐมนตรีนั้น เปราะบางขนาด พูดเล่นๆ ว่าจะออก ยังต้องออกเลยครับ
สำมะหาอะไรกับการถือครองผลประโยชน์ที่ละเมิดหลักแห่งความเที่ยงธรรม

กรณีนี้ สังคมได้กำไรครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 02 ต.ค. 07, 01:49
มีธุระให้อดเข้าเรือนไทยเสียหลายวันครับ
ไม่อย่างนั้นคงได้มาเล่าต่อจากความเห็นสุดท้ายในหน้าที่แล้วของอาจารย์เทาชมพู
ว่าเผอิญวันที่เกิดเรื่องที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผมดันไปใช้ห้องสมุดที่นั่นเสร็จพอดี เดินออกมาก็เห็นสตรีใจศรัทธาอยู่หลายสิบนาง
และพระอีกหลายสิบคน (อืม..... ถ้า อาจารย์เทาชมพู คุณpipat และคุณpakun2k1d จะอนุโลมให้ผมเรียกผู้ที่เอาจีวรมาห่มว่า "พระ" -ขออนุญาตไม่ใช้คำว่า "ครอง" หรือ "รูป" นะครับ คนธรรมดาไม่น่าใช้ราชาศัพท์ได้)
มายืนตะโกนคาถาสังฆคุณอยู่หน้ามหาวิทยาลัยพร้อมกับชูภาพที่ว่านี่หราๆ
ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินฝ่าหมู่สตรีใจศรัทธา และพระที่นั่นออกมา
ถึงได้เห็นว่าพระที่มาทีหลังและอยู่ทางด้านหลังสองสามคนกำลังยืนขำและคุยกันอยู่
จับใจความผ่านๆได้ว่า "เขาบอกให้มาก็เลยมาซะหน่อย"

ได้ยินเข้ารู้สึกเหมือนว่าคาถาสังฆคุณที่ตะโกนสวดอยู่นั่น
พวกนุ่งผ้าเหลืองที่มาตะโกนนี่เขามีคุณสมบัติตามสังฆคุณแล้วหรือ ?
แล้วเขาสวดประชดคนรอบข้างที่หันมาดูภาพของตัวเขาเองที่เขาชูหราอยู่หรือไง ?
ทำไมผีในผ้าเหลืองมันถึงมากขนาดนี้ แค่ปูนก้อนกระจิดริดกระจ้อยร่อยก็ต้องร้อนท้องขนาดนี้เชียว ?

เห็นแล้วก็ได้แต่อนาถใจ ไม่รู้จะพูดอะไรดี ก็ได้แต่เดินจากมาล่ะครับ......
ได้แต่สงสารคนพุทธ เกิดมาพ่อแม่ก็กรอกสูติบัตรให้ ไปกากบาทเอาว่านับถือพุทธ.......
แล้วก็ถูกพ่อแม่สอนมาน่ะแหละ ว่าใครนุ่งผ้าเหลืองให้ไหว้ ให้เรียกพระ เข้าโรงเรียนก็ต้องมานั่งท่องราชาศัพท์สำหรับพระกันตั้งแต่ประถม.....
เลยตาบอด เห็นผีเห็นหมานุ่งผ้าเหลืองก็กราบไหว้บูชา ขออนุญาตกราบไหว้เอาข้าวเอาเงินเลี้ยงผีเลี้ยงหมา......
อยากถามจัง ว่าไอ้ทำกันมาแต่เด็กนี่....ไม่ทราบว่าพระพุทธองค์อนุญาตให้นักบวชของพระองค์จับเงินได้หรือครับ ?


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 02 ต.ค. 07, 02:36
อ่านทั้งของคุณเทาชมพู และคุณpipat แล้วนึกภาพบรรยากาศการตัดสิน  อย่างนี้เลยค่ะ  แต่ละท่านจะชี้แจงละเอียดละออให้คุณค่าน้ำหนักตามทัศนะ  และหลากลีลา  บางท่านก็นุ่มนวล สาระล้วน ๆ แบบคุณเทาชมพู  บางท่านก็ได้อารมณ์สีสันจัดจ้านของคุณpipat  ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นบรรยากาศที่สร้างปัญญา  เสียงข้างน้อยที่แพ้เสียงข้างมากก็ยอมรับด้วยความเคารพ   อย่างนี้แหละค่ะที่อยากให้เยาวชนของเราได้เห็น  จะได้ฟังเป็น เถียงเป็น แล้วไม่เป็นพวกขี้แพ้ชวนตี

ต่อเรื่องรัฐมนตรีอีกนิดค่ะ  ดิฉันขอชื่นชมท่านรัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีด้วยอีกคนนะคะ  แต่ขอทักท้วงที่คุณpipatกล่าวเหมือนว่า  ท่านรัฐมนตรีที่ไม่ลาออกไม่ยอมละอามิสเล็ก ๆ น้อย ๆ สรุปเร็วไปนิดไหมค่ะ      ในเรื่องนี้ดิฉันมีคำถามค้างใจอยู่หน่อยหนึ่ง  รอฟังมานานแล้วไม่เห็นมีใครตอบซักทีว่า  ทำไมปปช.เพิ่งมาทักท้วงตอนนี้ค่ะ  คุณpipatพอจะทราบไหมค่ะ  ดิฉันสงสัยจริง ๆ นะคะ  ไม่ได้กวนน้ำให้ขุ่นเล่น ดิฉันว่าตัวเองมีทัศนคติที่ดีกับเรื่องนี้นะคะว่า  การที่ ปปช.ทักท้วงขึ้นมาทำให้การเป็นรัฐมนตรีของแต่ละท่านสะอาด โปร่งใส  ใครมีอะไรก็มีโอกาสชี้แจงให้ชัดเจนเสียก็สิ้นเรื่อง  ไม่ใช่มาอ้างอิงให้สับสนว่ามีขบวนการจ้องทำลาย  โทษกันไปโน้นเลย  แต่ก็มาติดใจที่ทำไม ปปช.ไม่รีบพิจารณา ป่าวประกาศก่อนหน้านี้น้า

อีกนิดหนึ่งที่ดิฉันออกจะรู้สึกไม่ชอบใจสื่อทีวี  เพราะมักจะใช้คำว่า "กดดัน" ฟังแล้วดูเหมือนการเอาชนะกันด้วยกำลัง  ทั้ง ๆ ที่มันควรจะได้รับการทำความเข้าใจว่า  รัฐมนตรีที่มีข้อสงสัยเหล่านั้นมีคำตอบที่ชัดเจน และเชื่อถือได้ให้สังคมนี้ไหม  ถ้าคุณตอบไม่ได้ ไม่เป็นที่เชื่อถือคุณก็ไม่สมควรแก่ตำแหน่งนี้นะ

ขอบคุณคุณติบอนะคะที่บอกเล่าให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง  เราจะได้แยกแยะอย่างมั่นใจว่าอะไรถูกอะไรผิด  อย่างที่ว่านะคะ  ตอนนี้พระ(น่าจะส่วนมากด้วยนะ)ไม่เป็นที่พึ่งใด ๆ ได้เลย


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: tuka007 ที่ 03 ต.ค. 07, 15:31
ในความเห็น ตูก้านะคะฐานะที่นับถือพุทธเหมือนกัน ได้ดูรูปที่เป็นข่าวแล้ว ใจกลับนึกชมชอบ และยกย่องศิลปิน ดูแล้วยังคิดในใจ  ...เออ..มานต้องงี้สิ.. ในใจไม่ได้คิดเลยว่าเป็นการดูหมิ่นพระศาสนา เพราะรูปที่แสดงไม่ใช่สาวกของผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแน่แท้ ..นั่นคือรูปหมาเอาผ้าเหลืองมาคลุมตัวไว้ต่างหาก... :)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 11 ต.ค. 07, 11:39
ขออนุญาตขุดกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ
เรื่องภาพ ภิกษุสันดานกาและภาพ หมา-นุษย์ นี้ เรื่องชักจะเลยเถิดถึงขนาดองค์กรพระพุทธศาสนากว่า 50 องค์กรจะฟ้องศาลอาญาแล้วครับ
น่าเสียดายที่สุดคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็เอากับเขาด้วย(ดูในไทยรัฐ ฉบับวันที่ 8 ต.ค. 2550 หน้า 14)

เรื่องรูปนั้นสื่อถึงอะไรนั้น ท่านผู้รู้ได้ตอบไปหมดแล้วครับผม 8)
............................................................
ผมก็จะขอว่ากันต่อเรื่องแบกะดินขึ้นห้างนะครับ
แต่เนื่องจากกระทู้นี้ไปไกลเกินกว่าจะตามประเด็นเดิมที่ว่ามาแล้ว ก็จะขออนุญาตพูดถึงประเด็นใหม่นะครับ

ผมคิดว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่บางคนมองว่านั่นมีค่าน้อย แต่ผ่านกาลเวลาไปแล้วกลับมีค่าสูงขึ้นมา
ในขณะที่หลายคนบอกว่าสิ่งนั้นมันไม่มีค่าสลักสำคัญอะไร แต่บางคนก็มองว่ามันเยี่ยมยอด มีคุณค่า

เอ...จะจัดเป็น แบกะดิน แบบ สองคนยลตามช่อง หรือเปล่าครับ ???


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ต.ค. 07, 14:45
     จากคห. คุณศรีฯ ทำให้นึกถึง Kitsch ครับ

      http://en.wikipedia.org/wiki/Kitsch

       เคยดูสารคดีสั้นๆ จากเยอรมัน (คำนี้เป็นคำกำเนิดจากเยอรมัน) พาไปดูสิ่งของต่างๆ ทั้งรูปถ่าย ของใช้ ของประดับเก่าๆ เชยๆ
ที่ไม่ใช่งานฝีมือ หรืองานศิลป์ขึ้นหึ้ง แต่มีคุณค่าให้บางคนที่ "เล่นของ" แบบนี้หามาสะสมกัน

       ได้เก็บบทความภาษาไทยหนึ่งชิ้นไว้ ขอนำมาแสดงไว้ดังนี้ ครับ

                เมื่อของเก๊กลายเป็นของเท่

สุธี คุณาวิชยานนท์

         หนึ่งในคำเท่ปนขลังที่ทำให้ผมงุนงงก็คือ คำว่า คิทช์ (kitsch) ดูเหมือนว่าคำๆ นี้ จะเป็นหนึ่งในคำสำคัญของ ศิลปะแนวโพสท์โมเดิร์น
ที่ชอบทำอะไรขวางหูขวางตาพวกอนุรักษนิยม
         หากจะแปลคำๆ นี้ออกมาเป็นคำไทยเพียงคำเดียว ดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะดูเหมือนว่าจะหาคำที่มาแทนกันตรงๆลำบาก เคยมีคนถอดเป็นภาษาไทย
เอาไว้ว่า     “กำมะลอ” ซึ่งแปลเป็นไทยอีกชั้นหนึ่งได้ว่า “ของปลอม ของที่ไม่ใช่ของแท้”     
แต่ทว่า “กำมะลอ” คำนี้ยังไม่สามารถถ่ายทอดความหมายในอีกมิติหนึ่งออกมาได้
                เพราะคำว่า คิทช์ ยังมีมิติของ “ความเชยและของโหล” อยู่ด้วย

         อันว่าของที่เป็น “กำมะลอ ปลอม ของโหลๆ และเชย” นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวิจิตรศิลป์หรือศิลปะชั้นสูงทั้งหลาย
ศิลปะสมัยใหม่ที่เคยเป็นของแปลกปลอมสำหรับศิลปะตามหลักวิชา (academic art) และศิลปะคลาสสิคชั้นสูงในอดีต ก็มีท่าทีหยามเหยียดของที่เป็น คิทช์
พวกสมัยใหม่เห็นว่า คิทช์ นั้นเป็นของตลาดระดับ “แมส” มหาชนคนชาวบ้าน เป็นเรื่องของสินค้าผลผลิตอุตสาหกรรม บ้างก็เรียกมันว่าเป็น โลว์ อาร์ต หรือ
โลว์ คัลเจอร์ (Low art, Low culture) เป็นศิลปะระดับล่าง วัฒนธรรมระดับต่ำแบบวัฒนธรรมย่อย

         ของที่จัดว่าเป็น คิทช์ มีทั้งที่เป็นสินค้าราคาถูกตามตลาด ของที่ระลึกขายนักท่องเที่ยว ของที่จำลองลอกเลียนแบบงานศิลปะมาสเตอร์พีซ
ของที่เป็น คิทช์ มักจะมีสีที่สดฉูดฉาดแบบสินค้าตามตลาด เป็นของที่มองปั๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของที่ผลิตออกมาเป็นอุตสาหกรรม ไม่ใช่ของแฮนด์เมดทำมือ
ที่มีอยู่แค่ชิ้นสองชิ้นในโลกนี้ อะไรทำนองนั้น

          คิทช์ มักจะเป็นที่รังเกียจของพวกปัญญาชน ศิลปิน คนชนชั้นสูง ซึ่งมักจะมีรสนิยมที่สูงส่ง จะซื้อจะใช้ของอะไรก็ต้องเป็นของดีราคาแพง เป็นของแท้ของต้นฉบับ
ไม่ใช่ของราคาถูกของโหลแบบที่ชาวบ้านใช้กัน
         ศิลปะสมัยใหม่หรือ โมเดิร์น อาร์ต คือศิลปะที่ทวนกระแสความนิยมของสังคม เป็นศิลปะที่ต่อต้านขัดขืนรสนิยมของตลาดมหาชน ศิลปะสมัยใหม่ จึงต่อต้าน คิทช์
         ศิลปะหลังสมัยใหม่ หรือ โพสท์โมเดิร์น อาร์ต คือกระแสศิลปะที่ต่อต้านและท้าทายศิลปะสมัยใหม่ ดังนั้น คิทช์จึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับพวกโพสท์โมเดิร์น อาร์ต
เพื่อใช้ในการต่อต้าน โมเดิร์น อาร์ต

มีต่อ...


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ต.ค. 07, 14:56
       มาร์เซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ใช้โถฉี่ชายเย้ยหยันศิลปะชั้นสูง
       เหล่าศิลปินใน พ็อพ อาร์ต (Pop Art) อย่าง แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ใช้ภาพดารา โฆษณาสินค้าและการใช้สีฉูดฉาดมาทำศิลปะ
       รอย ลิชเทนสไตน์ (Roy Lichtenstein) ใช้ภาพการ์ตูนสิ่งพิมพ์ราคาถูกมาทำเป็นงานจิตรกรรม
       เคล โอลเดนเบิร์ก (Claes Oldenburg) นำเอาของใช้จำพวก “ขัดหม้อไหไชรูส้วม” มาสร้างเป็นประติมากรรมขนาดยักษ์
       เจฟ คูนส์ (Jeff Koons) นำเอาสินค้าของโหลมาผลิตใหม่ให้ใหญ่และทำจากวัสดุดีๆ ที่มีค่า และเจ้าตัวยังเคยโพสท่าถ่ายรูปโป๊กับเมียดาวยั่วในแบบไร้รสนิยมสุดๆ
       เพียร์ และ จิลล์ (Pierre et Gilles) ช่างภาพคู่เกย์ฝรั่งเศสถ่ายภาพชาวเกย์ในแนวภาพถ่ายย้อนยุคเชยๆ
       จะว่าไปแนวการทำงานศิลปะและงานออกแบบโดยใช้ของเชยใช้ของแนวคิทช์ ย้อนยุคนั้น ออกจะเป็นกระแสนิยมในหมู่ศิลปินผู้นำกระแสในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา

       ไม่ว่าจะเป็นงานดีไซน์แนว รีโทร (retro) ที่ใช้ลวดลายและสีสดแบบงานยุค “เซเว่นตี้ส์” (70s หรือคริสต์ทศวรรษ 1970) กระแสนิยมสะสมแผ่นเสียงเก่าที่มีงานออกแบบปก
แบบยุคเก่าๆ ประมาณ “60s” และ “70s” กระแสนิยมในเฟอร์นิเจอร์พลาสติกสีขาวและสีสดที่กลับมาอีกแล้วในหมู่คนทันสมัย หรือจะเป็นภาพยนตร์ไทยย้อนยุคด้วยการย้อมสี
ให้ฉูดฉาดผิดธรรมชาติ แบบที่เคยพ้นยุคไปแล้วอย่าง ฟ้าทะลายโจร ของ วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง หรือการเอาหนังไทยเก่าๆ เชยๆ มาเป็นต้นแบบ และยังใช้วิธีการพากย์เสียงทับ
แบบหนังสมัยมิตร-เพชรา ในภาพยนตร์เรื่อง หัวใจทรนง (The Adventure of Iron Pussy) ของผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

        สำหรับในวงการทัศนศิลป์ของไทย ก็มีศิลปินที่ใช้ คิทช์ไทย ไปสร้างชื่อโด่งดังในระดับนานาชาติอยู่เหมือนกัน เช่น
      นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล นำเอารูปแบบของการ์ตูนไทยราคาถูกไปทำเป็นของประกอบกิจกรรมศิลปะร่วมสมัย และในงานศิลปะของนาวิน ยังมีการใช้รูปแบบการเขียน
ภาพโปสเตอร์หนังไทยสมัยที่ยังเขียนด้วยมือมาประกอบในศิลปะจัดวางของเขา (ภาพโปสเตอร์หนังประเภทที่มีชื่อหนังตัวโตๆ มีหน้าของ สมบัติ เมทะนี และ
อรัญญา นามวงศ์ โผล่เด่นขึ้นมา มีเปลวไฟของระเบิดแทรกอยู่ด้านล่าง ภาพดาวยั่วซ้อนอยู่ข้างๆ และมีภาพ ดอกดิน ยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ใกล้ๆ ในยุคที่โรงหนังเฉลิมกรุง
เฉลิมไทยยังเฟื่องฟู) หรือ ศิลปินไทยอีกคน
      สุรสีห์ กุศลวงศ์ จัดตลาดสดแบบไทย มีทั้งแผงลอยสารพัดอย่าง โชว์สินค้าคิทช์ไทย อย่างพวกของใช้พลาสติกสีสดแจ๋น ตุ๊กตาเป่าลมรูปการ์ตูน พรมเช็ดเท้าสีบาดตา ฯลฯ
มาทำการแจกฟรีบ้าง ขายถูกบ้าง เมื่อกิจกรรมแบบนี้ คิทช์ไทย แบบนี้ไปปรากฏในมหกรรมหรือในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติชั้นนำของโลก คิทช์ไทยกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย
ที่แสนเท่ไปเลยทีเดียว

          ใครบางคนอาจนึกปะติดปะต่อไปว่า การที่เอาของระดับชาวบ้านชอบหรือของที่เป็นคิทช์ มาทำเป็นศิลปะหรือนำมานำเสนอในบริบทของศิลปะนั้น
จะเป็นการทำให้ชาวบ้านเข้าใจและชื่นชมในศิลปะร่วมสมัยกันมากขึ้น ในหลายกรณีเหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดฝันเพราะเมื่อพูดถึง “ศิลปะ”
คนดูระดับชาวบ้าน โดยมากจะคาดหวังที่จะได้ดูของสวยๆ งามๆ ที่เป็นแบบศิลปะระดับสูง ครั้นเมื่อได้มาหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย กลับต้องมาเห็น
ของที่ตัวเองใช้อยู่ที่บ้านทุกวัน ก็เกิดความงุนงงและเบื่อหน่าย บ้างก็หลุดปากออกมาในทำนองว่า ของอย่างทำเองที่บ้านก็ได้ คล้ายกับที่สมัยหนึ่งชาวบ้านพูด
แดกดันว่า งานนามธรรมแบบที่เป็นสีเลอะๆ ป้ายไปมา ลูกหลานทารกหรือไม่ก็ลิงค่างชะนีก็ทำได้

           เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ ที่ผันแปรไม่คงที่ ของที่เท่ทันสมัย เมื่อเวลาผ่านไป กลับกลายเป็นเชยเห็นแล้วต้องร้อง “ยี้” ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง
“ยี้” กลับกลายเป็น “เยี่ยม” ไปได้อีก ของที่เป็นศิลปะล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะหลายชิ้นโดนด่าเมื่อแรกสร้าง ต่อมากลายเป็น
ผลงานชั้นเยี่ยม ศิลปะอีกมากมายที่สร้างความฮือฮาในตอนแรก แต่ต่อมากลายเป็น คิทช์ กลายเป็นขยะไปก็มีเป็นความอนิจจังที่ปฏิเสธไม่ได้



กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 11 ต.ค. 07, 17:36
จบแค่นี้หรือครับ...กำลังอ่านสนุกทีเดียว
คิดว่าอาจารย์สุธีกำลังพูดถึงสองสิ่งราวกับเป็นสิ่งเดียวกัน
1 คิทช์ ที่เข้ามาปรากฏอยู่ในศิลปะ
2 ศิลปะ ที่ผ่านไปนานวัน กลายเป็นคิทช์ไปเสียงั้น

ผมจึงยังไม่เข้าใจเป้าประสงค์ ที่แกจะชี้สักเท่าใดนัก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 11 ต.ค. 07, 23:07
ตามอ่านนิ่ง ๆ มาหลายวัน  พอได้อ่านคุณศรีปิงเวียง  กับคุณศิลา มาว่าเรื่องคุณค่า และคิทช์ ดิฉันย้อนนึกไปถึงวิชา "ปรัชญาเบื้องต้น" ค่ะ  จำได้ว่าปรัชญาแบ่งเป็น 4 ........(เรื่อง/สาขา/ภาค/?) คือ อภิปรัชญา ถกเถียงกันเรื่อง ความจริงคืออะไร  ญาณวิทยา ถกเถียงกันเรื่อง ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร  จริยศาสตร์ ถกเถียงกันเรื่อง คุณค่า และความดีคืออะไร  สุนทรียศาสตร์ ถกเถียงกันเรื่อง ความสวยงาม หรือศิลปะคืออะไร  จะเห็นได้ว่าเรื่องหลัก ๆ อย่างนี้ถกเถียงกันมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วค่ะ  แล้วก็ยังจะถกเถียงกันต่อไป ให้คนรุ่นต่อ ๆ มาศึกษารวบรวมเป็นงานวิจัย  และทฤษฎี เราคงหยุดเถียงกันไม่ได้นะคะ  เดี๋ยวนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก และPost Docter ทั้งหลายจะไม่มีหัวข้องานวิจัย

ตอนที่เรียนอยู่ไม่ได้ชอบวิชานี้เลย  สงสัยว่ามหาวิทยาลัยเขาจัดให้วิชานี้เป็นวิชาบังคับได้อย่างไร  เรียนไปทำไม  จบออกมาทำงานแล้วเจอปัญหาหลาย ๆ อย่างที่ทุ่มถกเถียงกันกันไม่รู้จบถึงได้เข้าใจค่ะว่า  ไอ้ที่เถียงกันถ้าจับประเด็นดี ๆ มันก็จะอยู่ในพวกนี้แหละ  วิชานี้เขามีไว้สร้างความเข้าใจ ให้เรารู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ วิจารณ์  และจับประเด็นไว้ให้มั่น ๆ จะได้ไม่หลงประเด็น  ก็ขนาดไม่หลงประเด็นยังจบกันไม่ลง  จนแยกแยะเป็นทฤษฎีต่าง ๆ มากมายเรียนกันไม่หมด  แล้วถ้าหลงประเด็นก็พูดกันไม่รู้เรื่องนั่นเอง

ขอเวลาไปอ่านทบทวนวิชานี้ก่อนนะคะ  เดี๋ยวค่อยมาแจมว่า คิทช์ เป็นศิลปะ หรือไม่เป็นศิลปะ พิจารณาอย่างไร  แล้วทำไมคุณค่าของสิ่งเดียวกันถึงได้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 11 ต.ค. 07, 23:36
           นี่ก็ใกล้ยามเกี่ยวข้าวแล้ว  ปกติก็จะหาหมักเหล้าเตรียมไว้เลี้ยงหมู่พวกที่มาช่วยกัน  เหล้าโท(สาโท)หอมกรุ่น  อบอุ่นยามหนาวตอนฟาดข้าวกลางคืน  ยอดเยี่ยมที่สุด  เคยมีพรรคพวกเอาไวน์ ที่ว่ารสดี  หรือวิสกี้ขวดเหลี่ยมๆที่ว่ารสละมุน  ดื่มแล้วไม่เห็นติดใจหรือน่าถวิลหาเลย  ดันมาค่อนขอดว่าเราไม่มีเทสต์ซะอีก  มันแย่ตรงที่ว่าตอนนี้จะมาหมักเหล้าก็กลัวโดนจับ  กฎหมายเค้าห้ามไว้  เลยจำต้องฝืนใจไปซื้อเจ้าพวกมียี่ห้อมีแบรนด์มาเลี้ยงพวก  ช้ำใจจริงๆ  คิดถึงสาโทหอมๆกลิ่นข้าวใหม่ๆลมเย็นๆหยอกล้อกันไปฟาดข้าวกันไป  ซดปลาไหลต้มเปรตร้อนๆหอมกลิ่นตมอ่อนๆเคล้ากลิ่นฟางใหม่ยามเอนกายพักเหนื่อย  ของแบกะดินแบบนี้ไม่ต้องไปขึ้นห้างไหนหรอก อิอิ   อยากมาตั้งวงกันไหมท่านพิพัฒน์

          ดูหนังฟังเพลงมันแล้วแต่อารมณ์ครับ  หนังบางเรื่องที่ว่าโกยเงินกันอักโข  ทำให้เราต้องแจ้นไปดูกลัวคุยร่วมวงกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง  แต่ออกมากลับงงปนสงสัยว่าไม่เห็นจะเยี่ยมเท่าไหร่เลยก็เหมือนๆกับหนังไทยทั่วๆไป  ก็โดนเอ็ดอีกว่า"แกเป็นกรรมการหนังหรือไง  มาพักผ่อนดูหนังมาซีเรียสอะไรกันกับรายละเอียด"  เออหรือจะจริงอย่างพวกว่า  มาดูหนังตลกก็เอาขำ  ดูหนังเศร้าก็เอาแบบได้น้ำตา  หรือหนังผีก็ได้เสียวสยอง  ก็พอแล้ว  แสงสีมุมอะไรช่างมัน  ถ้าดูหนังตลกได้ขำเยอะก็คือดีไง  นี่หรือปล่าวคือที่เราเรียกว่า รสนิยมการดูหนังของคนไทยเราทั่วไป  ตลาดเลยออกมาทำนองนี้
        เปิดเพลงไปพิมพ์งานไปผมก็คงฟังเพลงแบบนึง  ประเภทโจ้ วงพ้อส  สบายๆ  ตั้งวงก็เพื่อชีวิตทันที มาลีฮวนน่า  คาราบาว  ว่ากันไป  ขับรถกลับชอบเพลงหนักๆ  ประเภทนิวเมทัล  พวกKorn แต่ฟังอะไรก็ชอบนะคือมีแนวชอบอยู่  แต่ก็แนวอื่นๆก็ได้ฟังเค้าร้องว่าดีทั้งนั้น (เพราะเราร้องไม่เอาอ่าว)  สำเนียงภาษาความละมุนละไมว่ากันทีหลัง  นี่อีกหรือปล่าวที่เป็นรสนิยมส่วนมาก(อีกแล้ว)  ตลาดเลยเป็นแบบนี้

         ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งยวดปวดกระดองใจครับผม   เรื่องภาพผ้ากาสาวพัตร์ห่มสัตว์เดรัจฉาน  และก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันกับรูปแบบการประท้วงของหลวงพี่ทั้งหลาย  จนทำให้อุบาสกอุบาสิกาต้องมาค่อนขอด  ผมจำได้ตอนที่นักวาดท่านนึงวาดรูปยักษ์ที่ว่าคล้ายหัวโขนกับสตรีนุ่งน้อย  กรมศิลป์ออกมาโวยวายจนต้องพับฐาน  สิ่งนับถือมันละเอียดอ่อนครับกับการแสดงออก   แน่ล่ะการแยกแยะในสังคมเรื่องส่วนดีส่วนเลว  แม้แต่เรื่องพระท่าน  หลวงพ่อคูณยังเคยว่า "พระก็คน  เอาคนมาทำพระ  คนมีดีมีชั่ว  พระก็เหมือนกันล่ะโยมเอ๊ย"  ในพระไตรปิฎก ในอรรถกถา  มีมากมายทั้งเรื่องพระเสพเมถุน  พระเปลือยกายอาบน้ำ  หรือเปรียบภิกษุโมฆะทั้งต่างๆครับ  แต่จะเอามาแสดงแบบนี้มันทำร้ายความรู้สึกครับ  ศาสนาไหนๆก็คงไม่ยอมแน่นอนครับ  ย้ำว่าแน่นอนครับ  สถาบันหลักแท้ๆมีวิธีการสั่งสอนหรือจัดการอีกเยอะครับ  เหมือนประเทศเรามีทั้งดีและไม่ดี  แต่ใครจะมาแสดงแบบนี้ผมคงยอมรับได้ยาก  นักวิชาการทั้งหลายที่ออกมาวิจารณ์หรือตัดสิน  ผมขอยอมรับในวิจารณญาณครับ  แต่ส่วนสันดานความรู้สึกจิตสำนึกของตัวผมเอง  ทำใจยอมรับตามไม่ได้จริง.........ขออภัยครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 00:37
เฮ่อ......... เจอคำพูดว่าคิชต์ทีไร..... พาลจะนึกถึงคนรู้จักคนหนึ่งทุกที

เอาเป็นว่าเธอเป็นคนฝรั่งเศส ก็เข้าทำนองฝรั่งตาน้ำข้าว ผมทองตาฟ้า
ทำงานเป็นดีไซน์เนอร์ของห้องเสื้อแห่งหนึ่งในประเทศของเธอ

วันดีคืนดี เธอก็บินลัดฟ้ามาเมืองไทย หาผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก
....เย็นวันนั้น ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็โทรมาหาผม ขอให้ผมช่วยพาคุณเธอคนนี้ไปเที่ยวทีเพราะเห็นว่าผมอาจจะพอรู้เรื่องผ้าบ้าง....



วันรุ่งขึ้นผมก็เลยต้องพาคุณเธอไปเที่ยว...

จัดโปรแกรมพาไปดูผ้าผ่อนท่อนสะไบของคนโบราณถึงตำหนักพระองค์อรทัยฯ
คุณผู้ฉิงคนนั้นเธอก็งอศอกขึ้น กระดกข้อมือลง แล้วเหยียดนิ้วชี้
กรีดเสียงเป็นภาษาอังกฤษแจ๋นแล้วหันมาพะยักพะเยิดกับผมว่า
Oh so kitsch! Why they can were a thing like this?
Oh what's a kitsch style, they can mixed up brocaded, chintz and embrioderies!!!!!
และอีกมากมายที่ฟังแล้วมันเสียแทงใจยังไงก็บอกไม่ถูก

ช่วงบ่ายก็เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศพาเธอไปชมกรุสะสมผ้าพื้นบ้านแทน
ดูไปเธอก็บ่นไปทั้งเรื่องการใช้สี เรื่องลายที่ไม่มีช่องว่าง และอีกนับสิบๆเรื่อง
ที่ฟังแล้วถ้าผมเป็นคนทอผ้าคงอยากกินยาพิษตายไปให้รู้แล้วรู้รอด


จนตอนเย็นนู่นแหละครับ ผมถึงได้ถามเธอว่ามาดูของไทยแล้วไม่ชอบเลยเหรอ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนะ
เธอก็ตอบผมมาตรงๆว่า "ไหนป้ายที่พิพิธภัณฑ์เขาบอกว่าคนไทยรับวัฒนธรรมมาจากอินเดีย ทำไมคนไทยถึงได้ "เชย" และ "เสร่อ" แบบนี้ล่ะ"
ฟังแล้วฉุนกึกขึ้นจมูกมาทันที........ เลยลองถามประชดๆไปว่าพาไปดูนู่นดูนี่ก็ไม่ชอบ อยากไปดูอะไรล่ะ
เธอก็เลยตอบมาว่า...... ชั้นอยากไปพัฒน์พงศ์ ที่มันมีผู้ชาย&#^@%#@&$)ให้ดูเยอะๆน่ะ  ::)





ผมถึงได้ถึงบางอ้อว่า รสนิยมพวกฝรั่งเศสนี่..... แกเป็นแบบนี้นี่เอง....... ทำไมคนไทยยังหิ้วแอร์เมสอยู่ได้ว๊า..... เอากะเขาดิ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 12 ต.ค. 07, 03:28
ที่จริงของแบกะดิน สองตาไม่แลไม่ได้แล้วในยุคเศรษฐกิจสวะๆเช่นนี้ และของห้างก็ไม่อยากจะซื้อเพราะเงินค่าน้อยลงทุกที ดิฉันโชคดีหน่อยตรงที่ทำงานในเครือที่มีโรงงานทำพวกอุปโภค บริโภคทุกอย่างที่ศีรษะจรดปลายเท้าต้องใช้ เลยใช้วิธีซื้อวันที่เขาลดให้พนักงาน หรือเดินไปที่โชว์รูม ของสามพัน ขายเจ็ดร้อย และแท้ด้วย หรือพันกว่าขายสองร้อยห้าสิบ
ส่วนของนอกเดี๋ยวนี้ หลายแบรนด์ก็ทำในจีนค่ะ
ดิฉันว่า อย่าไปตำหนิเขาเลยจะใช้แอร์หม่งแอร์เมส คุณติบอคะ การใช้เงินของคนเรามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราหาได้มากน้อยแค่ไหนแต่อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้เท่าไหร่มากกว่า
ไอ้แบรนด์นี้ คนนำเข้าเขาชอบของเขา เพราะเธอเป็นถึงลูกสาวตระกูลพ่อค้าวานิชใหญ่ของไทย เขาก็วางกลุ่มที่จะซื้อไว้ของเขา เราไม่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหามาประดับกาย ก็สบายไป ไม่ต้องเสียเงิน
ในหลักของการสร้างแบรนด์ จากการโฆษณาเราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายก่อนและสร้างแบรนด์จากความเข้าใจนี้
กลุ่มเป้าหมายแบ่งเป็น 3 แบบ sustenance/outer directed และ inner directed
ขอมาขยายความตอนสายๆค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 10:14
สายแหล่ว........
ขออนุญาตมานั่งรอฟังคุณกุ้งแห้งเยอรมันเล่าครับพ๊ม


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 10:24
มีหลายประเด็นงอกเงยขึ้นมา ล้วนแต่น่าคิดต่อ
ของป้ากุนเรื่องความสถาวรของรสนิยม หรือแท้จริงคือความฉาบฉวยแห่งคุณค่า
ของคุณติบอเรื่องรสนิยมสร้างใหม่ หรือรสนิยมโดยมรดก
ของคุณบานาเรื่องผมเข้าใจ แต่ผมไม่ชอบ
และ ......คุณกุ้งแห้ง เรื่องแบรนด์ข้า มิใช่แบรนด์ท่าน ท่านอย่าเกี่ยว
ดูท่าห้างของผม จะมีแต่ของดีหามีแบกะดินไม่....ฮิฮิ

อย่างไรก้อดี เอ...รึว่าเลวก้อม่ายรุ
ผมยังยืนหยัดที่ความฝังใจ ณ จุดตั้งต้นที่ว่า เอาของเลว มาขายเป็นของดี ทำได้งัยยย ?????
จตุคาม ฤาจะเทียบชั้นพระสมเด็จ
แต่.....ในประเทศพิลึกแห่งหนึ่ง ก็ทำกันจนจะเข้าไกล้กันทุกขณะ

ขอแย้งคุณบานาสักนิดนะครับ ที่ท่านพรรณามานั้น หาแบกะดินไม่เป็นของดีทีเดียวแหละ
ทั้งปลาร้าเอย สาโทเอย หากจะนำขึ้นห้างกระผม ก็ยินดีกวาดพ่อนักเดิน พ่อตราดำ
หรือพ่ออะไรๆ ที่ล้วนแต่เป็นเครื่องดองออกจากชั้น เปิดทางให้อย่างเต็มใจ
เพราะต่างก็ล้วนทำคนให้กลายเป็นสุนัขเมื่อยามเมาได้เท่ากัน
ส่วนรูปที่ท่านไม่ชอบนั้น คิดเสียว่า เรานั่งรถไปโดยมีโชเฟ่อร์ที่ขับเร็วเกินจะรับได้ และอาจพาคนทั้งคันรถไปสู่อบายภูมิ
หากจะเตือน ส่งเสียงเบาๆ ท่านคงจะมิฟัง อันที่จริงควรจะ "ดีด" ท่านลงไปเสียด้วยซ้ำ
การตะโกนดังๆ เพื่อห้ามปรามอาจจะยังน้อยไป
นี่หากย้อนเวลาไปถึงปี 2311-2325 ภิกษุกาทั้งหลายเห็นจะได้เกิดใหม่
(เอ   หรือว่านี่เป็นพวกนั้นมาเกิดใหมแล้วหว่า)

ส่วนป้ากุนนั้น หากท่านลากตำราแสนขมเรื่องปรัชญามา ผมคงต้องปิดห้างหนี.....แหะๆ
เรื่องของดี มีวันเสื่อมหรือไม่
ผมว่าคิดตามประสาโง่ก็ตอบได้ว่า เมื่อเสื่อมได้ ก็ต้องไม่ใช่ของดีแท้น่าซี
ในโลกที่ผมอาศัยอยู่นี้ มีบางอย่างที่เห็นว่าไม่น่าจะกลายค่า เช่นเรื่องศีล 5 เรื่องการสำนึกพระคุณ
เรื่องเสียสละ ซึ่งล้วนแต่ละเอียดอ่อน คิดได้ยากแต่ก็เข้าใจง่าย
ง่ายกว่าเรื่องหยาบๆ ประเภทศิลปะสวยงามหรือไม่อย่างไร

ในศิลปะนั้น เรามีเครื่องมือง่ายๆ ที่เอาไว้สับดูเนื้อในของมัน ก็คือลองถามใส่งานว่า
ที่ท่านทำมานี้ ท่านได้ประโยชน์หรือคนดูได้ประโยชน์

อะไรที่ไม่สร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็เป็นเพียงรสนิยมได้ละกระมัง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ต.ค. 07, 10:29
         จบแค่นั้นครับ จากบทความคุณสุธีและความเห็น ๒ ข้อของคุณพพ. เลือกข้อ ๑ - ศิลปะที่ใช้คิทช์ ครับ
ตัวคิทช์เองไม่เป็นงานศิลปะแต่เป็นสิ่งที่ศิลปินยุคหลังสมัยใหม่นำมาใช้ในงานของเขา

      จากบทความที่กล่าวถึงงานภาพยนตร์เรื่อง ฟ้าทะลายโจร ทำให้นึกเปรียบเทียบงานสองชิ้นที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ
      ฟ้าทะลายโจร ดังกล่าวกับ ข้างหลังภาพ งานชิ้นสุดท้ายของคุณเชิด ทรงศรี ผู้ล่วงลับไปแล้ว
  
       โดยส่วนตัวมองว่า ฟ้าทะลายโจร เป็นงานสร้างสรรค์ บรรจงใจประดิษฐ์อย่างฝากฝีมือให้ออกมาย้อนยุคใส่สีฉูดฉาดแต่งดงาม สั่นสะเทือนใจได้ผลเป็น
งานศิลปะ(แขนงที่เจ็ด) ที่ใช้คิทช์
       ในขณะที่ ข้างหลังภาพ ของคุณเชิด เป็นงานที่ค่อนข้างผิดหวังเหมือนกับหลายๆ คนที่บ่นว่าเชยและพ้นสมัย นักวิจารณ์บางคนบอกว่า นึกถึงงานแบบยุคหลังสมัยใหม่
       ดูแล้วข้างหลังภาพออกจะเป็นคิทช์โดยตัวหนังเอง ในแง่เก่าๆ เชยๆ ชวนให้หวนคิดถึงหนังไทยในอดีต แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดคิทช์ที่เป็นงานโหลๆ ไม่ใช้ฝีมือ
หากกล่าวได้ว่าฝีมือดูตกไปมาก เมื่อเทียบกับงานชิ้นเอกอย่าง แผลเก่า
       ก่อนเรื่องแผลเก่า คุณเชิดเคยสร้างหนังคิทช์หลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง อกธรณี ที่ช่องหลายสีนำมาสร้างเป็นละครเย็นฮอทฮิททั่วบ้านทั่วเมือง ครับ  

        


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 12 ต.ค. 07, 11:35
ไม่สบายค่ะ โดนฝน คุณติบอ ขอค่ำๆนะคะ เรื่องมันยาว และต้องมีตัวอย่าง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 11:54
กินยา ดื่มน้ำอุ่นมากๆ  แล้วพักผ่อนนะคะ คุณกุ้งแห้ง 
อย่าแข็งใจทำงานต่อให้เสร็จ    จะเป็นหวัดหลายวันไม่หายสักที

สนุกมากตั้งแต่คุณ Sila จุดประกายเรื่อง Kitsch ขึ้นมา     คุณพิพัฒน์เคยพูดเรื่องนี้ในอีกเว็บหนึ่งมาแล้ว
อยากจะฟังอีกครั้ง  เพราะหาของเก่าครั้งนั้น มาเล่าซ้ำไม่ได้ ทำให้ชักจะนึกไม่ออกแล้วว่าคิทช์คืออะไรกันแน่
ไปค้นรูปในกูเกิ้ลก็เห็นคิทช์สารพัดชนิด ไม่เหมือนกันเลย 
หนึ่งในนั้นคือขวดนี้ละค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 12:09
นี่เขาก็ว่า เป็นคิทช์


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 12:12
นี่ก็คิทช์ ค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 12:39
ที่ยกมายังคิตช์ไม่แท้ครับ

เรื่องคิตช์นี่ แล้วแต่จุดยืนครับ
กรณีที่อาจารย์สุธีท่านเล่าไว้ ผมไม่คิดว่าเข้าข่ายคิตช์ ยิ่งการสร้างหนังแนวล้อเลียน ไม่ว่าหนักหรือเบาก็ไม่ใช่
หนังที่ว่าห่วยของคุณเชิด ก็ไม่ใช่
เราเริ่มที่จุดตั้งต้นดีกว่า

คิตช์น่าจะหมายถึง "ต่ำ ทราม" โดยเน้นที่รสนิยมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมูลค่า ราคา หรือสังกัดทางวัฒนธรรม
และ หากจะเข้าใจชัดยิ่งขึ้น ก็มักจะหมายถึงการนำสิ่งที่ไม่ควรใช้ มาใช้โดยปราศจากความคิดอันแยบคาย
(แหม่....พ้มน่าจะไปสมัครเป็นพนักงานบัญญัติศัพท์แฮะ)

เอาอย่างง่ายๆ ที่สุดก็คือ รสนิยมแบบกเฬวราก เช่นไปขี่คอพระพุทธรูปเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
นั่นล่ะ สุดยอดแห่งคิตช์
แต่ตัวอย่างที่ตำรามักจะใช้กัน ก็คือการเอารูปโมนาลิสามาพิมพ์ลงผ้าเช็ดตัว
(ซึ่งน่าประหลาดใจว่า เดี๋ยวนี้สารพัดมิวเซียม ทำกันเกร่อ)

ในชีวิตประจำวัน คิตช์เป็นเหมือนดัชนีวัดสุขภาพทางรสนิยม
วันใด คุณแต่งองค์ออกจากบ้าน ด้วยเครื่องหุ้มห่ออันพิลึก เช่นแต่งชุดนอนไปเดินเซนเตอร์ป้อยท์
นั่นละ คิตช์แท้ๆ

ยกตัวอย่างคิตช์สนิทที่เห็นตำตาทุกสัปดาห์ก็คือรายการคุณพระช่วย ที่ชอบเอากลองชุดมาตีกำกับจังหวะแก่ดนตรีไทย
ช่างสามานย์จริงๆ เทียว คิดได้ไงไม่รู้


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 13:34
ไม่สบายค่ะ โดนฝน คุณติบอ ขอค่ำๆนะคะ เรื่องมันยาว และต้องมีตัวอย่าง


เมื่อไหร่ก็ได้ครับ คุณกุ้งแห้ง
สุขภาพคุณกุ้งแห้งสำคัญกว่าเรื่องเล่าเป็นไหนๆครับ

ไว้ให้คุณกุ้งแห้งสุขภาพดีแล้วค่อยกลับมาเล่า
ผมก็จะรอฟังเสมอครับผม




ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ (น้องนุ่งในบอร์ดเป็นห่วงพี่กุ้งแห้งกันทุกคนคับ)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 13:40
วันใด คุณแต่งองค์ออกจากบ้าน ด้วยเครื่องหุ้มห่ออันพิลึก เช่นแต่งชุดนอนไปเดินเซนเตอร์ป้อยท์
นั่นละ คิตช์แท้ๆ


เห็นคำนี้เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าแฟชั่นชุดนอนของสาวๆตอนนี้โดนครหาอยู่เลย.....
แง่ว...... มานเปน แฟชั่นม่ะได้เหรอคับ คุณพิพัฒน์
ที่สาวๆจะเอาเดรสตัวสั้นๆหน้าตาเหมือนลูกครึ่งระหว่างพ่อชุดนอน กับแม่ชุดคลุมท้องมาใส่อ่ะคับ แหะๆ





ยกตัวอย่างคิตช์สนิทที่เห็นตำตาทุกสัปดาห์ก็คือรายการคุณพระช่วย ที่ชอบเอากลองชุดมาตีกำกับจังหวะแก่ดนตรีไทย
ช่างสามานย์จริงๆ เทียว คิดได้ไงไม่รู้

สำหรับอันนี้...... ขอ kitsch ด้วยคนคับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 15:12
.


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 16:52
ขอทำแบบฝึกหัด
อย่างนี้นับเป็นคิทช์ไหมคะ
http://z.about.com/d/teenfashion/1/0/3/2/-/-/00450m.jpg


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 18:01
ขออนุญาตส่งแบบฝึกหัดด้วยคนครับ
(ถ้าคุณพิพัฒน์ยังรับตรวจอยู่)



อย่างมันฝรั่งทอดรสแปลกๆ แบบหมึกย่าง โนริสาหร่าย ปูผัดผงกระหรี่ กุ้งมังกร ฯลฯ พวกนี้พอจะ kitsch มั้ยครับ




.


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 18:38
เก้าอี้ลายธงชาติกับโดนัทยักษ์ ไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายคิทช์หรือเปล่า
แต่โถส้วมทองคำ....


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 18:52
โอ้พระเจ้า คิชรับประทาน
ใครหนอ คิดสุวรรณส้วมออกมาได้
ตรวจการบ้าน....เอ พ้มเป็นเจ้าพ่อคิชต์ไปแล้วแต่เมื่อใด(ฟะ)

แฟเชิ่นนั่น แค่เฉิ่มขอรับ ยังห่างไกลจากสวะอยู่มาก อย่าว่าแต่จะถึงชั้นสามานย์เลย
ของทอดอะไรนั่น ไม่อยู่ในประเด็นของการถกกันครับ สินค้า มีเหตุจำเป็นต้องกระแทกตาคนอยู่แล้ว
จะถ่อยเพียงใด ก็อยู่ถูกเวที

คำว่าคิตช์ หรือคิชต์ อะไรนี่ ต้องผนวกกาละ - เทศะ เข้าไว้ด้วยครับ
อย่างมวยปล้ำหมูทะลวงของลุงแซม ทำยังไงก็ไม่เป็น เพราะเขาเล่นในโลกของเขา
เว้นแต่มีใครสักคน อุตริมนุษยธรรม เอาออกมาทำชุดให้เด็กอนุบาลใส่

นั่นละอุบาทว์ของแท้ครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 ต.ค. 07, 20:20
ขอสนับสนุนท่านพิพัฒน์เรื่องกาละเทศะกับความไม่เข้ากัน  เหมือนกับที่สะพายหลุย  หรือแอร์เมส  ไปเรียนหนังสือ  แต่งเครื่องเพชรทองหยองไปวัด  หรือที่ไปตัดแต่งขนพุดเดิ้ล  จนมองคล้ายอะไรก็ไม่รู้  ไม่เป็นสุนัขน้อยๆที่น่ารักอย่างที่ควรเป็น  แต่เค้าก็ว่ามัน cool นะ

เหมือนบ้านทรงปั้นหยาหลังคามีกาแลแต่มุขด้านหน้าดันมีเสาโรมันรองรับ  kitschy แท้ๆ  บ้านใครหว่า......อิอิ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 20:26
ภาพข้างล่างนี้ได้จาก fw mail ค่ะ  มีคำอธิบายว่าเป็นแฟชั่นมาแรงของญี่ปุ่น ที่กำลังจะไปฮอทที่อเมริกา

เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยที่เปิดเข้ามาอ่านกระทู้นี้ หัวใจวายตายไปเสียก่อน 
ต้องรีบอธิบายว่าที่เห็นนั้นเป็นลายพิมพ์บนเนื้อผ้า ด้านหลังกระโปรง   ไม่ใช่กระโปรงซีทรูนะคะ
ถ้าฮิทในเมืองไทย  คงจะได้เห็นตามห้าง


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 21:12
ว่าจะไปหาภาพดอกไม้ที่ตั้งชื่อว่า pink princess มาฝากสมาชิกนักพฤกษศาสตร์กัน
แต่ดันไปเจอคุณพูดเดิลนี่ซะก่อน...... เลยไปต่อไม่ออก

เห็นแล้วสงสารหมาอย่างบอกไม่ถูก........ เอามาลงกระทู้นี้ได้มั้ยครับ



.


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 21:22

คุณติบอโพสผิดกระทู้หรือเปล่าคะ
ตัวนี้ คุณBana เห็นแล้ว คงไม่ชอบพอกันกับพูเดิ้ลสีชมพู ;)  


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 21:39
คิตช์อมตะอย่างหนึ่ง เป็นอาการแบบที่คุณบานาแถลงไว้ คือการย้ายชิ้นส่วนจากวัฒนธรรมหนึ่ง มาสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง
โดยปราศจากการสนับสนุนด้วยสภาวะที่สอดคล้องกัน
อย่างเช่น เมื่อยี่สิบปีก่อน ฮิตกันจัง บ้านทรงโรมัน....ที่สุขุมวิท 55 มีอยู่หลังหนึ่ง เป็นตัวเริ่มต้น
เจ้าของเป็นนายแบงค์ใหญ่หนวดงามที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สมองใส

หลังจากนั้นก็งอกงามราวเชื้อรา หรือเชื้อเริมก้อม่ายรุ
ถ้าผ่านไปห้าร้อยปี มีการขุดค้นทางโบราณคดีตรงแถวๆ ภาคกลาง ก่อนออกสู่ปากน้ำ
นักโบราณคดีจะต้องงงว่า นี่โรมันแผ่อำนาจมาถึงนี่ด้วยหรือ

นั่นละครับ ปฐมบทแห่งคิตช์

แต่จุดเริ่มต้น มิได้อยู่ที่ซอยทองหล่อนะครับ อยู่ที่ฟิลาเดลเฟียครับ แล้วลุกลามไปวัตชิงตั้น
คืออาคารแบบกรีกเก๊ ที่ตาแย๊คสั้น เปิดสมุดแคตตะล๊อค สร้างเอาๆ
เพราะเขาฝันว่า เขาคือเอเธนส์ยุคใหม่

การที่คนเรา ไม่รักรากเง่าของตน สะเอะอยากได้มรดกวัฒนธรรมของคนอื่น
อันนี้สมควรเรียกว่าอุบาทว์หยาบช้าสามานย์ เห็นจะพอสม
แต่ตัวอย่างของอาจารย์เทาชมพู....เห็นด้วยความปั่นป่วนใจ

อุทานได้คำเดียวว่า...."ร่าน"


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 ต.ค. 07, 21:50
แหะๆ... ผมตั้งใจลงกระทู้นี้เองล่ะครับอาจารย์


เพราะแอบรู้สึกว่าคนที่กล้าจับน้องหมามาย้อมสีได้ลงคอนี่ kitsch จนกู่ไม่กลับแล้ว........
ยิ่งหุ่นแบบนี้ ใส่ชุดสีชมพูอีกตะหาก............ ป้าแกช่างกล้าเหลือเกินนะนั่น.....



ปล. พวกที่ชื่นชมการทำมิดีมิร้ายกับสัตว์ (ที่แปลว่าการตัดตรงนู้น หั่นตรงนี้ออกไป)
อย่างน้องปลาแรดตัวนี้ที่ถูกจับฉีดสีเข้าไปใต้เกล็ดเพื่อให้ขายได้ราคา
แบบนี้เรียกว่า kitsch ไหวมั้ยครับ คุณพิพัฒน์



ปล.2 สงสารน้องหมาโบโซ่ของอาจารย์เทาชมพู  :'(


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 07, 21:56
รากเหง้าของวัฒนธรรมอเมริกา มาจากยุโรป    ไม่มีวัฒนธรรมแท้ๆ
ถ้าจะเอาแบบบ้านของแท้ของอเมริกา   ประธานาธิบดีมิต้องสร้างทำเนียบแบบล็อคเคบินของผู้บุกเบิกหรือคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 12 ต.ค. 07, 22:53
จะรากเง่าจากใหนก็คงสาวกลับไม่ถึงเอเธนส์ในยุคฟิดีแอส PHEIDIAS เป็นแน่แท้
ที่สำคัญ คนกรีก ก็เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกีดกันในระบบสังคมอเมริกันด้วย

การตู่เอามรดกคนอื่นมาเป็นของตัวนี่ ใครจะคิดยังไงไม่ทราบ แต่ผมรู้สึกผะอืดผะอม
เห็นน้องๆ ปลอมเป็นยี่ปุ่นเดินอาบสายตาประชาชีแล้ว รู้สึกคันครับ
สมัยโบราณ เรามีกฏหมายห้ามทำเทียมเจ้า ปัจจุบันอาจจะต้องออกกฏหมายห้ามทำเทียมแร่ด
นึกถึงว่า แฟนเรา น้องสาวเรา ลูกสาวเรา...และ กึ๋ยยย์ แม่เรา
ใส่ชุดชวนข่มขืนแบบนั้น ไปจ่ายตลาดอตก. โอ้ มันช่างงามหน้าอะไรอย่างนั้น

ถ้าเราอ้างเพียงคำว่าแฟชั่นแล้วทำอะไรก้อได้ ผมก้อจะเปลี่ยนตัวเองไปใช้คราบของพวกที่นี่ดอทคอม
หรือเลวกว่านั้น ไปถึงพวกเอ๊กสะตรีม
เอาภาษาและวิธีคิดอย่างนั้นมาใช้กับเวบวิชาการ และที่อื่นๆ
เมื่อทำได้จริง การศึกษาก้อไม่ต้องมีสิครับ น้องคนที่ทาอยู่นั่นแหละ ยังไม่เสร็จสักที ไม่เห็นเธอทำอะไรเลย
แค่ฉีดหน้าอก ผ่าหน้า ดูดไขมัน แหกปากดิ้นเร่าๆ ไม่เป็นภาษาคน ใครๆก็รักก็หลง บอกว่าโกอินเตอร์
หนังสือหนังหาไม่ต้องเรียน

จะเรียนไปทำไม อุตส่าห์จบตรีจากโรงเรียนช่างมีชื่อ แต่มาทำเกมส์โชว์ รวยเป็นพันล้าน
คบหากับดาราตลกที่จบแค่ป. 4 รวยสะดือบวมไปด้วยกัน
งานที่ทำก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่ออนาคตทางจิตวิญญานของชาติใดๆ ทั้งสิ้น ลอกยี่ปุ่นลูกเดียว
พอรวยแล้ว ทำพิฆเนศศวรปางวิตถาร ก็มีคนแย่งกันซื้อ
คนออกแบบก็ไม่เห็นต้องจบประติมานวิทยาจากสำนักใหน แค่นั่งเดาดวงก็กลายเป็นศาสดาจารย์
อีกหน่อยคงทำพระอิศวรปางเต้นแร๊ป กะนางอุมาปางเต้นแร้ง....เฮ้อ ประเทศอะไรกันนี่

อ้อ ประเทศสหปาลีรัฐนั่นเอง
คิดดูเหอะ ชื่อประเทศยังไม่มีเลย ตั้งมาได้ ประเทศรวมรัฐ แล้วจะมาสอนประเทศอื่นเรื่องสูงๆ
ผมเพิ่งขำกลิ้งเมื่อกี้นี้เอง นายกอร์ได้โนเบลสาขาโรคเรื้อน...เอ้ยไม่ใช่สาขาโลกร้อน
หน็อยแน่ มาเที่ยวสั่งสอนชาวโลกว่า อย่าทำโลกร้อน จนได้รางวัล
แต่ประเทศตัวเอง ไม่ขยับทำอะไรเลยสักแอะ ทั้งที่เป็นตัวการทำโรคเรื้อน เอ้ยโลกร้อน ครึ่งหนึ่ง

จีนทำเขื่อสามผา ก็หาว่าจะทำลายโลก แต่ตัวเองทำเขื่อฮูเว่อร์ อวดอยู่นั่นแหละ ว่าเป็นยอดของงานวิศวกรรม
นายพุ่มไม้บุชนั่นน่ะ ป่านนี้รู้หรือยัง ว่าโลกร้อน ไปถามแก แกจะบอกว่า ร้อนก้อเปิดแอร์ดิ....55555

โอยเหนื่อย
กระโปรงเชิญข่มขืนของอาจารย์ ทำผมสติแตกแล้วคร๊าบบบบบบ.......


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 13 ต.ค. 07, 09:00
ใช่ค่ะ รูปกระโปรงที่อาจารย์นำมาลงง ก็ทำดิฉันอึ้งไปหนึ่งวันเหมือนกัน ที่จริงมีfwd mailทำนองนี้มาอีกบ้าง ได้แต่อึ้งๆๆๆกิมย้ง ว่าขออย่ามาใส่บ้านเราเลย แค่สาวๆใส่สายสปาเกตตี้ ใส่เสื้อแนบเนื้อรัดติ้วส่วนบนไม่เหลือให้จินตนาการเลย สวมกระโปรงและกางเกงต่ำโชว์ขอบกางเกงในและเผยหน้าท้องเหมือนพวกเบลลี่ด้านซเซอร์ ดิฉันก็ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดดิฉันเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ ตัวเองจะแต่งอย่างนั้นไหม.. และเมื่อเป็นแม่คน เราจะมองเลิกแว่นลูกสาวไหม ที่เห็นเธอออกจากบ้านแต่งแบบนั้น..


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 07, 09:13
อ้าว  รูปกระโปรงที่นำมาลง ไม่ใช่กระโปรงของดิฉันนะคะ  คุณพิพัฒน์ใช้ถ้อยคำน่าหวาดเสียว  :o

เชื่อไหม  คุณกุ้งแห้ง ดิฉันว่ากระโปรงพวกนี้   ถ้ามาถึงไทย ต้องมีสาวไทยใจถึง กล้านุ่งแน่นอน
แต่อาจจะนุ่งไปเที่ยวกลางคืน  ไม่ใช่เดินห้างตอนกลางวัน
เอ๊ะ หรือไม่แน่  ;D


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 13 ต.ค. 07, 09:50
kitschมาแรงเลยนะคะ  ดิฉันไม่ได้เปิดเรือนไทยแค่คืนเดียว postยาวเหยียด  อ่านคุณpipatแล้ว  งานนี้ดิฉันขอขอบคุณค่ะ แรงได้ใจจริง ๆ ดิฉันก็รู้สึกแต่ใช้วีธีบอกเล่าแรง ๆ ไม่เป็นค่ะ  ส่วนกระโปรงที่คุณเทาชมพูนำเสนอ  ดิฉันว่าจะมีให้เห็นเดินเล่นเพ่นพล่านอยู่ที่สยามสแควร์สักวันหนึ่ง  แล้วก็อาจจะมีขายที่จตุจักร หรือร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นในสยามสแควร์นั่นแหละค่ะ 

อยากเล่าค่ะ  มีช่วงหนึ่งดิฉันจะต้องไปทำงานที่สยามสแควร์บ่อย ๆ สิ่งที่เห็นก็คือ  ช่วงเสาร์อาทิตย์  เด็กวัยรุ่น วัยเรียนระดับมัธยมนี่แหละค่ะ  ทั้งหญิงและชาย  แต่ส่วนมากหญิงค่ะ  แต่งตัว So kitsch ล่อตา Modeling มาจับกลุ่มสูบบุหรี่  แล้วบ้วนน้ำลายสร้างความสกปรก เป็นที่รังเกียจของเจ้าของสถานที่อย่างไม่รู้สึกรู้สา จะกระทำการชับไล่อย่างไรก็มาอยู่อย่างนั้น  แต่ถ้าเป็นวันจันทร์-ศุกร์ หลังโรงเรียนเลิกก็จะมีนักเรียนยังแต่งเครื่องแบบ  บางคนก็ใส่เสื้อคลุมทับไม่ให้เห็นเครื่องหมายโรงเรียน  บางคนก็เปลี่ยนเสื้อแต่กางเกงยังนักเรียนอยู่  ซึ่งดิฉันเห็นแล้วค่ะ  ก็ต้องบอกว่า  กลุ่มโรงเรียนใกล้เคียงสยามสแควร์นั่นแหละค่ะ(รู้สึกจะมีรุ่นพี่อยู่ในเว็ปนี่หลายท่านนะคะ)  เหมือนกันค่ะคือจับกลุ่มสูบบุหรี่ แล้วบ้วนน้ำลาย  ไม่รู้วัฒนธรรมนี่มาจากไหน  ดิฉันเพิ่งเคยเห็นรุ่นนี้แหละค่ะ  สูบบุหรี่บ้วนน้ำลาย  เด็ก ๆ ที่ทำดี ใฝ่ดีก็ทำกันไป  ที่หลงทางก็อย่างนี้  ดิฉันยังนึกถามว่า  พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้จะรู้ไหมนี่

ดิฉันว่าเด็กเหล่านี้ได้ความหลงผิดมาตามเหตุที่คุณpipatว่าแหละค่ะ  ไม่เห็นต้องร่ำเรียนอะไรเยอะเลย  พูดจาภาษาไทยชัดมั้ง ไม่ชัดมั้ง แต่งตัวประหลาด ๆ น้อย ๆ ชิ้น ก็มาเป็นพิธีกรรายการวัยรุ่นได้แล้ว


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 13 ต.ค. 07, 11:26
คำบ่นต่อไปนี้ ไม่ใช่คิตช์ แต่อาจจะเลวกว่า....
หลานผม อุตส่าห์เรียนจบรั้วสีชมพู ได้ปริญญาทั้งต่ำและสูงกว่าต่ำ
เพื่อมาขายสบู่กะผงซักฟอก.....กรรม

กลายเป็นว่า ที่เขาเรียนที่ดีๆ ก็เพื่อหาเหยื่อ คือคนที่จะเป็นลูกค้าของเขาในภายภาคหน้า
นี่คือวิกฤตการณ์ของระบบอบรมบ่มนิสัยที่กำลังกัดกินสังคมของเรา
ยังมีที่แย่กว่านั้นอีกครับ
จบหมอมา เพื่อจะมาขายยาลดความอ้วน ขายสบู่และผงซักฟอก...เฮ้อ ....กรรม
นี่หมอพวกนั้นไม่รู้หรือ ว่า เอ็งจบมาเพราะประชาชนออกทุนให้เอ็งเรียน (แม้จะอ้างว่าจ่ายเป็นล้าน ก็ยังไม่พอดอก)
โดยหวังว่า จบแล้ว จะได้คนเก่งมาประกอบอาชีพที่สมเด็จพระราชบิดาเคยเป็นแบบอย่าง
เสียสละจนคนไทยรักหมอเหมือนญาติสนิท เนรคุณจริงๆ ไอ้พวก(เข้า)เวร พวกนี้

ถ้าคุณจะผลาญเงินทองของชาติ เรียนเจ็ดปีเพื่อจะมาขายสบู่ ก็ไปเรียนพานิชยกรรมเสียแต่ต้นเทอะ
เว้นที่ให้คนที่รอแถวอยู่ข้างหลัง แล้วบังเอิญเก็งข้อสอบผิดไปหน่อย เลยสอบไม่ติด ได้เข้ามารับใช้ชาติ
อันวิชาแสนแพงที่พวกท่านจ่ายค่าเรียนแสนถูก ได้ใบประกอบวิชาชีพไป
หากไม่ทำตามวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา (ทั้งๆ ที่มีโอกาส เพราะเป็นอาชีพขาดแคลน) ขอให้รู้ว่าท่านเป็นควายที่ชื่อทรพีดีๆ นี่เอง

ยังครับ....ยังมีตัวอย่างน่าสมเพชกว่านี้
ศาสตราจารย์คนหนึ่ง เกษียณปุ๊ป ก็เที่ยวแร่ดไปตามประสา
วันหนึ่งท่านก็กลับมาในมาดใหม่ ....ขายประกันครับ
ท่านก็ขายได้สิ เพราะไปขายลูกศิษย์ มันเกรงใจมันก็ต้องซื้อ
ทีนี้ปัญหาคือ เมื่อลูกค้าเจ็บป่วย ตัวแทนย่อมต้องไปดูแล ทำเรื่องเอกสาร เอาดอกไม้มาเยี่ยม
อุบาทว์ใหมครับท่าน คนแก่อายุ่ 61-62 มาดูแลหนุ่มสาววัย 30
ที่อุบาทว์กว่าก็คือ ศาสตราจารย์ไม่มาหรอกครับ ท่านก็ป่วยกระเสาะกระแสะเหมียนกัลล์
บริสัตว์ประกันก็ช่างกระไรเลย รับคนวัยนี้มาเป็นตัวแทนได้

....โลกนี้มันเป็นอารัยไปแล่วหนอ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ต.ค. 07, 11:36
          คั่นรายการ ขอลองสรุป นิยามความเป็นคิตช์ ครับ

      คิตช์ ของคุณพพ. - สิ่งที่ส่อให้เห็นถึงรสนิยมที่ต่ำ สามานย์ ปัญญาเบา ไม่รู้จักที่ทาง รากเหง้า กาละเทศะ
                                  
                         ->  โลว เทสท์  

      คิตช์ อื่น -   โลว อาร์ท - มีคุณค่าความเป็นศิลปะต่ำ หรือไม่มี

                    โหล - เป็นของโหล ผลิตครั้งละมากๆ ไม่ใช่งานฝีมือเป็นชิ้นงานหรือของหายาก      

                    ล้า สมัย - ดูเชย พ้นยุค หรือชวนให้หวนถึงวันวาน
      


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 13 ต.ค. 07, 14:08
มิใช่ > Low taste

LACK TASTE ตะหาก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 13 ต.ค. 07, 21:52
เห็นความคิดเห็นที่ 85 ของคุณพิพัฒนืแล้วเกิดอาการ "คัน" ขึ้นมาอย่างแรง
(ที่จริงแสบไปหมดทั้งตัวมากกว่า คิคิ)


ผมเป็นคนนึงครับ ที่เรียนมาในสายใกล้ๆกับคุณหมอ
(ถึงจะเรียนน้อยกว่าอยู่หลายปีก็เถอะครับ)
และจบมาแล้วก็ตัดสินใจ "เลือก" ที่จะไม่เข้าทำงานในโรงพยาบาลเหมือนกัน


อยากเล่าซักนิด ว่าเพื่อนหมอหลายคนของผมก็บ่น "ไม่อยากเป็นหมอแล้ว" สังคมมันสกปรก
เพื่อนคนหนึ่งที่สู้อุตส่าห์เรียนวิชาปรุงยามา 5 ปี
ก็ไปให้พี่สาวเช่าใบประกอบวิชาชีพเปิดร้านขายยา
ส่วนตัวมันเองนู่นครับ..... ไปนั่งเฝ้าร้านอินเตอร์เนตอยู่ข้างๆร้านขายยาแทน
เพื่อนทุกคนก็ต่อว่ามัน แต่มันกลับว่า "ดีสิ พี่กูมีปัญหาเมื่อไหร่ก็เรียกกูไปช่วยได้"  >:( ..... เออ เอากับมัน
เพื่อนที่เรียนวิชาตรวจเลือด วิเคราะห์เชื้อ ตรวจฉี่ ดูภาพถ่ายรังสี.... ไปเป็นเซลล์เกือบครึ่งคณะ

ระบบงานในโรงพยาบาลไทยน่ะ เหนื่อยนะครับ
แต่เหนื่อยแค่ไหนน่ะ ไม่มีใครเคยว่าเพราะรู้ตัวว่าเอาภาษีประชาชนมาเรียน
ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่เวลาไม่มี บุคลากรไม่พอ
แต่คนไข้นับร้อยดันมาออกันอยู่หน้าห้องตรวจ
จน "หมอไม่มีเวลาตรวจละเอียด" เสียแล้ว.....

ถ้าใครซักคนไม่เคยทำงานในโรงพยาบาล.... คงเข้าใจลำบากน่ะครับ




ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวของผมซักเรื่องดีกว่า
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเข้าฝึกงานในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง
เอ๊า..... เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย (พูดมากไปป่าวหว่า :-X)

คุณหมอก็ส่งคนไข้อาการ "ปวดเจ็บบริเวณใต้ตาตุ่มในข้างซ้าย เวลาลงน้ำหนัก" มา 1 คน
แกวินิจฉัยว่าคุณป้าป่วยเป็น "โรคพังผืดที่ฝ่าเท้าอักเสบ" แล้วก็สั่งให้การรักษาที่ฝ่าเท้ามาสองสามอย่าง
ครั้งแรก ผมก็ตามใจหมอไป (เพราะติดคนไข้คนอื่นอยู่ ไม่มีเวลาตรวจครับ แหะๆ)

แต่รักษาไปแล้วก็ได้แต่กลับมาบ้านนั่งคิดนอนคิด
คิดว่าไอ้พังผืดที่ว่านี่ มันวางตัวจากส้นเท้าไปโคนนิ้วเท้านิ
แล้วถ้ามันอักเสบขึ้นมา......... ทำไมไปเจ็บข้างๆตาตุ่มในอ่ะ ?

ครั้งที่ 2 ที่เจอคนไข้ผมก็เลยจับตรวจใหม่ตั้งแต่เอวยันเท้า
พบว่าคนไข้มีอาการปวดร้าวที่หลัง..... ก็เลยลองรักษาที่หลังดูก่อน
เว้นที่เท้าไว้ซักหน่อย ถ้ามันไม่หายค่อยมารักษาตามเดิม

รักษาเสร็จก็ขอให้คุณป้าลงจากเตียงมาลองเดินดูหน่อย
(ก็คนมันอยากรู้อ่ะคับ ว่าอาการคุณป้าจะเป็นไงมั่ง)
หลังจากลงจากเตียงได้คนไข้บอกว่า "อาการดีขึ้นค่ะ"
"ป้าไม่ปวดๆตึงๆเหมือนเวลาลงจากเตียงเมื่อตอนเช้าแล้วค่ะ"

ผมก็เลยขอให้คุณป้าลองย่ำเท้าดูสักสามสี่ที ย่ำเสร็จ
คุณป้าก็เงยหน้าขึ้นเอียงคอมองผม พร้อมกับบอกว่า "ไม่ปวดแล้วค่ะ"
แล้วก็ทำเกินคำสั่งโดยกระทืบเท้าติดกันอีกหลายทีตามมา
ทำเสร็จก็เงยหน้าเอียงคอเหมือนเดิมพูดกับผมอีกว่า "นี่ก็ไม่ปวดค่ะ ดีจัง"


สรุปว่าที่คุณหมอวินิจฉัยมา กับการรักษาทั้งชุดนั่น...... ยกไปนะครับ





เอาล่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ได้อยากบอกว่าเด็กใหม่มันเก่งกว่า หรือว่าหมอห่วยนะครับ
แต่อยากบอกคุณพิพัฒน์ว่า ทุกคนในเรื่อง "น่าสงสาร" ครับ
หมอก็น่าสงสาร ที่ต้องดูแลคนไข้เกือบร้อยคนในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง
นักกายภาพบำบัดก็น่าสงสาร ที่ต้องออกแรงรักษาคนไข้สามสี่สิบคนในเวลา 4 ชั่วโมง (อีกเหมือนกัน)
ส่วนนักศึกษา.... คุณพิพัฒน์ลองนึกดูนะครับ ว่าถ้าอาจารย์ หรือหมอมาเจอว่าผมรักษาไม่ตรงกับวิธีที่เขาสั่งลงมา........ อะไรจะเกิดขึ้น
หรือถ้ารักษาไปตามที่คุณหมอสั่งมา...... คนไข้จะหายไหมครับ ?

แล้วไอ้การฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้ที่เดียว ผมเจอคนไข้ที่หมอตรวจผิดมา 4 ราย จาก 12 คนที่ได้รักษา

คงไม่ต้องถามแล้วนะครับ ว่าคนไข้จะน่าสงสารมั้ยครับ ?


ระบบการทำงานในโรงพยาบาลยังมีปัญหาอยู่มากครับ
หมอบางคนก็เลยทนกับการทำงานในสภาพแบบนี้ไม่ไหว
ยิ่งช่วงหลังมานี่ โรงพยาบาลต้องควบคุมึณภาพ ต้องมี "ไอ้โซ่" มาล่ามอีก
งานบริหารก็มากขึ้น งานวอร์ดก็ต้องทำ.... หลายคนก็ต่อสู้กับงานที่มีไม่ไหว
เขาก็อยากลาออกเป็นธรรมดา........ แต่ลาออกมา หมอจะทำอะไรกิน ?

หมอเด็ก หมอหูตาคอจมูก หมออายุรกรรม คงพอเปิดคลินิกได้
แต่ไอ้หมอดมยา หมอรังสี หมอกระดูก และอีกหลายๆหมอ เขาถูกวิชาชีพมัดมือตีนครับ
เวลาเรียนก็ทุ่มสุดตัว จะนอน จะหาแฟน ยังไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า
จะเอาเวลาไปใส่ใจทำงานอดิเรกไว้เผื่อเป็นทางเลือกหลังลาออก.... จะมีหรือ ?

แล้วไอ้วิชาชีพที่เขาทุ่มเทมา มันก็ดันฝากศักดิ์ศรีไว้บนบ่าเสียหนักอึ้ง
จะให้ไปสมัครงานเป็นพนักงานบริษัท ใส่สูทผูกไทค์ กินเงินเดือนหมื่นห้า...... ฝันไปเถอะว่าหมอจะทำ
หมอจำนวนหนึ่งที่ลาออกมาก็เลยไปขายสินค้าขายตรงที่อิมปอร์ตมาเหมือนที่คุณพิพัฒน์ว่าน่ะแหละครับ....
แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า "ดีกว่าไปเป็นลูกน้องเขา" คนมันทำได้แค่นั้นจริงๆครับ อย่าไปว่าเขาเลยนะครับ






เฮ่อ...... ขี้เกียจพิมพ์แล้ว..... เหนื่อยครับ


ปล. สำหรับผม ผมยังทำงานตามวิชาชีพที่เรียนมาอยู่ครับ
แต่รับทำเป็นรายๆไป (ใครอ่านมาถึงตรงนี้จะชี้หน้าด่าว่าเลือกคนไข้ก็ไม่ว่าครับ)
เพราะบอกตามตรง ว่าวิชาชีพที่ผมประกอบอยู่
ถ้าคนไข้ไม่ได้ "ไว้ใจ" หรือ "ศรัทธา" ในตัวผู้ให้การรักษาแล้วหมดสิทธิ์หายไป 50% ครับ
(พูดง่ายๆว่า ถ้าคนรักษาซื้อใจคนไข้ไม่ได้แล้วไม่ต้องรักษาเลยจะดีกว่า.... แต่ปกติผมก็ซื้อได้นะ แหะๆ)


ปล.2 ส่วนเวลาว่างที่เหลือในชีวิตตอนนี้ ผมก็เอามาดูแลคนใกล้ตัวครับ.....
อ่ะแน่..... คดว่าผมเอาเวลาไปหาแฟนล่ะจิ คิคิ
ไม่ใช่หรอกครับ คนใกล้ตัวพวกนี้หลายคนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรู้จักคุ้นเคยของผมด้วยซ้ำไป
แต่เขาไม่มีเวลาไปต่อคิวรักษาที่โรงพยาบาล ไม่มีเงินพอจะไปรักษาคลินิกนอกเวลา
ผมก็มีแค่แรง แค่วิชาที่ร่ำเรียนมา กับความรู้จากงานวิจัยที่หาอ่านอยู่เสมอๆ...... ก็บอกเขาแค่ว่าถ้าช่วยได้ก็ช่วยครับ

ไม่ว่าเขาจะเป็นแม่บ้านในคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ เป็นคุณป้าขายข้าวมันไก่ที่หน้าปากซอย
(หรือจะเป็นคนขี้เมื่อยในบอร์ดก็ได้นะครับ คิคิ)
ขอให้บอกมาเถอะ ว่าอาการเป็นยังไง ถ้าไม่เกินกว่าจะช่วยได้ ผมยินดีช่วยเสอกั๊บป๋ม


ปล.3 พิมพ์มาซะยาวเฟื้อยเลยเรา แหะๆ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 13 ต.ค. 07, 22:49
ผมแสดงความเห็นครั้งนี้ โดยทราบดีว่าคุณติบอจะต้องเดือดร้อนใจ
ก็สมดังตั้งใจของผม....555555

วิชาที่ได้มานั้น ถ้าไม่ใช้ก็เหมือนขโมย คือนำของที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา
ขโมยยังมีข้ออ้าง แต่คุณติบอไม่มีข้ออ้างครับ เว้นแต่เดินๆ ไปตกท่อ ขาเสีย
หรือตาบอด หรือมือขาด อันนั้นก็น่าเห็นใจ

แต่คุณตำรวจที่ขาขาดคนนั้น เธอเร่งวันเร่งคืนให้หาย แกจะไปทำงานอีก
ทั้งๆ ที่แกต้องพักแล้ว

ถ้าผมมีมนตร์วิเเศษ
จะเสกให้คุณติบอมีงานที่ตรงกับวิชาชีพ เพราะเชื่อว่า มวลมนุษย์จะได้ประโยชน์จากความสามารถที่มีเต็มเปี่ยม
ได้ปลดทุกข์ ได้พ้นร้อน แม้จะเดือนละคน ก็ยังดีกว่าเดือนละไม่มีสักคน
ถ้าผมกราบไหว้วิงวอนแล้วคุณติบอไปดำเนินวิชาชีพต่อได้

ผมก็จะทำ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 13 ต.ค. 07, 23:11
ทุกวันนี้ก็ใช้ครับ คุณพิพัฒน์
ผมยอมรับว่าไม่ได้ใช้ "ตามเวลา" หรือ "เป็นเวลา" อย่างการทำงานในโรงพยาบาลแต่ก็ทำกั๊บ



ปล. ช่วงไหนถ้านายติบอหายจากบอร์ดไป..... ก็ไปทำงานแหละคับ

ปล.2 ไม่ได้เดือดร้อนจัยคับ...... แต่เดาได้ว่าคุณพิพัฒน์อยากพูดกับใคร คิคิ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 14 ต.ค. 07, 02:36
สาธุ

ขอบคุณแทนคนป่วยครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 14 ต.ค. 07, 08:04
อ่านคุณpipat และคุณติบอแล้วก็ต้องบอกว่า  นี่คือคุณประโยชน์อย่างยิ่งอีกประการหนึ่งของเว็ปนี้  การนำเสนอความจริงอีกด้านหนึ่งที่ต่างออกไป  ทำให้เกิด "ความรอบรู้" ความคิดพิจารณาก็จะละเอียดลึกซึ้ง รอบคอบขึ้น นึกถึงเพลงหนึ่งของวงเฉลียงค่ะ  "อื่น ๆ อีกมากมาย มากมาย ที่เราไม่รู้  อาจจะจริงเราเห็นอยู่ เผื่อใจไว้ที่ยังไม่เห็น" ดิฉันมักเอาไว้ใช้เป็นคาถาทำใจ

อีกประการหนึ่ง  ประชาธิปไตยกับพวกมากลากไป ต่างกันตรงที่  ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง  มีการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้เหลืออคติให้น้อยที่สุด(ดิฉันว่าอคติมีกันทุกคน ทุกกรณี จะมากหรือน้อย รู้ตัวหรือไม่เท่านั้นแหละค่ะ)แล้วจึงตัดสินใจเลือก  ส่วนพวกมากลากไปเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ  คือการตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่งแล้วจึงหาวิธีนำเสนอข้อมูลอย่างไรให้คนตัดสินใจตามค่ะ  ว่าอย่างนี้แล้ว  ดิฉันก็นึกถึงความทรงจำในอดีตอีกค่ะ  อาจารย์ ดร.ชัยพร วิชาวุธ ท่านเคยบอกวิธีแยกแยะระหว่างเหตุผลกับข้ออ้างว่า  เหตุผลมาก่อนการตัดสินใจ  ส่วนข้ออ้างมาทีหลังการตัดสินใจ  ดังนั้นประชาธิปไตยใช้หลักของเหตุและผล  ส่วนพวกชอบลากใช้ข้ออ้างค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 14 ต.ค. 07, 10:17
อันเนื่องมาจากความคิดเห็นที่ 60 ของคุณpipat  มี 2 ประเด็นค่ะ  เรื่องความดี ดีจริงไม่ควรเสื่อม  กับเรื่องศิลปะให้ประโยชน์กับผู้ดู  ขออ้างอิงภาษาปรัชญาเล็กน้อย คือ ดิฉันจัดตัวเองค่อนไปทางพวกประโยชน์นิยม  เวลาให้คุณค่า ตัดสิน พิจารณาอะไรก็มักจะไปทางนั้น  ดิฉันจึงว่าอย่างนี้ค่ะ

ดิฉันเคยอ่านข้อเขียนของ อาจารย์ดุษฎี ทองสิมา จากนิตยสารสกุลไทย นานมากแล้วค่ะ  ประมาณอย่างนี้นะคะ  "ทำดี ความดีเกิด แต่ความดีไม่ใช่ลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นเพียงผลพลอยได้จากความดีอีกทีหนึ่ง  ทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี เพราะความดีที่กระทำนั้นไม่ถูกกับบุคคล กาละ"  ดังนั้นความดีที่เสื่อมนั้นคือประโยชน์ที่แท้จริงของความดี หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นผลพลอยได้จากความดีนั่นอีกทีหนึ่งค่ะ เช่น การไม่พูดปด ประโยชน์ของการไม่พูดปดก็คือ พูดกี่ทีก็เหมือนกัน ไม่ต้องจำว่าพูดอะไร อย่างไร เป็นประโยชน์ของผู้พูด  ผู้พูดสบายใจว่าไม่ได้พูดปด ผู้คนที่คบหาผู้ไม่พูดปดก็คบหากันง่าย  ได้ยินได้ฟังอะไรจากผู้ไม่พูดปดก็ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาความจริงอีก  แต่การไม่พูดปดไม่ได้แปลว่าต้องพูดทุกครั้ง  เพราะบางทีการพูดความจริงไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกบุคคล ก็ทำให้ประโยชน์ที่ว่าไม่ต้องจำว่าพูดอะไร อย่างไร ถูกบดบังจากปัญหาของการพูดความจริงไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา และไม่ถูกบุคคล  จำได้ว่า วิชาศีลธรรมสมัยดิฉันเรียนจะได้เรียนเรื่อง สัตปุริสธรรม 7 ด้วย(เป็นเรื่องปกตินะคะที่ดิฉันจำรายละเอียดไม่ได้)  และผู้คนในปัจจุบันยังมีความซับซ้อนขึ้นไปอีกนะคะ  บางคนพูดความจริงค่ะ  แต่พูดไม่หมด  ละความจริงบางส่วนที่มีผลต่อการตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่งไว้  แบบนี้ถ้าผู้พูดตั้งใจดิฉันถือว่าพูดปด  แต่ถ้าเป็นไปโดยไม่รู้ เพราะรู้ความจริงมาเพียงบางส่วนเช่นกัน  อันนี้ก็ไม่ว่ากัน  ยังมีอีกค่ะ พูดความจริงทุกอย่างเลยค่ะ  แต่ตั้งใจหยิบขึ้นมาพูดในจังหวะที่จะสร้างเหตุตามความประสงค์ของผู้พูด  อย่างนี้จะอย่างไรดีล่ะค่ะ  เฮ้อ ชักยากอีกแล้ว  อ้อ...การไม่พูดปดในศีล 5 ได้ตีความไปถึงการไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่พูดส่อเสียดกระแหนะกระแหนด้วยนะคะ  รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าตัวแล้วนะคะ

เปลี่ยนเรื่องมาศิลปะต่อ  ศิลปะเริ่มมาอย่างนี้หรือเปล่าค่ะ  จากใครสักคนหนึ่งอยากถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดด้วยทักษะที่ตนเองมี  เช่น มีความประทับใจรูปร่าง กริยาอาการของผู้หญิงซักคนหนึ่ง  ก็ถ่ายทอดความประทับใจนั้นออกมาเป็นรูปปั้น ภาพวาด งานแกะสลัก หรือใด ๆ เมื่องานนั้นเสร็จ  ผลงานนั้นได้ถ่ายทอดความรู้สึกดั่งใจแล้ว  ก็สมประโยชน์ของผู้สร้างงาน  ถ้ายังไม่ได้ผู้สร้างก็ต้องฝึกฝนทักษะความสามารถให้มากขึ้นจนสามารถควบคุมและทำได้ดั่งใจ    ส่วนผู้อื่นที่ได้มองเห็นงานแล้วรู้สึกซาบซึ้งอาจจะเกิดความรู้สึกร่วมกับผู้สร้างงาน  หรือซาบซึ้งกับความบากบั่นและฝีมือของผู้สร้างงาน หรือจินตนาการอื่น ๆ ที่ต่างออกไป  โดยได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ดูเกิดการกระทำที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ต่อไปอีก  อันนี้มันยากที่จะกำหนดนะคะ  ดังนั้นถ้าจะใช้เกณฑ์ประโยชน์ของผู้ดูเป็นการตัดสินคุณค่าของศิลปะ  ดิฉันว่าไม่นะคะ  ดิฉันว่าศิลปะน่าจะอยู่ที่เจตนาของผู้สร้างงาน หรือจริง ๆ ก็อาจจะไม่ด้วยซ้ำ เพราะดิฉันว่าผู้สร้างงานของจริงแค่ทำงานได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจ  ประโยชน์ที่แท้จริงก็สมบูรณ์ตามนั้น  ส่วนใครจะว่าเป็นศิลปะ ไม่ศิลปะ ก็เป็นเรื่องของผู้ดูไปมากกว่า

มีอีกประเด็นที่น่าสนใจค่ะ นักวาดกับศิลปิน เอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัด  ดิฉันเคยได้ยินมาค่ะ  แต่ขอบอกเล่าวันหลังนะคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 14 ต.ค. 07, 12:20
เพียงแต่เพื่อสำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่จุดหมายของศิลปะครับ
เป็นเพียงข้ออ้าง

การทำให้ถึงที่สุดของศักยภาพด้านสุนทรียะของมนุษย์ จึงเป็นศิลปะ
ถ้าไปไม่ถึงสุดของมนุษย์(อย่างสุนทรภู่ หรือดาวินชี่ ทำได้) แค่สุดขอบเขตของตนเอง
ก็พออนุโลม

หัวใจของกิจกรรมทางศิลปะ อยู่ที่สุนทรียะ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับสิ่งสวยงาม
แต่คนมักเอามายึดเป็นสิ่งเดียวกัน
สิ่งสวยงามนั้น เปลี่ยนแปรได้เสมอ อยู่ในสถานะภาพเดียวกับแฟชั่น
แต่สุนทรียะนั่น "เกือบ" จะเป็นอมตะ กว่าจะเปลี่ยนได้ พลังที่จะมาเปลี่ยนมัน เห็นจะต้องน้องๆการพลิกแผ่นดิน
เช่น ในชีวิตอันสั้นของผม คาดว่า จะไม่มีการเปลี่ยนข้อยึดถือที่ว่า
สุนทรภู่ ทำงานที่เป็นสุดยอดของศิลปะแห่งการใช้ภาษาไทย

ข้ออื่นๆ ของป้ากุนนั้น น่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง
แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับศิลปะนักครับ เป็นปรัชญามากกว่า
ในความเห็นของผม ศิลปะกับปรัชญา เขาแบ่งหน้าที่กันครับ

แต่อาจจะมีคน"เผลอ" เอามารวมกันได้เช่นกัน


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ต.ค. 07, 12:36
เพลินตา---> "สวย"
เพลินใจ ---> "งาม" หรือสุนทรียะ  ค่ะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ต.ค. 07, 18:23
ชุดดาราที่สวมไปงานแจกออสการ์   ที่เอามาลง  เป็นสองในสิบชุดยอดแย่ตลอดกาล   ไม่มีทั้งความสวย และความงาม
จากเว็บนี้ค่ะ
http://www.fashioniq.com/wordpress/2007/02/23/10-unforgettably-bad-oscar-fashion-moments/


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 ต.ค. 07, 22:40
ภาพขวามือในความคิดเห็นที่ 96 ของอาจารย์ทำเอาผมอึ้ง... และ ทึ่ง.... อยู่พักใหญ่


คนออกแบบที่ไหนหนอ ช่างกล้าแสดงความบ้าได้ถึงเพียงนี้......
แล้วนี่ยังมีคนกล้าเอานกตายมาใส่ไปงานออสการ์เสียอีก
กรรมเวรจริงๆ :-\


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 14 ต.ค. 07, 23:19
รูปนี้คงทำคุณกุ้งแห้งกุมขมับ คนเราตกต่ำได้ถึงปานนี้
เธอคือเจ้าแม่ trashion ครับ น้องหอก บริทนี่ สเปียรส์

ชีวิตเธอช่างน่าเวทนานัก


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 15 ต.ค. 07, 00:05
ในชีวิตประจำวัน คิตช์เป็นเหมือนดัชนีวัดสุขภาพทางรสนิยม
วันใด คุณแต่งองค์ออกจากบ้าน ด้วยเครื่องหุ้มห่ออันพิลึก เช่นแต่งชุดนอนไปเดินเซนเตอร์ป้อยท์
นั่นละ คิตช์แท้ๆ


เห็นภาพชุดนี้แล้วนึกถึงข้อความนี้สุดๆเลยครับ คุณpipat


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 15 ต.ค. 07, 00:33
สมัยสิบขวบ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 15 ต.ค. 07, 00:45
15 ปี ผ่านไป


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 15 ต.ค. 07, 06:51
เฮ้อ..คุณพพ.ขา
มิน่า คนโบราณถึงบอกว่า พวกแหม่มนี่ ถ้าไม่ดูแลตัวเองดีๆ ก็แก่ข้ามขั้นได้ในช่วงอายุยี่สิบเลย..


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ต.ค. 07, 08:36
#101
เทียบกับรูปข้างล่างนี้
สุดแสนเสียดาย...


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 15 ต.ค. 07, 09:10
เอลวิสน่าจะเป็นตัวอย่างของเทวดาตกสวรรค์ที่แจ้งชัด
แต่เขายังฉลาดพอที่จะเก็บอาการตกเหวชีวิตไว้เป็นความลับ ไม่ยอมให้มาทำลายเกียรติภูมิที่สร้างไว้
การที่เขายังรักดี แม้จะเผลอหามเสาเข้าไปแล้ว จึงยังนับว่าเป็นของจริงที่นำขึ้นห้างได้

แต่หนูบริทนางนี้ ไม่มีอะไรเทียบราชาเปรต...เอ้ย เปร๊สลี่ย์ได้เลย
ลุงแอร่อน เปร๊สลีย์ อาจจะสู้หลานไม่ได้ในเรื่องพุ่งแรง แต่เรื่องตกแรงลุงแกก็คงไม่อยากสู้อีกเหมือนกัน
โดยรวม ลุงแกจะเป็นหนึ่งในนักร้องที่คนรักที่สุดตลอดกาล...ส่วนอีหนู
เฮ้อ ตอนนี้คนก็ชักเลือนๆๆๆๆ แล้ว บริทนี่ใหนหรือ ?
หนูเขาเกิด 1981 วันนี้เพิ่ง 26 แต่เธอเจอวิกฤติระดับเกิดใหม่สามหนก็ยังล้างไม่หมด
เธอทำยอดขาย เจ็ดแปดสิบล้านซีดีไว้ เป็นอันดับแปดของสถิติที่เมกา เงินพันล้าน เห็นอยู่แค่ปลายมือ
เธอจึงก้าวไปไกลกว่าสาวน้อยอ่อนโลกเป็นอันมาก เป็นเจ้าแม่ตั้งแต่ยังไม่เป็นแม่คน

ครั้นเธอเป็นแม่ขึ้นมาจริงๆ ห่าก็ลง...อ๋าย พูดเกินไป ....หายนะก็จับราศรีเธอ
ภายในปีสองปี เธอหย่าซะมี ติดยา พยายามฆ่าตัวตาย กล้อนผม ถูกจับ....และที่น่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด
เธอสูญเสียลูกทั้งสองไป ศาลเห็นว่า เธอหมดสภาพมารดร มิอาจให้ทายาทน่ารักได้รับการเลี้ยงดูจากเธอได้
รูปถ่ายล่าสุด แสดงถึงความไร้ซึ่งวุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง จากชุดแดงเดือดผ่ากลาง ที่เธอนุ่งไปศาล
ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ทีวีเมืองลุงแซมกำลังลุ้นอย่างขมักเขม้น

แต่ผมคิดว่า อย่างน้อย น้องๆที่ไทยแลนด์แดนเสียม ก็น่าจะสำเหนียกถึงความไม่จีรังแห่งลาภยศสรรเสริญ
ความเบาหวิวยวบอ่อนแห่งชีวิต และความแน่นอนมั่นคงของหายนะจากการไม่รู้จักเติบใหญ่ของวุฒิภาวะ
ดังเท่าดังก็จะหายสาปสูญได้ในโลกมายานี้

เฮ้.......ได้แต่รอดูชะตาชีวิตหนูบริท ที่จากเด็กสาว สามปีก็กลายเป็นคนแก่ไปเลย

(ปัจฉิมลิขิต....รูปล่าง เขาลือกันว่าเธอเข้ารีตตามแฟนใหม่ไปเระ ใส่ดาวเดวิดและย้อมผมดำเฉยเลย)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 15 ต.ค. 07, 10:15
เอาของดีมาให้ดูบ้าง เดี๋ยวจะบอกว่าห้างนี้ขายแต่ของห่วย
สุภาพสตรีท่านนี้ ทำให้ผมอดดูกีฬาที่ไม่ชอบเลย
ได้....นานๆ

Lorena Ochoa


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 15 ต.ค. 07, 10:53
เจ๊บริทนีย์เป็นตัวอย่างให้เห็นถึง ก่อน-หลัง ได้เป็นอย่างดี

เห็น อ.พิพัฒน์ยกตัวอย่างแม่นางโอเชาแล้ว....ผมคิดว่าน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง :-X
แต่แน่นอน ปรากฏการณ์ดังดิ่งขึ้นดิ่งลงอย่างกัยคลื่นหัวใจนี้ เกิดขึ้นเสมอครับ

นึกแล้วก็สงสารแม่นาง วี นะครับ หลังจากเกิดคึกไปตีกอล์ฟผิดรายการมานาน
จนบัดนี้ เธอก็ยังไม่ได้คว้าแชมป์รายการที่เธอควรจะเล่นเลย
น่าสงสาร... :'(

ป.ล. ผมไม่ชอบดูกอล์ฟครับ อาศัยติดตามข่าวเลยพอรู้เรื่องพรรค์นี้บ้างครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 16 ต.ค. 07, 10:53
@105....
 ;)


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 17 ต.ค. 07, 10:30
มาชวนดูของแปลกๆ ต่อ
ละคอนกรุงเทพราตรีครับ ผมยกให้เป็นสุดยอดของปัญญาอ่อน ที่ราคาแพงและตั้งอกตั้งใจทำมากที่สุดเลย
ทั้งเรื่อง นอกจากคุณพิศมัยและคุณจารุณีแล้ว
ทุกคนสมควรได้รับรางวัลอุตพิดทองคำ (Typhonium trilobatum Schoot)
ไล่ตั้งแต่คนเขียนบทเป็นต้นไป จนถึงคนดูเลย

ถ้าจะไล่เรียงคุณภาพที่ต้อยต่ำกันทีละข้อ ก้ออาจจะได้ตำราคิตช์เล่มเขื่อง
แต่ที่น่าสงสารที่สุด เห็นจะเป็นเพลงประกอบ
ให้เคยเป็นเพลงดีเลิศมาแต่เดิมอย่างไร เจอหนูเจนี่ร้องแบบท่องอาขยานเข้าไป
โอ้โห....

ต้องให้คนหูหนวกฟังเท่านั้นแหละครับ อาจจะรอดตัว
และโดยสรุป
หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะแม้แต่กับเด็กสามเดือน
เพราะรังสีความเห่ยอาจจะทำลายสมองรับรู้อันเปราะบางของหนูๆ
โตขึ้นจะกลายเป็นเจ๊ไก่ไปหมด

แหวะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ต.ค. 07, 12:31
      ข่าวว่าอยากทำละครที่มีเพลงเก่าๆ ไพเราะที่หาดูหาฟังยาก แต่จริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเจ๊ไก่วัยทอง ทำละครเรื่องนี้เพื่อ
ให้ตัวเองแสดง หรือเพื่อประชดแวดวงละครน้ำเน่ากันแน่

       พักหลังเธอจัดละครตลาดๆ มากขึ้น ผิดกับสมัยก่อนเธอที่ตั้งใจจัดละครน่าดูอย่าง สี่แผ่นดิน ร่มฉัตร ในฝัน เรือนมยุรา
แล้วบางครั้งเธอก็ตัดพ้อว่า ทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อให้ได้ผลงานที่ดี (แต่เรตติ้งบางทีก็ไม่ดี) ในขณะที่ ที่อื่นไม่เห็นต้องทุ่มอะไร
คัดเลือกนักแสดงไม่ตรงกับบทก็ช่าง เร่งถ่ายไปออกอากาศไป (ฯลฯ จะหางานคุณภาพได้ที่ไหน แต่เรตติ้งดีไม่มีตก) ทำให้เธอชักจะท้อ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 17 ต.ค. 07, 15:55
อ่านกระทู้นี้ไปเมื่อตอน 11 โมง
กำลังคิดถึงเพลง "หนามชีวิต" กับคุณ SILA อยู่เชียว ;D

มาตอบให้อ่านซะละ ขอบคุณครับ



ปล. จำได้ว่าคุณจอยเคยเล่นเป็นพจมานซื่อบื้อได้ดีกว่านี้เยอะเลย
ทำไมตอนนี้ทำได้แค่นี้ก็ไม่รู้....... แย่จัง ???


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 17 ต.ค. 07, 21:07
หนแรก จะให้ขยะเรื่อง ยัยใบบ้าเป็นอันดับหนึ่ง
ตอนนี้กะลังสองจิตสองใจ

แม้...ช่างเห่ยถึงใจดีจริง อันหนึ่งเปรี้ยวออกฉุน อันหนึ่งหวานหืนๆ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 17 ต.ค. 07, 21:11
เอารูปล่าสุดยัยบริทนี่ย์มาฝากคุณพพ ค่ะ
ผอมแล้ว แต่กะเร้อกะรัง ดูไงก็ไม่มีคลาส..


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 18 ต.ค. 07, 01:56
โถ..... หนูหอกหลายอัน
เดี๋ยวนี้เธอเป็นซะขนาดนี้แล้วเหรอครับเนี่ยะ คุณกุ้งแห้งฯ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 ต.ค. 07, 18:25
ดูสวะมากเกินไป เป็นภัยต่อสุขภาพจิต
ดูของดีมั่ง

ยากจะมีสุภาพสตรีที่สวยจากข้างในได้เหมือนคุณหญิงคีรี่
dame kiri te kanawa

เธอจะมาเปล่งเสียงทิพย์ที่บางกอก ปลายปีครับ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 ต.ค. 07, 18:40
เสียงร้องของเธอ
ดีกว่าหน้าตา มากมาย


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 07, 18:59
ฟังไปพลางๆก่อน  เผื่ออยากไปฟังตัวจริงเสียงจริง

http://www.youtube.com/watch?v=XUE2zG3R-hc


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 18 ต.ค. 07, 19:31
โถ คุณpipat ก็
ผมว่าคุณหญิงเธอออกจะเท่ห์ออก
เสียงก็สุดยอด....... เป็นผู้หญิงที่ perfect ได้เลยนะคับ



ปล. ชักเดาใจไม่ถูกว่า "สวย" ของคุณ pipat
จะออกมาเป็นแบบไหน เป็นเจ๊ บีย็องเซ่ หรือ......
หรือป้าม้าลาย แกงกระหรี่
หรือจะเป็นคุณ สิริน ดีอ่อน ดีครับ ;D


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 07, 21:12
ระหว่างคิรี่กับมาเรีย คัลลาส  คุณพิพัฒน์ชอบเสียงของใครมากกว่ากันคะ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 ต.ค. 07, 21:39
ผมไม่ปลื้มคาลัสมากเท่าที่ควร รู้สึกว่าเธอ"เค้น"เสียง ผิดจากธรรมชาติมากๆ
การบันทึกเสียงก็พยายามเน้นเสียงเธอจนผิดสัดส่วน

ชอบเสียงของวิคตอเรีย เดอ ลอสเองเจลีส
จอร์เจียดิว
และคุณหญิงคีรี่ครับ

แต่ผมฟังเสียงเทพธิดาเหล่านี้น้อยมากครับ ไม่ถึง 10% จากการฟังเพลงแต่ละวัน


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ต.ค. 07, 22:06
เสียงคิรี่แจ้วเจื้อย   เป็นเสียงสวรรค์โดยธรรมชาติ    แต่ทำไมรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีฟิลลิ่งก็ไม่รู้  ส่วนมาเรียยังมีฟิลลิ่งกว่าเป็นกองค่ะ   


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 18 ต.ค. 07, 22:30
http://www.youtube.com/watch?v=SvrHxQ3qjAE&mode=related&search=
เป็นรสนิยมส่วนตัว ห้ามเลียนแบบนะครับครับ ผมว่าเธอร้องเหมือนแม่ค้าอย่างนั้นเลย

ลิ้งค์นี้ คือคนโปรดครับ
http://www.youtube.com/watch?v=N0Xa75BVrHI
http://www.youtube.com/watch?v=rzDjA8OULSc&mode=related&search=


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 19 ต.ค. 07, 03:27
 :'( คุณpipat ใจร้าย

ลิงย์ยูทูบที่เอามานั่นทำเอาผมนอนไม่หลับเลยอ่ะครับ
กลัวจะต้องตื่นมาเจอวิทยุที่ตั้งปลุกเป็นเพลงของคุณ Maria อ่า......


แงๆ :'( :'(


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 07, 08:25
ไม่ยอม มาว่านางเอกเรา  :'( :'(
ล้มกระดาน เลิกพูดเรื่องนี้  >:( >:(


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 19 ต.ค. 07, 21:56
อิอิ  มาฟังพ่อ Chester C Bennington  วง LP  ของผมดีกว่าเผื่อจะได้นอนหลับฝันดี

สงสารคุณวรายุฑจัง  ยิ่งปัจจุบันหาหนังหาละครพิเรียดชมยากอยู่ด้วยสิ  ละครย้อนยุคเป็นกระจกเสริมจินตนาการคนรุ่นผม  เพราะเวลาอ่านหนังสือวรรณกรรมย้อนยุคก็เอาภาพที่เห็นจากละครหรือหนังพวกนี้ล่ะที่เอามาประกอบจินตนาการ  คนที่ทำละครหรือหนังสไตล์นี้ก็เสี่ยงพอสมควร  ด้วยความละเมียดละไมของบรรพบุรุษเราในความเป็นอยู่  ภาษา  วิถีชีวิตค่านิยมความคิด  อีกทั้งโลเกชั่นอุปกรณ์ประกอบฉาก  คงทำตามจินตนาการของตนๆ  คือคงไม่เคยเห็นของจริงล่ะครับ   นอกจากย้อนเพียงประมาณ "กรุงเทพราตรี" รุ่นคุณพ่ออาจได้สัมผัสมาบ้าง  แต่ก็นั่นล่ะดันเป็นละครเพลง  จะหานักร้องที่ไหนล่ะที่สุ้มเสียงจะเทียบเท่านักร้องคุณภาพยุคนั้น  แถมนอกจากร้องดีแล้วต้องแสดงได้ดีด้วย  ถ้าจะทำกันจริงๆคงต้องฝึกกันเป็นปีปี  คงเป็นไปได้ยากด้วยเหตุผลทางธุรกิจ  ละครไทยที่ต้องลงทุนขนาด "แดจังกึม"  คงลำบาก 
อย่างน้อยขอให้กำลังใจผู้ทำละครแนวนี้  แนวไทยๆย้อนยุค  เพลงเพราะหรือเปล่า  ไม่ทราบครับแต่ก็ฟังได้  ยิ่งผนวกความน่ารักของคุณเจนนี่  ก็พออภัย  อิอิ...  แต่ที่น่าชื่นชมที่สุด  คือเรื่องราชินีดอกหญ้า  แม้จินตหรา สุขพัฒน์  จะดูขัดตาไปบ้างในฐานะ  หมอลำ  แต่โดยภาพรวมในฐานะคนอิสาน  รับได้ครับทำได้ดีด้วย  ขอชูจักกะแร้เชียร์เลยถ้ามีแนวนี้มาอีก  ดีกว่าละครไทยไปทำแนวญี่ปุ่น  ประเภทยอดมนุษย์ หรือขบวนการอะไรพรรค์นั้น
ทุกอย่างเป็นเรื่องของการเสพแท้ๆ  จะให้ใครๆชอบทานส้มตำรสเดียวกันคงลำบาก  อิอิ...อยากรื้อบ้าน


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 20 ต.ค. 07, 10:44
เห็นด้วยกับคุณ Bana ครับ (แต่เพลงของวงลิงกินผักมันออกแนวโอเปรารึเปล่านา... :P เกรงว่าจะได้ขอบตาคล้ำกันหมด ;D )
ป.ล. พักหลังทำไมละครช่อง 7 ไม่ยักทำให้ดีอย่างกับสายโลหิตเล่า... :'( ชักมักง่ายไปทุกทีๆ
มันเบื่อนะคร้าบ...แนวนี้ :(

ส่วนเรื่องเพลงนี้ ใครจะเสียงดีหรือไม่ ตอบไม่ได้ครับ ผมฟังภาษาอังกฤษไม่แข็งพอ


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ต.ค. 07, 11:45
            ไม่ปลื้มเสียงมาเรียเท่าคนอื่นแต่เห็นตามอาจารย์ครับ ว่ามาเรียร้องได้อารมณ์
อาจารย์ล้มกระดานเรื่องโอเปราไปแล้ว แต่ขอส่งสาวน้อยเข้าประกวดหนึ่งนาง เป็นโซพราโนรุ่นใหม่จากรัสเซีย - Anna Netrebko
ได้พบเธอจากรายการสารคดี  เธอสาว เธอสวย รวยเสน่ห์ มาแรง ครับ


 


กระทู้: แบกะดินขึ้นห้าง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 23 ต.ค. 07, 19:57
ราชินีหมอลำ......อิอิ  ขอแก้ไข