ย่านที่ดิฉันอยู่ในยุคนั้นเรียกว่าชานเมือง (กรุงเทพ )ก็ว่าได้ ถนนสองเลนมีคลองเล็กๆคู่ขนานกันไป บนไหร่ถนนมีต้นหางนกยูง เวลาออกดอก
ก็แดงสะพรั่งไปสุดสายตา รถราก็น้อย มีสะพานไม้ขนาดใหญ่ทอดข้ามคลองหน้าบ้าน ให้รถวิ่งเข้าบ้านได้ น้ำในคลองใสพอให้เด็กคนหนึ่งชะโงกมองดูปลาเข็มว่ายเป็นฝูง
ตลอดถนนนี้มีบ้านเรือนตั้งอยู่เป็นระยะ พอเดินหากันได้ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้สองชั้นสำหรับครอบครัวขนาดกลางและเล็ก มีแต่บ้านผู้มีฐานะเท่านั้นที่ใหญ่โตมากแต่ก็มีอยู่2-3 หลังเท่านั้น
บ้านที่อยู่ใกล้กันก็กลายเป็นเพื่อนบ้านไปมาหาสู่ เคารพ นับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน ตามกำลัง
แตกต่างกับสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ช่องว่างระหว่างคนในสังคมยิ่งมากขึ้น อาจแบ่งแยกกันโดยฐานะ โดยอาชีพ โดยการศึกษา โดยสถาบัน โดยความสนใจส่วนตัว
ก็อาจมองอีกมุมหนึ่งก็ได้ว่าประชากรในกรุงเทพเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว (เดี๋ยวร่วม 10 ล้านได้ไหม ) ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะมีการเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยๆ
แต่สิ่งที่มองเห็นก็คือ การเกื้อกูลระหว่างกลุ่มที่แตกต่างนั้นน้อยลง ต่างคนต่างอยู่กันไป
จนถึงขั้นที่น่าเศร้าใจคือ ...เคยเห็นผู้หญิงถูกผู้ชายทำร้ายในที่สาธารณะ เธอร้องขอความช่วยเหลือ ดิฉันอยู่ในจุดที่ไกลร่วม 10 เมตรยังได้ยิน
แต่คนที่อยู่แถวนั้นห่างแค่1-2 เมตรกลับทำเป็นธุระไม่ใช่ หลายคนเดินผ่านไปมาแต่ไม่สนใจ ช่วยเหลือ หรือแม้แต่เรียกตำรวจมาระงับเหตุ
ดิฉันต้องแจ้ง 191 เพียง 5 นาทีเท่านั้นตำรวจก็มาถึง ....
ภาพสะท้อนเหล่านี้บอกอะไรกับเรามากมาย สังคมไทยที่สงบ ร่มเย็นจะหวนกลับมาได้หรือไม่ และอีกนานเท่าไหร่เราจึงจะหลุดพ้นจากการมอมเมาทางวัตถุ
ขออภัยนะคะ.....พาออกทะเลไปซะไกล อิอิ