จากข้อความในตอนต้น คุณหลวงท่านเล่าไว้ว่า
ครั้นวันที่ ๗ แห่งเดือนมกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๑ อันเป็นปีที่ ๒๕ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลาเช้าแล้วยามหนึ่ง จึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จฯ จากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทไปยังพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วเสด็จฯ ออก
ไปยังโรงพักที่ประทับ ซึ่งมีนักเรียนเข้าแถวรอรับเสด็จอยู่ นักเรียนถวายคำนับ แล้วกล่าวขับคำ
พรรณนาพระเดชพระคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จบแล้ว เสด็จฯ ไปทรงเปิดผ้า
คลุมแผ่นป้ายกระดาษ ซึ่งมีข้อความนามโรงเรียนที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ว่า "โรงเรียนราชกุมาร"
ในขณะนั้น นักเรียนเปล่งวาจาแสดงความยินดีปรีดาว่า "โห่ฮิ้ว" ขึ้น ๓ ลา ๒ ครั้ง พิณพาทย์ที่อยู่
ณ หน้าพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทำเพลงสรรสเริญพระบารมี
จากคำบอกเล่าข้างต้นแสดงว่าพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมารนั้นน่าจะอยู่ตรงข้ามกับอาคารโรงเรียนราชกุมารซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก
ทสงด้านทิศตะวันตกของประตูพิมานไชยศรี แธนั้น พระตำหยักน่าจะอยู่ที่ด้านหลังศาลาสหทัยสมาคม
ตรงที่เป็นตึกสำนักงานพระคลังข้างที่ในปัจจุบันหรือไม่?
คุณวีมีท่าทางจะรีบร้อนมาก เลยสะกดคำผิดพลาดไปหลายแห่ง ดีว่าพอจะเดาความได้
หามิได้ครับ คุณวีมีสันนิษฐานที่ตั้งของพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกูฎราชกุมาร คลาดเคลื่อนไปแล้วครับ
ขอเท้าความไปเมื่อครั้งทูลกระหม่อมใหญ่ยังทรงพระเยาว์ ประทับอยู่ที่ตำหนักประธาน
หรือพระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
พระตำหนักนี้ เดิมรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็น
ที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง
ครั้นเมื่อสมเด็จพระนางสุนันทากุมารีรันต์ สิ้นพระชนม์แล้ว คงเหลือแต่สมเด็จพระนางเจ้า ๒ พระองค์
ประทับพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดา ภายหลังสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
เสด็จฯ ไปประทับที่พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ ในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระตำหนักนี้จึงเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี
พระตำหนักนี้ ยังคงเหลือสิ่งที่แสดงถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมารหลายสิ่ง ประการหนึ่งคือตราประจำพระองค์สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นั้น
(ตราจุลมงกุฎขนนก) ที่หน้าบัน บานกระจกของตู้ ซุ้มประตูเหล็ก ฯลฯ
ตราเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงว่า ที่แห่งนี้ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อทรงพระเยาว์
พระตำหนักนี้ในในเขตพระราชฐานฝ่ายใน อนึ่งทราบว่า พระตำหนักนี้มีสะพานเรือกที่เชื่อมต่อกับ
หมู่พระทั่งจักรีมหาปราสาทด้วย ต่อมาได้ทำการรื้อลง เนื่องจากผุพังและไม่ได้ใช้งาน
ส่วนพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ในกาลต่อมา
คือ อาคารที่อยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อาคารนี้ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
ดดยชั้นแรกคงเป็นที่ทำการราชการอยู่ก่อน (หมู่อาคารที่อยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่งจักรีฯ และพระที่นั่งอมรินทรฯ
ได้มีการรื้ออาคารทำการราชการเก่าออกเพื่อสร้างใหม่ ให้มีรูปแบบอาคารรับกับพระที่นั่งจักรีฯ
ถ้าหันหน้าเข้าพระที่นั่งจักรีฯ ตรงปากประตูพิมานไชยศรี ด้านซ้ายมือ คือศาลาว่าการพระราชวัง
(กระทรวงวัง) ส่วนด้านขวามือ คือ อาคารศาลารัฐมนตรีสภา ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จ
พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ภายหลังได้ทรงผ่านพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อปี ๒๔๓๓ แล้ว
ทั้งนี้เป็นะรรมเนียมในราชสำนักมาแต่เดิมว่า พระราชโอรสที่ทรงเจริญวัยและผ่านพระราชพิธีโสกันต์แล้ว
ต้องเสด็จออกไปประทับนอกเขตพระราชฐานชั้นใน (ส่วนเหตุผลเป็นเพราะอะไร คงไม่ต้องกล่าวถึง
เพราะเข้าใจซึมทราบกันดีอยู่แล้ว แต่จะอภิปรายขยายกันต่อก็ไม่ว่ากระไร) อาคารหลังนี้ได้เป็นที่ประทับ
ของทูลกระหม่อมใหญ่มาจนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี ๒๔๓๗ ต่อมาอาคารหลังนี้ก็ได้กลายเป็น
ที่ประชุมรัฐมนตรีสภา และเป็นเก็ยสิ่งของสำคัญของกรมราชเลขานุการและกระทรวงมุรธาธร
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ อาคารหลังนี้ ได้เคยเป็นที่ทำการกรมพระตำรวจหลวงและห้องเวรชาววัง
จนท้ายที่สุด อาคารหลังนี้ ได้ใช้เป็นอาคารสำนักราชเลขาธิการ ดังปรากฏชื่อสำนักที่ด้านหน้าอาคาร
อาคารหลังนี้ มีบันไดทางขึ้นตรงกลางขนาดใหญ่ เมื่อขึ้นที่ชั้นพักจะมีประตูเปิดเข้าสู่ชั้นลอยของอาคาร
ซึ่งเข้าใจว่าเป็นส่วนที่ต่อเติมปรับปรุงขึ้นภายหลัง เดิมน่าจะเป็นประตูที่เชื่อมต่อกับสะพานเรือกหรือทางเชืื่่อมต่อ
กับโรงเรียนราชกุมาร ซึ่งอยู่ด้านหลัง ต่อมาเมื่อ คงรื้อลง และต่อเติมส่วนนนี้เป็นชั้นลอยสำหรับในเป็นที่ทำการ
จากบันใดใหญ่ มีบันแยกขึ้นชั้น ๒ ซ้ายขวา ชั้นสองนี้เป็นท้องโถงเพดานสูง ด้านตะวันตกมีบันไดขึ้นไปยัง
ที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช อาคารหลังนี้ ภายหลังได้ใช้เป้นอาคารทำการ
ของฝ่ายห้องสมุดเฉพาะ สำนักราชเลขาธิการ และเรียกชื่อว่า อาคารสำนักราชเลขาธิการเดิม บ้าง
ในปัจจุบันอาคารหลังนี้ (๒๕๕๕) กำลังอยู่ในระหว่างบูรณะซ่อมแซมทั้งหลัง เพื่อใช้ประดยชน์ในการอื่น
ส่วนหน่วยราชการที่เคยปฏิบัติในอาคารดังกล่าวได้ย้ายไปอยู่ที่ศูนย์สารสนเทศ สำนักราชเลขาธิการ
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
ฉะนั้นคุณวีมีสันนิษฐานมานั้น จึงไม่ถูกต้องด้วยประการฉะนี้