ฉันรักบางกอก
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 09:41
|
|
สวัสดีทุกคนคะ
รู้สึกเหมือนกันคะ ว่าของใหม่ดูแข็ง ไม่มีอารมณ์เท่ากับของเก่า แล้วทำไมช่างสมัยใหม่ ไม่ทำแบบเก่าหล่ะคะ หรือเพราะต้องการสร้างความแตกต่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กนก นารี กระบี่ คชะ
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 11:43
|
|
รูปที่คุณvirainนำมาประกอบกระทู้นั้นก็เป็นไปตามที่คุณยุทธนาวิจารณ์ไว้แหละครับ แต่ผมขอเสริมเรื่องการวาดภาพไทยของช่างเขียนในปัจจุบันที่ยึดถือคติแบบโบราณแล้วทำไมดูฝีมือไม่เทียบเท่าของโบราณ อันนี้ต้องบอกว่ารูปแบบของจิตรกรรมไทยได้ผ่านวิวัฒนาการมาจนถึงจุดสูงสุดแล้วในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นร.3พอสมัยร.4ที่เริ่มเอาอิทธิพลของตะวันตกเข้ามาทำให้ศิลปินบางส่วนเห็นว่ามันเริ่มสู่ยุคเสื่อมของจิตรกรรมไทยที่นิยมเขียนแบบคตินิยม ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากในปัจจุบัน ที่บางคนชื่นชอบผลงานของอ.จักรพันธุ์ บางคน ชอบของอ.เฉลิมชัย จนเรียกกันว่าเป็นแบบสไตล์ใครสไตล์มันหรือเป็นเอกลักษณ์นั่นเอง สำหรับคนที่ยึดคติการเขียนแบบโบราณนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรเพียงแต่ว่าการเขียนในปัจจุบันจะหาผู้มีความรู้ความเข้าใจในเทคนิคและวิธีการอย่างโบราณแท้หาได้ไม่ อีกทั้งในสมัยโบราณการสร้างงานนั้นมักเกิดจากศรัทธาเป็นที่ตั้ง อามิสสินจ้างเป็นส่วนรอง การทำงานจึงบอกได้ว่าเกิดจากใจ การทำงานของช่างเขียนในปัจจุบันจึงไม่อาจเทียบได้กับงานโบราณ อีกทั้งส่วนนึงของผู้มองที่พอจะมีภูมิ ย่อมจะมองการเขียนของช่างเขียนในปัจจุบันนั้นเป็นแต่เพียงการลอกเอาอย่างโบราณเท่านั้น ให้เขียนดีเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเทียบโบราณได้อยู่ดี ดังนั้น ถ้ามองอย่างเป็นกลาง การเขียนให้ดีเทียบเท่าโบราณนั้นก็ต้องมีพื้นฐานในการทำงานได้อย่างโบราณ รู้ซึ้งถึงเทคนิควิธีการอย่างโบราณ และต้องแม่นในเรื่องตัวภาพ(สัดส่วน เครื่องทรง ภูษาทรง)และองค์ประกอบอื่นๆเช่นการเขียนต้นไม้ โขดหิน เขามอ สิงห์สาราสัตว์และเนื้อเรื่องที่จะเขียนโดยละเอียด ซึ่งมิใช่เรื่องง่ายๆต้องใช้ระยะเวลาและการฝึกฝนเป็นอย่างสูงจนทำให้ดูเป็นเรื่องยากไปเลย ศิลปินในปัจุบันจึงมุ่งเน้นไปสร้างงานอย่างสมัยใหม่ซึ่งทำได้ง่ายกว่าซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร นอกจากไม่ถูกใจในพวกหัวอนุรักษ์อย่างพวกเราก็เท่านั้น(รูปประกอบผลงานคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ของผม)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 12:06
|
|
สำหรับภาพเขียนที่วัดเลียบนั้น ผมสแกนมาจากหนังสือเมืองโบราณซึ่งต้นฉบับก็ไม่ชัดนักครับ ก็ว่าจะเข้าไปที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเหมือนกัน คุณยุทธนาเคยเข้าไปแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับการเดินทาง เนื่องจากมีคนจะเดินทางกันไปหลายคน ผมว่าน่าจะใช้รถตู้นะครับ แต่มันจะมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าเช่ารถค่าน้ำมัน แต่มันสะดวกตรงที่ไปรวมกันได้ เพราะถ้าต่างคนต่างไปก็จะต้องมานั่งรอกันนะครับ โดยส่วนตัวผมมีญาติขับรถตู้อยู่ราคามาตราฐาน สะดวกตรงที่เป็นญาติกัน ไปไหนจะได้ไม่มีบ่นครับ เห็นด้วยหรือติดขัดอย่างไรไม่บอกกันมาเลยครับ เพราะเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญเหมือนกันยิ่งหายากอยู่ด้วย 555555555 สำหรับน้องฉันรักบางกอกให้ข้อมูลเรื่องวัดในอยุธยาไปแล้วนะทางเมลล์ได้ความอย่างไรก็บอกกันบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
virain
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 16:10
|
|
ไปรถตู้ก็น่าจะดีเหมือนกันครับ สมาชิกท่านอื่นๆว่าอย่างไรผมก็ว่าตามนั้นล่ะครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ให้มาครับทั้งคุณยุทธนาและพี่ยีนส์ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่คงต้องฝึกดูสักพัก ตอนแรกผมก็สงสัยอย่างที่คุณฉันรักบางกอกสงสัยว่าทำไมไม่ทำแบบช่างโบราณ ทั้งๆที่ขนาดผมยังดูรู้ว่างามกว่า แต่พอพี่ยีนส์อธิบายผมก็พอเข้าใจ อีกอย่างคนที่เขียนภาพโบราณก็ไม่อยู่แล้วประวัติก็ไม่มีสมุดร่างเก่าๆก็ไม่ปรากฏ ทำให้การศึกษางานโบราณกระท่อนกระแท่น
ผมไม่ค่อยเข้าใจบางอย่างจากคำอธิบายของคุณยุทธนา คำว่าตัดเส้นแล้วไม่กลมผมยังนึกภาพไม่ออกน่ะครับ เรื่องสีนี่ผมไม่ค่อยมีความรู้เลย แต่การจัดระเบียบสีในภาพเขียนสมัยนี้สู้โบราณไม่ได้หรือครับ อย่างเช่นภาพเขียนอยุธยานั้นสีน้อยก็เขียนอย่างหนึ่งให้ภาพออกมาดูงาม ภาพรัตนโกสินทร์ตอนต้นใช้สีมากและดูแรงๆก็เขียนออกมาดูงามแบบหนึ่งเหมือนกัน
ผมเคยเปิดดูหนังสือเกี่ยวกับภาพเขียนของ RAPHAEL เขามีภาพจริงและก็ภาพจากสมุดร่างตัวจิงให้ดู เปรียบเทียบลายเส้นก่อนลงสี การร่างแบบกายวิภาค ถ้าเรามีแนวทางการรวบรวมข้อมูลของภาพเขียนโบราณให้ดีๆ ผมว่าก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยอย่างคุณยุทธนาบอก ว่าภาพไทยที่แท้จริงจะมีผู้สนใจสืบทอดต่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 18:30
|
|
การจะฝึกเขียนลายไทยให้ดีให้เก่งก็คงต้องใช้เวลาศึกษาและลองปฏิบัติจริงมากๆนะครับ อย่างโบราณท่านคงไม่ได้มีทฤษฏีสีให้ร่ำเรียนอย่างปัจจุบัน และอุปกรณ์การทำงานก็ไม่ได้ไปหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนเป็นแต่การจัดทำขึ้นมาเองส่วนสีนั้นแต่สุโขทัยอยุธยาที่เขียนสีเป็นแบบเอกรงค์นั้นก็เพราะสมัยนั้นมิได้มีสีให้ใช้มากมายอย่างปัจจุบัน เป็นแต่การทำสีใช้จากธรรมชาติ ต่อเมื่อมีการค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน จึงเริ่มมีสีมาใช้มากขึ้น ซึ่งอันนี้มันเกี่ยวเนื่องกับประว้ติศาสตร์เลยละ ถ้าเล่าละก็ยาว ส่วนเรื่องที่คุณยุทธนาใช้คำว่าตัดเส้นแล้วไม่กลม ผมว่าโบราณเค้าใช้คำว่าตัดเส้นไม่ขาด(กระทบเส้นไม่ขาด หมายถึงไม่มีนำหนักและความมั่นใจ ทำให้เส้นดูไม่ต่อเนื่องหรือมีนำหนักเท่ากันไปหมดดูไม่มีมิติ ซึ่งลักษณะนี้เป็นเทคนิคการใช้ภูกันสร้างมิติมนภาพเขียนของช่างโบราณนะครับ*คำว่ามิติคงไม้ได้ใช้กันในโบราณแต่อธิบายแบบสมัยใหม่เพื่อความเข้าใจ*ลองดูการกระทบเส้นในรูปประกอบครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 18:40
|
|
ถ้าสังเกตจะเห็นน้ำหนักของสีที่ใช้ตัดเส้นจะมีน้ำหนักอ่อนเข้มอยู่ด้วยมิได้เท่ากันหมด การตัดเส้นก็เป็นไปอย่างชำนาญและสวยงาม การทำงานของช่างที่ชำนาญแล้วอาจไม่ต้องใช้การร่างเลยก็ได้ แต่เท่าที่มีหลักฐานที่พบเช่นสมุดข่อยภาพร่างตัวภาพต่างๆเช่นที่วัดหน่อพุทธางกูร สุพรรณบุรี ที่ลูกของช่างเขียนยังเก็บผลงานไว้(ภาพประกอบ สมุดภาพไทย(ร่างภาพของอาจารย์ เลิศ พ่วงพระเดช )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 18:53
|
|
คุณvirainดูการตัดเส้นของครูคงป๊ะในภาพมโหสถวัดสุวรรณซิครับเจ้าตำรับภู่กันหนวดหนู ฝีมือการเขียนเส่นอย่างอิสระทั้งรูปแบบทั้งน้ำหนักในการเขียนอีกร้อยปีจะมีคนมีฝีมืออย่างนี้รึเปล่ายังไม่รู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 19:01
|
|
ส่วนรูปนี้ภาพรามเกียรติ์ในกรอบกระจกเหนือหน้าต่างพระอุโบสถวัดสุทัศน์ สวยเหลือเกินครับ(ภาพตอนองคตจับสี่เสนา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 19:07
|
|
ผมสังเกตว่ากระทู้ผมก็มีคนเปิดดูพอสมควรแต่ทำไมมีคุยกันอยู่แค่4คน ท่านอื่นๆที่เปิดดูทักทายกันบ้าง หรือมีอะไรอยากรู้อยากถามก็โพสต์กันได้นะครับ จะได้เปิดโลกทัศน์ด้วยกัน(ปิดท้ายด้วยรูปรามเกียรติ์อีกสักรูป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
virain
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 22:20
|
|
วันนี้ดีจริงๆเลย ได้ชมภาพงามๆทั้งจากพี่ยีนส์และคุณยุทธนา ภาพแต่ละภาพงามจับใจจริงๆเลยครับ โดยเฉพาะวันนี้ได้เห็นภาพองคตจับสี่เสนาแล้วทึ่งใจมาก วันไหนคงต้องรบกวนพี่พาผมไปดูของจริงนะครับ
สำหรับเรื่องเส้นนั้นผมคงต้องศึกษาอีกมากมายจริงๆ ต้องไปนั่งดูภาพเนมิราชกับมโสถชาดกที่วัดสุวรรณฯนานๆล่ะ
ท่านอื่นๆที่มีความรู้หรือข้อคิดเห็น ยินดีต้อนรับเช่นกันครับ จะขอติดตามประเด็นบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 27 มิ.ย. 09, 21:08
|
|
คงหาคนมีความรู้ความสามารถทางด้านนี้ยากเต็มทน เลยไม่มีใครเข้ามาพูดคุย นี่แหละครับ สาเหตุของการเสื่อมสลายของศิลปะไทย ที่ขาดผู้รู้ผู้เอาใจใส่อย่างจริงจัง ไอ้เราก็ทำได้แค่นี้หารูปมาเปิดประเด็นไปเรื่อยๆ อย่างรูปนี้ใครเคยเห็นบ้างว่าเป็นตอนอะไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
virain
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 27 มิ.ย. 09, 22:08
|
|
คล้ายๆสหัสเดชะเลยครับ แต่คงไม่ใชรามเกียรติ์ ถ่ายที่ไหนหรือครับ มีตัวช่วยไหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ฉันรักบางกอก
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 27 มิ.ย. 09, 22:44
|
|
ขอตอบว่า
ไม่ทราบคะ
แต่มาตอบให้กำลังใจพี่ๆ แหะๆๆๆๆ
ขอบคุณพี่jean1966 สำหรับความกระจ่าง และแนะนำวัดที่อยุธยานะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กนก นารี กระบี่ คชะ
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 28 มิ.ย. 09, 10:31
|
|
เฉลยรูปดังกล่าวคือตอน พระอุปคุตทรมานพญามารจิตรกรรมฝาผนัง วัดประตูสาร สุพรรณบุรี ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ ปี ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราช (พระเจ้าอโศกมหาราช) ได้ผ่านพิภพมไหสวรรค์ราชสมบัติ พระองค์ทรงเลื่อมในในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสถาปนาสร้างพระวิหารและพระสถูปนัยว่าถึงแปดหมื่นสี่พันแห่งทั่วชมภูทวีป และได้ทรงขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุมาไว้เพื่อนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง เมื่อได้ทรงขุดค้นรวบรวมหมดแล้ว ก็อัญเชิญไปสู่นครปาตลีบุตร ทรงกระทำการสักการะสัมมานะโดยเอนกประการ แล้วทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือเข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่อีก ๑ องค์สูงถึงกึ่งโยชน์ที่ฝั่งแม่น้ำคงดา ใกล้นครปาตลีบุตร แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่นั้นและก็ทราบว่ามีบางส่วนที่ส่งไปบรรจุไว้ในต่างแคว้น
เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสีพันองค์นั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในระยะเวลาดังกล่าวเพื่อให้การฉลองสมโภชเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นผู้คุ้มครองงานให้ปราศจากการรบกวนจากมาร้ายต่าง ๆ
พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีองค์ใดที่จะรับเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ได้ โดยเฉพาะพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ องค์ ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ ซึ่งจำพรรษาอยู่กลางมหาสมุทรมาช่วยรักษาความปลอดภัยในงานมิให้งานสมโภชองค์พระสถูปเจดีย์พบอุปสรรค ให้ดำเนินไปโดยตลอดปลอดภัยทุกประการ
เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์จากผู้แทนพระสงฆ์เมืองปาตลีบุตรแล้ว ก็เดินทางมานมัสการและรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบ ผู้จะเข้ามาทำหน้าที่รักษาการงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ พระสงฆ์แนะนำพระอุปคุตเถระให้ทรงทราบ เมื่อพระองค์ทรงทรงทราบผู้จะมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในงานแล้ว ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระมีลักษณะอ่อนแอร่างกายผ่ายผอมเกรงจะทำหน้าที่ไม่ได้สมบูรณ์แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร
รุ่งขึ้นวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชใคร่จะทดสอบดูฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน ( ช้างตกมัน ) ให้เข้าทำร้ายพระเถระพระมหาอุปคุตเห็นดังนั้นจึงสะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามาให้ยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา
เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาโทษพระเถระ ที่ได้กระทำการล่วงเกิน โดยเจตนาจะทดลอง พระมหาอุปคุตเถระ ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชและพญาคชสาร พญาศรีธรรมาโศกมหาราชทรงพอพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคาสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ
บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพและพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตรและต่างแดนจากจตุรทิศ ได้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน ต่างก็มีเครื่องสักการะบูชาอยู่ในมือเพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางบรรดานักแสวงบุญ ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณงานนั้น พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ( เทพบุตรที่เป็นมาร ) ได้โอกาสงามเช่นนี้ ก็แปลงร่างจากปรนิมมิตตะวัสสวดีเทวโลก อันเป็นที่อยู่ของตน ปนเปกับนักบุญทั้งหลายเพื่อทำลายพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่นั้น
ในขณะนั้นพระมหาเถระอุปคุต ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยในบริเวณงานทั้งหมด หยั่งทราบด้วยญาณอันวิเศษ ถึงมหาภัยที่กำลังคุกคามอยู่เบื้องหน้า ที่ปลอมมาในรูปของนักบุญจึงเนรมิตร่างสุนัขเน่าที่กำลังขึ้นหนอน อธิฐานให้เข้าไปคล้องไว้กับคอพญามารแล้วอธิฐานว่า แม้เทพดามหาพรหมยมยักษ์ภูตผีปีศาจที่มีฤทธิ์เข็ดขลัง ก็อย่าสามารถนำร่างสุนัขเน่านี้ออกจากคอพญามารได้ แล้วขับพญามารหนีออกจากบริเวณงานทันทีพญามารพยายามแก้ร่างสุนัขเน่าด้วยฤทธานุภาพอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ออกได้
พญาวัสสวดีมาร ยอมแพ้แก่พระอุปคุตเถระผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อสิ้นคิดที่จะแก้ไข ก็ยอมออกจากบริเวณงานโดยดีแต่ขอร้องให้มหาอุปคุตเถระแก้ร่างสุนัขเน่าออกจากคอของตน เพราะทนต่อกลิ่นเหม็นไม่ได้พระมหาอุปคุตป์ก็อนุโลมตามแต่ไม่ไว้ใจพญามารสนิทนัก เพราะเกรงพญามารอาจคิดกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงอธิษฐานประคตเอวให้เป็นดังโซ่เหล็กผูกพญามารติดไว้กับเขาลูกหนึ่งนอกบริเวณงาน แล้วบอกแก่พญามารว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ
เมื่องานฉลองสมโภชมหาเจดีย์ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน สิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย พระมหาเถระจึงได้ไปหาพญามารที่เขานอกเมือง เพื่อสังเกตดูว่าพญามารจะสิ้นพยศหรือยัง ก็ทราบว่าสิ้นพยศแล้วทั้งยังกล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าว่า “ สมเด็จพระพุทธชินสิห์” องค์ใด ทรงมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้นเป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุตไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสและได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่งถ้าหากว่า ข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต”
เมื่อพระอุปคุตเถระ ได้ยินคำกล่าวสดุดีพระพุทธคุณและแสดงความเสียใจของพญามารออกมาเช่นนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่เหล็กออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสสระอีกครั้งหนึ่ง
พระอุปคุตนั้น เกิดขึ้นหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ ปี เราไม่ทราบภูมิเดิมของพระมหาเถระอุปคุตละเอียดเท่าที่ควร ว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร ที่ไหน เท่าที่สันนิษฐานตามตำนานพระเถระอุปคุตน่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหารได้ร่ำลือมาจนทุกวันนี้ ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตรเรือนแก้ว ( กุฎแก้ว ) ขึ้นในท้องทะเลหลวง ( สะดือทะเล ) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฎแก้วตลอดเวลา และคงจะขึ้นมาบิณฑบาตที่นครปาตลีบุตรเป็นประจำ เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ เมื่อ มีผู้นิมนต์ท่านก็ขึ้นช่วยเหลือด้วยความเต็มใจเสมอ เป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 28 มิ.ย. 09, 22:20
|
|
ฝากรูปจิตรกรรมฝาผนัง ที่ผมเพิ่งได้ไปพบ จะว่าโดยบังเอิญก็ได้ เป็นวัดในกรุงเทพไม่ใกล้ไม่ไกล ฝีมือเข้าขั้นช่างหลวงแม้ไม่ถึงก็จัดเป็นช่างพื้นถิ่นที่มีฝีมือมาก ใครเคยเห็นบ้างลองทายดูว่าวัดไหน เท่าที่ผมดูจิตรกรรมฝาผนังมา ยังไม่เคยพบมีหนังสือเล่มไหนกล่าวถึงวัดนี้ ลองดูครับแล้วทายกันเล่นๆว่าอยู่ที่ไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|