naitang
|
ความคิดเห็นที่ 240 เมื่อ 10 ส.ค. 14, 18:39
|
|
ไปต่อเรื่องทางชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกกันก่อน แล้วค่อยกลับมาเรื่องทางมหาสมุทรอินเดียนะครับ ภาพทางแปซิฟิกจะช่วยทำให้เห็นภาพทางมหาสมุทรอินเดียได้ง่ายเข้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 241 เมื่อ 11 ส.ค. 14, 18:22
|
|
สรุปเสียหน่อยในขั้นนี้อีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อแผ่นมหาสมุทรเคลื่อนที่มุดแผ่นเปลือกโลก - เกิดการติดขัด พอหลุดก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหว - เกิดการเสียดสี ทำให้เกิดความร้อนจนทำให้หินละลายทะลุทะลวงขึ้นมาเป็นภูเขาไฟ
แนวเส้นที่แผ่นทั้งสองพบกันใต้ทะเลในบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรนี้ จะมีลักษณะเป็นร่องหุบเขาลึกมาก เรียกกันว่า trench ซึ่งแต่ละ trench ที่สำคัญก็มีชื่อเรียกเฉพาะตัว เช่น Mariana trench (มีความลึกมากที่สุดในโลก ประมาณ 8 กม.) Japan trench Java trench และ Philippines trench เป็นต้น
ที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้นเรื่องนั้น ก็เป็นภาพโครงร่างง่ายๆที่บริเวณพื้นผิวด้านบนของแผ่นเปลือกโลก แล้วแผ่นเปลือกโลกล่ะ จะหนามากน้อยเพียงใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 242 เมื่อ 11 ส.ค. 14, 19:36
|
|
ก็มีนักวิชาการ 2 คน คนหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่น อีกคนเป็นคนอเมริกัน ต่างคนต่างทำการศึกษาวิจัย เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจุดเกิด (epicenter) กับจุดกำเนิด (foci) ของแผ่นดินไหว พบว่า ยิ่งลึกเข้ามาในแผ่นดิน จุดกำเนิดแผ่นดินไหวจะยิ่งอยู่ลึก และมี 2 ระดับความลึกที่เกิดในลักษณะคู่ขนานกัน ในพื้นที่ของกลุ่มจุดเกิดเดียวกัน
เอาภาพง่ายๆยังงี้ดีกว่าครับ เหมือนกับเราเอากระดาษสีขาวรีมหนึ่ง (สมมุติเป็นแผ่นเปลือกโลกที่เป็นพื้นท้องมหาสมุทร) ดันให้มันมุดแทรกเข้าไปใต้กระดาษสีฟ้าอีกรีมหนึ่ง (สมมุติว่าเป็นแผ่นเปลือกโลกส่วนที่เป็นแผ่นดิน) จุดกำเนิดแผ่นดินไหวจะพบอยู่ที่บริเวณส่วนบน (ตามระนาบสัมผัสระหว่างกระดาษทั้งสองรีม) และพบในบริเวณส่วนล่างของกระดาษรีมสีขาว แผ่นดินไหวทั้งสองระดับนี้ บ่งชี้ถึงความหนาของแผ่นเปลือกโลก บอกเราว่าแล้วมันเคลื่อนที่ลึกเข้าไปเขตของแผ่นดินเพียงใด บอกเราว่ามันหักมันงอมันโค้งเป็นรูปใด บอกเราถึงมุมที่มันมุดตัวลงไป บอกเราว่ามันอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากเพียงใด ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 243 เมื่อ 12 ส.ค. 14, 18:43
|
|
วันนี้เป็น วันแม่ แห่งชาติ เลยจะขอออกนอกเรื่องไปสักแว๊บหนึ่งในบางทัศนะของผม ไทยเราดูจะเป็นชาติเดียวในโลกที่นับถือและยกย่อง แม่ มากที่สุด และในหลากหลายฐานะอีกด้วย ซึ่งมีหลักฐานปรากฎเป็นคำนำหน้าอยู่ในคำภาษาไทยอย่างมากมาย อาทิ - ในลักษณะผู้สร้าง ก็มีอาทิ แม่ (ที่ให้กำเนิดคน) แม่คะนิ้ง (น้ำค้างเป็นน้ำแข็ง) ฯลฯ - ในลักษณะผู้ให้การอุปการะเลี้่ยงดู ก็มีอาทิ ชื่อของแม่น้ำสายสำคัญต่างๆ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ส่วนของแม่น้ำยังไม่เริ่มสร้างที่ราบจนผู้คนสามารถเข้าอยู่อาศัยทำมาหากินเลี้ยงชีพยังชีวิตสร้างบ้านแปงเมืองได้ ส่วนของแม่น้ำสายนั้นก็จะยังไม่ใช้คำว่า แม่ นำหน้า แต่จะเรียกด้วยคำอื่น (เช่น ห้วย แคว ลำ) ฯลฯ - ในลักษณะผู้ครอบครอง อาทิ แม่พระธรณี แม่พระโพสพ และ ชื่อเรียกสถานที่ต่างๆ (เช่น แม่นาจร แม่จริม แม่กา) ฯลฯ - ในลักษณะผู้กำหนด เช่น ที่ใช้เรียกตัวสะกดในคำภาษาไทย (แม่กด แม่กก แม่กน ฯลฯ) - ในลักษณะเป็นผู้ที่ยอมรับกันทั่วไป เช่น บรรดาชื่อของน้ำพริกทั้งหลาย ฯลฯ - ในลักษณะผู้มีพระคุณ เช่น แม่นม แม่เลี้ยง (แต่จะดีหรือไม่ดีนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง) - ในลักษณะผู้มีอำนาจ เช่น เจ้าแม่ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ
แล้วก็เอามาใช้ในคำสบถ คำอุทาน คำด่าทอ และคำหวานทั้งหลาย เช่น แม่เจ้าโว้ย แม่มึงซิ แม่น้องนาง เหล่านี้เป็นต้น
คำพูดฝรั่งที่ใช้คำว่า แม่ ที่ผนวกเข้ามาเพื่อแสดงความหมายในเชิงขององค์รวมนั้น ที่นึกได้ในขณะนี้ คือ คำว่า mother nature คำนำหน้าที่ใช้เรียกแม่ชีบางระดับในศาสนาคริสต์ คำว่า mother knows how แล้วก็ที่ใช้นำหน้าเรียกชื่อบรรดาแม่ลูกดกทั้งหลาย (ทั้งคนและสัตว์)
ผู้ชายย่อมยากที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งในจิตใจของบุคคลที่เป็นแม่ ในสภาพแวดล้อมปรกติแม่ก็ดูจะเป็นเหมือนคนปรกติทั่วไป แต่ในสภาพไม่ปรกติ ความเป็นแม่จะปรากฎออกมาในอีกรูปลักษณะหนึ่งของการกระทำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 244 เมื่อ 14 ส.ค. 14, 18:42
|
|
กลับมาต่อเรื่องของเราครับ
ผมทิ้งท้ายไว้ว่า แล้วแผ่นเปลือกโลกหนามากน้อยเพียงใด
แผ่นเปลือกโลกที่เป็นแผ่นดินจะหนาในระดับประมาณ 30+ กม. สำหรับที่เป็นพื้นท้องมหาสมุทรนั้น หากอยู่ในพื้นที่บริเวณแนวภูเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทร จะมีความหนาประมาณ 8+/- กม. แต่หากเป็นพื้นที่บริเวณที่มุดตัวลงไปใต้แผ่นดิน ก็หนาถึง 100+ กม.เลยทีเดียว
เมื่อสองแผ่นเคลื่อนที่เข้าหากันแล้วเกิดมุดกันขึ้น แล้วมันจะมุดลึกลงไปเพียงใด
คำอธิบายก็คือ เปลือกโลกเรานั้นมี 2 ชั้น คือชั้นที่เป็นหินแข็ง (Lithosphere) วางทับอยู่บนชั้นที่เป็นหินไหล (Asthenosphere)
ดังนั้นเมื่อมันมุดลงไปผ่านพ้นชั้น lithosphere มันก็จะเลื่อนไหลได้ไม่ยากในชั้น asthenosphere
ถึงตรงนี้ก็อาจจะเกิดข้อกังขาว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแผ่นดินไหวล่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 245 เมื่อ 14 ส.ค. 14, 19:24
|
|
ต่อไปอีกสักนิดเสียก่อนครับ
มาถึงตรงนี้ คงจะต้องมโนกันหน่อยนะครับ
เริ่มด้วยความเป็นจริงเรื่องแรก เมื่อเราเอากระดาษทั้งรีมที่แกะซองออกแล้วมาจับหัวและท้ายดันให้มันโก่งนูนขึ้น (folding) เราจะเห็นว่ากระดาษที่อยู่ในรีมนั้น เมื่อเรามองไปในทิศทางตามสันของโค้งกระดาษรีมนั้น กระดาษทุกแผ่นที่วางทับกันจะเคลื่อนที่สวนทางกัน (relative movement) ในลักษณะที่สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ
เราจะเห็นด้านซ้ายของรีมกระดาษจะมี relative movement อย่างหนึ่ง คือ ไม่ว่าจะเราจะยืนอยู่บนกระดาษแผ่นล่างหรือแผ่นบนก็ตาม เราก็จะเห็นว่ากระดาษอีกแผ่นหนึ่งแผ่นบนเคลื่อนที่ไปทางขวา (dextral movement) ในทำนองเดียวกัน หากเป็นด้านขวาของรีมกระดาษ ก็จะมี relative movement อีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นกระดาษอีกแผ่นหนึ่งเคลื่อนไปทางซ้าย (senistral movement)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 246 เมื่อ 16 ส.ค. 14, 18:46
|
|
เอาเรื่อง relative movement ขึ้นมาเพื่อทำให้เห็นภาพของลักษณะการเคลื่อนไหวแบบตามเข็มนาฬิกาและแบบทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งจะโยงไปหาอีกเรื่องหนึ่ง คือ
เมื่อสองแผ่นท้องมหาสมุทรชนกับแผ่นดินชนกันแล้วเกิดการมุดหรือเกยกัน แล้วก็ยังเคลื่อนตัวสวนกันต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะได้ภาพคล้ายกับการเอากระดานสองแผ่นมาวางทับซ้อนกันแล้วดันให้มันเลื่อนสวนทางกัน
ข้อมูลแผ่นดินไหว (ซึ่งจะได้ขยายความต่อไป) ได้บอกว่าชั้นพื้นท้องมหาสมุทรนั้น มุดลึกเข้าไปใต้แผ่นดินได้หลายร้อย กม.เลยทีเดียว และเป็นการมุดและเคลื่อนที่เลื่อนไปในชั้นหินที่เป็นของไหล (ชั้น asthenosphere) ซึ่งอยู่ในเขตระดับลึกลงไปตั้งแต่ประมาณ 300 กม.ลงไปจนถึงระดับประมาณ 700 กม.
ก็คือ แผ่นหินพื้นท้องมหาสมุทรที่มีความหนาประมาณ 100 กม.นั้น จะมุดดิ่งลงไปใต้แผ่นทวีปที่เป็นแผ่นดินลงไปที่ระดับประมาณ 300 กม. แล้วก็เคลื่อนที่ไปพร้อมกับละลายสลายตัวไป (melting) ในชั้น asthenosphere
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 247 เมื่อ 16 ส.ค. 14, 19:30
|
|
สำหรับมุมที่แผ่นพื้นท้องมหาสมุทรมุดตัวลงไปนั้น ก็จะอยู่ในกรอบประมาณ 30 - 60 องศา ซึ่งสอดคล้องกับ____
ต้องออกมานอกเรื่องอีกเล็กน้อย ครับ ท่านทั้งหลายคงจะเคยเห็นภาพผนังตึกแตกร้าวเป็นแนวทะแยงที่ทำมุมประมาณ 45 องศากับตัวเสา ซึ่งเกิดจากการทรุดของเสาอีกต้นหนึ่งที่เป็นโครงของผนังผืนนั้น ภาพรอยร้าวในมุม 45 องศานี้ เราก็จะเห็นได้เหมือนกันในอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ซึ่งจะเห็นได้ที่ 2 จุด คือ - ที่ผนังอาคาร ซึ่งแสดงถึงอาการที่เสาหรือฐานรากของเสาแต่ละต้นนั้นทรุดลงไปไม่เท่ากัน - กับเห็นได้ในตัวเสาเองที่บริเวณรอยต่อของเสา (หรือหัวเสา) ที่รองรับคานของชั้นบนที่วางทับอยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่เสาต้นนั้นๆแสดงอาการรับน้ำหนักที่กดทับลงมาเกินกำลังของตน
การสำรวจเพื่อประเมินความเสียหายของสิ่งก่อสร้างต่างๆภายหลังเกิดแผ่นดินไหวนั้น โดยเฉพาะการดูว่าโครงสร้างของอาคารหรือสิ่งก่อสร้างนั้นๆอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมต่อการเกิดอันตรายหรือไม่ ก็ดูจากรอยแตกที่เฉียงทำมุมในลักษณะดังกล่าวมานี้ป็นหลัก แล้วไอ้ที่มันจะพังน่ะ มิใช่เกิดจากผลของการไหวในครั้งแรก มันเกิดจาก after shock ต่างหาก ยึ่งมี after shock แบบนับครั้งไม่ถ้วนก็ดูจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก โธ่ ก็คนร่างกายสมบูรณ์ จับมันเขย่าสัก 100 ครั้งมันก็ยังแย่แล้ว คนป่วยน่ะ เขย่าไม่กี่ครั้งมันก็ตายแล้ว
ก็จะไม่อธิบายให้มากความต่อนะครับ หากลองพิจารณาดูรอยแตกที่เล่ามาให้ละเอียดลงไปสักเล็กน้อย ก็จะเห็นว่ามันมีร่องรอยเป็นเส้นที่ทำท่าว่าจะเป็นรอยแตกจริงๆ ซึ่งรอยนี้จะทำมุมประมาณ 15 องศากับรอยแตกหลัก ดังนั้น โดยองค์รวม มุมของรอยแตกร้าวจริงๆก็จะอยู่ที่ประมาณ 30 - 60 องศา
มุมที่แผ่นพื้นท้องมหาสมุทรมุดตัวลงไปก็อยู่ใระหว่างประมาณ 30 - 60 องศาเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 248 เมื่อ 17 ส.ค. 14, 18:19
|
|
ก็คงพอจะเห็นภาพได้บ้างแล้วว่า จุดกำเนิดของแผ่นดินไหวในภาพกว้างๆนั้น พวกที่จัดว่าตื้นจะอยู่ใกล้ๆขอบของแผ่นทวีป และพวกที่จัดว่าลึกนั้นจะอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน
นั่นเป็นภาพหนึ่ง อีกภาพหนึ่ง ก็คือ เนื่องจากแผ่นเปลือกโลกที่เป็นพื้นท้องทะเลนั้นก็มีความแข็ง มันจึงสามารถดันลึกเข้าไปใต้แผ่นเปลือกโลกที่เป็นแผ่นดินในชั้นหินไหล asthenosphere ได้ ดังนั้น จุดเกิดของแผ่นดินไหวจึงอยู่ที่บริเวณผิวทั้งด้านบนและด้านล่างของแผ่นเปลือกโลกที่มุดลงไปเกือบจะเท่านั้น
เมื่อเอาสองภาพมารวมกัน ก็จะพบว่า ณ พื้นที่ในบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวนั้น มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ระดับไปทางตื้นกลุ่มหนึ่ง กับไปในทางลึกอีกกลุ่มหนึ่ง ข้อมูลนี้เองที่ทำให้เราได้รู้ความหนาของแผ่นเปลือกโลกที่เป็นท้องทะเลที่กำลังมุดตัวลงไป ทำให้รู้มุมที่มันมุดลงไป ทำให้รู้ว่ามันมุดไปได้ลึกมากน้อยเพียงใด ทำให้รู้ว่ามันมุดไปไกลเพียงใด และในเรื่องอื่นๆที่อาจจะต้องกล่าวถึงต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 249 เมื่อ 17 ส.ค. 14, 18:45
|
|
ก็ด้วยข้อมูลที่รู้ว่า แผ่นเปลือกโลกส่วนที่เป็นแผ่นดินจะหนาประมาณ 30 กม. แผ่นเปลือกโลกที่มุดอยู่จะหนาประมาณ 100 กม. แล้วก็รู้มุมที่มันมุด แล้วก็มีข้อมูลว่าจุดเกิดแผ่นดินไหวลึกๆที่เกิดขึ้นลึกเข้าไปในแผ่นดินนั้น มักจะอยู่ลึกในระดับที่มากกว่า 300+ กม.
ด้วยพื้นของเหตุผลนี้ จึงมีการจัดแบ่งกลุ่มของแผ่นดินไหวขึ้นมา ดังนั้น เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น จึงมักรายงานความลึกของจุดกำเนิดในเบื้องแรกว่า อยู่ตื้น = ลึกไม่เกินกว่า 70 กม.(shallow focus EQ) ลึกปานกลาง = ระหว่าง 70 - 300 กม. (intermediate focus EQ) และระดับลึก = ลึกมากกว่า 300 กม.ลงไป (deep EQ หรือ deep seated EQ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 250 เมื่อ 17 ส.ค. 14, 18:52
|
|
แผ่นดินไหวนี้บอกเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโลกของเรา
ข้อมูลแรกๆสุดที่เราต้องการนำมาใช้ในโครงการสำรวจดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์ต่าง ก็คือ คลื่นแผ่นดินไหว และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แรกๆสุดที่มีการนำไปวางไว้ก็คือเครื่องวัดแผ่นดินไหว (seismograph)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 251 เมื่อ 17 ส.ค. 14, 19:18
|
|
ค่อยๆเล่าเรื่องแบบคลานมา ก็เพื่อให้ได้มีโอกาสย่อยข้อมูล เกิดเป็นภาพต่างๆขึ้นมา ถึงตอนนี้ก็คงพอจะทำให้ได้ทราบแล้วว่า เมื่อได้รับข่าวว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ณ ที่ใดก็ตาม เราก็พอจะประเมินความรุนแรงและความเสียหายในเบื้องต้นได้ รู้ว่าว่าเราไม่สามารถใช้ข้อมูลขนาด (magnitude) ได้เพียงอย่างเดียว เราต้องรู้ความลึกของจุดกำเนิด (focus) อีกด้วย นอกจากนั้นก็ต้องรู้ตำแหน่ง รู้ภูมิศาสตร์สังคม (social geography) ก็คือรู้จักพื้นที่ คน วัฒนธรรม ฯลฯ จึงจะประเมินอะไรต่อมิอะไรได้อย่างค่อนข้างจะใกล้เคียง (จะทำเรื่อง Mitigation ให้ได้ผล ก็ต้องรู้เรื่องเหล่านี้แหละครับ หากมีโอกาสก็จะชแว๊บไปสักเล็กน้อย )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 252 เมื่อ 21 ส.ค. 14, 18:33
|
|
ขออนุญาตหายหน้าไปถึงสิ้นเดือนครับ
ในช่วงนี้ แผ่นดินไหวที่เชียงรายก็ยังคงไหวอยู่เช่นเดิม ชาวบ้านก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้น ความตระหนกตกใจต่างๆก็เบาบางลงมากๆแล้ว ถึงระดับที่อาจจะกล่าวได้ว่าพอจะนอนอยู่กับมันได้แล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 253 เมื่อ 21 ส.ค. 14, 18:58
|
|
ชาวเรือนไทยจะรอจนคุณตั้งกลับมาค่ะ ตอนนี้ แผ่นดินไหวไม่ค่อยเป็นข่าวแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 254 เมื่อ 02 ก.ย. 14, 21:20
|
|
แผ่นดินไหวขนาด 6.0 ที่ Napa,California ไม่กี่วันมานี้เอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|