naitang
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 12 เม.ย. 17, 21:11
|
|
ชาวบ้านป่าก็อยากกินข้าวขาวของโรงสีในเมือง เราก็ชอบกินข้าวไร่ที่สีกันในชุมชนหรือที่ใช้กระครกกระเดื่องตำแล้วฝัดกินกันเอง ก็เลยมีการแลกกันอยู่บ่อยๆ แบบถังต่อถังบ้าง หรือแบบถังต่อถัง+ส่วนเขาแถมบ้าง
เมื่อซื้อข้าวสารในเมือง ก็จะเลือกข้าวเก่า เพราะหุงขึ้นหม้อดีและไม่ค่อยจะบูดเสีย ข้าวใหม่นั้นหุงด้วยวิธีการเช็ดน้ำได้ค่อนข้างยาก มักจะออกไปในทางแฉะและก็จะบูดเสียได้ง่ายมากอีกด้วย
สำหรับข้าวไร่นั้นเป็นข้าวที่เกือบจะไม่มีการเก็บอยู่ในยุ้งฉางก้าวข้ามปีการผลิต ข้าวใหม่ก็หุงยากเช่นกัน ข้าวไร่นี้เมื่อหุงสุกแล้วก็เกือบจะเหมือนกับข้าวญี่ปุ่น มีลักษณะครึ่งทางระหว่างขาวสวยกับข้าวเหนียว ต่างกันที่ข้าวไร่จะออกไปทางเป็นข้าวร่วนซุย ส่วนข้าวญี่ปุ่นนั้นจะออกไปทางเหนียวจับตัวกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 12 เม.ย. 17, 21:32
|
|
บรรยายเรื่องบ้านนาป่าไร่ซะขนาดนี้ ถ้าท่าน NAVARAT.C ไม่ช่วยเปิดตัวเมื่อครั้งกระโน้น ก็คงคาดไม่ถึงว่าท่าน naitang เป็นอดีตนักเรียนมหาดเล็กหลวงมาก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 13 เม.ย. 17, 18:28
|
|
ครับ ถูกเกลามาให้รู้จักตนเอง รู้จักเรื่องของการสังคม รู้จักเรื่องของการเคารพ รู้จักเรื่องของส่วนรวม รู้จักเรื่องของการเผื่อแผ่ รู้จักเรื่องของการอภัย... ซึ่งจะทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้ ก็จะต้องรู้จริง สัมผัสจริง ตั้งใจจริง ทำจริง รู้จักพอเพียงและเพียงพอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 13 เม.ย. 17, 18:42
|
|
จะเล่าเรื่องข้าวไร่(และการเกษตรอื่นๆ)ต่ออีกหน่อย ก็เกรงว่าจะออกนอกเรื่องช้างมากเกินไป เอาไว้เล่าแทรกเมื่อเหมาะสมนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 13 เม.ย. 17, 19:29
|
|
ขอบคุณครับที่นำความรู้ ประสพการณ์จริงมาเผยแผ่ ได้ติดตามมาตลอด และจะติดตามต่อไปครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 13 เม.ย. 17, 19:31
|
|
ก็ตกลงตารางการเดินทำงานสำรวจกันได้บนพื้นฐานว่า การเดินสำรวจนี้เป็นการเดินแบบต่อเนื่องที่มีการย้ายที่นอนทุกวัน ทุกคนจะต้องช่วยกันในทุกเรื่องของการกินอยู่ร่วมกัน และจะต้องมีความซื่อต่อกัน
เช้าประมาณตี 5 ควาญช้างก็จะไปจับช้าง นำกลับมาที่แค้มป์แล้วทำการอาบน้ำและแต่งตัวช้างให้เสร็จก่อนเวลา 8 โมงเช้า ทีมสำรวจ 4 คน จะเดินทำงานแยกออกไป ส่วนทีมช้าง 4 คน เมื่อเก็บของและทำการบรรทุกเรียบร้อยแล้วก็จะเดินไปที่นัดหมายหรือที่ๆมีแอ่งน้ำและสามารถแค้มป์แรมได้ จะไม่มีการห่อข้าวกลางวันกัน กินวันละสองมื้อคือเช้ากับเย็น ทั้งนี้ ช้างจะเดินต่อเนื่องไม่เกินเวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็น แล้วก็จะหยุดและทำการตั้งแค้มป์แรม เมื่อเดินต่อเนื่องได้ประมาณ 7 วัน ก็จะหยุดพัก 2 คืนต่อเนื่องกัน เพื่อพักช้าง เพื่ออาบน้ำซักผ้า เพื่อประมวลข้อมูลที่ได้มาจากการเดินสำรวจ เพื่อจัดการกับเสบียงอาหาร และอื่นๆ (ซึ่งส่วนมากจะเป็นในบริบทของเรื่องการสื่อสารทำความเข้าใจกันระหว่างผมและคณะสำรวจ กับ ผู้คนชาวบ้านป่าในพื้นที่ป่านั้นๆ และคนที่เราเรียกว่า ผกค.ในสมัยนั้นอีกด้วย)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 14 เม.ย. 17, 18:24
|
|
ดูเป็นลักษณะการทำงานที่ง่ายๆไม่สลับซับซ้อนอะไร แต่พอทำจริงก็มีเรื่องที่ต้องยืดหยุ่นอย่างมากในแทบจะทุกเรื่องก็ว่าได้
ในการเดินทางไกลตามปรกติแบบไม่เร่งรีบ ทั้งคนและช้างจะเดินด้วยความเร็วพอๆกัน คือ ประมาณ 4 กม./ชม. ซึ่งความเร็วในระดับนี้เป็นอัตราที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเดินทางไกลแบบต่อเนื่องของทั้งคนและช้าง ไม่เหนื่อยมากและไม่ต้องหยุดพักบ่อยๆ ส่วนชาวบ้านนั้น ความเร็วในการเดินทางไกลตามปรกติของพวกเขาจะอยู่ที่ประมาณ 6 กม./ชม.
ในการเดินทำงานสำรวจของผมนั้น อัตราความเร็วจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 กม./ชม.และอาจจะช้ากว่านั้นหากพบว่ามีข้อมูลน่าสนใจที่จะต้องสืบค้นมากขึ้นจากตัวหิน ความสัมพันธ์และการวางตัวการวางตัวของมันในพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งหากได้พบซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ (fossil) เพราะช้อมูลพื้นฐานที่ต้องการก็คือ แผนที่แสดงการวางตัวของหินต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างกันของมัน มันเกิดมาอย่างไร เมื่อใด และมันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ง่ายๆก็คือประวัติชีวิต การเปลี่ยนแปลง และสิ่งแวดล้อมที่มันผ่านมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 14 เม.ย. 17, 19:09
|
|
ผมเดินทำงานอยู่ในร่องห้วยเป็นส่วนมาก แต่เป็นห้วยที่มีร่องน้ำต้องตัดขวางกับแนวการวางตัวของชั้นหินและจะต้องมีดานหิน (outcrop) โผล่ให้เห็นด้วย
ดูก็เดินง่ายดี แต่อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับช้าง ช้างชอบเล่นน้ำและชอบอาบน้ำก็จริง แต่ไม่ชอบเดินลุยน้ำไปตามลำห้วย เราจึงเห็นด่านช้างเกือบทั้งหมดในป่าเป็นเส้นทางที่ข้ามห้วยไปมา จะมีเลาะในห้วยอยู่บ้างก็ในบริเวณที่เป็นตะพักลำน้ำ (stream terrace) เหตุผลก็ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่า ช้างกลัวติดหล่ม แล้วค่อยขยายความนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 15 เม.ย. 17, 19:16
|
|
การเดินลุยน้ำไปตามห้วยนั้นดูเหมือนจะสะดวกดี แต่ในความเป็นจริงแล้วห้วยมิได้ราบเรียบดั่งที่คิด ในห้วยบางจุดก็เป็นดานหินตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยหลุมบ่อ (potholes) บางจุดก็มีก้อนหินใหญ่วางอยู่ระเกะระกะ บางจุดก็เต็มไปด้วยกรวดหรือทราย บางจุดก็เป็นดินอ่อนนุ่ม บางจุดก็มีน้ำลึก มีตลิ่งที่มีหลืบหิน บางจุดก็เป็นตาด...ฯลฯ
ด้วยสภาพดังกล่าวนี้ คนเราเองยังเดินได้ยาก และเดินไปได้ค่อนข้างจะช้า เพราะจะต้องหลบเลี่ยงไปมา สำหรับช้างนั้นจะยิ่งเดินลำบากมากกว่าเราอีกหลายเท่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 15 เม.ย. 17, 19:38
|
|
ช้างป่าเดินตัวเปล่า เขาจะเดินมุ่นเดินมุดพุ่มไม้ หรือจะเดินละกิ่งไม้เช่นใดก็ได้ แต่ช้างที่บรรทุกของอยู่บนหลังทำเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อเดินในห้วยลำบาก ก็ต้องเดินเลาะตามตลิ่งห้วยซึ่งจะมีกิ่งไม้ใบไม้หนาแน่น และจะเดินลัดข้ามไปข้ามมาตัดคุ้งห้วยต่างๆ ภาระหนักก็จึงไปตกอยู่ที่ควาญช้างที่จะต้องฟันกิ่งไม้เพื่อมิให้มาระรานกับตัวเองและสิ่งของที่บรรทุกมาจนเกิดความเสียหาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 16 เม.ย. 17, 17:55
|
|
เดินเลาะตลิ่งลำห้วย ดูคล้ายกับจะเป็นการเดินในพื้นที่ระดับเดียวที่ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ง่ายดังที่คิด ข้างตลิ่งที่อยู่สูงกว่าระดับท้องห้วยไม่มากนักนั้น มักจะเป็นที่ๆมีก้อนหินขนาดใหญ่ไหลลงมาตามลาดเอียงของตลิ่งและหินที่ถูกน้ำพัดพามา(เมื่อเกิดมีน้ำป่า)มากองทับถมกัน หรือไม่บางจุดก็เป็นตลิ่งที่เป็นผนังหิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 16 เม.ย. 17, 18:40
|
|
ภาพต่างๆที่ผ่านมานั้น ดูจะฉายภาพที่ออกไปในทางที่มีแต่ข้อจำกัด ซึ่งหากเราไปพะวง ไปเครียดกับมัน คิดแต่ว่ามันยุ่งยากไปหมด เราก็คงจะต้องเป็นโรคประสาทเป็นแน่ ก็ในเมื่อความเป็นจริงมันเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขและความสบายทั้งทางกายและใจ
ในสภาพทั้งหลายดังกล่าวนั้น เมื่อทำงานจริงเรากลับได้พบแต่เรื่องที่น่าสนใจ เรื่องที่น่ารัก และเรื่องที่อยู่ในบริบทของความสุขมากมาย ช้างมีอะไๆที่ของเขาที่น่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 16 เม.ย. 17, 19:05
|
|
เล่ามาแต่แรกว่า ผมได้จ้างช้าง 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวเมีย อีกตัวหนึ่งเป็นตัวผู้
ขออนุญาตใช้คำว่า "ตัว" สำหรับคำว่า "เชือก" นั้น ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะใช้เรียกช้างที่ทำงานอยู่ในระบบ คือ มีสังกัดเป็นเรื่องเป็นราว คล้ายกับการให้เกียรติเรียกว่า "ท่าน"
และก็ขอใช้คำว่า "ตัวเมีย" และ "ตัวผู้" แทนคำว่า "พัง" และ "พลาย" ด้วยเห็นว่าก็น่าจะเป็นการใช้เรียกช้างที่ทำงานอยู่ในระบบเช่นกัน ในลักษณะของการใช้คำนำหน้าว่า "นางสาว หรือ นาง" และ "นาย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 16 เม.ย. 17, 19:29
|
|
โดยตรรกะพื้นๆแล้ว ในการจะเดินหรือจะเคลื่อนย้ายกลุ่มไปใหนมาใหนของพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกือบทั้งหมด จะนำด้วยผู้ที่มีอาวุโสสูง ซึ่งอาจจะเป็นทางด้านอายุหรือด้านสังคม
แต่เมื่อช้างอยู่ในบังคับของคน (มีควาญนั่งอยู่บนคอ) เราก็สามารถจะเลือกและจะใช้ช้างตัวใดตัวหนึ่งให้เป็นตัวนำ และก็จะสลับสับเปลี่ยนตัวนำเช่นใดก็ได้ เมื่อช้างที่ผมจ้างนั้น (ตัวเมียมีขนาดตัวใหญ่กว่าและมีอายุมากกว่าช้างตัวผู้โขอยู่) ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 17 เม.ย. 17, 17:22
|
|
ก็เป็นเช่นนั้น แต่งานที่ทำมีประสิทธิภาพต่ำ
เมื่อเริ่มทำงาน ควาญช้างเขาก็ตกลงกันให้เอาช้างตัวผู้เดินนำ มันก็ค่อยๆเดินช้าๆ เดี๋ยวก็หันหัวเอี้ยวตัวซ้ายทีขวาที คอยดูข้างหลัง คล้ายกับพะวงอะไรสักอย่าง เมื่อถึงบริเวณที่พอจะมีทางเดินที่กว้างพอมันก็ชลอให้ช้าลง พยายามจะให้ช้างตัวเมียเดินมาขนาบอยู่ข้างๆ
เดินวันแรก ควาญต้องนั่งอยู่บนคอตลอดพร้อมส่งเสียงสั่งการและไสให้มันเดินอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยเลยครับ ทั้งฟันกิ่งไม้และต้องเขย่าเท้าที่ข้างใบหูเพื่อไสให้ช้างเดินตลอดเวลา
ในวันแรกนี้ ดูสถานการณ์แล้วอาจจะคลาดที่นัดพบกันได้ตามที่คาดไว้ ผมต้องเลยต้องเดินนำหน้าช้างบ้าง เดินตามหลังช้างบ้าง ตามๆกันๆไป เพราะระยะทางของการเดินที่คาดไว้แต่แรกนั้นน่าจะคลาดเคลื่อนจนทำให้การเดินถึงบริเวณที่นัดพบผิดเวลาเกินไปกว่าที่วางแผนไว้มาก ความหิวของช้างและคนคงจะทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่ดีได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|