เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: ไพลินภัทร ที่ 04 เม.ย. 13, 18:53



กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: ไพลินภัทร ที่ 04 เม.ย. 13, 18:53
อยากทราบว่าสมัยรัชกาลที่๕ มีวัดวาอารามหรือสถานที่ไหนในกรุงเทพที่เขานิยมไปกันบ้างคะ

แล้วก็อยากทราบอีกเรื่องหนึ่งคือ สมัยนั้นเขานิยมใช้คำว่ากรุงเทพหรือบางกอกมากกว่ากันคะ?

แล้วก็อีกข้อนึงค่ะ ในปี2436 ถ้าทหารเขาประชุมกัน เขาประชุมกันในกระทรวงกลาโหมปัจจุบันหรือเปล่าคะ?
ทราบว่าในปีนั้นตึกสร้างแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าทำหน้าที่เหมือนปัจจุบันหรือเปล่า

ขอความกรุณาคุณลุงคุณน้าช่วยตอบเด็กน้อยที่เพิ่งศึกษาประวัติศาสตร์คนนี้ด้วยค่ะ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 13, 20:20
นั่งยานเวลากลับไปไม่ได้เสียด้วย  ต้องเดาเอาอย่างเดียวค่ะ

1    สมัยนั้นการเดินทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ แม้แต่ว่าคลองให้นั่งเรือสัญจรกันสะดวกสบาย ไม่ต้องเจอรถติด  แต่ชาวบ้านเขาก็จะไปวัดใกล้บ้านมากกว่าข้ามเมืองไปทำบุญกันอีกฟากเมือง      จึงไม่รู้ว่าวัดไหนกันแน่ที่เป็นยอดนิยม  รู้แต่ว่าวัดใหญ่ๆก็น่าจะมีคนมากันมากกว่าวัดเล็กๆ
      ส่งคำถามต่อให้คุณพี่หนุ่มสยามและคุณน้าเพ็ญชมพูด้วยค่ะ
2    ชาวกรุงก็เรียกกรุงเทพ หรือพระนคร   คำว่าบางกอกเป็นคำที่ชาวต่างจังหวัดเรียกเมืองหลวง 
3    เรื่องทหารประชุมกันที่ไหน ใน พ.ศ. 2436   ยังนึกภาพไม่ออกค่ะ   


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: ไพลินภัทร ที่ 04 เม.ย. 13, 23:48
ขอบคุณมากๆค่ะ  ;D


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 เม.ย. 13, 06:51
สนามหลวงเป็นที่นิยมจัดงานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว

การเฉลิมฉลองการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๑๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดกิจกรรมขึ้นหลายอย่าง หนึ่งในกิจกรรมที่ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดขึ้นก็คือ “งานพิพิธภัณฑ์” ซึ่งเป็นการนำเอาสินค้าพื้นเมืองของประเทศในขณะนั้นมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการซึ่งเรียกว่างาน “เอกษฮีบิชัน” ให้ประชาชนได้เข้าชม ณ ท้องสนามหลวง โดยเรียกนิทรรศการครั้งนั้นว่า “นิทรรศการแนชันนาลเอกษฮีบิชัน” (National Exhibition)

ทรงมีพระราชดำริว่า

“...บ้านเมืองเจริญด้วยการค้าขาย ราษฎรทำเรือกสวนไร่นาต่างๆ ได้รับผลประโยชน์มาก ควรจะนำพืชพันทางการเกษตรที่เกิดขึ้นในประเทศ และราษฎรมีไว้ซื้อขายกัน เครื่องมือที่ใช้ทำมาหากินทุกอย่าง รวมถึงสิ่งของที่ทำขึ้นด้วยฝีมือตนเอง ทั้งที่ใช้ภายในประเทศและที่ส่งขายไปยังต่างประเทศ มารวบรวมไว้ในที่แห่งหนึ่งเพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ ราษฎรชาวสยาม และชาวต่างประเทศได้มาชม เพื่อเป็นการแสดงให้ทราบว่า สิ่งใดผลิตขึ้นที่ไหน ผู้ที่จะซื้อขายสินค้าจะได้ทราบแหล่งผลิตดังกล่าว...”

การจัดกิจกรรมในรูปแบบนิทรรศการครั้งนั้น ได้จัดสร้างอาคารชั่วคราวขึ้น ณ บริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งได้เตรียมการล่วงหน้ากันนานนับปี โดยทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ และกรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ต้นราชสกุลภาณุพันธ์) เป็นแม่งาน พร้อมทั้งประกาศเชิญชวนให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ประชาชน และเจ้าของห้างร้นนำสิ่งของมาร่วมกันจัดแสดงงาน ภายในงานมีสิ่งของที่นำมาแสดง เช่น ผลผลิตทางการเกษตร อุตสาหกรรม งานช่างฝีมือ โบราณวัตถุ ของหายาก สิ่งประดิษฐ์ทางวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งก็เปรียบเทียบได้กับแนวทางการบริหารราชการในปัจจุบันที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น

งานการจัดแสดงนิทรรศการครั้งนั้นได้มีบันทึกถึงบรรยากาศการจัดงานไว้ว่า

“ในงานมีการสร้างปะรำด้วยไม้ไผ่หลายหลัง มีรั้วไม้ไผ่กั้นโดยรอบและแบ่งเป็นห้อง ๆ ของที่นำมาจัดแสดงมีประมาณ ๔๐ ชนิด มีของน่าชมอยู่หลายห้อง เช่น เครื่องเพชรพลอย เครื่องเงิน การแสดงหุ่นในเครื่องแต่งกายแบบต่างๆ ภาพเขียน เครื่องมุก เครื่องจักสาน งาช้าง เครื่องมือประมง แร่ธาตุต่าง ๆ อาวุธ เหรียญและเงินโบราณ ตลอดจนพืชพันธุ์ของป่า ส่วนที่สำคัญที่สุด เห็นจะได้แก่ ส่วนของการส่งเสริมการศึกษา ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีกิจกรรมทางการศึกษา คือ ให้มีเทศนาพระราชประวัติพงศาวดารกรุงเทพฯ และพระบวรประวัติ รวมทั้งจัดแสดงหนังสือไทยฉบับตัวเขียนจากหอสมุดหลวง โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ผู้บัญชาการกรมอารักษ์ทรงรับผิดชอบในการจัด”

งานนิทรรศการครั้งนั้น เริ่มจัดตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ถึงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นเวลา ๕๒ วัน โดยในวันเปิดงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงานและเสด็จทอดพระเนตรสิ่งของต่าง ๆ ที่นำมาจัดแสดงด้วย

ข้อมูลจาก เว็บพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระนคร (http://www.t-h-a-i-l-a-n-d.org/bangkokmuseum/bkk100years_collection.html)

โรงเอกซฮิบิเช่อน ณ ท้องสนามหลวง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4752.0;attach=25053;image)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 05 เม.ย. 13, 08:26
สมัยรัชกาลที่ ๕ คนนิยมไปทานอาหารแถวๆราชวงศ์ในเยาวราชหรือเปล่าครับ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 เม.ย. 13, 09:30
ถนนราชวงศ์ตัดในรัชกาลที่ ๕ ก็จริง แต่สมัยนั้นการสัญจรส่วนใหญ่ยังเป็นทางน้ำ   ถนนราชวงศ์เป็นถนนที่ตัดขึ้นเพื่อการค้า  ขนสินต้าจากท่าราชวงศ์  ซึ่งเป็นท่าเรือสินค้าภายในประเทศ    มีเรือบรรทุกคนโดยสารและสินค้าไปจันทบุรี ชลบุรี และบ้านดอน (สุราษฎร์ธานี) ถนนราชวงศ์จึงมีสำนักงานร้านค้าของพ่อค้าจีน แขก และฝรั่งตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก   ยังไม่มีบะหมี่ราชวงศ์ขายให้คนมากินกัน

ร้านบะหมี่ราชวงศ์เกิดขึ้นในรัชกาลเท่าใดไม่ทราบ แต่ในรัชกาลที่ ๗  มีแล้ว   เป็นยุคที่รถยนต์มีใช้กันในหมู่เศรษฐีและข้าราชการฐานะดี      เรื่อยมาจนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒  ตอนเด็กๆดิฉันเคยไปกิน จอดรถหน้าร้าน   แล้วคนขายนำถาดที่มีขาเกี่ยวมาเกาะกับหน้าต่างรถ วางชามบะหมี่ให้กินได้โดยไม่ต้องเข้าไปในร้าน ซึ่งคนแน่นมาก


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: giggsmay ที่ 05 เม.ย. 13, 11:57
 ;)อย่างน้อยน่าจะมีคนไปเที่ยวที่ บ้านหิมพานต์ หรือว่า ปาร์คสามเสน ของพระสรรพการหิรัญกิจ มั่งเน้อ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 เม.ย. 13, 13:59
ก็ท่องเที่ยวตามงานเทศกาลงานบุญครับ เช่น ถึงเทศกาลก็จะไปงานพระพุทธบาท สระบุรี

ในส่วนของที่ไม่สะดวกไปพระบาท สระบุรีก็มีงานพระบาทฯ ในกรุงเทพ หลายที่เช่น ที่วัดอัมรินทรฯ-วัดสามปลื้ม เป็นที่สนุกสนาน, งานรื่นเริงออกร้านค้าที่วัดเบญจมบพิตรก็จัดในฤดูหนาว, งานวัดภูเขาทอง วัดสระเกศ ครับ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 เม.ย. 13, 15:21
หากอยากไปดูละครต้องไปที่นี่

โรงละคร “ปรินซ์เทียเตอร์" ของ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าเตียน (http://www.sujitwongthes.com/2012/03/weekly02032555/)

เครื่องละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง
นี่ก็แปลกตาตามคอนเซ็ปต์ที่เขียนไว้ในโรงละคร
"สะแดงความดูเปนที่ประหลาดตา"


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5265.0;attach=34678;image)

เดิมคณะละครของ เจ้าพระมหินทรศักดิ์ธำรงชื่อ "Siamese Theatre" เป็นละครที่เล่นเฉพาะเวลา ที่มีแขกบ้านแขกเมืองมาดู จนเมื่องานฉลองกรุง ๑๐๐ ปี ท่านได้นำละคร มาร่วมแสดงที่ท้องสนามหลวง ซึ่งมีการเรียกเก็บเงินคนดู จึงเป็นจุดเริ่มต้น ของการเก็บค่าตั๋ว เพราะนับจากนั้น ท่านได้เปลี่ยนชื่อ โรงละครมาเป็น "Prince Theatre" (หมายถึง ละครของพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ ซึ่งเป็นหลานของท่าน)

ข้อมูลจาก เว็บปากเซ (http://www.pakxe.com/jl_pakse/index.php?view=article&catid=524%3A2010-07-31-05-37-19&id=2094&option=com_content&Itemid=63&limitstart=1)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 เม.ย. 13, 15:31
ต่อมา เมื่อเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๓๔๗ โรงละครปรินซ์เทียเตอร์ จึงตกเป็นของ เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (บุศย์) บุตรชาย ซึ่งเรียกละครของท่านว่า "ละครบุศย์มหินทร์"

โรงลครบุตรมหินทร มีถิ่นสถานอยู่ที่ เวิ้งเลื่อนฤทธิ์

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5464.0;attach=38155;image)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 เม.ย. 13, 19:45
ถ้าคุณเพ็ญชมพูไปโรงละครปรินซ์เทียเตอร์ ผมก็จะขอนั่งรถรางไปถนนเจริญกรุง ไปย่านเวิ้งนาครเกษม ไปดูโรงหนังที่เวิ้ง แล้วก็เลยไปอีกนิดไปดูโรงหนังพัฒนากร ด้วยเก้าอี้ไม่ตัวยาว ๆ แบบสบาย ๆ  ;D


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 เม.ย. 13, 20:13
                                                     กำเนิดโรงภาพยนตร์ในสยาม

         นับจากปี ๒๔๔๐ เป็นต้นมา ได้มีคณะฉายภาพยนตร์เร่จากต่างประเทศเดินทางเข้ามาจัดฉายภาพยนตร์เก็บค่าดูจากสาธารณชนในสยามทีละรายสองรายเรื่อยมาโดยจัดฉายตามโรงละครบ้าง ตามโรงแรมบ้าง
         จนกระทั่งปี ๒๔๔๗ มีคณะฉายภาพยนตร์เร่จากญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาจัดฉายภาพยนตร์ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับเหตุการณ์สู้รบระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย ซึ่งกำลังกระทำต่อกันอยู่ขณะนั้นโดยการกระโจมผ้าใบเป็นโรงฉายชั่วคราว ใบบริเวณลานว่างหรือเวิ้งของวัดชนะสงคราม (วัดตึก) กรุงเทพฯ
         ชะรอยคณะญี่ปุ่นคงเห็นว่า สยามในขณะนั้นยังไม่มีใครตั้งโรงภาพยนตร์ฉายกันเป็นการประจำถาวร ทั้งๆ ที่ชาวสยามให้ความสนใจนิยมดูภาพยนตร์ ดังนั้นเมื่อคณะญี่ปุ่นกลับไปแล้ว ในปีต่อมาพวกเขาได้เดินทางกลับเข้ามาอีก คราวนี้เข้ามาจัดตั้งโรงฉายภาพยนตร์เป็นการถาวรขึ้นในบริเวณเวิ้งวัดตึกนั้นเองจัดฉายภาพยนตร์เป็นประจำทุกวัน จนชาวสยามเรียนภาพยนตร์ติดปากว่าหนังญี่ปุ่น และเรียกโรงภาพยนตร์นี้ว่าโรงหนังญี่ปุ่น    นับว่ากิจการรุ่งเรืองมาก เป็นเหตุให้นักธุรกิจชาวสยามคิดจัดตั้งโรงภาพยนตร์ขึ้นบ้างที่ละโรงสองโรง เช่น โรงกรุงเทพซินีมาโตกราฟ หรือ บริษัทรูปยนตร์กรุงเทพ หรือโรงหนังวังเจ้าปรีดา (เปิด ๒๔๕๐) โรงหนังสามแยก (เปิด ๒๔๕๑) โรงหนังรัตนปีระกา (เปิด ๒๔๕๒) โรงหนังพัฒนากรหรือบริษัทพยนตร์พัฒนากร (เปิด ๒๔๕๓)
         โรงภาพยนตร์ต่างๆ เหล่านี้ต่างก็แข่งขันกันอย่างเต็มที่ในการจัดรายการฉายภาพยนตร์ ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นภาพยนตร์เบ็ดเตล็ดม้วนสั้นๆ ม้วนหนึ่งกินเวลาฉายไม่กี่นาที เป็นภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ หรือสถานที่ที่น่าสนใจอย่างภาพยนตร์ข่าวสาร สารคดี และภาพยนตร์ที่จัดฉากแสดงอย่างละครหรือนิยายสั้นๆ
         การแข่งขันระหว่างโรงภาพยนตร์ต่างๆ ในกรุงเทพฯได้เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะระหว่างสองบริษัทใหญ่คือ บริษัทรูปยนตร์กรุงเทพ และ บริษัทยนตร์พัฒนากร ซึ่งนับจากปี ๒๔๕๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ต่างก็แข่งกันสร้างโรงภาพยนตร์ในเครือของตนขึ้นตามตำบลสำคัญๆ ทั่วกรุงเทพฯ โรงภาพยนตร์ของบริษัทรูปยนตร์กรุงเทพได้แก่ โรงปีนัง โรงสิงคโปร์ โรงชะวา โรงสาธร ส่วนโรงภาพยนตร์ของบริษัทพยนต์พัฒนากร ได้แก่ โรงพัฒนากร โรงพัฒนาลัย โรงพัฒนารมย์ โรงบางรัก โรงบางลำพู โรงนางเลิ้ง

http://www.artbangkok.com/detail_page.php?sub_id=454


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 เม.ย. 13, 20:33
นอกจากจะหาความสำราญจากการที่ไปงานวัด ดูภาพยนตร์ แล้วก่อนหน้านี้พวกผู้ดีหรือเจ้านายก็จะพากันไปเที่ยวทุ่ง (แต่ไม่ได้ไปทุ่งกันนะครับ - ไปทุ่ง แปลว่า ไปถ่ายท้อง)  ;D

การพายเรือไปในทุ่งนาที่ถูกน้ำท่วม ยามน้ำหลาก เป็นกิจกรรมที่นิยมกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ซึ่งนิยมพากันพายเรือไปตามลำห้วยต่าง ๆ พายลึกเข้าไปยังท้องทุ่ง ไปเก็บผักลอยน้ำ ไปเก็บสายบัว

และสำหรับพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง ก็จะเสด็จไปยัง "พระราชวังบางปะอิน" หรือไม่ก็เสด็จประพาสไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งได้ผลพลอยได้คือ ยังสามารถเข้าไปดูการบ้านเมืองต่าง ๆ ของพระราชอาณาเขตอีกด้วย



กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 13, 14:42
วันหยุดยาวอย่างนี้ ชวนคุณหนุ่มไปช็อปปิ้งของหรู ๆ ที่ห้างแบดแมนกันดีกว่า

เคยได้ยินชื่อห้างแบดแมนมาตั้งแต่เด็กๆ  คู่กับชื่อห้างไว้ท์อะเวย์ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ไหน   ไปถามลุงเกิ้นดูถึงรู้ว่ามีชื่อเต็มๆว่า ห้างแบดแมน แอนด์ กำปะนี (Harry A. Badman and Go.,) สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) นับว่าเป็นห้างฝรั่งรุ่นแรกๆ ของบ้านเมืองไทย เดิมที "ห้างแบดแมน" ตั้งอยู่ที่หัวมุมกระทรวงมหาดไทย ถนนบำรุงเมือง ก่อนจะย้ายมาตั้งอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา หัวถนนราชดำเนินกลาง
"ห้างแบดแมน" เริ่มกิจการเมื่อปี 2422 เป็นห้างขายของจากต่างประเทศ คล้ายๆ ห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน และเล่าลือกันว่าห้างแบดแมนมีความหรูหรามาก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่นำมาขาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของฝรั่งทันสมัย เช่นสุรา ยารักษาโรค และพืชไร่ที่ต้องสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นห้างที่เจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์เข้ามาซื้อ สินค้ากันมาก

เวลาต่อมาเมื่อห้างแบดแมนได้ปิดตัวลง อาคารถูกใช้เป็นตึกกรมโฆษณาการ แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3175.0;attach=12484;image)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 13, 15:02
หรือจะไปช็อปปิ้งที่ห้างคนไทย ที่ห้างสิทธิพันธ์ ห้างสันตโภชน์ ห้างคู่แฝดที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

สันตโภชน์หุ้นจำกัด ป้ายอักษรหน้าห้าง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4932.0;attach=28550;image)

บรรยากาศในห้าง สะอาด เรียบร้อย น่าเดินช็อบปิ้ง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4932.0;attach=28549;image)

ร้านค้าที่ลงทุนโดยคนไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓  ได้แก่ ห้างสิทธิพันธ์ ตั้งอยู่ที่ถนนเฟื่องนคร ซึ่งนอกจากจำหน่ายสินค้าทั่วไป ยังรับตกแต่งบ้านเรือนด้วย ซึ่งยุคนั้นเป็นที่นิยมของเจ้านาย และขุนนาง ห้างสันตโภชน์ จำหน่ายผลไม้ ไม้แปรรูป อาหารแห้ง ต่อมาได้ขยายกิจการเป็นร้านอาหาร บาร์ เลาจน์ ร้านขายสรรพสินค้า เสื้อผ้าสตรี และขายยา ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายในห้างดังกล่าวเป็นสินค้าจากต่างประเทศ มีราคาแพง และเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย

ข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๔ เรื่องการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และผลกระทบต่อร้านขายของชำดั้งเดิม ของ คุณคุณาธิป แสงฉาย หน้า ๒๗

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 เม.ย. 13, 21:54
ก็ท่องเที่ยวตามงานเทศกาลงานบุญครับ เช่น ถึงเทศกาลก็จะไปงานพระพุทธบาท สระบุรี

ในส่วนของที่ไม่สะดวกไปพระบาท สระบุรีก็มีงานพระบาทฯ ในกรุงเทพ หลายที่เช่น ที่วัดอัมรินทรฯ-วัดสามปลื้ม เป็นที่สนุกสนาน, งานรื่นเริงออกร้านค้าที่วัดเบญจมบพิตรก็จัดในฤดูหนาว, งานวัดภูเขาทอง วัดสระเกศ ครับ

ขอพาไปงานออกร้านวัดเบญจมบพิตร ค่ะ
งานออกร้านที่นี่ มีตั้งแต่ร้านของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ   ร้านของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายใน  ขุนนางใหญ่น้อยจนถึงนายห้างฝรั่ง   ตั้งเรียงรายอยู่ในเขตรั้วเหล็ก   เป็นร้านจัดประณีตเรียบร้อย   มีเสียงดนตรีไทยเบาๆ ไม่มีเสียงเอะอะอึกทึก   ผู้คนแต่งกายกันสวยงามประดับเพชรนิลจินดา โดยไม่ต้องกลัวขโมยขโจรจะเข้ามาฉกชิงวิ่งราว      ร้านของใครเจ้าของร้านก็พาลูกเมียไปนั่งเฝ้าร้าน เป็นเหตุให้หนุ่มๆสาวๆมีโอกาสพบกันได้   
ร้านสมัยนั้นทันสมัยเหมือนงานกาชาด  มีร้านตกเบ็ด ทำเป็นสระ  ใช้เบ็ดแม่เหล็กตกของขวัญที่ห่อเป็นสัตว์น้ำต่างๆ  ตกได้ตัวไหนก็ได้ตัวนั้นเป็นของขวัญกลับบ้านไป  เสียค่าตกเบ็ด 1 บาท    มีแล่นเรือเข้าไปในถ้ำ แล้วแล่นลอดออกมาได้โดยไม่ต้องพาย   มีร้านจีนขายอาหารจีนเหมือนภัตตาคาร ฯลฯ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 เม.ย. 13, 22:39
ถ้าจะให้สนุกยิ่งขึ้น ต้องตามเสด็จหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุลท่านเข้าไปเที่ยว

งานที่สนุกที่ ๑ ในวัดเบญจมบพิตร คืองานออกร้านในวัดนี้ อันเป็นงานประจำปีในฤดูหนาว เพื่อเก็บเงินบำรุงวัดซึ่งยังไม่แล้วเรียบร้อยดี เรียกกันในสมัยนั้นว่า “งานวัด” ร้านต่าง ๆ มีตั้งแต่ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้านายทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สุดแต่ใครมีกำลังจะทำได้ จนถึงชาวต่างประเทศผู้เป็นนายห้างใหญ่ ๆ บริเวณร้านอยู่ในเขตรั้วเหล็กแดงเท่านั้น ต่อมาทางตัวพระอุโบสถก็มีแต่พวกร้านขายธูปเทียนดอกไม้และทองเปลว สำหรับผู้จะไปบูชาพระและทำบุญ พวกเราเด็ก ๆ มิได้เคยไปทางนั้นเลย ซ้ำกลัวว่ามืดอีกด้วย เราพากันวิ่งวุ่นอยู่แต่ทางร้านต่าง ๆ ซึ่งเห็นในเวลานั้นว่าใหญ่โตมโหฬารสุดหล้าฟ้าเขียวซ้ำยังมีสถานที่ที่เรียกว่า สำเพ็ง อยู่นอกรั้วแดงทางถนนราชดำเนินอีกเมืองหนึ่ง มีทั้งโรงโขนชักรอกและเขาวงกฎที่เข้าไปแล้วออกไม่ได้ จนกว่าจะเดินถูกทาง ร้านในแถวสำเพ็งอย่างเดียวกับงานภูเขาทอง ผิดกับข้างในวัดอย่างเทียบไม่ได้ เพราะความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความนิยมผิดกัน

ทุกคนที่ก้าวเข้าประตูเหล็กแดงเข้าไปแล้ว จะรู้สึกเหมือนเมือง ๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผู้คนแต่งตัวสวยๆ งามๆ ร้านจัดกันอย่างประณีตและเรียบร้อย ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม นอกจากเสียงดนตรีเบา ๆ พอได้ยินพูดกันไม่ต้องตะโกน ไม่มีคนแน่นจนถึงเบียดเสียดกัน ไม่มีใครมาถ่มขากปล่อยเชื้อโรคข้าง ๆ ตัว และสิ่งที่วิเศษยิ่งก็คือ ไม่มีขโมยเลย ฉะนั้นทุกคนที่มีเพชรนิลจินดาก็แต่งกันได้วุบวับ (ที่ไม่มีอาจจะยืมเขามาบบ้างก็คงมี) ทุกคนหน้าตาเบิกบาน เสียงทักทายกันแต่ว่า “ร้านอยู่ไหน เดี๋ยวไป” เพราะร้านของใครก็พาครอบครัวไปนั่งเป็นเจ้าของร้าน เป็นผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนจะได้เฝ้าในหลวงของเขาทั่วกัน ใครอยากเฝ้าก็นั่งอยู่หน้าร้าน เวลาเสด็จผ่านทางหยุดทอดพระเนตรและทักทายเจ้าของร้าน ทั้งครอบครัวก็ได้เฝ้า ใครอยากทูลอะไร อยากถวายอะไรก็ถวายได้

อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้นพวกนักเรียนเมืองนอก กำลังเรียนจบทยอยกันมาทุกปี ท่านพวกนี้เปรียบเสมือนเทวดาตกลงมาจากสวรรค์ ความคิดของท่านไม่ยอมให้ คลุมถุงชน นั้นเป็นแน่ ฉะนั้น “งานวัด” นี้ จึงเป็นที่หนุ่มสาวเขาเลือกคู่กันเอง แต่เขาไปนั่งคุยกันตามร้าน ไม่มีไปไหนด้วยกันได้ พวกเราเด็ก ๆ ขนาด ๑๑-๑๒ ขวบอยู่นอกเกณฑ์ ก็วิ่งเล่นสนุกแทบตาย ความสนุกนั้นคือ ไปเที่ยวตามเด็กรุ่นเดียวกัน ไปเที่ยวดูตุ๊กตา แม้จะแพงซื้อไม่ได้ เพียงไปนั่งดูก็สนุก ออกจากร้านตุ๊กตาไปร้านตกเบ็ด เขาทำเป็นสระและห่อสลากเป็นรูปสัตว์น้ำต่าง ๆ อยู่ในนั้น มีเบ็ดแม่เหล็กไว้ตรงปลาย ใครจะตกเบ็ดก็เสีย ๑ บาท แล้วยื่นเบ็ดลงไปในสระ ห่อสัตว์เหล่านั้นมีเหล็กอยู่ข้างใน ก็กระโดดขึ้นมาติดเบ็ดเรา ชอบเสียจริง ๆ จัง ๆ

อีกแห่งหนึ่งก็คือร้านที่มีกลไกต่าง ๆ เช่น มีร้านหนึ่งจัดเป็นถ้ำและมีลำธาร พาเรือลำเล็กขนาดนั่งคนเดียวลอยเข้าไปในถ้ำ แล้วพากลับออกมาเอง เราไปยืนดูเห็นประหลาดหนักหนาว่าทำไมเรือมันไปเองได้ และในน้ำมีอะไรบ้าง อยากรู้เสียจริง ๆ ตกลงนักกันว่าเราจะลงกันคนละลำ (มีอยู่ ๓ ลำ) ถ้าเขาเป่านกหวีดให้เรือออก เราจะเอามือสาวฝั่ง ๒ ข้างให้มันไปเร็วเข้า จนเห็นว่าทำไมเรือมันไปเองได้ เมื่อซื้อตั๋วใบละบาทและลงนั่งในเรือแล้ว พอเขาป่านกหวีดปล่อยเรือ เราก็สาวฝั่งเข้าไปในถ้ำ พอโผล่ก็เจอผู้ชายคนหนึ่งกำลังยกโพงสังกะสีพุ้ยน้ำดังโพล่ง ๆ เราตะโกนพร้อมกันว่า “นั่นแน่!” ตาพุ้ยน้ำหดตัวกลับเข้าไปหลังหิน หายเงียบ เราภาคภูมิใจเสียจริง ๆ ว่าจับได้แล้วว่าทำไมเรือมันไปเองได้ กลับออกมาคุยโมง จนเจ้าของร้านต้องมากระซิบว่า อย่าเอะอะไป

ที่ที่สนุกอีกแห่งหนึ่ง ก็คือในเมืองจีนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มีประตูตีตั๋วเข้าไปข้างใน แล้วมีร้านเป็นห้องๆ รอบสี่เหลี่ยมขายอาหารจีน ขายน้ำชา ขายจันอับ และอะไรต่างๆ ที่เป็นจีน มียกพื้นเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางเมืองให้พวกตลกเล่น พวกเราติดละครตลก การเข้าเมืองนั้นเป็นอันไม่ได้ตีตั๋ว เพราะเราคุ้นเคยกับพวกขายตั๋วเสียแล้ว เราวิ่งเข้าวิ่งออกได้สบาย ส่วนเงินที่ใช้จ่ายบ้างนั้น ถ้าไม่มีหรือหมดก็เที่ยวขอพวกผู้ใหญ่ ซึ่งโดยมากเขาให้เพราะไม่ต้องการให้กวน

บางส่วนจาก ความสนุกในวัดเบญจมบพิตร พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-07-2007&group=12&gblog=3)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 เม.ย. 13, 08:32
ชวนไปดูงานโล้ชิงช้าค่ะ  บอกแค่นี้พอ   
คุณเพ็ญชมพูเจอในอินทรเนตร ก็คงมาขยายความเอง


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 เม.ย. 13, 08:45
ทางศาสนาพราหมณ์  เชื่อว่าพระอิศวรเป็นเจ้าเสด็จลงมาเยี่ยมโลกมนุษย์ปีละครั้ง  จึงเป็นโอกาสแก่มนุษย์ที่ได้ทูลบนขอประทานความปรารถนาของตัวไว้ในเวลาเจ็บไข้ก็ดี ตกทุกข์ได้ยากอย่างไรก็ดี  เมื่อได้สมปรารถนาคือพ้นภัยพิบัติมาได้แล้ว  ก็เตรียมตัวที่จะแก้บนถวายและรับพระพรทุกปีไป  พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นสมมติเทพ  คือเสด็จแบ่งภาคมาจากพระเป็นเจ้าเพื่อปกครองโลกมนุษย์  จึงถือว่าเป็นผู้แทนพระองค์พระเป็นเจ้า  และทรงเป็นประธานในพิธีต่างๆ  เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระราชธุระมาขึ้น  จึงพระราชทานให้ขุนนางผู้มีความชอบเป็นผู้แทนพระองค์ในพิธี  เช่น งานโล้ชิงช้าและแรกนาขวัญ เป็นต้น  ฝรั่งเรียกว่า ดี มอค คิง The mock King ถึงกำหนดพิธีนี้ก็มีแห่พระยาผู้แทนพระองค์ เข้ามาในเมืองทางถนนมหาชัยเลี้ยวเข้าถนนเสาชิงช้า

กระบวนแห่นั้นมีสิ่งต่าง ๆ ที่น่าดูน่าชม  ตามฐานะของพระยาผู้ยืนชิงช้านั้นๆ  เช่นเมื่อพระยาศรีสหเทพ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ยืนชิงช้า  ก็มีหมู่ชนต่าง ๆ พวกมาเข้ากระบวนจากหัวเมืองต่างๆ  เมื่อเจ้าพระยาพระเสด็จยืนชิงช้า  กระบวนแห่ก็เต็มไปด้วยการศึกษาต่างๆ เพราะท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงการศึกษา  มีทั้งรถการเล่นและตกแต่งเป็นรูปต่าง ๆ  เช่นมีรถหนึ่งแต่งเป็นห้องเรียนมีพวกตลกเป็นครูและลูกศิษย์สอนกันอย่างสนุกสนาน  โดยเฉพาะเราเด็ก ๆ ชอบรถนี่นัก  แม้ผู้ใหญ่ก็สนุกด้วยทั่วกัน  ถ้าจะเล่าถึงกระบวนเต็มที่ก็มีในหนังสือราชกิจจานุเบกษา  เมื่อเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ยืนชิงช้าใน พ.ศ. ๒๔๓๗ ดังนี้

"กระบวนแห่คราวนี้  มีกระบวนเกวียนเทียมโค  กระบวนเทียมกระบือ  กระบวนพลเดินเท้าถือธงต่าง ๆ ๙ สี  มีรถตั้งรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้พระราชทานทุกดวง  มีขลุ่ยเชียงใหม่สลับไปทุกกอง  มีกระบวนทหารอย่างเก่าใหม่ต่าง ๆ แทบทุกอย่าง   มีแตรวง มีรถภาพหุ่น  รถโขน  รถรูปมหาดเล็กเชิญเครื่องรถมีรูปม้า รถโรงเรียนราชกุมาร  ตำรวจดาบเขนดาบโล่  ดาบดั้ง  ดาบ ๒ มือ  พร้าแป๊ะกัก  ดาบเชลย  สาระวัด  บโทน  ขุนหมื่น  กลองชนะ  จ่าปี่  มีกันฉิ่ง ๔  สัปทน ๑  บังตะวัน ๑  มีคู่เคียง ๘  กระบวนหลังมีกระบวนปีไสถือง้าวถือตะบอง  มีขุนหมื่นทนายถืออาวุธถือเครื่องยศ  มีคนถือภาพหนัง  ถือทิว ๙ สี  ยี่เก  สิงโต  มังกร  เล่าโก๊"   เป็นจบกระบวนแห่  จะเห็นได้ว่าเป็นกระบวนยาวมิใช่เล่น

เมื่อพระยาเข้าที่นั่งเรียบร้อยแล้ว  ผู้ที่ทูลบนไว้แต่งตัวเหมือนกัน เรียกว่า นาลิวัน ก็ขึ้นโล้ชิงช้า  พยายามเอาปากคาบห่อเงินที่ผูกอยู่บนยอดไม้ไผ่  ถวายทอดพระเนตรเป็นการแก้บน  รุ่งขึ้นเช้าก็มีการรำเขนง  สาดน้ำมนต์แก่ประชาชนทั่วไป  พิธีแก้บนนี้ในเกาะปีนังก็ทำกันอยู่  เขาเรียกว่า ไตปุซัม  แต่เขาแก้บนด้วยการแทงลิ้น เจาะปาก เกี่ยวหลังด้วยเบ็ด อย่างขนหัวลุก  ข้าพเจ้าก็เคยได้เห็นและต้องหลับตาทุกครั้งที่ผ่านไป  จะเห็นได้ว่าเราเป็นพุทธจึงไม่ชอบทำการอันใดให้รุนแรง  แม้การแก้บนก็ให้เป็นเพียงโล้ชิงช้าถวาย  แต่ที่ไม่เลิกเสียก็เพราะเป็นความสุขใจอันหนึ่งของประชาชน  เพราะธรรมดาคนที่ตกทุกข์มักจะหันไปบนบานสิ่งที่ตัวนึกว่าจะช่วยได้อยู่เป็นธรรมดา

บางส่วนจาก เสาชิงช้า พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-07-2007&group=12&gblog=5)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 เม.ย. 13, 08:53
เที่ยวงานภูเขาทองด้วยค่ะ


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 เม.ย. 13, 11:06
ในกรุงเก่านั้น มีวัดภูเขาทองอยู่วัดหนึ่งทางเหนือพระราชวัง สมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสของพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๓๐ ภายหลังสร้างกรุงเก่าแล้ว ๒๗ ปี ถึงกรุงเทพฯ พระมหานครนี้ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชปรารภจะสร้างพระปรางค์อีกองค์หนึ่งทางฝั่งพระนคร จึงโปรดให้พระยาศรีพิพัฒย์รัตนราชโกษาเป็นแม่กอง ก่อฐานถมดินและลงรากเข็ม แต่ดินทางแถววัดสระเกศเป็นที่ลุ่ม ไม่ตั้งรากฐานให้แน่นหนาได้ จึงรับงานนั้นไว้ด้วยพูนดินไว้ก่อน

ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้ก่อพระเจดีย์บนเนินนั้น และเรียกว่าพระบรมบรรพต-ในทางราชการ แต่สามัญชนเรียกว่า ภูเขาทอง ยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นรัชกาล รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาพิพัฒน์รัตนโกษา(แพ บุนนาค) ซึ่งเป็นผู้ทำการก่อสร้างค้างมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ให้ทำการก่อสร้างต่อไปให้สำเร็จได้ในพงศ. ๒๔๒๑ แล้วโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุโดยกระบวนแห่จากพระบรมมหาราชวัง ไปตั้งพิธีมณฑลแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระบรมธาตุนั้น ในพระเจดีย์องค์ใหญ่บนยอดภูเขาทอง ในวันพฤหัสบดี เดือนอาย แรม ๑๐ ค่ำ ปีฉลู ตรงกับทางสุริยคติคือวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๑

การเล่นฉลองในงานสมโภชภูเขาทองนี้มีหลายอย่าง ดังมีรายละเอียดอยู่ในราชกิจจานุเบกษาดังนี้

๑. ละครของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์
๒. หุ่นจีนของพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง
๓. พิณพาทย์ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง วง ๑
๔. พิณพาทย์ของเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา วง ๑
๕. พิณพาทย์ของเจ้าพระยามหามนตรีศรีองครักษ์ วง ๑
๖. พิณพาทย์ของพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง วง ๑
๗. พิณพาทย์ของพระยาพิไชยบุรินทรา วง ๑
๘. พิณพาทย์ของจมื่นสรรเพชญ์ภักดี วง ๑

ทำให้เห็นว่าข้าราชการในสมัยก่อนนั้น ได้เอาใจใส่ในศิลปะอยู่มิใช่น้อย หรือจะเป็นการครองชีพไม่สูงจึงเลี้ยงผู้คนได้เป็นจำนวนมากก็เป็นได้

บางส่วนจาก ภูเขาทอง พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-07-2007&group=12&gblog=4)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: สมัยรัชกาลที่๕ เขาไปเที่ยวกันที่ไหนคะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 เม.ย. 13, 11:24
การฉลองพระบรมสารีริกธาตุ ที่บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ร.ศ. ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓)   ;D

ภูเขาทองในปี ๒๔๓๓

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5149.0;attach=32704;image)