เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 22, 14:15



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 22, 14:15
เปิดกระทู้ใหม่ ด้วย

             เข่า(ข่าว + เขา) ว่า Top Gun: Maverick ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา
             ย้อนนึกกลับไป 36 ปี ก่อน, ความทรงจำเกี่ยวกับ Top Gun ก็คือหนังพาฝัน ฉันจะบิน ของหนุ่มสมัยนั้น
นำเสนอภาพนักบินเท่ ฉากบินเฟี้ยวเฟี้ยร์ซ ผ่านพล็อตง่ายๆ ถ่ายภาพสวย และโดดเด่นด้วยเพลงประกอบที่ฮิทติดหูเพลงนี้ 

https://www.youtube.com/watch?v=r5h5JrzJMtQ         


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 22, 14:16
               เพราะภาคต่อเรื่องนี้ ทำให้ได้เพิ่งทราบข่าวเกี่ยวกับ Val Kilmer ซึ่งกลับมาปรากฏในหนังช่วงสั้นๆ ว่า
ป่วยด้วยมะเร็งลำคอ ได้รับการผ่าตัดเปิดหลอดลม ทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้ปกติ
               หนังเรื่องนี้จึงน่าจะเป็น "เพลงหงส์" ของเขา

https://edition.cnn.com/2022/05/26/media/val-kilmer-top-gun-maverick/index.html

            "Top Gun: Maverick" is a likely swan song for Kilmer, who underwent a tracheotomy
that has completely altered his voice. Kilmer revealed he had throat cancer in 2017, and has largely
stepped away from acting.
และ
             จำต้องใช้ - A.I. to craft a computer-generated replica of the actor's voice that could read his lines.

ส่วน อดีตนางเอก Kelly McGillis นั้นก็ขอเก็บภาพเธอจากในคลิปเพลงข้างต้นนั้นไว้ในความทรงจำ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 พ.ค. 22, 08:30
เปิดกระทู้ใหม่ ด้วย

             เข่า(ข่าว + เขา) ว่า Top Gun: Maverick ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา
             ย้อนนึกกลับไป 36 ปี ก่อน, ความทรงจำเกี่ยวกับ Top Gun ก็คือหนังพาฝัน ฉันจะบิน ของหนุ่มสมัยนั้น
นำเสนอภาพนักบินเท่ ฉากบินเฟี้ยวเฟี้ยร์ซ ผ่านพล็อตง่ายๆ ถ่ายภาพสวย และโดดเด่นด้วยเพลงประกอบที่ฮิทติดหูเพลงนี้  
      

อดเสริมไม่ได้ว่า... ในเรื่องนี้ สุดหล่อของผม Kenny Loggins ร้องเพลงดังอันดับ 2 คือ Danger Zone ฟังด้วยเครื่องเสียงในโรงฯ จังหวะชวนขยับขาเป็นที่สุด

https://youtu.be/siwpn14IE7E


ในยุคนั้น (70s) ผมว่า KL เป็น 1 ในนักร้อง (เอาเฉพาะแขนงนี้) ที่หล่อที่สุด  ผมรู้จักเพลงของเธอเยอะแยะ  แต่ไม่เคยซื้อแผ่นเสียงของเธอเลยสักแผ่น

https://youtu.be/Bp4cswi60Ww
ยิ่งอายุมากยิ่งหล่อ  (ไม่นับตอน แก่ นะ) ... ต้นฉบับ เธอจะร้องคู่กับ Stevie Nicks จากวง Fleetwood Mac



แต่เพื่อนสาวของผมจะแย้งว่า Glenn Frey หล่อกว่าย่ะ  แม้จะเห็นต่างแต่ปรากฏว่าผมมีแผ่นของ Eagles เยอะแยะ
https://youtu.be/mrWUlc46dQ0





กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 พ.ค. 22, 08:59
ฝอยเรื่องหนังต่อ...

Mars Attack! (1996) อ่านชื่อก็รู้แล้วว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร  เป็นหนังแนวสยองขวัญปนตลกตามแนว ผกก. Tim Burton

การเผชิญหน้า
https://youtu.be/g3vPyhX1Pps


บุกทำเนียบขาวและจุดจบของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
https://youtu.be/ejfAU0Nz-XQ


จุดจบของประธานาธิบดี Jack Nicholson
https://youtu.be/MPMmC0UAnj0


แล้วเริ่มบุกโลก
https://youtu.be/GQJLMStS4Zs


จุดอ่อนของชาวดาวอังคารซึ่งนำไปสูจุดจบ
https://youtu.be/v38Ir_e2yZc

https://youtu.be/vTwqAFLv2oE


ชอบฉากนี้ที่สุด อยู่ในช่วงที่มนุษย์ดาวอังคารบุกทำเนียบขาวเพื่อหวังสังหารประธานาธิบดี Jack Nicholson และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Glenn Close
https://youtu.be/dKPLQbl44as

https://youtu.be/Ggpbk5ZMj7s


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/jEvKm6YU0Ms


เพลงที่ลวงชาวอังคารไปสู่จุดจบมีชื่อว่า Indian love call ร้องโดย Slim Whitman
https://youtu.be/RFr2tFLZom4
เป็นเพลงดังอันดับ 2 ในปี 1952



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 มิ.ย. 22, 08:45
ใครที่เสพย์เรื่องบันเทิงต่างประเทศมาโดยตลอดจะรู้ว่า  ในยุค 70s มีหนังดราม่าดี ๆ ที่ได้รับทั้งคำชมและรางวัลมากมายมาฉายในบ้านเรา เช่น  Network, Nashville, Papillon, Godfather 2 ภาคแรก, All the president’s men, The French connection ฯลฯ

ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้ข่าวคราวของหนังเหล่านี้มาโดยตลอด  แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นอายุผมอยู่ในช่วงต้นวัยรุ่น  เป็นช่วงที่ไม่ได้สนใจหนังเนื้อหาหนัก ๆ แบบนี้  ก็เลยไม่เคยได้จ่ายเงินเข้าโรงฯ ไปดูสักเรื่อง  นี่ถ้าผมเกิดก่อนสัก 10 ปี  หนังเหล่านี้ไม่มีทางพลาดสายตา (ถั่ว ๆ)

อย่างไรก็ตามพอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  ประสบการณ์ชีวิตทำให้ความสนใจในเนื้อหาของหนังเปลี่ยนไป  ผมก็ตามเก็บหนังดีที่ไม่เคยสนใจในสมัยก่อนไปเรื่อย ๆ
 
Chinatown (1974) ก็เป็นอีกเรื่องที่ในตอนนั้นไม่เคยคิดที่จะดู  ผมรู้แต่ว่าหนังดังถล่มทลาย  ได้ทั้งเงินและกล่อง (เข้าชิง 11 Oscars)  ความดังของมัน  ขนาดที่ผมไม่เคยสนใจ  แต่ยังจำภาพบางภาพได้ติดตา  เช่น poster หนัง  และรูป Jack Nicholson มีปลาสเตอร์ปะไว้ที่จมูก  ซึ่งอย่างมากก็สงสัยว่า  แกไปทำอีท่าไหนมาละหว่า

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/01/HX7pzb.jpg) (https://www.picz.in.th/image/HX7pzb)


เมื่อวาน (ไม่ใช่เวลา ณ ปัจจุบัน) ก็มีคนเอาหนังเรื่องนี้มาปล่อย  เห็นภาพตัวอย่างที่ติดตามาแต่เด็กประกอบกับตอนนี้แก่แล้ว  ทำให้คิดอยากดู  ก็เลยไปดูดมาดู (เพื่อเก็บคะแนนความเป็นนักดูหนังมืออาชีพ)

หนังเล่าเรื่องได้สนุกมาก  โดยเริ่มจากมีผู้หญิงคนหนึ่งมาว่าจ้างนักสืบ Jake ให้สืบว่าผัวตัวเองซึ่งเป็นผู้มีหน้ามีตาในวงสังคมคือมีตำแหน่งเป็น Chief Engineer ของ Water and Power Department ของเมือง LA นั้นมีอีหนูซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง  Jake รับค่าจ้างแล้วดำเนินการสืบสวน  แต่จากเรื่องธรรมดา ๆ มันบานปลายขึ้นไปเรื่อย ๆ กลายเป็นเรื่องฆาตกรรมอำพรางโดยมีเรื่องการเมืองอยู่เบื้องหลัง  เนื้อเรื่องมีรายละเอียดยิบ  เล่าคร่าว ๆ ได้เท่านี้…
 
สืบไปได้หน่อยก็งานเข้าเมื่อพบว่าผู้หญิงคนที่มาว่าจ้างแต่แรกนั้นเป็นใครก็ไม่รู้  คนนี้ต่างหากที่เป็นเมีย Chief Engineer ที่แท้จริง
https://youtu.be/7SZMEImptPQ


เมื่อสืบต่อไปเรื่องถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็ชนตอ… อันเป็นต้นเหตุของภาพดังติดตาผมมาตั้งแต่เด็ก
https://youtu.be/sjWQvFhspxM
4.20 – คนตัวเล็กคือ Roman Polanski ผกก. หนังที่นึกสนุกลงมาร่วมเล่นด้วย (ไม่รู้คิดค่าตัวในฐานะนักแสดงด้วยรึเปล่า) หนังเรื่องนี้เป็นงานที่ทำในอเมริกาเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนเกิดเรื่องอื้อฉาว (เคยเล่าให้ฟังแล้ว) ทำให้ต้องระเห็จหนีออกไปนอกประเทศและไม่สามารถกลับเข้ามาได้อีก


แล้วออกโชว์โฉมนี้กับคนดูไปหลาย 10 นาที
https://youtu.be/utagL-IdP5w


ฉากเด็ด ๆ
https://youtu.be/Wr3edVsHkj0
(ข่าวเล่าว่าฉากนี้ถ่ายซ้ำหลายครั้งเพราะ JN ไม่กล้าตบแรง ๆ กลัว FD จะเจ็บ  กลับเป็นว่า FD รำคาญและสั่งให้ JN ตบจริงๆ ไปเลยจะได้จบ ๆ ไป  ผลคือภาพที่เห็นใน clip ซึ่ง JN มาเปรยทีหลังว่า  รู้สึกผิดอย่างมากทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่การตัดสินใจของเขา... ดูฉากนี้แบบงง ๆ ไปก่อน  พรุ่งนี้จะเฉลย)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 มิ.ย. 22, 08:34
Chinatown ต่อ...

ฉากเบา ๆ ก็มี
https://youtu.be/LaK2iojpwKA


หนังดำเนินเรื่องไปอีกนาน  จนผมชักเริ่มสงสัยว่า  ทำไมยังไม่เห็นฉากหรือเนื้อหาเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องคือ Chinatown  เลย  ปรากฏว่ามันมาโผล่ในฉากจบ
https://youtu.be/VsKFwwAPJqE
0.04 – นี่คือ John Huston เป็น ผกก. มือทำเงินและนักล่ารางวัลในยุคทองของฮอลลีวู้ด  ผลงานของเขา (ทั้งกำกับ – เขียนบท – แสดง) ได้เข้าชิง Oscar เป็นว่าเล่น  และคว้ามาได้ 2 ตัว
 
ในปี 1948 เขากำกับหนังเรื่อง The treasure of the Sierra Madre จนได้รับ Oscar  ในเรื่องนี้เขายังกำกับพ่อของตัวเองคือ Walter Huston จนได้รับ Oscar นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยมด้วย

มาปี 1985 เขาก็กำกับหนัง Prizzi’s honor  ซึ่งได้เข้าชิง Oscar 8 สาขารวมทั้งสาขา ผกก.  ซึ่งพลาดไป  แต่ที่ไม่พลาดและเป็นรางวัลเดียวของหนังที่ได้ Oscar คือบทนักแสดงประกอบฝ่ายหญิงซึ่งได้แก่ลูกสาวของเขาเองคือ Anjelica Huston  ความสามารถในการกำกับ พ่อและลูก ของตัวเองจนได้รางวัล  ทำให้ตัวเขามีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเวที Oscar

ในด้านการแสดง  ตัวเขาเองก็เคยได้เข้าชิง Oscar สาขาการแสดง (ประกอบ) ในปี 1964  แต่พลาดไป

ในเรื่อง Chinatown นี้ JH เล่นเป็นพ่อของเมียตัวจริง (ที่เล่นโดย Faye Dunaway) ของ Chief Engineer ที่ต่อมาโดนฆาตกรรม เป็นคนมีจิตใจโสมม  คือเคยข่มขืนลูกสาวตัวเอง (FD) จนท้องและออกลูกเป็นสาวคนที่เห็นในฉาก  สาว Katharine คนนี้จึงเป็นทั้งน้องสาวและลูกสาวของ FD (คือสาเหตุของฉากกระหน่ำตบของ Jake เพราะคิดว่า FD ตอแหลจนต้องตบล้างน้ำ)
 
หนังจบด้วยประโยค "forget it Jake, it's Chinatown."  ประโยคนี้  ถ้านั่งดูในโรงในยุคนั้น  ไม่มีทางรู้ที่มาที่ไปของมันหรอก  แต่ในยุคจรวด อตน. ที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า ‘ไม่รู้’  ค้นหาได้ง่ายว่า  มันเป็นอุปมาอุปมัย ‘It has become a mantra for those who have been burned or snubbed by the entertainment industry, the implication being that it's better to "let it go" than make an issue of it, because that's just how the industry works’


ย้อนกลับไปตอนนั่งดูหนังเรื่องนี้ไปได้หน่อยก็ชะงักชั่วคราวแล้วกลับไปค้นว่าเคยดูหนังของ Jack Nicholson เรื่องแรกในชีวิตเมื่อไร (ขออีกนิด... ถ้าไม่ใช่ยุค อตน. ก็นั่งคิดไปเถิด) ก็พบว่าเป็นปี 1981  เธอเล่นใน The postman always ring twice (1981 – หนัง remake ของต้นฉบับปี 1946) คู่กับ Jessica Lange  จำได้ว่าดูที่โรง EMI  ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร  นอกจากฉาก ‘กระหน่ำเซ็กส์’ บนโต๊ะทำอาหารในครัวที่ติดตามาหนึ่งเพลิน  ผมไม่เคยคิดว่า JN หล่อเลย  อีกทั้งไม่ชอบแววตา  เป็นแววตาของคนเจ้าเล่ห์  คบไม่ได้

แต่ในหนัง Chinatown นี่  เอ... ทำไมท่านหล่อจัง  แววตาที่สรุปไว้ว่าร้ายกาจกลับดูเหมาะกับเธอในวัยหนุ่ม (ใหญ่... 37)  พอดูมาถึงฉาก love scene ใน clip นี้ (1.29) สรุปได้ว่าตอนหนุ่ม ๆ เธอหล่อ (และเซ็กซี่) เต็มพิกัด  พิจารณาแล้ว  ผมชอบจมูกของเธอจัง  โด่งเป็นสันได้รูปเข้ากับโหนกแก้ม
https://youtu.be/2gD_gEefx9s

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/02/Ha6F7f.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Ha6F7f)


หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar 11 สาขารวมถึงหนังยอดเยี่ยม ผกก. ยอดเยี่ยม ดารานำชาย-หญิงยอดเยี่ยม  แต่ได้มารางวัลเดียวคือ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบทหนังที่สมบูรณ์ที่สุดบทหนึ่งเท่าที่มีการเขียนกันมา  บทหนังเรื่องนี้ใช้เป็นตัวอย่างหลักในวิชาสอนการเขียนบทหนังในทั่วทุกสถาบันการศึกษาและงานสัมมนาทั้งในและนอกอเมริกา

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/p39LFdGI-YA

(Fun fact: เนื้อเรื่องของหนังเกิดในปี 1937  JN เกิดในปี 1937  ขณะเล่นเรื่องนี้ (1974) เขามีอายุ 37 ปีพอดี)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 22, 09:30
ดาราแก่ๆหลายคนที่ร่วงโรย หน้าตาดูไม่ได้     ลองย้อนกลับไปตอนหนุ่มตอนสาวเถอะ  หล่อสวยอย่างไม่น่าเชื่อกันทั้งนั้นค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=55rGd3QcY7U


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 22, 09:31
หน้าหล่อๆในยุค 70s

https://www.youtube.com/watch?v=s2LhLSBPsCY


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 มิ.ย. 22, 08:43
ตอนที่ช่อง TCM โฆษณาว่าจะมีหนังเรื่องหนึ่งมาฉาย  มันชื่อว่า Strawberry blonde (1941)  พอเห็นชื่อนักแสดงนำแล้ว  ผมวงเอาไว้เลย  อย่าพลาดนะแก

เรื่องราวของหนังย้อนยุคไปปลาย 1800s  ที่เหล่าหญิงสาวยังรักนวลสงวนตัวอยู่  หนุ่มชาวนิวยอร์คคนหนึ่งไปหลงรักสาวผม strawberry-blonde  แต่อ่อยเหยื่อไม่ติด  เหยื่อดันไปหลงใหลเพื่อนของหนุ่มแทน  เจ้าตัวเลยจับพลัดจับผลูไปได้เพื่อนของสาวที่น่าหลงใหลน้อยกว่า  อย่างไรก็ตามกาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า  สาวคนนี้แหละคือ the right one

Plot หนังสมัยก่อนเบา ๆ  มาปัจจุบันมีหนังออกฉายไปแล้วเป็นล้านเรื่อง  plot หนังปัจจุบันจึงต้องซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่งั้นคนดูเบื่อกันหมด

นักแสดงนำระดับแม่เหล็กขนาดโต  หนุ่มพระเอกคือ James Cagney (เคยเล่าถึงไปแล้ว)  สาวผม strawberry-blonde คือ Rita Hayworth  เพื่อนหนุ่มคือ Jack Carson  เพื่อนสาวคือ Olivia de Havilland

สิ่งแรกที่ทำให้ต้องดูเพราะอยากเห็น ODH  ผมหลงใหลเธอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  หน้าเธอสวยหวานมาก  (แม้ภาพเธอใน Gone with the wind จะไม่สวยเลย)
 
แต่ที่อยากเห็นมากกว่าเพราะไม่เคยเห็นเธอในระบบ action มาก่อนคือ Rita Hayworth  รู้มานานแล้วว่าเธอเป็นดาราใหญ่มากในยุค 40s  ถึงฝีมือการแสดงของเธอจะสู้ความเป็นดาราไม่ได้  อีกสิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในสมองมาตลอดคือ รู้มาว่าวันหนึ่งเธอได้แต่งงานกับเจ้าชาย (Aly Khan) เลยกลายเป็นเจ้าหญิง (ก่อน Grace Kelly)  ตอนเด็ก ๆ ได้ยินชื่อเจ้าหญิงสวยชื่อ Yasmin Aga Khan  มาประติดประต่อในภายหลังว่าคือลูกสาวของทั้ง 2 นี่เอง

เอาแค่นี้ละกัน  เราคุยกันเรื่องหนังนิ  ไม่ใช่ประวัติดารา


RH กับ JC
https://youtu.be/1dHo3w_ktNA


ฉากนี้ดูแล้วอิ่มใจจัง  สวยสูสีกัน
https://youtu.be/PgcQvNEtYss
(0.14 - ดู รอบเอว ของ 2 สาวดิ  ตรงกับพังเพยโบราณว่า เอวเล็กเหมือนมดตะนอย  น้าคนสวยเคยเล่าว่าตอนสาว ๆ รอบเอววัดได้ 20 นิ้ว  รอบเอวสาวสมัยนี้... โอ้...)


ยังผิดฝาผิดตัวอยู่
https://youtu.be/-Im11p4VN2A


We are meant for each other…
https://youtu.be/c3Cr7Pnjdlk
(หนังผสมสีซึ่งออกมาสวยมากโดยเฉพาะ ODH)


ตอนจบ  ดูแรก ๆ นึกว่า RH จะเป็นตัวนำ  ปรากฏว่าไม่ใช่
https://youtu.be/0dIHa0PRJzI


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/Ca8Ezo9CUdk


ความสามารถที่ Rita Hayworth ทำได้ดีมาก  และมากกว่าการแสดงคือการร้องและเต้นรำ  Fred Astaire เคยบอกว่าเธอเป็นคู่เต้นคนโปรดเลยแหละ  
https://youtu.be/WUhhKELUxB0

https://youtu.be/UXJjm4vZfpQ

https://youtu.be/KdMmx5ufjKw


น้าสาวคนสวยของผมเคยเล่ามาตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ ว่า RH เต้นรำในเรื่อง Salome ได้วาบหวามมาก
https://youtu.be/SLpwQG7I9OU


RH เป็นดาราที่มีคุณสมบัติสมกับคำจำกัดความของ ‘ดารา = ดาว’ คืออยู่สูงเกินเอื้อม  เลยไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วดาวดวงนั้นมันเป็นอย่างไร  กล่าวคือ ชีวิตจริงของเธอมีแต่ความทุกข์  แต่งงาน 5 ครั้ง  เพราะหาความสุขไม่ได้เลย  ลงท้ายก็อยู่คนเดียว  ติดเหล้าและตายด้วยโรคความจำเสื่อม

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/03/HviYQV.jpg) (https://www.picz.in.th/image/HviYQV)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 มิ.ย. 22, 08:26
หนังที่กำกับโดย Tim Burton ล้วนมี plot แปลก ๆ น่าสนใจมากมายรวมทั้งเรื่องนี้ Sleepy hollow (1999) เล่าเรื่องย้อนยุคไปปี 1799  เกี่ยวกับตำรวจหนุ่ม Ichabod Crane มาสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในหมู่บ้านห่างไกลความเจริญชื่อ Sleepy Hollow และพบว่าฆาตกรคือปีศาจ

จุดกำเนิดของปีศาจ
https://youtu.be/g9vPtCW9pJ8


Ichabod เป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง
https://youtu.be/2k0mUKGYUQE


การเผชิญหน้าระหว่าง Ichabod กับปีศาจ
https://youtu.be/31Q9JbHAzjA


ที่พำนักของปีศาจ
https://youtu.be/EcOENbnXxQ4

https://youtu.be/RN7YPq8i4w0


สาเหตุที่ทำให้ปีศาจต้องเป็นฆาตกรและตอนจบ
https://youtu.be/2GhCtawsg54


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/6RsKwn_Je1k


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/06/Hecw58.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Hecw58)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 มิ.ย. 22, 09:01
Gone girl (2014)  เป็นหนังลึกลับนำมาซึ่งการสืบสวนหาความจริง  ตอนออกฉายหนังสร้างปรากฏการณ์สามารถทำเงินไปได้ 369 ล้านเหรียญทั่วโลกจากต้นทุนเพียง 61 ล้านเหรียญ  แม้หนังจะยาวกว่า 2 ชม.  แต่สนุกและน่าติดตามทุกขณะ  สมควรนำมากล่าวถึง

เนื้อเรื่องว่าด้วยวันหนึ่ง ครูสอนการเขียนนิยายกลับมาบ้านก็พบว่าเมียตัวเองหายไป  เธอหายไปได้อย่างไร  อะไรหรือใครเป็นต้นเหตุให้เธอหายไป  เรื่องที่แย่กว่านั้นคือการที่เธอหายไปนานอย่างไร้ร่องรอยทำให้ผู้คนตั้งเป้าสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม  และตัวเขาคือผู้ต้องสงสัยคนแรก

ถ้าเล่าต้องยาวยืด  มาฟังคุณ‘Morble Channel’ สรุปดีกว่า

https://youtu.be/98XiAZCOEc4
(ขอบคุณคุณ‘Morble Channel’)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/2-_-1nJf8Vg

(หมายเหตุ – clip ที่คนย่อยลง youtube ไม่แสดงนัยสำคัญของตัวหนังเท่าไรเลยไม่เอามาลง อย่างไรก็ตาม มีฉากที่ 'มัน' มากคือฉากน้องสาวของพระเอก  ที่พอรู้ว่าพี่ชาย 'หน้าหม้อ' ขี่นักเรียนของตัวเอง  เธอด่าเช็ด  ฮู้ย... สำนวนเด็ดมันจนต้องทำสำเนาส่วนตัวเก็บไว้ดู  เอาไว้ศึกษาเผื่ออยากด่าใคร (ฝรั่ง))



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 มิ.ย. 22, 09:38
Mini series 3 ตอนจบ (ย่อยเป็นตอนสั้น ๆ ท่านผู้อ่านจะได้ไม่หนักใจที่จะอ่าน)...

ตอนเขียนถึง Gods and Monsters  จำได้ว่า ‘จาร เอ่ยว่าชอบ Brendan Frazer  แล้วก็เอ่ยว่าเคยเห็นครั้งแรก (ถ้าจำไม่ผิด) จากเรื่อง Bedazzled  ทำให้นึกได้ว่าผมเคยเห็นเธอมาก่อนหน้านั้น  แต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใครเพราะยังไม่ดัง

เช็คชื่อเรื่องไปแป๊บก็ได้คำตอบ  สมัย อตน. นี่หาอะไร ๆ ได้ง้ายง่าย  ง่ายจนไม่รู้สึกภูมิใจในความพยายามของตัวเองเลย  ถ้าเป็นสมัยก่อนหน้า  งมไปเหอะ  พลิก Starpics หาไปเถอะ  วันหนึ่งคงเจอ  แต่ถ้าเจอแล้วมันภูมิใจจัง  เฮ้อ... เจอจนได้  ประมาณนี้  แล้วก็คิดถึง ทิวลิบ กูรูตอบปัญหาของ SP  แสดงว่าเธอต้องเก็บข้อมูลไว้เยอะมาก  ใครถามอะไร  เธอตอบได้หมด  ทั้งหนังและเพลง  เก่งที่สุด

คำตอบของคำถามที่ว่าคือเรื่อง School ties (1992)  แล้วความทรงจำก็ผุดขึ้นมาว่าได้ดูในยุควิดีโอ  เป็นของ บ. CVD ฯ  แสดงว่านานมากกกกก  นานเข้าข่ายที่สุดจะปะติดปะต่อรายละเอียดใด ๆ  ได้  พอเปิด Wikiฯ อ่านก็จำได้แบบกระท่อนกระแท่น  เปิด Youtube ก็รู้เรื่องเฉพาะฉากที่คนลงต้องการนำเสนอ  แต่เอามาเกี่ยวโยงกันไม่ได้  clip ไหนมาก่อนมาหลังก็จำไม่ได้

ลงท้ายก็เลยไปดูดหนังมาดูใหม่ให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเลย  เอามาเล่าแบบมั่วนิ่ม  ไม่ปะติดปะต่อ  ก็จะเป็นการมักง่าย  ไม่ให้เกียรติท่านผู้อ่านที่ให้ความกรุณาติดตามผลงาน


เรื่องราวของหนังย้อนไปในยุค 1955 เล่าถึง David (Brendan Frazer) หนุ่มจากครอบครัวชาวยิวชั้นแรงงานที่ได้ทุนการศึกษาด้านการกีฬาเข้าไปเรียนในโรงเรียนประจำระดับมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงของรัฐ Massachusetts  เป็นการเดินตามความฝันที่จะได้มีโอกาสเรียนต่อใน Harvard  เธอเข้าไปเรียนในปีสุดท้าย  ดังนั้นจึงเป็นที่สนใจของทุกคนทุกระดับในโรงเรียน

แต่ความเป็นเด็กยิวทำให้ชีวิตของเธอใน 1 ปีสุดท้ายนั้นไม่สดใสเอาเลย

เปิดเรื่องด้วยทิวทัศน์ย้อนยุค
https://youtu.be/5KLB45flfBc
(เพลง Ain't that a shame ของ Fats Domino  บ้านเราเปิดแต่เพลง Blueberry Hill)
https://youtu.be/bQQCPrwKzdo


หนังปูพื้นให้คนดูรับทราบว่าหนุ่มยิว David ผู้นี้ ‘ไม่ใช่เด็กแหย’
https://youtu.be/gx68pGS-FwA


คนที่พาพ่อหนุ่มเข้าโรงเรียนคือโค้ชกีฬาของโรงเรียน  
https://youtu.be/FRavoHddjCM


พอไปถึงก็มีการเตือนล่วงหน้าหน่อยว่า...
https://youtu.be/s546nvjxiBw
แสดงว่าหนุ่ม David พอระแคะระคายแต่ไม่ได้ตระหนักเรื่องปัญหาของการเหยียดเชื้อชาติ

(รถ Ford Country Squire Woody สุดเจ๋ง)
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/08/HFoWxu.jpg) (https://www.picz.in.th/image/HFoWxu)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 มิ.ย. 22, 08:22
School Ties - ต่อ...

หนุ่ม David ได้รู้จักเพื่อนร่วมชั้นอันเป็นกลุ่มเด็กที่ล้วนมาจากครอบครัวชั้นแนวหน้าของสังคม (ในฉากนี้จะเห็นนักแสดงหนุ่มหน้าใสคุ้นตามากมาย  ในปี 1992 ที่หนังออกฉายนั้นไม่มีใครรู้ว่าต่อไปในภายภาคหน้า  นักแสดงเหล่านี้บางคนจะไปได้ดีในวงการแสดงจนมีชื่อเสียงหรือมีชื่อเสียงติดหูคนเกือบทั่วโลก  มีหนังที่ตัวเองเล่นในบทนำทำเงินมากมาย เช่น  Chris O’Donnell กับ Matt Damon  ส่วนอีก 2 คน  ตัวเล็กกว่าคือ Cole Hauser เคยดูหนังที่เธอเล่นมาบ้าง ไม่ดังเท่า 2 คนแรก  ส่วนตัวโย่งคือ Randall Batinkoff  นี่เงียบกริบ  เห็นหน้าแล้วจำได้ว่าครั้งดูทางวิดีโอชอบมาก  สูงดีจัง – 193  บทในหนังเธอคือ Head Prefect ของชั้นเรียน)
https://youtu.be/cO_P85lG6ug


แรก ๆ ก็เข้ากันได้ดีกับคนอื่น ๆ  ถึงกับ (บางครั้ง) เป็นหัวโจกในการล้อเลียนครู
https://youtu.be/2dJDJZSXe-8
หนุ่มน้อยถอดเสื้อโชว์กล้ามนี่  ตอนนี้ทุกคนรู้จักดีว่าคือใคร  ในเรื่องนี้บทของเธอมีความสำคัญเป็นรอง

ที่ 0.52 - หนุ่ม David เริ่มจะระแคะระคายได้ว่าเพื่อนของเขาล้วนเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ

ที่ 0.57 - ผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะคือ Mr. Clearly เป็นครูสอนวิชาฝรั่งเศสและเป็น House Master ของตึก  ผู้สวมบทคือ Željko Ivanek นักแสดงชาวอเมริกัน  ผมจำชื่อนี้ได้ไม่มีลืม  เพราะไม่เคยอ่านชื่อออก  นั่นเป็นเพราะครอบครัวเธออพยพมาจาก Yugoslavia  จากหนังเรื่องนี้ต่อมาเธอมาโด่งดังทางหนังทีวี  ได้รางวัลทางการแสดงมากมาย  อ้อ... เธอจบจาก Yale  น่าภูมิใจแทนจัง

เพลงในฉากนี้คือ Smokey Joe’s Café ของ The Coasters เป็นเพลงที่ผมก็เพิ่งเคยได้ยิน  ตอนเด็ก ๆ วิทยุบ้านเราเคยเปิดเพลงของวงนี้มาบ้าง  ที่ดังแบบสุดกู่คือเพลงนี้…
https://youtu.be/ZRfRITVdz4k)


การแก้แค้นของ Mr. Clearly ต่อหนุ่มใส่แว่นดำที่ไม่ยอมปิดเพลงใน clip ที่แล้ว
https://youtu.be/8t9cM07JEsI


ผลคือพ่อหนุ่มได้รับความอับอายและคิดมากจนสติแตก  ต้องนำส่งโรงพยาบาล และต้องออกจากโรงเรียนในที่สุด
https://youtu.be/STpeoKr0ocI


กลับมาที่ David หลังจากได้ระแคะระคายว่าพรรคพวกของตนล้วนฝักใฝ่การเหยียดเชื้อชาติ  เธอก็เริ่มระวังตัว  สัญชาตญาณเตือนสติว่าควรจะทำตัวอย่างไร
https://youtu.be/9RocEndt0ss


ในเรื่องกีฬา David พิสูจน์ได้ว่าการที่เธอได้ทุนเข้ามาเรียนนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค  เธอกลายเป็นดาวดังทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนและเป็นที่หมายปองของสาว ๆ หนึ่งในนั้นเป็นของหวงของ Matt Damon  เธอเคยโดน David หักหน้าตอนเล่นกีฬาโรงเรียน (ไม่ใช่เพราะแกล้งแต่เพราะ MD ฝีมืออ่อนอันจะทำให้โรงเรียนแพ้เกม)  และหลังจากสาวสลัดรักโดยไม่ใยดีไปหา David แทน  ความแค้นที่สั่งสมก็สูงขึ้นเป็นทวีคูณ

โอกาสแก้แค้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดเมื่อจู่ ๆ เธอก็พบว่า David เป็นยิวแต่ปกปิดไว้โดยตลอด  เธอไม่รอช้าที่จะกระจายข่าว
https://youtu.be/gsRMdBf5S7Q
(มุขแก้แค้นนี้ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ  ท่าจะเป็นโจ๊กเกี่ยวกับการเยาะเย้ยชาวยิวที่อยู่ห่างไกลจากสังคมของเรา
1.31 – ไม่ใช่ backstabbing kite  ต้องเป็น backstabbing kike  คำว่า kike เป็นแสลงของคนอเมริกันผิวขาวใช้พูดเพื่อเหยียดหยามคนยิว)


มีต่อ....


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 มิ.ย. 22, 08:53
School Ties – ต่อ...


หลังจากความลับเปิดเผยแล้ว  ก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ  ดูเหมือนคนที่ทำให้เสียใจที่สุดคือ roommate ของตัวเอง (Chris O’Donnell)
https://youtu.be/__QWwrpvYCg


ปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่สาวบอกเลิกรักด้วยเหตุผลเพราะเป็นคนยิว  จนมาถึงฉากเหล่านี้
https://youtu.be/2yOZuAuj0t8
(เจ้าแว่นเริ่มกวนตีนด้วยการแกล้งฮัดเช้ยว่า Ah-Jew   ส่วน roommate ของ David เตือนว่า Would you grow up, for Christ’s sake? แสดงว่าเธอก็อนาทรร้อนใจแทนเพื่อนร่วมห้องไม่น้อย
0.43 – เจ้าแว่น: Look… My name is Richard Collins. What's yours, Reece-berg?  … เจ้าแว่นถากถาง roommate ของ David (ในหนัง  ตัวละครที่ CD สวมบทนี้ชื่อ Chris Reece) ว่าฝักใฝ่ในยิว (เธอเอานามสกุลมาล้อโดยเติมคำว่า ‘berg’ อันเป็นสร้อยที่ชาวยิวในเยอรมันชอบเอาไปรวมกับนามสกุลของเผ่าพันธุ์ของตน ลงไป)  ถ้าผมเป็น Reece  ไอ้นี่ต้องโดนผมตบแว่นกระเด็นหวือไปแล้ว  แล้วตามด้วยชกหน้า (หล่อๆ ของ)  Ben Affleck โทษฐานเสือกไม่เข้าเรื่อง)

 
หนังมาถึงช่วงใกล้จะจบ เมื่อถึงวิชาสอบไล่วิชาหนึ่ง  จากการสังเกตลักษณะตัวละครนี้มาแต่ต้นแล้วพบว่าตัวละคร (MD สวมบท) เรียนไม่เก่งเท่าไร  แต่ความที่อยู่ในครอบครัวชั้นสูง  พ่อพี่ล้วนเรียนเก่ง ๆ ทั้งนั้นก็เกิดการเครียดกลัวไปไม่รอดจึงคิดจะโกง
https://youtu.be/SzbWhptu1tU
(roommate ของเธอคือ RB ตำแหน่ง head prefect เจ้าโย่งสูง 193 ขวัญใจของผม)


จาก clip ที่แล้ว  MD สัพเพร่าทำให้ครูจับได้ว่ามีการโกงเกิดขึ้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าใครทำเพราะในโพยเขียนเป็นอักษรตัว block (อักษรตัวใหญ่เช่น A-S-D-F ฯลฯ เป็นต้น)  เลยเทียบลายมือไม่ได้  อ. เลยคาดโทษว่าถ้าส่งตัวผู้ทำผิดมาให้ไม่ได้  จะปรับตกทั้งชั้น

ทุกคนก็ร้อนตัวกลัวเรียนไม่จบกัน เลยต้องพยายามหาว่าใครคือตัวก่อเหตุ  ในขณะที่ David ซึ่งแอบเห็น (2.22 ของ clip ที่แล้ว) และหาทางบอก MD ให้มอบตัวเสีย  แต่ MD ไม่ยอม  เธอขอร้องต่าง ๆ นานาจนถึงการติดสินบน David


เมื่อไม่มีใครยอมรับ  เลยต้องเข้าที่ประชุมโหวตเสียงว่าควรจะเป็นใคร
https://youtu.be/_9NyfV1QsrU
(0.47 – Dillan (MD) ทำแสบสุด)


ฉากต่อ ๆ มาคือ...

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/10/VdUOFa.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VdUOFa)
“Alright. I'll go to the headmaster and I'll lie”


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/10/VdUHol.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VdUHol)
“I've come to confess that I was cheating on the exam”


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/10/VdUafv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VdUafv)
“No, David. You did no such thing. I saw Dillan (MD) cheat on the exam. He was my roommate for four years. I am sorry (ที่ไม่ได้ช่วยนายก่อนหน้านี้)”


เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย  บรรดาครูก็ขอให้ David อยู่เรียนต่อจนจบ  พ่อหนุ่มพยักหน้า

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/10/Vdqdh1.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Vdqdh1)
Headmaster: Then it’s settled. I’d like to forget this ever happened.
David: No, Sir. You’re never going to forget it happened because I’m going to stay and every day you see me, you’ll remember it happened.
You used me for football. I’ll use you to get into Harvard.
นั่นเป็นเพราะตัว Headmaster เองก็เคยเหยียดหยาม David มาก่อนในตอนต้นเรื่อง  แต่ต้องพยายามทำใจเพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน (ทางด้านกีฬา)


ตอนจบ… สะใจดี
https://youtu.be/dJSFpyzRbgw


Brendan Frazer เล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 อายุ 20 แก่ ๆ  หน้าตามีทั้งความหล่อและสวย  แต่บุคลิกเป็นแมนมาก การแสดงของเธอเด่นจนได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์  แต่ไม่แรงพอที่จะส่งให้มันเป็นหนังทำเงิน  

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/10/Vdq05y.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Vdq05y)

ไม่รู้เพราะไม่ชอบแสดงบทดราม่ารึเปล่า  บทในหนังเรื่องต่อ ๆ มาจึงเป็นบทเบา ๆ เสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไปได้ดี  แสดงว่าเป็นตัดสินใจที่ถูกต้อง



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 มิ.ย. 22, 08:30
กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ได้...

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/13/VYJF9N.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VYJF9N)


Making Love (1982) เป็นหนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับชนชาวเกย์โดยตรงเป็นเรื่องแรกที่ผลิตโดย Major Studio (คือ 20th Century Fox) ของฮอลลีวู้ด

เนื้อเรื่องเล่าถึงชายที่มีครอบครัวแล้ว  ได้ไปเจอหนุ่มเกย์แบบเปิดเผย  การพบกันนี้ไปปลดกลอนประตู ‘ตู้เสื้อผ้า’ ของเขาให้เปิดออกในที่สุด  กลายเป็นรัก 3 เส้า  หนังจบแบบให้บรรยากาศที่ ‘เศร้า’

https://youtu.be/UQMSNmieOts
(แต่ก่อนมี clip ย่อย ๆ มากมาย  บัดนี้หายไปหมดแล้ว)


หนังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะยุคนั้น  อย่าว่าแต่มีใครเอา plot มาทำหนังฉายให้ชาวบ้านดูเลย  เรื่องจริง ๆ ยังเก็บซ่อนอยู่มิดชิด แต่ Studio อยากลองของแปลกใหม่  ทุกอย่างมีอุปสรรคกันหมดโดยเฉพาะการหาตัวนักแสดงชายมาเล่นบทนำ 
 
Harry Hamlin ผู้รับบทเกย์หนุ่มแบบเปิดเผยเล่าไว้เนื่องในโอกาสที่หนัง ‘pioneer’ เรื่องนี้ครบรอบการฉายมานาน 40 ปีซึ่งเป็นการสร้างก่อนโรคเอดส์ระบาดใหญ่ ว่า  เพราะเป็นหนังจาก major studio  จึงต้องหานักแสดงให้สมกับสถานะภาพของ studio  แต่นักแสดงชั้นนำระดับหัวแถวในขณะนั้นเช่น William Hurt, Michael Douglas, Harrison Ford ฯลฯ  ต่างปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง  เพราะเป็นห่วงภาพพจน์ของตน

บทที่ว่ามาถึงเธอซึ่งก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของยุคคนหนึ่ง  agent ให้กำลังใจว่าไม่ต้องกลัวเสียภาพพจน์  ไม่มีใครเชื่อว่า HH จะเป็นเกย์เพราะว่าตอนนั้นเธอมีข่าวดังคับวงการว่ามีลูกแล้วกับ Sex bomb ชื่อ Ursula Andreas

HH เล่าต่อว่า Studio หวังไว้เหลือเกินว่าคนจะมาซื้อตั๋วดูดาราชายที่มีชื่อเสียงจูบกัน (อีกคนคือ Michael Ontkean อีกหนึ่งนักแสดงที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น)  เป็นครั้งแรกของวงการฮอลลีวู้ด  เธอบอกว่าฉากจูบกันเป็นของจริงซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าแสดง  แต่ฉาก ‘บนเตียง’ ใช้นักแสดงแทน
https://youtu.be/lU_Ib2Bpw0A


เมื่อหนังสร้างเสร็จก็เอาออกฉายเป็นการภายในก่อน

ข่าวเล่าว่า เมื่อ Marvin Davis มหาเศรษฐีน้ำมันชาวเดนเวอร์ซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของ 20th Century-Fox เมื่อได้ดูถึงกับโว้กว้ากว่า ‘You made a goddamn faggot movie!' แล้วก็ผลุนผลันเดินออกไปจากห้องฉายโดยที่หนังยังไม่จบ 

ทาง Studio อ้าปากค้าง ‘ฉิบหายแล้ว ทำไงดีละหว่า  สร้างออกมาแล้วด้วย’ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ Studio ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหนังดี  เลยดองไว้เกือบ 1 ปีเพื่อหากลยุทธทางการตลาดก่อนจะตัดสินใจเอาออกฉาย  แต่ผลลัพธ์คือคนดูรับ plot แหวกแนวนี้ไม่ได้  จากปากต่อปาก  คนเลยไม่ไปดูกัน  หนังก็เลยเจ๊ง  ความซวยแผ่มาถึงนักแสดงนำชายแท้ 2 คนที่หางานคุณภาพทำไม่ได้อีกเลยหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย

เวลาผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบันที่เรื่องเกย์เป็นเรื่องสาธารณะ  มีคนทำหนังเกย์คุณภาพต่าง ๆ ออกมาให้ชมดาษดามากมาย  ทั้งหญิง/หญิงและชาย/ชาย  วงการบันเทิงของอเมริกาจึงมองย้อนกลับไปและยกให้หนัง Making Love เรื่องนี้เป็น ‘The mark of the beginning of a turning of the tide for depictions of gay characters in movies and on television’


Soundtrack ของหนัง  ส่วนที่เป็นเพลงร้อง  เป็นเสียงของ Roberta Flack  เพลงชื่อเดียวกับชื่อหนัง  ปรากฏในตอนจบของเรื่อง (clip โดนถอดออกไปแล้ว) ผมว่าเป็นเพลงที่เพราะมาก  แนวถนัดของเธอเลยแหละ  เสียดายที่หนังไม่ดังและไม่ทำเงิน  เพลงของเธอเลยไม่มีแรงสนับสนุน  ขึ้นไปถึงแค่อันดับ 13 ก็ร่วง
https://youtu.be/LNJ8ks95wT4


(หมายเหตุ – ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ทางวิดีโอ เป็นหนังเกย์เรื่องแรกในชีวิต ก่อนเปิดดูรู้สึกตื่นเต้นมาก  พอได้ดูแล้วความตื่นเต้นลดลง  สาเหตุมาจากมันเป็นวิดีโอผี  ภาพไม่ชัด  คุณภาพแย่กว่า clip ที่เอามาให้ชมนี้เสียอีก  ไหนจะต้องเงี่ยหูฟัง  ไหนจะต้องเขม้นตามอง)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 มิ.ย. 22, 08:31
ในขณะที่ฮอลลีวู้ดจด ๆ จ้อง ๆ กับการอนุมัติสร้างหนังเกย์ที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รู้ ๆ กันอยู่  คือ ต้องทำเงิน  เงื่อนไขนี้จึงทำให้ไม่มีหนังแนวห่างจากตลาดนี้ออกมาสู่สายตาผู้ชมเท่าไร  ตรงกันข้ามกับทางฝั่งยุโรปที่สร้างหนังแนวนี้ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่โบราณนานมาแล้ว  แต่เพิ่งมาขยายวงกว้างเมื่อยุค อตน. มาถึง

Un amour à taire มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า A love to hide  เป็นหนังเกย์จากฝรั่งเศสสร้างในปี 2005  เนื้อเรื่องย้อนยุคไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เล่าเรื่องหญิงสาวชาวยิวที่พยายามหลบหนีสาวกฮิตเลอร์อย่างไม่คิดชีวิตเมื่อได้รู้เห็นครอบครัวของเธอถูกฆาตกรรมสยอง  เธอกระเสือกกระสนไปหาที่พึ่งได้ในที่สุดคือบ้านของเพื่อนชายที่มีสถานภาพเป็นเกย์ซึ่งก็อาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นกัน  ความสงบคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อความลับไม่มีในโลก เหตุการณ์ร้ายแรงก็อุบัติขึ้น

หนังปูพื้นด้วยฉากสังคมที่หลบซ่อน
https://youtu.be/MpJI1SEQpU0


ความสุขของ 2 หนุ่มก่อนพายุจะมา
https://youtu.be/cI_RqtiXKDY
(Jean (ผมทอง) กับ Philippe – นี่เป็นฉากเดียวของเรื่องที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย)


สิ่งที่นำพายุมา…

ครอบครัวของ J เปิดร้านซักรีด  ส่วน P เป็นสมาชิกใต้ดินกลุ่มต่อต้านนาซี เขาทำหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารเพื่อปกปิดความลับให้ชาวยิว หญิงสาวคือ Sarah ที่ครอบครัวของเธอโดนนาซีฆ่าอย่างโหดเหี้ยม  เธอเป็นแฟนในวัยเด็กของ J  เป็นสิ่งที่ P ไม่เคยรู้มาก่อน  เมื่อโดนซัก J ยอมรับว่าเขารัก S   แต่เป็นความรักคนละแบบ  ไม่เหมือนกับความรักที่เขามีให้กับ P

8.07 คือ น้องชายของ J ชื่อ Jacques ที่กำลังจะออกจากคุกเพราะเป็น ‘black marketeer’  แต่ออกมาแล้วก็ไม่ทิ้งลาย  เขาติดสินบนพวกนาซีโดยแอบมอบที่อยู่ของบรรดาลูกค้าร้านพ่อแม่ของเขาที่เป็นชาวยิวเพื่อแลกกับเสรีภาพในการทำอาชีพค้าขายใต้ดินต่อไปอย่างสะดวก  นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมลูกค้าที่ร้านถึงค่อย ๆ หายหน้าไปเรื่อย ๆ

P ปลอมแปลง ID ของ Sarah โดยใช้ชื่อใหม่ว่า Yvonne ส่วน J ก็พาเธอไปทำงานในร้านซักรีดของพ่อแม่ของเขา
https://youtu.be/s-4M2SDI_-8


เค้าพายุเริ่มก่อตัว  ชนวนคือน้องชายตัวแสบและขี้อิจฉา
https://youtu.be/zd5xPGX7dsE
Ja แอบหลงรัก S-Y  และก็เผอิญได้รู้เห็นความลับของพี่ชายของตน


Ja พยายามหว่านล้อมพี่ชายให้เลิกนิสัยนี้แต่พี่ชายทำไม่ได้ (Did you choose your blue eyes?) ในจุดหนึ่ง Ja ก็ยอมรับ  แต่แล้วในคืนที่เขาเมาและพยายามขืนใจ S-Y  ทำให้พี่ชายโมโหและลงมือสั่งสอน  นี่คือจุดที่ทำให้ Ja เคียดแค้นและวางแผนแก้เผ็ดพี่ชาย  แต่แผนไม่เป็นไปตามที่เขาคิด   Ja สำนึกผิดและพยายามแก้ไขอย่างเต็มที่  แต่เหตุการณ์ร้ายแรงเกินเยียวยาเสียแล้ว
https://youtu.be/NhAbQ8Gjn2M

https://youtu.be/OOZo5Wl2fSU


ชีวิตดิ่งลงสู่ความพินาศ โดยเริ่มจาก P เป็นคนแรก
https://youtu.be/V5jNOoLm6tc


Ja แต่งงานกับ S-Y และมีลูก (ผมจำเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมจึงตกร่องปล่องชิ้นกัน)  แต่สิ่งที่ Ja ทำลงไปในอดีตเพื่อช่วยพี่ชายให้พ้นจากข้อกล่าวหาที่ตัวเองกุขึ้นซึ่งล้มเหลวย้อนกลับมาทำร้ายเขา  มันลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา
https://youtu.be/f_bMQl44TPE


ความพินาศดำเนินต่อไป  จบที่การสูญเสีย J
https://youtu.be/DrLu0fVf4YQ


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/MzpHkgy6Qxg

คำบรรยายท้ายเรื่อง
"It was not until 2001 that the deportation of homosexuals was officially recognized by the French State. The deportation of German homosexuals began in 1933 with the Nazis' rise to power, then spread to annexed countries. According to the U.S. Holocaust memorial, 100,000 homosexuals were arrested between 1933 and 1945. 10,000 to 15,000 died in camps. The 1942 law criminalizing homosexuality was upheld at the Liberation. It wasn't repealed until 1981."


เรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างสำหรับฉายทางทีวี (ฝั่งยุโรป) ที่ได้รับคำชมอย่างท่วมท้น  คะแนนที่คนดูมอบให้เฉลี่ยประมาณ 80%  ผมดูหนังเรื่องนี้ทาง dvd  เป็นต้นฉบับด้วยเพราะสั่งซื้อทาง Amazon's  ในยุคนั้นที่วงการบันเทิงต่างประเทศยังไม่แคร์เหล่าผู้ชมที่ไม่ได้สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ  dvd หนังภาษาอังกฤษเกิน 90% ที่วางขายจะไม่มี 'subฯ' ภาษาอังกฤษแนบมาให้  เวลาดูก็ฟังไปเดาไปหรืออ่านปากคนพูดเป็นตัวช่วยไป  โชคดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ  ตอนทำเป็น dvd จึงต้องแนบ 'subฯ' ภาษาอังกฤษมาด้วย 'เพื่อการตลาด'  ผมก็เลยโชคดีไป  ดูด้วยความสนุกสนาน (เพราะมี 'ดิก' อยู่ข้างกาย)

คำว่า 'สนุกสนาน' ที่ว่าไปนั้นเป็นสร้อย  เพราะนำมาใช้กับการดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้  สาเหตุเพราะมันเป็นหนังที่เครียดมาก โดยเฉพาะฉากที่ J ถูกทรมานในค่ายกักกัน  แล้วยิ่งตอนจบตายกันหมด  ถึงกับอึ้งไปเลย  มันเป็นหนังที่มีความจริงจังมาก  หนังเกย์ส่วนใหญ่มีบรรยากาศเบา ๆ น่ารัก ๆ มีปัญหากันพอหอมปากหอมคอ  แต่เรื่องนี้เป็นหนังเกย์ที่มีบรรยากาศเครียดที่สุดเท่าที่เคยดูหนังประเภทนี้มา


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 มิ.ย. 22, 09:29
... หนังเกย์ส่วนใหญ่มีบรรยากาศเบา ๆ น่ารัก ๆ มีปัญหากันพอหอมปากหอมคอ ...

เป็นต้นว่าเรื่องนี้...

The man with the answers (2021) เป็นหนังเกย์จากฝั่งยุโรป  ไม่รู้ว่าสร้างจากประเทศไหนเพราะตัวละครหลักมาจาก 2 ประเทศคือ Greece กับ Germany

จาก clip ข้างล่าง...  
0.00 – 1.58 ---- Victor (ตัวเล็ก) หนุ่มกรีกอายุ 20 กว่า  เคยเป็นอดีตแชมป์นักกระโดดน้ำแต่ตอนนี้หาเลี้ยงชีพในร้านทำเฟอร์นิเจอร์  เขาอาศัยอยู่กับคุณยายที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

วันหนึ่งคุณยายที่เขารักก็ตาย  V หนุ่มน้อยผู้จริงจังและเคร่งเครียดกับชีวิตเริ่มเซ็งชีวิตที่จำเจเลยเลิกทำงานแล้วเอาเงินที่สะสมไว้ไปซ่อมรถเน่า ๆ ที่ทางบ้านทิ้งขว้างไว้  แล้วเริ่มต้นออกเดินทางข้ามประเทศไปยัง Germany เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่ห่างเหินไปตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งตอนนี้มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว

1.58 – จบ ---- ระหว่างทาง V พบหนุ่มตัวใหญ่ต่างเชื้อชาติชื่อ Matthias  หนุ่มคนนี้มีนิสัยตรงข้ามกันคือเป็นคนง่าย ๆ ช่างพูด ช่างสอดรู้สอดเห็น
 
2 หนุ่มเจอกันบนเรือข้ามฟากจาก Greece ไป Italy  ด้วยความช่างซัก ตัวใหญ่ก็รู้ว่าตัวเล็กกำลังเดินทางไป Germany อันเป็นดินแดนบ้านของเขา  ก็เลยใช้ความสามารถชักจูงขออาศัยไปด้วย

ระหว่างทาง หนุ่ม 2 ขนาดก็เรียนรู้นิสัยกันไป  กัดกันบ้าง  คิกคักกันบ้าง โดยอาศัยพื้นจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางนั้น  จนมาถึงบ้านแม่ของตัวเล็กที่ Germany   เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่นั่นทำให้ตัวเล็กต้องทบทวนนิสัยความเป็นคนเคร่งเครียดของตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับคนที่เขาสรุปว่าอยากอยู่ด้วย
https://youtu.be/tOCkvpmji0Y


ฉากย่อย ๆ จับมาจากตรงโน้นตรงนี้ของเรื่อง  

ตอนพบกันบนเรือข้ามฟาก  ตัวเล็กพบว่าตัวใหญ่มีนิสัยขี้ขโมยก็เลยพยายามอยู่ห่าง ๆ  แต่ด้วยระยะเวลาในทางเดินทางที่นาน  2 หนุ่มก็ต้องเจอกันบนเรือในที่สุด  ซึ่งตัวเล็กก็โกหกว่ารอนแรมมาด้วยสองขาเหมือนตัวใหญ่
https://youtu.be/eS_Cq0UVBns

https://youtu.be/w8x074X5HVg


ระหว่างทาง ตัวใหญ่ที่ช่ำชองการเดินทางมากกว่า  ชวนแฉลบไปเล่นน้ำกัน
https://youtu.be/k6IpSnLs--w


ช่วงที่ยังรอนแรมอยู่ที่ Italy ตัวใหญ่ชวนตัวเล็กไปร่วมงานแต่งงานเพื่อน (การร่วมงานโดยไม่ได้บอกกล่าวเรียกว่า clash = มั่วนิ่ม)  ไปหาอาหารดี ๆ กินแบบฟรีด้วย
https://youtu.be/-akgNHPpLkA


อีกหนึ่งตัวอย่างหนัง (ฉากต่าง ๆ ไม่ได้เรียงลำดับตามเหตุการณ์)
https://youtu.be/WzmipGOMdLQ


เพราะเป็นหนังในวงแคบ  จำนวนคนดูคงกระจิ๋วหลิว  clip ย่อย ๆ จึงมีน้อยมากทั้ง ๆ ที่ระหว่างทางมีเหตุการณ์น่ารัก ๆ น่าเอามาลงให้ดูเต็มไปหมด  เป็นต้นว่า 1.27 ของ clip ตัวอย่างข้างบนเป็นฉากเกิดขึ้นใน Italy เมื่อตัวเล็กเพลิดเพลินกับการขับรถจนโดนตำรวจจับ  ความที่ไม่รู้ภาษาถิ่น  เมื่อมาถึงจุดที่ตำรวจขอดูทะเบียนรถแล้วพบว่าเป็นชื่อผู้หญิง (คุณยายของตัวเล็กที่ตายไปแล้ว) ก็ถามว่าเป็นใคร  ตัวเล็กฟังไม่ออก  ตัวใหญ่ซึ่งชำนาญภาษากว่าก็เลยแปลให้ฟังว่า ตำรวจถามว่าชื่อผู้หญิงคนนี้น่ะคือใคร  ตัวเล็กไม่รู้ว่าตัวใหญ่กำลังแปลคำพูดของตำรวจให้ฟังเลยเหน็บไปว่า อย่าเสือก  ตัวใหญ่ก็เลยแปลเป็นภาษาอิตาเลียนให้ตำรวจฟังว่า ‘อย่าเสือก’  ผลก็คือ ไปโรงพัก

ส่วน 1.32 – เป็นฉากที่ตัวเล็กพบว่าตัวใหญ่ขโมยของอีกแล้ว  ก็เลยต่อว่า  ตัวใหญ่เถียงว่าร้านตั้งราคาเพื่อเอากำไรมากเกินไปต้องสั่งสอน  ตัวเล็กฟังแล้วไม่ชอบใจเลยเถียงกันว่า  รู้ว่าแพงก็อย่าไปซื้อซี่  ผลเลยกัดกัน  หนุ่ม 2 ขนาดก็เลยแยกทางกัน  แต่ไม่นานตัวเล็กก็รู้สึกว่าไปวุ่นวายกับชีวิตชาวบ้านก็เลยกลับมาตามหา  เกิดฉากง้อที่ป้ายรถเมล์ข้างถนนมีเบื้องหลังเป็นภูเขา (ภูเขา ‘แอ๊ว’ มั้ง) และทุ่งหญ้าเขียวขจี  ฉากนี้เป็นฉากที่สวยมาก  คนที่มีโอกาสได้สัมผัสจะเข้าใจว่ามันสวยและโรแมนติกอย่างไร  มันกว้างใหญ่ไพศาล  มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาตลอด 360 องศา  อากาศดี๊ดี  โอโซนทั้งนั้น  ลมพัดเย็นสบายจมูก  ถ้าเป็นช่วงที่ปลอดยานพาหนะ  รอบกายจะเงียบกริบเงียบจนเสียงที่ได้ยินคือ ‘The sound of silence’

หนังพูดภาษาอังกฤษตลอดเรื่องเพราะตัวละครมี 2 เชื้อชาติ  จึงต้องสื่อสารด้วยภาษากลาง  เป็นภาษาอังกฤษที่ฟังชัดหูมาก  จากประสบการณ์  ผมว่าคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐาน  เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษแล้วฟังชัดกว่าคนใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐาน

สรุปแล้วเป็นหนัง road movie ที่ดูเพลินตา  วิวยุโรปสวย ๆ ทั้งนั้น  เห็นแล้วคิดถึงสมัยยังแบกเป้ท่องเที่ยวในโลกกว้างอยู่  ตอนนี้ใจยังฮึกเหิมแต่กายบอกขอคิดดูก่อน



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 มิ.ย. 22, 08:22
ส่งท้าย Pride month (week here!) ด้วย mini series ยาว 2 ตอนจบ

ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือเป็นไปโดยบังเอิญ  36 ปีผ่านไปหลังจากหนัง Making Love ออกฉายครั้งแรก  ก็มีหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเกย์โดยตรงเรื่องที่ 2 ที่สร้างโดย major studio ออกมาฉาย  คือ Love, Simon (2008)  ซึ่งก็มาจาก Studio นามว่า 20th Century Fox อีกเช่นกัน  แต่การออกฉายของหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศเป็นไปโดยสะดวกโยธินเพราะอำนาจของ ‘กาลเวลา’ หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังเกย์ในแนวที่ฝรั่งให้นิยามว่า ‘coming of age’ เรื่องแรกของ major studio (... Fox did it again!)

หมายเหตุ – Fun fact แจ้งไว้อย่างนี้  ผมสับสนกับสถิติแรกนิดหน่อยเพราะจากประสบการณ์ระหว่างทางก็ได้ดูหนังจาก major studio เกี่ยวกับเกย์อยู่เนือง ๆ  เช่น The Birdcage (1996), In & Out (1997) ฯลฯ


เนื้อเรื่องของหนังวนเวียนอยู่ในโรงเรียนระดับ ม. ปลายแห่งหนึ่งในอเมริกา  ตัวละครเอกคือ Simon เป็นเกย์แบบ ‘อยู่ในตู้เสื้อผ้า’ การดำเนินชีวิตของเขาจึงซับซ้อนกว่าของเด็กทั่วไป 

วันหนึ่ง S ก็ได้พบเรื่องประหลาดใจทาง online  เกี่ยวกับเพื่อนใน รร. ของเขาที่สารภาพว่าตัวเองเป็นเกย์  เจ้าตัวใช้นามแฝงว่า ‘Blue’  ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร  แต่ S ลิงโลดมากและเริ่มการสนทนา online กับ B แบบลับ ๆ  ความเหงาปนดีใจทำให้หนุ่ม S หลงรัก B  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าตา

ระหว่างนั้น S ก็พยายามสืบหาตัวตนที่แท้จริงของ B มาตลอด (ฉากนี้แทรกมาเป็นระยะ ๆ ตลอดเรื่อง  ล้วนเป็นมุขขำขัน)  แต่แล้วเกิดเรื่องน่าเซ็งเมื่อมีตัว ‘ห่วย’ ตัวหนึ่งซึ่งรู้จัก S เป็นอย่างดี  เผอิญจับผลัดจับผลู (จำไม่ได้แล้วว่าด้วยวิธีการใด) ไปรู้เรื่องของ S สารภาพความลับกับ B  ไอ้เวรนี่ก็ blackmail หนุ่ม S โดยให้ช่วยจับคู่มันกับเพื่อนสาวของเขาไม่งั้นจะเปิดโปง

ด้วยความตระหนก  S ทำตามแม้จะรู้ว่าเพื่อนสาวคนนั้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว  ผลที่ออกมานอกจากจะทำให้เพื่อนสาวกับแฟนหมางใจกันแล้ว  ยังเป็นการฉีกหน้าของตัว ‘ห่วย’  ทำให้มันอับอายเลยพาลกับ S  ด้วยการเปิดโปงต่อสาธารณะว่า S เป็นเกย์

หนุ่ม S เลยตกที่นั่งลำบาก  เพื่อนในกลุ่มต่างโมโหที่เขาปกปิดความลับแถมสร้างความวุ่นวาย  และที่แย่ไปกว่านั้นคือ B ก็โมโหที่ S สัพเพร่าปล่อยให้ ‘chat’ ของทั้งสองรั่วไหลออกสู่สาธารณะ  B ส่ง chat ต่อว่านี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลบข้อมูลทั้งหมด

S เครียดจัด  ไหนจะต้องพยายามง้อคืนดีกับเพื่อนกลุ่ม  ไหนจะต้องตกเป็นขี้ปากและโดนเพื่อนคนอื่น ๆ ล้อเลียน  แต่เรื่องทั้งหมดไม่เลวร้ายเท่าเรื่อง B เพื่อนสนิทคนเดียวหายหน้าไปจากชีวิตของเขา

S ลงข้อความแบบเปิดเผยขอโทษเพื่อนทุกคนรวมถึง B  และขอร้องว่า ไหน ๆ เรื่องก็ปูดออกมาแล้ว  เขาขอพบ B ที่งาน carnival   โดยที่เขาจะคอยอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าสวรรค์  และจะคอยจนกว่า B จะปรากฏตัว

ที่งานฯ S ทำตามที่บอก  เขานั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าสวรรค์ซึ่งหมุนวนรอบแล้วรอบแล้ว  แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของ B   แล้วก็มาถึงรอบสุดท้าย  เงินในกระเป๋าของเขาหมดแล้ว  ไม่มีเหลือที่จะซื้อตั๋วรอบต่อไปได้อีก  แต่แล้ว ตัว ‘ห่วย’ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับตั๋วชิงช้าสวรรค์อีก 1 รอบและอวยพรให้เขาโชคดีในเที่ยวนี้...


S ตอนยังอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’
https://youtu.be/fFwWTD99xPs


กับซี้สาวซึ่งแอบหลงรักเขามาโดยตลอด
https://youtu.be/CmKlMHI_XsI


รวบรวมฉากที่ S พยายามหาว่าใครคือ Blue
https://youtu.be/5Xy-mxhdSjg


พ่อแม่ของ S รับรู้และยอมรับความลับของลูกชายได้ดีมาก
https://youtu.be/orW7mVdnHT0

https://youtu.be/Egb99DRmREY


ผลจากการโดนเปิดโปง  นอกเหนือจากเข้าหน้าเพื่อนกลุ่มไม่ติดแล้ว
https://youtu.be/lM4QsR7JBbw
0.12 – Hey, Jackie. Did you date me because you think I look like a guy? No, I actually broke up with you because you don’t look like a guy. Oh, okay. Thanks! Welcome.

1.15 - You're not gonna braid my hair or paint my nails. Get your ass off the table now! You sweaty, hormonal virgins. You know what? You're about to be suspended for so long that by the time it's over, you're gonna be the fat, bald, unhappily married wildly mediocre nobodies you're destined to become.

1.51 - Uh-uh. That's mine now. I'm gonna sell it. Get my tubes tied. (เพราะ Ms. Albright เธอเป็น lesbian)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 มิ.ย. 22, 08:35
Love, Simon กันต่อ...

ไอ้ตัวห่วยหลังจากพบว่าตัวเองทำเพื่อนแสบ  และการเปิดโปงทำให้ Blue โกรธจนเลิกคบ S ไปเลย
https://youtu.be/Z8VOn3PGznA
(S ใช้นามแฝงว่า Jacques)


S เผชิญหน้ากับเพื่อนในกลุ่ม
https://youtu.be/qo78dW97reY


หลังจากสะสางเรื่องเรียบร้อยแล้ว S ก็ยืนยันตัวตนอย่างเป็นทางการ
https://youtu.be/ZL56rtlI9eQ


Climax ของเรื่องที่เฉลยว่า Blue คือใคร  พ่อหนุ่มคนนี้โผล่โฉมออกมาประปรายตลอดทั้งเรื่อง  (โดยส่วนตัว ผมผิดหวัง  วาดภาพไว้ว่าน่าจะหล่อพอ ๆ กัน)
https://youtu.be/kpn9oJMq1bk


ตอนจบแบบเอาใจคนดู ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้เสมอไปสำหรับหนังเกย์
https://youtu.be/mEPzQAK-ALs


รีวิวน่ารัก ๆ เป็นเหตุการณ์ในฝันของ S ตอนยังอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’
https://youtu.be/RlBxpOcjPro
(เพลงดังอีกเพลงหนึ่งของ Whitney Houston ที่ทุกคนรู้จักดี  แม่ผมยังรู้จัก  แม่บอกว่านักร้องที่สั่นลูกคอไม่ได้  เลยต้องมาสั่นปากแทน)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/E0cbWdlQg_8


หนังสร้างจากนิยายขายดีเรื่อง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda by Becky Albertalli   เมื่อออกฉายได้รับเงินและคำชมอย่างท่วมท้นผิดกับตอนเรื่อง Making Love ออกฉาย

…Critics praised the film for its "big heart, diverse and talented cast, and revolutionary normalcy", describing it as "tender, sweet, and affecting" and a "hugely charming crowd-pleaser" that is "funny, warm-hearted and life-affirming"…


หมายเหตุ - หลังจากดูหนังไปได้แป๊บ  ผมก็รู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่ม Simon มาก  เคยเห็นนักแสดงคนนี้จากไหนมาก่อนหนอ  เช็คไปหนึ่งอึดใจก็พบว่าเธอเคยเล่นใน Jurassic World ใน 2015  เวลาผ่านไปแค่ 3 ปี  พ่อหนุ่มตัวโตขึ้นผิดหูผิดตา (แต่หน้าไม่เปลี่ยน)
https://youtu.be/zXctBflkO2Y


ความดังของหนังทำให้มีการนำ plot มาดัดแปลงสร้างเป็นหนังชุดทางทีวีโดยใช้ชื่อว่า Love, Victor  เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นในโรงเรียนเดิมของ Simon  แต่ในเวลาต่อมาซึ่งตอนนี้ Ms. Albright เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ รร.  เด็กเกย์คนนี้ชื่อว่า Victor  ซึ่งอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’ เช่นกันแต่แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ Simon  ทำให้เขาตัดสินใจเปิดเผยตัวเอง  จากนั้นก็เป็นการแก้ปัญหาต่าง ๆ  หนังชุดนี้ก็ได้รับคำชมมากมายไม่แพ้ต้นฉบับ  ปัจจุบันก็ยังออกฉายอยู่เป็นฤดูกาลที่ 3 แล้ว

ตัวอย่าง
https://youtu.be/TtOFWWSCboI


2 ตัวละครหลักของฉบับหนังโรงคือ Simon กับ แฟน ที่ตามท้องเรื่องของหนังชุดทางทีวีนั้น  จบจากโรงเรียนไปแล้ว  มาปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญ
https://youtu.be/ZwE18T1oyic

https://youtu.be/J1_on_nRfVs


เท่าที่ได้รับรู้มา คนไทยไม่ใช่คนต่อต้านชาวเกย์ด้วยวิธีการโหดร้ายเหมือนฝั่งตะวันตก ถ้าตามข่าว ตปท. จะพบข่าวชาวเกย์โดนฆ่าโหดโดยไม่รู้สาเหตุเป็นประจำ  ประมาณว่า ...มันเป็นเกย์  ต้องฆ่า... ข่าวแบบนี้ไม่เคยได้ยินในเมืองไทย  นอกจากมีคู่กรณี

เมื่อมาถึงหัวข้อหนัง  เมื่อได้ยินคำว่า หนังเกย์ ก็ตั้ง guard ไว้ก่อนว่า  ต้องเกี่ยวกับชายจูบชาย/หญิงจูบหญิง  ชายปล้ำชาย/หญิงปล้ำหญิง  ไม่ก็ชายกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้าย/หญิงห้าวฮึกเหิมเกินหญิง เป็นตัวตลกของเรื่อง  เพราะวงการบันเทิงไทยหล่อหลอมเอาไว้แบบนั้น (เลิกแยแสไปแล้วเลยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังเป็นแบบนี้รึเปล่า) แต่ความจริงเมื่อมองออกไปในโลกกว้างจะพบว่าหนังเกย์ก็มีเรื่องราวเหมือนหนังธรรมดาทั่วไปเพียงแต่ตัวละครเอกเป็นชายกับชาย/หญิงกับหญิง  ยังมีหนังเกย์อีกมากมายที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจ มีสาระน่าศึกษา  ไว้จะนำเสนอแทรกเข้ามา... เป็นระยะ ๆ…



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 มิ.ย. 22, 08:20
The day after tomorrow (2004) หนังหายนะระดับโลกที่ต้องผ่านตานักดูหนังฝรั่งบ้านเราอีกเรื่องหนึ่งที่ใช้ special effects ได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก

https://youtu.be/h40Ux7bknaI

https://youtu.be/jYaSxDqPZus

https://youtu.be/dkErNkX2HKM

https://youtu.be/GmjAp2eRDH0

https://youtu.be/I0FfVWm98T0


ตาของพายุจะเป็นบริเวณที่สงบ

https://youtu.be/ZZyXtEMFfaw

https://youtu.be/iOWeOnT_EzE


ถ้ามีโอกาสได้ดูซ้ำก็จะจ้องแต่ฉากเหล่านี้

Fun fact เล่าว่า ในรอบฉายโชว์  ทางผู้สร้างเชิญนักวิทยาศาสตร์หลายสาขาให้มาชมและวิจารณ์หนังโดยใช้หลักความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของตัวเอง  ปรากฏว่าไม่มีใครชื่มชมเลย  แต่ทุกคนยอมรับว่า  หนังดูสนุกจริง ๆ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 มิ.ย. 22, 08:26
เมื่อวานได้รับรู้ข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักแสดงระดับตำนานคนหนึ่งชื่อ Jean-Louis Trintignant (1930 – 17 June 2022)  เป็นนักแสดงชาวฝรั่งเศสซึ่งก้าวไปเป็นนักแสดงที่ชาวโลกรู้จักจากหนังดังเรื่อง A man and a woman (1966)  หนังมาฉายที่เมืองไทยด้วยเพราะจำได้ว่าผู้ปกครองท่านหนึ่งไปดูมา  แต่ไม่ได้หิ้วผมไป
 
ใน SP ก็เคยเล่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้  ซึ่งก็ทำให้ผมได้รู้จักหนังรวมถึงนักแสดง  จำได้ว่า SP ชื่นชมความสวยของ Anouk Aimee  ฝีมือการแสดงในเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar แต่พลาด  หนังได้ชิง 4 สาขาแต่ได้มา 2 ตัวจาก สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมและบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม

https://youtu.be/A9Cs7eyOs18


ถึงจะไม่ได้ดูหนังแต่ soundtrack เพลงหลักของหนังดังก้องอยู่ในหูมาตั้งแต่เด็ก ๆ
https://youtu.be/M3y8tsDUl0s


ความดังของเพลงทำให้มีผู้แต่งคำร้องขึ้นแล้วมีศิลปินหลายรายนำมาร้องอย่างแพร่หลาย  รวมถึง Ray Conniff Singers  แต่ผมชอบฉบับของ Johnny Mann Singers ที่สุด
https://youtu.be/ywrXoBWborI


แล้วก็ความดังของหนังทำให้ ผกก. คิดสร้างภาคต่อของหนังต้นฉบับ  ออกมาเป็น A man and a woman: 20 years later (1986) ใช้นักแสดงนำชุดเดิม
https://youtu.be/yd2btwlJl2A


ในปี 2019 ภาคต่อภาคที่ 3 จากฝีมือ ผกก. คนเดิมก็ออกมาฉายในชื่อว่า The best years of a life ซึ่งใช้นักแสดงชุดดั้งเดิมเช่นกัน  หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ JLT
https://youtu.be/knkukzDXL74


(หมายเหตุ – ผมไม่ได้ดูหนังที่เอ่ยถึงสักกะเรื่อง  ที่นำมาเล่าเพราะหนังและนักแสดงในเรื่องนี้เข้า ๆ ออก ๆ ในชีวิตผมมาตั้งแต่เด็ก  มีเรื่องขำขันที่อยากเล่า  คือความดังของเพลงทำให้มีการนำมาเปิดอยู่เนือง ๆ  วันหนึ่งในวัยเรียนหนังสือไปดูหนังกับเพื่อน  ระหว่างคอยเวลา  ร้านขายเทป cassettes  แถวนั้นก็เปิดเพลงที่ว่า  เพื่อนชอบก็ถามเพราะผมรู้เรื่องเพลงเยอะ  ผมก็พล่ามไปตามที่รู้  เล่าที่มาของเพลงที่มาจากหนัง  แล้วก็บอกชื่อนักแสดงซึ่งเป็นชื่อฝรั่งเศส  ผมไม่ได้เก่งฉกาจขนาดออกเสียงได้เอง  ชื่อคนภาษาอังกฤษยังเรียกผิด ๆ ถูก ๆ   ก็บอกไปตามที่จำมาจากที่คนเขียนเขียนใน SP   ชื่อนักแสดงผู้หญิงจำง่าย  พอมาชื่อนักแสดงผู้ชาย  ผมก็บอกไปตามที่จำได้
 
ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าออกเสียงไปอย่างไร  แต่จำได้ว่าเพื่อนฟังแล้วสวนกลับมาด้วยเสียงสูง  ‘อะไรนะ... ชอง หลุย ทิงนองนอย เหรอ’ แล้วมันก็หัวร่อก๊าก  พลอยทำให้พวกเราที่เหลือขำกันท้องคัดท้องแข็งกับหูสร้างสรรค์ของมัน

จำเรื่องนี้ได้ไม่ลืม และดีใจที่มีโอกาสได้เล่าหลังจากเก็บไว้ตั้ง 40-50 ปี)


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/06/21/VK0HcJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VK0HcJ)


คิดว่าจะจบในม้วนเดียว  ยังนึกอะไรต่อได้อีก  แต่หมดเวลาสำหรับวันนี้เสียแล้ว  พรุ่งนี้จะมาเล่าใหม่


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 มิ.ย. 22, 12:10
ในกระทู้เดิมแต่เริ่มแรก ที่คห. 77 ครับ

         http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.msg79989#msg79989


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 มิ.ย. 22, 14:31
ลืมสนิท งั้นลบดีกว่าค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 มิ.ย. 22, 09:37
ลืมสนิท งั้นลบดีกว่าค่ะ


The Great Gatsby... คุยอะไรกันหนอ

จำเหตุการณ์ได้ว่า  ตอนนั้นทีวีโหมกระหน่ำโฆษณา  ที่บ้านมีทีวีสีแล้ว... ยี่ห้อ RTA ของกองทัพบกเป็นผู้ผลิต   เห็นหนังสีสันสดใส (จากการปรับระดับสีด้วยแกน 3 แกน แดง-เขียว-น้ำเงิน)

พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่เข้าฉายและโหมโฆษณาหนักพอกันคือ Barry Lyndon  เรื่องนี้ SP เชียร์มากกว่าเพราะ Marisa Berenson สวยกว่า Mia Farrow  ลิบลับ
 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 มิ.ย. 22, 09:45
นึกได้อีกหน่อยเมื่อได้ฟัง soundtrack หนัง A man and a woman...

Composer ของหนังเรื่องนี้คือ Francis Lai เป็นชาวฝรั่งเศส  ในยุคที่ผมโตพอจำเรื่องไร้สาระได้  ผมเคยได้ดูหนังอยู่ 2 เรื่องมาฉายไล่เลี่ยกันที่โรงฯ President  (แต่ต่อมาสับสนเอามาปนเป็นเรื่องเดียวกัน  ดูหนังตะพึดตะพือก็อย่างนี้แหละ)    เป็นหนังจากยุโรปทั้งคู่  และเป็นหนังระดับ R ทั้งคู่  แต่ตอนนั้นยังไม่กร้านโลกเลยจับไม่ได้ว่า คณะกรรมการกองเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทยแลนด์ ท่านให้ความกรุณาหั่นฉากไหนออกไปบ้าง

หนังทั้ง 2 เรื่องใช้ composer คนเดียวกันซึ่งก็คือ FL นี้  เป็นเพลงฟังโรแมนติกมาก  ในเวลานั้นเพลงจากหนังทั้ง 2  ดังอบอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศของกรุงเทพฯ อยู่ช่วงหนึ่ง  ถึงกับมี spot โฆษณาสินค้าเอามาใส่เป็น background

เรื่องแรกคือ Bilitis (1977) เพลงดังกว่าอีกเรื่อง
https://youtu.be/niSHMWLOCHw


เรื่องต่อมาคือ Passion Flower Hotel (1978) หนังเรื่องนี้ทำให้นักดูหนังฝรั่งชาวไทยรู้จัก Natasha Kinski  เป็นครั้งแรก  แล้วสื่อโฆษณาหนังทางทีวีรวมถึง SP ก็โหมไฟตัณหาให้เคลิบเคลิ้มไปกับความงามของเธอ

ตัวอย่างหนังเรื่องนี้ (ซึ่งหาได้ยากมากกกกกกก)
https://youtu.be/SEZsstLEp5g


ผมนึกฉากนี้ไม่ออก  แต่ไม่เหลือรอดมาสู่สายคนไทยที่นั่งดูอยู่ในโรงฯ อย่างแน่นอน  ตามดูตั้งนานว่า ‘มันคือไรวะ’
https://youtu.be/LtNhC30Mjc0


ผลงานเพลงของ FL
https://youtu.be/nx-z0WXzqPQ


เห็น (ตย.) หนังและฟังเพลงของทั้ง 2 เรื่องแล้วคงพอเข้าใจเนอะว่าทำไมในเวลาต่อมาผมถึงสับสนจำเป็นเรื่องเดียวกัน

ขยักไว้อีกนิด...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 มิ.ย. 22, 10:27
แต่ผลงานเพลงของ Francis Lai ที่โด่งดังที่สุด  และเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบัน  ส่วนตัวเธอเองก็คว้า Oscar อันเป็นรางวัลเดียวที่ได้รับจากการที่หนังเรื่องนี้เข้าชิงถึง 7 สาขา  แสดงว่าเด่นมาก ๆ ก็คือ...

https://youtu.be/s2zhZ7bco_M


ในปี 1970  ที่บ้านเรามี slogan ที่ฮิตสุดกู่ว่า ‘หากจะรักก็ต้องลืมคำว่าเสียใจ (ทำนองนี้)’  มันเป็น slogan ที่คนไทยคิดขึ้นเพื่อโปรโมทหนังรักเรื่อง Love story

หนังดังสุดขีด  ที่บ้านผมไปดูกับทั่วถ้วน  ยกเว้นผม ทำไมก็จำไม่ได้  ผมก็เลยฟังแต่เพลงแทน  เป็นเสียงร้องของ Andy Williams  เพลงดังในอันดับ billboard  ขึ้นถึง top 10
https://youtu.be/OVuUQKqiXY4

ฉากที่พี่ ๆ กลับมาเล่าว่า  ถ้าผมดูต้องร้องไห้เสียงดังจนคนใกล้ ๆ ต้องยื่นหน้ามาดุ
https://youtu.be/wwnS6uTbGbk

https://youtu.be/H3gxbAEQKHM


พยายามเข็นให้จบ  ไม่อยากให้ค้างคา  ต่อไปนี้จะมาไม่สม่ำเสมอครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 22, 10:59
        เมื่อวันที่ 9 มิย. ที่ผ่านมา, (สถาบัน) AFI(American Film Institute) จัดงานเชิดชูมอบรางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ
        แด่ Dame Julie Andrews โดยมีเซเลบร่วมงานมากมาย นำโดย Carol Burnett เพื่อนรักพิธีกรคารมคมบาด และ
        คู่นักร้อง,กรรมการรายการ The Voices -Blake Shelton Gwen Stefani, นักแสดง Jayne Seymour และ
        คู่นักแสดง Bo Derek John Corbett (โบ เคยร่วมงานกับเดมในหนังเรื่อง 10 ซึ่งกำกับโดยสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของเดม - Blake Edwards)

https://www.youtube.com/watch?v=PWp5g7-vADI


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 22, 11:07
          คลิป highlight ของงาน เมื่อบรรดาลูก ๆ ที่ยังเหลืออยู่ ได้แก่ Angela Cartwright, Duane Chase,
Nicholas Hammond, Kym Karath และ Debbie Turner ปรากฏตัวบนเวทีและร่วมร้องเพลง Do - Re - Mi กับผู้ร่วมงาน

https://www.youtube.com/watch?v=c5z0ml1mJh0

          ส่วนสมาชิกอีกสามที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ - กัปตัน Christopher Plummer, สองลูกสาว Charmian Carr และ
Heather Menzies(คนขวานั่งอยู่กับ Cartwright ) คงจะร่วมแสดงความยินดีและร่าย มนต์รัก(ร้อง)เพลง(อยู่บน)สวรรค์


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 22, 15:30
ดูรายการนี้ค่ะ  แปลกใจว่าทำไมลูกๆเหลือแค่ 5 คน  รู้ว่าคนโตเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  ไม่นึกว่าลูกสาวอีกคนก็จากไปด้วย


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 22, 15:36
พี่สาวคนโตจากไปก่อน


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 22, 15:37
พี่น้องทั้งเจ็ด


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 22, 09:30
James Caan  พี่ชายของ Al Pacino ใน Godfather ภาคแรก จากไปในวัย 82 ปี
ฉากดัง คือฉากเขาถูกถล่มด้วยปืนจนตายคารถ ยังเป็นที่จดจำจนทุกวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=9gDIEO_uLZc


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 22, 09:32
https://www.youtube.com/watch?v=6kr_Hvw7Mmw


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ก.ค. 22, 17:13
หลังจากทำหน้าที่ครบถ้วนก็กลับมาเสนอหน้าอีกครั้ง  แต่เป็นการเข้ามาเสนอหน้าเพื่อจัดการความเรียบร้อย  เพราะผมได้ทำงานล่วงหน้าไว้เยอะโข  เอาลงให้หมดก่อนจะลาไปอุทิศเวลาให้กับ 'บ้านเกิดเมืองนอน’  หลังเสนองานหมดแล้วคงเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราวครับ...


In this our life (1942) … ผมดูเพราะ Olivia de Havilland ไม่ใช่เพราะ Bette Davis  เรื่องเกี่ยวกับพี่น้อง 2 สาว  คนนึงอ่อนหวาน อีกคนสุดแสบ  กับการชิงดีชิงเด่นในทุกเรื่องไม่เว้นกระทั่งเรื่องความรัก (ใครเล่นเป็นใครคงไม่ต้องบอก)  

ครั้งดูที่ช่อง TCM เป็นหนังสี  แต่พอมาหา clip จาก youtube กลับพบแต่ clip ขาวดำ  ข้อมูลที่ได้จากกูรู Leonard Maltin บอกว่า  มี 2 ฉบับ  ฉบับสีนั้นเป็นการนำหนังต้นฉบับขาวดำมาเข้าเครื่อง ‘ผสมสี’

https://youtu.be/hPtlc4RZLaY


Hattie McDaniel ก็มาร่วมเล่น  บทของเธอไม่ต่างอะไรไปจากบท Mammy ใน Gone with the wind  หลังจากที่เธอได้ Oscar  ต้นสังกัด (studio) ของเธอกลุ้มใจมากเพราะไม่รู้จะสนับสนุนเธออย่างไรดีให้ได้บทที่สมกับความสามารถระดับรางวัล  เพราะในยุคนั้นเป็นยุคของการเหยียดสีผิวอย่างบ้าคลั่ง  เท่าที่ทำได้ก็คือการให้ studio อื่น ๆ ยืมตัวไปเล่นในบทเดิม ๆ คือ คนใช้  ในบท Mammy นั้นทุกคนประทับใจกับเธอ  แต่มาหลัง ๆ บุคลิกของเธอไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย
 
https://youtu.be/NVN05kYaujw


มีคน review เรื่องนี้ให้ฟัง
https://youtu.be/j_MXiSESgBg


ท่าเรื่องนี้คนจะไม่นิยม  หา clip ย่อยไม่ได้เลย


ODH ยังสวยสง่าเช่นเคย  ผมชอบเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครั้งเห็นเพียงแค่รูปถ่าย  รู้ด้วยว่าเธอมีน้องสาวอีกคนหนึ่งที่มาเล่นหนังเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน  ชื่อ Joan Fontaine  

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/15/Vyd4cP.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Vyd4cP)


นอกจากนี้ผมยัง (เสือก) รู้ลึกลงไปอีกด้วยว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ถูกกัน  เหตุผลเกิดขึ้นในงาน Oscar ปี 1942 เมื่อ 2 พี่น้องนักแสดงใหญ่ได้เข้าชิง Oscar ทั้งคู่  ผลปรากฏว่า JF น้องสาวได้จับรางวัล  ซึ่งหมายความว่าน้องได้รางวัลก่อนพี่ (ซึ่งต่อมาพี่ก็ได้เช่นกันและได้ถึง 2 ตัว  2 พี่น้องนี้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับงาน Oscar โดยเป็นพี่น้องคู่เดียวที่ต่างได้รับ Oscar จากบทแสดงนำหญิง)

ตอนอ่านจาก SP เรื่องมีเพียงเท่านี้  ต่อมาประสบการณ์มากขึ้นก็หาข้อมูลได้เพิ่มเติมอีกว่า  2 พี่น้องนี้ไม่ถูกกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ เลย  ในหนังสือประวัติ  JF เล่าว่าพี่สาวเธอเปรียบเสมือนดวงใจของครอบครัว  แล้วก็ใช้สิทธินี้มาข่มเหงเธอในรูปแบบต่าง ๆ

ตอนเธอเข้าวงการฯ  ครอบครัวเธอก็ไม่อนุญาตให้ใช้นามสกุล de Havilland  เธอจึงต้องใช้นามสกุลทางฝั่งแม่ของตัวเองคือ Fontaine

สำหรับเหตุการณ์ในงานแจกรางวัลฯ นั้น  ทั้งคู่นั่งร่วมโต๊ะกัน  ตอนลุกขึ้นไปรับรางวัล  ODH ยื่นมือออกไปแสดงความยินดี  แต่ JF กลับเดินผ่านเฉย เธอมาให้เหตุผลภายหลังว่าตื่นเต้นเลยไม่ทันสังเกต  อย่างไรก็ตามพี่สาวเสียหน้าและฉุนขาด...
 
Fontaine later wrote about the moment, "I felt Olivia would spring across the table and grab me by the hair. I felt age 4, being confronted by my older sister. Damn it, I'd incurred her wrath again!"


ODH มาแก้แค้นสำเร็จในปี 1946 เมื่อเธอได้ Oscar (ตัวแรก)  JF เดินไปแสดงความยินดี  แต่ ODH เสแสร้งด้วยการเดินไปที่อื่น

ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของ 2 สาวกระท่อนกระแท่นมาตลอดจนถึงปี 1975 เมื่อแม่ของทั้งสองตาย  JF รู้ข่าวแม่ของตนตายจากคนอื่นเพราะพี่สาวไม่ได้บอก

"You can divorce your sister as well as your husbands," Fontaine said to PEOPLE. "I don't see her at all and I don't intend to”

JF ตายในปี 2013 อายุ 96 เธอเคยเล่าในหนังสือ People เล่มเดียวกันว่า "Olivia has always said I was the first at everything—I got married first, got an Academy Award first, had a child first. If I die [first], she'll be furious, because again I'll have got there first!"

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/15/Vy0bEv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Vy0bEv)


ODH ตายในปี 2020 อายุ 104 ปี   ย้อนไปตอนเธออายุ 101 เธอก็เกิดความฉุนเฉียวกับหนังทีวีชุดดังชื่อ Feud ที่เล่าเกี่ยวกับความไม่ลงรอยของอีก 2 ดารายักษ์ใหญ่ Bette Davis กับ Joan Crawford โดยใช้หนังเรื่องเดียวที่ทั้งคู่เล่นร่วมกันคือ Whatever happened to Baby Jane? เป็นจุดจบของเรื่อง  ในเรื่องนี้  ผู้สร้างนำ ODH มาเกี่ยวข้องด้วย (เล่นโดย Catherine Zeta Jones) แล้วก็มีบทพูด  ซึ่ง ODH เห็นว่าบทพูดส่วนใหญ่ยกขึ้นมาเองหาความจริงไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเธอเสื่อมเสีย  เธอจึงจ้างทนายฟ้อง

เรื่องนี้ดังมาก  ผมตามข่าวอยู่เนือง ๆ ท่ามกลางความประหลาดใจว่า  แก่ป่านนี้ยังฉุนเฉียวได้ถึงเพียงนี้เชียว  ถ้าผมอายุ 101  ผมคงคิดแต่ว่า ‘ฉันจะตายขณะกำลังทำอะไรอยู่หนอ’

ผลที่สุดคือศาลไม่รับฟ้อง

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/15/Vy7N3l.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Vy7N3l)

(หมายเหตุ – ย้อนไปในในปี 1943 ODH เคยล้มยักษ์มาแล้ว  เมื่อเธอฟ้อง studio ต้นสังกัดเรื่องสัญญาที่ไม่เป็นธรรม  ปรากฏว่าเธอชนะ  และสามารถไปรับงานจาก studio อื่นได้  ซึ่งไม่เคยมีนักแสดงคนไหนกล้าทำแบบนี้มาก่อน)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ก.ค. 22, 16:55
Krampus (2015) เป็นหนังสยองขวัญปนตลกเล่าเรื่องเด็กน้อยที่วันนั้นต้องสูญเสียความรู้สึกดี ๆ ต่อ Christmas spirit  ผลที่เกิดขึ้นคือ มันไปปลุก Krampus ขึ้นมา

หนังแปลกแหวกแนว  แถมดูสนุกเพราะไม่เคยรู้จัก Krampus มาก่อนก็เลยต้องตามดูว่าจะลงเอยอย่างไร

https://youtu.be/h6cVyoMH4QE


ฉากน่าติดตาม
https://youtu.be/aPQcQ4IhHNE

จุดกำเนิดของ Krampus
https://youtu.be/M8s2txilG08

https://youtu.be/oUXPpeE2pv4

 
สาเหตุที่ Krampus ต้องมาปรากฏตัว  และไม่ได้มาเดี่ยว ๆ
https://youtu.be/yXyrZImvR7c

https://youtu.be/mFkxrTfAkq8

https://youtu.be/J2uWLrihpK4

 
ตอนจบพ่อหนูตัวก่อเรื่องจะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไรต้องหาหนังมาดูครับ

Michael Dougherty  ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ให้นิยามของ Krampus ในหนังของเขาไว้ว่า... Krampus in this film is as Santa Claus's shadow. He's not the unstoppable monster that kicks down your door and rampages and grabs you. There's something darkly playful about him. He's having a good time doing what he does, and he enjoys the cat-and-mouse aspect of it.



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ก.ค. 22, 15:25
Frequency (2000) เป็นหนังแนวโปรด 2 ชั้น  ชั้นแรกมันเป็นหนัง sci-fi  ชั้นที่สอง หนังเล่นกับเวลา  คือย้อนเวลาไปมา

หนังเล่าเรื่องตำรวจหนุ่มนักสืบที่วันหนึ่งก็ไปค้นพบวิทยุคลื่นสั้นที่พวกสมัครเล่นเค้าใช้กันกองสุมอยู่ในห้องเก็บสัมภาระใต้ดิน  ก็เอามาปัดฝุ่นแล้วลองใช้งาน  ปรากฏว่ามันยังใช้งานได้  ขณะกำลังสนทนาอยู่เธอก็พบว่ากำลังพูดคุยอยู่กับพ่อของตนในปี 1969  โดยที่ในยุคปัจจุบันพ่อของเธอซึ่งเป็นนักผจญเพลิงได้ตายไปแล้ว
https://youtu.be/sWIdq--nc-8

วันที่ได้คุยกันเป็นวันก่อนหน้าที่พ่อของตนจะตายในกองเพลิง 1 วัน  เธอจึงถือโอกาสเตือน  ซึ่งก็สามารถทำได้สำเร็จคือพ่อไม่ตาย
https://youtu.be/bBczBkVTyvQ

https://youtu.be/aDIKQ8Xmv2k


แต่การไปแก้อดีตทำให้เกิดผลกระทบต่อปัจจุบันคือแม่ซึ่งในเวลาปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่  กลับกลายเป็นตายไปแล้วเพราะโดนฆาตกรรม  เรื่องก็อลเวง

นี่เป็นช่วง climax ที่เกิดขึ้นพร้อมกันใน 2 ห้วงเวลา  ดูแล้วงง ๆ เพราะมันขาดเหตุผลแต่ก็สนุกดี
https://youtu.be/ShrkR5SNcOw


เพราะเหตุการณ์จบในแบบของ clip ที่แล้วไปกระทบอนาคต  ครอบครัวพระเอกเลยกลับมาอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาในยุคปัจจุบัน
https://youtu.be/rwkwGtax630
0.44 – พระเอกโกงอนาคตนิดหน่อยโดยแอบบอกเพื่อนสนิทในยุคเด็กของตัวเองให้ซื้อหุ้นของ Yahoo  เมื่อเวลานั้นมาถึง


ตัวอย่างหนัง  พร้อมเสียงเพลงที่ออกมาตอนท้ายเรื่องชื่อ When you come back to me again  ร้องโดยนักร้อง country ชื่อดังก้องโลก (แต่เลยความสนใจของผมไปแล้วเลยแค่รับรู้ความมีชื่อเสียง) Garth Brooks
https://youtu.be/VeBvJImNf5Y


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 ก.ค. 22, 16:55
ในปี 1977  Debby Boone ลูกสาวของ Pat Boone นำเพลง You light up my life มาออกอาละวาดตามสถานีวิทยุในเมืองไทย  เพลงนี้ดังมาก  แต่ที่บ้านเค้าดังสุดขีด  ติดอยู่ที่อันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 นานถึง 10 อาทิตย์  หมายความว่าคนฟังเพลงนี้กันนานถึง 70 วันโดยไม่มีเบื่อ  ในปีนั้น  เพลงนี้สร้างสถิติใหม่ในอันดับเพลงมากมาย

ตอนเพลงมาเมืองไทยจึงไม่แปลกใจที่ความดังจะตามมาด้วย  ผมงี้ฟังจนเลี่ยน  เท่าที่คิดออก ณ ตอนนี้  ในช่วงเวลานั้น  มีอยู่ 3 เพลงที่สถานีวิทยุยัดเยียดให้ผมฟังจนเลี่ยนมากจนไม่คิดอยากฟังอีกเลยจนถึงบัดนี้  มีเพลงนี้  แล้วก็เพลง Feelings ของ Morris Albert  แล้วก็เพลง When I need you ของ Leo Sayer  อ้อ... Reunited ของ Peaches & Herb อีกเพลง

กลับมาที่เพลง YLUML  คนไทยน้อยคนหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้  ที่จะรู้ว่านี่เป็นเพลงจากหนังชื่อเดียวกันที่ออกฉายในปีเดียวกัน  แต่ไม่มาฉายในเมืองไทยจนกระทั่งอีกน้านนานต่อมา

ตอนหนังเข้าฉาย  ผมไม่คิดอยากจะดูเพราะเลี่ยนเพลง  แต่ SP เอาข้อมูลมาบอกว่าในหนังที่ว่า DB ไม่ได้ร้องเพลงนี้ เธอร้องอัดเป็นแผ่นเสียงออกขายเลย  คนที่ร้องเพลงนี้ในหนังเป็นนักร้องที่ผมไม่รู้จักชื่อ Kasey Cisyk  ซึ่งเธอก็ไม่มีบทเล่นในหนังเพียงแต่ให้นักแสดงนำ (Didi Conn) ยืมเสียงไปใช้

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/18/VMnINW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/VMnINW)


อย่างไรก็ตาม ผมก็ร่อนออกไปซื้อตั๋วดู  อยากรู้ว่าเพลงเดียวกันนี้แต่ต่างนักร้อง จะให้บรรยากาศต่างกันอย่างไร

ปรากฏว่าไม่ต่างกันเลย  2 นักร้องเสียงคล้ายกันมาก  มากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไม่เอานักร้องต้นฉบับ KC มาอัดแผ่นขายเสียเลย
https://youtu.be/ocpzm7lZmhk

พอ อตน. ประสูติผมก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้  อ่านต้นฉบับจาก Wikiฯ  ละกันนะ

"People magazine ran a substantial article about "The real voice behind 'You Light Up My Life" inasmuch the similarity between her and Debby Boone's voice led many to assume the latter had sung the songs in the movie. In a 2013 biographical essay about Cisyk, Cisyk's second husband, Ed Rakowicz wrote, that Joseph Brooks (ผอ. และ ผกก. หนังเรื่องนี้) "withheld payment ... tried to evade payment by false promises and by asking her to be an incidental actor in his film, implying huge rewards yet to come..." Later, (according to Rakowicz's biographical essay), Brooks made improper advances toward Cisyk, and after being rebuffed, didn't speak directly to her again, and continued to evade payments to her. Rakowicz writes, "[Kasey] retained a lawyer and sued Brooks for the fees she earned for her work on the record and the film but accepted an award of a small sum just to relieve herself of the torment of a prolonged legal battle with Brooks."


กลับมาที่หนัง  หนังเรื่องนี้ไม่ถูกใจนักวิจารณ์  ทุกคนให้ความเห็นว่าสิ่งที่ทำให้คุ้มเงินค่าตั๋วคือเข้ามาฟังดารานำ (ที่ไม่ได้) ร้องเพลงนี้ (เอง)  อย่างไรก็ตาม  ในงานประกาศผล Oscar เพลงนี้ได้รางวัล  รางวัลตกเป็นของคนผลิตเพลงนี้คือ Joseph Brooks ซึ่งเธอก็อำนวยการสร้าง+กำกับหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองเช่นกัน

(หมายเหตุ – ความจริงเพลงฉบับของ KC ก็เอามาอัดเป็นแผ่นขายแต่ไม่ได้ใช้ชื่อของเธอ  เพียงแต่ใช้ชื่อว่า Original cast  วงการธุรกิจนี่มีความซับซ้อนจัง)

เพลงอื่น ๆ ในหนังล้วนร้องโดย KC
https://youtu.be/RV_F2YMuVNs

https://youtu.be/1G6T2WTKWQU

https://youtu.be/bsy6-R3ix3c


มีต่อ...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ก.ค. 22, 16:42
หลังจากได้ Oscar ไปนอนกอด  Joseph Brooks ก็เกิดความฮึกเหิมผลิตหนัง+เพลงอีกเรื่องออกมาฉายในปีถัดมา  หนังเรื่องนี้ชื่อ If ever I see you again  คราวนี้เขาลงมือแสดงเองด้วย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักผลิตเพลงประกอบโฆษณาที่อยากมาเอาดีทางผลิตเพลงประกอบภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ด  พอมาถึงเธอก็พบกับแฟนเก่า  ก็เลยสานความสัมพันธ์ต่อ
https://youtu.be/8DDSs_rW8LA


เพลง If ever ฯ ฉบับในหนังเป็นเสียงของนักร้องผู้ชายชื่อ Jamie Carr
https://youtu.be/95CXnleQOuY


ตามแผนที่จะเลียนแบบความสำเร็จครั้งก่อน  JB ให้ DB นำเพลงเด่นเพลงหนึ่งในหนังชื่อ California มาอัดแผ่นขายเป็นเพลงแรก  แต่เพลงนี้ไม่ถูกใจผู้บริโภค  เลยไปไม่รอด  DB ก็พลอยดับไปด้วย  เธอเลยได้เข้าไปอยู่ในหมวด One hit wonder artist (นักร้องที่มีเพลงดังเพียงเดียว)
https://youtu.be/k0e1cnuJeHI


พอการณ์ไม่เป็นไปตามแผน JB งัดแผนบีออกมาใช้  โดยไปตกลงกับนักร้องชั้นเซียน Roberta Flack ให้มาร้องเพลงเอก If everฯ  โดยหวังจะให้ความเป็นนักร้องชั้นนำของวงการมากู้ความล้มเหลวของเขาก่อนหน้า
https://youtu.be/QagJBN2bXII

พอหนังเรื่องนี้ออกฉาย  นักวิจารณ์ก็ด่าเหมือนเดิม  แต่ตอนครั้งหนัง YLUML นักวิจารณ์ยังมีเมตตาชื่นชมเพลงเอก  สำหรับหนังเรื่องนี้พวกรุมกันด่ารวบยอด  ผลก็คือหนังเจ๊งในทุกรูปแบบ  พอหนังที่ตั้งใจให้เป็นหัวหอกสู่ความสำเร็จไปไม่รอด ยอดขายเพลงนี้ก็ไปไม่รอดเช่นกัน  เพลงของ RF ไต่ขึ้นไปได้แค่อันดับที่ 24  ก็ร่วง

ในเมืองไทย  โรงหนังเอาหนังของ JB เรื่องนี้มาฉายก่อนเรื่องแรกคือ YLUML  ผมดูแล้วชอบมาก  ผมว่าเพลงในหนังเพราะพอ ๆ กับเพลงในหนัง YLUML    เสียดายที่ไม่มีใครทำ clip ย่อยมาปล่อย
https://youtu.be/PCuePwyn02I
(นี่เป็นฉบับที่ JB ให้ DB ร้องลงแผ่นส่วนตัวของเธอ)


บั้นปลายของ JB ตามที่ได้อ่านจาก Wikiฯ  ไม่สวยเอาเลย...

In June 2009, Brooks was arrested on charges of raping or sexually assaulting eleven women lured to his East Side apartment from 2005 to 2008.  He was indicted on June 23, 2009. He was to be tried in the state Supreme Court for Manhattan (a trial-level court) on 91 counts of rape, sexual abuse, criminal sexual act, assault, and other charges. In December 2009, prosecutors indicated that they would ask the grand jury to consider adding even more charges, in part because "additional victims" had come forward. However, Brooks committed suicide on May 22, 2011, before he could be tried.

เฮ้อ...


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/19/XdTqAa.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XdTqAa)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ก.ค. 22, 15:47
The secret life of bees (2008) เล่าเรื่องย้อนยุคไปปี 1964  เมื่อเด็กหญิงหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาความจริงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่ของเธอ  แม่หนูรอนแรมมาจนถึงเมืองเล็ก ๆ ในรัฐ South Dakota และได้พบกับครอบครัวหญิงล้วนผิวดำที่ไม่ยอมให้การดำเนินชีวิตของพวกเธอขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของการแบ่งสีผิว

https://youtu.be/KbGzGOs2l70


เหตุการณ์ปกติในยุคของการเหยียดสีผิว
https://youtu.be/5mL4wT8DEuU

https://youtu.be/Fx20AVCDudY





กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 ก.ค. 22, 16:19
ในงานแจกรางวัล Oscar ประจำปี 1970 (ให้กับหนังที่ออกฉายในปี 1969) Midnight cowboy ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 6 สาขารวมถึง สาขา ผกก.  เขียนบท  นักแสดงนำชาย (ทั้ง Jon Voight และ Dustin Hoffman... แย่งกันเอง) และประกอบหญิง ฯลฯ  และช่วงชิงมาได้ 3 รางวัล

ในครั้งหนึ่ง  หนังเรื่องนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังเรท X เรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ Oscar ที่ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม นั่นเป็นการให้ rate ในยุคนั้น เพราะส่วนหนึ่งของเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ "homosexual frame of reference" and its "possible influence upon youngsters (คือบุคลิกของตัวละครนำทั้ง 2)" ต่อมาเมื่อนิยามของหนัง rate-R ขยายขอบเขตกว้างขึ้น  หนังเรื่องนี้ก็ถูกรวมเข้าไปอยู่ในหนัง rate-R

หนังกล่าวถึงความสัมพันธ์ของชาย 2 คนที่มีอาชีพไม่ปกติทั้งคู่  คนนึงเป็นอดีตเด็กล้างจานในร้านอาหารบ้านนอกที่ต่อมาเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้ชายขายตัว อีกคนเป็นนักต้มตุ๋นในเมืองใหญ่

ฉากต้นเรื่องเมื่อ Joe Buck ย้ายจากบ้านนอกมาตายเอาดาบหน้าในเมืองใหญ่ New York สื่อให้คนดูเห็นว่าอาชีพใหม่ที่เธอเลือกคือ ไอ้ตัว ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรเพราะความเป็นคนคนบ้านนอกที่ใสซื่อและจิตใจดีเลยไม่ทันเขี้ยวคนเมือง  แทนที่จะได้เงิน  เขากลับเป็นคนต้องจ่ายเงินเพราะไปเสียรู้โสเภณีเจ้าถิ่น

https://youtu.be/LcWmjGnNTqA

https://youtu.be/yYyXkvHV7wI

https://youtu.be/X6UG7H2dcos
(เสียดาย clip ลากยาวไปไม่ถึงความตลก)


การพบกันของ Ratzo กับ JB และความสัมพันธ์ของทั้ง 2 (ข่าวว่า DH ใส่ก้อนกรวดไว้ในรองเท้าทุกครั้งที่เข้าฉาก  เพื่อให้การเดินดูเหมือนคนพิการเดินแบบสมจริง)
https://youtu.be/tQrkT-K_qRM

https://youtu.be/_Z-tCU-sULA


Ratzo รับ JB เข้ามาอยู่ด้วยกัน
https://youtu.be/NEtxUtMWACI


แล้วหา ‘งาน’ ให้ทำ
https://youtu.be/afnlOjES53Y

https://youtu.be/nnHOMRCl3u0


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 ก.ค. 22, 16:37
-ต่อ-


ความฝันของ Ratzo คือถ้ามีเงินจะย้ายไปอยู่ Florida ที่มีอากาศสดใสกว่าที่ NY  การพบ Joe Buck ทำให้ความฝันของเขาเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
https://youtu.be/IC2crLlclNA


Ratzo เป็นคนพิการสิ่งที่ตามมาคือสุขภาพไม่ดี  ในตอนท้ายเรื่องสุขภาพของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ  เขาขอให้ JB พาไปที่ Florida  แต่ทั้ง 2 ไม่มีเงิน JB จึงต้องทำร้ายร่างกายเหยื่อเพื่อขโมยเงิน  ในที่สุดการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในเมืองใหญ่ก็ทำลายจิตใจที่บริสุทธิ์ของหนุ่มบ้านนอก
https://youtu.be/3izxrCNCbUQ

https://youtu.be/AO_944kf0RA


นี่คือฉากจบของเรื่อง  หลังจากตกลงกันแล้วว่าเมื่อไปถึงที่หมาย  ต่างจะออกหางานสุจริตทำเพื่อความมั่นคงในอนคต
https://youtu.be/D0rFBU7pVL4
ที่ 1.00 บทคนขับรถไม่ได้ใช้นักแสดง  แต่เป็นช่างไฟประจำกองถ่าย  เรื่องคือนักแสดงบทคนขับเกิดไม่โผล่มา  หลังจากคอยจนวินาทีสุดท้าย ก็เลยคว้าช่างไฟที่โต๋เต๋อยู่แถวนั้นมาเข้ากล้องแทน


ฉากนี้ทำให้หนังติด rate-X
https://youtu.be/HjaESm5rkP8


ฉากโปรดของผมก็คือฉากเปิดเรื่องที่มีเพลงประกอบ Everybody’s Talkin’ ร้องโดย Harry Nilsson เพราะเกินบรรยาย  หลังจากหนังออกฉายก็ดังกระหึ่มและได้รับรางวัล (ทางวงการเพลง) มากมาย
https://youtu.be/rBR0Dug9sIo
(ผมว่าบรรยากาศของชนบทในอเมริกาในสมัยนั้นสดใสดีจัง)


แรกเริ่มเพลงนี้ไม่ได้แต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับหนังเรื่องนี้  มันเป็น single ของ Harry Nilsson ซึ่งออกวางตลาดก่อนหน้าหนัง  แต่ตอนนั้นผู้ผลิตหนังเรื่องนี้ยังหาเพลงลงไม่ได้  ก็เลยเอาเพลงนี้ซึ่งถูกใจขัดตาทัพไปก่อน  ระหว่างนี้ก็จ้างวานนักร้องหลายคนเช่น Bob Dylan, Joni Mitchell ฯลฯ ให้ช่วยแต่งเพลงและเสนอเข้ามา  HN ก็เป็นหนึ่งที่ได้รับการว่าจ้าง  เขาแต่งเพลง I guess the Lord must be in New York City  แล้วเสนอไปให้ผู้ผลิตหนังพิจารณา  แต่ผู้ผลิตฯ ไม่ชอบใจเลยสักเพลง  ก็เลยเอาเพลง Everybody's talkin' นี้ลงไปในหนังอย่างเป็นทางการ  ความดังของหนังส่งผลให้เพลงดังและทำให้ HN ได้รางวัล Grammy ด้วย

นี่คือเพลงที่ HN แต่งให้กับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ  แต่ ผู้ผลิตฯ กลับไม่ชอบ
https://youtu.be/2swOlajJ-zU
(เพลงโปรดของผมทั้งคู่)


นักร้องคนนี้  ถ้าให้ข้อมูลเท่านี้  นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยร่วมยุคทำหน้างงงวย  ต้องเปิดเพลงนี้ให้ฟัง  จะร้องอ๋อ... ทันที
https://youtu.be/8dnUv3DUP4E


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/o29GST0Lj28


Fun fact:
In one particular scene, Ratso and Joe get into an argument over cowboys. Ratso states that "Cowboys are fags! (เกย์)" Joe's response is "John Wayne is a cowboy! Are you calling John Wayne a fag?" Coincidentally, Dustin Hoffman and Jon Voight were nominated for the Best Actor Oscar for their roles as Ratso and Joe, respectively. They lost out to John Wayne for his role in "True Grit" (1969).

(หมายเหตุ – Jon Voight คนที่เล่นเป็นชายขายตัวเป็นพ่อของ Angelina Jolie)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ก.ค. 22, 17:02
Flatliners (1990) เป็นเรื่องของนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเกิดความคิดพิเรนทร์  พวกเขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากความตายมาเยือน  จากนั้นก็ทดสอบโดยจัดฉากแกล้งตายขึ้น

แนวของหนังอิงพุทธศาสนาในด้านกฎแห่งกรรม

ทุกคนมีเรื่องราวต่าง ๆ กันไป  แต่เรื่องราวของหนุ่ม Nelson นี้น่าสนใจที่สุด

https://youtu.be/wpci2WuWy4E

https://youtu.be/44bA8MgbU3Y

https://youtu.be/cPgyeWkMevg

https://youtu.be/R_4_btP862g


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/23/X4J3oQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/X4J3oQ)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 ก.ค. 22, 15:15
Pillow talk (1959) เล่าเรื่องของ Jan สาวนักตกแต่งภายในที่อาศัยอยู่คนเดียวใน apartment กลางกรุงอันแออัดที่คู่สายทางโทรศัพท์ยังไม่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้พอเพียง  คนแถวนั้นจึงต้องใช้บริการของโทรศัพท์แบบสายพ่วง  Jan ใช้สายพ่วงร่วมกับ Brad นักเขียนบทละครเวทีและ playboy ที่อาศัยอยู่ใน apartment ของตึกใกล้ ๆ

เรื่องเริ่มต้นเมื่อทุกครั้งที่ Jan จะใช้โทรศัพท์  สายเป็นไม่ว่าง  เพราะ Brad ครอบครองอยู่เป็นประจำ  ที่น่ารำคาญคือส่วนใหญ่ชายหนุ่มไม่ได้คุยเรื่องงานแต่เป็นการเกี้ยวสาวซึ่งแต่ละครั้งเสียงของผู้หญิงไม่เคยซ้ำกันเลย
นับวัน Jan จึงไม่ชอบขี้หน้าทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าจริง ๆ ของหนุ่ม Brad คนนี้ขึ้นเรื่อย ๆ

เป็นเหตุบังเอิญ (เกิดขึ้นใน “หนัง” เท่านั้น) ที่ 2 หนุ่มสาวนี้รู้จักมักจี่กับเพื่อนคนเดียวกัน  จากต่างที่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนอันเป็นบุคคลที่ 3 คนเดียวกันนี้ทำให้วันหนึ่งฝ่ายชายก็รู้จักตัวตนของฝ่ายหญิงก่อนแล้วเกิดติดใจก็เลยสวม 2 บทบาท  

ด้วยความลับไม่มีในโลก  ในเวลาต่อฝ่ายหญิงก็ได้รู้จักตัวตนของฝ่ายชายในที่สุด  เจ้าหล่อนจึงฉุนเช็ดที่โดนสวมเขา  ทำให้ฝ่ายชายต้องตามง้อ  ลงท้ายหนังก็จบลงด้วยความชื่นมื่น (ผมเรียกว่า แบบ ‘เน่า’ ๆ)
 
เรื่องราวในหนังโดยสรุปเป็นไปตาม clip นี้
https://youtu.be/5FZKm1g9Etg
ตอนหนังออกฉาย  นักวิจารณ์ชื่นชมเทคนิคของฉากที่ใช้ 3 ฉากย่อยมารวมอยู่ในฉากเดียวกันว่าแปลกใหม่

 
เมื่อ Jan รู้เรื่องว่าโดนสวมเขา  เธอก็ฉุนขาด  Brad จำต้องหาทางง้อ  โดยผ่านทาง maid ขี้เมาของสาว  maid แนะนำให้ Brad ทำไก๋จ้างนายสาวของตนมาช่วยตกแต่ง apartment ให้
https://youtu.be/tG5SgYWN_q8
Thelma Ritter เล่นบทสาว maid นี้  ผมเคยเอ่ยถึงนักแสดงคนนี้เนือง ๆ  เธอเป็นดาราประกอบระดับคุณภาพที่ตีบทแตกเสมอ  เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 6 ครั้งในบทตัวประกอบล้วน  แต่ไม่มีโอกาสได้จับ  ชื่อเธอเข้าไปอยู่ในสถิติประเภทหนึ่งของสถาบัน Oscar ในที่สุด  

 
Brad ทำตามที่ maid ขี้เมาแนะนำ  ซึ่ง Jan ก็ถือโอกาสแก้แค้นเสียเลย  ภายหลังเรื่องโอละพ่อเพราะเธอทำเกินกว่าเหตุ  เลยต้องกลายเป็นฝ่ายง้อชายหนุ่มคืน  ผมชอบฉากนี้  สดใส  รถสวย ๆ  แถมการเดินเรื่องน่ารัก
https://youtu.be/DaehTmu4M_Y

 
ผมว่ามันเป็นหนังตลกที่คลาสสิกอีกเรื่องหนึ่ง  เหมือนเรื่อง Some like it hot  คือไม่ว่าจะดูในยุคไหนก็น่ารัก  แม้หนังทั้งเรื่องจะสร้างใน studio แต่ดูไม่อึดอัด  ถึงจะเป็นฉากจำลองแต่ผมชอบมาก  ไม่รู้มีความหลังอะไรกับยุค 50s  ดารานำ 2 คน Rock Hudson กับ Doris Day ลื่นไหลไปตลอดเรื่อง และเป็นหนังที่เพิ่มพูนชื่อเสียงให้กับทั้งสอง
 
DD ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar จากบทนี้  แต่คนที่เด่นที่สุดกลับเป็น maid ขี้เมา  ซึ่งตัวนักแสดงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar จากบทนี้เช่นกัน

 
ฉากเปิดเรื่องก็น่ารัก  เสียงของ DD มีเอกลักษณ์  ฟังที่ไหนก็รู้ว่าเป็นเสียงของเธอ
https://youtu.be/zhi59r2bVww


แถมฉากตลก... ดารา 3 คนจากเรื่อง PT คือ DD, RH และ Tony Randall ได้กลับมาเล่นหนังร่วมกันอีก 3 เรื่องเนื่องจากเข้าขากันได้ดีมาก ฉากนี้มาจากหนังเรื่องที่ 3  Send me no flowers  เอามาให้ดูด้วยคาดว่าเหมาะสำหรับนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
https://youtu.be/CDCgU0__pGg


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 ก.ค. 22, 17:05
ผมรู้เรื่องราวของ Lady Jane Grey ราชินี 9 วันของอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ผมไม่ได้เป็นญาติอะไรกับเธอ  เพียงรู้เรื่องจากการอ่านหนังสือของแม่  ฉบับของแม่เป็นฉบับภาษาไทย  แปลโดย นิดา  เล่มหนาเตอะร่วม 2 นิ้วได้ละมัง  อ่านแล้วสนุกจนวางไม่ลง  ผมมารู้หลังจากนั้นอีกนานว่าเรื่องราวของเธอตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มีความยาวแค่ไม่กี่บรรทัด  คนแต่งเรื่องนี้ต้องเก่งอย่างบอกไม่ถูกที่สามารถเอามาขยายได้เป็นหนังสือเล่มโต  อ่านสนุกเหมือนอ่านนิยาย

ในปี 1986  อังกฤษทำหนังเรื่องราวของเธอออกมาฉาย  ผมหาไม่เจอว่าหนังดัดแปลงมาจากหนังสือเล่มไหน  อย่างไรก็ตามหนังไม่มาฉายในเมืองไทยอย่างแน่นอน  ผมก็เลยไปเสาะหาวิดีโอมาดู  ซึ่งก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตามเคย  อาศัยที่รู้เรื่องราวมาก่อนหน้าจากการอ่านก็เลยตามน้ำไปได้เรื่อย ๆ
https://youtu.be/BtNV76i3zLs


ฉากสุดท้าย (3.30) บรรยายภาพได้ตรงตามที่อ่านในหนังสือ  ดูแล้วเศร้าใจ  ประวัติศาสตร์บอกว่าเธออายุแค่ 16-17 เอง  ยังเด็กอยู่เลย
https://youtu.be/SYWDLUhToto


ดูหนัง/อ่านเรื่อง - ประวัติศาสตร์ทีไรนึกอยากย้อนเวลากลับไปให้เห็นด้วยตาว่าเรื่องราวจริง ๆ เป็นอย่างไร  แต่ละคนหน้าตาเป็นอย่างไร



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 22, 09:21
เคยได้ยินชื่อ Jane Grey ราชินีเก้าทิวา เป็นครั้งแรกเมื่อไปอังกฤษครั้งแรก    เห็นโฆษณาชวนให้ไปดูนิทรรศการทางประวัติศาสตร์ แสดงอยู่ข้างทางเดินรถใต้ดิน      ตอนเรียนประวัติศาสตร์ในคณะ ไม่เคยได้ยินเรื่องของเธอ   มันเป็นชิ้นส่วนเล็กๆของยุคนองเลือดก่อนควีนเอลิซาเบธที่ 1  จะขึ้นครองราชย์
แต่อังกฤษดูเหมือนจะยังจับอกจับใจกับราชินีผู้อาภัพคนนี้ไม่หาย    ในอินทรเนตรก็มีเรื่องราวของเธอให้ค้นหาอ่านกันจนเมื่อยตา
เป็นความอาภัพของเด็กสาววัย 15  ที่เกิดมาชาติตระกูลดี การศึกษาดีเยี่ยม   ไร้เดียงสาต่อการถูกจับไปเป็นหมากการเมือง โดยพ่อผัวผู้ทะเยอทะยานจะกุมอำนาจเหนือบัลลังก์อังกฤษ
ทั้งเธอและหนุ่มน้อยสามี ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเช่นกัน  เลยถูกประหารไปอย่างน่าเศร้าทั้งๆไม่มีความผิด

มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว

ภาพข้างล่างนี้คือคนรุ่นนี้พยายามใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพของเจนขึ้นมาใหม่จากภาพวาดเก่าๆ ว่าเจนตัวจริงควรมีหน้าตาอย่างไร


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ก.ค. 22, 16:10

มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ก.ค. 22, 16:20
พูดถึง Doris Day ไปเมื่อวันก่อน  แล้วนึกถึง Debbie Reynolds  ผมว่า 2 คนนี้มีอะไรคล้าย ๆ กัน  เริ่มจากเป็นนักร้องและนักแสดงเหมือนกัน  คือเล่นด้วยร้องด้วย  เล่นหนังบรรยากาศเบา ๆ เหมือนกัน  เคยรับบทสาวแก่นแก้วเหมือนกัน และสามารถนำเพลงที่ร้องในหนังเข้าชิง Oscar ได้ด้วยเหมือนกัน

DD จากเพลง Secret love (1953) ในหนัง Calamity Jane ที่เธอรับบทเคาบอยสาวแก่นแก้ว (ไม่เคยดู)
https://youtu.be/fU8tQpCZEzg

https://youtu.be/5MnUrhptPSo


และอีกครั้งในปี 1956 จากเพลง Que sera, sera ในหนังเรื่อง The man who knew too much (ดูมาน้านนานแล้ว  จนจำอะไรไม่ได้)
https://youtu.be/_91hU6LDjoA

(หมายเหตุ – 2 เพลงนี้ได้รางวัลซึ่งมอบให้กับผู้แต่งเนื้อ  ไม่ใช่คนร้อง)


ส่วน DR เคยร้องเพลง Tammy ในหนังเรื่อง Tammy and the bachelor  (ไม่เคยดู) ได้เข้าชิงรางวัลในปี 1957
https://youtu.be/lO_3SFwpR1g


อย่างไรก็ตามเพลงทั้ง 3 ดังสุดขีดในอันดับเพลงและตามคลื่นวิทยุทั้งไทยและเทศ  ความดังอยู่ในขั้นอมตะมาจนกระทั่งถึงวันนี้

ความเหมือนของทั้ง 2 จะต่างกันตรงที่ DD แก่กว่า DR (DR เกิด 1932 อ่อนกว่า DD 10 ปี) 
 
ในด้านการแสดง  ทั้ง 2 เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar คนละครั้งเหมือนกัน  DD จาก Pillow talk ที่กล่าวมาแล้ว  ส่วน DR จากหนังเรื่อง Unsinkable Molly Brown (1964)

นี่คือเหตุผลที่ทำให้อยากดูทั้ง 2 สาวเล่นบทที่ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล  ต้องขอบคุณช่อง TCM ที่ช่วยเป็นธุระจัดการให้  ได้ดู PT ไปก่อนแล้ว  ก็คอยว่าเมื่อไร UMB จะมา
แล้ววันหนึ่งหนังก็มา

Unsinkable Molly Brown ตอนรู้จักชื่อครั้งแรกเดาเนื้อเรื่องไม่ออก  มันเป็นหนังอิงชีวประวัติของ Margaret Brown ผู้เติบโตในถิ่นบ้านนอก  เธอเป็นสาวซื่อและแก่นแก้ว  ที่ตั้งความฝันไว้ว่าจะต้องได้ผัวรวย  แล้ววันหนึ่งความฝันก็เป็นจริง  เธอรวยยับ  แต่ความที่รากแก้วเป็นคนบ้านนอกทำให้คนในวงสังคมไม่ยอมรับ  ซึ่งเธอก็ไม่แคร์

MB เป็นผู้โดยสารคนหนึ่งในเรือ Titanic  เมื่อเรือล่มเธอทำหน้าที่ขยันขันแข็งในการช่วยเหลือผู้โดยสารคนอื่น ๆ เท่าที่ช่วยได้ให้ไปลงเรือชูชีพ  ส่วนตัวเธอเองก็โดนลากไปลงเรือชูชีพด้วยในที่สุด  ข่าวเล่าว่าในเรือชูชีพเธอถือพายด้วยตัวเอง  เป็นการช่วยเจ้าหน้าที่อีกแรงหนึ่ง

ระหว่างนั้นเธอยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้ จนท. ย้อนเรือกลับไปช่วยคนที่ลอยคออยู่ในน้ำ  แต่ได้รับการปฏิเสธเพราะ จนท. อ้างว่าถ้ากลับไปใกล้จุดเกิดเหตุแรงดูดของน้ำขณะที่เรือลำยักษ์กำลังจมจะดึงให้เรือชูชีพจมตามไปด้วย  อีกทั้งคนที่ลอยคออยู่อาจจะกรูกันเข้ามาขึ้นเรือทำให้เรือรับน้ำหนักไม่ไหว ก็จะทำให้ทุกคนพลอยต้องตายกันหมด  แล้วยังไม่นับเรื่องการอดอยากอีกเพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรความช่วยเหลือจึงจะมาถึง

สรุปแล้ว MB เป็นหนึ่งในจำนวนผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมระดับโลกนี้

เมื่อได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือลำอื่นแล้ว เธอยังทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอื่น ๆ อย่างขยันขันแข็ง  เพราะวีรกรรมนี้ทำให้สื่อต่าง ๆ พร้อมใจกันตั้งสมญานามว่า Unsinkable Molly Brown
https://youtu.be/dpekPaut0Cg


สำหรับฉบับในหนังก็เป็นการนำเรื่องของเธอมาดัดแปลงเป็นหนังเพลงโดยให้ DR รับบท MB  DR ลื่นไหลไปกับบทมากแต่ผมดูไม่จบ  ดูเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น 
https://youtu.be/o1osIeSXdvw



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 22, 16:32

มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น  
น่าจะเป็น Sir Walter Raleigh มั้งคะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 22, 16:39
ต้องขอคุยเสียหน่อยว่า บ้านของมอลลี่ บราวน์ อยู่ที่เดนเวอร์ โคโลราโด   ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมได้   พอมีโอกาสไปก็เลยซื้อบัตรเข้าชมเสียหน่อย
ได้เห็นห้องหับต่างๆที่มอลลี่เคยอยู่ กับสามี ในฐานะเศรษฐีใหม่รวยขึ้นมาจากเหมืองแร่ 
จะเป็นเพราะทางรัฐตะวันตกของอเมริกาไม่ค่อยมีเศรษฐีเก่าอย่างทางรัฐตะวันออกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ   บ้านของมอลลี่เลยไม่ค่อยโอฬารเท่ากับคฤหาสน์ทางนิวอิงแลนด์    แต่ก็ถือว่ามีหน้ามีตาพอสมควรละค่ะ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.ค. 22, 09:28
ตั้งแต่โลกมีอินทรเนตร ตามมาด้วย yahoo  และ google  การไปเยี่ยมชมสถานที่คนละซีกโลกอย่างบ้านมอลลี่ บราวน์ ก็สะดวกสบายมาก    ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน และค่าทัวร์

 https://mollybrown.org/photo-gallery/


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ก.ค. 22, 17:21

มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น  
น่าจะเป็น Sir Walter Raleigh มั้งคะ


ลืมชื่อนี้ไปเลยครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ก.ค. 22, 17:26
Spy (2015) เป็นหนังตลกชั้นดี  เล่าเรื่องสาวอ้วนบุคลิกชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในองค์กร CIA  วันหนึ่งเธอก็เกิดจับผลัดจับผลูโดนเลือกให้เป็น spy ไปสืบเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ที่โดนขโมยไป

หนังอัดไปด้วยมุขตลกที่ไม่เสี่ยว  ดูแล้วแสนสนุก  ผมว่าฉากที่ตลกที่สุดคือฉากสายลับปัญญาอ่อนที่แสดงโดยดาราบทบู๊ Jason Statham  มันตลกตรงที่เอาดาราที่เราเห็นเล่นแต่บทเครียดบู๊ล้างผลาญมาเล่นบทงี่เง่า  เธอด่าเป็นไฟ
https://youtu.be/MfInGEdTz18

https://youtu.be/IwSZBMHWY8M


ฉากตลกอื่น ๆ

https://youtu.be/6wTkS2320J4

https://youtu.be/5wY84NeQSYk

https://youtu.be/Y4B0-uslSqc

https://youtu.be/2isW-jyX2G4


ชาวเรือนไทยน้อยคนที่จะรู้จักนักแสดงนำในหนังเรื่องนี้  เธอชื่อ Melissa McCarthy  มีพื้นเพมาจากการเล่นหนังทีวีมาก่อนซึ่งผมไม่เคยดูผลงานของเธอเลย  เธอถนัดบทตลกแต่บทชีวิตเธอก็สามารถเล่นจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar

ฉากที่เธอโดนส่งไปรับอุปกรณ์สนับสนุนการเป็น spy
https://youtu.be/Ssu9SX0x0Jg


ฉากตลก ๆ อีกฉาก
https://youtu.be/J-TW7pA5fIg


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/ltijEmlyqlg


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 ก.ค. 22, 15:26
ต่อ...

ก่อนหน้านี้ MM เคยได้เข้าชิง Oscar ในบทสมทบจากเรื่อง Bridesmaids (2011)  ซึ่งเป็นเรื่องของสาว Annie ที่ได้รับคำชวนไปร่วมเป็น 1 ในเพื่อนเจ้าสาว  จากนั้นเรื่องวุ่นวายก็ตามมาไม่หยุด

ตัวเอก Annie ในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ MM แต่เป็น Kristen Wiig  นักแสดงบทตลก  โดยดั้งเดิม เธอเป็นศิษย์เก่าของรายการทีวี variety show ชื่อดัง Saturday night live ที่ออกมาอากาศมาตั้งแต่ยุค 70s โน่น  เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของรายการในช่วงต้น 2000s  เมื่อชื่อติดลมบนแล้วก็ลาออกแล้วมาหาความก้าวหน้าทางการเล่นหนัง

ในเรื่องนี้มีฉากตลก  ๆ เพียบ  ผมว่าฉากต้นเรื่องนี่ตลกที่สุด
https://youtu.be/Ovp5C6KyiUQ


และฉากตามง้อผู้ชาย
https://youtu.be/KXldzNF7Y4Q


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/FNppLrmdyug


ในเรื่องนี้ MM เด่นกว่าใคร ๆ  เธอได้เข้าชิง Oscar อย่างที่บอก  ผมละถูกชะตากับเธอจริง ๆ  อยากได้เป็นเพื่อน  เวลาได้ข่าวว่าเธอไปออกตลกที่ไหนผมเป็นต้องขวนขวายไปหาดู  อย่างเช่น clip นี้เมื่อเธอไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ talk show ของ Ellen Degeneres
 
ED ขอให้เธอเล่นอะไรบางอย่าง  ฟังรายละเอียดจากใน clip ก็แล้วกัน
https://youtu.be/S3ysEiQLzTo
(ตรง ‘Beep’ คือ Fucked up  เป็น slang ซึ่งไม่มีคำแปลตายตัว  สามารถแปลได้หลากหลายตามแต่เหตุการณ์ในขณะนั้น ๆ  (3.38) Emilio Estevez คือดาราวัยรุ่นยุคเก่า  เธอเป็นลูกดาราใหญ่ Martin Sheen  และเป็นพี่ของ Charlie Sheen


ส่วนนี่เป็น clip ในหนังเรื่อง This is 40  ในเรื่อง MM เล่นเป็นแม่ของเด็กที่ไปก่อเรื่องกับเด็กอีกคน  ผลคือผู้ปกครองของทั้ง 2 ฝ่ายโดนเรียกตัวเข้าห้องผู้อำนวยการฯ  MM มันกับบทจนหลุดออกจากวงถ่ายไปเลย  คนอื่น ๆ ร่วมฉากขำกันกลิ้ง รวมถึง ผกก. ซึ่งไม่บอก cut  แต่ปล่อยให้กล้องถ่ายต่อไปเรื่อย ๆ  ฉากนี้จึงไม่ได้รวมอยู่ในหนัง  มันกลายเป็นฉากหลุด (bloopers) ของหนัง
https://youtu.be/J4r7YTkf9vs



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 22, 17:53
ในยุค 1960s ต้นๆ เมื่อหนังทีวียังเป็นขาวดำอยู่  มีหนังครอบครัวที่ทั้งฝรั่งและไทยชอบดูกันมาก   ทางไทยเราฉายทางช่อง 4   ชื่อ "หนูน้อยบีเวอร์"  หรือ Leave it to Beaver
เป็นชีวิตครอบครัวคนอเมริกันชั้นกลาง ที่เป็นความฝันของคนยุคนั้น ประกอบด้วยพ่อที่ทำงานมีรายได้ดีพอจะมีบ้านสวยๆ เลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่เดือดร้อน   แม่เป็นแม่บ้าน แต่งกายสวยงาม ดูแลบ้านช่องได้ดี และลูกชายน่ารัก 2 คน ชื่อวอลลี่กับบีเวอร์
หนูน้อยทั้งสองเป็นขวัญใจชาวบ้านมาจนโตเข้าสู่วัยรุ่น  หนังชุดก็ต้องจบไปหลังจากดำเนินมา 6 ปี  เพราะวอลลี่ พี่ชายกำลังจะจบไฮสกูลเข้ามหาวิทยาลัย บีเวอร์ก็โตจนไม่เป็นหนูน้อยอีก   แต่หนังชุดนี้ก็รีรันแล้วรีรันอีกหลายทศวรรษต่อมา
เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปี  วอลลี่กับบีเวอร์กลับมาสู่สายตาผู้ชมอีกครั้ง ในฐานะหนุ่มวัยทำงาน มีครอบครัวแล้ว  คนดูต้อนรับหนังชุดนี้อีก 5 ปี   

ผ่านมา 60 กว่าปี   บัดนี้วอลลี่ หรือชื่อจริงว่า Tony Dow ก็ล่วงลับจากฟ้าฮอลลีวู้ดไปแล้วในวัย 77 ปี 
https://www.youtube.com/watch?v=wCDqBBTV29w


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 ก.ค. 22, 17:05
Chariots of fire (1981) ได้รับรางวัล Oscar 2 สาขา  คือหนังยอดเยี่ยม และ soundtracks ยอดเยี่ยม

นักดูหนัง/ฟังเพลงบ้านเราได้สัมผัสหนังเรื่องนี้ทางเพลงก่อน  เพราะหนังเข้าฉายหลังจากการประกาศผลแล้ว  แต่เพลงเข้ามาอาละวาดตั้งแต่หนังเริ่มออกฉายที่บ้านเขา

หนังสร้างจากเรื่องจริงของนักกรีฑาชาวอังกฤษ 2 คน  ที่มีพื้นฐานต่างกันโดยสิ้นเชิง  คนหนึ่งมาจากครอบครัวชาวยิว  อีกคนมาจากครอบครัว missionary ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจอยู่ในเมืองจีน
ทั้ง 2 ฝึกฝนการวิ่งจนได้รับเลือกเข้าเป็นตัวแทนไปร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 24 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส

อย่างที่บอก ผมรู้จักหนังเรื่องนี้จากเพลงก่อน  เพลงชื่อเดียวกันที่บรรเลงโดย Vangelis นักประพันธ์เพลงชาวกรีก  มันเป็นเพลงแนว progressive ที่เพราะมาก  ทั้ง single และ album ดังทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  ปกแผ่นเสียงสวยและเพลงก็เพราะทุกเพลง  ฟังได้โดยไม่ต้องอาศัยเรื่องราวของหนังมาเหนี่ยวนำ

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/29/XwvsNv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XwvsNv)


แต่ฟังไปฟังมาก็เกิดความอยากรู้ว่าเพลงแต่ละเพลงมีความสัมพันธ์กับฉากไหนของหนัง  แต่ไม่อยากรู้มากเพราะมันเป็นหนังเกี่ยวกับกีฬา  ไม่ใช่แนวของผม  อย่างไรก็ตาม  พอหนังมาเข้าฉาย  ผมก็ร่อนไปซื้อตั๋วดูแบบลืมตัว  ผลจากการเข้าดูคือ  หนังสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ

พอกลับมาบ้านมาฟังเพลงใหม่  คราวนี้เพราะกว่าเดิมเพราะมีบรรยากาศในหนังมาสนับสนุน

เพลงเอกที่ตัดเป็น single ที่นักฟังเพลงทุกคนรู้จักดี
https://youtu.be/CSav51fVlKU


เพลงนี้อุทิศให้กับ Eric Riddell ลูกชาย missionary  เริ่มแรกเธอไม่ได้เข้าแข่งขันในรายการนี้  รายการที่เธอลงชื่อเข้าแข่งขัน (100 เมตร) เกิดไปลงล็อคในวันอาทิตย์  ความเคร่งในศาสนาทำให้เธอสละสิทธิ because his Christian convictions prevent him from running on the Lord's Day.  แต่ความที่มีเพื่อนดีซึ่งยกการแข่งขันวิ่งอีกประเภท (400 เมตร) ให้เพราะตัวเองได้เหรียญจากกรีฑาประเภทอื่นไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม  อุปสรรคคือเส้นทางการวิ่งมีระยะยาวกว่าเส้นทางที่เธอถนัด
https://youtu.be/UuYoYBB4V4o


เพลงนี้อุทิศให้กับ Harold Abrahams ลูกชาวยิว  ให้บรรยากาศที่เครียดมากเพราะเธอเข้าแข่ง 2 รายการ  และรายการแรกก็แพ้ไปแล้ว
https://youtu.be/TT_Yx2VxHvM


อีก 1 เพลงที่เพราะมาก เป็นตอนจบของหนัง
https://youtu.be/3vxlX5wyEQs



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 22, 14:12
ต่อจากคห. 53

หมายเหตุ  ดาราในหนังชุดหนูน้อยบีเวอร์ ล่วงลับไปเกือบหมดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อดีตดาราเด็กตัวสมทบในเรื่อง
ล่าสุดคือโทนี่ ดาวผู้รับบทวอลลี่
ตอนนี้ก็เหลือหนูน้อยบีเวอร์วัย 71  อยู่เเดียวดาย


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 ก.ค. 22, 17:26
Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้
 
หนังดัดแปลงมาจากละครเวทีประเภท Jukebox musical (ละครเพลงที่ใช้เพลงดัง ๆ ในอันดับเพลงมาใช้  ไม่ใช่เพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ) ชื่อเดียวกัน  ที่ได้รางวัล Tony (ประมาณ Oscar ของวงการละคร) มาแล้ว  เล่ากำเนิดของวง pop ชื่อดังของโลก The Four Seasons ที่มี Frankie Valli เป็นนักร้องนำ
https://youtu.be/tL2iILHUsG0


เพลงคุ้นหูทั้งนั้นเลยละ
https://youtu.be/drpTj5jJXYk

https://youtu.be/newBi8VH3n4
0.08 คือ Bob Crewe เป็น Producer มือฉมังในวงการเพลงและอำนวยการผลิตเพลงดัง ๆ ให้กับวงนี้มาโดยตลอด  ยามว่างเธอตั้งวงดนตรีบรรเลง  มีเพลงดังในบ้านเราคือเพลงนี้
https://youtu.be/Kue2OGNaVcY


https://youtu.be/Ig0mAXkXIRw

https://youtu.be/euTxpe61NE8

https://youtu.be/tvQSk6j_PGs


ตัวละครหลักส่วนใหญ่ใช้นักแสดงที่ช่ำชองจากบทที่เล่นบนเวทีละครมาร่วมเล่น



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 22, 19:33
Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้

เรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จหรือคะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 ก.ค. 22, 13:48
Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้

เรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จหรือคะ

เมื่อเทียบกับผลงานของ CE ในอดีตแล้ว  ใช่ครับ 

Rotten Tomatoes ให้ rate แค่ 5.9 จาก 10  พร้อมเหตุผลว่า "Jersey Boys is neither as inventive nor as energetic as it could be, but there's no denying the powerful pleasures of its musical moments."

In a 2021 interview with The Washington Post, Frankie Valli revealed his thoughts on the movie, saying that "I don’t think it was cast properly and I don’t think it was done properly. The whole entity was not put together properly. I think Clint Eastwood is a great director and actor. I don’t think this was right for him."


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 ก.ค. 22, 14:12
ทุกเดือนทางบริษัท I/UBC จะส่งตารางรายการมาให้ ซึ่งผมจะเปิดดูรายการจากช่อง TCM ก่อนเสมอ เวลาดูต้องดูประกอบกับคู่มือ คือปูมรายละเอียดโดยย่อของหนังโดยนักวิจารณ์ชื่อดังของอเมริกา Leonard Maltin  ว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจชมบ้าง  หนังสือมีขนาดหนามาก  ประมาณ 3 นิ้วกว่า  ผมใช้งานซะหลุดลุ่ย (ในขณะที่หนังสือเรียนใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยถูกเปิดอ่าน)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/31/XZ5enN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XZ5enN)


อย่างที่บอกว่าปกติผมไม่ชอบดูหนังเก่าโบราณโบรั่ม  แต่ผมอ่านเรื่องหนังเก่า ๆ พวกนี้มาเยอะ  บางเรื่องก็มีจุดเด่นอยู่ที่ข่าวเบื้องหลังโน่นนี่  บางเรื่องก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหรือได้รางวัล Oscar เป็นกระบุง  บางเรื่องก็เน้นที่ข่าวของดาราคนนั้นคนนี้  ฯลฯ  อ่านแล้วก็นึกอย่างดูหนังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เคยได้อ่านและสนใจมา  ผมว่าผมคงเป็นคนไทยในจำนวนน้อยคนที่ชอบดูช่อง TCM มากขนาดนี้

คราวนี้ผมเจอหนังชื่อ Hollywood Canteen (1944)

พอถามปูมฯ ก็ได้คำตอบว่า เป็นหนังเบาสมองประเภทรวมดาราพร้อมให้ชื่อดาราที่ร่วมเล่นมาเป็นกระบุง  อ่านแล้วอยากดูทันที  เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกเป็นเข่ง

ปูมฯ เล่าต่อว่าหนังสร้างเลียนแบบเหตุการณ์จริงที่เรียกว่างาน ‘โรงอาหารฮอลลีวู้ด’ ที่จัดตั้งโดยดาราใหญ่ 2 คนคือ Bette Davis กับ John Garfield ในปี 1942 ที่ LA

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/31/XZOYlt.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XZOYlt)


จุดประสงค์ของงานคือเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับเหล่าทหารหาญที่กำลังจะไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่สอง  ความบันเทิงอันได้แก่การได้สัมผัสดาราฮอลลีวู้ดดัง ๆ (ในยุคนั้น) ทั้งหลาย  ดาราพวกนี้จะมาให้บริการพูดคุย  ตักอาหารให้ ร่วมเล่นเกม เป็นคู่เต้นรำ ฯลฯ  ทุกอย่างฟรีตลอดรายการ

ส่วนหนึ่งในบรรยากาศของจริง จะเห็น Dinah Shore, Lana Turner, Marlene Dietrich ฯลฯ
https://youtu.be/5QD2A1fH26w


ในหนังก็มาทำนองนี้แต่สร้าง plot เสียหน่อย  โดยให้มีตัวละครทหารเกณฑ์หนุ่มรู้ข่าวงาน Hollywood Canteen ก็เลยมาร่วมงานเพื่อตั้งใจจะมาสัมผัสและเต้นรำกับ Joan Leslie (เพิ่งเคยได้ยินชื่อ) ดาราในดวงใจของเขา

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/31/XZOTFQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XZOTFQ)


ในงานระหว่างตามหาดาราหญิงในดวงใจ  ทหารหนุ่มก็เจอะเจอดาราดังต่าง ๆ ที่มาให้ความบันเทิง  ที่ คลังของ Warner Bros. ตัด clip มาให้ชมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  แล้วผมก็คัดเลือกมาจำนวนหนึ่งให้ชมบรรยากาศของหนัง
 
คนแรกคือ Barbara Stanwyck นี่เป็นหนึ่งของดาราระดับมหากาฬของฮอลลีวู้ด นักดูหนังคลาสสิคอเมริกันไม่มีใครไม่รู้จัก  แต่ที่บ้านเรานั้นยังสงสัยอยู่  ฝีมือเธอเข้าขั้นชิง Oscar ถึง 5 ครั้ง  ตอนเด็ก ๆ ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกหูผมอ่านชื่อเธอว่า บาร์บาร่า แซนวิช
https://youtu.be/_Ch4IdmaKTc


ในความทรงจำของผมเคยมีเรื่องที่มี BS มาเกี่ยวข้อง...

เคยเล่าไปแล้วว่าผมมีหนังสือประวัติดาราฮอลลีวู้ด  ซื้อมากว่า 30 ปีแล้ว  หนังสือเล่มนี้ลงประวัติพร้อมเกร็ดย่อย ๆ ของดาราตั้งแต่ยุคบุกเบิกคือ 1930s เป็นต้นมา  ตั้งแต่ยุคหนังเงียบ  หนังสือเล่มนี้ต่อยอดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเหล่าดารา (ยุคโบราณ) ที่ผมเคยได้ยินแค่ชื่อแต่ไม่เคยรู้จัก

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/31/XZOcfW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XZOcfW)


ตอนที่หนังสือออกขายเหล่าดาราฮอลลีวู้ดยุคทอง (หรือยุค Studio System) ยังค้างฟ้ากันอยู่  ข้อมูลที่บันทึกไว้จึงมีเฉพาะวันเกิด  หลังจากได้ครอบครองหนังสือ  เวลาได้ข่าวดาราในยุคนั้นคนไหนตาย  ผมก็จะนำวันตายมาเขียนกำกับไว้ในหน้าของดาราคนที่ตายในหนังสือเล่มนี้  ข่าวที่ได้รู้ก็มาจากหน้าหนังสือพิมพ์แต่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ภาษาไทยอย่างแน่นอนเพราะหนังสือพิมพ์ภาษาไทยไม่ลงลึกขนาดนี้  นอกจากดังสุด ๆ เช่น Steve McQueen หรือ Elizabeth Taylor เป็นต้น

BS ตายเมื่อ 20 Jan, 1990 หรือ 2533 (หวังว่าคงคำนวณถูก)  ผมได้ข่าวหลังจากนั้นอีก 1 วัน  จากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post  ที่ทำงานรับเป็นประจำ  โดยส่วนตัวผมไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่งหรอก  ไม่เคยสนใจอ่านข่าวพวกนี้ด้วยซ้ำ  ไปอ่านทำไม  ภาษาไทยก็มีให้อ่าน  ต้องไปเปิด ‘ดิก’ ให้เสียเวลา  เป็นการกระแดะที่ไม่เข้าเรื่อง  แต่ผมชอบภาคบันเทิงอันมีทั้งการ์ตูนต่าง ๆ หนัง เพลง หมอดู ฯลฯ ว่าไปโน่น  แต่ที่ชอบที่สุดคือ กระดานเล่น crossword
 
พอรู้ข่าวการตายของ BS ผมก็ฉีกเศษกระดาษแล้วบันทึกวันตายของเธอเพื่อเอากลับไปลงในหนังสือที่ว่าที่บ้าน  วันนั้นที่ทำงานมีงานทำบุญอะไรบางอย่าง  เพื่อนก็ชักชวนกัน  มีการเขียนชื่อญาติพี่น้องคนตายของเราเพื่อส่งไปเข้ารับการส่งบุญกุศลด้วย  ผมก็เขียนชื่อคุณยายของผมใส่ในเศษกระดาษ

พอไปถึงที่  เราก็ทำบุญแล้วใส่กระดาษชื่อคนตายที่บันทึกไว้ลงในอ่างใบใหญ่  จากนั้นก็เข้าสู่เหตุการณ์ปกติของแต่ละคน  บางคนกลับไปทำงาน  ผมกลับไป (แอบ) เล่น crossword

เย็นนั้นพอกลับถึงบ้าน  ผมก็นำหนังสือที่ว่ามาเปิดหน้าของ BS แล้วควักเศษกระดาษจากในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อจะบันทึกวันตายของเธอ  พอตาดูที่เศษกระดาษก็ตกใจ  มันเป็นชื่อของคุณยายของผม  แสดงว่าตอนใส่เศษกระดาษชื่อคนตายเพื่อการอุทิศส่วนกุศลที่ที่ทำงานเมื่อเช้านั้น  ผมล้วงผิดไปหยิบเอาเศษกระดาษชื่อ Barbara Stanwyck (พร้อมวันตาย) ใส่ลงไปในอ่างแทนชื่อคุณยาย
 
วันรุ่งขึ้นผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง  พวกมันหัวเราะกันกลิ้ง  

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 ส.ค. 22, 13:39
ต่อเรื่อง Hollywood canteen…


https://youtu.be/58OWmTvZ0rA
Andrew Sisters เป็นคณะนักร้องหญิงล้วนที่ดังสุดขีดในยุคนั้น  ผมรู้จักชื่อคณะนี้จากพ่อ  พ่อก็รู้จักมาจากเพื่อนทหารสมัยร่วมรบที่สงครามเวียดนามอีกที  เพลงดังของวงนี้ที่ผมชอบที่สุดคือ Rum and coca-cola (ตอนนี้สมาชิกตายไปหมดแล้ว)
https://youtu.be/WiayZdPESno


Roy Rogers เป็นดาราคาวบอยขั้นเจ้าพ่อของยุค  เธอเป็นทั้งดารา นักร้อง นักแสดง พิธีกรเสร็จสรรพ (คิดถึงเจ้าหน้าที่สมัยช่อง 4 บางขุนพรหม ‘เป็น’ ทุกอย่างในคนเดียว)  เพื่อนคู่ใจคือ ม้า ชื่อ Trigger
https://youtu.be/kg_zurRBHlg


Joan Crawford ดาราคนนี้ดังแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง  ผมมีเรื่องนินทา  คอยแป๊บ
https://youtu.be/LITdSZVRGdw


Jimmy Dorsey & his orchestra เป็นวง jazz และ pop standard  ผมเคยได้ยินชื่อนี้มาจากพ่อเช่นกัน  ส่วนชายตัวเล็กที่กินโดนัทคงคุ้นหน้ากันดี  ผมเพิ่งเอ่ยถึงไปไม่นาน
https://youtu.be/htzugvxb-Gg


Jane Wyman & Jack Carson  JW คือดาราหญิงคุณภาพคนหนึ่งของยุค เธอเคยได้รับ Oscar 1 ตัว  ได้รับการเสนอชื่อรวม 4 ครั้ง  ส่วน JC เป็นดาราตลกมาจาก Canada
https://youtu.be/cDPcIHsW4Lk


Bette Davis ชื่อนี้ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ  ผมเคยเล่าความยิ่งใหญ่ให้ฟังมาบ้างแล้ว
https://youtu.be/pjP9vTrSRvk


Joan Leslie & Robert Hutton  RH เล่นเป็นทหารเกณฑ์หนุ่มตัวนำเรื่องที่ผมเอ่ยถึง  ในที่สุดเธอก็ได้พบกับดาราในดวงใจ  JL นี่ข้อมูลบอกว่าในยุคนั้นเธอดังไม่เบา  แต่ผมไม่เคยได้ชื่อเธอมาก่อน
https://youtu.be/3-4QNGL56BU


Golden Gate Quartet นี่ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อเช่นกัน  ข้อมูลบอกว่าเป็นวงผิวดำล้วนวงแรกที่ได้เล่นในงานสาบานตนของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt  เอามาลงเพราะร้องเพราะดี  ประสานเสียงนุ่มทุ้ม
https://youtu.be/7Y-MbnCmPJU


นอกจากดาราใน clip แล้วยังมีดารารับเชิญมาเล่นโน่นนี่ติงต๊องอีกมาก  รวมทั้งดาราใหญ่ Paul Henreid ที่มาเข้าฉากในบทคนล้างจาน John Garfield โต้โผของงานในบทเด็กเสิร์ฟ Alexis Smith สวยสด Ida Lupino, Eleanor Parker ที่เราคุ้นหน้าดีกับบท Baroness ในเรื่องมนตร์รักเพลงสวรรค์ ฯลฯ อีกเยอะแยะ


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/Cv7Z0s07XKo


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ส.ค. 22, 13:04
ความจริงยังมีหนังทำนองเดียวกันนี้ (จากโต้โผชุดเดียวกัน) อีกเรื่องนึงออกมาฉายก่อนหน้านี้ 1 ปี ชื่อ Thank you lucky stars  ดาราที่มาร่วมเล่นโน่นนี่ในหนังเรื่องนี้น่าสนใจกว่าเสียอีก  แต่ผมไม่มีโอกาสได้ดู

Errol Flynn (ผมไม่เคยเห็นเธอในบทร้องรำทำเพลงแบบนี้เลย)
https://youtu.be/N9t29i5bRpo


Dinah Shore
https://youtu.be/nRZci2IUnEY


Bette Davis คนนี้ก็เช่นกัน  เคยเห็นแต่บทร้าย ๆ บนจอ  เพิ่งรู้ว่าเธอก็ร้องเพลงเป็น
https://youtu.be/R8Hw__EJQ0o


Ann Shridan
https://youtu.be/f1EqmCT1r0U


ซ้ายมือของจอคือ Olivia de Havilland มาแปลกมาก  ไม่เคยเห็นแบบนี้ในจอ (ขวามือคือ Ida Lupino)
https://youtu.be/0Tu-3i3RPJc


Hattie McDaniel จาก Gone with the wind
https://youtu.be/CVZ7k8flGKA
(แม้จะยิ่งใหญ่ขนาดเป็นดารา Oscar แต่ HM จะมีความเท่าเทียมกับชาวบ้านก็เฉพาะต่อหน้าจอเท่านั้น  นอกเหนือจากที่นี่  เธอก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานแบ่งแยกสีผิว)


https://youtu.be/s4KMrgq6y_E
(ตั้งแต่ 1.10 เป็นต้นไป)


https://youtu.be/e7t4pTNZshA


Humphry Bogart กับ S.Z. Sakall  (ทั้ง 2 เคยเล่นด้วยกันใน Casablanca - 1942)
https://youtu.be/2r5wEyywH10


SZS เป็นดาราประกอบที่ผมชอบมาก  ได้เคยดูหนังที่เธอเล่นอยู่ 2-3 เรื่อง  เธอตุ้ยนุ้ยน่ารัก  ตย. จากเรื่องนี้ Never say goodbye (1946)  Errol Flynn เล่นบทตลกได้ลื่นไหลมาก
https://youtu.be/4i8nc6u29bc


นี่เป็นฉากสรุปของเรื่อง จะเห็น (4.33)  conductor ท่าทางประสาท ๆ คือ SZS ไม่ใช่ conductor ตัวจริง
https://youtu.be/iNvM7XkXPeA



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 22, 09:45
พูดถึงการขนดาราเยอะๆ มาอยู่บนจอพร้อมกัน   ทำให้นึกถึงฉากในการแสดงชื่อ Ziegfeld Follies   ดิฉันไปเจอโดยบังเอิญในยูทูป   ไม่รู้ต้นสายความเป็นมา  รู้แต่ว่าเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงใหม่ๆ
 โลกภายนอกจะลำบากข้าวยากหมากแพงยังไงก็ตาม  ฮอลลีวู้ดปลอบใจด้วยโลกมายาที่เพริศแพร้วอลังการให้คนดูลืมความจริงของชีวิตได้เสมอ
หมายเหตุ  ใครรู้จัก ZF  กรุณาให้ความรู้ด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=x_3MO3o9Qjg


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 22, 09:48
ยุคเพลงไพเราะ ระบำงามตาของฮอลลีวู้ด  ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=hMbkLOaRTEk&t=5s


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 22, 09:51
ฉากนี้รวมดาราสาวสวยแถวหน้าของฮอลลีวู้ด ในยุคก่อนทุกคนในเรือนไทยแห่งนี้เกิด
จำใครได้บ้างคะ

https://www.youtube.com/watch?v=7avtWyR-7Tw


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 22, 09:54
ก่อนลูซิลล์ บอลล์จะมาเป็นยอดตลกหญิงขวัญใจคนอเมริกันในยุค 1950s  เธอเคยเป็นดาราเกรดบีในหนังใหญ่มาก่อน  เล่นหนังเบาสมอง  ร้องเพลงเต้นระบำในหนังเบาๆเหล่านั้น  จนถึงจุดอิ่มตัวก็มาเล่นหนังชุดทางทีวี  I Love Lucy  ซึ้งโด่งดังไปทั่วโลก

https://www.youtube.com/watch?v=Trodn-7a3po


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 22, 09:58
ดาราในยุคนั้นน่าจะต้องฝ่าฟันหนักกว่าดารายุคนี้ กว่าจะขึ้นทำเนียบดาราได้  เพราะจะต้องหล่อ สวย  ร้องเพลงเป็น หรือเต้นระบำคล่อง    แม้แต่ตลกก็ไม่เว้นจากขอบเขตนี้

https://www.youtube.com/watch?v=Qm1AZOmNxbw


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ส.ค. 22, 18:18
ฉากนี้รวมดาราสาวสวยแถวหน้าของฮอลลีวู้ด ในยุคก่อนทุกคนในเรือนไทยแห่งนี้เกิด
จำใครได้บ้างคะ

https://www.youtube.com/watch?v=7avtWyR-7Tw

เด่น ๆ คือ Lana Turner ครับ

0.21 - คือ James Stewart (ขวามือ)
0.59 - คือ Hedy Lamarr ดาราที่ได้ชื่อว่า สวยที่สุดบนจอหนัง นอกจากสวยแล้วยังฉลาดด้วย 'Was co-inventor (with composer George Antheil) of the earliest known form of the telecommunications method known as "frequency hopping", which used a piano roll to change between 88 frequencies and was intended to make radio-guided torpedoes harder for enemies to detect or to jam. The method received U.S. patent number 2,292,387 on August 11, 1942, under the name "Secret Communications System"... ขี้เกียจแปล

(อ้างจาก internet movieฯ)

จากข้อมูลยังมี Judy Garland ด้วย  แต่ไม่เห็นใน clip ครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ส.ค. 22, 18:20
The Rite (2011)  เป็นหนังผีสร้างจากหนังสือที่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์จริงของหลวงพ่อหมอผี (the exorcist) ของสำนักคริสตจักร
https://youtu.be/-oSLAyuadFQ


3.30
https://youtu.be/iZND53eM-Ks


5.00
https://youtu.be/-H3dEwCjTwc


12.55
https://youtu.be/JKZETIwHNIE


17.05
https://youtu.be/jh_9OnPbky0


18.48
https://youtu.be/SzO7T8P4_JA


https://youtu.be/Roddaw1TA8A


หมายเหตุ - ขอบคุณคุณ KWN Channel


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/_hG3ktopqv8



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 ส.ค. 22, 18:55
นักวิจารณ์เมืองนอกนิยามประเภทของหนังที่บีบคั้นอารมณ์จนต่อมน้ำตาแตกว่า Tearjerker Movies  หนังประเภทนี้สร้างติดต่อกันมาทุกยุคสมัย  ผมได้ดูมาเนือง ๆ จนแก่แล้วก็เลิกดู  เท่าที่จำได้ (ว่าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร)  นอกจาก 2 เรื่องที่เคยเอ่ยถึงมาแล้ว (Madam X, Imitation of life)  ก็มี Terms of endearment (1983)

ผมว่าเรื่องนี้ดังที่สุดเพราะได้ทั้งเงินและกล่อง (หนังยอดเยี่ยม / ผกก. / ดารา ฯลฯ)
https://youtu.be/7deEmYUH8cE


อีกเรื่องที่เรียกน้ำตาได้ง่าย ๆ ไม่แพ้กันคือ Steel Magnolias (1989) หนังเรื่องนี้ไม่มาฉายในไทย  ผมได้ดูทางวิดีโอ  ขนาดฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  พอถึงตอนบีบคั้นน้ำตาก็ปล่อยโฮ ๆ โดยไม่ต้องมานึกสงสัยว่า เอ... เค้าพูดอะไรกันหว่า  สมควรร้องไห้รึเปล่า

เพราะเป็นหนังผู้หญิงจึงรวมดาราหญิงในยุคนั้นมากมาย  ศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร้านทำผมของ Dolly Parton
https://youtu.be/viYNlGoOQUE


ฉากโฮ ๆ
https://youtu.be/hn09SKCZgtI


ฉากนี้ร้องไห้ไปขำไป
https://youtu.be/iZx1W6cHw-g


ต้นเหตุที่ทำให้เกิดหนังเรื่องนี้ขึ้นคือหนู Julia Roberts เธอเป็นโรคเบาหวาน ‘type 1’ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปถึงขั้นการทำงานของไตล้มเหลว  ต้องมีการเปลี่ยนไต  ในฉากนี้เธออยู่ในระยะ ‘low blood sugar’ … เขียนตามความเข้าใจ  ถ้าผิดพลาดทางทฤษฎีก็ขออภัย  แบบว่ากำลังดูหนัง  ไม่ใช่ดูสารคดี
https://youtu.be/ybbS5_qlkaQ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 ส.ค. 22, 14:16
Julia Roberts เพิ่งเริ่มเล่นหนังได้ไม่กี่เรื่องก็พิสูจน์ฝีมือของการเป็นนักแสดงคุณภาพให้ประจักษ์ด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar จากเรื่อง Steel Magnolias ที่เพิ่งเล่าไปนี้

ในปีรุ่งขึ้นเธอก็เพิ่มความร้อนแรงด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar อีกครั้งในบทที่ต่างกันลิบลับจากเรื่อง Pretty Woman ที่ อ. เคยนำเสนอไปนานแล้ว

ต้องออกแรงอีกเป็นครั้ง 3 เธอถึงจะได้ Oscar ไปกอดสมใจจากหนังเรื่อง Erin Brochovich (2000) เล่าเรื่องแม่หม้ายสาวลูกติดถังแตกที่ในที่สุดก็ได้งานทำใน สนง.กฎหมายเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

วันหนึ่งเธอก็ไปเจอสำนวนคดีคาราคาซังเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งใน California ที่มีคนร้องเรียนว่าปล่อยน้ำเสียออกมาสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้กับประชาชนในละแวก

ความเป็นคนเกาะและกัดไม่ปล่อย  เธอเริ่มสนใจคดีนี้และแอบรวบรวมข้อมูลไปเรื่อย ๆ แบบลับ ๆ จนในที่สุดก็ได้ข้อมูลที่มีน้ำหนักมากพอที่โค่นโรงไฟฟ้าแห่งนั้นได้  ผลจากความสำเร็จทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ  รวมทั้งสถานภาพของ สนง. กฎหมายเล็ก ๆ แห่งนั้นด้วย

หนังสนุกมาก  มีสีสันน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ  เป็นพาหนะชั้นดีที่นำ JR ขึ้นเวทีรับ Oscar ไปอย่างเต็มภาคภูมิ  คู่แข่ง 4 คนที่เหลือต่างทำใจเพราะบทของเธอเด่นมาก

ฉากเด่น ๆ มักเกิดในห้อง
https://youtu.be/5Jdk3riKKwo

https://youtu.be/BGX4nMrnxg0

https://youtu.be/AZMg4vFcRQs


ฉากนี้สะใจที่สุด
https://youtu.be/0wVgg5t2LAM
[ความสะใจของฉากนี้อยู่ที่คำ slang ว่า blowjob (1.10)  สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับคำ slang  คำว่า blowjob (n.) อธิบายถึงการประกอบกิจกรรมทางเพศโดยใช้ปาก (oral sex)]


หนังเรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงช่วงหนึ่งของ EB ซึ่งทีมงานก็เชิญเธอมาร่วมในฉากหนึ่งด้วย
https://youtu.be/_68fW_hwMdc


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/jjqUUxIy_yk



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ส.ค. 22, 19:39
หนังของ Julia Roberts เรื่องสุดท้ายที่ผมดู คือ Eat Pray Love (2010) เป็นหนังโรแมนติกเบา ๆ สร้างจาก บันทึกชื่อเดียวกันของ Elizabeth Gilbert เธอเป็นสาวในวัยกลางคนที่มีการศึกษา มีบ้านสวย มีสามี มีอาชีพที่ก้าวหน้าคือเป็นนักเขียนฝีมือดี สรุปแล้วชีวิตเธอสวยหรู  แต่แล้ววันหนึ่งเกิด อนิจจัง ขึ้น เธอเริ่มเซ็งกับชีวิตแต่งงาน (สาเหตุอะไรก็ลืมไปแล้ว) ถึงขั้นลงมือหย่า
https://youtu.be/WNG2Ive5g4w


เมื่อขบวนการเสร็จสิ้น  เธอกลับไปคุถ่านไฟเก่า (James Franco) แต่ไม่ ‘work’  
https://youtu.be/AhpGExo2hbs


เมื่อเซ็งกับชีวิตจนถึงจุด เธอก็ตัดสินใจทิ้งสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง  แล้วออกเดินทางท่องโลก เธอใช้ชีวิต 4 เดือนแรกที่ Italy  เพื่อกินและสนุกสนานกับชีวิต (Eat)
https://youtu.be/uWSb5W4b95k
(ที่พักแบบนี้เรียกว่า pensione  เหมือน guest house  ดำเนินกิจการภายในครอบครัว  ค่าเช่าไม่แพง  ส่วนใหญ่ไม่มีอาหารเช้าให้  แต่สิ่งดึงดูดคือมักอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยว  ในขณะที่โรงแรมปกติทำไม่ได้เพราะกินพื้นที่มาก  ผมไป Italy (ที่ Rome) ทีไรก็พักแบบนี้  ง่าย ๆ  ตอนเย็นก่อนเข้ามาก็แวะซื้ออาหารเช้าสำหรับวันรุ่งขึ้นเตรียมไว้เลย)


https://youtu.be/wBNAGs0SuMo

https://youtu.be/WHzk03QKFQk

https://youtu.be/aRR7Azhthbk


อยู่ตั้ง 4 เดือน  เพื่อความกลมกลืนก็จ้างหนุ่มหล่อ (โคตร) มาสอน ‘ภาษา’ Italian  แล้วก็เกือบตกหลุมรักเสน่ห์ของพ่อหนุ่ม
https://youtu.be/KDwLggQjv7g

https://youtu.be/0iKZIo4MCuE

https://youtu.be/rjxqd6v8JzI

https://youtu.be/42eT5afaAt8

https://youtu.be/OuqhNA78bgA
(มีเพลงอันดับ 1 ของ Neil Young ชื่อ Heart of gold ที่พวกเรารู้จักดีดังเป็น background)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 ส.ค. 22, 17:02
คั่นรายการด้วยข่าวการสูญเสีย...

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/07/XlJD68.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XlJD68)

แม้ข่าวการสูญเสียจะอยู่ในแขนงทางดนตรี  แต่คณะของเธอดังติดหูคนครึ่งค่อนโลกซึ่งรวมถึงบ้านเราจากเพลงที่ร้องในหนังซึ่งผมก็ได้ดูและได้บันทึกเอาไว้นานแล้วแต่ยังไม่ถึงคิวลง  ดังนั้นจึงลัดคิวขึ้นมาเล่าเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์  ดังนี้...


ถ้า Georgy Girl (1966) เป็นหนังสีผมจะสนุกสนานกับการชมเป็นอย่างมาก  เพราะจะได้เห็นเมือง London  (อีกหนึ่ง) เมืองโปรดของผมในยุคสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็ก และเห็นวิวมาประปรายจากการดูหนังทีวี อย่าง ขวัญใจสายลับ สิงห์สำอาง พยัคฆ์ร้าย 707 ฯลฯ  

ถ้าสามารถย้อนเวลาได้  นอกจากกรุงเทพฯ แล้วก็มี London ในยุค 60s นี่แหละที่ผมอยากกลับไปเดินชม  โดยเฉพาะร้านขายรถเหล็กของโปรด

เนื้อเรื่องของหนังเกิดขึ้นในยุด Swinging London (คือ อังกฤษในยุค 60s ครึ่งหลัง) เล่าเรื่องของสาว Georgina หรือ Georgy ที่ยอมรับความเป็นธรรมชาติของตัวเองคือ อ้วน เฉิ่ม  แล้วก็ไม่เคยมีหนุ่มที่เธอหมายปองเหลียวแล  แต่ไม่ใช่ว่าเธอขาดเสน่ห์  ไม่งั้นคงไม่เจอประสบการณ์ชายอายุแก่คราวพ่อ (James Mason) ที่เป็นนายจ้างเจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กที่ผู้ปกครองของเธอทำงานอยู่ ที่ย้อนไปเมื่อครั้งตอนเด็ก ๆ ช่างทำตัวน่ารักเหมือนพ่อคนที่สอง  แต่พอเธอโตขึ้นกลับเปลี่ยนไปและพยายามล่อเธอมาเป็นเมียน้อย

Georgy พักอยู่กับเพื่อนร่วมห้องสาวสวยแต่สำส่อนและสมองกลวง (Charlotte Rampling - นักแสดงคนนี้ต่อมาดังติดหูผมจากการอ่านใน SP  เมื่อไม่กี่ปีมานี้เธอก็ได้เคยเข้าชิง oscar)  
https://youtu.be/JF2za92PLQg


เพื่อนคนนี้ปฏิบัติตนกับเธอเหมือนนายจ้างกับคนใช้  สิ่งที่ทำให้เธอทนอยู่ร่วมได้เพราะเพื่อนมีแฟนรูปหล่อที่เธอหลงใหล (Alan Bates)  วันหนึ่งเพื่อนก็ท้อง (ครั้งที่เท่าไหร่กับใครบ้างหนังไม่ได้บอก)   ทั้ง 2 เลยต้องแต่งงาน  เมื่อชายที่ตัวเองแอบหลงใหลย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน  แล้ววันหนึ่งพ่อหนุ่มก็มองเห็นรูปทองที่ซ่อนอยู่ภายในของ Georgy ความรักก็เกิดขึ้น
https://youtu.be/u8YCQ8j55VM
0.41 – I’ll tell you what this little episode’s taught me. It’s taught me what it feels like to look like the back end of a bus and sit around every night with nothing to do.
You bitch! We’re not crying are we?
1.12 – No, she’s right Jos. I’m like the back of a bus. My face is too fat. My hair’s like grass. I’m just a mess.


ความสามารถที่ Georgy ยอมรับว่า ‘เป็นเลิศ’ และจุดประกายให้นายจ้างเฒ่าหัวงูหลงไหล
https://youtu.be/NvygZgbdWQ4


เล่าได้คร่าว ๆ เพราะไม่มีใครย่อย clip ของหนังเรื่องนี้มาสนับสนุนการเล่าเลย  ยังดีที่มี clip ตอนจบของหนัง
 
ในท้ายที่สุดเมื่อ roommate สาวสมองกลวงออกลูกแล้วตัดสินใจไม่เลี้ยง แล้วแยกตัวไป  Georgy กับแฟนที่เคยเป็นผัวของ roommate ก็รับเลี้ยงเด็กแทน  แต่แล้วแฟนเฮงซวยก็เบื่อหน้าที่พ่อแล้วหนีไปอีกคน  Georgy เลยต้องกลับไปยอมแต่งงานกับเฒ่าหัวงูที่ตอนนี้กลายป็นพ่อหม้าย  เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเองและเด็กน้อยที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนแต่กลับรักเหมือนลูกตัวเอง
https://youtu.be/1aOKJ6EiC0c


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/zAdOMFtRZKQ


หนังน่ารักเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในอังกฤษและอเมริกา  การแสดงของ Lynn Redgrave ซึ่งเป็นน้องสาวของ Vanessa Redgrave  เด่นจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  ต่อมาเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกครั้งจากหนัง Gods and Monsters ในปี 1998 จากบทบาทแม่บ้านขวานผ่าซากอันเป็นบทบาทตรงข้ามกับบทบาทในเรื่องนี้

นี่คือแรงผลักดันให้ผมนั่งดูหนังขาวดำ (ที่พล่ามแล้วพล่ามอีกว่าไม่ช้อบไม่ชอบ) เรื่องนี้
https://youtu.be/oJa9tDmZuPM


ผมรู้จักเพลง Georgy Girl มาตั้งแต่จำความได้และติดหูมาตลอด  แสดงว่าในสมัยนั้นเพลงต้องดังมาก  สถานีวิทยุถึงเปิดบ่อยจนซึมเข้าไปในหัวเด็กอย่างผม

พอโตขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่าเป็นเสียงร้องของวง The Seekers   มาถึงยุคซีดี  ผมก็ออกตามหาแผ่นของวงนี้  เพลงของพวกเขามีทำนองน่ารักทั้งนั้นเลย  ยกตัวอย่างเช่น
https://youtu.be/wZf41UudAbI

https://youtu.be/PSxwqBJLU8A


3 เพลงนี้เป็นเพลงของวงจาก Australia ที่ข้ามมาดังที่เกาะอังกฤษก่อนจะเหินฟ้าไปฝั่งอเมริกา
 
ผมชอบเพลงนี้ที่สุด
https://youtu.be/pEquaz9QCc4


หลังจากยุบวง  สมาชิกคนหนึ่งก็ form วงขึ้นมาใหม่ที่เกาะอังกฤษแล้วตั้งชื่อว่า The New Seekers เจ้าของเพลงดังเพลงนี้ที่นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคบ้านเราจักดีทุกคน
https://youtu.be/bx0UX3_aJCw


ความดังของเพลงนี้ถึงขนาด บ. น้ำอัดลม ยี่ห้อหนึ่งซื้อลิชสิทธิ์มาดัดแปลงทำ spot โฆษณา  spot นี้มาฉายในบ้านเราด้วย (ตอนนั้น ทีวี เป็นขาวดำ)
https://youtu.be/ib-Qiyklq-Q
(0.41 - ที่ขวดเขียนว่า โคคา-โคลา รึเปล่านะ)

โดยส่วนตัว  เพลงของวงนี้คือ เพลงแห่งความหลังของผม ทุกเพลงให้บรรยากาศสมัยเด็ก ๆ ฟังแล้วรำลึกถึงอย่างเป็นสุข
https://youtu.be/FcBM6f3Sz6s

https://youtu.be/QLLIprwOHUo



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 22, 09:18
พูดถึงเจมส์ เมสัน ต้องขอย้อนกลับไปถึงบทที่เขาเล่นได้สมบทบาทที่สุด ในหนังอื้อฉาวปี 1962 เรื่อง Lolita
ที่ว่าอื้อฉาวไม่ใช่เบื้องหลังของหนัง แต่เป็นเบื้องหน้านี่แหละค่ะ  คือทำจากบทประพันธ์ที่เนื้อหาแสลงศีลธรรมในยุคนั้นมาก  กล่าวคือความสัมพันธ์ของพ่อเลี้ยงวัยกลางคนกับลูกเลี้ยงสาวรุ่น   
ในหนังสือบอกว่า โลลิต้าอายุ 12 เท่านั้น แต่ในหนัง เขยิบขึ้นมาเป็น 15 เห็นจะได้ ไม่งั้นไม่ผ่านกรรไกรเซนเซอร์  เจมส์ เมสันคนนี้เคยเป็นต้นแบบคุณชายกลางในจินตนาการของก.สุรางคนางค์  แต่มาถึงในหนัง เขาเข้าสู่วัยกลางคน ทำหน้าตาเนื้อตัวเชยๆ แบบไมห่วงหล่อ  เล่นเอาฝีมือล้วนๆ
ส่วนดาราหน้าใหม่ที่เล่นเรื่องเดียวดัง จากดังก็ดับคือ Sue Lyon  เธอเป็นตำนานของโลลิต้ามาจนปัจจุบัน  ถึงหนังเอามาทำใหม่ก็ลบภาพของเก่าไม่ได้

  https://www.youtube.com/watch?v=lHqGIe8AZ1g


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 22, 09:19
https://www.youtube.com/watch?v=3SKk58UngIk


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 22, 09:22
ฉากเด็ดอีกฉากของ lolita   เมื่อพ่อเลี้ยงบรรจงทาเล็บเท้าให้สาวน้อย    ฉากนี้แสดงความผูกพันของฝ่ายหนึ่งและความไม่อินังขังขอบของอีกฝ่ายได้ดีกว่าต้องพูดกันเป็นหน้าๆ

https://www.youtube.com/watch?v=6zfXkQ5QkrE


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 ส.ค. 22, 15:55
กลับมาที่หนัง Eat Pray Love ตอนจบ

ต่อจากนั้นเธอไปอินเดียและพักพิงอยู่ 3 เดือนเพื่อค้นหาตัวเอง (Pray)
https://youtu.be/ME9FuxNI02c

https://youtu.be/6rbW0dwLRHs


เวลาที่เหลือจากนั้นจนถึงกำหนดการสิ้นสุดการท่องโลก  เธอไปจบที่บาหลี อินโดนีเซียเพื่อหาจุดสมดุลย์ 
https://youtu.be/umUn9sXKvIM

https://youtu.be/kdevV481k7s


แต่ดันไปพบรักที่นั่นกับนักธุรกิจชาวบราซิล  เป็นความรักที่ตอนแรกเธอพยายามฝืนแต่แล้วก็ไม่สำเร็จ  ความรักนี้ต่อมาจริงจังถึงขนาดลงมือแต่งงานกันแต่แล้วในที่สุดก็หย่ากัน (เนื้อหาของหนังไปไม่ถึงจุดนี้  ผมเอาบทสรุปมาจากหนังสือ)
https://youtu.be/0OQ9IJu-1Mc

https://youtu.be/8NSw8vITyEk

https://youtu.be/MGGGksL1ziM

https://youtu.be/jsyzJJFZzsg


หนังโดนนักวิจารณ์สับเละ  แต่การถ่ายทำและวิวสดใสผลักดันให้มันทำเงินอย่างมหาศาล

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/08/XDbgjQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XDbgjQ)

จาก 3 ประเทศที่ผู้เขียนไปเยี่ยมมา  ผมประทับใจ Italy ที่สุด  ผมเคยไปตะลอน ๆ อยู่ 3 หน  เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกสนาน  บรรยากาศคล้าย ๆ เมืองไทยคือไม่ค่อยมีระเบียบแล้วก็วุ่นวาย (เอาเฉพาะที่ Rome  ผมว่าอีกแห่งที่คล้ายเมืองไทยคือ London) 

อย่างไรก็ตาม  ผมไม่สามารถใช้ชีวิตที่นั่นได้สนุกสนานเฮฮาเหมือนในหนังเรื่องนี้ได้เพราะ จากมุมมองของคนยุคเก่าเช่นผม... อย่างแรกคือ ค่าเงินบาทของเราเมื่อเทียบกับค่าเงินชาวบ้านช่างอ่อนโยนนุ่มนิ่มประดุจฟองน้ำเช็ดก้นเด็ก  ควักออกมาซื้ออะไรซักอย่างจะรู้สึกใจหายวูบวาบ

อีกอย่างที่สังเกตได้คือเค้าเป็นชาวตะวันตก  เราชาวตะวันออก  จากประสบการณ์  เค้าไม่สุงสิงกับคนแปลกหน้าต่างสายพันธุ์อย่างเรานอกจากมีสาเหตุที่เจาะจง  ประเภทไปท่องเที่ยวแบบหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วได้ไปเฮฮากับชาวบ้านนี่  ประสบการณ์จากการท่องเที่ยวโดยลำพังนานร่วม 20 ปี  ผมไม่เคยประสบแล้วก็ไม่เคยได้ยิน  ผมไม่รู้สาเหตุ  จะเป็นด้วยการต่างประเพณี/ต่างวัฒนธรรมหรือจะเป็นการเหยียดผิวรึเปล่าก็ขี้เกียจวิเคราะห์

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่จำได้แม่น  ผมอยู่ต่างจังหวัด  จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหนของ Italy  เกริ่นหน่อยว่าปกติราคาที่พักที่ยุโรป (ไม่ใช่โรงแรมหรูหราแบบนั้นนะ) จะแถมอาหารเช้าเสมอ  เช้าวันนั้น  ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมายังห้องอาหารซึ่งจะเปิดประมาณ 6 โมงเช้า  วันนั้นผมเห็นฝรั่ง 3-4 คนยืนอออยู่หน้าประตูห้องอาหาร  ห้องอาหารก็เปิดแล้วแต่ทำไมพวกเขาไม่เดินเข้าไป  หรือว่ายังไม่เรียบร้อย  ผมก็เดินไปใกล้ ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตุการณ์

ภายในห้องอาหารที่เปิดบริการแล้วมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนอออยู่ที่หน้าโต๊ะวางอาหาร (เป็นแบบ buffet ทุกแห่ง)  ทุกคนกำลังสำรวจอาหารในถาดที่วางอยู่บนโต๊ะ  วิธีการสำรวจคือใช้ช้อนกลางที่วางไว้ในถาด (ทุกถาดอาหารจะมีช้อนกลางเพื่อความเป็นระเบียบ) ตักอาหารในแต่ละถาดขึ้นมาสำรวจ  มีการปรึกษากันล้งเล้ง  เมื่อพิจารณาเสร็จก็เทอาหารในช้อนกลางกลับใส่ถาดแล้วใช้ช้อนกลางคันเดิมตักอาหารในถาดอื่นขึ้นมาสำรวจต่อ  เนื่องจากพวกเขามาเป็นกลุ่ม  ช้อนกลางในแต่ละถาดอาหารจึงปนเปกันให้มั่ว  นี่คือสาเหตุที่พวกฝรั่งไม่เข้าไปในห้องอาหาร

ฝรั่งคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนรออยู่หันมาเห็นผมก็ขยับตัวหลีกทางให้ผมเข้าไปในห้องฯ  ผมก็ตั้ง 'guard' ทันที  'I'm not one of them'  แต่ผมก็เดินเข้าห้องฯ  แล้วตรงไปที่พนง. เสิร์ฟอาหารที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กำลังจ้องมองภาพเหตุการณ์ในห้องฯ จำได้ว่าเห็นบางคนทำสีหน้าคลื่นไส้

พนง. เสิร์ฟฯ ทั้งกลุ่มจ้องผม  สมองคงกำลังว้าวุ่นว่าผมเดินมาทำไม  พอไปถึงตัวผมก็แจ้งว่า  ผมมาคนเดียว  ขอสั่งอาหารเช้าแบบพิเศษ  ผมจะนั่งอยู่ตรงโน้น (ชี้นิ้วไป)  ช่วยนำรายการอาหารมาให้ผมพิจารณาด้วย

ตกลงเช้านั้นผมต้องจ่ายค่าอาหารเป็นการพิเศษซึ่งแพงชะมัด เพียงเพื่อกันไม่ให้ตัวเองโดน 'เหมา' ติดร่างแห และในช่วงเวลานั้นมีผมเพียงคนเดียวที่ยอมจ่ายค่าอาหารเอง  ฝรั่งคนอื่น ๆ ที่อออยู่ และเข้ามาออเพิ่มขึ้น  พวกเขารอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเลิกวุ่นวายกับโต๊ะวางถาดอาหาร  แล้วจึงค่อยเข้าไป 'เก็บเศษ' 

ตอนเดินออกจากห้องฯ หลังจากกินเสร็จ  ผมผ่านฝรั่งคนที่ขยับเปิดทางให้ผมเข้าห้องอาหารเพราะเข้าใจผิด  เขาเหลือบมองแล้วพยักหน้าพลางยิ้มกระเรี่ยกระราด  ผมแค่มองกลับทางหางตา...  บุคลิกคนละแบบเลย  ตาเอ็งถั่วขนาดนั้นเชียวเหรอวะ

อาจเป็นเหตุการณ์ทำนองนี้ละมังที่ทำให้ชาวตะวันตกไม่ค่อยอยากสุงสิงกับชาวตะวันออกสักเท่าไร

(หมายเหตุ – Clip ย่อยบานตะเกียง  จะว่าดีก็ดี  แต่ที่ไม่ดีคือต้องมาเสียเวลานั่งเลือกชิ้นที่กระจ่างที่สุด)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ส.ค. 22, 05:00
ข่าวใหญ่...

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/09/XAookD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XAookD)


เพลงโปรดของผม

https://youtu.be/Wd5MtgTpcYQ

กับเพลงนี้

https://youtu.be/qgCQcSAThvs


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ส.ค. 22, 15:40
ในปี 1997 ขณะที่หนัง Titanic ออกอาละวาดไปทั่วโลกทั้งในโรงและบนเวทีรางวัล  ยังมีหนังอีกเรื่องซึ่งถ้าออกฉายคนละปีกับ Titanic  หนังเรื่องนี้ก็จะดังสุดกู่ขึ้นมาทันทีทั้งในโรงและบนเวทีรางวัลเช่นกัน

หนังมีชื่อว่า L.A. Confidential มันเป็นหนังย้อนยุคกลับไปช่วงต้น 50s ซึ่งเรื่อง corruption ในอเมริกาเป็นสิ่งปกติเหมือนเห็นผักในตลาด  เรื่องนี้พุ่งเป้าไปยังการ corruption ที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจเสียเองในเมือง L.A. ซึ่งความอื้อฉาวครอบคลุมไปถึงวงการบันเทิงด้วย  ตัวเดินเรื่องคือ 3 ตำรวจ 3 บุคลิก  คนหนึ่งตงฉิน คนหนึ่งชอบดัง  และอีกคนหนึ่งชอบบู๊

ตอนที่ดูคือในปี 1997  หนังสนุกจนลืมกระพริบตาเพราะเดินเรื่องรวดเร็ว  ไหนจะต้องฟังเค้าคุยกันว่าสืบไปถึงไหน  ไหนจะต้องสอดส่ายตาดูรถสวย ๆ ในฉาก  และไหนจะต้องเงี่ยหูฟังเพลงประกอบเพราะ ๆ

ฉากนี้มีบรรยากาศตลก  เมื่อ 2 ตำรวจ (2 ประเภทแรก) เข้าไปสืบในบาร์แล้วเจอดารา Lana Turner กับแฟน Johnny Stompanato  แต่ความที่ไม่ประสีประสาในเรื่องของวงการบันเทิง  พ่อเลยคิดว่าเธอเป็นโสเภณีในคราบ LT
https://youtu.be/RriqsUo5TzI
(สังเกตสีหน้า Kevin Spacey  ในบทตำรวจชอบดังซึ่งคุ้นเคยกับแสงสีแสดงความประหลาดใจที่เพื่อน ‘ทึ่ม’ ได้ขนาดนี้)

[หมายเหตุ - ในเรื่องจริง LT กับ JS 2 คนนี้เป็นแฟนแบบดุเดือดคือตบตีกันประจำ เพราะผู้ชายเป็นนักเลง  เรื่องราวต่อมาร้ายแรงถึงขั้นถูกลูกสาวของ LT (ลูกติด) แทงตาย  กลายเป็นข่าวใหญ่โต (ขนาด SP เคยเอามาเล่าให้ฟัง)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/09/XsQwDZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XsQwDZ)


การเข้าวงการบันเทิงของ LT โดดเด่นถึงขั้นเป็นตำนานเรื่องหนึ่งของวงการบันเทิง  ตามที่เธอเล่า (อ่านใน SP) วันนั้นเธอนึกคึกจึงโดดเรียนวิชาพิมพ์ดีดแล้วไปนั่งดูดน้ำหวานในร้านขายน้ำหวานชื่อดังที่ตั้งอยู่บนถนน ‘ดารา’ Sunset Boulevard  ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งของแมวมองมาตกเหยื่อไปเป็นดาราหนัง  สาวไหนก๋ากั่นอยากเป็นดาราหนังก็จงไปนั่งดูดน้ำหวานและทำท่าสวยที่คิดว่าเตะตาบรรดาแมวมองที่ร้านนี้  LT ทำตามข้อควรปฏิบัติแล้วเธอก็ประสบความสำเร็จในทันที]


อีกฉากที่ (ช่วงนั้น) ถือเป็นฉากเปิดตัวละครที่ถูกกล่าวถึงกันมากว่าเท่จริง ๆ  (Kim Basinger  ในเรื่องนี้เธอเล่นเป็นโสเภณีที่สร้างบุคลิกเลียนแบบดาราดัง Veronica Lake)
https://youtu.be/xuC4KQD9ds0
(หมายเหตุ – ตอนนั้น Russell Crow ยังหล่ออยู่เลย)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/09/XsUFsy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XsUFsy)

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/6sOXrY5yV4g


ในงานแจกรางวัล Oscar ปี 1998 ให้กับหนังที่สร้างในปี 1997 นั้น  หนัง L.A.ฯ ได้เข้าชิง 9 รางวัล  แต่ได้มาแค่ 2  หนึ่งในนั้นคือ KB นักแสดงแสนสวยและเซ็กซี่ที่ไม่มีใครคิดว่าเล่นเก่งขนาดจะได้ Oscar
 
ช่วงต้นงานมีการเอาบางฉากเด่น ๆ ของหนัง 5 เรื่องที่เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมมายำโดยพิธีกร Billy Crystal เมื่อถึงคิวของหนัง L.A.ฯ เธอก็เอาฉากเปิดตัวของ KB มาล้อแวบหนึ่งแต่ทำได้ตลกทีเดียว (1.17)
(หมายเหตุ – ดูไปเรื่อย ๆ ฉากล้อหนัง Titanic (2.36) ก็จี้ไม่แพ้กัน)
https://youtu.be/s95zMJo-2vI


ดูเรื่อง L.A.ฯ นี้แล้วเสียดายนักแสดง Kevin Spacey เธอเล่นหนังเก่งขนาดได้ Oscar ไปกอดถึง 2 ตัว  เป็นสถิติที่น้อยคนจะทำได้  แต่กลับมาทำชื่อเสียงบรรลัยเมื่อวันหนึ่งในปี 2017  ก็มีดาราหนุ่มลุกขึ้นมาประกาศว่าเคยถูก KS ลวนลาม (sexually harassed and assaulted) เมื่อครั้งยังเป็นดาราวัยรุ่น  

พอน้ำเริ่มลดต่อก็ผุด  จากนั้นก็มีคนร้องเรียน KS เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมากมาย  ยังผลให้อนาคตทางการแสดงของเธอปิดฉากทันที  เรื่องที่เธอตั้งใจจะสร้างและนำแสดงแต่ยังไม่ได้เริ่มก็โดนเบื้องบนเอาขึ้นหิ้ง  บางเรื่อง (หนังทีวี) บทของเธอถูกถอดออกจากเนื้อเรื่องไปหน้าตาเฉย  บางเรื่องที่กำลังถ่ายทำก็ต้องหานักแสดงคนใหม่มาสวมบทแทน  ส่วนเรื่องที่ถ่ายทำเสร็จเมื่อออกฉายก็เจ๊งเพราะไม่มีคนไปดู

และที่แย่ลงไปอีกคือการโดนฟ้องร้องจากผู้เสียหายและบริษัทสร้างหนังต่าง ๆ เป็นจำนวนหลายล้านเหรียญ

จากคนที่มีงานชุกกลายเป็นคนตกงานหางานทำไม่ได้ไปเลย



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 22, 16:22
เรื่องนี้หรือเปล่า อยู่ๆรัสเซล โครว์ ก็ถูกยิงตายกลางเรื่อง ทั้งๆทำท่าจะเป็นพระเอก ควรอยู่จนจบเรื่อง
คนดูช็อคไปเลย


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ส.ค. 22, 13:51
เรื่องนี้หรือเปล่า อยู่ๆรัสเซล โครว์ ก็ถูกยิงตายกลางเรื่อง ทั้งๆทำท่าจะเป็นพระเอก ควรอยู่จนจบเรื่อง
คนดูช็อคไปเลย

ในเรื่องนี้  ยังอยู่ดีกินดีแถมได้สาวสวย (ใส่แว่นกันแดดได้เท่มาก) ไปนอนกอดด้วยครับ

https://youtu.be/zD8AnSk-v-E


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ส.ค. 22, 13:56
Hidden figures (2016) เป็นหนังเล่าการต่อสู้ชีวิตของสาวนัก ‘mathematician’ นิโกร 3 คนที่เก่งฉกาจขนาดได้รับเลือกเข้าไปทำงานในองค์การ NASA  ในช่วงต้นโครงการที่การแข่งขันกันเป็นจ้าวแห่งอวกาศกำลังเริ่มต้น

มันเป็นความโชคร้ายของพวกเธอที่เกิดมาผิดยุค  ในยุค 60s ที่การแบ่งแยกสีผิวกำลังร้อนระอุในอเมริกา  พวกเธอจึงต้องใช้ความพยายามอย่างเอกอุเพื่อมิให้ใครหน้าไหนมากลบความเก่งของตน

https://youtu.be/m7TO1CDggM0


ผมหา clip ม้วนเดียวจบไม่ได้  จึงต้องใช้ 2 clips ข้างล่างนี้มาประกอบกันจึงจะเห็นภาพรวม
https://youtu.be/ZlTgo2AavzE
ดูต่อที่ 1.55
https://youtu.be/QT_d9FGmNC0


สู้กลับ
https://youtu.be/FN8vVeHI_ZI


ตัวแสบของเรื่อง
https://youtu.be/dYOmZsNM3LA


ถึงจะเป็นหนังกึ่งอัตชีวประวัติแต่ทำออกมาได้สนุกน่าติดตามและสะใจ
https://youtu.be/Crt5pspN8II


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/5wfrDhgUMGI


หนังเรื่องนี้มีหมายเหตุที่เป็นตลกร้ายนิดหน่อยคือ  ในยุค 60s นอกจากการแบ่งแยกสีผิวจะเข้มข้นแล้ว  การแบ่งแยกเพศก็เข้มข้นด้วยเช่นกัน  บทตัวแสบ Paul Stafford ในเรื่อง  หนังใช้นักแสดงเกย์ (Jim Parsons) เป็นผู้รับบท  ประหนึ่งบอกกราย ๆ ว่า  ผู้สร้างไม่ได้สนับสนุนเหตุการณ์ในเรื่อง



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 ส.ค. 22, 13:12
Boy erased (2018) - เด็กหนุ่มมีพฤติกรรมเป็นเกย์  พ่อแม่หัวโบราณ  และโปรแกรมที่รับรองว่าสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ได้  3 factors รวมกันให้ผลลัพธุ์คือความพินาศ

เป็นเกย์ในครอบครัวหัวโบราณ
https://youtu.be/PWz21cujw28

https://youtu.be/SbP_EGRp9Kw


บรรยากาศบางส่วนของโปรแกรม
https://youtu.be/vlK8CMKzWUY

https://youtu.be/_X6dHrTceEE

https://youtu.be/g511NYTRiOE


แล้วโปรแกรมที่ว่าก็เริ่มสร้างความพินาศ
https://youtu.be/MOLAFbjjOl0
หา clip มาได้ถึงตอนนี้  Nicole Kidman ในบทแม่ยังดำเนินเรื่องต่อจาก clip ต่อไปอีกอย่างถึงพริกถึงขิง  และพลิกบทมาเป็นแม่เสือผู้ปกป้องลูกโดยไม่ไว้หน้าใครแม้แต่ผัวที่ตัวเองยกให้เป็นช้างเท้าหน้ามาตลอด เหตุการณ์หลังจากนี้สนุกและทรงพลังมาก ต้องหาหนังมาดูเอง

ตอนจบ
https://youtu.be/8VZctic_uTI


หนังสร้างจากเรื่องจริงที่ดัดแปลงมาจากบันทึกของตัวละครเอก Jared Eamons (ตัวจริงชื่อ Garrard Conley)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/11/X602JZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/X602JZ)


ดูมาถึงตอนจบซึ่งจะมีการเล่าเหตุการณ์เป็นตัวหนังสือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครในชีวิตจริงหลังจากจบเรื่องในหนังแล้ว
  
มาถึงตัวละครที่เป็นผู้จัดโปรแกรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของความเป็นเกย์ Victor Sykes  (ชื่อสมมติ) ผู้เขียนบันทึกเล่าว่าจริง ๆ แล้วชายคนนี้ก็เป็นเกย์  แต่อ้างว่าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้  และแสดงให้เห็นด้วยการแต่งงานและมีลูกแล้วสร้างโครงการนี้ขึ้นมาบำบัด  แต่ในท้ายสุดโครงการฯ ก็ล้มเหลว  และตัวเองก็ยอมรับว่าความเป็นเกย์ไม่ได้หายไปด้วยการบำบัด เพราะความรู้สึกชอบผู้ชายยังอยู่ในสมองของตัวเองตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็หย่าเมียแล้วไปแต่งงานใหม่กับผู้ชายด้วยกัน  และเขียนบทความสารภาพว่าเสียใจที่ได้ทำลายเด็ก ๆ ที่มีสภาพจิตใจที่บอบบางอยู่แล้ว

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/SLNnZG3Var4



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ส.ค. 22, 13:38
สมัยยังเด็กจำได้ว่า สนพ. ไทยวัฒนาพานิช จะออกหนังสือเล่มเล็ก ๆ สำหรับเด็กอ่าน  โดยใช้ชื่อชุดว่า วรรณกรรมเยาวชน  ออกเป็นงวด ๆ   1 งวดมีประมาณ 5-6 เล่ม  ในแนวต่าง ๆ กัน  ผมตาม (เลือก) ซื้อมาตลอด  เท่าที่จำได้เริ่มมาตั้งแต่ 80 วันรอบโลก แมงมุมเพื่อนรัก ดอกเตอร์ดูลิตเติ้ล และอื่น ๆ อีกมากมาย

งานวรรณกรรม ฯ นี้มีออกมาขายเป็นสิบปี  จนกระทั่งผมเข้าทำงานแล้วก็ยังตามซื้ออยู่  ผมชอบแนวแฟนตาซีมาก  มีครั้งหนึ่ง สนพ. ออกหนังสือใช้ชื่อว่า เมืองในตู้เสื้อผ้า  เป็นเล่มโปรดเลย  อ่านสนุก  ทาง สนพ. ยังออกเล่มต่อมาอีกคือ เจ้าชายแคสเปียน ทำให้รู้ว่ามันเป็นนิยายชุด  

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่านิยายชุดนี้มีกี่เล่ม  และจำไม่ได้ว่าทาง สนพ. ออกเล่มต่อ ๆ มาอีกรึเปล่า  จำได้แต่ว่า สนพ. ออกมาไม่ครบ  (ที่จริงผมเก็บหนังสือไว้หมดทุกเล่มไม่ว่าจะของตัวเองหรือของคุณตาหรือของแม่  แต่ตอนย้ายบ้านครั้งล่าสุด (เวลาตอนที่กำลังเขียนเรื่องนี้  บัดนี้... ย้ายอีกแล้ว) บ้านมีขนาดเล็กลงไม่มีที่มากพอที่เก็บหนังสือจำนวนหลัก 5-6 ร้อยเล่มได้  จึงต้องบริจาคให้ห้องสมุดเหลือไว้เฉพาะของเก่าแก่และที่ตัวเองชอบ  เลยไม่มีหลักฐานให้ค้น)

จนกระทั่งผมโตและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นก็รู้ว่านิยายชุดนี้แต่งโดย C.S. Lewis  ใช้ชื่อว่า Chronicles of Narnia มีทั้งหมด 7 เล่ม  ซึ่งก็ไปตามหาซื้อ (ฉบับภาษาอังกฤษ) มาเก็บไว้ได้ครบ  มันเป็นนิยายคลาสสิกพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่องจึงหาได้ไม่ยาก

ในจำนวนทั้ง 7 เล่มผมชอบเล่มแรกที่สุด  น่าจะเป็นเพราะได้อ่านสมัยยังเป็นเด็กที่สมองเต็มไปด้วยจินตนาการ  แถมในเล่มแรกที่ใช้ชื่อดั้งเดิมว่า The lion, the witch and the wardrobe นี้ยังเปิดเรื่องด้วยการให้มีเมืองซ่อนอยู่ข้างหลังตู้เสื้อผ้า เป็นจินตนาการที่ผมใช้ประจำ ตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ (ฉบับของไทยวัฒนาฯ) ตอนเป็นเด็กอยู่กับคุณยายที่บ้านหลังใหญ่
  
ในห้องเสื้อผ้าของบ้านจะมีตู้เสื้อผ้าของแม่ คุณยาย 2 น้าสาว รวมแล้วหลายตู้  ผมชอบตู้ของแม่เพราะสูงและกว้าง  พอเปิดแล้วเดินเข้าไปได้  เอาหน้าไสไปกับเสื้อผ้าสะอาด ๆ ที่แขวนอยู่บนราว  มือก็คลำสะเปะสะปะพร้อมกับภาวนาให้ตู้ไม่มีด้านหลัง  แต่เป็นช่องเปิดไปสู่เมืองแห่งเทพนิยายที่เคยอ่านจาก นิทานกริมม์ หรือ นิทานแอนเดอร์ซัน  แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์  แต่คลำทีไรมือก็ไปชนแผ่นไม้หลังตู้ทุกที  ซึ่งก็ไม่เคยเข็ดสักครั้ง  ว่าง ๆ ก็เปิดเข้าไปคลำ ๆ

จนกระทั่งปี 2005 ก็มีคนเอาหนังสือชุดนี้มาทำหนัง  ตอนนั้นระบบ CG  พัฒนาแล้ว  งานจึงออกมาจึงตื่นตาตื่นใจ
https://youtu.be/gwuqA1Ys9Zo


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/usEkWtuNn-w
(หมายเหตุ – หนังก็สร้างไม่ครบชุดเช่นกัน)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ส.ค. 22, 15:35
เทพกรีกมักมีคู่แฝดอยู่ที่โรมันเสมอ

เทพแพนก็เช่น คู่แฝดของเธอที่โรมันชื่อว่า เทพฟอนนัส (http://en.wikipedia.org/wiki/Faunus) และคู่แฝดของ เซเทอร์ ก็คือ ฟอน (http://en.wikipedia.org/wiki/Faun)

หากใครเป็นนักดูภาพยนตร์ คงจำฟอนตนนี้ได้

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=25159;image)

มิตรภาพสองโลก ลูซี่ ธิดาแห่งอีฟ และ คุณทัมนัส ฟอนแห่งนาร์เนีย
 
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=25182;image)

https://youtu.be/C8LgPM0tlcc

จากกระทู้ สัตว์ประหลาด (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg93690#msg93690)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 ส.ค. 22, 13:39
ในปี 1993 มีคนจับชีวประวัติช่วงหนึ่งของ นักเขียน C.S. Lewis มาทำหนังโดยให้ชื่อว่า Shadowlands  เป็นเรื่องเกิดในยุค 1950s  ตอนนั้น C.S. ยังครองตัวเป็นโสดและได้เจอกับ poet สาวลูกติดชาวอเมริกันที่มีบุคลิกโผงผางไม่เหมือนใครอื่นในสิ่งแวดล้อมของเขา  นี่คือจุดเริ่มต้นของความรักแบบชนิดที่เรียกว่าเป็นรถไฟตีลังกา (rollercoaster – สำนวนเปรียบเทียบ)

C.S. ติดใจในบุคลิกของสาว
https://youtu.be/m3AcLI5uCXo


วาระสุดท้ายของสาว
https://youtu.be/o9n5bdVBHgk


ฉากจบ  ถ่ายวิวของอังกฤษที่สวยมาก (ประเทศโปรดของผมเลยละ)
https://youtu.be/OTjKrLKjrhY


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/-zfkmfRX4X4


เมื่อปี 1993 อตน. ยังไม่เจริญพันธุ์  ผมไม่มีข้อมูลรายละเอียดของหนังเรื่องนี้นอกจากรายชื่อนักแสดง (อ่านใน SP)  ที่ผมนั่งดูเพราะผมชอบ Debra Winger  ตามความรู้สึกของผม  ผมว่าหน้าเธอสวยมาก

ผมรู้จักเธอ (แค่ชื่อ  จาก,again, SP) ครั้งแรกในหนังเรื่อง Urban Cowboy (1980)  ไม่แน่ใจว่าหนังมาฉายบ้านเรารึเปล่าเพราะผมไม่ได้ดู  แต่ที่แน่ ๆ soundtracks ของหนังเรื่องนี้มาอาละวาดตามคลื่นวิทยุอยู่ชั่วเพลาหนึ่ง  โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง Looking for Love  ที่พวกเรานักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนต้องจำได้  เปิดกันเกร่อจนเลี่ยนไปเลย
https://youtu.be/1MnU6p3sGSw


ผมมาได้ดูเธอเล่นหนังครั้งแรกในเรื่อง An Officer and A Gentleman (1982)  ปีต่อมาก็ได้ดูเธอตายจนร้องไห้ตาบวมจากเรื่อง Terms of Endearment  จากนั้นเมื่อหนังของเธอเข้ามาฉาย (Legal Eagles (1986), Black Widow (1987)) ผมก็ร่อนไปชื่นชมความสวยของเธอ  แต่เรื่อง Shadowlands ที่เธอตายเป็นครั้งที่ 2 นี้ไม่มาฉาย  ผมดูทางทีวี IBC 

DW ไม่ได้มีแค่ความสวย  หากมีความสามารถแบบหาคู่แข่งได้ยากเพราะเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 3 ครั้ง  เป็นหนังที่เธอต้องตายเสีย 2 เรื่อง
 
ข่าวและหนังใหม่ของเธอมาเข้าตาผมเรื่อย ๆ  แต่แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งชื่อของเธอก็หายไปจากสื่อ  ผมสงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ไม่มีแหล่งให้ค้นข้อมูล  ก็เก็บความสงสัยไว้ในลิ้นชักมาโดยตลอด

จนกระทั่ง Wikiฯ เจริญพันธุ์ถึงสามารถหาข้อมูลได้ว่าเธอเบื่อการแสดงผสมด้วยเรื่องอื่น ๆ จึงหยุดการแสดงขณะที่กำลังรุ่งไปถึง 6 ปี (เริ่มจากปี 1995) พอกลับมาใหม่มันก็ผ่านยุคของเธอไปแล้ว

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/13/X8lSZN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/X8lSZN)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 ส.ค. 22, 13:22
Far From Heaven สร้างในปี 2002 เล่าเรื่องแม่บ้านผู้ดีมีเงินที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมชั้นสูงในย่านสงบและสวยงามฝั่ง Connecticut  เธอมีพร้อมทั้งอาชีพการงานและสังคม  แต่วันหนึ่งสิ่งที่เธอค้นพบโดยบังเอิญไปสั่นคลอนชีวิตที่สวยงาม  สิ่งนี้สิ่งเดียวเป็นต้นเหตุให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

หนังสร้างเลียนแบบหนังชีวิตหรู ๆ ในยุค 50s  เพราะเป็นงานในยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่า  การสร้างเลียนของดั้งเดิมในยุคเก่าผลที่ออกมาจึงเป็นงานที่เด่นกว่าต้นฉบับในทุกด้าน

สวยมาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย (ชอบรถราที่สุด)
https://youtu.be/HJQnn3Kya_s


ชีวิตหรูหราตามแบบฉบับผู้ดียุค 50s
https://youtu.be/DkM0ywPLXFg


วันหนึ่งเธอก็มาพบความลับของผัวตัวเองโดยไม่คาดฝัน  มิน่าทำไมเขาถึงกลับบ้านค่ำเป็นประจำ
https://youtu.be/cjlGQ6TQEJQ


ในขณะเดียวกัน  ก็พบกับหนุ่มแปลกหน้าผิวดำ ซึ่งตอนแรกยังขยาด ๆ เพราะอิทธิพลการแบ่งแยกสีผิวยังเข้มข้น
https://youtu.be/q35VMKc87Ck


แต่ต่อมาเธอก็พบว่าหนุ่มคนนี้สุภาพและอบอุ่นอย่างคิดไม่ถึง  แรก ๆ เธอพยายามเดินตรงตามจารีตประเพณี  แต่มันสวนกระแสความต้องการไม่ไหว  เธอเริ่มติดใจถึงขนาดสามารถเล่าความลับที่อัดแน่นอยู่ให้ฟัง  การพบกันของ 2 หนุ่มสาวต่างสีผิวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสร้างเรื่องซุบซุบนินทาและก่อให้เกิดปฏิกิริยาแผ่ไปทั่วย่าน
https://youtu.be/YnpolJaqZCA


https://youtu.be/-62dSL7E1G4


https://youtu.be/-QHSfSmyAiw


แม้คู่ผัวเมียจะพยายามพยุงสถานภาพการแต่งงานไว้แต่ผัวก็ทำต่อไปไม่ไหว  ในที่สุดก็ขอหย่าเพื่อไปใช้ชีวิตที่แท้จริงจริงตัวเอง
https://youtu.be/A0Xal3k9TTE


เมื่อสถานภาพชีวิตแต่งงานพังทลาย  สิ่งยึดเหนี่ยวที่เหลืออยู่คือหนุ่มต่างสีผิว  แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม  หนุ่มต่างสีผิวถูกกดดันจนต้องย้ายถิ่นฐาน  ในท้ายที่สุดก็เหลือแต่เธอตัวคนเดียวในสิ่งแวดล้อมที่ดูภายนอกเหมือนฝันแต่จริง ๆ แล้วมันใช่รึเปล่า

นี่คือฉากจบ
https://youtu.be/2xE7q1RykX8


Dennis Haysbert เคยสวมบทพ่อหม้ายลูกติดแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในเรื่อง Love Fields (1992) ตอนนั้นเสน่ห์ของเธอมัดใจสาวทำผมชนชั้นกลาง Michelle Pfeiffer

หนังถ่ายทำออกมาสวยมากสมกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  รวมถึงเพลงประกอบเรื่อง  ดารานำหญิง และบทภาพยนตร์

ตัวอย่าง
https://youtu.be/VEV3GZkS5Mg



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 22, 14:52
เคยดูเรื่องนี้ค่ะ   รู้สึกเหมือนคนสร้างกับคนเขียนหักหลังคนดู  เริ่มด้วยฉากสวยๆ ชีวิตคุณนายแสนสบาย แล้วมาหักหลังกันในตอนต่อๆมา  จนกระทั่งตอนจบก็ยิ่งน่าเศร้าเข้าไปใหญ่  ตัวละครชายในเรื่องนี้อ่อนแอกันทุกคน  จนนางเอกผู้เข้มแข็งกว่าไม่อาจจะสู้ต่อไปคนเดียวได้

เวลาดูหนังที่ใช้ฉากยุค 1950s   แปลกใจนิดหน่อยว่าสมัยนั้นอากาศในอเมริกาหนาวกว่าสมัยนี้หรือไร  แค่คุณนายออกไปจ่ายของก็ต้องสวมเสื้อคลุมสวมถุงมือ บางทีก็สวมหมวกด้วย  ผิดกับสมัยนี้ที่เสื้อยืดตัวกางเกงตัวก็ออกไปได้แล้ว
ผู้หญิงยุคนั้นเขาต้องแต่งกายกันเต็มยศเวลาออกจากบ้าน   แม้แต่ไปซูเปอร์ ก็ยังสวมถุงมือสวมรองเท้าส่้นสูง   มันสะท้อนถึงระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของสังคม   ที่อยู่เหนือความพอใจส่วนบุคคล
มิน่า ทั้งนางเอกและพระเอกถึงแหวกกฎเกณฑ์สังคมออกไปไม่ได้เลย   อยู่กันอย่างยอมจำนนให้กาลเวลาแก้ปัญหาของมันเอง


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ส.ค. 22, 13:54
ในปี 2002 นั้นมีหนังอีกเรื่องที่ดังกว่ามาก  ชื่อ The Hours  อ. ไม่น่าพลาดครับ  หนังเล่าเกี่ยวกับผู้หญิง 3 คนที่มีชีวิตอยู่ต่างช่วงเวลากัน คือ ช่วง 1920s, 1950s แล้วก็ยุคปัจจุบัน  ชีวิตของทั้ง 3 คนเชื่อมด้วยนิยายชื่อ Mrs. Dalloway เขียนโดย Virginia Woolf (ในเรื่องเล่นโดย Nicole Kidman  เธอได้ Oscar จากบทนี้)

Julianne Moore ที่เล่นใน Far from heaven ก็ได้บทสำคัญในเรื่องนี้ด้วยคือ  สาวตัวหลักในยุค 50s (เธอสวมคราบยุคนี้ได้สวยสง่าจริง ๆ)  ในปีนั้นเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 2 สาขา  คือนำหญิงจาก FFH และประกอบหญิงจาก The Hours  แต่วืดหมด  เธอต้องออกแรงอีกครั้งจึงได้รางวัลในปี 2015

ที่ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเล่าเพราะ  เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก  โยงกันไปโยงกันมา  ตอนนั่งดูในช่วงแรก ๆ งงแสนงง  แต่การถ่ายทำดีมาก  งงได้ไม่นานก็สามารถประติดประต่อได้ ยิ่งตอนจบรู้ว่ามีตัวละครเชื่อมเหตุการณ์ของยุค 50s กับ ปัจจุบันแล้ว  แหม... มันขนลุกเกรียว
 
อนิจจามาปัจจุบันนี้เมื่อนึกย้อนไปกลับเกิดอาการงงเหมือนเดิม  เลยเล่าไม่ถูก

  
เล่นเปิดเรื่องแบบนี้ใครจะไม่งง  โชคดีที่เป็นผีหนัง  คุ้นเคยกับนักแสดงหญิงตัวหลัก 3 คนนี้เป็นอย่างดี  จึงเอาหน้าตามาเชื่อมกับช่วงเวลาได้  ถ้าคนไม่คุ้นกับนักแสดงหญิง 3 คนนี้ก็ต้อง งง ต่อไป
https://youtu.be/ZMRoqYM01j0


หลังจากฉากนี้  ที่เกิดในยุคปัจจุบัน
https://youtu.be/vWZapP8b11s


มาต่อที่ฉากนี้  2 ฉากที่ว่าที่ทำให้ผมขนลุกเกรียวเพราะมันโยงกับยุค 50s
https://youtu.be/kvHcswMy05A


ตัวละครทั้ง 2 ในยุค 50s
https://youtu.be/JsUh_lfcyKk
(ผมว่า ทีม casting เก่งมากในการเลือกนักแสดง 2 คนที่ต้องมารับบทเดียวกันแต่ต่างวัยกัน  โดยใช้ ดวงตา เป็นตัวเชื่อม)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/CkPWXUxIiXs


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 22, 14:13
คุณโหน่งชวนดิฉันไม่สำเร็จแล้วละค่ะ   พอได้ยินชื่อ Virginia Woolf  ก็ถอยแล้ว  ดิฉันเคยทำรายงานเรื่อง Mrs. Dallaway สมัยเรียนด้วยความทุกข์ทรมาน
งานของเธอถึงจะเป็นที่ยกย่องของนักวรรณคดีก็ตาม แต่ส่วนตัวชอบไม่ลง    คือเธอเป็นคนป่วยจิตเภทที่มีความสามารถอย่างหนึ่งคือรำลึกถึงรายละเอียดเมื่อครั้งอยู่ในภาวะป่วยทางจิตรุนแรงได้  ผิดกับคนทั่วไปที่จำอะไรช่วงนั้นไม่ได้
อ่านงานของเธอแล้วอยากจะบ้า    ตัวละครเอกคือเธอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   แล้วก็มีชะตากรรมแบบเธอคือฆ่าตัวตายในตอนจบ   สำหรับคนปกติต้องมาเรียนงานของคนไม่ปกติ มันกลืนไม่ลงจริงๆ
หนังจะสวยงามยังไง ก็ไม่รับประทานละค่ะ  ขอจานอื่นเถอะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ส.ค. 22, 13:21
คุณโหน่งชวนดิฉันไม่สำเร็จแล้วละค่ะ   พอได้ยินชื่อ Virginia Woolf  ก็ถอยแล้ว  ดิฉันเคยทำรายงานเรื่อง Mrs. Dallaway สมัยเรียนด้วยความทุกข์ทรมาน
งานของเธอถึงจะเป็นที่ยกย่องของนักวรรณคดีก็ตาม แต่ส่วนตัวชอบไม่ลง    คือเธอเป็นคนป่วยจิตเภทที่มีความสามารถอย่างหนึ่งคือรำลึกถึงรายละเอียดเมื่อครั้งอยู่ในภาวะป่วยทางจิตรุนแรงได้  ผิดกับคนทั่วไปที่จำอะไรช่วงนั้นไม่ได้
อ่านงานของเธอแล้วอยากจะบ้า    ตัวละครเอกคือเธอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   แล้วก็มีชะตากรรมแบบเธอคือฆ่าตัวตายในตอนจบ   สำหรับคนปกติต้องมาเรียนงานของคนไม่ปกติ มันกลืนไม่ลงจริงๆ
หนังจะสวยงามยังไง ก็ไม่รับประทานละค่ะ  ขอจานอื่นเถอะ

โอ้... เหรอครับ  ไม่รู้เบื้องหลังมาก่อนเลย  ได้ยินชื่อเธอครั้งแรกจากหนังเรื่อง Who's afraid of Virginia Woolf ซึ่งไม่ได้ดู  ตอนนั้นคิดว่าเป็นชื่อสมมติ  เคยดูตัวอย่างแล้วเหมือนหนังโรคจิต


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ส.ค. 22, 13:27
Dragonfly (2002) เป็นหนังชีวิตแนวแฟนตาซี  เล่าเรื่องหมอผัวเมียไปทำงานในแดนกันดารที่ประเทศ Venezuela  วันหนึ่งขณะกำลังเดินทางรถโดยสารที่หมอผู้หญิงและคนอื่น ๆ นั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุโดน ‘landslide’ พัดตกเหว  บางคนหาซากศพเจอ  แต่บางคนมีหมอผู้หญิงเป็นต้น  หาศพไม่เจอ  โดยสรุปว่าไม่มีใครรอดชีวิต

กลับมาที่อเมริกา  ครอบครัวของเธอจัดงานศพ  แต่หลังจากนั้นไม่นานสามีซึ่งเป็นหมอรักษาเด็กก็พบเหตุการณ์แปลก ๆ ล้วนเกิดขึ้นกับคนไข้ในระยะใกล้ตาย  ขณะเดียวกันเธอก็พบสัญลักษณ์แปลกเป็นรูปคล้ายแมลงปอที่คนไข้ชอบวาดทิ้งไว้
https://youtu.be/dveMyqXsC9s


บางฉากดูหลอนทีเดียว  อดคิดไม่ได้ว่าท่าฉันจะดูหนังผีละหว่า
https://youtu.be/ZyrZQb5yrK8


https://youtu.be/y3fI_52SDzE


เหตุการณ์มาปะติดปะต่อตอนท้ายเรื่องว่าวิญญาณของเมียพยายามติดต่อสามีว่าเธอทิ้งอะไรไว้ให้  ให้ไปตามหา
https://youtu.be/2sClubM_LtA


นักวิจารณ์ไม่ชอบหนังเรื่องนี้  บอกว่าดราม่าเกินไป  ผลคือหนังเจ๊ง  แต่ผมว่าหนังสนุกออก  สามารถหลอกไปได้จนถึงฉากสุดท้าย

(หมายเหตุ – สัญลักษณ์คล้ายแมลงปอนั้นคือสัญลักษณ์ของน้ำตกในแผนที่  ชนเผ่านี้ตั้งหลักแหล่งอยู่ใกล้น้ำตก)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 22, 13:33
เคยเรียน Who's Afraid of Virginia Woolf? บทละครรางวัล Tony Award  ของ Edward Albee  ผู้สอนคืออาจารย์สดใส พันธุมโกมล เรียนเรื่องนี้ด้วยความไม่ชอบมากกว่าชอบ   โชคช่วยที่ได้อาจารย์ที่เก่งกาจสอน เลยผ่านมาได้ ไม่ถึงกับเกลียดเรื่องนี้
ชื่อเรื่อง เป็นการล้อเพลงในการ์ตูนหมูสามตัว ของวอล์ท ดิสนีย์ ที่ลูกหมูร้องเพลงท้าทายเจ้าหมาป่าว่า Who's Afraid of the Big Bad Woolf? แต่เปลี่ยนเป็น Virginia Woolf  แทน
จะด้วยเหตุผลอะไรยังไม่ได้ไปค้นในกูเกิ้ลค่ะ
เรื่องนี้เป็นชีวิตของผัวเมียวัยกลางคนชื่อ George กับ Martha  ที่หาเรื่องทะเลาะด่าทอกันตลอดเรื่อง   เมื่อเอามาทำหนัง ได้ดาราใหญ่บิ๊กเบิ้มอย่างริชาร์ด เบอร์ตัน และลิซ เทเลอร์เล่นคู่กัน      

https://www.youtube.com/watch?v=X3htV1JuEZk


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 22, 09:39
   สมัยเรียนกับอาจารย์สดใส   แนวคิดในดราม่าดังๆที่โดดเด่นในยุคนั้นคือ Theme of illusion and reality  แปลง่ายๆคือเรื่องของความลวงกับความจริง    Who's Afraid of Virginia Woolf? ใช้แนวคิดนี้เป็นหลัก
   นักเขียนและนักบทละครดังๆในยุคนั้นชอบตั้งคำถามกับชีวิตว่า อะไรคือความลวง อะไรคือความจริง  เพราะเหตุนี้ผลงานหลายชิ้นจึงออกมาน่าเวียนหัว  ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ   อะไรเป็นของแท้ อะไรที่ตัวละครสร้างเพื่อหลอกตัวเอง เพื่อจะบอกว่า วังวนของมนุษย์ก็แค่นี้เอง
   Who's Afraid of Virginia Woolf? สะท้อนความจริงและความลวงในชีวิตตัวละครที่มี 4 ตัวด้วยกัน   คือผัวเมียวัยกลางคนเจ้าของบ้าน และแขกรับเชิญมากินดินเนอร์ที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่งวิวาห์ไม่นาน     คนอ่าน(หรือคนดู)ถูกหลอกให้เชื่อเกือบถึงตอนจบถึงเรื่องที่เจ้าของบ้านเล่าให้แขกฟังถึงลูกชายคนเดียวของสองผัวเมีย    แต่ก็จะสงสัยตะหงิดๆว่าทำไมเล่าไม่ตรงกัน   กว่าจะมารู้คำตอบว่า จริงๆแล้วสองคนนี้ไม่เคยมีลูก  แต่สร้างภาพลวงขึ้นมาเพื่อให้แขกเห็นว่าชีวิตสมรสสมบูรณ์พร้อม
   เรื่องนี้ฝรั่งดูคงเข้าใจ  แต่นิสิตไทยอ่านแล้วงง   เพราะสังคมไทยในยุคนั้นไม่เหมือนอเมริกา   ในอเมริกา ความฝันของคนอเมริกันในยุคเบบี้บูมเมอร์คือครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ ทำงานนอกบ้าน(รายได้ดีพอจะมีบ้านเดี่ยวสวยๆ รถงามๆหนึ่งคัน) แม่เป็นแม่บ้านทำอาหารทำขนมอร่อยๆให้ลูกผัว   จัดบ้านช่องเอี่ยมสะอาด  และมีลูก 2 คน ซึ่งถือว่าพอดิบพอดี   อย่างในหนังทีวีชุด Leave it to Beaver
  ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาในละคร ที่ผัวขี้เมา เมียก็แร่ด  ทะเลาะด่าทอกันทุกนาที  แถมทั้งคู่ยังไม่มีลูก จึงทุรนทุรายจะต้องสร้างภาพว่าตัวเองมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม จนต้องสร้างลูกที่ไม่มีจริงขึ้นมาหลอกทั้งตัวเองและแขก
  คนอ่านซึ่งอายุ 19-20 ปี   ยังไม่มีใครแต่งงาน  และไม่มีใครรู้สึกว่าครอบครัวไทยของเรามีความคิดอะไรแบบอเมริกัน จึงเรียนแล้วไม่เก๊ท    ขอให้เพียงสอบผ่านก็โล่งใจแล้วค่ะ
  มาเจอเรื่องนี้อีกในยูทูป   ยังไม่อยากดูจนบัดนี้


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ส.ค. 22, 18:20
   สมัยเรียนกับอาจารย์สดใส   แนวคิดในดราม่าดังๆที่โดดเด่นในยุคนั้นคือ Theme of illusion and reality  แปลง่ายๆคือเรื่องของความลวงกับความจริง    Who's Afraid of Virginia Woolf? ใช้แนวคิดนี้เป็นหลัก
   นักเขียนและนักบทละครดังๆในยุคนั้นชอบตั้งคำถามกับชีวิตว่า อะไรคือความลวง อะไรคือความจริง  เพราะเหตุนี้ผลงานหลายชิ้นจึงออกมาน่าเวียนหัว  ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ   อะไรเป็นของแท้ อะไรที่ตัวละครสร้างเพื่อหลอกตัวเอง เพื่อจะบอกว่า วังวนของมนุษย์ก็แค่นี้เอง
   Who's Afraid of Virginia Woolf? สะท้อนความจริงและความลวงในชีวิตตัวละครที่มี 4 ตัวด้วยกัน   คือผัวเมียวัยกลางคนเจ้าของบ้าน และแขกรับเชิญมากินดินเนอร์ที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่งวิวาห์ไม่นาน     คนอ่าน(หรือคนดู)ถูกหลอกให้เชื่อเกือบถึงตอนจบถึงเรื่องที่เจ้าของบ้านเล่าให้แขกฟังถึงลูกชายคนเดียวของสองผัวเมีย    แต่ก็จะสงสัยตะหงิดๆว่าทำไมเล่าไม่ตรงกัน   กว่าจะมารู้คำตอบว่า จริงๆแล้วสองคนนี้ไม่เคยมีลูก  แต่สร้างภาพลวงขึ้นมาเพื่อให้แขกเห็นว่าชีวิตสมรสสมบูรณ์พร้อม
   เรื่องนี้ฝรั่งดูคงเข้าใจ  แต่นิสิตไทยอ่านแล้วงง   เพราะสังคมไทยในยุคนั้นไม่เหมือนอเมริกา   ในอเมริกา ความฝันของคนอเมริกันในยุคเบบี้บูมเมอร์คือครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ ทำงานนอกบ้าน(รายได้ดีพอจะมีบ้านเดี่ยวสวยๆ รถงามๆหนึ่งคัน) แม่เป็นแม่บ้านทำอาหารทำขนมอร่อยๆให้ลูกผัว   จัดบ้านช่องเอี่ยมสะอาด  และมีลูก 2 คน ซึ่งถือว่าพอดิบพอดี   อย่างในหนังทีวีชุด Leave it to Beaver
  ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาในละคร ที่ผัวขี้เมา เมียก็แร่ด  ทะเลาะด่าทอกันทุกนาที  แถมทั้งคู่ยังไม่มีลูก จึงทุรนทุรายจะต้องสร้างภาพว่าตัวเองมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม จนต้องสร้างลูกที่ไม่มีจริงขึ้นมาหลอกทั้งตัวเองและแขก
  คนอ่านซึ่งอายุ 19-20 ปี   ยังไม่มีใครแต่งงาน  และไม่มีใครรู้สึกว่าครอบครัวไทยของเรามีความคิดอะไรแบบอเมริกัน จึงเรียนแล้วไม่เก๊ท    ขอให้เพียงสอบผ่านก็โล่งใจแล้วค่ะ
  มาเจอเรื่องนี้อีกในยูทูป   ยังไม่อยากดูจนบัดนี้

อ่านแล้ว  ไม่นึกกระวนกระวายที่ไม่ได้ดูครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ส.ค. 22, 18:22
2012 ออกฉายในปี 2009 เป็นหนังหายนะระดับโลก เป็นหนังที่ดูสนุกมาก  เว่อร์วิ่นสุดขีดคลั่ง  ฉากตระการตา  ถ้าดูในโรงจอกว้างคงตื่นเต้นสุดขีด
https://youtu.be/sFXGrTng0gQ

https://youtu.be/t3FuTWbCr6M

https://youtu.be/Wc-YAmuUu04

https://youtu.be/lXjYtoeUpko

https://youtu.be/A7tx84SmuCI


Arks ...
https://youtu.be/qgRXFJqB-9Q

https://youtu.be/B-Wf5QOHPxw


ตอนจบ
https://youtu.be/O3wjQHtLsQ0

ดูจบแล้วภาวนาขอให้ไม่เกิดเรื่องหายนะแบบนี้ในช่วงชีวิตของเรา



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ส.ค. 22, 14:40
ราวกลางยุค 1980s  พี่ชายผมไปเรียนเสริมวิชาอาชีพทางการทหารที่เนเธอร์แลนด์ส่งพัสดุมาให้ 1 ห่อ
 
พอแกะห่อออกมาก็พบกับหนังสือเล่มหนาเตอะ 3 เล่ม  มันเป็นหนังสือชุดชื่อ The Lord of the Rings  มีโน้ตเล็ก ๆ แนบมาทำนองว่า  ‘อ่านให้จบ  กลับมาแล้วจะมาเอาการ’

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/19/XmQaca.jpg) (https://www.picz.in.th/image/XmQaca)


ผมอ่านโน้ตจบแล้วมองหนังสือหนารวมกันกว่าพันหน้าแล้วทำตาปริบ ๆ

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหนาขนาดนี้มาก่อน  เคยอ่านอย่างมากก็เล่มบาง ๆ 60-70 หน้า  กำลังเสริมสร้างความชำนาญที่เพิ่งเตาะแตะ  

แล้วการบ้านที่พี่ส่งมาให้ก็มีหน้าปกแสนจะจืดชืดดูไม่เชิญชวน ข้างในก็มีแต่ตัวหนังสือเป็นพืด  แล้วก็มีแผ่นที่ดูน่าเวียนหัว 2-3 ชุด  มีความรู้สึกเหมือนกลับไปเรียนหนังสืออันเป็นช่วงเวลาที่เกลียดที่สุดของชีวิต อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม พี่คงเดาความเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของน้องออก เลยหยอดลงไปหน่อยว่า  เป็นนิยายคลาสสิกแนวที่ชอบ  ใครไม่ได้อ่านจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักอ่านเรื่องแฟนตาซี เพราะเรื่องนี้เป็นแม่บทของนิยายแฟนตาซี  (แต่พี่ไม่ได้อ่าน  เธออ้างว่าฉันไม่ใช่นักอ่าน  แกต่างหาก)

อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดความฮึกเหิม  พอทำใจได้ก็เริ่มลงมืออ่าน  โอโฮ... มันเป็นหนังสือที่อ่านยากมาก  ผู้เขียนใช้ภาษายุคเก่าและเสริมด้วยศัพท์สวิงสวาย  เปิด ‘ดิก’ มือเป็นระวิง

นอกจากนี้เมื่อถึงช่วงบรรยายก็ลากเสียยืดยาวจนเรียกว่าแม้จะเข้าใจเพียงกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถสร้างภาพตามได้  ประมาณว่าแค่เดินจากประตูบ้านออกมาที่รั้วบ้าน  เธอก็เขียนบรรยายได้ยาวหลายบรรทัด มีไอ้โน่น เห็นไอ้นี่  รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ  แต่ว่าไปแล้วโดยรวม ๆ เนื้อเรื่องสนุก  โดยเฉพาะตอนตื่นเต้นนี่  อ่านแบบลืมเวลาไปเลย

สรุปแล้วผมอ่านทั้งวันและทุกวัน  แม้ในเวลาทำงาน  ถ้าว่างเป็นควักขึ้นมาอ่าน  ความที่อ่านยากก็เลยอ่านได้ช้า  แม้หลัง ๆ จะเลิกเปิด ‘ดิก’ แล้วด้วยความขี้เกียจ  แต่แปลกที่ก็ยังพอเข้าใจ

เพื่อน ๆ เห็นก็ชมว่า  แหม... เก่งจังอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มโต  ผมตอบตามความจริงว่าเปล่าเลย  ความชำนาญฉันแค่งู ๆ ปลา ๆ  แต่มันเป็นแนวแฟนตาซีของโปรด  ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในหนังสือแปลเพราะบ้านเราไม่นิยมแปลนิยายแนวนี้  ผสมกับความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นกมลสันดานเดิม  ทำให้อยากรู้ว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ มันก็เลยสามารถลากไปได้เรื่อย ๆ

ผมใช้เวลาหลายเดือนกว่าอ่านเจ้าสามเล่มยักษ์นั่นจบ  พออ่านจบแล้วมีความรู้สึกเหมือนจบหลักสูตรอะไรซักกะอย่าง  ภูมิใจ  ตั้งแต่นั้นผมหาซื้อหนังสือนิยาย (แนวแฟนตาซี) ต้นฉบับภาษาอังกฤษอ่านตลอด  เลิกอ่านหนังสือแปลไปเลย  คือนอกจากหาหนังสือแปลแนวนี้ได้ยากแล้ว  บางครั้งจับได้ว่าแปลผิด  เสียความรู้สึก  ตอนผมหันมาแปลหนังสือขายเองจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มาก

แล้วก็รู้มาอีกว่าหนังสือแนวแฟนตาซีนี้จะทำออกมาเป็นชุดเสมอ  ไม่มีเล่มเดียวจบ  ชุดที่มีเนื้อเรื่องยาวที่สุดที่เคยอ่านติดต่อกันรวดเดียวชื่อ Memory, Sorrow and Thorn ผมซื้อสมัยเป็นสมาชิกชมรม science fiction book club ที่อเมริกา  ชุดนี้มี 3 เล่มแต่หนารวมกันประมาณ 3 พันหน้า (ไม่มีใครคิดเอามาทำเป็นหนัง (เหมาะกับหนังทีวีมากกว่า) สักที)  คนเขียนใช้ภาษาธรรมดาอ่านเข้าใจได้ง่าย  ทำให้สนุกในการอ่านมาก

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/19/Xm5zNN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Xm5zNN)


ในกาลต่อมา  ผมไปเดินเล่นที่ห้างโปรด  เซ็นทรัลสีลมแล้วพบหนังสือชื่อ The Complete Guide to Middle-Earth (ฉบับพิมพ์ปี 1976) ประมาณว่าเป็นปทานุกรม  พลิก ๆ ดูแล้วเกิดความคิดเก๋ไก๋  เลยควักเงินซื้อ (ปี 1988)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/19/Xm5ZU9.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Xm5ZU9)


หนังสือเล่มนี้อธิบายทุกอย่างตั้งแต่ชื่อตัวละคร สถานที่ สิ่งของ  เหตุการณ์ ฯลฯ ที่เกิดในเรื่อง LOTR (รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ออกขายในช่วงนั้นของผู้แต่งเช่น Hobbit, Silmarillion)  ผมว่าอ่านสนุกกว่าตัวนิยายเสียอีก  
พออ่านปทานุกรมจบแล้ว  ผมก็เอาหนังสือ LOTR 3 เล่มยักษ์นั่นกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง  คราวนี้ได้อรรถรสเต็มที่  ไม่งงไปงงมาเหมือนตอนอ่านครั้งแรก


ในปี 2001  ได้ข่าวว่ามีคนนำนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง  แหม... ตื่นเต้นมาก  เคยได้แต่จินตนาการไปตามเรื่อง  คราวนี้จะได้ดูภาพที่นำเสนอแบบเป็นทางการเสียที

เรื่องแรกที่มาฉายเป็นตอนแรกชื่อ The Fellowship of the Ring  ตอนนั่งอยู่ในโรงผมรอให้ถึงฉากสำคัญคือฉากที่ Frodo กับพรรคพวกกำลังหนีสมุนของ Sauron มาถึงท่าน้ำข้ามฟาก Ford of Bruinen  
เหตุการณ์ตอนนั้นในหนังสือตื่นเต้นมากเพราะ  การล่าใกล้จะไล่ทันกันเต็มทีแล้ว  ลุ้นสุดขีด  ฉับพลันก็มี Glorfindel นักรบ elf เข้ามาช่วยและพาข้ามน้ำไปสู่เมืองของชนเผ่า elf ได้เป็นผลสำเร็จ (ก่อนลาจะจากไป)

ในหนังสือเปิดตัว Glorfindel ในฉากนี้ในแบบฉบับของพระเอกขี่ม้าขาวอย่างแท้จริง  คือข้ามาคนเดียวบนหลังม้า  เหล่าร้ายที่ว่าแน่พากันกระเจิง  เมื่อได้อ่านปทานุกรมเสริมซึ่งบรรยายตัว Glorfindel ว่า
‘Golden-haired Eldarin lord of great power, in the time of LORT, he is the second most important of all elves…’

สรุปได้ง่าย ๆว่า ต้อง ‘โคตรหล่อ (หล่อเฉย ๆ ไม่ได้เพราะ elf (ในจินตนาการของผู้แต่ง) ทั้งหญิงและชายหน้าตาดีหมด) ตามแบบฉบับฮีโร่ทุกประการ’ โดยไม่ต้องสงสัย  พอเป็นหนังมาฉายทำให้อยากรู้ว่าผู้สร้างเลือกใครมาสวมบทนี้

กลับมาที่โรงหนัง  นั่งดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฉากที่ว่ามาถึง (เพี้ยนไปจากหนังสือ  แต่พอให้อภัยได้) แล้วผมก็ต้องอ้าปากค้าง (ในความมืดของโรงหนัง)  
https://youtu.be/6e7qhhLbAok


อ้าว... อะไรวะ  ทำไม Glorfindel ฮีโร่สุดหล่อของฉันถึงกลายเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงคนนี้คือ Arwen เจ้าหญิง elf แฟนของพระเอก Aragon   เธอมีเรื่องราวในหนังสือด้วย  แต่จะโผล่ออกมาหลังจากฉากนี้เมื่อพวก Hobbits มาถึงเมือง elf แล้ว

ผมก็เข้าใจนะว่าการนำหนังสือมาทำเป็นหนังย่อมต้องมีการดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม  แต่การดัดแปลงในเรื่องนี้ดันไปเกิดในตอนที่ผมคาดหวังจะได้เห็นด้วยตาเป็นที่สุด  ผมผิดหวังขนาดคิดอยากลุกขึ้นกลับบ้านเลย (แต่ไม่ได้ลุกเพราะเสียดายตังค์)  ตั้งใจเข้ามาดูฉากนี้โดยเฉพาะ
  
แล้วยังมีอีกฉากที่เกิดขึ้นขณะมีสงคราม  ในหนังเปิดตัวนักรบ elf ซึ่งต่อมาโดนฆ่าตายในสงครามนั้น  หนังเน้นฉากนี้ ‘so dramatically’  เสริมเพลงประกอบเข้าไปด้วยตอนเธอโดนฆ่า  ให้อารมณ์ประมาณฮีโร่โดนโค่น  ผมดูแล้วก็คิดหลายตลบว่า  ในหนังสือไม่มีฉากนี้นี่หว่า  แค่รบกันธรรมดา  ผมหา clip ฉากที่ว่านี้ไม่เจอ  นักรบ elf คนนี้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้

สรุปแล้ว  หนัง LOTR ตอนแรกนี้ผิดหวังสุดขีด

บทความชุดนี้ต้องเปลี่ยนหัวข้อนิด เป็นฉากไม่ประทับใจของหนังในอดีต

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/aStYWD25fAQ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ส.ค. 22, 19:18
ได้ดู The Lord of the Rings ค่ะ  แต่ต้องบอกคุณโหน่งแบบไม่เต็มปากว่า ดูแล้วลืมสนิท
จำได้รางๆว่าพระเอกหน้าตาแป๋วแหววเหมือนหุ่นปั้น  เหมาะจะอยู่ในเทพนิยายมากกว่าอยู่ในชีวิตจริง    แล้วก็มีพระรองหรืออะไรอีกคนที่เป็นหนุ่มรูปหล่อผมยาวเฟื้อย   คนนั้นช่างเตือนใจให้นึกถึงจอมยุทธในหนังทีวีของ ทีวีบี ฮ่องกง
แต่ถ้าเทียบกับ Narnia แล้ว ชอบท่านลอร์ดมากกว่าหน่อยค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ส.ค. 22, 14:23
ได้ดู The Lord of the Rings ค่ะ  แต่ต้องบอกคุณโหน่งแบบไม่เต็มปากว่า ดูแล้วลืมสนิท
จำได้รางๆว่าพระเอกหน้าตาแป๋วแหววเหมือนหุ่นปั้น  เหมาะจะอยู่ในเทพนิยายมากกว่าอยู่ในชีวิตจริง    แล้วก็มีพระรองหรืออะไรอีกคนที่เป็นหนุ่มรูปหล่อผมยาวเฟื้อย   คนนั้นช่างเตือนใจให้นึกถึงจอมยุทธในหนังทีวีของ ทีวีบี ฮ่องกง
แต่ถ้าเทียบกับ Narnia แล้ว ชอบท่านลอร์ดมากกว่าหน่อยค่ะ

อ่านหนังสือสนุกกว่ามากครับ  หนังให้อรรถรสประมาณอาหารตา  เห็นแล้ว อื้อฮือ  ฮือฮา

โหน่งว่าหนัง (แนวแฟนตาซี) ที่นำเสนอได้ตรงตามเนื้อเรื่องในหนังสือต้อง ชุด Harry Potter ครับ  อาจเป็นเพราะตัวละครไม่มากมายเท่า  และเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนเท่า


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ส.ค. 22, 14:40
พล่ามเรื่องสมัยยังเป็นเด็ก...  

วันหนึ่งก็มีข่าวทางทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่าจะมีหนังผีญี่ปุ่นเข้ามาฉาย  แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อไทย  แล้วก็เชิญชวนให้ส่งชื่อไทยเข้าประกวดชิงรางวัล

ช่วงนั้น ตย. หนังผีญี่ปุ่นนี้ออกอากาศทางทีวีแทบจะตลอดเวลา  มีผีหลาย ๆ แบบที่ผมเคยเห็นแต่ภาพนิ่งในหนังสือการ์ตูน  พอได้เห็นอากัปกิริยาของพวกมันแล้วล้วนดูน่ากลัว  ที่หลอนผมก็คือ ผีหญิงสาวที่คอยืดยาวไปได้ตั้งไกล  แต่สุดจะหลอนคือ ผีร่ม  มีลักษณะเป็นร่มกระดาษฉาบมันแบบที่คนจีนสมัยก่อนใช้กางกัน  ตรงกลางที่หุบอยู่จะมีตาเบิ่งโต 1 ดวง  ถัดลงไปเป็นปาก  มีลิ้นแลบยาวแผล็บ ๆ  ส่วนก้านร่มเป็นขา  ตีนสวมเกี๊ยะ  ความที่มีขาเดียวเวลาเดินมันจึงต้องกระโดด  เสียงเกี๊ยะกระทบพื้นดัง ก๊อก ๆ

โอ้... ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผีพวกนี้ 'in action'  น่ากลัวและน่าตื่นใจไปพร้อม ๆ กัน

ที่บ้านผม (หมายถึงบ้านคุณยาย) มีร่มแบบนี้แขวนอยู่แถวปากประตูรวมกับร่มทันสมัยต่าง ๆ แบบ  เวลาจะลงจากตัวบ้านจะต้องผ่านราวแขวนร่มพวกนี้  ช่วงนั้นเวลาผมจะลงจากบ้านจะต้องหลับตาก่อนแล้วคลำทางลง  ส่วนเวลาจะขึ้นบ้านก็ทำเหมือนเดิม  จะได้ไม่ต้องเห็นร่มที่วันดีคืนดีอาจโดนผีสิง  แล้วก็เจ้ากรรม  ความที่เป็นเด็กติดทีวี  ก็จะต้องเห็น ตย. หนังผีเรื่องนี้ประจำ  เวลาหนัง ตย. ออกฉายจะไม่ดูก็ไม่ได้  มันเหมือนต้องมนตร์  ขณะนั่งจ้องตาเขม็งความกลัวก็ซึมซับเข้าไปในความทรงจำอยู่นั่นแล้ว
  
ผมหลับตาขึ้นลงบ้านในลักษณะแบบนี้อยู่นานมาก  แม้หนังจะเข้าฉายจนออกจากโรงไปแล้ว  ก็ยังปอดแหกอยู่

วันหนึ่งฝนตก ผมกำลังก้าวลงจากบ้านด้วยอาการหลับตา  หยดน้ำฝนจากหลังคาคงไหลลงมาแล้วหยดลงที่แก้มผม  ผมร้องเสียงหลง  นึกว่า ผีร่มแลบลิ้นเลียหน้า  ผู้ปกครองทุกท่านแห่กันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  พอรู้ว่าความจริงคืออะไร  ผมโดนเอ็ดซะหูชา  ไม่มีใครปลอบเลย

เพราะมีประสบการณ์แบบนี้  ผมเลยจำผีญี่ปุ่นพวกนี้โดยเฉพาะผีร่มได้ไม่ลืม  พอแก่ลงความกลัวหายไปเหลือแค่ความคิดถึง  ก็อยากรู้ว่าหนังเรื่องดังกล่าวมันชื่ออะไรหนอ  อยากดูจัง  แต่โอกาสเป็นศูนย์  มันเป็นหนังญี่ปุ่นภาษาญี่ปุ่น  จะไปหาข้อมูลได้อย่างไร  เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นก็หาเวลาไปเสาะหา  ข้อมูลของผมน้อยมากเลยไม่มีใครให้คำตอบได้  รู้แต่ว่าคนญี่ปุ่นเรียกผีพวกนี้ว่า Yokai

วันหนึ่งในตอนแก่นี่แหละ  ฝันของผมก็เป็นจริง  UBC เอาหนังเรื่องที่ติดอยู่ในความทรงจำมาฉาย  แหม... ตื่นเต้นมาก  ได้เห็นภาพที่หลอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ หนังเรื่องนี้ชื่อ (ภาษาอังกฤษ) ว่า Yokai Monsters – 100 Monsters (1968)  เล่าเรื่องบรรดา Yokai มาร่วมมือกันยับยั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่คิดร้ายซึ่งผลจาการคิดร้ายจะไปกระทบความเป็นอยู่ของเหล่าพวกพ้องตัวเอง
https://youtu.be/jEcdfXi7KJg


ฉากผีสาวคอยาว (เสียงเพลงแบบนี้แหละ  ก้องอยู่ในหูผมไปนาน)
https://youtu.be/TCrv5wDkqXc


ฉากผีร่มสุดหลอนของผม
https://youtu.be/NYSKHQLEvOY


อ้อ... ลืมบอก  ในที่สุดการแข่งขันก็ประกาศผล  หนังใช้ชื่อว่า 108 อภินิหาร  รู้สึกจะฉายที่โรงแค็ปปิตอล  ผู้ปกครองเคยแหย่ว่าถ้าอยากดูจะพาไป


ในกาลเวลาต่อมาหลังจากนั้น  ว่างงานก็นั่งท่อง web ไปเรื่อย ๆ ก็พบหนังผีแบบนี้  แต่เป็นหนังในยุคสมัยใหม่  แต่ก็ตอบสนองผมได้ดี  ผมรีบสั่งซื้อทันที 3 เรื่อง

เรื่องที่สามารถหา clip มาให้ชมได้มีชื่อว่า The Great Yokai War (2005) เล่าเรื่องเด็กชายตัวกระจิ๋วได้รับการเลือกให้เป็นผู้พิทักษ์ความดีที่กำลังโดนคุกคามจากพลังชั่ว  พ่อหนูไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยแต่มีบรรดา Yokai มาร่วมกันให้ความช่วยเหลือ ได้เห็นผีญี่ปุ่นแปลก ๆ   เทคนิคพิเศษทำได้ดีทีเดียว
https://youtu.be/XxO84RARyhw

https://youtu.be/4XSWYooNmxo

https://youtu.be/mxGS2j42drM
(ผีร่มตัวโปรดทำได้น่ารักจัง)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/a-h6_7VfQ34


อีก 2 เรื่องเป็นหนังชุดต่อเนื่องชื่อ Kitaro (2007) และ Kitaro 2 (2008) หา clip ที่น่าสนใจไม่ได้เลย
https://youtu.be/b6QN8MIVJ6g

https://youtu.be/o8-l-6JKu_g




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 ส.ค. 22, 14:05
Pan’s Labyrinth (2006) เป็นหนังแนวแฟนตาซีจากสเปนที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็กเพราะมีฉากโหดเหี้ยมอยู่เนือง ๆ

เรื่องเริ่มต้นในแดนแฟนตาซีที่อยู่ใต้ผิวโลกของเรา  เจ้าหญิงลูกสาวกษัตริย์ผู้ครองดินแดนใต้พิภพเกิดหนีขึ้นมาเยี่ยมชมโลก  แต่แล้วโชคร้ายที่แสงแดดบนโลกทำให้เธอตาบอดอีกทั้งยังลบความทรงจำออกไปจากสมอง  แม่หนูกลายเป็นคนธรรมดาและตายในที่สุด

แต่กษัตริย์ผู้เป็นพ่อยังเชื่อฝังใจว่าวิญญาณของลูกสาวจะต้องกลับคืนสู่บ้านเกิดได้ในวันหนึ่ง  เขาจึงทำ labyrinths ไว้ตามจุดต่าง ๆ บนโลกเพื่อนำทางลูกสาวกลับสู่ครอบครัว

บนพื้นโลกในปี 1944 สงครามกลางเมืองสเปนเพิ่งสงบ  แต่ควันหลงยังอยู่  แม่ท้องแก่พร้อมลูกสาววัย 10 ขวบเดินทางไปพบนายทหารชั้นสัญญาบัตรผู้ซึ่งกำลังจะทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยง (จอมโหด)

ในห้องพักในคืนหนึ่งมีนางฟ้าปรากฏขึ้นในห้องลูกสาวแล้วพาเธอผ่าน labyrinth ลงไปใต้ดินเพื่อพบกับ  Faun ซึ่งเป็นตัวละครในแดนแฟนตาซี  Faun มีความเชื่อว่าลูกสาวคนนี้คือเจ้าหญิงที่กลับชาติมาเกิด  จึงมอบหนังสือให้เล่มหนึ่งและบอกว่าในหนังสือนี้จะบอกงาน 3 อย่างให้เธอต้องทำ  เมื่อทำสำเร็จครบทั้ง 3 อย่าง  แม่หนูจะมีชีวิตที่เป็นอมตะและสามารถกลับลงไปหาครอบครัวของตนในแดนใต้พิภพได้

ฉากแม่หนูพบกับ Faun
https://youtu.be/wcN1qFuuI-A


งานที่ 1
https://youtu.be/W_LBOL32wXM


งานชิ้นที่ 2
https://youtu.be/6OfZD5xB6TA


ความลังเลทำให้งานชิ้นที่ 3 ชิ้นสุดท้ายล้มเหลว  และตอนจบ
https://youtu.be/woxSz7gT9lE


ฉากเหนือจินตนาการ
https://youtu.be/Tvq4Yp7XaRg


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/jVZRnnVSQ8k


Pan’s Labyrinth เป็นผลงานที่สร้างและกำกับโดย ผกก. ชาว Mexican ชื่อ Guillermo Del Toro เอกลักษณ์ของงานของเขาเป็นแนวแฟนตาซีแบบเหมือนจริง  คือมีการทั้งฝั่งดีฝั่งร้าย  มีการฆ่าแกง  มีฉากโหด ฯลฯ เหมือนกับเรื่องราวปกติทั่วไป  จากงานนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงของอเมริกา  งานชิ้นนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมรวมทั้งสาขาอื่นอีกรวม 7 สาขา  แต่ตัวเองพลาดในสาขาที่ได้เข้าชิง



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ส.ค. 22, 15:07
นึกถึงหนังเรื่องนี้เลยค่ะ  มหัศจรรย์เขาวงกต  พระเอก เดวิด โบวี่  นางเอกเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่  ตอนเป็นสาวน้อยกับสาวใหญ่ หน้าตาคนละคนกัน ไม่รู้เธอไปทำอะไรกับหน้า

https://www.youtube.com/watch?v=W2RfmWkvW9Q


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ส.ค. 22, 15:38
นึกถึงหนังเรื่องนี้เลยค่ะ  มหัศจรรย์เขาวงกต  พระเอก เดวิด โบวี่  นางเอกเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่  ตอนเป็นสาวน้อยกับสาวใหญ่ หน้าตาคนละคนกัน ไม่รู้เธอไปทำอะไรกับหน้า



แต่พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ความสามารถเข้มขนาดคว้า oscar ได้ครับ

https://youtu.be/0yWoOYPJR6Q


https://youtu.be/IiQrI_F8z_M



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ส.ค. 22, 15:45
ต่อจากคราวที่แล้ว...


อย่างไรก็ตามในปี 2018 ผกก. Guillermo Del Toro  ตามมาทวงและยึด Oscar ได้เป็นผลสำเร็จจากเรื่อง Shape of water (2017)

หนังเรื่องนี้สร้างออกมาตรงตามแนวถนัดของเธอ  คือแนวแฟนตาซีเล่าเรื่องความรักระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด  แต่กว่าจะประสบผลสำเร็จก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคจนถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต
https://youtu.be/4SyM99hk4Rs

https://youtu.be/HHyHiRuBxmg


ตอนจบหญิงสาวต้องสละชีวิตเดิมเพื่อแลกกับชีวิตใหม่เพื่อจะได้อยู่กับคนที่ตนรัก  ถ่ายทำออกมาได้โรแมนติกมาก 
https://youtu.be/b9hsuKgryWo


ตัวอย่าง
https://youtu.be/6tvB_zTRjSA


Shape of water ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ทั้งหมด 13 สาขา  ได้มา 4  เป็นของ GDT เสีย 2 จากสาขาหนังยอดเยี่ยม และ  ผกก. ยอดเยี่ยม

ปีนั้นมีหนังที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 9 เรื่อง  เป็นหนังรักโรแมนติกเสีย 2 เรื่อง  ผมพยายามหาแหล่งที่เคยอ่านมาแต่ไม่เจอ  บทความบอกทำนองคล้ายกับว่า ‘ปีนี้หนังชิงรางวัลยอดเยี่ยมเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างหนังรัก 2 เรื่อง  แต่เป็นรักผิดธรรมชาติทั้งคู่ เรื่องหนึ่งเป็นความรักระหว่างผู้ชาย 2 คน (Call me by your name) อีกเรื่องหนึ่งเป็นความรักระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด (คือเรื่องนี้)’



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 ส.ค. 22, 15:44
La Bamba (กรุณาหาคำแปลเอาเอง) ออกฉายในปี 1987 เป็นหนังเล่าเรื่องชีวิตของนักร้องคนดังในอดีต Ritchie Valens  ชีวิตของเธอเปรียบประดุจพลุ  พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ระเบิด แล้วดับ  มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะขณะที่ความดังขึ้นถึงจุดสูงสุด  เธอก็ตายทันทีด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  มีอายุถึงตอนนั้นแค่ 17 ขวบ

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้คร่าชีวิตเธอคนเดียวแต่รวมไปถึงนักร้องระดับตำนาน Buddy Holly (22) และ ดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคน J.P. ‘The Big Bopper’ Richardson (28)

เรื่องคร่าว ๆ มีว่า... เหตุเกิดในหน้าหนาวปี 1959  BH จัด concert ในย่าน Midwest ของอเมริกา  จากสภาพอากาศอันเลวร้ายบั่นทอนสุขภาพของเหล่าศิลปินกันถ้วนหน้า  อีกทั้ง heater ในรถบัสก็เสีย ๆ หาย ๆ

เมื่อจบการแสดงที่ Clear Lake, Iowa  หัวหน้า concert คือ BH จึงตัดสินใจเหมาเครื่องบินไปส่งยังจุดหมายต่อไปคือที่ Moorhead, Minnesota  แต่มันเป็นเครื่องบินเล็กนั่งได้แค่ 4 คนรวมทั้งคนขับ  หนึ่งในนั้นคือ BH หัวหน้า concert อีก 2 ที่เหลือมีการโยนเหรียญหัวก้อยกันระหว่าง  RV กับนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งต่างก็กลัวการขึ้นเครื่องบินทั้งคู่  RV ชนะได้ขึ้นเครื่องเป็นคนที่ 2 เธอบอกว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยโยนหัวก้อยแล้วชนะก็คราวนี้  ส่วนคนที่ 3 คือ Waylon Jennings แต่เธอใจดีสละที่นั่งให้ JPR เพราะพ่อหนุ่มเป็นหวัดเป็นไข้  ไปถึงเร็ว ๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนเส้นเสียง

พอ BH รู้ว่า WJ ไม่ได้บินไปด้วยกันเธอล้อว่า ‘ขอให้มึงแข็งตายอยู่ในรถบัสซังกะบ๊วยนั่น’ ส่วน WJ ก็ย้อนกลับไปว่า ‘กูก็ขอให้มึงเครื่องบินตกตาย’

(หมายเหตุ...

1 - WJ ต่อมาในยุค 70s เธอดังสุดกู่ในฐานะนักร้องเพลง country เพลงดังของเธอที่บ้านเราคุ้นหูดีคือเพลงเปิดเรื่องหนังทีวีชุด Duke of Hazzard (1979) เธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องแช่งกันเล่น ๆ ในวันนั้นว่ามันตามหลอนมาจนถึงปัจจุบัน

https://youtu.be/67gig0f4HLo

2 – ข้อมูลดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นข้อมูลที่มีการกล่าวถึงกันมากกว่าข้อมูลชุดอื่น ๆ  คนที่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตายกันไปหมดแล้ว)

ในตอนเที่ยงของวันที่ 3 ก.พ. เครื่องบินเคลื่อนออกจากสนามบินที่ Clear Lake, Iowa  แล้วบินออกไปได้ไกลเพียงแค่ 10 กม. ก็ตกที่ทุ่งข้าวโพด  ทั้ง 4 ชีวิตตายทันที

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/24/aYD2av.jpg) (https://www.picz.in.th/image/aYD2av)
(ยังมีภาพให้ ‘รายละเอียด’ มากกว่านี้เยอะแยะ  ไม่กล้าเอามาลง  กลัว ‘จาร ดุ)  

เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในหายนะร้ายแรงที่สุดของวงการเพลงอเมริกัน  

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/wnrqC8-YCDE


เพลงเอกของเรื่อง
https://youtu.be/jSKJQ18ZoIA
คณะ Los Lobos ให้ยืมเสียงร้องในเพลงของ RV ทุกเพลง  อิทธิพลของหนังทำให้เพลง La Bamba ของ LL ดังเป็นพลุในอันดับเพลง  ในขณะที่ต้นฉบับของ RV ไปได้ไม่สวยเลย

  
ตอนเด็ก ๆ ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินเพลงนั้นบ่อยแค่ไหน  แต่ที่แน่ ๆ คือเพลงนี้ซึ่งเพราะมาก
https://youtu.be/20cFuSHzJrg


Buddy Holly ในหนัง
https://youtu.be/5VTtFNvl298


ผมว่าพวกเราคุ้นหูเพลงนี้ของเธอที่สุด
https://youtu.be/TtIOy9WcxU0


ส่วน The Big Bopper หา clip ไม่ได้เพราะบทมีน้อยมากซึ่งไม่เกี่ยวกับ theme ของหนัง  ตอนเด็ก ๆ ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักเธอ  มารู้จักเอาเมื่อโตแล้ว
https://youtu.be/4b-by5e4saI


เกร็ดของการถ่ายทำหนัง...

Ritchie Valens' family were so attached to Lou Diamond Phillips (เล่นเป็น Ritchie Valens) that when he was shooting the scene where Valens gets on the airplane that led him to his death, the family begged Phillips not to get on, fearing that he would die. The family was warned not to come to the filming the day that they filmed him getting on the plane but Valens' sister ignored this and drove up to the set anyways. She cried, hugged him and begged him not to get on the plane.


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 22, 15:49
นึกถึงนักร้องขวัญใจอเมริกันชนอีก 2 คนที่จากไปเพราะอุบัติเหตุเครื่องบิน คือ Rick Nelson กับ John Denver
แต่ไม่มีหนังประกอบ   เลยเล่าให้ฟังเฉยๆ  ไม่ลงรายละเอียดในกระทู้นี้ค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 ส.ค. 22, 13:22
ควันหลงมาจากหนัง (จะแยกไปเขียนก็จะให้อารมณ์ที่ไม่ปะติดปะต่อ)...


โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับนักร้องดังทั้ง 3 คนในหนังเรื่อง La Bamba  นับเป็นเหตุการณ์หนึ่งในหายนะร้ายแรงที่สุดของวงการเพลงอเมริกัน

เรื่องนี้กลายเป็นตำนานเมื่อศิลปินโนเนมชื่อ Don Mclean นำเอาความรู้สึกของตนที่มีต่อการตายของพวกเขามาประกอบเป็นส่วนหนึ่งในเพลงอมตะเพลงหนึ่งของโลกคือ American Pie (1971 – เนื้อเพลงแนวอุปมาอุปมัยยอดเยี่ยมมาก)  เธอใช้สำนวนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘The Day the Music Died (The Day the Music Died is a line from the 1971 song American Pie by Don McLean, referring to a 1959 plane crash in which musicians Buddy Holly, Ritchie Valens, and The Big Bopper died - Wikiฯ’)  เป็นสำนวนที่ต่อมาเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกว่าหมายถึงใครบ้าง

ในเนื้อเพลงที่มีความยาวถึง 8.42 นาทีนี้ DM เขียนพาดพิงถึงเรื่องราวและบุคคลต่าง ๆ อีกมากมาย  แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่ออย่างตรง ๆ  จึงทำให้มีผู้คนหลากหลายต่างพยายามแกะปริศนาในเนื้อเพลงว่าหมายถึงใครหรือเหตุการณ์อะไรบ้าง  แต่ความหมายของ The day the music died นี้  DM เป็นคนเฉลยเอง
https://youtu.be/PRpiBpDy7MQ

 
เนื่องจากเพลงยาวมาก  เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า  ตอน บ. แผ่นเสียง UA ตัดสินใจตัดเป็นแผ่น single จึงต้องทอนความยาวของเพลงลงเหลือแค่ 4.11 แล้วใช้ชื่อว่า American Pie (part 1)  พอเพลงติดหูคนฟังและรู้ว่าถ้ามี part 1 ก็ต้องมี part 2  ต่างจึงโทรศัพท์เข้าไปที่สถานีวิทยุที่ตนฟังและบอกดีเจให้เล่นเพลงนี้ที่มีความยาวเต็ม ๆ  เพราะอยากรู้เรื่องราวต่อไปอีก  เหล่าดีเจ จึงต้องเล่นเพลงนี้จากแผ่น album แทน single อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน (สถานีวิทยุที่เมืองไทยเล่นฉบับเต็มจาก album  มาตั้งแต่ต้นเพราะบ้านเราไม่นิยม single)

ในปี 2022 Paramount+ ออกสารคดีชื่อ The day the music died: The story of Don Mclean’s ‘American Pie’ เล่าประวัติโดยสังเขปของ DM  โดยมีแก่นอยู่ที่งานแต่งเพลง American Pie  สิ่งที่จูงใจให้เขาเกิดความคิดที่จะแต่งเพลงนี้และอิทธิพลของเพลงนี้ต่อ generations ต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัยจนมาถึงปัจจุบัน
https://youtu.be/9RlTZdYXcKg


https://youtu.be/7-EhLdZ8PcQ


สารคดีมาจบที่ concert ชื่อ 50th Anniversary American Pie tour จัดที่อาคาร Surf Ballroom เมือง Clear Lake รัฐ Iowa  อันเป็นสถานที่ที่ ‘The three men I admire most’ จัด concert เป็นครั้งสุดท้ายก่อนโศกนาฏกรรม
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/25/a417uN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/a417uN)


ควันหลงของควันหลง...


นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนต้องรู้จักเพลง Killing me softly with his song (1973) ที่ร้องโดย Roberta Flack  แต่คงมีไม่กี่คนที่รู้เบื้องหลังของเนื้อเพลงนี้  ว่าแต่งขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ DM โดยเฉพาะ  เมื่อผู้แต่งเพลงได้เผอิญไปชมการแสดงสดของ DM ในปี 1971 แล้วประทับใจสุดขีด  การที่เพลงนี้ต่อมาดังระเบิดและกลายเป็นเพลงอมตะ  DM ก็พลอยได้อานิสงค์ของความเป็นอมตะไปด้วยทั้ง ๆ ที่เขาทำเพลงออกมาไม่มากและไม่มีเพลงไหนที่ดังสุด ๆ อีกเลยนับจาก American Pie

เพลงดังเพลงสุดท้ายของ DM ปี 1980
https://youtu.be/XjMNOouIb0k
(โดยส่วนตัวผมว่าเพลงบรรจุในแผ่น album นี้ (Chain Lightning) เพราะทุกเพลง)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ส.ค. 22, 13:48
จากข้อมูลที่รวบรวมมาจากแหล่งต่าง ๆ พบว่าที่อเมริกาในสมัยก่อน  เจ้าหน้าที่ที่เป็นเลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวลที่ทำงานอยู่ในสถาบันทางการเมืองและการทหารที่กระทำการใดนอกเหนือไปจากเรื่องปกติทั่วไปที่ทำ ๆ กันอยู่ (บนฐานของศีลธรรม) ของเพศหญิงและชายเมื่อถูกค้นพบจะถูกขัดขวางและเล่นงานโดยเหล่าผู้นำทางสถาบัน  โดยเฉพาะทางการทหาร  จะตั้งข้อหาบุคลากรเหล่านี้ว่า "creating an unacceptable risk to the high standards of morale, good order and discipline, and unit cohesion that are the essence of military capability"

ในปี 1993 ประธานาธิบดี Bill Clinton ประกาศที่จะยุติการกดขี่ข่มเหงนี้  นโยบาย 'Don’t ask, don’t tell (DADT)’ ถูกประกาศใช้ในเวลาต่อมา  แต่แนวของนโยบายยังคงที่จะกำหนดกลาย ๆ ให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นเลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวล  คงต้องซ่อนรสนิยมทางเพศต่อไปเพื่อแลกกับเสรีภาพในการทำงานโดยไม่ถูกคุกคามหรือไล่ล่า

นโยบายดังกล่าวที่ยังคงถูกละเลยโดยผู้บัญชาการระดับสูง  การไล่ล่าส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นเลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวลที่มีคุณสมบัติและความสามารถสูงมากกว่า 14,000 คนจำต้องจบอาชีพการงานของตนอย่างไม่ยุติธรรม

แม้ในปี 2011 ประธานาธิบดีโอบามาได้ตอกย้ำนโยบายดังกล่าวให้หนักแน่นขึ้น  แต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นเลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวลมากกว่าหนึ่งล้านคนยังคงทำงานอยู่ด้วยความหวั่นกลัวต่อการเลือกปฏิบัติ  พวกเขายังคงเลือกที่จะปิดบังรสนิยมทางเพศของตนต่อไป (deny everything) เพื่อแลกกับความก้าวหน้าในอาชีพการงาน


หนัง Burning Blue (2013) สร้างจากบทละครดังที่มาจากงานเขียนปี 1992 ของนายทหารตำแหน่ง U.S. Navy Aviator ที่รวบรวมประสบการณ์ที่ได้รู้ได้เห็นนำมาเขียนเป็นนิยาย

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/26/aBCiRq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/aBCiRq)


เรื่องราวเล่าความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของทหารนักบินที่เป็นเกย์ที่ได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม  ตัวละครเอกคือหนุ่มนักบินสังกัดกองทัพเรือที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ 2 นาย  คนหนึ่งแต่งงานแล้วในขณะที่อีกคนหนึ่งมีคู่หมั้น  ทั้ง 2 มาคลุกคลีกันในครั้งหนึ่งที่การฝึกซ้อมมาหยุดพักที่อ่าวใน New York 

เจ้าหน้าที่ในกะต่างนัดเจอกันในบาร์เพื่อร่วมกินเหล้าในตอนกลางคืน  แต่ในขณะนั้นยังเป็นตอนกลางวัน  ต่างคนจึงออกท่องเที่ยวหาความสนุก  D เลือกที่จะไปชมตึก Empire State  แต่เขาไม่ใช่คนในท้องที่จึงต้องงมหาทางไปในแผนที่  M เพิ่งทะเลาะกับแฟน เดินมาพบเข้าก็พูดคุยกันแล้วลงเอยที่ M ผู้คุ้นเคยถิ่นอาสาพา D ไปชมตึก

หลังจากนั้นทั้งสองพักผ่อนด้วยการหาเหล้ากินค่าเวลาและได้พบผู้หญิงหากินซึ่งพาหนุ่มทั้ง 2 ไปร่วมสนุกในบาร์  พอเมาได้ที่ก็ไปหาห้องเช่าเพื่อ ‘ปฏิบัติกิจ’  จาก 2 คู่ชู้ชื่นมาจบที่ 4 คนอลเวง

จากคืนอลเวงนั้น D ผู้มีแนวโน้มมากกว่า M  ยอมรับความรสนิยมทางเพศของตัวเอง  แต่ M ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองฝักไฝ่ในทางไหน  อย่างไรก็ตาม กาลเวลาต่อมาก็ทำให้ M ยอมรับรสนิยมของตัวเองในที่สุด 

D เลิกกับคู่หมั้น  ในขณะที่ M ขอหย่าเมีย  หนุ่มทั้ง 2 เตรียมพร้อมที่จะสานความสัมพันธ์กัน  แต่แล้วในชั่วโมงฝึกบินที่มาถึงเกิดอุบัติเหตุ M ถึงแต่ความตาย

อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้หน่วยงาน NCIS เข้ามาสอบสวนถึงสาเหตุ  พวกเขาพบว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุ M ทะเลาะกับเมีย  ในขณะเดียวกันก็มีสายสืบยื่นหลักฐานเป็นรูป D กับ M อยู่ด้วยกันในที่รโหฐาน  แม้รูปจะไม่แสดงความผิดปกติแต่อย่างใด  แต่จากการสอบปากคำเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ก็ได้เค้าว่าทั้ง 2 มีความพึงพอใจต่อกันเป็นพื้นอยู่แล้ว

ในเมื่อ M ตายไปแล้ว  จึงเหลือแต่ D ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของการขูดรีดหาความผิดในข้อหา ‘เสี่ยงต่อภาพพจน์อันดีงามของสถาบัน’

ฉากที่ตึก Empire State
https://youtu.be/4V9xYmVeNL4


งานปาร์ตี้ที่คนอื่น ๆ เริ่มระแคะระคาย
https://youtu.be/jsUGvhq2MLM


ความเห็นที่ต่างกัน
https://youtu.be/e1FWoMLjAU0


กลับมาพ้องต้องกันในที่สุด
https://youtu.be/w5mtX7FnO3M


งานศพ M
https://youtu.be/2EojVDDg3xM


หลังจาก M ตาย  ก็เหลือ D และคนใกล้ชิดที่เหลือที่เกี่ยวข้องที่ตกเป็นเหยื่อของการไล่ล่า
https://youtu.be/zElzcOQWLLo


การเลือกปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมลงเอยที่สถาบันต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถไป (อีก) คนหนึ่ง
https://youtu.be/bNiztacMAJ0


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/hyI58_ig3-Q



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 ส.ค. 22, 14:54
The Dig ออกฉายเมื่อปีที่แล้ว  หนังจากอังกฤษถ่ายทอดจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 1939 ณ บริเวณที่เรียกว่า Sutton Hoo ในมณฑล Suffolk ของอังกฤษ เมื่อเศรษฐีนีหม้าย Edith Pretty สังเกตว่าส่วนหนึ่งบนดินแดนของเธอเป็นเนินที่มีลักษณะไม่น่าจะใช่ของธรรมชาติ  เธอจึงจ้าง Basil Brown นักโบราณคดีที่สั่งสมความรู้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเองมาขุดเพื่อหาความจริง

BB ขุดไปได้ช่วงหนึ่งก็พบว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรือโบราณ  เพียงแค่นี้ข่าวก็แพร่ออกไปถึงหูหน่วยงานสำคัญ 2 แห่งคือพิพิธภัณฑ์ Ipswich และกลุ่มนักโบราณคดีจาก Cambridge

ทั้งหมดเดินทางมาที่ site เพื่อถกปัญหาเพราะตอนนี้แหล่งที่เกิดเหตุนี้กลายเป็นเรื่องระดับชาติแล้ว  แต่ EP ค้านว่าแหล่งดังกล่าวเป็นสมบัติของตระกูลเธออย่างถูกต้องตามกฎหมาย

เรื่องถกเถียงระงับไปชั่วคราว  ตอนนี้ต่างช่วยกันขุดต่อไป  ในที่สุดความลับก็เผยออกมาอย่างตะลึงงันเมื่อ  จนท. ขุดพบ iron rivets ที่ใช้ในการประกอบเรือที่เป็นจุดบ่งบอก timeline ว่าเรือลำนี้ไม่ได้มีอายุอยู่ในช่วง Viking อย่างที่เข้าใจกัน  หากมีอายุย้อนเลยไปถึงยุค Anglo-Saxon ที่เริ่มต้นประมาณ ศต. ที่ 5 เป็นต้นไป  อยู่ในยุคกลางหรือที่เรียกกันทั่วไปว่ายุคมืด  อันเป็นยุคที่ (ในตอนนั้น) นักประวัติศาสตร์รู้ข้อมูลน้อยมาก

การขุดดำเนินต่อไปอีกก็พบของมีค่ามากมายพอที่จะสรุปได้ว่าเรือลำนี้คือสุสานของบุคคลสำคัญ  ซึ่งจากการศึกษาเพิ่มเติมถึงปัจจุบันคาดว่าน่าจะเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อว่า Readwald of East Anglia ที่ครองเมืองอยู่ในช่วง ศต. ที่ 6 (ตัวเลขไม่แน่นอน)

นี่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก 

EP ตกลงมอบสมบัติทุกอย่างให้กับ British Museum แต่ช่วงนั้นอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมนี  เพื่อป้องกันการเสียหาย  จทน.  จึงต้องเอาสมบัติทั้งหมดไปซ่อนไว้ในสถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน  จนกระทั่งสงครามสงบและเหตุการณ์บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ  จึงได้นำสมบัติดังกล่าวออกโชว์ให้คนทั่วไปได้ชม
https://youtu.be/JZQz0rkNajo


หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ดูสนุกน่าติดตาม  แต่สิ่งที่สนุกกว่าคือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้มาจากการดู

มีช่วงหนึ่งที่ตัวละครในหนังเล่าเรื่อง cellist สาวที่วันหนึ่งขณะซ้อมดนตรีในสวน  ก็มีนก nightingale เข้ามาส่งเสียงคลอเคลีย  เธอเกิดความคิดใหม่จึงไปติดต่อ BBC ให้มาอัดเสียง  วันนั้นเธอเล่น cello อยู่นานก็ไม่มีเสียงอะไรปรากฏให้ได้ยิน  แต่แล้วก่อนที่จะล้มเลิกความตั้งใจ  เสียงนก nightingale เสียงหนึ่งก็ขานเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียง cello ของเธอ
https://youtu.be/iOUb48W1_90
(ตอนผมหยุดหนังเพื่อมาค้นเรื่องนี้ก็พบว่าคนที่เข้ามาค้นเรื่องนี้ต่างก็กำลังดู The Dig (ในช่วงเวลาต่างกัน) แล้วหยุดพักเพื่อเข้ามาหา clip เหมือนกันทั้งนั้น)


นี่คือ Sutton Hoo Treasure ของจริงที่เอ่ยถึงในเรื่อง
https://youtu.be/s5CgXBH6Xs4


https://youtu.be/5JSe_rs3pfg


https://youtu.be/QzjzUwewN6o


นักแสดงนำฝ่ายชายคือ Ralph Fiennes  ผมรู้จักเธอครั้งแรกในบท Amon Goeth ในหนัง Schindler’s list (1993)  เธอเล่นเป็นนาซีหนุ่มหล่อแต่มีความอำมหิตเต็มขั้นขนาดยิงคนบริสุทธิ์เป็นว่าเล่น
https://youtu.be/ZKie_34cpJI
มาในปี 2021 กาลเวลาไม่เคยปรานีใคร


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/08/29/aT0GHy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/aT0GHy)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 ส.ค. 22, 15:17
หนัง The Goonies (1985) มาฉายในโรงเครือสยาม  ตอนดูครั้งแรก  มันสนุกอย่างบอกไม่ถูก  จำต้องกลับไปดูใหม่เป็นครั้งที่ 2  แล้วก็ครั้งที่ 3 อันเป็นครั้งที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่เคยลืม  กล่าวคือวันนั้นฝนตกหนัก  และหนักมากจนน้ำท่วม  น้ำท่วมเข้ามาในโรงจนคนดูที่นั่งดู (แบบตาถ่าง) อยู่แถวหน้า ๆ ต้องย้ายมานั่งดูบนขั้นบันไดที่อยู่สูงขึ้นไป  

ผมได้ยินคนคุยกันว่า  ตอนน้ำไหลเข้ามา  ไม่ได้มีแค่น้ำ  แต่พาแมลงสาบมาเป็นโขลง  มิน่ามีเสียงสาวร้องกันวี้ดว้าย  ผมนึกว่าเป็นเรื่องน้ำท่วม  เป็นเหตุการณ์ที่สนุกสนานพอ ๆ กับความสนุกของหนังที่เกี่ยวกับการผจญภัยของเด็ก ๆ

สำหรับผม ๆ ชอบฉากในช่วงแรกของเรื่องมากที่สุด

ฉากเปิดเรื่อง  ตอนดูครั้งแรกนึกว่าเป็นหนังหนัก ๆ พอฉายมาเห็นหน้าคุณแม่หัวหน้าแก๊งค์ (Anne Ramsey ที่ต่อมาเป็นดาราคนโปรดคนหนึ่งของผม) ก็นอนใจได้ว่าต้องเป็นหนังตลกสมกับที่ SP บอกไว้
https://youtu.be/Fh2AvpJTIrA


บรรยายตามท้องเรื่องดูสบาย ๆ ขณะดูก็คิดอยู่ในใจว่าอยากมีส่วนร่วมอยู่ในหนังจัง
https://youtu.be/kr_z37TgQO4

https://youtu.be/kXUtuiGj3Wg

https://youtu.be/3yhEuJkoCg8


การผจญภัย
https://youtu.be/fr36tt4mUyM

https://youtu.be/pUO7Ip0Xc10

https://youtu.be/jNs0Ftbn81Y


ตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ คุณแม่หัวหน้าแก๊งค์หน้าตาย
https://youtu.be/ZPHIUHdUs7g


แล้วก็ Chunk
https://youtu.be/hua7EQjPGJk


เพลงเอกของหนัง
https://youtu.be/LxLhytQ67fs


ฉากของหนังในยุคปัจจุบัน (2015)
https://youtu.be/9i37buUepvY


นักแสดงเด็ก ๆ น่ารัก ๆ ทั้งนั้น  แล้วตอนนี้ล่ะ
https://youtu.be/q3vf5zUiJns


หมายเหตุ - In 2017, the film was selected for preservation in the United States National Film Registry by the Library of Congress as being "culturally, historically, or aesthetically significant".


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 ส.ค. 22, 16:53
1408 ออกฉายในปี 2007  ผมไม่รู้ว่ามันมาฉายในโรงเมืองไทยรึเปล่าเพราะตอนนั้นผมแก่แล้วก็ขี้เกียจเดินทาง  อีกทั้งประสบการณ์ที่ได้รับจากมรรยาทของคนดูหนังในโรงหนังในช่วงท้าย ๆ ไม่ประทับใจ  เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น  ตัวใครตัวมันกันมากขึ้น  นับวันก็จะไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัวร่วมกันในสังคม

ทีวี I/UBC  ช่วยให้ชีวิตผมมีความสุขขึ้น  ไม่ต้องกลั้นใจออกไปคลุกคลีกับคนประเภทนั้น

หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายของ Stephen King เล่าเรื่อง Mike Enslin นักเขียนนิยายเกี่ยวกับเรื่องเหนือจริงที่ไม่เคยมีความเชื่อในเรื่องนี้เลย  ชีวิตแต่งงานของเธอกับเมียกำลังย่ำแย่หลังจากการตายของลูกสาว  วันหนึ่งก็ได้รับ postcard ฉบับหนึ่ง  หน้าปกแสดงรูปโรงแรมชื่อ The Dolphin ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหนึ่งใน New York  ใน postcard มีข้อความสั้น ๆ อ่านสรุปได้ว่า  อย่าไปเช่าห้องหมายเลข 1408

ME ออกเดินทางไปยังโรงแรมและจองห้องพักหมายเลขนั้นทันที

เป็นหนังผีที่ดูสนุกและน่าตื่นเต้นตลอดเรื่อง

ฉากหลอนต่าง ๆ  มีที่มาที่ไปที่เดาไม่ออกเลย
https://youtu.be/q2LhO4T9o58

https://youtu.be/vBRhg7cXeEU

https://youtu.be/JSeN5pu4MZY


ตอนจบ
https://youtu.be/6jcBPZu40oc

https://youtu.be/Dsd-_4V0FUk

 
ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/WIASqPZqnhs



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 ก.ย. 22, 14:16
Jacqueline Kennedy เป็นเมียประธานาธิบดี John F. Kennedy  นามสกุลก่อนแต่งของเธอคือ Bouvier  เธอมีน้าซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อชื่อ Edith Bouvier หรือเรียกเล่น ๆ ว่า Big Edith

BE มีลูกสาวชื่อเดียวกัน หรือเรียกเล่น ๆ ว่า Little Edith

ชื่อทั้งหมดที่กล่าวมานี้  แต่ดั้งเดิมเป็นตระกูลผู้ดีมีกินของอเมริกา  ต่อมา JK รุ่งโรจน์ด้วยการเป็นเมียประธานาธิบดี  ในขณะที่ครอบครัวลูกพี่ลูกน้องมีเส้นชีวิตที่ตกต่ำลงเนื่องจากฟุ้งเฟ้อและจมไม่ลง

ต่อมาเส้นทางการใช้ชีวิตของ 2 ลูกพี่ลูกน้อง JK กับ LE ก็แยกกันโดยเด็ดขาด  ครอบครัวของ Big & Little Edith หลบหายไปจากวง jet set  ทั้ง 2 อยู่อย่างเรียบง่ายด้วย trust fund ที่มีแต่จะร่อยหรอลงเรื่อย ๆ ในคฤหาสน์ Grey Gardens ใน Long Island  คฤหาสน์สวยงามที่แต่ก่อนใช้เป็นที่พักตากอากาศในฤดูร้อนเป็นมรดกตกทอดเพียงหลังเดียวที่จำต้องยึดไว้พักพิง

กาลเวลาผ่านไปความยากจนเปลี่ยนสภาพของ Grey Gardens กลายเป็นสลัมสกปรกเหม็นไปด้วยของเน่าเสีย ขยะเกลื่อนไปทุกตารางนิ้ว  แมวหลายสิบตัวและสัตว์อื่น ๆ เข้ายึดอาศัยอยู่ทุกมุมบ้าน  แต่ 2 แม่ลูกผู้อยู่อาศัยยังคงความเอกลักษณ์และความเท่ไม่เปลี่ยนแปลง

ความเสื่อมโทรมแพร่กระจายออกไปจนเจ้าหน้ารัฐต้องเข้ามาดูแลซึ่งไม่ได้รับการยินยอม  ทางหน่วยงานจึงต้องทำเรื่องร้องเรียนไปยัง JK ซึ่งตอนนี้ใช้นามสกุลของอภิมหาเศรษฐีว่า Onassis  เธอจึงส่งคนมาดูแลทำความสะอาดเท่าที่จะทำได้

ในปี 1975 มีนักสร้างหนังอิสระเดินทางมาเจรจากับครอบครัว BE & LE เพื่อขอสร้างสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของทั้ง 2  สารคดีเรื่องนี้ใช้ชื่อว่า Grey Gardens

สารคดีเรื่องนี้ได้รับเลือกอยู่ในอันดับที่ 9 ของสารคดีที่สร้างได้ยอดเยี่ยมตลอดกาล

ในปี 2009 HBO สร้างหนังยาวสำหรับฉายทางทีวีเรื่อง Grey Gardens นำเสนอเบื้องหลังการสร้างสารคดี GG ฉบับแรกพร้อม ๆ กันนั้นก็ถ่ายทอดชีวิตของสองแม่ลูกในยุคที่กำลังรุ่งเรืองด้วย  โดยให้ Jessica Lange เล่นเป็น Big Edith และ Drew Barrymore เล่นเป็น Little Edith
https://youtu.be/WtmXFIEht4U

https://youtu.be/vdH7f33GzlE


Grey Gardens ในยุครุ่งเรืองและฟุ้งเฟ้อ
https://youtu.be/-s6fzM8O2LY

https://youtu.be/vUvAQNU2zYE


ความเสื่อมโทรมของ Grey Gardens
https://youtu.be/3ZH1zRB8FNU


เมื่อสารคดี (ฉบับ 1975) สร้างเสร็จและออกฉายให้สื่อชม  LE เดินทางไปเปิดงาน  เธอมีความสุขที่ได้กลับคืนสู่แสง spotlight อีกครั้ง
https://youtu.be/FtZcnQryeQc


การเปรียบเทียบฉากต่อฉากระหว่างต้นฉบับปี 1975 กับ ฉบับปี 2009 
https://youtu.be/edcyRJLgn_I


ฉบับที่ผมนำเสนอคือฉบับปี 2009 ได้รับคำชมอื้ออึง  และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทางทีวีมากมายหลายสาขา  ดารานำทั้ง 2 ต่างก็ได้รางวัลไปนอนกอดสมกับความสามารถในการแสดงที่ถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีที่ติ

Grey Gardens – then and now
https://youtu.be/ssNa9g3rH7w


ตัวอย่าง
https://youtu.be/FtilEZ85XzQ


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/01/agdUEb.jpg) (https://www.picz.in.th/image/agdUEb)
Big Edith กับ Little Edith เมื่อครั้งยังรุ่งโรจน์


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 22, 14:44
Jacqueline Kennedy เป็นเมียประธานาธิบดี John F. Kennedy  นามสกุลก่อนแต่งของเธอคือ Bouvier  เธอมีน้าซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อชื่อ Edith Bouvier หรือเรียกเล่น ๆ ว่า Big Edith

คุณโหน่งแก้หน่อยเถอะค่ะ น้องสาวของพ่อเรียกว่า "อา" ค่ะ ไม่ใช่ "น้า"


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ก.ย. 22, 13:58
Jacqueline Kennedy เป็นเมียประธานาธิบดี John F. Kennedy  นามสกุลก่อนแต่งของเธอคือ Bouvier  เธอมีน้าซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อชื่อ Edith Bouvier หรือเรียกเล่น ๆ ว่า Big Edith

คุณโหน่งแก้หน่อยเถอะค่ะ น้องสาวของพ่อเรียกว่า "อา" ค่ะ ไม่ใช่ "น้า"

ขอบคุณครับ  มัวแต่พะวงเรื่องตัวสะกด


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ก.ย. 22, 14:00
Stardust (2007) เป็นหนังแฟนตาซีที่มีไอเดียแปลก ๆ  ภาพตื่นตา  เนื้อเรื่องบางเบาออกไปในทางตลก  เล่าเกี่ยวกับคู่หนุ่มสาวอาศัยอยู่ในเมืองที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนระหว่างโลกแห่งความจริงกับโลกแฟนตาซี

หนุ่มสาวคู่นี้รักกันแต่ความรักมีอุปสรรคเพราะมีอีกหนุ่มหนึ่งที่เหนือกว่าในหลายด้านขวางไว้  แต่สาวเจ้าก็ให้ความหวัง  ถ้าต้องการจะแต่งงานกับเธอก็จะต้องไปตามหา ‘Fallen Star’ มาให้เธอก่อน

นี่คือเรื่องคร่าว ๆ เนื้อเรื่องจริงซับซ้อนนิดหน่อยเป็นต้นว่า ‘Fallen Star’ อยู่ในแดนแฟนตาซี  จะเข้าไปหาได้อย่างไร  แล้วมันมีหน้าตาอย่างไร  แล้วจะต้องผจญภัยกับอะไรบ้าง

Fallen Star เกิดจากน้ำมือกษัตริย์ในแดนแฟนตาซีซึ่งกำลังจะตาย (Peter O’Toole)  พระองค์มีแต่ลูกชายหนุ่มซึ่งล้วนโหลยโท่ย ก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะมอบแผ่นดินให้ใครดีเลยเอาอัญมณีขว้างขึ้นไปในอากาศแล้วบอกลูก ๆ ว่าใครเก็บอัญมณีเม็ดนี้ได้ก็จะได้ครองบัลลังก์  ลูกเฮงซวยทั้งหลายก็แก่งแย่งกันเป็นสามารถ

ทีนี้อัญมณีที่ขว้างไปดันไปชนดาวดวงหนึ่งทำให้มันตกจากฟ้า  เป็นจุดเริ่มต้นของ Fallen Star ที่สาวเจ้าในแดนมนุษย์ที่เห็นตอนมันตกแล้วอยากได้
https://youtu.be/4FzJhVqv7xc

https://youtu.be/uopoXtR0Kjk


ผมว่าจุดเด่นที่สุดของหนังคือ Robert De Niro เธอเล่นเป็นหัวหน้าโจรสลัด  เรือของเธอแล่นอยู่ในอากาศไม่ใช่บนผิวน้ำ  ท่ามกลางความเหี้ยมโหดที่ลูกน้องกลัวกันลนลาน  เธอเป็น ‘อีแอบ’  RDN เล่นได้น่ารักน่าชังมาก
https://youtu.be/dKSAKBEI4w0

https://youtu.be/_NrqftLip64


อย่างไรก็ตามเหล่าลูกน้องต่างก็รู้ความลับของเจ้านายของตนมานานแล้ว  แต่ไม่มีใครรังเกียจแถมยังจงรักภักดีเต็มหัวใจเพราะ ‘You’ll always be our captain’
https://youtu.be/2cPhv4tqeho


Michelle Pfeiffer เล่นเป็นแม่มดหัวโจก  เธอมาพร้อมกับฉากอลังการ ๆ
https://youtu.be/TIqXKz-MUmU


ฉากประลองพลังครั้งสุดท้ายสนุกมาก  จ้องตาไม่กระพริบ
https://youtu.be/5FZ7jNq8A00
(พวกผีที่เห็นคือบรรดาพี่น้องลูกห่วย ๆ ของกษัตริย์ที่ฆ่ากันเองตายไปเรื่อย ๆจนเหลือคนสุดท้าย)


https://youtu.be/dkdrbg4EwGA

https://youtu.be/JTu1R4b1yZQ
ติดตามมาถึงฉากนี้ก็รู้ว่า Fallen Star คืออะไร (ใคร)


ในฉากจบคนที่ได้ครองดินแดนแฟนตาซีกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยฮีโร่
https://youtu.be/mkFGVy2tBsk


พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าหนังสนุกมาก   อิ่มเหมือนกินอาหารโปรดหนึ่งจานใหญ่โดยไม่มีใครมาแย่ง


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/-wwv427DAvA



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 02 ก.ย. 22, 14:35
เห็นชื่อหนังฟังครั้งแรกนึกถึงหนังไทยเรื่อง ละอองดาว (สมบัติ-พิศมัย - ๒๕๐๗)

ละอองดาวฝรั่ง (๒๕๕๐) แนวแฟนตาซี ผจญภัย ตลก  สนุกมาก รับประกันคุณภาพ ;D


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 ก.ย. 22, 13:56
เห็นชื่อหนังฟังครั้งแรกนึกถึงหนังไทยเรื่อง ละอองดาว (สมบัติ-พิศมัย - ๒๕๐๗)

ละอองดาวฝรั่ง (๒๕๕๐) แนวแฟนตาซี ผจญภัย ตลก  สนุกมาก รับประกันคุณภาพ ;D

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/05/aEdYkq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/aEdYkq)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 ก.ย. 22, 14:24
ตอนต้นยุค 80s สถานีวิทยุช่องประจำที่ผมฟังเปิดเพลง ๆ หนึ่ง  เป็นเพลงช้าเนิบนาบ  เสียงร้องเป็นของผู้หญิง  เสียงเธอห้าว  ฟังเธอร้องในทำนองเพลงเชื่องช้าแล้วรู้สึก หลอน

อย่างไรก็ตาม กลับเป็นว่าผมติดใจเพลงนี้  ทำนองมันแปลกกว่าเพลงอื่นที่ร่วมยุค  พอจบเพลง  เสียงดีเจแจ้งว่าเป็นเสียงร้องของ Patsy Cline  ชื่อเพลงคือ Always

ชะรอยดีเจจะมีญาณทิพย์รู้ว่าผมชอบ  เธอจึงหมั่นเปิดเพลงนี้ให้ฟังอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง  

สมัยนั้นโลกหมุนช้า  สิ่งที่เข้ามาในชีวิตจะค่อย ๆ ทยอยมา  มาแล้วก็อ้อยอิ่งอยู่ก่อนจะค่อย ๆ จากไป  ไม่ได้พลุกพล่านไอ้โน่นเข้ามาไอ้นี่ก็เข้ามาไอ้นั่นก็เข้ามา มาแล้วก็แว้บ ๆ หายไป เหมือนเดี๋ยวนี้  คนโตในยุคจรวดนี้จึงไม่ค่อยมีความทรงจำประเภท nostalgia
  
ผมโชคดีที่เกิดก่อน  ไม่ได้โตในยุคจรวดนี้  ผมจึงมีความทรงจำประเภท nostalgia มากมาย  

เพลง Always ไม่ได้เปิดกระหน่ำในสถานีวิทยุ  แต่ความที่โลกหมุนช้าผมจึงจำได้แม่น
  
ตอนได้ฟังดีเจประกาศครั้งแรก  ผมคิดว่านี่คือนักร้องหน้าใหม่เพราะผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน  ผมพยายามหาเพลงนี้ของเธอตามอันดับเพลง Billboard ในหนังสือ SP และ I.S. Song hits แต่ก็ไม่เจอ  แล้วสถานีวิทยุก็เปิดเพลง Always เพลงนี้เพลงเดียว  ไม่มีเพลงอื่นๆ ของเธอตามมาอีกเลย  พอเลิกเปิดเพลงนี้  ชื่อของเธอก็หายไปกับกาลเวลา

 
มาปี 1985 SP ฉบับหนึ่งเล่าเรื่องหนังที่กำลังจะออกฉาย มีชื่อว่า Sweet Dreams หนังเล่าประวัตินักร้องดังในอดีตเป็นผู้หญิงชื่อว่า Patsy Cline
 
อ่านถึงตรงนี้ผมก็รู้แล้วว่า Patsy Cline คือใคร    SP เล่ารายละเอียดของหนังว่า PC เป็นนักร้องในยุคต้น 60s  ถ้าอ้างอิงกับความคุ้นเคยของคนไทย  ความดังของเธออยู่ร่วมยุคเดียวกับ Sue Thompson

ถึงแม้ผีเพลงจะสิงผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่เคยได้ยินเพลงของ PC ตามรายการสถานีวิทยุในบ้านเราเลย  เคยได้ยินครั้งแรกก็จากที่เล่ามาในตอนต้น

SP เล่าต่อว่า PC ดังอยู่ในวงการแค่แป๊บเดียวก็จากไป  คือเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกตาย

รู้เรื่องเพียงแค่นี้ก็อยากดูหนังเป็นกำลัง  แต่ก็เสียวว่ามันจะไม่มาฉายเพราะเป็นหนังแนวเฉพาะทาง  ซึ่งก็จริง  หนังไม่มา  แต่ผมก็กระเสือกกระสนไปหาวิดีโอมาดูจนได้
https://youtu.be/-pZHy6qhaiE


PC ตายตอนที่ยังดังค้างฟ้า (อายุแค่ 30)  พื้นเพความชำนาญของเธออยู่ในแนว country แต่เพลงของเธอติดหูชาวเพลง pop ด้วย  เธอจึงนับเป็นศิลปิน country หญิงคนแรกที่สามารถนำเพลงข้ามฟากมาดังฝั่งเพลง pop ได้  สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอเป็นตำนานของวงการเพลง

วันที่ 3 มี.ค. 1963 หลังจากจบการแสดงสดที่ Kansas  PC พร้อมนักร้อง country อีก 2 ขึ้นเครื่องบินกลับ Nashville  ท่ามกลางอากาศอันวิปริตเครื่องบินตกในป่าห่างจากจุดหมายปลายทาง 140 กม.  

เหตุการณ์ในหนังเผยให้เห็นว่าเครื่องบินบินชนผา  แต่ผมหาข้อมูลละเอียดแบบนี้ไม่ได้  เอาเป็นว่าแรงกระแทกทำให้ทุกคนบนเครื่องตายหมด  เจ้าหน้าที่เข้ามาเคลียร์พื้นที่และเก็บศพ  พบนาฬิกาข้อมือของ PC เข็มค้างอยู่ที่เวลา 6.20 p.m.

ในหนัง Jessica Lange สวมบท PC  การแสดงของเธอเด่นมากจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  และเป็นสาขาเดียวในหนังที่ได้เข้าชิง

สิ่งหนึ่งจากฝีมือการแสดงของเธอที่ทำให้ทุกคนกล่าวขานและเอามาอ้างอิงจนถึงปัจจุบันคือ  การ lip-sync ของเธอที่เข้ากับเสียงร้องของ PC ที่ร้องอัดแผ่นแนบเนียนจนไม่เห็นรอยต่อ
https://www.youtube.com/watch?v=FoYkwAeuU5w

https://youtu.be/hTDSprGJOTc

https://youtu.be/CfZym--zkVc
(... ทำเรื่องนี้มานาน  จำไม่ได้แล้วว่า  clip นี้เกี่ยวกับอะไร  เลยหาใหม่มาทดแทนไม่ได้)

ตอนดู  ผมหวังว่าในหนังจะมีเพลง Always ที่ผมชอบแต่ไม่มี  อย่างไรก็ตามผมรู้แล้วว่า Patsy Cline คือใคร  พอดูหนังจบผมก็ไปหาซื้อแผ่นเสียง soundtracks หนังเรื่องนี้มาฟัง  แผ่นนี้นับเป็นแผ่น ‘Greatest Hits’ ของเธอโดยปริยาย  เพราะผลงานของเธอมีน้อยมาก

จนกระทั่ง youtube ถือกำเนิด ผมก็ได้มีโอกาสตามหาเพลง Always ของผม  ซึ่งก็พบแต่ว่าทำนองต่างกันกับฉบับที่เคยได้ยินทางวิทยุเมื่อนานมาแล้ว
https://youtu.be/fOC0Ltu1T8s


ผมก็ออกอาการ งง ตามปกติ  เอ... แล้วฉบับที่ฉันเคยฟังเมื่อต้นยุค 80s มันมาจากไหนละหว่า

ความที่ผมเป็นลูกอีช่างขุดและไม่เคยย่อท้อที่จะขุดจนกว่าจะเจอ  จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้เอง  ข้อมูลใน google ที่มีมากขึ้นทำให้ผมพบในที่สุดว่า  ในปี 1980 มีคนนำเพลงบางเพลงของ PC มาเรียบเรียงดนตรีใหม่  เหมือนอย่างที่คนไทยเราเคยทำมาแล้วกับนักร้องเก่า ๆ แล้วโฆษณาว่า ‘อภิมหาอมตะนิรันดร์กาล’ นั่นแหละ

ขณะที่ผมไม่แยแสกับเพลงไทยฉบับเรียบเรียงใหม่นี้  เพราะผมชอบต้นฉบับมากกว่าถึงจะเป็นแผ่นครั่งมีเสียงฝนตกหรือเสียง Mono ก็ตาม  แต่ฉบับที่ฝรั่งเอาเพลง PC มาทำใหม่ผมกลับชอบ  เหตุผลคือผมรู้จักเพลงเธอครั้งแรกจากการนำมาเรียบเรียงใหม่แล้วนั่นเอง
https://youtu.be/DBPDreG26zg

https://youtu.be/HG-8uZg2uV0

https://youtu.be/lgGI-HOQZBk


หมายเหตุ – ในอดีตมีนักร้องดัง ๆ ตายจากเครื่องบินตก คนที่มีผลงานที่คุ้นหูพวกเรา (ยกตัวอย่างถึงแค่ John Denver (1997))  ก็เช่น

Jim Reeves (1964 อายุ 40)
https://youtu.be/bpi8Bek6jdM


Otis Redding (1967 อายุ 26)
https://youtu.be/rTVjnBo96Ug


Jim Croce (1973 อายุ 30)
https://youtu.be/bCteGIv9nSQ
(นี่เป็นเพลงที่พวกเราผีเพลงฝรั่งทุกคนรู้จักและรักที่จะฟัง  แต่ไม่ใช่เพลงดังที่สุดที่บ้านของเธอ   เพลงนั้นคือ Time in a bottle ที่มีคนไทยเอามาแปลงเป็นเพลงไทย ใคร ๆ ฟังแล้วก็บอกว่าเพลงนี้เพราะจัง  แต่มีน้อยคนที่รู้ว่าไปเอาทำนองมาจากเพลงของชาวบ้าน (ไม่รู้จ่ายค่าลิขสิทธิ์เค้ารึเปล่า))

https://youtu.be/i6rLH-X5fR8


Rick Nelson (1985 อายุ 45)
https://youtu.be/60XTeHM9iLQ
(พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เธอก็ปรับเปลี่ยนชื่อของตัวเองจาก Ricky เป็นแค่ Rick ให้เข้ากับความเป็นผู้ใหญ่ เพลงนี้เป็นเพลงดังสุดท้าย (ได้แผ่นทองคำ) ของเธอ (1972))



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 22, 16:14
คุณโหน่งคงไม่แปลกใจเมื่อดิฉันบอกว่ารู้จักเพลง Always   มันเป็นหนึ่งในเพลงเพราะยุค 1960s  ที่ผ่านหูบรรดาเบบี้บูมเมอร์
ในยุคนั้นมีเพลงหวานๆ ซึ้งๆ เนิบนาบแบบนี้หลายเพลง   ล้วนเนื้อร้องเพริศแพร้วกว่านี้มาก  ถ้ากล่าวสัญญารัก ก็ไม่ใช่แค่ "รักเสมอ" หรือ "รักตลอดไป"  แต่เป็น "รักชั่วนิจนิรันดร"  "รักตลอดกัลปาวสาน"  "รักชั่วฟ้าดินสลาย"
ตัวอย่างเพลงที่รักกันอลังการงานสร้างก็เช่น Eternally, Till the End of Time , The Twelve of Never , Till (the moon deserts the sky) 
เพราะฉะนั้น Always  เลยฟังจืดๆ  ไปหน่อย แม้คนร้องร้องเพราะมาก แต่เสียงแบบนี้  Patti Page กับ Rosemary Clooney  นั่งบัลลังก์อยู่แล้ว
อ้อ  ตอนต้นของเพลง ฟังคล้ายๆตอนต้นของ Eternally ด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=feK-2vQuawE


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ก.ย. 22, 12:36
คุณโหน่งคงไม่แปลกใจเมื่อดิฉันบอกว่ารู้จักเพลง Always   มันเป็นหนึ่งในเพลงเพราะยุค 1960s  ที่ผ่านหูบรรดาเบบี้บูมเมอร์
ในยุคนั้นมีเพลงหวานๆ ซึ้งๆ เนิบนาบแบบนี้หลายเพลง   ล้วนเนื้อร้องเพริศแพร้วกว่านี้มาก  ถ้ากล่าวสัญญารัก ก็ไม่ใช่แค่ "รักเสมอ" หรือ "รักตลอดไป"  แต่เป็น "รักชั่วนิจนิรันดร"  "รักตลอดกัลปาวสาน"  "รักชั่วฟ้าดินสลาย"
ตัวอย่างเพลงที่รักกันอลังการงานสร้างก็เช่น Eternally, Till the End of Time , The Twelve of Never , Till (the moon deserts the sky)  
เพราะฉะนั้น Always  เลยฟังจืดๆ  ไปหน่อย แม้คนร้องร้องเพราะมาก แต่เสียงแบบนี้  Patti Page กับ Rosemary Clooney  นั่งบัลลังก์อยู่แล้ว
อ้อ  ตอนต้นของเพลง ฟังคล้ายๆตอนต้นของ Eternally ด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=feK-2vQuawE


แสดงว่าเพลง Always ฉบับ 'ออริจินั่น' มาเปิดที่บ้านเราเหมือนกัน  ตอนนั้นคงไม่สะกิดหูโหน่ง  แต่ Eternally ของ SV เพราะขาดใจ  พอ ๆ กับเพลง Broken hearted melody ที่มีจังหวะเด็ดขาดไปเลย  แล้ว 'จาร ต้องเคยได้ยิน Fascination (Jane Morgan) อย่างแน่นอนนะครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ก.ย. 22, 12:52
ชื่อเสียงของ Jessica Lange เริ่มติดหูนักดูหนังจากเรื่อง King Kong (1976) อันเป็นฉบับสร้างใหม่  นั่นเป็นหนังเรื่องแรกของเธอ  หนังเข้ามาฉายในบ้านเรา  ผมก็เข้าโรงฯ ไปนั่งป๋อหลอดูแต่จำรายละเอียดอะไรอื่นไม่ได้นอกจากเสียงเธอกรีดร้องวี้ด ๆ
https://youtu.be/Oj_tYIWIEEA


จำได้ว่า SP เล่าว่า นักวิจารณ์เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ต่างบอกว่าเธอเริ่มต้นได้ไม่ดี (เพราะเป็นเจ้าสาวของ KK) อนาคตทางการแสดงคงไปได้ไม่ไกล

ชะรอยเธอคงได้ยินแล้วรีบปรับเปลี่ยนบทบาททางการแสดง  บทของเธอในหนังเรื่องต่อ ๆ มาจึงเข้มข้นขึ้นดังเช่น เรื่องต่อมาที่ผมตีตั๋วเข้าโรง (EMI) ไปดูเธอเล่นคือ The postman always rings twice (1981 - ฉบับสร้างใหม่)  บทของเธอหนักหน่วง ทั้งโดนตบทั้งโดนจูบ  โดยเฉพาะฉาก ‘ล่อกัน’ บนโต๊ะทำอาหารในครัวกับ Jack Nicholson   คนดูเพศชายนั่งจ้องฉากนี้บนจอกันเงียบกริบ (และเหงื่อแตก)  ทำไมไม่โดน 'หั่น' ก็ไม่รู้  ทีฉากเอาปืนจ่อหัว  ใช้แป้งเปียกป้ายตรงปืน  ทำมัว ๆ หลอกคนดู (เพราะคิดว่าคนดูปัญญาอ่อน)  เสียดายที่ไม่มีใครย่อย clip ฉากที่ว่ามาให้ดู  แปลกจัง
https://youtu.be/vTMDr8S4EcQ


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/-uTyP-fQpZ4


มาปี 1982 ก็มีหนังของเธอเข้ามาฉายในบ้านเราถึง 2 เรื่อง  บทของเธอในหนังทั้ง 2 ต่างกันลิบลับ  ในเรื่อง Tootsie เธอเล่นเป็นนักแสดงสาวที่ต่อมาเป็นเพื่อนสนิทกับนักแสดงชายที่ตกงานจึงต้องปลอมตัวเป็นหญิงแล้วเริ่มต้นทางการแสดงใหม่ (เล่นโดย Dustin Hoffman) โดยที่ตัวเธอ (JL) เองไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนจนกระทั่งมาถึงฉากนี้
https://youtu.be/woov1-fHX4s


เป็นหนังสนุกสนานบรรยากาศสดใส  เพลงในเรื่องคือ It might be you ร้องโดย Stephen Bishop ดังกระหึ่มในบ้านเรา
https://youtu.be/Y9AVoIROBt0
(1.30 คือ Andy Warhol ศิลปินชื่อก้องโลก)


ผมไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตุ๊ด’ นี่มีต้นกำเนิดมาจากชื่อหนังเรื่องนี้รึเปล่า  อย่างไรก็ตาม  หนังเรื่องนี้ผ่านตาพวกเรานักชมหนังฝรั่งมากกว่าอีกเรื่องที่เข้ามาฉายในเวลาใกล้เคียงคือ Frances  เป็นหนังสร้างจากประวัตินักแสดงสาว Frances Farmer ที่อยู่ในวงการฮอลลีวู้ดยุค 30s

FF เป็นนักแสดงที่มีอนาคตไม่ไกลเนื่องจากเธอป่วยทางจิตและติดเหล้าติดยาด้วย  เอาให้วุ่น  บุคลิกของเธอจึงสร้างปัญหาให้กับการทำงาน  ในที่สุดทางครอบครัวจึงต้องส่งเธอเข้า ‘สถานบำบัด’  เธอเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ร่วม 10 ปี  จนกระทั่งเข้าปี 1950 เธอจึงเป็นอิสระ  แต่อาชีพทางการแสดงของเธอพังพินาศ

JL สวมบท FF  บทเธอหนักหนาสาหัสโดยเฉพาะช่วงเวลาที่อยู่ใน สถานบำบัด  มีทั้งฉากการรักษาแบบโหด ๆ โดนข่มขืน ฯลฯ  บรรยากาศหนักอึ้ง
https://youtu.be/uTyrkbN5_ao


Clip ย่อยของหนังเรื่องนี้มีน้อยมาก ผมอยากเห็นฉากแม่ผู้ห่วงใยของ FF  เป็นนักแสดงชื่อ Kim Stanley อีกครั้ง  เล่นได้ดีจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar

ส่วนฉากนี้ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของเรื่อง  แต่สังเกตจากใบหน้าฟกช้ำของเธอน่าจะเป็นช่วงหลังจากกลางเรื่องที่เธอหนีออกมาจากสถานบำบัดแห่งหนึ่ง
https://youtu.be/9SHQjt37Li0


ฉากจบของเรื่องเกิดขึ้นในปี 1958 เมื่อเธอกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมแล้ว  ตอนท้ายของ clip บอกรายละเอียดในเวลาต่อมาของชีวิตเธอ
https://youtu.be/EDTCiLRtr9I


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/SAaF4nST49M


มีคนทำฉากเปรียบเทียบระหว่างของจริงกับของสร้างใหม่ให้ดู ในช่วงหลังเธอมาออกรายการสัมภาษณ์ทางทีวีในปี 1958 ชื่อรายการ This is your life (จบจาก clip นี้ก็เป็นฉากจบใน clip ก่อนหน้านี้)
https://youtu.be/VcpgiiOQUN8


FF เล่นหนังไม่มาก  ส่วนใหญ่เป็นหนังเกรด B  มีเกรด A เด่น ๆ คือเรื่อง Rhythm on the range (1936) ที่เธอเล่นคู่กับ Bing Crosby
https://youtu.be/S90cwHsu9k0

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/06/ab14MJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/ab14MJ)


กลับมาที่ JL จาก 2 บทที่มีบุคลิกแตกต่างกันและเธอแสดงได้เด่นทั้ง 2 บท  ทำให้ปีนั้นมีชื่อเธอเข้าชิง Oscar ถึง 2 ตัว  จาก 2 บทบาทที่ว่า  และคว้าไป 1 ตัวจากหนังเรื่อง Tootsie

หลังจากนั้นชื่อ Jessica Lange ก็ติดลมบนมาจนถึงปัจจุบัน  ระหว่างทางเธอสร้างสถิติทางการแสดงไว้มากมาย  และรับรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ ไปเป็นเข่ง
 
ในบั้นปลายเธอขยับมาสนุกสนานกับการเล่นหนังออกฉายทางทีวี  การแสดงของเธอยังคงเฉียบคมเพราะยังคงได้รับการเสนอชื่อ + รับรางวัลไม่หยุดหย่อน

แถม clip เธอเต้นรำกับเพลงในยุคต้น 60s  หนังชุดเรื่อง American horror story นี้เธอเป็นขาประจำไม่ว่าจะสร้างมากี่ฤดูกาล หรือกี่ plot เรื่อง  ผู้สร้างก็ยังคงเลือกเธอมารับบทเด่น  จนกระทั่งเธอเบื่อไปเอง
https://youtu.be/m2qEhGeLb6A



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ย. 22, 13:27
อ้างถึง
แล้ว 'จาร ต้องเคยได้ยิน Fascination (Jane Morgan) อย่างแน่นอนนะครับ

Jane Morgan  หนึ่งในนักร้องคนโปรดเลยละค่ะ

ส่วน Jessica  Lange  เคยดูเธอจาก Blue Sky  ค่ะ  แต่ก็งั้นๆไม่ได้ติดใจเท่าไหร่ กลับไปชอบ Tommy Lee Jones มากกว่า เขาเป็นดาราที่ดูไม่เป็นดารา แต่ดูเป็นผู้ชายซื่อๆ และ บื้อๆของจริง สมบทบาท
หนัง King Kong  ชอบเวอร์ชั่นที่ Naomi Watts เล่นมากที่สุด   มันเว่อร์สุดๆ   สมกับลักษณะของเรื่องที่ตัวเจ้าคิงคองก็เว่อร์เกินจริงอยู่แล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=HYmtT0nwwBw


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 ก.ย. 22, 12:38
อ้างถึง
แล้ว 'จาร ต้องเคยได้ยิน Fascination (Jane Morgan) อย่างแน่นอนนะครับ



ส่วน Jessica  Lange  เคยดูเธอจาก Blue Sky  ค่ะ  แต่ก็งั้นๆไม่ได้ติดใจเท่าไหร่ กลับไปชอบ Tommy Lee Jones มากกว่า เขาเป็นดาราที่ดูไม่เป็นดารา แต่ดูเป็นผู้ชายซื่อๆ และ บื้อๆของจริง สมบทบาท
หนัง King Kong  ชอบเวอร์ชั่นที่ Naomi Watts เล่นมากที่สุด   มันเว่อร์สุดๆ   สมกับลักษณะของเรื่องที่ตัวเจ้าคิงคองก็เว่อร์เกินจริงอยู่แล้ว



โอ้ Blue Sky อีกหนึ่งงานชิ้นโบว์แดงของ JL เลยครับ  เธอได้ Oscar เป็นตัวที่สองจากบทเมีย bipolar disorder  ดูแล้วไม่อยากเขียนถึงเพราะบรรยากาศสดใสแต่เนื้อเรื่องชวนหดหู่

https://youtu.be/VKQBrTaKvO8

https://youtu.be/QGGdZ9W42bg
(ไม่เคยเห็น TLJ หล่อเลย  แต่เรื่องนี้เธอแต่งเครื่องแบบได้เท่สุดขีด  ไก่งามเพราะขนฯ จริง)


https://youtu.be/RZDbJHC1uxs
(เห็นหน้า Tom Hanks แล้วคิดถึงโฆษณายา บวดหาย ครับ)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 ก.ย. 22, 13:50
ผมจำได้แม่น (จากการอ่าน SP) ว่าการประกาศผลรางวัล Oscar ดารานำชายปี 1975 เป็นของนักแสดงสูงอายุชื่อ Art Carney (เกิด 1918)  ถ้าเทียบช่องว่างกับอายุผม  ต้องเรียกคุณตา

คุณตาเอาชนะคู่แข่งอีก 4 คนที่เป็นรุ่นลูกทั้งนั้นคือ Jack Nicholson, Al Pacino, Dustin Hoffman และคนที่ 3 เป็นรุ่นน้องคือ Albert Finney

หนังที่คุณตาเล่นมีชื่อว่า Harry and Tonto  

ผมเป็นคนชอบสถิติ  สถิติแบบนี้ก็เลยจำได้ไม่ลืม  ส่วนตัวหนังนั้น  ไม่รู้ว่ามาฉายในบ้านเรารึเปล่า  ถ้ามาผมก็คงไม่ดูเพราะไม่สนใจหนังดราม่าแบบนี้  ตอนนั้นอายุยังไม่ 20   หมกมุ่นแต่หนังรักหวานแหววแนวคิกคัก  ไม่ก็แฟนตาซีไปเลย

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ (นับจากวันที่ลงมือฝอยเรื่องนี้) เอง  มีคนใจดีเอาหนังเรื่องนี้มาปล่อยให้ ‘โหลด’  หลังจากขอบคุณในความใจดีก็ โหลด เอามาดูซะ

หนังเล่าเรื่องการผจญภัยในแบบ road movie ของคุณตาซึ่งเป็นหม้าย  อาศัยอยู่กับแมวเพื่อนรักชื่อ Tonto ใน apartment  ใน New York  
https://youtu.be/bvhDHhjJnSw


เล่าเลยก็แล้วกัน... วันหนึ่งคุณตา (พร้อมผู้อาศัยคนอื่น ๆ) ก็โดนไล่ที่เพราะทางการจะรื้อตึกเอาไปทำที่จอดรถ

คุณตาไม่ยอมจึงเป็นคนสุดท้ายที่ย้ายออกจากตึก (โดย จนท. อุ้มลงมาทั้งเก้าอี้) ลูกชายคนโตที่อยู่ไม่ไกลรู้ข่าวก็รีบขับรถมารับไปอยู่ด้วย

บ้านของลูกชายคนโตมีขนาดเล็กและอยู่กันอย่างแออัดพร้อมเมียและลูกชายหนุ่มโข่ง 2 คน  ทุกคนต้อนรับคุณตาอย่างเต็มใจ (แสดงให้เห็นว่าคุณตาทำตัวเป็นหลักมาตลอด)  แต่คุณตาเองกลับคิดว่าไม่ควรเอาภาระไปโยนให้ แล้วที่นี่ก็ไม่เลี้ยงสัตว์  ก็เลยบอกลูกชายว่าไปจะหาลูกสาวที่ Chicago  การผจญภัยเริ่มขึ้นตรงนี้


เริ่มแรกคุณตาจะไปทางรถโดยสาร  คุณตามีบำนาญจากการสอนหนังสือ  จึงไม่รบกวนเงินใคร แต่ลูกชายบอกว่าใช้เวลานานก็เลยอาสาออกเงินค่าเครื่องบินให้

ลูกชายไปส่งพ่อที่สนามบิน  ร้องไห้ล่ำลา (เค้าบอกว่าเขียน 'ร่ำลา' ก็ได้  เพิ่งรู้) แล้วก็จากไป  คุณตาเดินเข้าไป check-in แล้วพบว่า  จนท. ต้องเอา Tonto  ใส่ไว้ใต้เครื่องซึ่งคุณตาไม่ยอมเพราะไม่เคยแยกจากกัน  จนท. ก็เลยไม่ให้คุณตาขึ้นเครื่อง  (ฉากทะเลาะกันน่ารักมาก)

คุณตาก็เลยหันไปพึ่งรถโดยสารตามเดิม  ซึ่งก็พบปัญหาอีกเพราะ Tonto ไม่มีที่ฉี่  คนขับก็ไม่สามารถจอดข้างทางได้เพราะผิดกฎ ลงท้ายคุณตาก็เลยต้องลงกลางทาง  แล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ ถึงอู่ขายรถมือ 2 คุณตาก็ซื้อรถเน่า ๆ 1 คัน  คราวนี้เดินทางอย่างสบายใจทั้งคนทั้งแมว

พอถึงเวลาพักนอนก็เช่า รร. แล้วโทร. แจ้งลูกชายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  คุยกันไปมา (จากการถ่ายทำซึ่งเห็นเฉพาะฝั่งคุณตา  อีกฝั่งที่มองไม่เห็นเป็นลูกชายซึ่งคงโวยวายเพราะเป็นห่วง  เลยโดนพ่อแว้ด)  แล้วก็พบว่าใบขับขี่ของตัวเองหมดอายุไปตั้งแต่ปี 1958

การเดินทางในวันต่อ ๆ ไปจึงเป็นแบบลับ ๆ ล่อ ๆ  จนกระทั่งครั้งหนึ่งพอเห็นสายตรวจผ่านมา  คุณตาก็รีบรับคู่หนุ่มสาวโบกรถแล้วให้พ่อหนุ่มขับแทน  แต่ไปได้ไม่ตลอดทางพ่อหนุ่มก็ขอแยกทาง  ตอนแรกคุณตานึกว่าแม่หนูจะตามพ่อหนุ่มไปด้วยเพราะดูเป็นแฟนกัน  ปรากฏว่าทั้งคู่ไม่รู้จักกัน  คุณตาก็เลยหิ้วแม่หนูเดินทางต่อ

ระหว่างทางคุยกันไปมาพบว่าแม่หนูหนีออกจากบ้าน  มีจุดมุ่งหมายที่ชุมชนหนึ่งในรัฐ Colorado  
https://youtu.be/xklkM5bmSXY


คืนนั้นทั้งคู่เช่าห้องใน รร. นอน  คุยเรื่อยเปื่อยแล้วก็โดนแม่หนูยุให้ออกนอกเส้นทางไปตามหาอดีตแฟนของคุณตา

คุณตาบ้ายุก็เลยทำตาม  แล้วก็พบว่าตอนนี้แฟนเก่าเป็นโรคสมองเสื่อมไปแล้ว

ในที่สุดคุณตาก็มาถึง Chicago  ก็ไปหาลูกสาวแล้วรื้อฟื้นความจำได้ว่า  ลูกสาวคือจอมบงการ  แล้วในอดีตก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไร

คุณตาก็ออกเดินทางต่อ  คราวนี้จุดหมายอยู่ที่เมือง Los Angeles ในรัฐ California  เธอจะไปหาลูกชายคนเล็ก  พอพบแล้วก็พบความจริงว่าตอนนี้ลูกชายคนเล็กกำลังถังแตก  เธอดีใจมากที่พ่อมาหาเพราะอยากให้มาอยู่ด้วยจะได้ช่วยกันออกค่าเช่าบ้าน  ซึ่งไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของคุณตา  เธอก็เลยให้เงินลูกชาย (วัยเริ่มแก่แล้ว) ไว้เป็นทุนฉุกเฉินแล้วออกเดินทางต่ออีก

สรุปแล้วคุณตาเดินทางข้ามทวีป  จาก New York มา California  แต่คุณตาชอบบรรยากาศของที่นี่ที่มีแสงแดดและอากาศโปร่งสบาย  ก็เลยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น

แล้วก็มาถึงตอนจบเมื่อ Tonto แมวเพื่อนยากของคุณตา  หลังจากสะบักสะบอมกับการเดินทางข้ามทวีปในวัยชรา (อายุ 11 ขวบ)  ก็หมดแรงและตัดสินใจหยุดหายใจอย่างสงบ คุณตาร่ำลาเพื่อนรัก (ฉากนี้เล่นเอาจิตที่สดใสมาตลอดเรื่อง  ตกไปเหมือนกัน) แล้วก็สรุปว่าในที่สุดเราก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว
https://youtu.be/pudhooCsKLs
ก่อนถึงฉากนี้ผมก็คิดอยู่ว่าเรื่องจะจบอย่างไร  จากประสบการณ์คิดว่าจะเป็นคุณตาที่เดินทางมานานเกินแรงแล้วก็ตาย กลับกลายเป็นแมว


หนังออกฉายในปี 1974  ทำให้เห็นทิวทัศน์ของอเมริกาในช่วงนั้น  มันเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ผมเขียนจดหมายไปหา Helen Reddy (ที่ New York) กับ Carly Simon (ที่ Los Angeles) ซึ่งถ้าผมเดินทางเอาจดหมายไปให้กับมือ  ก็คงเห็นอเมริกาในบรรยากาศแบบนี้

หนังมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่ารักขำ ๆ ประปรายเป็นต้นว่า  ตอนคุณตาไปหา Jesse Stone แฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมากว่า 50 ปี  พอไปถึงหน้าบ้านก็กดกิ๊งก่องพบคนมาเปิดประตูเป็นชายวัยกลางคนผิวดำ  คุณตาชักลังเลจึงถามก็ได้ความว่าชายคนนี้เป็นผัวของ JS
 
คุณตาทำหน้างง ๆ  สักพักสาว JS ก็เดินมา  เธอเป็นนิโกร  ผัวของเธอก็ล้อว่า  เพิ่งรู้ว่าแฟนเก่าของเธอเป็นชายผิวขาววัยแก่คราวพ่อ  ความก็เผยออกมาว่าที่ย่านนี้มีคนชื่อ Jesse Stone 2 คน


อีกฉากหนึ่งเป็นตอนที่คุณตาดั้นด้นมาจนถึงบ้านลูกสาวที่ Chicago  ซึ่งเธอทำอาชีพเปิดร้านขายหนังสือ  พอเปิดประตูเข้าไปก็พบหน้าหลานชายลูกของลูกชายคนโตที่ New York  ที่ตัวเองจากมา  คุณตาก็ งง แล้วถามว่ามาทำอะไรที่นี่  หลานชายก็บอกว่าพ่อให้มารับกลับบ้าน

ส่วนลูกสาว  พอเห็นว่าพ่อตัวเองเดินทางมากับเด็กสาวแปลกหน้าอายุคราวหลานสองต่อสอง  ก็มองหน้าพ่อแบบว่า อ้าว... เป็นเฒ่าหัวงูไปแล้วพ่อฉัน

พอเห็นว่าอยู่กับลูกสาวไม่ไหว  ก็ออกเดินทางต่อ  คราวนี้มีหลานชายเพิ่มมาอีกรวมกับแม่หนูเป็น 3 ชีวิต  มาถึงทางแยกที่จะแยกไป Colorado  หลานชายเกิดเห็นดีเห็นงามกับสาวน้อยเรื่องไปตายเอาดาบหน้าที่นั่น  ก็เลยไม่ร่วมเดินทางไปกับคุณตา  แต่ตั้งใจไปกับแม่หนูเพื่อนใหม่แทน  คุณตาเป็นห่วงก็เลยมอบรถเน่าให้ขับไปด้วยกัน  ส่วนตัวเองโบกรถต่อ


ช่วงสุดท้ายของการเดินทางคุณตาโบกได้รถขับโดยสาวสวยซึ่งปรากฏว่าเธอเป็นโสเภณีชั้นสูงที่ตอนนั้นกำลังเหงาจัด  คุณตาก็เลยได้ ‘ขึ้นสวรรค์’ โดยไม่ต้องเสียตังค์
https://youtu.be/cubJq_I1KBA


ที่เล่ามายืดยาวแบบไม่ต้องดูหนังก็ได้  จะบรรยายว่าบุคลิกของคุณตาเป็นคนน่ารักที่สุด  เธอเป็นคนตรงไปตรงมา  ไม่ชอบเป็นภาระให้ใคร  อีกทั้งมีวิสัยทัศน์  และมีเหตุผล  เป็นที่พักพิง (ทั้งทางใจและทางทรัพย์แม้ตัวเองจะเกษียณมานานแล้วก็ตาม) ให้ลูก ๆ แม้พวกมันจะโตเป็นควายแก่ ๆ กันหมดแล้ว  สรุปแล้วเป็นบุคลิกของคุณตาที่ทุกคนอยากมี

Art Carney รับบทนี้ได้อย่างเยี่ยมยอด  หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงอีก 1 สาขาคือ บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม  ซึ่งหลังจากดูจบแล้วก็ไม่แปลกใจ

อีกรางวัลหนึ่งแต่ไม่ใช่ Oscar ที่หนังได้รับเป็นของ Tonto (จริง ๆ ก็ชื่อนี้)  รางวัลชื่อ Best Animal Performer in a Motion Picture

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/aPZ87LqYzlM
(ฉากในตัวอย่างไม่ได้ดำเนินเรียงไปตามลำดับเหตุการณ์)


เพลงเริ่มต้นหนังเพราะมากฝีมือ Bill Conti
https://youtu.be/-FV9LyBMmOI


หมายเหตุ – รถเน่าราคาแค่ 250 ดอลล่าร์  



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ย. 22, 15:08
Art Carney  เป็นนักแสดงเก๋ากึ๊กที่รับบทตัวรองได้เฉียบขาดกว่าตัวเอกมาตั้งแต่หนังทีวียังขาวดำ ค่ะ  จำเขาได้จากบทเพื่อนบ้านของแจ๊คกี้ กลีสันในซิทคอม The Honeymooners
เป็นหนังทีวีดังในยุคก่อนคุณโหน่งเกิด
คุณทวดอาร์ตได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลเอมมี่ 7 ครั้ง คว้ารางวัลไป 6 ครั้ง 

https://www.youtube.com/watch?v=RmIJ2Cw3MlU&t=296s


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ก.ย. 22, 12:14
Art Carney  เป็นนักแสดงเก๋ากึ๊กที่รับบทตัวรองได้เฉียบขาดกว่าตัวเอกมาตั้งแต่หนังทีวียังขาวดำ ค่ะ  จำเขาได้จากบทเพื่อนบ้านของแจ๊คกี้ กลีสันในซิทคอม The Honeymooners
เป็นหนังทีวีดังในยุคก่อนคุณโหน่งเกิด
คุณทวดอาร์ตได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลเอมมี่ 7 ครั้ง คว้ารางวัลไป 6 ครั้ง 



Sit-com เรื่องนี้มาฉายบ้านเราด้วยเหรอครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ก.ย. 22, 12:25
ในเรื่อง Harry and Tonto นี้มีนักแสดงตัวประกอบที่ต่อมาเป็นนักแสดงระดับคุณภาพ Oscar เล่นด้วยคือ Ellen Burstyn  บทเธอมีนิดเดียวคือเป็นลูกสาวที่ไม่ค่อยจะลงรอยของคุณตา  

ก่อนหน้านี้ EB ดังติดหูผมจากบทแม่ของหนู Regan ใน The Exorcist (1973)  มัวแต่ตื่นเต้นกับผีอ้วกออกมาเป็นถั่วเขียวต้มกะทิดูแล้วน่ากิน  เลยลืมสังเกตเธอ  แต่คณะกรรมการพิจารณาฯ  ไม่ลืม  เธอเลยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เป็นครั้งแรกในฐานะนำหญิง (แต่เป็นการเข้าชิงครั้งที่ 2 ... จากทั้งหมด 6 ครั้ง)

ปีนั้น (1974) นักแสดงนำหญิงที่ได้คือ Glenda Jackson นักแสดงจากอังกฤษ  ได้จากเรื่อง A touch of class  ผมจำได้แม่นว่าหนังมาฉายที่โรงในเครือสยาม  แต่ผมไม่ได้ดู

และจำได้อีก (จาก SP เจ้าเดิม) ว่า  ชาวอเมริกันเค้าจับ GJ ไปเทียบกับ EB  แต่จำไม่ได้แม่นเพราะสาเหตุอะไร  รู้สึกจะหน้าตาคล้ายกัน

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/09/a24Mof.jpg) (https://www.picz.in.th/image/a24Mof)


อีกเรื่องที่คราวนี้จำได้แม่นเกี่ยวงานแจก Oscar ปีนั้นคือการปรากฏตัวของ ‘The streak’ บนเวที  เรื่องนี้ดังมาก  มาเป็นข่าวออกทางข่าวต่างประเทศที่บ้านเราด้วย  ผมรออยู่นานจนกระทั่ง youtube เจริญพันธุ์แล้วถึงมีโอกาสได้ดูซ้ำ  คราวนี้เป็นหนังสีด้วย
https://youtu.be/2IIl3zSYL8k


EB มาได้ Oscar ในปีถัดมา  ไม่ใช่บทจาก Harry and Tonto แต่จากบทแม่หม้ายลูกติดที่ท่องเที่ยวไปทั่วอเมริกาเพื่อตามหาอนาคตที่ดีให้กับเธอและลูก  หนังมีชื่อว่า Alice doesn’t live here anymore  หนังมาฉายบ้านเรารึเปล่าก็จำไม่ได้  และผมก็ยังไม่ได้ดู  แต่จำได้แม่น (อีกครั้ง) คือ  ข่าวที่ตามมาหลังจากผลประกาศออกมาแล้ว  ชาวอเมริกันล้วนยินดีที่ EB ได้ Oscar  จำได้คร่าว ๆว่า  ‘...อเมริกาไม่น้อยหน้าอังกฤษแล้ว...’

(หมายเหตุ – ผมว่าถ้าเอาละเอียด ๆ อเมริกาก็ยังน้อยหน้าอยู่คือ GJ ได้ Oscar 2 ตัวในขณะที่ EB ได้ 1 ตัว)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ย. 22, 13:04

Sit-com เรื่องนี้มาฉายบ้านเราด้วยเหรอครับ

ฉายซีคะ  ไม่งั้นดิฉันจะรู้จักได้ยังไง


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ก.ย. 22, 13:34

Sit-com เรื่องนี้มาฉายบ้านเราด้วยเหรอครับ

ฉายซีคะ  ไม่งั้นดิฉันจะรู้จักได้ยังไง

อ้อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ก.ย. 22, 13:50
ยังหลงอยู่ในกลุ่มควันของหนัง Harry and Tonto


นักแสดงอีกคนที่เล่นใน Harry and Tonto โดยเล่นเป็นหลานหนุ่มคนโตของคุณตา (คนละคนกับหลานที่ร่วมเล่นในเรื่อง  นั่นคนเล็ก) มีชื่อว่า Cliff De Young 

ปีก่อนหน้าหนัง H&T  เธอเคยเล่นหนังชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา ทำนองเดียวกับหนัง Love story   เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของหญิงสาววัย 20 ที่เป็นทั้งเมียและแม่ของลูกเล็ก  ในวัย 20 ที่ว่าเป็นวัยที่เธอเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง  ก่อนหน้านี้เธอได้ทำการบ้านโดยทำบันทึกในแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของเธอ  ความเป็นเมียและแม่ในวัยเยาว์  และการเผชิญหน้ากับความตาย  เพื่อเก็บไว้ในลูกอ่านหลังจากที่เธอจากไปแล้ว  วันหนึ่งเครื่องบันทึกเสียงที่ใช้เป็นประจำโดนขโมย  จาก 1 เป็น 2... ในที่สุดเรื่องราวของเธอออกสู่สาธารณชน  เธอโด่งดังโดยไม่รู้ตัว  หลังจากนั้นเธอก็ได้รับเครื่องบันทึกเสียงตัวใหม่และทำงานต่อไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต

หนังออกฉายในปี 1973 ใช้ชื่อว่า Sunshine  และใช้เพลง Sunshine on my shoulder ของ John Denver เป็นเพลงหลักของเรื่อง แต่ให้ชื่อเพลงแค่ Sunshine และร้องโดย CY  แต่เพลงที่เด่นคือ My sweet lady ที่แต่งโดย JD เช่นกัน  ในหนังร้องโดย CY  เสียงเธอเพราะมาก
https://youtu.be/XTx_nnuxuRk


หนังมาฉายที่โรงฮอลลีวู้ด  ท่ามกลางเสียงเพลง SOMS ของ JD ที่กำลังดังกระหึ่มทั่วกรุงเทพฯ 

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/LeAzT-ZzRPc
(หมายเหตุ – จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิดผมถึงหาข้อมูลอ่านได้ว่า  หนังเรื่องนี้ความจริงแล้วสร้างสำหรับฉายทางทีวี  ซึ่งเรียก rating ได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ณ เวลานั้น  แต่ทำไมกลายเป็นหนังมาเข้าในโรงบ้านเราได้ก็ไม่รู้)


ควันหลงสำหรับเรื่องนี้...

ในปี 1973 ผมยังเรียนหนังสืออยู่  วันรุ่งขึ้นเป็นวันเรียน  ผมก็ไปเรียนตามปกติ  เช้านั้นเจอ ขาโหด ของผม (เคยนินทาไว้ในตอนหนังของ Agnes Chan)  เธอตรงเข้ามาซักว่า เมื่อวานมึงไปทำอะไรที่โรงหนังฮอลลีวู้ดฮึ  ผมกวนตีนในใจว่า ก็ไปดูหนังซีวะ  จะให้ไปไถนาเหรอ  แต่ที่พูดออกมาคือ ไปดูหนังอ้ะ

ขาโหด ถามว่า แล้วเป็นไงวะ  ผมนึกภาพตัวเองร้องไห้โฮ ๆ อยู่ในโรงตอนท้ายเรื่องแล้วยิ้มแหย ๆ พลางบอกว่า  ก็งั้น ๆ แหละ  แต่เพลงเพราะ

ขาโหด มองหน้าผมแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า ‘เป็นเอามากนะมึง’

ตอนเธอเดินจากไป ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวก็คงไปปูดให้ลูกสมุนฟังว่า  เห็นผมไปดูหนังรักรันทด  แล้ววันนี้คงตกเป็นขี้ปากให้ไอ้ก๊กนี้ไปทั้งวันแน่

แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น  วันนั้นผมก็ยังเจอก๊กนี้อยู่  แล้ว ขาโหด ก็ยังหาเรื่องแขวะผมเหมือนเดิม  แต่เป็นเรื่องอื่น  ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ไปดูหนังเมื่อวาน

ต่อมาอีกนานเมื่อผมโตพอที่จะมีความถนัดในเรื่องความเข้าใจในการใช้ภาษาไทย  เมื่อใดที่ผมเจอคำว่า นักเลง กับ อันธพาล  ผมเป็นอดนึกถึง ขาโหด ในวันนั้นไม่ได้ 

ผมว่า ขาโหด ของผมคือ ตัวอย่างของ นักเลง  ไม่ใช่ อันธพาล



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 ก.ย. 22, 13:21
SP เล่าว่าหนังเคาบอย (Western movies) เรื่องแรกที่ได้รางวัล Oscar หนังยอดเยี่ยมคือเรื่อง Cimarron (1931) 

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/13/ap2lig.jpg) (https://www.picz.in.th/image/ap2lig)


หนังเคาบอยมีสร้างออกมาเรื่อย ๆ  แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ในช่วงปลาย 50s ถึง ต้น 60s  ช่วงนั้นมีหนังเคาบอยดี ๆ ออกมาให้คน (ยกเว้นผม) ได้ดู  หนังพวกนี้มีงานสร้างโดดเด่น  และที่โดดเด่นในอีกสาขาหนึ่งคือเพลงประกอบ  เพลงประกอบของหนังเคาบอยบางเรื่องเป็นอมตะหูนักฟังเพลงมาจนถึงปัจจุบันเช่น

The Big Country (1958) - Jerome Moross
https://youtu.be/QKdmOpXJHR4


The Magnificent Seven (1960) - Elmer Bernstein (หนังดัดแปลงมาจากหนังญี่ปุ่นชื่อ Seven Samurai ของ Akira Kurosawa  ผมจำชื่อไทยได้ด้วยแต่ไม่แม่น  ต้นฉบับชื่อ เจ็ดเซียนซามูไร  หนังเคาบอยชื่อ เจ็ดสิงห์แดนเสือ .... ใช่ปะ)
https://youtu.be/yulmgTcGLZw


รั้งท้ายด้วย The Good, the Bad and the Ugly (1966) หนังเคาบอยในแบบฉบับของ Spaghetti Western ที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงนั้น - Ennio Morricone
https://youtu.be/h1PfrmCGFnk


เพลงประกอบหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ความดังเข้าขั้นอมตะไม่แพ้หนังใหญ่มาจากหนังทีวีชุด Bonanza ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1959 ถึง 1973 - Ray Evans & Jay Livingston
https://youtu.be/iQjb_QiFbJE
หนังชุดเรื่องนี้ผมมีโอกาสได้ดู  แต่ไม่บ่อย  คนที่ดูประจำคือบรรดาผู้ปกครอง  ที่ผมจำได้แม่นคือบ้าน log home ของครอบครัว Cartwright  โดยเฉพาะห้องนั่งเล่นที่สวยมาก  ไม่เห็นมีใครเอารูปมาลงให้ดูเลย


ส่วนหนังใหญ่ที่กล่าวมาผมไม่เคยได้ดูสักเรื่อง  โดยส่วนตัวไม่ชอบหนังเคาบอย  ไม่ชอบคนยิงกัน  อย่างไรก็ตาม  ในปี 1985  ผมก็กลืนน้ำลายตัวเองแล้วเข้าโรงไปดูหนัง Silverado  หนังเคาบอยแท้ ๆ ที่ขณะดูอยู่ก็บอกกับตัวเองว่า  ฮู้ย... สนุกจริง ๆ หนังมีครบทุกรส  เนื้อเรื่องก็จำเจเกี่ยวกับการล้างแค้นเทือกนี้  แต่งานสร้างและมุขต่าง ๆ ที่ทำให้ผมติดใจ

บทบาทที่เด่นที่สุดในสายตาผมเป็นของ Kevin Costner เธอรับบทเคาบอยหนุ่มเลือดร้อน  เป็นบทที่มีสีสัน  KC ตอนนั้นหล่อสุดขีด
https://youtu.be/5g2en7CTUk8

https://youtu.be/wiA6bjzz-CM


ฉากดวลกันตามฉบับหนังเคาบอยแท้ ๆ
https://youtu.be/eug4wbPSykc


มีคนนับด้วยว่าเคาบอยแต่ละคนทำ 'score' ได้เท่าไรกันบ้าง
https://youtu.be/mUwu2Wi8Xk4



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ย. 22, 13:34
คุณโหน่งเกิดไม่ทันหนังคาวบอยคลาสสิค High Noon (1952)   นอกจากแกรี่ คูเปอร์ได้ตุ๊กตาทองไปครองในฐานะดารานำชายแล้ว  เพลง High Noon ในเรื่องก็กลายเป็นเพลงคลาสสิคไปด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=A4a_1UhwgFU


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ย. 22, 13:34
ฉากสุดระทึกใจของเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=gpV-Ii0TJm8


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ย. 22, 13:37
คุณโหน่งอ่านได้ที่นี่ค่ะ

https://en.wikipedia.org/wiki/High_Noon


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ก.ย. 22, 12:02
คุณโหน่งอ่านได้ที่นี่ค่ะ

https://en.wikipedia.org/wiki/High_Noon

ขอบคุณครับ ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก  ไม่เคยลงลึกเลยครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ก.ย. 22, 12:26
ตอนฟัง SP เล่าเรื่องประวัติรางวัล Oscar  ผมสังเกตภาพประกอบว่าดาราบทนำที่ได้รางวัลไม่ว่าหญิงหรือชายจะดูหนุ่มสาวกันทั้งนั้น  แต่มีอยู่ปีหนึ่งคือปี 1931 ที่ดารานำหญิงดูแก่ประมาณป้าเลย (เทียบกับเวลาขณะนั้น)   เธอชื่อ Marie Dressler (1868-1934)  เธอได้รางวัลจากหนังเรื่อง Min & Bill  ข้อมูลเพียงแค่นี้สร้างความอยากรู้อยากเห็นแล้วว่า  มันเกี่ยวกับอะไร  ทำไมป้าถึงเด่นจนถึงกับได้รับรางวัลแซงหน้าสาว ๆ  ตอนนั้นแหล่งข้อมูลมีเพียงแค่ตัวหนังสือสั้น ๆ  แต่ผมก็จำชื่อนักแสดงและชื่อหนังได้ไม่ลืม

กาลเวลาต่อมา  ผมได้หนังสือที่รวบรวมหนังโดยนักวิจารณ์ Leonard Maltin ก็พอรู้เรื่องข้อมูล (หนัง) ของป้ามากขึ้น (แต่ยังไม่รู้ชีวิตของป้าจนกระทั่ง Wikiฯ ถือกำเนิด)  มีปูมรายบอกละเอียด (คร่าว ๆ) เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังชีวิตเบา ๆ ส่วนฝีมือการแสดงของป้าน่าจดจำที่สุด  รู้เรื่องเท่านี้ก็บันทึกเอาไว้ว่า  ถ้ามีโอกาสต้องไม่พลาด

กาลเวลาก็ผ่านไปอีกนานเกินเพลิน  ในที่สุดช่อง TCM ก็เอาหนังมาฉายให้ผมดู  
 
ในเรื่องนี้ MD เล่นเป็น Min หญิงวัยกลางคนเจ้าของโรงเตี้ยมแถวท่าเรืออันสกปรกและพลุกพล่าน  ในชีวิตของเธอ  เธอมีเพื่อนอยู่ 2 คน  คนแรกคือ Bill เป็นชายวัยกลางคนที่ขี้เมาหยำเป  อีกคนคือ Nancy เป็นหญิงสาวลูกของโสเภณี Bella ที่มาคลอดไว้แล้วทิ้งเพื่อไปหาเงินที่อื่น  Min ก็เลยเลี้ยงไว้ประหนึ่งลูกของตัวเอง
https://youtu.be/Wi5HGN6bEK8

 
แม้จะเป็นคนห้าวตรงไปตรงมาไม่เคยอ่อนหวาน  แต่ลึก ๆ แล้วเธอรักเด็กสาวคนนี้อย่างจริงใจและรู้ว่าถ้าปล่อยให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมโสโครกแบบนี้ไปนานกว่านี้ชีวิตของเด็กสาวก็จะไม่ต่างอะไรจากชีวิตของเธอ  เธอจึงรวบรวมเงินไว้ก้อนหนึ่งแล้วไปฝากฝังกับครอบครัวที่มีชนชั้นให้ช่วยส่งเสีย Nancy ให้ได้รับการศึกษาและการเลี้ยงดูที่ดีมีระดับ
https://youtu.be/2bwC82sXFSg

 
ความคิดของ Min ถูกต้องเพราะ  Nancy โตขึ้นเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของชนชั้นสูงทุกประการ

วันหนึ่ง Nancy ก็กลับมาหา Min พร้อมคู่หมั้นหนุ่มหล่อรวย  เธอจะมาเชิญ Min ไปร่วมงาน  Min ดีใจเนื้อเต้น  แต่แล้ว Bella แม่โสเภณีของ Nancy ก็เผอิญกลับมาที่ถิ่นเดิมและได้รู้เรื่องราวของลูกที่ตัวเองทิ้งไว้  ก็เกิดความโลภและตั้งใจจะแสดงตัวเพื่อหวังจะเข้ากอบโกยสมบัติของลูกเขย

Min รู้เรื่องก็พยายามประวิงเวลาไม่ให้แม่ลูกเจอกัน  คอยให้งานแต่งงานจบสิ้นและคู่บ่าวสาวออกเดินทางไป honeymoon  แต่ระหว่างนั้นเธอกับ Bella มีปากมีเสียงกันเกินความควบคุมของอารมณ์  ลงท้าย Min ก็คว้าปืนมายิง Bella ตาย

ฝ่าย Bill ขี้เมารู้เรื่องก็พยายามพา Min หนีโดยตั้งใจจะพาลงเรือของตัวเองแล้วแล่นไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่ Mexico

ที่ท่าเรือทั้งคู่มาประจวบเหมาะกับคู่บ่าวสาวที่เพิ่งเสร็จจากงานแต่งงานแล้วเตรียมตัวลงเรือไป  honeymoon

Min ขอเวลาแอบดูเด็กสาวที่ตนเลี้ยงมากับมือจนโตขึ้นเป็นคนดีอย่างที่หวัง  แต่การแอบดูสร้างเวลานานเกิน  ตำรวจจึงตามมาพบในที่สุด

ฉากสุดท้ายคือตำรวจพา Min ไปดำเนินคดี  สีหน้าเธอมีความกังวลเล็กน้อย  คาดว่าคงคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกรักไปอีกนาน  แต่แล้วความกังวลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  ซึ่งคาดว่าอย่างไรเสีย  ชีวิตของลูกรักก็จะไม่มีมารมาผจญอีกต่อไปแล้ว
https://youtu.be/dhOdvrdVhqg

 
หนังสนุกทีเดียว  ผมว่า MD มีพื้นเพเป็นนักแสดงตลกเพราะเห็นฉากขำ ๆ ของเธอแพลมออกมาประปราย  แต่กังขาอยู่นิดที่ LM บอกว่าเป็นหนังชีวิตเบา ๆ  ฉากสุดท้ายนี่มันกินใจ (ผม) จนเกินบรรยากาศเบา ๆ นะ  อย่างไรก็ตามดูจบก็อิ่มใจที่ได้เห็น Marie Dressler หลังจากข้องใจมากว่า 30 ปีว่า ป้าเป็นใครกันนะ

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/15/ae0dX8.jpg) (https://www.picz.in.th/image/ae0dX8)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ก.ย. 22, 12:39
Marie Dressler ยังเล่นหนังดังอีกเรื่อง หนังที่ว่าชื่อ Dinner at eight (1933)  สมัยยังมีช่อง TCM ผมไม่ได้ดู  เป็นเพราะว่าทางช่องไม่ได้เอามาฉายหรือผมมองข้ามไปก็ไม่รู้  Leonard Malten ให้ตั้ง 4 ดาวแถมย้ำว่า อย่าพลาด  ก็รู้สึกเสียดายมานาน (มาก)  จนเมื่อไม่กี่วันนี้เอง (นับจากวันที่ลงมือฝอยเรื่องนี้) ก็มีคนใจดีเอาหนังเรื่องนี้มาปล่อยให้ดู

เรื่องเกี่ยวกับคู่มหาเศรษฐีที่กำลังจะตกอับจัดงานเลี้ยงแล้วเชิญแขกมาร่วมงาน  ใครเป็นยังไง  ใน clip นี้แจงไว้
https://youtu.be/N-Yi8xG-_ek


MD เล่นเป็นหนึ่งในแขกที่ได้รับเชิญ  เธอเป็นนักแสดงละครเวทีระดับตำนานแต่ปัจจุบันกำลังถังแตก  บทของเธอแตกต่างจากบทใน Min and Bill ราวฟ้ากับเหว  ผมว่า บทของเธอในเรื่องนี้มีสีสันที่สุดในบรรดาตัวละครอื่น ๆ  แล้วเธอก็หยอดมุขตลก ๆ อยู่เนือง ๆ (ฉากพวกนี้ไม่ขำเท่าไร  ที่ขำจริง ๆ ไม่มีใครเอามาย่อยให้ดู  น่าเสียดาย)
https://youtu.be/US-9c2SUzRg

https://youtu.be/ToAcVD8bTKc


ในเรื่องยังมีแขกที่ได้รับเชิญอีกชุดคือคู่หนุ่มแก่กับสาวละอ่อน  หนุ่มแก่เป็นเศรษฐีหน้าใหม่  ส่วนสาวละอ่อนผู้หญิงผม blonde ซึ่งพวกฝรั่งเค้าชอบล้อว่า dumb blonde  คือถ้าผม blonde ละก็เชื่อไว้ก่อนว่าไม่มีสมอง

ประวัติเรื่องล้อเลียนสีผมนี้มีมายาวนาน  นักดูหนังฝรั่งในสมัย 70s คงจำหนังชุดทางทีวีเรื่อง Three’s company (จำชื่อไทยไม่ได้ สามคนอลเวง รึเปล่า) ได้  นักแสดงนำ 1 ใน 3 (เล่นโดย Suzanne Somers) มีผมทองแล้วบุคลิกตามบทก็ซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ อิงตาม idiom ว่า dumb blonde

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/16/ammN50.jpg) (https://www.picz.in.th/image/ammN50)


ในเรื่อง Dinner ฯ นี้หญิงผม blonde แสดงโดยดาราระดับแม่เหล็กของ Hollywood คือ Jean Harlow  ในตอนท้ายเรื่องเมื่อเธอเดินเข้างานกับ MD แล้วช่วงหนึ่งเธอก็ชวนคุยว่า
https://youtu.be/EQNQqwFK-OM
JH: I was reading a book the other day.
MD: [หยุดกึก] Reading a book?
JH: Yes. It's all about civilization or something. A nutty kind of a book. Do you know that the guy says that machinery is going to take the place of every profession?
MD: [มองตั้งแต่หัวจดตีน] Oh, my dear, that's something you need never worry about.

ช่วงนี้ของหนังอยู่ในระดับตำนานที่นักดูหนังกล่าวถึงกันมาตลอด ที่จริงผมไม่รู้เรื่องนี้หรอก  ซี้คลาสสิกของผมเธอเล่าให้ฟังน่ะ  และผมก็เห็น clip ช่วงนี้ใน youtube มาตั้งแต่นานนมแล้ว  แสดงว่าเป็นตำนานของจริง

ผมเดาว่าที่ฮือฮาน่าจะเป็นเพราะการนำเรื่องดูถูกนี้มาออกอากาศในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้งเป็นครั้งแรก (ๆ)


หมายเหตุ – Jean Harlow (1911-1937) เป็นดาราในยุคทองตอนต้นของฮอลลีวู้ด  ยุคนั้นยังไม่มีกฎของการเซ็นเซอร์หนัง (จอ)  เธอจึงเป็นหนึ่งใน sex symbol ที่ ‘โจ่งแจ้ง’  นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งในและนอกวงการว่า ‘Blonde bombshell’ กับ ‘Platinum blonde’  ด้วยสาเหตุจากสีผมของเธอ

บทถนัดในหนังของเธอจะเป็นบทเบา ๆ ออกตลก  มีทั้งทึ่มออกตลกและร้ายออกตลก

JH ตายในปี 1937 ขณะอายุได้เพียง 26 ปี  การตายมาจากสาเหตุ ‘given as cerebral edema, a complication of kidney failure. Hospital records mention uremia (ไม่กล้าแปลเพราะไม่ใช่หมอ)’

ข่าวการตายของเธอเป็นที่ถกเถียงมาถึงปัจจุบัน (ซึ่งผมรู้มาตั้งแต่ยังใส่ขาสั้นเรียนหนังสือโน่น  ก็ SP เล่าให้ฟังน่ะ)  ในยุคนั้นการสื่อสารยังมีขีดจำกัด  ผู้คนจึงได้ยินกันว่าเป็นเพราะแม่ของเธอซึ่งเป็นสาวกของ Christian Scientist  ปฏิเสธการรักษาแบบ all medical treatment แต่ใช้วิธี Christian Science prayer (ไม่กล้าแปลเพราะไม่รู้จัก) แทน  จนกระทั่งอาการของเธอไปไกลเกินกู่  การกลับมาใช้วิธี medical treatment รวมถึงการผ่าตัดจึงไม่ทันการณ์

แม้ JH จะอยู่ในวงการฯ แค่ 9 ปีแต่เป็น 9 ปีที่เธอได้สร้างความดังให้กับตัวเองจนคับฟ้าฮอลลีวู้ด  ใน 9 ปีนั้นความดังของเธอบดบังดาราหญิงชั้นแนวหน้าของฮอลลีวู้ดอย่าง Greta Garbo, Joan Crawford หรือ Norma Shearer เลยทีเดียว

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/16/amLHmz.jpg) (https://www.picz.in.th/image/amLHmz)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ก.ย. 22, 12:24
ตอนนั่งดูหนัง Total recall (1990) อยู่ในโรง  ผมอดคิดไม่ได้ว่า  หนังอะไรวะ  สนุกฮี้หาย  เทคนิคดี๊ดี  ตื่นเต้นตลอดเรื่อง  เรื่องราวเป็นอย่างไรไม่จำเป็นต้องเล่า  หนังดังถล่มทลาย  จำได้ว่าแถวซื้อตั๋วยาวเหมือนเล่นแม่งูกัน  นี่ขนาดรอบเช้านะ  ตอนออกมาจากโรงในตอนเที่ยง  คนยุ่บยั่บเหมือนอยู่ในงานเทกระจาด

ตอนมันมาเข้า I/UBC  ในอีกหลายปีต่อมาผมก็ตามดูอีก  ดูแล้วดูอีก  ก็ยังสนุกอยู่เทคนิคก็ยังไม่ล้าสมัย

https://youtu.be/p4b-p5Paovs
(ขอบคุณ คุณ Nofury)


มีคนใจดีทำ clip สรุปฉากมัน ๆ มาให้
https://youtu.be/w8V9fdJgzKA


เอ๊ะ... งวดนี้สั้นดีแฮะ


หมายเหตุ - ลุง Arnold ฝากทายาทไว้ในวงการมายา 1 คนชื่อ Patrick  หน้าตาหล่อจนลืมหายใจ  นักดูหนังฝรั่งชาวไทยจะพบเธอสนุกสนานกับหนังทางทีวีมากกว่าหนังโรง  โอกาสจะดังเหมือนพ่อคงยากเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/19/p0zah8.jpg) (https://www.picz.in.th/image/p0zah8)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ย. 22, 13:42
ทายาทคุณลุงหล่อจนหานางเอกประกบยากค่ะ    พระเอกอาจงามเกินหน้านางเอกไปก็ได้


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ก.ย. 22, 14:22
https://youtu.be/l0C78ltKDW4

2 คนนี้หน้าตาคล้ายกัน  Alex P. เป็นชาวอังกฤษ เข้าวงการมาก่อน



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 ก.ย. 22, 14:25
M. Knight Shyamalan ดังคับโลกด้วยหนังเรื่องแรกคือ Sixth Sense (1999) หลังจากนั้นความดังลดลงเรื่อย ๆ  หนังที่เธอสร้างออกมาไม่มีเรื่องไหนมีระดับเทียบเท่าเรื่องแรก  ผมว่าเธอคงเครียดไม่น้อยในการหาหนทางที่จะกลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง  เผลอ ๆ อาจจะหมดโอกาสไปแล้ว

Signs (2002) เป็นหนังเรื่องที่ 3  เรื่องเล่าถึงครอบครัวอดีตพระสอนศาสนาที่เลิกการเป็นพระเพราะเมียตาย (เป็นความผิดของพระเจ้า... ทำนองนั้น) ตั้งบ้านอยู่ในชนบทของรัฐ Pennsylvania  บ้านเธอมีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมไปด้วยไร่ข้าวโพด

วันหนึ่งเธอก็พบสิ่งประหลาดในทุ่งข้าวโพดนั้น  มันคือ ‘crop circles’ เห็นแล้วก็ตระหนักว่าอะไรที่ไม่ชอบมาพากลกำลังจะเกิดขึ้น

แก่นของหนังคือการบุกรุกของมนุษย์ต่างดาว  การนำเสนอน่าติดตาม  บรรยากาศน่าตื่นเต้น  แล้วก็น่าลุ้นว่ามนุษย์ต่างดาวจะยึดบ้านของอดีตพระฯ ได้รึเปล่า
https://youtu.be/dUw26F0WfLg


ฉากสนุก ๆ
https://youtu.be/T7B33JNX1n8

https://youtu.be/UH8liVnrU5o

https://youtu.be/y6n4m7GwR5c

https://youtu.be/aO7yO24g-Xs

https://youtu.be/FDY43_tAZt0

https://youtu.be/aIhnqkXWSR8

https://youtu.be/gS1rSmIhsug

https://youtu.be/JHiPoT_AjZA

https://youtu.be/__DE7Ks7MG0

https://youtu.be/x5Z_jyQQoug


อาวุธของมนุษย์ต่างดาวคือแก๊สพิษที่สามารถขับออกมาได้ทางท่อตรงข้อมือ  ใคร (คน) สูดเข้าไปก็ตายสนิท  ส่วนจุดอ่อนคือ น้ำ 
 
ในฉาก มตด. ปล่อยแก๊สพิษเข้าจมูกลูกชาย  ในทางปฏิบัติแล้วลูกชายตายหยังเขียด  แต่เผอิญขณะนั้นผลพวงจากโรคหืดกำเริบ (จาก clip ก่อนหน้า)  ‘Morgan's constricted lungs prevented him from inhaling the alien's toxins’  พ่อหนูจึงไม่ตาย

เมื่อเอาเรื่องนี้มาประมวลกับสิ่งที่เมียสั่งเสียไว้ก่อนตาย อดีตพระตระหนักได้ว่า ‘Everything happens for a reason’ ก็กลับมานับถือพระเจ้าอีกครั้ง
https://youtu.be/bjv7CVhZXNs


MNS ทำเลียนแบบ Alfred Hitchcock คือจะแอบเอาตัวเองเข้าไปโผล่ในหนังเป็นประจำ
https://youtu.be/L8YuPJ5-Y20


(หมายเหตุ – มีคนย่อย clip มาลงเยอะดีแฮะ)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 ก.ย. 22, 12:14
ในเรื่อง Signs ดารานำ Mel Gibson เข้าวัยร่วงโรยแล้ว  ในกาลครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นหนุ่มหล่อมาก  นักดูหนังชาวไทยรู้จักเธอดีมาตั้งแต่หนังนำเข้าจาก Australia ชื่อ Mad Max (1979 – ผมไม่ได้ดูในเวลานั้น  แต่ได้ดูทาง I/UBC ในเวลาต่อมา... ครบทุกตอน)  ในปีเดียวกันนั้นเธอก็เล่นหนังอีกเรื่องในบทที่แตกต่างจากบทบู๊ระหำใน Mad Max แบบฟ้ากับเหว

หนังชื่อว่า Tim เธอรับบทหนุ่มวัย 20 กว่าที่มีความผิดปกติทางสมอง (ปัญญาอ่อนเล็กน้อย)  Tim อยู่กับครอบครัว  เธอหารำไพ่พิเศษด้วยการรับทำงานด้านออกแรง  วันหนึ่งก็ไปทำงานให้กับสาวทึนทึกมีการศึกษาและเงินชาวอเมริกัน  

เรื่องเริ่มจาก 1 ไป 2 แล้วในที่สุด  คู่ต่างวัยก็หลงรักกันและแต่งงานกันในที่สุด  ท่ามกลางความขัดแย้งของสังคม

ผมดูหนังเรื่องนี้ตอนอยู่เมืองนอก  เท่าที่รู้มาหนังไม่ดังในวงกว้าง  เพราะเหตุฉะนี้เลยหา clip  ย่อยแบบสมบูรณ์ ๆ ไม่ได้
https://youtu.be/RBz8Z7KlyNs


https://youtu.be/J8EyHXlTwI8
ภาษาอังกฤษสำเนียง Australian


https://youtu.be/pPTbyISh-P8
(clip นี้เห็นความหล่อของ MG จุใจ  แต่ต้องทนฟังเสียงเพลงหน่อยนะครับ)


https://youtu.be/OX4KtXMsExg
MG ตอนหนุ่ม ๆ กับตอนนี้ต่างกันเป็นคนละคนเลย



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ก.ย. 22, 12:20
Website ที่ผมเป็นสมาชิกไม่ได้มีแต่หนัง ๆ ๆ มาให้ ‘โหลด’ เท่านั้น  ยังมีของแปลก ๆ มากมายเช่น รายการ reality show หลายรูปแบบ เทปรายการถ่ายทอดสด (งาน Oscar, Emmy, Grammy ฯลฯ)  สารคดีจิปาถะ แม้แต่หนังโป๊ก็มี (ฮ่า ๆ)

The Beatles and India (2021) อยู่ในหมวดหนังสารคดียาว 90 กว่านาที  เล่าเรื่องราวโดยสรุปของวงดนตรี Beatles ในช่วงที่ไปเยือนอินเดียในปี 1968  สาเหตุในการเยือนคือเบื่อวัฒธรรมตะวันตกที่เน้นรูปแบบของทุนนิยม พวกเขาจึงมองหา Spiritual peace  แล้ว George Harrison ก็เสนอว่าที่อินเดียนี่แหละ

สาเหตุที่เป็น GH เพราะเขานิยมชมชอบเครื่องดนตรีของอินเดียมาตั้งแต่เกิด  นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสารคดีนี้  ซึ่งเน้นเรื่องราวของ GH เป็นหลัก  ที่บ้านของพ่อแม่ของเขาชอบฟังเพลงของอินเดียมาก  โดยให้เหตุผลว่าทุกครั้งที่ฟังจิตใจจะสงบลงอย่างผิดปกติ  หลังจากตั้งวงฯ  GH ผ่องถ่ายความชื่นชมเครื่องดนตรีอินเดียให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ  ซึ่งต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย

เครื่องดนตรีหลักของอินเดียที่มีอิทธิพลต่องานเพลงของพวกเขาคือ sitar เพลงแรกที่นำมาใช้ชิมลางคือเพลง Norwegian Wood (1965)
https://youtu.be/Xl6hPqoN6vk


ส่วนเพลงที่นำ sitar มาใช้เป็นเครื่องดนตรีหลักคือ Love you to (1966 – เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ  แบบว่าผมไม่ใช่สาวกของคณะนี้)
https://youtu.be/s1X-q7MweIc


ศิลปินอินเดียที่ GH ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ให้ช่วยฝึกความชำนาญในการเล่น sitar คือ Ravi Shankar  ความชื่นชมเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเรื่องส่วนตัว  เขาให้เหตุผลที่น่าฟังว่าเหมือนตอนเปิดเทอม (หมายถึง อยู่ในวงฯ) ก็ต้องเรียนหนังสือ (หมายถึง ร่วมกันทำเพลง)  พอปิดเทอม (หมายถึง หลังจากอัดแผ่น/ออกทัวร์ ฯลฯ จบแล้ว) แล้วใครอยากทำอะไรก็ทำ
https://youtu.be/RxI6IkH9Mvo


โหมโรงอยู่ครึ่ง ชม. ทั้งคณะก็ออกเดินทางไปอินเดียซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก  พวกเขาเคยไปมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 1966  แต่ไปครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่แตกต่าง  พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เมือง Rishikesh ในภาคเหนือของประเทศอันเป็นที่ตั้งอาศรมของโยคีชื่อ Maharishi Mahesh  ได้เรียนรู้วิธีการทำสมาธิประเภท Transcendental Meditation  หลักการของ MM มีว่า "The purpose of life is the expansion of happiness. Anyone can find a way"

ความที่เป็นศิลปินดังทั่วโลก  การไปเยือนอินเดียครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการบันเทิงของอินเดีย  นักข่าวต่างแห่กันไปทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพและ/หรือเสียง  นักข่าวคนหนึ่งเล่าว่า  เขามีเส้นดี  เส้นบอกว่าให้บอก password ว่า Jai Kurudeva  แล้วทางจะสะดวก

ความสนใจไม่ได้เกิดกับวงการบันเทิงเท่านั้น  ในวงการการเมืองก็มีเอี่ยว  ข่าวหนาหูแพลมออกว่า  อาศรมของ MM นั้นแท้จริงเป็นฉากหน้าของ CIA ที่บงการอยู่เบื้องหลัง  แม้แต่อีกฝากคือ KGB ก็ลงทุนส่งสายลับเข้ามาสืบสวนหาความจริง

ความจริงการไปครั้งนี้ไม่ใด้มีแต่เฉพาะวงดนตรีคณะนี้แต่มีสมาชิกร่วมเดินทางไปมากมายรวมถึงนักร้องดัง Donovan และนักแสดงสาว Mia Farrow
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/23/pfL7ub.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pfL7ub)
(ผู้ชายชุดเหลืองและผู้หญิงทางขวาของเขา)

ช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 3 เดือน สมาชิกวงฯ เล่าว่าได้ประสบการณ์ดี ๆ มากมาย  แต่พวกเขาอยู่ได้ไม่นาน  Ringo Star (+ เมีย) กลับเป็นคณะแรกเพราะแพ้อาหารแปลก ๆ และคิดถึงลูก  ปล่อยให้สมาชิกอีก 3 คนอยู่ต่อไป  ซึ่งในที่สุดก็เจอประสบการณ์ที่ไม่น่ายินดีเกี่ยวกับตัว MM เอง  สาเหตุโดยสรุปคือ  เริ่มมีธุรกิจมาเกี่ยวข้องในขณะที่สมาชิกฯ และคนอื่น ๆ ต่างต้องการความเป็นส่วนตัว  เพียงไม่เกิน 3 เดือนทุกคนก็ทยอยกันกลับ  ด้วยความรู้สึกที่ไม่ประทับใจ  

อย่างไรก็ตาม  ขณะที่อยู่ที่นั่นสมาชิกได้เห็นมุมมองใหม่ซึ่งส่งผลต่อการแต่งเพลงมากมาย  บางแหล่งบอกว่า 30 เพลงแต่บางแหล่งก็ว่า 48 เพลง  เพลงทั้งหมดนำมาพิจารณาคัดเลือกลงอัดในแผ่นคู่ชื่อ White Album ที่ออกวางตลาดในปลายปีนั้น

เพลงที่พวกเราสิงห์เพลงฝรั่งรู้จักดีเช่น
https://youtu.be/Man4Xw8Xypo

https://youtu.be/p-abNGP1BK4

https://youtu.be/_J9NpHKrKMw

ส่วนเพลงที่พวกเขาเอา password ว่า Jai Kurudeva  ไปใส่ในเนื้อเพลงคือเพลงนี้  สมัยโน้นมันเป็นช่วงเดียวของเพลงที่ผมแกะเนื้อไม่ออก  จะไปแกะออกได้อย่างไรก็มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
https://youtu.be/90M60PzmxEE


อย่างไรก็ตาม  สำหรับสมาชิกอื่น ๆ การไปอินเดียครั้งไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบ  ส่วนใหญ่ทนอากาศและแมลงไม่ไหว  เท่าที่ไปอ่านปลีกย่อยมา MF เกลียดกระหน่ำ  เธอบอกว่าเคยโดน MM แต๊ะอั๋ง  เธอวิจารณ์การฝึกสมาธิว่า "sit down, look at your navel and do nothing"

สารคดีนี้ไม่มีใครย่อย Clip มาปล่อยใน youtube ผมก็เลยไปเสาะหาจากแหล่งต่าง ๆ
https://youtu.be/ohJXlUWNBiE

https://youtu.be/aLeBZjPOJ-c

https://youtu.be/7c0WJHNwDx8


clip นี้เผยให้เห็นอิทธิพลที่คณะ Beatles มีต่อวงการบันเทิงของอินเดีย (สะใจจิง ๆ)
https://youtu.be/p9JMo9xLfzM


สารคดี
https://youtu.be/so-AEgMk9OI


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/23/pfLleW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pfLleW)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/23/pfLHeq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pfLHeq)




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ก.ย. 22, 12:53
นิดเดียว...

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/26/ptsRlD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/ptsRlD)


LF ได้ Oscar จากหนังเรื่องที่บอกไว้  ตอนแรกผมนึกว่าไม่ได้ดู  เพราะนึกอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไม่ออก  คิดว่าเป็นหนังขาวดำด้วยซ้ำ  คงติดตามาจากเห็นภาพนิ่งในหนังสือ SP  แต่พอมาดู trailer ใน youtube ปรากฏว่าเคยดู (แฮะ)  เห็นแล้วนึกชื่อไทยได้ด้วยว่า 'บ้าก็บ้าวะ... (ทำนองนี้)'  แต่ทำไมจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากฉากท้ายเรื่อง  ทั้ง ๆ ที่มันเป็นหนังที่ดังมาก  ทำสถิติบนเวทีรางวัลมากมาย  และผมก็อุตส่าห์ถ่อสังขาร (ตอนยังหนุ่มแน่น) ไปซื้อตั๋วดู
https://youtu.be/NtECHu3VzdQ


อีกฉากคือเปิดตัว Billy Bibbet ที่เล่นโดย Brad Dourif  เธอเป็นหนุ่มหน้าสวยมาก  แต่กาลเวลาไม่ปรานีใคร  หน้าตาที่เห็นในหนังช่วงหลัง ๆ ทำให้อึ้งไปเลย  นึกไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
https://youtu.be/mdmh3VVxMeM


LF เป็นอีกหนึ่งนักแสดง oscar ที่ต้องคำสาป  คือหลังจากได้รางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดแล้ว  บทในหนังอื่น ๆ ที่เธอเล่นไม่มีอะไรเป็นที่น่าจดจำอีกเลย

(หมายเหตุ - จำได้ว่ามีกระทู้นักแสดงฝรั่งตายโดยเฉพาะ  แต่ขี้เกียจค้น  ขอรวบยอดลงตรงนี้ละกัน)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ก.ย. 22, 12:44
2 วันก่อนคุยถึงเรื่องหนัง Total Recall  มาในปี 1997 ก็มีหนังที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเช่นเดียวกันคือ ‘สนุกฮี้หาย’ มันมีชื่อว่า The Fifth Element

หนัง Sci-fi เช่นกันเล่าถึงคนขับแท็กซี่ที่จับผลัดจับผลูต้องมาผจญภัยโดยมีสาวจากต่างดาวและบาทหลวงเป็นผู้ช่วยในการตามหาอาวุธเพื่อนำไปปกป้องโลก  ระหว่างนี้ก็ต้องต่อกรกับอันธพาล Mr. Zorg ผู้เป็นเจ้าของแผนชั่วร้าย

หนังมีฉากตระการตาประทับใจแถมมีความตลกแทรกเข้ามาเป็นระยะมากมาย

แค่เริ่มต้นเรื่องก็ตาไม่กระพริบแล้ว
https://youtu.be/vBc-7pEtxgo


นี่คือ The fifth element
https://youtu.be/qPRFkBsovx0


นี่คือ คนขับแท็กซี่ (ผกก. เอาพี่ BW มากระหน่ำจนดูหล่อจนได้)
https://youtu.be/WXzSQ6rbzqE

https://youtu.be/KNOZmhwl8nE

https://youtu.be/mkGsYEKOswU

https://youtu.be/ay4CNqCfE2o


นี่คือ Mr. Zorg ผู้ชั่วร้าย
https://youtu.be/XXTboF8kusw


นี่คือ Opera singer จากแดนไกล
https://youtu.be/XnTE2h0ZY74


นี่คือฉากบู๊
https://youtu.be/6JQKubfe7x4


หนังเรื่องนี้กำกับโดย ผกก. ชาวฝรั่งเศส Luc Besson  เธอเล่าว่าได้เขียน plot เรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่ออายุ 16  และสามารถทำความฝันให้เป็นจริงเมื่ออายุ 38  อันเป็นความฝันที่นักดูหนังและนักวิจารณ์ต่างยอมรับ ผลคือหนังดังถล่มทลาย

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/fQ9RqgcR24g


สำหรับใครที่อยากดูฉบับเต็ม  
https://youtu.be/MC_isIBiRJs


หมายเหตุ – รางวัล Razzie 2022 เพิ่งประกาศออกมา  ปีนี้มีสาขาพิเศษเฉพาะกาลเพิ่มขึ้นมา 1 สาขา  คือ อะไรและใครได้เข้าชิง:

Worst performance by Bruce Willis in a 2021 movie (special category)

Bruce Willis, American Siege
Bruce Willis, Apex
Bruce Willis, Cosmic Sin --------- (The winner)
Bruce Willis, Deadlock
Bruce Willis, Fortress
Bruce Willis, Midnight in the Switchgrass
Bruce Willis, Out of Death
Bruce Willis, Survive the Game

ผมว่า คติของเธอคือ  ‘เอาเงินไว้ก่อน’

หมายเหตุ - ล่าสุดได้ข่าวมาว่า BW ป่วยเป็นโรค Aphasia incurable disorder ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแสดง  




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 ก.ย. 22, 12:06
ท่ามกลางหนังที่เข้ามาฉายในปี 1998 มีหนังที่เมื่อผมดูจบแล้วบอกกับตัวเองว่าสุดยอด 2 เรื่อง เป็นหนังแนวแฟนตาซีทั้งคู่ 
 
เรื่องแรกชื่อ What dreams may come  มีคนทำ clip สรุปมาให้  เยี่ยมมาก  ถ้าเล่าคงต้องอธิบายยืดยาว
https://youtu.be/ZAAQP5Ed8-Y
ขอขอบคุณ คุณSpoilGun


ขยายความจาก 3.04
https://youtu.be/N_8MmokOlYI


ขยายความจาก 3.27
https://youtu.be/CYonzhFT_z4

https://youtu.be/IXOGgu0MuCs


ขยายความจาก 4.00
https://youtu.be/-RmTeN9S3N8


ขยายความจาก 4.43
https://youtu.be/U9293Sx1_Dw


ขยายความจาก 5.34
https://youtu.be/508omJosuIQ


ขยายความจาก 6.30
https://youtu.be/HwrmILnrzbk


ขยายความจาก 8.13
https://youtu.be/l8qTS__e19M


ขยายความจาก 12.00
https://youtu.be/9l5eZITVV34


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/ahduR16B7K0


หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิง Oscar 2 สาขาคือ Art Direction และ Visual Effects สาขาที่ 2 คว้ารางวัลไปอย่างสมภาคภูมิ

ดูเรื่องนี้จบแล้วอดคิดถึงหลักศาสนาพุทธไม่ได้  มีจุดหนึ่งในหนังตรงกับที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าจิตหม่นหมองคือจิตที่เคลือบด้วยอกุศล  เมื่อตายขณะนั้นก็ลงอบายภูมิ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ย. 22, 20:19
หนังเรื่องนี้ดังในไทยมากเอาการ    เหตุผลหนึ่งคือมันมีแนวคิดกลมกลืนกับไทยๆ เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องบุญบาป   ตอนแรกดูก็ตื่นตาตื่นใจกับเนื้อเรื่องพอสมควร   แต่พอดูเสร็จแล้ว  ทำไมลืมเกลี้ยงเลยก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 ก.ย. 22, 12:26
หนังเรื่องโปรดอีกเรื่องที่เข้ามาในปีเดียวกันชื่อ Pleasantville  มีคนทำ clip สรุปมาให้เช่นกัน

https://youtu.be/pc2b28fpiGg
ขอขอบคุณ คุณ Mozz video


ขยายความจาก 8.34
https://youtu.be/dDki-56_8M8


ขยายความจาก 9.57
https://youtu.be/TDai5Glbw2I


ขยายความจาก 11.22
https://youtu.be/qrGD4sCORII


ขยายความจาก 11.42
https://youtu.be/X2iqJLgObG0


ขยายความจาก 13.10
https://youtu.be/fVYCljdGzT8


ขยายความจาก 14.10 เป็นฉาก climax ของเรื่อง
https://youtu.be/zd0Ce0-_pJg


การสร้างหนังเรื่องนี้แต่เริ่มแรกออกมาเป็นสีทั้งเรื่อง  แล้วนำเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มาเปลี่ยนจากภาพสีเป็นขาวดำ  นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรก  เป็นผลที่ทำให้ทีมงานได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก  ดูสนุกและคาดเดาไม่ได้ว่าเมื่อไรจะลงเอยและลงเอยตรงไหน

พอดูหนังจบแล้ว  ผมอดนำแก่นของเรื่องไปเปรียบกับศาสนาพุทธเหมือนเรื่องแรกไม่ได้  ผมมีความคิดว่าการที่ Pleasantville เป็นเมืองสงบปราศจากเรื่องใด ๆ ที่ไปก่อกวนให้เกิดการเบี่ยงเบนทางอารมณ์ (คือไม่มีการปรุงแต่ง) ก็เปรียบเสมือนว่าเมืองนี้ไม่มีกิเลส  คือ ไม่มีหลง-โลภ-โกรธ  ซึ่งก็เท่ากับว่า  เมืองนี้เปรียบเสมือนนิพพาน

แต่ฝรั่งไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็เลยไม่เข้าใจแก่นแบบชาวพุทธ  เลยคิดว่า  ความไม่มีกิเลสคือความจืดชืดเหมาะแก่ภาพขาวดำ  ความมีกิเลสต่าง ๆ เช่น ทำให้แม่คิดมีชู้  มีการประท้วงก่อหวอด มีการชกต่อย  มีการโมโห/ผิดหวัง ฯลฯ  ต่างหากที่ทำให้โลกสดใสเหมาะกับการใช้ภาพสี

ผมว่าถ้าจะปรับให้เข้ากับหลักของพุทธศาสนา  หนังเรื่องนี้ต้องนำเสนอย้อนจากปลายเรื่องไปหาต้นเรื่อง (คือจากภาพสีกลายเป็นขาวดำ)
(หมายเหตุ - แค่รำพึงอ้ะ...)

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/dSDm62Hmbf4



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ต.ค. 22, 12:28
เมื่อ 2 วันก่อน (นับจากวันที่เขียนเรื่องนี้) ได้ดูหนังชุดขนาดสั้น (mini series) สร้างออกฉายทางทีวีเรื่อง A Very English Scandal (2020) อ่านชื่อเรื่องก็เดาได้ว่าเป็นหนังสร้างจากอังกฤษ  เล่าเรื่องราวช่วงที่ฉาวโฉ่ของหัวหน้าพรรค British Liberal ชื่อ Jeremy Thorpe ที่มีส่วนพัวพันกับการฆาตกรรมหนุ่มชู้รักและถูกบังคับให้ต้องขึ้นศาลเหมือนบุคคลทั่วไป  เหตุเกิดในปี 1979

ดารานำในเรื่องนี้คือ Hugh Grant  ซึ่งดูสูงวัยจนน่าตกใจ (เธออ่อนกว่าผมอีกแน่ะ) แม้ในหนังจะมีการแปลงโฉมให้เข้ากับท้องเรื่องแต่ในฉากการให้สัมภาษณ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาปกติ  เธอก็ยังคงดูสูงวัยไม่แพ้กัน

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/03/pOhFkS.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pOhFkS)


ดูแล้วก็มารำลึกได้ว่าเคยชอบเธอมาก ๆ จากหนัง Four weddings and a funeral (1994)  หนังตลกโรแมนติกชั้นดี  เล่าเรื่องชีวิตของ Charles (HG) กับพรรคพวกที่จะมารวมตัวกันแบบเฉพาะกิจในงานแต่งงาน 4 งานรวมถึงงานศพอีก 1 งาน ตามชื่อเรื่อง

งานที่ 1 เป็นงานแต่งงาน  Charles ได้พบสาวในฝัน (Andie MacDowell) ชื่อ Carrie เธอเป็นชาวอเมริกันที่มาร่วมงาน  ชื่อเสียงของเธอไม่ค่อยดีนักในหมู่เพื่อน ๆ ของ Charles … ‘She’s a slut’  อย่างไรก็ตาม  Charles ไม่ถือสา  2 คนเลยกระโดดขึ้นเตียงในคืนของวันที่ได้พบกันนั้น  วันรุ่งขึ้นเธอก็จากไป

เหตุการณ์ฮา ๆ ในงาน
https://youtu.be/qxeHrQNdKW0

https://youtu.be/PvMdN_i-D9I

https://youtu.be/WyrUdbtjqbc


งานแต่งงานที่ 2 เกิดขึ้นในอีก 3 เดือนต่อมา  Charles ได้พบกับ Carrie อีกครั้งในงาน  คราวนี้ Carrie พาคู่หมั้นมากด้วย  แต่ลงท้าย 2 หนุ่มสาวก็เกี่ยวก้อยกันขึ้นเตียงเพื่อทบทวนความหลังกันหน่อย

เหตุการณ์ฮา ๆ ในงาน
https://youtu.be/hR2QHTlk4AM
มี Rowan Atkinson มาร่วมรับประกันความฮา  RA กำลังดังจากหนังทีวีตลกของตัวเองชื่อ Mr. Bean   ประวัติส่วนตัวของเธออ่านแล้วทึ่งไม่มีที่ติ  เธอจบ ป. โท จาก Oxford ในด้านวิศวกรรมไฟฟ้า  ตอนกำลังเก็บดอกเตอร์  เธอเกิดไปติดใจกับการแสดงเลยทิ้ง ป.เอก ไปเลย
 
ฉากนี้ตลกสุดขีด  โชคดีที่มี clip ที่มีบรรยายแนบมาด้วย
https://youtu.be/NvpWsK7Kn-c


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 ต.ค. 22, 12:17
Four weddings and a funeral กันต่อ...

งานที่ 3 เกิดขึ้นในอีก 1 เดือนต่อมา  เป็นงานแต่งงานอีกเช่นกันแต่เป็นงานสุดแสบของ Charles  คืองานแต่งของสาว Carrie  ที่หนุ่ม Charles เคยหลงรักและขึ้นเตียงไปนอน ‘คุย’ กันเรียบร้อยแล้วถึง 2 ครั้ง

หนุ่ม Ch และแก๊งค์ได้รับการ์ดเชิญไปร่วมงาน  เธอก็เลยออกไปหาซื้อของขวัญแล้วก็ได้เผอิญเจอกับสาว Ca  clip นี้สาวเผยสถิติจำนวนผู้ชายที่หล่อนเคยขึ้นเตียงด้วย
https://youtu.be/eeXePDLKsmU


ส่วน clip นี้ต่อเนื่องกัน  คุยไปได้พัก Ch ก็นึกได้ว่านัดกับน้องชายไว้  น้องชายของเธอเป็นใบ้  นักแสดงบทนี้ในชีวิตจริงก็เป็นใบ้เช่นกัน (David Bower)  เธอหน้าตาน่ารักที่สุด
https://youtu.be/8Ut9pZyyS44


ในที่สุดก็ฝืนเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไม่ไหวเธอก็แจ้นไปสารภาพรักกับสาวซึ่งเป็นการโง่มากที่ไปสารภาพในตอนที่สาวกำลังจะแต่งงาน  ฉากนี้ HG หว่านเสน่ห์ให้กับคนดูสุดฤทธิ์
https://youtu.be/Ogl0mA_15ys
0.35 - ที่เธอพล่ามชื่อ David Cassidy, The Partridge Family, ‘I think I love you’  ทั้งหมดอยู่ในรายการหนังชุดทางทีวีในช่วงปลาย 1960s ชื่อ The Partridge Family มาฉายในบ้านเราด้วยชื่อ ‘แม่หม้ายลูกติด’

David Cassidy เล่นเป็นลูกชายคนโต  ครอบครัวนี้ตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมา  เป็นหนังตลกเบาสมอง  เพลงเพราะ ๆ ทั้งนั้น  วงนี้ออกแผ่นเสียงขายด้วย (ใช้แค่ชื่อเท่านั้น  ใน studio มี DC คนเดียวที่มีส่วนร่วมในการออกแผ่น)  เพลงที่ดังที่สุดคือ I think I love you  บ้านเราเปิดกระหน่ำเช้าถึงเย็น  ส่วน DC ก็กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น  นส. SP และ I.S. Song Hits + ฯลฯ ลงรูปของเธอทุกเล่ม (ตอนนี้ตายไปแล้ว)  อีกคนที่เข้าร่วมวงขวัญใจวัยรุ่นไปด้วยกันคือ Susan Dey  ส่วนบทคุณแม่แสดงโดย Shirley Jones ดาราระดับ Oscar ในยุคทองของฮอลลีวู้ด
https://youtu.be/EW4E0jAeAf8

ไตเติ้ลหนัง  เผื่อจะมีคนจำได้
https://youtu.be/LOiKa51ll-k


Clip บรรยากาศงานแต่งงานที่ 3  เสียงอกหนุ่ม Ch หักดังเป๊าะ ได้ยินออกมาถึงหูคนดู
https://youtu.be/00p3eB-2LNg


ในงานที่ 3 ก็เกิดงานที่ 4 ซ้อนขึ้นมา  คราวนี้เป็นงานศพ  คนตายเป็นเพื่อนในกลุ่ม
https://youtu.be/xn3J0iYO7sw


อีก 10 เดือนต่อมาก็เป็นงานที่ 5

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 ต.ค. 22, 14:09
Four weddings and a funeral กันต่อ


งานที่ 5 คืองานแต่งงานของหนุ่ม Charles เองกับ 1 ในสาว ๆ ที่ตัวเองเคยคั่วในอดีต  ในหนังไม่เผยว่าใครคือเจ้าสาวในทันที  หลอกล่อคนดูให้งงว่า ใครวะ พอหอมปากหอมคอ
 
ในงาน สาว Carrie ก็ (ดัน) มาร่วม  แต่คราวนี้ตัวเปล่าเล่าเปลือย  เอาละซี  ทำไงดีละหว่า 
 
อัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยในการตัดสินใจคือ หนุ่มน้อย (โคตรน่ารัก) David  ก่อนหน้า clip นี้เธอให้ตัวเลือกพี่ชายสำหรับการตัดสินใจ ข้อ 1 คือ 'Go ahead with it (หมายถึงงานแต่ง)' ข้อ 2 คือ "Sorry folks, it's all off (หมายถึงงานแต่ง)" ส่วนข้อที่สาม (ตอนนั้น) เธอยังคิดไม่ออก  มาคิดออกใน clip นี้
https://youtu.be/MBIIKCaK5PM


ตอนจบก็รู้ ๆ กันอยู่
https://youtu.be/mw3M1fIiegc


ช่วง ending credit มีการเผยว่า  ยังมีงานแต่งตามมาอีกเพียบ  รวมถึง งานของเจ้าสาวที่ไปไม่ถึงฝันของ Charles (ชุดแรก) งานของหนุ่มน้อย David  แล้วก็งานของเพื่อนซี้สาวในกลุ่มซึ่งมีช่วงหนึ่งสารภาพว่าเธอหลงรัก Charles มาตั้งแต่วัยรุ่น  แต่ในที่สุดเธอก็ได้แต่งงานกับชายที่ชื่อ Charles เหมือนกันคือ...  Prince Charles
https://youtu.be/NBb9kbbDbzY
เพลงนี้ชื่อ Chapel of love เป็นเพลงดังในปี 1964 ของวงนักร้องหญิงผิวดำ Dixie cups  ในหนังนี้ Elton John นำมาร้องใหม่


มี clip รวบรวมคำว่า ‘fuck’ ที่ HG และเพื่อนสาวสบถจนคล่องปาก  มีทั้งหมด 28 ครั้ง
https://youtu.be/2yvBDUFdvZg


มีต่อ (อีกเล็กน้อย) ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ต.ค. 22, 12:18
Four weddings and a funeral ตอนจบ... เป็นควันหลง


ตอนทำสัญญาก่อนถ่ายทำหนัง Andie MacDowell  'นางเอก' มองเห็นการณ์ไกลในอนาคตของหนังเรื่องนี้  เธอไม่รับเงินค่าจ้างแต่คิดเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของหนัง  ผลคือเธอได้รับเงินทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ (ทุนของหนัง 4.4 ล้าน  รายได้รวม 245.7 ล้าน ครองตำแหน่งหนังอังกฤษที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลมาหลายปี) ในขณะที่ Hugh Grant เซ็นสัญญาด้วยการรับค่าจ้าง เธอได้เงินหลังจากทำงานเสร็จ 1 แสนเหรียญ

ทุนการสร้างของหนังเรื่องนี้จำกัดจำเขี่ยมาก  ในเวลาถ่ายทำแค่ 2 เดือนกับอีก 2-3 วัน นักแสดงสมทบหลายคนต้องนำเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่เข้าฉาก
 
นี่เป็นหนังเปิดตัว HG กับโลกฮอลลีวู้ด  หนังได้รับการเสนอเข้าชิง Oscar 2 สาขาคือ หนังยอดเยี่ยม กับ บทหนังยอดเยี่ยมที่ทุกคนชื่นชมมากเพราะคนเขียนแจกบทให้กับตัวละครสำคัญ ๆ ได้ครบ  แม้จะมากบ้างน้อยบ้าง  เสียดายที่พลาดรางวัล   ส่วนตัว HG แม้จะพลาดจากการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  แต่เธอไปได้รางวัลที่มีความสำคัญรองลงมาคือ ลูกโลกทองคำ

พอได้ 'Pedigree' เธอก็ข้ามฟากหอบเสน่ห์ของหนุ่มอังกฤษมาอเมริกามาต่อยอดกับบทเบา ๆ น่ารัก ๆ ที่พวกเรานักดูหนังฝรั่งต่างคุ้นหูคุ้นตา อย่าง Notting Hill (1999), Brigitte Jones’s Diary (2001) หรือ Love Actually (2003)  ทั้ง 3 เรื่องเขียนบทโดยนักเขียนคนเดียวกับ FWฯ คือ Richard Curtis  สำหรับ HG อยู่ยงคงกระพันในวงการหนังมาถึงปัจจุบัน  20 กว่าปีเข้าไปแล้ว

หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังน่ารักที่สุดตลอดกาลของผม  ผมได้ดูทางวิดีโอ  แสดงว่าหนังไม่ได้เข้าโรงฯ ในบ้านเรา  ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะหนังแบบนี้โกยเงินอยู่แล้ว  ถ้าหนังเข้าโรงฯ ผมจะไประหกระเหินควานหาวิดีโอมาดูทำไม  แถมเป็นวิดีโอแบบ ‘ผี’ ด้วย   ชักสับสน  เอ... หรือว่ามันมาเข้าโรงฯ หลังจากผมดูทางวิดีโอแล้วละหนอ

อย่างไรก็ตาม ดูหนังจากวิดีโอผีซึ่งไม่มีบรรยายนี่แสบที่สุดคือนอกจากภาพไม่ชัดแล้ว  ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง  จะอาศัยดูปากนักแสดงเป็นตัวช่วยก็เห็นไม่ชัด  ยิ่งเป็นสำเนียง British ที่ไม่คุ้นหู  กรอกลับไปกลับมาจนเวียนหัว  ผมได้มาดูอย่างเป็นทางการทาง I/UBC  ดูจบแบบ ‘รู้เรื่อง’ แล้วยิ่งชอบเข้าไปใหญ่

หนังมาบ้านเราหรือไม่ ช่างมัน  แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดของหนังเรื่องนี้ที่เข้ามาในเมืองไทยคือเพลง Love is all around โดยคณะ Wet, wet, wet เพลงอยู่ในอันดับ 1 ใน chart ที่อังกฤษนาน 15 สัปดาห์แต่ไปไม่ไหวในอันดับ BB ของอเมริกา  ส่วนในบ้านเราทุกสถานีวิทยุพร้อมใจกันเปิดทั้งวันและทุกวันไปนานหนึ่งเพลิน
https://youtu.be/WnIJiD4ol5A


ความจริงเพลงนี้เป็นเพลงเก่านำมาร้องใหม่  ต้นฉบับร้องโดยคณะ Troggs เป็นวง rock อังกฤษในช่วงปลาย 60s  นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักวงนี้ไม่ใช่จากเพลงนี้  แต่เป็นเพลงนี้
https://youtu.be/gSWInYFVksg


ตัวอย่างหนังที่มีบรรยากาศสดใสมาก  เป็นบรรยากาศของอังกฤษซึ่งผมว่าเป็นดินแดนที่มีเวทย์มนต์  คือหลงรักได้ง่าย  ผมไปเที่ยวทีไร  ไม่อยากกลับเลย  สวยถูกใจ  เสียดายแก่แล้ว  แล้วก็มี ‘โรคระบาด’ ด้วย  เลยต้องระงับการท่องเที่ยวซึ่งน่าจะตลอดไป
https://youtu.be/g-HeV8Z6iXc


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/06/pAqjw8.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pAqjw8)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ต.ค. 22, 12:40
คนไทยนักดูหนังฝรั่งจะเห็นหน้า Hugh Grant ครั้งแรกจาก Four Weddings and a funeral  ที่เพิ่งเล่าไป  แต่สำหรับผมเห็นเธอมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 1987 โน่น

หนังที่เธอเล่นมีชื่อว่า Maurice เป็นหนังอังกฤษย้อนยุคไปต้น 1900s  สมัยที่เรื่อง ‘sex’ เป็นสิ่งอุจาดสำหรับสาธารณะ (ที่อังกฤษ)  ขนาดเรื่องธรรมชาติแบบนี้ยังพูดคุยกันทั่วไปไม่ได้  แล้วเรื่องผิดธรรมชาติเช่น ผู้ชายที่แปลกใจว่าทำไมตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน (sexually) ทำไมถึงไม่ชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่น ๆ จะก่อความอึดอัดไม่รู้จะไประบายความงงงวยได้ที่ไหน

หนังพาเราไปดูชีวิตของ Maurice หนุ่มผู้ดีมีสตางค์ความรู้สูง  เธอโดน ‘สะกิด’ โดย Clive นักศึกษารุ่นพี่ที่ รร.  จากนั้นเป็นต้นมา Maurice ก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน 
 
Maurice กับ Clive เป็นเพื่อนสนิทกันในช่วงเวลาอันยาวนาน  ทั้งคู่มีความเท่าเทียมกันในฐานะของครอบครัวและอาชีพ  Clive เปิดเผยรสนิยมของตัวเองในตอนแรกกับ Maurice  แต่โดน Maurice ปฏิเสธด้วยความที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่  Clive เสียหน้าเสียความมั่นใจก็เลยกลับเข้าไปอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’  และไม่ออกมาอีกเลย  ในขณะที่ Maurice หลังจากโดนสะกิดแล้วก็พยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น  ถึงขนาดไปหาหมอเพื่อรับการรักษาเพราะคิดว่าเป็นโรคอะไรบางอย่าง

ในที่สุดสิ่งที่ทำให้ Maurice เข้าใจตัวเองคือ Scudder เด็กรับใช้หนุ่มหล่อในบ้านของ Clive  Scudder เผยตัวตนที่แท้จริงของ Maurice ออกให้เห็นเป็นฉาก ๆ

เล่ามาตั้งนานลืมบอกไปว่า Hugh Grant เล่นเป็น Clive นร. รุ่นพี่ที่ต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทอันยาวนานของ Maurice  เธอเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 เป็นบทดราม่าที่แตกต่างจากบทต่อ ๆ มาอันเป็นบทโรแมนติกเบาสมองที่เธอคงค้นพบว่าเป็นความถนัด  หน้าเธอ (ตอนต้นเรื่อง) หวานมาก ๆ  ทรงผมรับกับรูปหน้า

Maurice กับ Clive และความสัมพันธ์แบบ ‘on and off’
https://youtu.be/Me6vDvv5e6U


Alec Scudder หนุ่มชั้นกรรมาชีพคนงานในบ้านของ Clive  ความหล่อและบุคลิกแมน ๆ ของเธอเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ไฮโซ  Scudder เป็นผู้เปิดโลกใหม่ให้กับ Maurice  ส่วน Clive กลับเข้า ‘ตู้เสื้อผ้า’ ไปแล้ว
https://youtu.be/bvEOXW2EVlw
เห็นอาณาเขตบ้านแล้วน่าจะรวยสะเด็ดไปเลย


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 ต.ค. 22, 12:46
‘Maurice’ กันต่อ


หนังจบลงที่ Maurice เข้าใจตัวเองและเดินหน้าใช้ชีวิตด้านที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ต่อไปด้วยความมั่นใจ  แต่ Clive ซึ่งอิจฉา Maurice อยู่ลึก ๆ ยังคงแอบอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’ ด้วยความทุกข์ต่อไป
https://youtu.be/84cy09j3bYM
ฉากที่ 6.45 ผมว่าเป็นอุปมาอุปมัย เปรียบเสมือน Maurice กวักมือเรียก Clive ให้ออกมาจากตู้เสื้อผ้าได้แล้ว  แต่เธอปฏิเสธ

(เริ่มต้น – 0.30)
Cl: Very well. I'm at your service. My advice, though, is to sleep here tonight and ask Anne in the morning. Where a woman is in question, it's always better to ask another woman and particularly if she has Anne's almost uncanny insight.
Mau: I'm not here to see Anne. Or you, Clive. It's miles worse for you. I'm in love with Alec Scudder.
Cl: What a grotesque announcement.
Mau: Most grotesque. But I felt I ought to tell you.
Cl: Maurice, Maurice, we did everything we could when you and I thrashed out the subject.
Mau: When you brought yourself to kiss my hand.
Cl: Don't allude to that. Come in here. I'm more sorry for you than I can possibly say. And I do, do beg you to resist the return of this obsession.
Mau: I don't need advice. I'm flesh and blood, Clive, if you'll condescend to such low things. I've shared with Alec.
CL: Shared - Shared what?
Mau: Everything. Alec slept with me in the Russet Room when you and Anne were away.
Cl: Oh, good God.
Mau: Also in town.
Cl: The sole excuse for any relationship between two men is that it remain purely platonic. Surely we agreed that.
Mau: I don't know. I've come to tell you what I did.
Cl: Well, Alec - Scudder- is in point of fact no longer in my service. In fact, he's no longer in England. He sailed for Buenos Aires this very day.
Mau: He didn't. He sacrificed his career for my sake without a guarantee. I don't know whether that's platonic of him or not but it's what he did.
Cl: Scudder missed his boat? Maurice, you're going mad. May I ask if you intend to pursue -
Mau: No. No, you may not ask. I'll tell you everything up to this minute. Not a word beyond.
เว้นช่วงที่ Maurice ออกตามหา AS
Mau: Alec? Alec…
Al: So you got the wire, then?
Mau: What wire?
Al: The wire I sent to your house telling you - Oh, sorry. I'm a bit tired what with one thing and another.
Maurice smiles…
Al: No. Telling you to come here to the boathouse at Pendersleigh without fail.
They kiss…
Al: Now we shan't never be parted. It’s finished.


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/78jkhPQBfcg


หนังเกย์ของอังกฤษระดับ 3 ดาว (จาก ปูมของนักวิจารณ์ Leonard Maltin) ที่ทำบรรยากาศได้สวยและสดชื่นมาก  หนังสร้างจากนิยายของนักประพันธ์ชื่อดัง E.M. Forster ที่มีผู้นำงานของเธอมาทำเป็นหนังอยู่หลายเรื่องเช่น A passage to India (1984), A room with a view (1975), Howards end (1992)

ผู้ที่นำหนังเรื่องนี้มาเสนอผมก็คือ SP เจ้าเก่า  หนังแบบนี้ไม่มาฉายในบ้านเราหรอก แต่ผมก็กระเสือกกระสนไปหาวิดีโอมาดูจนได้  มันเป็นวิดีโอผีเช่นเคย  ภาพไม่ชัด ยิ่งเป็นฉากกลางคืนแล้ว  ขนาดจุดเทียนส่องดูก็ยังมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร  หนำซ้ำฟังก็ไม่รู้เรื่อง จะอาศัยอ่านริมฝีปากนักแสดงช่วยก็ไม่ได้เพราะภาพมันเบลอ

ปกติดูหนังฝรั่งในโรง  ฟังไปอ่านบรรยายไทยไปยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  นี่ไม่มีบรรยายภาษาไหนทั้งสิ้น  แถมเป็นสำเนียง British ไม่ใช่ American ที่คุ้นเคย  เลยจบเห่  ดูได้แป๊บก็ต้องกรอม้วนกลับไปฟังใหม่  หนัง 2 ชม. กว่า  กว่าจะดูจบปาเข้าไปร่วม 4 ชม.  แถมจบแบบไม่เข้าใจเรื่อง ก็เลยไม่สนุก  การดูเปรียบเสมือนกำลังทำรายงานส่งครู

เหตุการณ์ผ่านไป  วันหนึ่งผมไปเดินเล่นที่ร้านดวงกมลในสยามสแควร์  เห็นหนังสือชื่อ Maurice เป็นของ สนพ. Penguin  พลิก ๆ ดูคิดว่าซื้อกลับมาอ่านดีกว่าเผื่อจะเข้าใจหนังมากขึ้น
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/11/p8FMvv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/p8FMvv)


ตอนยืนพลิกอ่านผ่าน ๆ ไปได้หน่อยเกิดความแปลกใจ  บางตอนของบทสนทนาในหนังสือช่างคล้ายกับบทพูดในหนังจัง  ผมจำได้แม่นในฉากท้าย ๆ ของหนังที่ Alex Scudder นัดเจอกับ Maurice  เธอบอกอะไรบางอย่างทำนองว่า ‘come to the boathouse ….. without fail’  ในหนังสือก็มีบทพูดนี้เหมือนกัน

ผมก็เกิดความคิดแว้บขึ้นมา  พอกลับไปถึงบ้านก็เอาหนังออกมาดูใหม่  ดูไปสักพักก็หยุด  แล้วอ่านหนังสือตามไปจนทันกันแล้วก็กลับไปดูหนังต่อ  ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  หนังสือเล่มบางเพราะเป็นฉบับคัดย่อ  แต่ก็ครอบคลุมเนื้อเรื่องส่วนสำคัญ ๆ โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่องที่ผมอยากรู้มากว่าคุยอะไรกัน
 
ในที่สุดผมก็เข้าใจหนังได้ตลอดเรื่องแม้ไม่ทะลุปรุโปร่ง มาปรุโปร่งเอาอีกนานแสนนานเมื่อ I/UBC เอาหนังมาฉาย  เนื่องจากมีบรรยายไทยอย่างเป็นการเป็นงาน  เสียอารมณ์ตรงที่มีการหั่นฉากโรแมนติก แม้มีไม่กี่ฉากหากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ท่านก็ให้เกียรติหั่นเสียเกลี้ยง  เผอิญผมได้ดูต้นฉบับมาก่อนเลยจับสังเกตได้  แม้แค่ฉาก Clive หอมแก้ม Maurice ก็ตัด  ความจริงหนังเรื่องนี้สร้างในยุค 1980s  ฉากหวือหวาที่สุดของตัวละครเกย์ก็คือจูบกัน แล้วก็ไม่ใช่ erotically  ซึ่งแค่นี้ ท่านผู้โชมมมที่นั่งดูอยู่หน้าจอ ก็อ้าปากค้างแล้ว ทีเรื่องอื่นมีฉากคู่ชายหญิงจูบกันพลางกอดก่ายพันกันอีรุงตุงนังอยู่บนเตียง แยกไม่ออกว่าไหนหัวไหนตีน  โจ่งครึ่มแบบนี้ไม่ตัด  หรือฉากคน ‘ซี้ด’ ผงอย่างเอร็ดอร่อยอยู่หน้าจอก็ไม่ตัด

เรื่อง Maurice ที่ว่านี้ไม่เท่าไร  มาเมื่อหลายปีก่อนมานี้ได้ดูหนังทีวีชุด How to get away with murder เป็นหนังชุดที่ได้รับความนิยมมาก  ผมดีใจที่ I/UBC เอามาฉาย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยหนึ่งจ้างนักกฎหมายมืออาชีพมาสอนนักศึกษา  นัก กม. นี้ก็ใช้วิธีสอนแบบคัดเลือกเด็กมากลุ่มหนึ่งมาช่วยคลี่คลายคดีของจริงที่มีคนว่าจ้าง  เด็กแต่ละคนก็จะได้คะแนนจากงานที่ทำ
  
หนึ่งในกลุ่มเด็กเป็นเกย์ (ตามกฎหมายของการสร้างหนังยุคใหม่ที่จะต้องมีตัวละครเป็นเกย์และผิวสี (LBGT) ร่วมในทีมนักแสดงด้วยเพื่อความเท่าเทียม) ซึ่งตามบทก็ต้องมีฉากโรแมนติกเหมือนชาวบ้าน และตามยุคสมัยก็ต้องโจ่งครึ่มมากกว่าหนังในยุคโบราณด้วยซ้ำ
  
เหตุเพราะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ก่อน  มาสงสัยกับตอนหนึ่งที่เรื่องราวกำลังนำคนดูไปสู่คำเฉลย  แต่แล้วฉากต่อมา  เรื่องราวคลี่คลายซึ่งแสดงว่าคำเฉลยผ่านไปแล้ว  แต่ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่อง  ฉันก็นั่งดูตาแป๋วอยู่  มันผ่านตาไปตอนไหนวะ

ด้วยความเอะใจผมเลยลองดูดหนังตอนเดียวกันนี้ที่มีคนเอามาปล่อยทาง อตน. (website ของคนไทยทำ) มาดูเทียบถึงได้รู้ว่าฉากเฉลยความลับน่ะ  มันเกิดขึ้นตอนตัวละครเกย์กำลังมีบทโรแมนติคกับหนุ่มอยู่ แต่คณะกรรมการเซ็นเซ่อร์หั่นฉากนี้ไปด้วยความ ‘เข้มงวด’ มันก็เลยเกิดช่องว่างขึ้น  ผมถึงได้งง

ตั้งแต่นั้นผมก็เลิกดูหนังเรื่องนี้ทาง I/UBC  แล้วไปดูดจาก อตน. มาดูแทน  รู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก (ใช้คำถูกมั้ยหว่า  หรือว่า ไม่ยุติธรรม)  ต่อมาเมื่อเพื่อน ตปท. ส่ง website สำหรับโหลดหนังมาให้  ผมก็เลิกดูทีวีไปเลย  แล้วยกเครื่องฯ ให้ชาวบ้านไป  (เป็นทีวี ‘หัวทุย’ หนักอึ้ง  สมัยนั้นทีวีจอแผ่นกระดาษยังไม่เข้ามา)  แล้วดูหนังทั้งหลายทางจอคอมพิวเตอร์แทน

กลับมาที่หนัง Maurice  หลังจากได้ดูฉบับ ‘เป็นการเป็นงาน’  คราวนี้นอกจากจะเข้าใจแล้วยังชอบมาก ๆ ด้วย  ผมชอบบทสนทนา  สละสลวยมากแล้วบรรยากาศของอังกฤษสวยจริง ๆ  ฉากโรงเรียนถ่ายทำที่ King's College, Cambridge


เขียนถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ถึงไก่ที่ตัวเองเคยปล่อยออกมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เกี่ยวกับการออกเสียงเรียกชื่อคน  ตะแรกเริ่มชื่อ Hugh  ผมจะอ่านออกเสียงว่า ‘ฮิ้ว + เชอะ’  ปรากฏว่าครั้งหนึ่งดันไปออกเสียงให้เจ้าของภาษาฟัง  เธอเลยจับมาแก้ไขเสีย  โดยบอกว่า  ให้ออกเสียงว่า ‘ฮิว’ เฉย ๆ คำว่า ‘เชอะ’ ทิ้งไป  คำว่า ‘ฮิ้ว + เชอะ’  ใช้อ่านคำว่า huge ที่แปลว่า ใหญ่โต

ส่วนนามสกุลของเธอ Grant จะอ่านว่า ‘กร้านท์’ หรือ ‘แกร้นท์’  ต้องไปถามเจ้าตัวดูจ้ะ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 22, 10:12
    วันนี้ต้องขอเนื้อที่แสดงความอาลัยอำลาดาวดวงใหญ่ดวงหนึ่งที่ลาลับฟ้าในวัย 96 ปี   ข่าวคราวเธอเงียบหายมาหลายปีแล้ว  ก็ได้แต่เดาว่าหลังจากเกษียณตัวเองจากงาน  แอนเจล่า แลนสเบอรี่คงใช้ชีวิตวัย 90+ อยู่เงียบๆในบ้าน   เพิ่งอ่านพบข่าวลูกหลานแถลงว่าเธอจากไปอย่างสงบ หลังจากเข้านอน หลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
    บทบาทบนจอทั้งจอใหญ่จอเล็กของแอนเจล่ายาวนานถึง 8  ทศวรรษ  นับเป็นหนึ่งในดาราที่อยู่ในอาชีพนี้นานที่สุดของฮอลลีวู้ด 
    แอนเจล่าโดยกำเนิดแล้วเป็นอังกฤษเชื้อสายไอริช แต่ข้ามมาดังในฮอลลีวู้ด  เล่นเรื่องแรก Gaslight ในปี 1944 ก็สะดุดตาผู้สร้างผู้กำกับทันที 

     https://www.youtube.com/watch?v=NNZwCDvXmFQ
 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 22, 14:07
  ฝีมือดาวดวงใหม่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตุ๊กตาทองตัวประกอบฝ่ายหญิงจาก Gaslight เลยทีเดียว  จากนั้นอาชีพของแอนเจล่าก็ติดปีกโบยบินอยู่ในฮอลลีวู้ด    แม้ว่าไม่ถึงขั้นโดดขึ้นไปเป็นดาราใหญ่ แต่ก็มีหนังดีๆให้เล่นได้ไม่ขาด  รวมทั้งหนังเกรด B ก็ได้เล่นมากมายจนเอามาบรรยายไม่หมด
   ดาราสาวสวยคนอื่นๆเกิด แล้วดับไปเมื่อวัยล่วงเข้ากลางคน   แต่แอนเจล่ายิ่งมีงานไม่ขาดมือเมื่อวัยสูงขึ้น ได้เล่นบทแม่ บทป้า บทยาย บทชีวิต  บทสืบสวนสอบสวน บทชีวิต บทตลก สารพัดรูปแบบ  แล้วมาดังถึงขีดสุดในวัยที่คนอื่นเตรียมเกษียณกันแล้ว คือจากหนังสืบสวนชุด Murder,she Wrote   
   เธอเล่นเป็นเจสสิกา เฟลทเชอร์ อดีตครูมัธยม  อยู่บ้านก็เขียนนิยายสืบสวนเล่นแก้เหงาหลังจากสามีตาย โดยไม่มีลูกด้วยกัน   เกิดดังเปรี้ยงเป็นนักเขียนขายดี   จากนั้นก็กลายเป็นนักสืบสมัครเล่น  ไม่ว่าไปไหนจะ   มีฆาตกรรมมาให้สืบสวนอยู่เสมอ    เป็นเรื่องนักสืบเบาๆที่คนดูทุกเพศทุกวัยต้อนรับด้วยดี จนหนังชุดเรื่องนี้ยาวถึง 12 ซีซั่น
  เจสสิกาต้องเป็นฝ่ายขออำลาเรื่องนี้ก่อน เพราะสังขารไม่อำนวยอีกต่อไป

  https://www.youtube.com/watch?v=5iSVIIXs_QE
 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 22, 14:10
เรื่องนี้ มีบางตอนที่แอนเจล่าเล่นเป็นเอมม่า ญาติลูกพี่ลูกน้องขาวอังกฤษของเจสสิกา  ซึ่งเป็นนางละครอยู่ในลอนดอน  พูดจาสำเนียงอังกฤษ
เธอเล่นเป็นสองคนในตอนเดียวกันอยู่หลายตอน   โชว์ทักษะการใช้สำเนียงอเมริกันและอังกฤษได้ถูกหูคนดู

https://www.youtube.com/watch?v=k29_SF51AHQ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ต.ค. 22, 14:53
ขออนุญาตคั่นครับ

               คุณทวดเป็นนักแสดงทั้งสาย movie และ musical เพลงที่จะได้ยินบ่อยๆ จากเสียงร้องของคุณทวดคือ
"Beauty and the Beast (Tale as Old as Time)" คุณทวดให้เสียง Mrs. Pott

เลือกคลิปจากอนิเมชั่นแทนคลิปคุณทวดร้องสดบนเวที

https://www.youtube.com/watch?v=sniX7lOcfZk

ผลงานหนังเรื่องหนึ่งซึ่งอดกล่าวถึงไม่ได้คือ เรื่อง Blue Hawaii ที่คุณทวดในวัย 30 กว่าๆ รับบทเป็นแม่พระเอก
(- เอลวิส ที่มีอายุจริงอ่อนกว่า 9 ปี)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 22, 10:00
ชอบบทของแอนเจล่า ที่เล่นเป็นกาน้ำชาใน Beauty and the Beast มากค่ะ
มาดูกันว่าเธอให้สัมภาษณ์ยังไงบ้าง

https://www.youtube.com/watch?v=XR6FO13FISQ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 22, 10:04
เล่นเป็นผู้หญิงจิตไม่ปกติ  ต้องพูดบทยาวมากๆ  ใน   The Manchurian Candidate (1962)
เธอก็ทำได้

https://www.youtube.com/watch?v=p3ZnaRMhD_A


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 22, 10:11
ดราม่า คุณทวดก็เล่นได้

https://www.youtube.com/watch?v=GBwWjabIEX0


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 22, 10:17
ดวงของคุณทวดแอนเจล่าน่าจะถูกโฉลกกับบทนักสืบหญิงชรา   ก่อนหน้า Murder,She wrote  ที่ทำให้ดังเปรี้ยงปร้าง  เธอเคยรับบทคุณป้านักสืบ เจน มาร์เปิ้ล ตัวเอกของอกาธา คริสตี้ ในหนัง THE MIRROR CRACK'D ที่ได้ดาราใหญ่อย่างป้าลิซ เทเลอร์ และป้าคิม โนแวค มาเล่น

https://www.youtube.com/watch?v=nVssov1W2VY


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ต.ค. 22, 10:18
หลังจากนั้น เธอก็มาเล่นเป็นคุณย่าสายลับ  ใน The Unexpected Mrs. Pollifax (1999)

https://www.youtube.com/watch?v=w4EPG9eNsfM


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 ต.ค. 22, 12:27
Death becomes her (1992) เป็นหนังแฟนตาซีแบบตลกร้าย  เล่าเรื่อง 2 สาวคู่กัด  คนหนึ่งเป็นนักแสดงดังที่กำลังอยู่ในขาลง (Meryl Streep)  อีกคนเป็นนักเขียนที่กำลังดัง (Goldie Hawn)  ทั้งคู่ทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะผู้ชายคนเดียวกัน (Bruce Willis – ในบทศัลยแพทย์พลาสติกทึ่ม ๆ เป็นบทที่แหวกแนวไปจากบท ‘die hard’ ที่เห็นจนเอียน)
 
คำว่า ทุกวิถีทาง นี่เกี่ยวไปถึงด้านไสยศาสตร์มนตร์ดำ  ที่ครอบคลุมไปถึงความสวยอันเป็นอมตะ  แต่ทว่า ความสวยเป็นอมตะ นี้ไม่ได้รับประกันการชำรุดเสียหาย

เรื่องเริ่มเมื่อนักเขียนโดนดาราแย่งคู่หมั้นไปทำผัว  เธอก็ชีช้ำจนกลายสภาพเป็นแบบที่เห็น
https://youtu.be/s-pgK_Rvuwc


เธอตั้งหลักได้และกลับมาทวงแค้นในสภาพไร้ที่ติ
https://youtu.be/sOA84te9mAw


ดาราพยายามค้นหาความจริงว่าอะไรทำให้นักเขียนคู่อริกลับงดงามเกินของเดิม  ในที่สุดเธอก็ค้นพบ
https://youtu.be/Paex-i9wTrg
(บทแม่หมอแสดงโดย Isabella Rossellini  ลูกสาวของ Ingrid Bergman ดาราค้างฟ้าของฮอลลีวู้ดในยุคทอง)


จากนั้นก็เป็นการชิงดีชิงเด่นกันอย่างสนุกสนาน (ในสายตาคนดู)
https://youtu.be/MXusz3NtaKg


https://youtu.be/7KcKqU-9q0E


เทคนิคแม้จะนานมาแล้วแต่ก็ยังเร้าใจอยู่  สมกับที่ได้ Oscar
https://youtu.be/LdrV1QacnI4
(0.50 Hurry up, you wimp ... ถ้าจะแปลให้สะใจแบบสมควรแล้ว ก็ “เร็วซีวะ ไอ้ ‘เหี่ยว’”


https://youtu.be/dM8jtmYtWyI


ฝ่ายผู้ชายซึ่งเป็นศัลยแพทย์เห็นว่าเรื่องท่าจะบานปลายไปกันใหญ่เพราะต้องตาม ‘ปะผุ’ ให้กับผู้หญิงบ้า 2 คนไปจนถึงเมื่อไรก็ไม่รู้  ฉะนั้นจึง ‘กูไปดีกว่า’
https://youtu.be/BVlqw4hFsXc


เมื่อชายที่หมายปองหนีไปแล้ว  2 สาว (โรคประสาทบ้า) เลยต้องหันมาพึ่งพากันเอง  ฉากท้ายเรื่องเกิดขึ้นในอีก 30 กว่าปีต่อมา
https://youtu.be/gnQv-pG_Fms


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/0jPuZLUY4II



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 ต.ค. 22, 12:27
เพื่อนฝากมาประชาสัมพันธ์  บอกกลับไปว่า  มันบ้านแกนี่  ไม่ใช่บ้านชั้น  เพื่อนบอกว่า ‘Please…’  แปลเป็นไทยฉันมิตรว่า ‘เออน่ะ’

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/14/pvrGuW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pvrGuW)


Esteros (2016) เป็นหนังเกย์ยุคหลัง ๆ จากประเทศ Argentina  เล่าเรื่องของ Matias และ Jeronimo  2 เด็กน้อยจาก 2 ครอบครัวที่สนิทกันมาเก่าแก่  วันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนก่อนขึ้นชั้น ม. ปลาย  เด็ก 2 คนเกิดไปจุดประกายอารมณ์โรแมนติคต่อกันโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว  พ่อแม่ของ J เป็นผู้ใหญ่หัวเสรีเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ  แต่ไม่ใช่พ่อแม่ของ M  ไม่นานครอบครัวนี้ก็ย้ายถิ่น (รู้สึกจะย้ายประเทศเลย  ถ้าจำไม่ผิด) เพื่อตัดความสัมพันธ์

อีก 10 กว่าปีต่อมา  M ในวัยผู้ใหญ่ก็กลับมาบ้านเกิดพร้อมกับแฟนสาวเพื่อร่วมงาน carnival เป็นการเอาใจแฟนสาว  แฟนสาวจ้างคนมาช่วยแต่งหน้าเพื่อให้เข้ากับ theme ของงาน  คนที่หล่อนจ้างมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้คือ M  จากนั้นบรรยากาศเก่า ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่าง J และ M ก็ค่อย ๆ คุขึ้น

หนังดำเนินเรื่องขนานกันไประหว่าง J กับ M ยุคปัจจุบันกับยุควัยเด็ก
https://youtu.be/k_V3ozCIG0k

https://youtu.be/T1oTu--8UI0


ทั้ง 2 กลับไปรื้อฟื้นความหลังสมัยเป็นเด็กที่บ้านตากอากาศของ J
https://youtu.be/7pzYooAkNeY


ที่บ้านหลังนี้เคยเกิดเหตุการณ์แปลกที่ M ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไปได้อย่างไร
https://youtu.be/sJev-xRBB14
7.40 – M หงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว  รู้สึกจะไม่มีสาเหตุ  เป็นความสับสนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในครั้งเป็นเด็กที่หาคำตอบไม่ได้  แล้วมาตอนนี้ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นอีก  ก็เลยหงุดหงิด

9.25 – เพลงเพราะมาก ชื่อ Amores como el nuestro  มีฉบับเต็ม ๆ ให้ฟัง
https://youtu.be/ygmPDo_D5A4


ในที่สุดบรรยากาศก็ทำให้ M ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้วเข้าใจความหมายของความสับสนที่เกิดขึ้น ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาแล้ว
https://youtu.be/PYDiNJ6VUak
8.06 – แฟนสาวคงคิดในใจว่า  กูไม่น่าชวนเสือไปเที่ยวป่าเล้ยยยย


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/tLb93aITF3s


หนังได้รับการรับรองจาก Rotten Tomatoes อันเป็น ‘website’ รีวิวหนังที่วงการบันเทิงให้การยอมรับ  ด้วยคะแนน 100%
(หมายเหตุ – clip ทั้งหมดนี้ผู้เอามาปล่อยได้ดำเนินการตัดต่อให้กระชับเพื่อความเข้าใจในเนื้อหาของหนัง)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ต.ค. 22, 11:40
Joan Crawford เป็นดาวค้างฟ้าที่ดังสุด ๆ คนหนึ่งในยุคทองของฮอลลีวู้ด  ฝีมือการแสดงของเธอไม่เป็นรองใคร  เธอเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar 3 ครั้ง  และได้หยิบมากอด 1 ครั้งจากเรื่องที่ผมตั้งตาคอยอยู่นานทีเดียวว่าเมื่อไรจะได้ดูสักที

Mildred Pierce (1945) เป็นชื่อผู้หญิงที่สู้ไม่ถอยในวงการธุรกิจ  หลังจากหย่ากับผัวเธอก็มุ่งมั่นสร้างตัวจนกระทั่งได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร  เธอทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว  ส่วนหนึ่งเพื่อให้ลูกสาวตัวแสบสุดที่รักได้มีหน้ามีตาในวงสังคม  เรื่องมาแตกหักเมื่อวันหนึ่งนังลูกสาวอกตัญญูก็กินบนเรือน ขี้บนหลังคา เมื่อมุ่งมั่นจะแย่งแฟนแม่ตัวเอง  ตอนท้ายเรื่องหนังเปลี่ยนแนวจากดราม่าเป็นฆาตกรรม
https://youtu.be/VjK97CqVqWA


ลูกสาวตัวแสบ
https://youtu.be/kjzRZCxQ1EE


มีความอกตัญญูเป็นที่ตั้ง
https://youtu.be/x4CEkYJNir0
ฉากตบนี้  ลงมือจริง ๆ (อ่านจากควันหลงน่ะ  ไม่ได้แอบดูตอนเค้าเล่นหรอก)


https://youtu.be/GPuCrJujOkk


Butterfly McQueen (Prissy ใน Gone with the wind) ก็มาร่วมเล่นด้วย
https://youtu.be/C7raB1vbZKI


หนังสร้างในปี 1945 เป็นช่วงเวลาที่อเมริกากำลังทำสงครามโลกครั้งที่ 2  รถสวย ๆ ในเรื่องจึงได้เห็นแค่ในหนัง  เพราะในช่วงเวลานั้นอเมริกาเลิกสร้างรถยนต์แล้วหันมาร่วมมือกันสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 ต.ค. 22, 12:21
ฝอยต่อ...

มีนักแสดงแจ้งเกิดกับหนัง Mildred Pierce อยู่ 1 คนคือ Ann Blyth นักแสดงโนเนมในวัยเพียง 16  เธอเล่นเป็นนังลูกสาวสุดแสบ  คนดูต่างยกนิ้วให้กับการแสดงที่วอนถูกถีบในทุกฉาก  ความหมั่นไส้รวมไปถึงคณะกรรมการฯ  ที่คัดเลือกเธอเข้าไปชิง Oscar  นับเป็นการเข้าชิงรางวัลอันมีเกียรตินี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของเธอ

บทนังลูกสาวตัวอกตัญญูนี้แต่แรกเริ่มผู้สร้างเก็บไว้ให้ Shirley Temple  แต่กลัวคนดูยอมรับไม่ได้  สำหรับ AB เธออยู่คนละสังกัด (Universal)  ทาง Warner Bros. ไม่อยากเสี่ยงลงทุน (ตามธรรมเนียมต้องมีการเจรจาต่อรองค่าตัวรวมถึงการเสนอนักแสดงในสังกัดให้เป็นการแลกเปลี่ยน)  แต่ Joan Crawford  (ก่อนหน้านี้เธออยู่ในสังกัดของ MGM) ออกแรงกำลังภายในจน AB ได้บทในที่สุด

ส่วน JC เมื่อได้ยินข่าวการสร้างหนังเรื่องนี้  เธอออกอาการอยากได้บทคุณแม่ที่เสียสละจนตัวสั่น เพราะมั่นใจว่ามันจะทำให้คนดูยอมรับความสามารถในการแสดงของเธอ  ไม่ใช่แค่ดาราดังเฉย ๆ    JC ถึงขนาดยอม ‘ลดตัว’ ไปเข้าคิวเพื่อให้ ผกก. คัดเลือกตัวเหมือนนักแสดงคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นดาราดังของเธอ  แค่กระดิกนิ้วบทก็มากองบนตักแล้ว  สถานภาพนี้เกิดขึ้นกับ Bette Davis เธอได้รับการเสนอบทนี้มาก่อนหน้าแต่ปฏิเสธ

ส่วน ผกก. Michael Curtiz ก็หวั่น ๆ ในกิตติศัพท์ความเป็นดาราใหญ่ว่าจะออกอาการฟาดงวงฟาดงารึเปล่า  แต่ปรากฏว่า JC เรียบร้อยนุ่มนวล  เธอได้บทนี้จากการเอาชนะด้วยฝีมือจริง ๆ

JC ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar จากเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับ AB   เธอตื่นเต้นมากเพราะถึงแม้จะเล่นหนังมานาน  แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสมาเยี่ยมกรายแถว ๆ เวทีนี้เลย  แถมตอนหลัง ๆ นักข่าวยังให้นิยามเธอว่า  เป็นฝันร้ายสำหรับผู้ต้องการสร้างหนังทำเงิน (MGM ตัดเชือกเธอเพราะเหตุนี้)  แต่ก็ยังมีคนยอมเสี่ยงกับเธอ

ในคืนวันแจกรางวัล   JC ไม่ได้ไปร่วมงานโดยอ้างว่าป่วยเป็นหวัด  ซึ่งเธอมาสารภาพในภายหลังอีกนานในหนังสือประวัติตัวเองว่า  ความจริงแล้วปอดกลัวหน้าแหก  เพราะโผออกมาว่าเธอไม่ได้เป็นตัวเต็งเพียงคนเดียว  แต่ยังมีอีกคนที่ตีคู่กันมาคือ Ingrid Bergman  เธอบอกว่าถ้าแพ้  เธอคงไม่สามารถฉีกยิ้มอยู่ได้ตลอดงาน  ฉะนั้นเบี้ยวเสียเลยดีกว่า

เธอเล่าว่าอย่างไรก็ตามเมื่อเปิดม่านในบ้านดูก็พบนักข่าว 2-3 คนมาป้วนเปี้ยนเผื่อฟลุค  

คืนนั้นเธอก็เลยนอนพังพาบฟังการถ่ายทอดทางวิทยุอยู่บนเตียง  เธอเล่าว่าช่วงเวลาที่ผู้ประกาศรางวัลฉีกซองที่บรรจุชื่อนักแสดงนำหญิงที่ได้รางวัลนั้น  ช่างนานแสนนาน

เมื่อผลประกาศออกมาว่าเธอได้รางวัล  เธอก็กระโดดผลุงออกจากเตียงแล้วโกยสี่ตีนไปแต่งหน้าแต่งตาและเซ็ทผม  พร้อมเลือกชุดสุดสวยไว้รอรับบรรดานักข่าวและคณะกรรมการฯ ที่จะนำรางวัลมามอบให้ถึงบนเตียง  ภาพและเรื่องราวนี้เป็น Talk of the town ฉบับคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน (ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ จาก SP เจ้าเก่า)  
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/18/pIZi40.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pIZi40)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/18/pIgWog.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pIgWog)


อีกเรื่องราวหนึ่งของ JC ที่เป็น Talk of the town เช่นกันแต่ดังกว่าคือความไม่กินเส้นกันกับดาราระดับเบิ้มอีกคนคือ Bette Davis  เท่าที่เคยอ่าน ๆ มาล้วนสนับสนุนเรื่องราวนี้แต่ก็มีบางฉบับที่ให้แง่คิดว่าเป็นแผนการสร้างความดัง  หรือไม่ก็ใส่ผงชูรสกันเข้าไปข่าวของตัวเองจะได้ขายดี  เพิ่มคะแนนความเป็น 'ดารา'

อย่างไรก็ตามผมได้ดูหนังชุดทางทีวีเรื่อง Feud (2017)  เล่าเรื่องราวของทั้งคู่ออกมาอย่างสนุกสนาน  โดยเฉพาะเบื้องหลังการสร้างหนังสั่นประสาท Whatever happened to Baby Jane (1962)   ที่ทั้ง 2 ได้นำแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว  ฉากต่าง ๆ อันเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำเรื่องนี้ที่หนังทีวีทำออกมาให้เห็นน่าจะบ่งบอกว่าความเป็นไม้เบื่อไม่เมาคงจะเป็นความจริง
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/18/pIgthz.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pIgthz)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/18/pIg1VR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pIg1VR)
ฉากนี้เป็นฉากดังเพราะมีเบื้องหลัง... During a scene in What Ever Happened to Baby Jane?, Bette Davis kicked Joan Crawford so hard that she needed stitches. Crawford retaliated by putting "weights in her pockets so that when Davis had to drag Crawford's near lifeless body she strained her back." (ข้อมูลจาก Wikiฯ)

(หมายเหตุ – แค่เห็นเพียงภาพนิ่งของหนัง Whatever ฯ ก็รู้สึกอึดอัดและไม่นึกอยากดู  แต่ก็ต้องดู (ดูจบแล้วรีบลืม)  เหมือนเราเลือกเมเจอร์แล้ว  แต่ไม่อยากลงเรียนวิชาบังคับของเมเจอร์  แล้วอย่างนี้จะจบได้อย่างไร)


Clip ที่ผมเอามาลงให้ดูมาจากหนังทีวี Feud  เป็นการเลียนแบบของจริงที่อ้างไว้ข้างต้น  มันต้องมีมูลความจริง  ผู้สร้างถึงกล้าเอามาเสนอให้คนดูทั่วโลกดู  ไม่งั้นเป็นโดนฟ้องตูดบานไปนานแล้ว
https://youtu.be/ZiQni5H33QI
(ในหนังทีวี Jessica Lange เล่นเป็น Joan Crawford  ส่วน Susan Sarandon เล่นเป็น Bette davis)


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/18/pIijbq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/pIijbq)


ท้ายนี้  แนบ clip ของ JC จากหนังเรื่อง It's a great feeling (1949) อันเป็นหนังตลกเบาสมองเกี่ยวกับการล้อเลียนการสร้างหนังในฮอลลีวู้ด  ในหนังมีดารารับเชิญมาเล่นเป็นตัวเองมากมายเช่น  Gary Cooper, Errol Flynn, Ronald Reagan และ Joan Crawford
 
ฉากการปรากฏตัวของเธอเกิดขึ้นในห้องลองเสื้อเมื่อ JC ได้ยิน Jack Carson กับ Dennis Morgan วิจารณ์ Doris Day อย่างเมามัน  เธอสรุปว่าชาย 2 คนนี้กำลังหมิ่นศักดิ์ศรีสุภาพสตรี  เธอก็เลยยื่นหน้าเข้ามาตำหนิติเตียนด้วยคำพูดเชย ๆ เลียนแบบบทการแสดงในหนังที่ตัวเองเคยเล่นมา จากนั้นก็ตามด้วยการตบหน้า 2 หนุ่มคนละฉาด  ฉากต่อจากนั้น  ดูเอาเอง
https://youtu.be/qzjeqEEarGw
ฉากนี้ถูกใจนักวิจารณ์กันพร้อมหน้า  โดยสรุปว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดในหนัง


ส่วนนี่เป็น clip การปรากฏตัวของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Ronald Reagan
https://youtu.be/Lnfk89sh-Is



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ต.ค. 22, 11:52
ถ้าหนังที่อยากเล่ามีคนไทยทำ รีวิว ไว้ใน youtube ละก็  ดีใจสุดแสน  ไม่ต้องจิ้ม...

Viy (2014) เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่าง Russian and Ukraine Film Group and Marins Group Entertainment  หนังเริ่มลงมือถ่ายทำเมื่อปี 2005 แต่มาเสร็จสิ้นในปี 2012 เนื่องจากขาดแคลนทุนและมีปัญหาภายใน  เมื่อหนังออกฉายมันกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดประจำปีในรัสเซีย

เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ระหว่างการถ่ายทำ  กว่าหนังจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมออกฉายตามโรงนานาชาติ  เวลาก็เนิ่นนานออกไปจนกระทั่งสัญญาการจัดจำหน่ายที่ทำไว้เป็นโมฆะ  หนังจึงสามารถลงโรงฉายในนานาชาติได้เพียงบางประเทศ  ประเทศหลัก ๆ ที่หวังโกยเงินเช่น อเมริกา อังกฤษ  หนังต้องออกฉายในรูปแบบของ ดีวีดี ในชื่อภาษาอังกฤษของมันคือ Forbidden Empire
 
ดีใจมากที่มีคนไทยนำเสนอข้อมูลคร่าว ๆ ให้ (จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจิ้ม)
https://youtu.be/H-4mD1HnhgU
(ขอบคุณ คุณ PattyBlythe)


Clip ย่อย ๆ มีน้อยมาก  เลยหาหนังฉบับเต็มมาให้ดู  ฉากใน clip คร่าว ๆ ข้างบนที่ 13.30  เป็นฉากเด็ดที่สามารถดูฉบับเต็มได้ที่ 59.00 ของ clip ข้างล่าง  เทคนิคพิเศษน่าตื่นตาตื่นใจ
https://youtu.be/hlshrmFOuTE


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/CPcPtizGymc



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ต.ค. 22, 12:20
Cloverfield (2008) เป็นหนังเล็ก ๆ ที่สนุกเกินคาด  หนังสร้างเลียนแบบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงเมื่อมีคนค้นพบ ‘home recorder’   หลังจากเปิดดูก็พบกับเรื่องราวระทึกขวัญที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเพื่อน 6 คน (คนหนึ่งเป็นเจ้าของ hr นี้)  เหตุเกิดในละแวกที่แต่ก่อนมีชื่อว่า Central Park ที่เมือง New York ในคืนเลี้ยงอำลาอะไรซักอย่าง งานกำลังสนุกสนานก็ถูกขัดจังหวะด้วยการรุกรานของสัตว์ประหลาด  มีทั้งตัวเล็กตัวยักษ์   จากนั้นเรื่องราวก็เข้มข้นตื่นเต้นไปจนจบเรื่อง
https://youtu.be/IYQgU1EW_PA
(ขอบคุณ คุณ CHAMP Studio)


ฉากมัน ๆ และทำได้เนียนมาก
https://youtu.be/K4S8PnBNHc8

https://youtu.be/dVCki9kwF_4

https://youtu.be/6esR4uGEFCc

https://youtu.be/gRzjSsXw9PU

https://youtu.be/DUbplahEBfQ

https://youtu.be/kyY50rBet2U

https://youtu.be/ocb7pXndlug

https://youtu.be/6ibWJnY6Ur8
(ดูเพลินไปเลย)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/hMPhFVVV-Gw



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ต.ค. 22, 18:41
@ คุณโหน่ง
ขอย้อนกลับไปถึง Mildred Pierce   อีกครั้งค่ะ   ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้แม้ว่าเคยฉายทาง TCM แต่ไม่ชอบหนังขาวดำ และไม่ชอบหน้าตาดุดันของโจน ครอฟอร์ดก็เลยไม่ดู   แต่จำได้จากที่ได้ดู The Carol Burnett Show 
แครอล ดาราตลกหญิงระดับดาวฤกษ์ของฮอลลีวู้ด   เอาหนังเรื่องนี้มาล้อในรายการของเธอ ในชื่อ  Mildred Fierce
เลยเอามาให่ดูกันด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=fLfSiKI3DsM


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 ต.ค. 22, 12:33
@ คุณโหน่ง
ขอย้อนกลับไปถึง Mildred Pierce   อีกครั้งค่ะ   ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้แม้ว่าเคยฉายทาง TCM แต่ไม่ชอบหนังขาวดำ และไม่ชอบหน้าตาดุดันของโจน ครอฟอร์ดก็เลยไม่ดู   แต่จำได้จากที่ได้ดู The Carol Burnett Show 
แครอล ดาราตลกหญิงระดับดาวฤกษ์ของฮอลลีวู้ด   เอาหนังเรื่องนี้มาล้อในรายการของเธอ ในชื่อ  Mildred Fierce
เลยเอามาให่ดูกันด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=fLfSiKI3DsM

ดูจาก youtube รายการนี้มีแต่ของดี ๆ แบบว่ามารู้ว่าดีเอาตอนแก่  เป็นนั้นคงเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง  เคยมาฉายในเมืองไทยบ้างมั้ยครับ โหน่งจำไม่ได้  จำได้แต่รายการของ Lucy Ball  ซึ่งก็เอา JC มาล้อเหมือนกัน  ดูเธอจริงใจดีนะครับ  ตอนหลังที่ถังแตกแต่ก็ไม่ได้ปิดบังสถานภาพของตัวเอง

https://youtu.be/bnt3idmz-08




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 ต.ค. 22, 12:47
ในปี 1973 มีเพลงดังมากเพลงหนึ่ง  เพลงเริ่มดังจากบ้านเกิดของมันคือ เกาะอังกฤษ  พอดังได้ที่ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาดังที่อเมริกา  ซึ่งดังกว่าที่บ้านเกิดของมัน  เพราะอเมริกาใหญ่กว่าอังกฤษ  เพลงขึ้นไปแตะ top 5 ของ Billboard และคว้าแผ่นเสียงทองคำมาได้

เพลงนี้ข้ามมาออกอากาศที่เมืองไทยด้วย  แต่เพียงแผ่ว ๆ  แต่ที่ดังกว่าเพลงคือรูปลักษณ์ของนักร้อง  ทั้งหนังสือดารา/นักร้อง Starpics และ บรรดาหนังสือเพลง I.S. Song Hits, Current Song Hits และ Savvy Song Hits ต่างแย่งกันลงภาพหล่อ ๆ ของเธอนานเป็นหลายเล่มเลย

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/24/vkTdHQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vkTdHQ)


เพลงที่ว่านี้ชื่อ Rock On ส่วนนักร้องชื่อ David Essex  พอคุ้นมั้ยหนอ
https://youtu.be/1jQmok3BcHs


ปีนั้นเป็นปีทองของ DE เพราะเธอได้แสดงทั้งหนังทั้งละครเวทีหลายรูปแบบมากมาย 

นี่คือข้อมูลที่ผมรู้มาจากการอ่านสิ่งพิมพ์ทั้งหลายในช่วงเวลานั้น

คนสมัยนี้โชคดีที่พอได้หัวข้อปั๊บก็สามารถหาข้อมูลต่อยอดได้จนจบหรือจนพอใจ  แต่ว่าในขณะเดียวกัน  มันก็ทำให้ไม่มีอะไรเหลือ ‘ในกอไผ่’  ที่จะนำลงไปสู่ความทรงจำ  ซึ่งผมว่านี่ถือเป็นการขาดเสน่ห์  ขาดความรู้สึกที่ฝรั่งเรียกว่า ‘nostalgia’  ผมไม่รู้ว่ามีศัพท์ไทยเรียกคำนี้รึเปล่า  มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อนึกไปถึงช่วงเวลาในอดีตที่มีความสุข เป็นความรู้สึกเศร้า ๆ  เศร้าเพราะไม่สามารถกลับไปดื่มด่ำหรือกลับไปแบบที่ว่า ‘รู้งี้ตอนนั้นจะจดจำหรือจดบันทึกช่วงเหตุการณ์นั้นๆ  ทุกวินาทีเลย’ กับมันได้อีก  ผมว่าคนสมัยนี้ไม่มี nostalgia  ผมเรียกของผมเองว่า 'คนแล้ง'

ในสมัยก่อนนู้น  พอได้หัวข้อที่สนใจปั๊บก็ต้องคอยค้อยคอยว่าเมื่อไหร่ข้อมูลใหม่จะมาให้รู้เพิ่มเติม  อย่างเรื่อง DE  ผมรู้เรื่องครั้งแรกจาก SP  อ่านบทความสั้น ๆ ประกอบรูปขาวดำซึ่งไม่คมชัดเพราะก็อปปี้มาจากต้นฉบับอีกที  จากนั้นค่อยมาเห็นรูปสี (ซึ่งก็ก็อปปี้มาอีกเช่นกัน) จากหนังสือเพลงชื่อต่าง ๆ ข้างต้น  เห็นเนื้อเพลงที่เธอร้อง  แต่ยังไม่เคยได้ยินเพลง  ต้องพยายามหมุนหาคลื่นวิทยุอยู่เป็นเวลาหนึ่งเพลินกว่าจะได้ฟัง  แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้ฟังครบทั้งเพลง  เพราะบางครั้งกว่าจะหมุนมาเจอ ดีเจ ก็เริ่มเล่นเพลงไปแล้ว  หรือเพิ่งจบไป  ก็ต้องหาโอกาสต่อไป  ไม่ก็โทรศัพท์เข้าไปที่สถานีฯ เพื่อขอฟังไปเลย

ความยากลำบากแบบนี้แหละที่ผมว่าทำให้เกิดความทรงจำ  เพราะมันลำบากลำบนแบบนี้กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่เรารอคอย  ผมถึงจำอะไร ๆ ได้เยอะ  แม้จะไม่ละเอียดยิบเพราะข้อมูลดิบมีให้เท่านั้น  แต่มันจำฝังแน่น  ก็เราลงทุนลงแรงไปกับมัน  พอ อตน. ถือกำเนิดผมก็สามารถหาข้อมูลปลีกย่อยมาเติมเต็มได้อีก  บวกกับความทรงจำเดิมที่ฝังแน่น  ผมถึงสามารถเล่าเรื่องได้มากมายและละเอียดลออ  บ่อย ๆ ที่กำลังเขียนอยู่ก็อดคิดระแวงไม่ได้ว่า  ต้องมีใครสงสัยแน่ ๆ ว่า ทำไมมันถึงรู้เรื่องได้เยอะแยะ  แม่งรู้มาจริง/ดูมาจริงรึป่าววะ... ทำนองนี้ 

รู้มาจริง/ดูมาจริงครับ


https://youtu.be/De8G8mD4EM4


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ต.ค. 22, 12:54
อ้างถึง
ดูจาก youtube รายการนี้มีแต่ของดี ๆ แบบว่ามารู้ว่าดีเอาตอนแก่  เป็นนั้นคงเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง  เคยมาฉายในเมืองไทยบ้างมั้ยครับ โหน่งจำไม่ได้  จำได้แต่รายการของ Lucy Ball  ซึ่งก็เอา JC มาล้อเหมือนกัน  ดูเธอจริงใจดีนะครับ  ตอนหลังที่ถังแตกแต่ก็ไม่ได้ปิดบังสถานภาพของตัวเอง

คุณโหน่งหมายถึง Carol Burnett Show หรือคะ ไม่ได้ฉายในไทยค่ะ   เป็นรายการฮิทถึง 11 ซีซั่นของอเมริกา  ดิฉันได้ดูที่นั่น   จนรายการจบไปนานหลายปีแล้วถึงมาเจออีกใน Youtube


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 ต.ค. 22, 12:20
อ้างถึง
ดูจาก youtube รายการนี้มีแต่ของดี ๆ แบบว่ามารู้ว่าดีเอาตอนแก่  เป็นนั้นคงเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง  เคยมาฉายในเมืองไทยบ้างมั้ยครับ โหน่งจำไม่ได้  จำได้แต่รายการของ Lucy Ball  ซึ่งก็เอา JC มาล้อเหมือนกัน  ดูเธอจริงใจดีนะครับ  ตอนหลังที่ถังแตกแต่ก็ไม่ได้ปิดบังสถานภาพของตัวเอง

คุณโหน่งหมายถึง Carol Burnett Show หรือคะ ไม่ได้ฉายในไทยค่ะ   เป็นรายการฮิทถึง 11 ซีซั่นของอเมริกา  ดิฉันได้ดูที่นั่น   จนรายการจบไปนานหลายปีแล้วถึงมาเจออีกใน Youtube

อิจฉาครับ...  'จาร ไปอยู่ในช่วงเวลาที่ดีจังเลย  แถมยังใกล้ชิดกับ Helen Reddy, Carly Simon, Linda Ronstadt, Bread ฯลฯ ด้วย


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 ต.ค. 22, 12:33
กลับมาที่ DE  ปีนั้นเป็นปีทองของเธอ  เธอดังทั้งที่อังกฤษและอเมริกา  wikiฯ บอกว่าที่อังกฤษบ้านเกิด  ความเป็น teenage idol ของเธอลากยาวไปร่วม 10 ปีโน่น  ส่วนที่อเมริกาเธอก็ได้รับเชิญไปร่วมออกรายการดัง ๆ มากมาย

ในปี 1973 ที่เธอดังสุดขีด  มีหนังที่เธอเล่นอยู่เรื่องหนึ่งเป็นหนังสะท้อนเหตุการณ์ของชีวิตของหนุ่มวัยรุ่นชื่อ Jim MacLaine ที่หลงทางชีวิตอันทำให้ไปทำร้ายผู้คนรอบข้าง
  
หนังชื่อ That’ll be the day ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าไม่ได้มาฉายในโรงเมืองไทย  ผมลืมหนังเรื่องนี้ไปแล้วจนกระทั่งเมื่อวาน (นับจากวันที่พล่ามอยู่นี้)  มีคนเอามาปล่อยใน ‘web โหลดหนัง’  ก็เลยดูดมาดูซะ  เนื้อเรื่องของหนังอยู่ในช่วงปลาย 50s  และมีเพลงประกอบเป็นตัน  ไม่รู้แทรกเข้าไปได้อย่างไรในหนังความยาวแค่ชั่วโมงครึ่ง

นอกจาก DE ซึ่งเป็นตัวละครนำเรื่องแล้ว  หนังยังมีนักแสดงที่เป็นนักร้องนักดนตรีดังที่พวกเรารู้จักดีคือ Ringo Starr

นักวิจารณ์ Leonard Maltin ให้ตั้ง 3 ดาว  

Jim MacLaine เป็นเด็กกำพร้าพ่อ  พ่อเป็นทหารผ่านศึกที่ไม่ได้ตาย  แต่ไม่พอใจกับชีวิตครอบครัวเลยหนีออกจากบ้านไป  จากเด็กเรียนดี จู่ ๆ เธอก็มีความคิดวิตถาร  แทนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยไปกับเพื่อน ๆ  เธอดันเลิกเรียนเสียอย่างนั้น
https://youtu.be/xQRXwzEE-dk


แล้วเธอก็ออกจากบ้านท่ามกลางเสียงคัดค้านของแม่และตา  ไปหางานกระจอก ๆ ทำพอให้มีกินไปวัน ๆ
https://youtu.be/ma5vdTcP2xM
(DE โคตรหล่อเลย)


แม่ออกตามหาด้วยความห่วงใย
https://youtu.be/dnEX9ZTHX70


JM ‘jump jobs’ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาพบ Ringo Starr ซึ่งชวนให้มาทำงานด้วยกันที่ ‘fun fair (ไม่รู้แปลเป็นไทยว่าอย่างไร... สวนสนุก ปะ?)’
https://youtu.be/0N1IZX3S_e8
https://youtu.be/c-h8-J46I2U
(เขียนมานานจนไม่แน่ใจว่าเป็น clip นี้รึเปล่า)


ที่นี่เธอได้เรียนรู้วิธีฉ้อโกงในรูปแบบต่าง ๆ  และตรงตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า จิตของคนเราเหมือนน้ำ  คือชอบไหลลงสู่ที่ต่ำ  พอได้มีโอกาสทำชั่วและประสบความสำเร็จ  ก็เริ่มสนุก  เธอยังใช้ความหล่อของตัวเองหาเศษหาเลยล่อผู้หญิงมาขี่ไปวัน ๆ  บางครั้งก็ถึงกับข่มขืน  บางครั้งก็คิดค่าจ้าง (ขี่)  จนวันหนึ่งเพื่อนนักเรียนที่เคยสนิทกันตามหาจนเจอแล้วชวนเธอไปเที่ยวงานรื่นเริงของมหาวิทยาลัย

ที่นี่ที่ JM พบว่าเสน่ห์ของตนใช้ไม่ได้ผลเพราะมันเป็นถิ่นของคนมีการศึกษา มีรสนิยม  

เธอเริ่มเข้าใจในความจริงของชีวิตและตัดสินใจกลับบ้านหลังจากหนีมา 2 ปี  กลับมาเป็นเด็กดีช่วยแม่ค้าขาย  และในที่สุดก็แต่งงานกับน้องสาวเพื่อนสนิท  ท่ามกลางความคัดค้านของพี่ชายและพ่อแม่เพราะทุกคนรู้ประวัติอันเหลวแหลกของ JM ดี
 
นี่เป็นช่วงท้ายเรื่อง  ซึ่งบ่งบอกว่าโอกาสสำหรับแก้ตัวเกิดขึ้นได้เสมอ  แต่จะฉวยโอกาสที่ว่าหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เพราะก่อนวันแต่งงาน  อารมณ์โมโหผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่ไม่ยอมให้ตัวเองแก้ตัว เธอเลยลวงแฟนเพื่อนสนิทไปขี่หน้าตาเฉย  

พอตัวเองได้เป็นพ่อคน  เธอก็เริ่มเบื่อหน่ายชีวิตจำเจ  เธอหลบหนีจากการเรียนภาคค่ำไปมั่วสุมอยู่กับเสียงเพลงและพบว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ  ในที่สุดเธอหนีออกจากบ้าน  มีแม่ยืนมองแบบปลง ๆ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เคยประสบมาแล้วครั้งที่ผัวทหารผ่านศึกหนีเธอและลูก (ซึ่งก็คือ JM) ไปในตอนต้นเรื่อง

หนังจบที่ JM ไปที่ร้านขายเครื่องดนตรีมือสองแล้วจ่ายเงินซื้อกีต้าร์มา 1 ตัว  เป็นการบ่งบอกกลาย ๆ ว่า  เธอพุ่งเป้าอนาคตไปที่ใด
https://youtu.be/r9l-br92F-4


กลับมาที่ DE  ในปีเดียวกันนั้น เธอมาเป็นแขกรับเชิญให้กับ John Denver (รายการนี้เคยมาฉายที่เมืองไทยด้วย  ผมได้ดูทางทีวี  แต่เป็นขาวดำ) ทั้ง 2 ร้อง medley เพลงของ Buddy Holly โดยประเดิมด้วย That’ll be the day
https://youtu.be/mR82NbAF4J0


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/25/v9E7ue.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v9E7ue)

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ต.ค. 22, 11:45
ความดังของหนังเรื่อง That’ll be the day ทำให้เกิดภาค 2 โดยใช้ชื่อว่า Stardust (1974) หนังเดินเรื่องต่อจากภาคแรก  โดยให้ JM เดินทางมาอเมริกาแล้วก้าวเข้าสู่วงการเพลงที่ตัวเองใฝ่ฝันไว้  และฝันก็เป็นจริงเมื่อปรากฏว่าเธอมาถูกทาง  อาชีพของเธอรุ่งโรจน์มาก  ได้ทั้งเงินและชื่อเสียง  รวมถึงสิ่งที่ตามมาโดยอัตโนมัติคือยาเสพย์ติดที่ในที่สุดมันก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงชีวิตของเธอ
https://youtu.be/amFcwQsBAww

https://youtu.be/mOJr8w6QwcQ

https://youtu.be/2_Ja0grUpvg


ภาค 2 นี้ดังกว่าภาคแรกเสียอีก  LM ให้ตั้ง 3 ดาวครึ่ง (จาก 4)  ทั้ง 2 ภาคมีบรรยากาศต่างกันลิบลับ  ผมชอบภาคแรกมากกว่า  แลธรรมชาติและสดใส

ภาค 2 ออกฉายในปี 1974  ความดังของมันทำให้สถานภาพของตำแหน่ง teenage idol ของเธอมั่นคงต่อไปอีก

ในปีนั้นเธอก็ออกเพลงดังมาอีก (และยังตามมาอีกในอนาคต)  ผมได้ยินวิทยุในเมืองไทยเปิดเพลง Hold me close นี้มากกว่า Rock on  มันเป็นเพลงที่ดังกว่าในอังกฤษ  แต่ไม่เข้าอันดับ BB ของอเมริกา
https://youtu.be/BWQXNTEb3k0


ควันหลง... ตอนอารัมภบท ผมพูดถึงศัพท์  Nostalgia แล้วนึกถึงเพลง Yesterday once more ของคณะ Carpenters  คณะฯ ออกเพลงนี้ในปี 1973  ตอนนั้นผมยังเด็กยังไม่มีความรู้สึกร่วมกับเนื้อร้อง  มาตอนนี้ผมแก่แล้ว  ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้  ผมมีอารมณ์ร่วมเต็มพิกัด  เข้าใจเลยว่าตอน Richard Carpenter  แต่งเนื้อเพลงเธอรู้สึกอย่างไร

‘When I was young I'd listen to the radio waitin' for my favorite songs
When they played I'd sing along. It made me smile.
Those were such happy times and not so long ago. How I wondered where they'd gone…’

ช่างตรงกับชีวิตของผมในวัยเด็กเสียจริง

ในแผ่นเสียง (ชื่อ Now & Then)  เพลงนี้อยู่หน้า 2 และเป็นเพลงหัวเรือ  พอจบแล้วจะตามด้วยเพลงโปรดของ 2 พี่น้องในวัยเด็กเป็นพรวน (ส่วนใหญ่ร้องโดย Karen Carpenter ซึ่งมี The End of the World ที่วิทยุเอาฉบับที่เธอร้องมาเปิดให้พวกเราฟังบ่อย ๆ เป็นหนึ่งในนั้น)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/26/vtCPMy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vtCPMy)


ถ้าผมได้ทำแผ่นฯ ชุดนี้ผมจะตามด้วย You’ll always be on my mind (Springfield Revival), Blue balloon (Robbie Benson), Carry on till tomorrow (Badfinger), Toast and marmalade for tea (Tin Tin), Which way you goin’ Billy? (Poppy family), Reflections of my life (Marmalade), He ain’t heavy, he’s my brother (The Hollies) ฯลฯ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 ต.ค. 22, 12:08
Batteries not included (1987) เป็นหนัง sci-fi ที่น่ารักและน่าประทับใจ (มากๆ) หนังเล่าเรื่อง เครื่องจักรที่มีชีวิตจิตใจจากต่างดาว ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ 2 ผัวเมียชราเจ้าของอพาร์ตเม้นท์และร้านอาหารเล็ก ๆ จากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จอมละโมบที่พยายามทุกวิถีทางที่จะรื้อสถานที่นั้น

ฉากน่ารัก ๆ
https://youtu.be/_Q3tRsIL00s
(1.59 ‘Look. It's plugged itself in. Is that why you're here?’)


มาอาศัยสถานที่ออกลูก  ทำได้น่ารักมาก
https://youtu.be/g5OfIeYnUfU

https://youtu.be/csl2z5TEyns
(0.21 ‘Tonight’s the night’… ‘Already?’… ‘A-ha’)


ฉากท้ายเรื่องเมื่อเจ้าหนูพาพรรคพวกมาตอบแทนบุญคุณ
https://youtu.be/6DRKq_D1hFo


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/rJmvsb13dA8


เป็นหนังที่อบอุ่นมาก  ดูจบแล้วมีความสุข  นักแสดงนำสูงอายุ 2 คน  คือ Jessica Tandy (1909-1994) ผมเคยเล่าถึงเธอไปบ้างในเรื่อง A streetcar named desire  อีก 2 ปีต่อมาเธอก็ได้ Oscar จากเรื่อง Driving Miss Daisy  ส่วนคุณตา Hume Cronyn (1911-2003) ก็เคยผ่านการเข้าชิง Oscar มาแล้วในปี 1945  ทั้ง 2 แต่งงานกันมาตั้งแต่ปี 1942 และอยู่ด้วยกันจนกระทั่งตายจากกัน

2 ผัวเมียเล่นด้วยกันหลายเรื่อง  เรื่องที่พวกเราคุ้นเคยอีกเรื่องคือ Cocoon


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/10/28/vZ8Ah1.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vZ8Ah1)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 ต.ค. 22, 11:46
ผมดูหนังผี The Grudge (2004) ทางแผ่นดีวีดี เป็นหนังที่ดังมากในวงกว้าง  ไม่จำเป็นต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน  เพียงจะเอ่ยว่า  เป็น 1 ในหนังผียุคใหม่ที่น่ากลัวมากสำหรับผม

https://youtu.be/7WVm9R7CR1A
(ขอบคุณ คุณ KWN CHANEL)


ประเดิมความสยองด้วยฉากนี้
https://youtu.be/u229JK84Jiw


ที่มาของผี
https://youtu.be/AFZj0oRyzWA


มีผู้ใจดีรวบรวมฉากหลอน ๆ มาให้ดู
https://youtu.be/NClV02b-5-Q


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/pJFYq7g6pEk



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 พ.ย. 22, 12:09
ที่จริงก่อนหน้านี้คือปี 2002 ก็มีหนังผีที่น่ากลัวมากนำร่องมาก่อนแล้วคือ The Ring  

https://youtu.be/pH7dhJAH4p4
ขอบคุณ คุณ ‘Spoil นะจ้ะ’


ฉากในวิดีโอที่เอ่ยถึงในหนังมีหน้าตาอย่างนี้
https://youtu.be/8osPqwMQCJQ


กำเนิดของผี
https://youtu.be/O87y10SkbWQ


ฉากนี้อยู่ท้าย ๆ เรื่องซึ่ง  บรื๋อออออ.... น่ากลัวเป็นอย่างมาก
https://youtu.be/hpb2-ZOzc_o


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/mTACCgSWu8E


ความดังของหนังทำให้ผู้สร้างหนังตลกไม่รอช้าที่จะเอาบางฉากในฉบับจริงที่น่ากลัวมากมายำซะป่นปี้
https://youtu.be/s7zoX9MGMbk



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 22, 08:37
ขอคั่นด้วยข่าวเศร้าในวงการภาพยนตร์
ปิยะตระกูลราษฎร์   เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง สิริอายุ 68 ปี

นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งของวงการบันเทิงและวงการเพลง รวมถึงวงการมวย กับการจากไปของ ปิยะ ตระกูลราษฏร์ เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองดารานำชายจากภาพยนตร์เรื่อง #เทพเจ้าบ้านบางปูน  ซึ่งมีผลงานฝากไว้ในการมากมายทั้งบทเพลงที่กลั่นน้ำตามาเป็นเพลงดัง ๆ ให้สายัณห์ สัญญา ขับร้อง เช่นเพลง #ไก่จ๋า #หนึ่งปีที่ทรมาน หรือเพลง #ศึกอัศวินดำ ที่โด่งดังทั่วประเทศ
เสียชีวิตอย่างสงบหลังป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเข้ารับการรักษาตัวมาสองปีเศษ 
ได้เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 68 ปี ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเมื่อช่วงบ่าย เวลา 13.50 น ของวันที่2 พฤศจิกายน 2565

 ปิยะ ตระกูลราษฎร์ (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2497) เป็นทั้งนักแสดง นักแต่งเพลง และนักพากย์มวย มีชื่อเสียงจากบทบาทครูในภาพยนตร์เรื่อง ครูบ้านนอก (2521) และงานแต่งเพลงลูกทุ่ง โดยเฉพาะเพลง "ไก่จ๋า"ปิยะ เกิดที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนจบชั้น ม.ศ. 5 แล้วก็เข้ากรุงเทพฯ มาเป็นเด็กวัดพระพิเรนทร์ เคยเป็นช่างตัดผม รับจ้างแบกของในตลาดสด ขับรถสามล้อถีบ ปี 2516 เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์ด้วยการแสดงเป็นตัวประกอบหางแถวประเภทโป้งเดียวจอด รอคอยงานอยู่แถวหลังเฉลิมกรุง เช่นเรื่อง นี่หรือชีวิต (สมบัติ)
แต่ที่แสดงแล้วมีชื่อเป็นที่รู้จักก็คือ มนต์รักแม่น้ำมูล (2520 สมบัติ-นัยนา-เนาวรัตน์) สร้างโดย ดวงกมลมหรสพ ของ กมล กุลตังวัฒนา โดยในเรื่องปิยะได้บทเป็นพระรอง มนต์รักแม่น้ำมูล ประสบความสำเร็จเกินคาด ทำให้กมลตัดสินใจที่จะสร้างภาพยนตร์แนวสะท้อนปัญหาสังคมไทยในเรื่อง ครูบ้านนอก บทประพันธ์ของ คำหมาน คนไค โดยผลักดันให้ สุรสีห์ ผาธรรม ผู้ช่วยผู้กำกับเรื่อง มนต์รักแม่น้ำมูล ขึ้นมาเป็นผู้กำกับการแสดง แต่พระเอกของเรื่องนั้น กมลเลือกปิยะขึ้นมาเป็นพระเอกท่ามกลางเสียงคัดค้าน แถมนางเอกก็ยังหน้าใหม่อีก หลายคนในทีมงานเริ่มไม่แน่ใจในอนาคตของครูบ้านนอกเพราะหน้าหนังขายไม่ได้ มีแต่เพียงกมลเท่านั้นที่เชื่อว่า ต้องขายได้

ปิยะ ตระกูลราษฎร์ เกิดที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่บ้านมีฐานะยากจน จึงจบการศึกษาชั้น ม.ศ.5 แล้วมาทำงานอยู่ในกรุงเทพ เคยเป็นลูกศิษย์วัด เป็นช่างตัดผม รับจ้างแบกของในตลาด ขับรถสามล้อถีบ เริ่มเข้าสู่วงการจากการเป็นตัวประกอบภาพยนตร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้แสดงในฐานะตัวประกอบคือเรื่อง นี่หรือชีวิต ภาพยนตร์ขนาด 70 มม. เรื่องแรกของเมืองไทยจากการกำกับของ ชุติมา สุวรรณรัต ซึ่งนำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา โดยปิยะรับบท บุรุษพยาบาลเข็นศพ

ปิยะ รับบทนำครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 จากภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคมเรื่อง ครูบ้านนอก กำกับโดยสุรสีห์ ผาธรรม จากบทประพันธ์ของ คำหมาน คนไค แสดงคู่กับ วาสนา สิทธิเวช ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เป็นอย่างมาก จนได้แสดงภาพยนตร์ในแนวนี้อีกหลายเรื่อง

ปิยะ ตระกูลราษฎร์ เป็นเพื่อนสนิทสนมกับ สายัณห์ สัญญา เคยแต่งเพลงให้สายัณห์ร้องหลายเพลง ที่มีชื่อเสียงคือเพลง "ไก่จ๋า" ซึ่งพรรณนาถึงความรักที่มีต่อนักแสดงสาว ปริศนา วงศ์ศิริ เป็นที่เลื่องลือในขณะนั้น ปิยะมีผลงานแต่งเพลงประมาณ 500 เพลง ให้กับนักร้อง เช่น วันชนะ เกิดดี เอกชัย ศรีวิชัย ช่วงหลังผันตัวมาเป็นนักพากย์มวยรายการศึกอัศวินดำ (อัศวินดำก่อเกียรติ)

ผลงานภาพยนตร์
* นี่หรือชีวิต (2516)
* ครูบ้านนอก (2521)
* มนต์รักแม่น้ำมูล (2521)
* 7 สิงห์ตะวันเพลิง (2522)
* มนุษย์ 100 คุก (2522)
* ลูกทาส (2522)
* ทุ่งรวงทอง (2522)
* ส.ต.ท.บุญถึง (2522)
* หนุ่มบ้านนา สาวนาเกลือ (2523)
* ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ (2523)
* สู้ยิบตา (2523)
* ลูกแม่มูล (2523)
* เสี่ยวอีสาน (2523)
* นักเลงบั๊กซิเด๋อ (2523)
* ครูวิบาก (2524)
* สาวน้อย (2524)
* สันกำแพง (2524)
* สวรรค์เบี่ยง (2524)
* ทุ่งกุลาร้องไห้ (2524)
* คุณรักผมไหม (2525)
* มนต์รักลำน้ำพอง (2525)
* เทพเจ้าบ้านบางปูน (2525)
* ครูดอย (2525)
* นักเลงข้าวนึ่ง (2526)
* เพื่อนแพง (2526)
* สวรรค์บ้านนา (2526)
* นางสิงห์แก้มแดง (2526)
* ไม้เรียวหัก (2527)
* ครูปิยะ (2527)
* 10 คงกระพัน (2527)
* ครูชายแดน (2527)
* ยอดนักเลง (2527)
* หมอบ้านนอก (2528)
* ด่วนยะลา (2530)
* ฟลุ๊กแบบไม่ต้องโหด (2533)
* ชู้ (2547)
* อีนางเอ๊ย เขยฝรั่ง (2554)
* i love you ผู้ใหญ่บ้าน (2559)
* นาคี ๒ (2561)
#ผลงานละครโทรทัศน์
* พ.ศ. 2536 อยู่กับก๋ง
* พ.ศ. 2538 เมื่อหมอกสลาย
* พ.ศ. 2538 พรหมลิขิตจากนิ้วป้อมๆ
* พ.ศ. 2539 ดอกแก้ว
* พ.ศ. 2539 นายขนมต้ม
* พ.ศ. 2540 ตะวันทอแสง
* พ.ศ. 2541 โรงแรมผี
* พ.ศ. 2542 แม่นาคพระโขนง
* พ.ศ. 2542 ขุนเดช
* พ.ศ. 2542 ลูกหว้า
* พ.ศ. 2542 แก้วกินรี
* พ.ศ. 2543 ดั่งสายน้ำไหล
* พ.ศ. 2544 เขี้ยวเสือไฟ
* พ.ศ. 2544 นายฮ้อยทมิฬ
* พ.ศ. 2545 สุสานคนเป็น
* พ.ศ. 2546 พุทธานุภาพ
* พ.ศ. 2546 กษัตริยา
* พ.ศ. 2547 ฟ้าใหม่
* พ.ศ. 2547 มหาราชกู้แผ่นดิน
* พ.ศ. 2548 บันทึกจาก(ลูก)ผู้ชาย
* พ.ศ. 2548 เชลยบาป
* พ.ศ. 2548 มนต์รักลูกทุ่ง
* พ.ศ. 2550 ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
* พ.ศ. 2553 สามหัวใจ
* พ.ศ. 2553 คู่เดือด
* พ.ศ. 2554 มนต์รักแม่น้ำมูล
* พ.ศ. 2555 หมูแดง
* พ.ศ. 2556 สายใย
* พ.ศ. 2557 หมอรัก...หมอเพลง
* พ.ศ. 2557 รถไฟ เรือเมล์ ลิเก กองถ่าย
* พ.ศ. 2558 เพื่อนแพง
* พ.ศ. 2558 สองมือพ่อ
* พ.ศ. 2558 สาบควายลายคน
* พ.ศ. 2558 คาดเชือก
* พ.ศ. 2559 สารวัตรเถื่อน
* พ.ศ. 2559 ฉันทนาสามช่า
* พ.ศ. 2559 บ่วงรักสลักแค้น
* พ.ศ. 2559 แม่นาก
* พ.ศ. 2560 เขี้ยวราชสีห์
* พ.ศ. 2560 หมอเทวดา
* พ.ศ. 2560 ละอองดาว
* พ.ศ. 2560 บ่วงบรรจถรณ์
* พ.ศ. 2561 นายร้อยสอยดาว
* พ.ศ. 2561 สายโลหิต
* พ.ศ. 2561 สุภาพบุรุษมงกุฎเพชร
* พ.ศ. 2561 ฝันให้สุด Dream Teen
* พ.ศ. 2562 ชุมแพ รับเชิญ
* พ.ศ. 2562 ขุนปราบดาบข้ามภพ
* พ.ศ. 2562 บุษบาเปื้อนฝุ่น
* พ.ศ. 2562 ดอกคูนเสียงแคน
* พ.ศ. 2563 ฟ้ามีตา ตอน มิตร....ฉาชีพ, หวัง...ของจ่าหวัง
* พ.ศ. 2564 กำนันหญิง
* พ.ศ. 2564 นางฟ้าอสูร

จากเพจ ดาราภาพยนตร์


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 22, 08:38
 :'(


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 22, 08:38
https://www.youtube.com/watch?v=WtYH4jxtWu8&t=581s


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ย. 22, 09:13
ครูบ้านนอกในตำนาน ;D

ครูปิยะ และ ครูดวงดาว

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6455.0;attach=60421;image)

https://youtu.be/G03o5kDrr5I


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 พ.ย. 22, 11:57
ขอคั่นด้วยข่าวเศร้าในวงการภาพยนตร์
ปิยะตระกูลราษฎร์   เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง สิริอายุ 68 ปี


หายไป 'รับใช้ชาติ' 1 วัน  กลับมาเปิด  หน้าตาโผล่ขึ้นมาเห็นแล้วตกใจ  นึกว่าเกิดผิดพลาด  จิ้มผิดจิ้มถูก  ท่าจะเข้ามาผิดช่อง  ปิดแล้วเปิดใหม่  ก็หน้าตาแบบเดิม  อ๋อ... รายการเฉพาะกิจ  ;D

คุยเรื่องหนังผีต่อให้จบ...

หนังผีทั้ง 2 เรื่องที่เล่าไปนี้  ต้นฉบับเป็นของญี่ปุ่นที่อเมริกาไปซื้อลิขสิทธิ์มาสร้างใหม่  ต่อมาในปี 2008 อเมริกาก็ไปซื้อลิขสิทธิ์หนังผีอีกเรื่องหนึ่งมาสร้างใหม่  ต้นฉบับของหนังที่ว่าเป็นของคนไทย (ซึ่งผมภูมิใจมากกกกกก)

ฉบับสร้างใหม่ใช้ชื่อว่า Shutter
https://youtu.be/BSNg47ntpt8


ต้นฉบับใช้ชื่อว่า ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ
https://youtu.be/i1uO8kIgxxY
(ขอบคุณ คุณ THUb - ทีฮับ)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/p9rGhuuq_qU


มีคนทำ clip เปรียบเทียบบางฉากมาให้ชมด้วย
https://youtu.be/d536xlaVhiE


ผมได้ดูทั้ง 2 ฉบับ  ผมว่าต้นฉบับน่ากลัวกว่าแม้นักแสดงจะแสดงได้แข็งเหมือนไม้กระดานตามมาตรฐานนักแสดงไทย

ส่วนฉบับสร้างใหม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้อย่างงดงาม  แม้เสียงนักวิจารณ์จะด่ายับ "Being a remake of a Thai horror film instead of Japanese doesn't prevent Shutter from being another lame Asian horror remake."

ผมว่าพวกมันอิจฉาที่ประเทศมันต้องเสียดุลการค้า  หนัง (remake) ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกมันรุมกันสับสักหน่อย

พูดถึงผี  ตอนเด็ก ๆ จำสัญลักษณ์ของผีเอเชียได้  ถ้าผีญี่ปุ่นจะอยู่ในชุดขาวผมยาวปิดหน้าปิดตา  ถ้าเป็นวิญญาณจะเป็นลูกไฟกลมลอยตุ๊บป่อง ๆ พร้อมเสียงเพลงหวีดหวิว  ถ้าผีจีนจะใส่เกี๊ยะ  ยืดตัวตรง  ยื่นมือไปข้างหน้าแล้วกระโดด  ถ้าผีไทยจะไม่อยู่ในชุดผ้าตราสังข์ก็ชุดปกติ  ถ้าอยู่ในชุดผ้าตราสังข์จะมีหน้าเละเทะ  แต่ถ้าอยู่ในชุดปกติ  หน้าจะขรึม ๆ ขอบตาคล้ำเหมือนโดนยมทูตชกมา  ทั้งคู่ปรากฏกายพร้อมกับเสียงหมาหอน





กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 พ.ย. 22, 12:28
พูดง่าย ๆ ว่าผมเข้าโรงหนังไปดู Ishtar (1987) เพราะอยากดู Warren Beatty  อ่านจาก SP บอกว่าหนังที่เธอเล่นเป็นหนังตลก  เล่าเกี่ยวกับนักร้องนักแต่งเพลงทึ่ม ๆ 2 คนที่ได้รับการว่าจ้างให้ไปเปิดการแสดงในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ประเทศ Morocco  ระหว่างอยู่ที่นั่นทั้ง 2 คนก็จับพัดจับผลูไปอยู่ท่ามกลางการขัดแย้งทางการเมือง  จากนั้นเรื่องก็โอละพ่อ

อ่านดูก็นึกในใจว่าคงได้ขำกันกลิ้งชนกันไปมาอยู่ในโรงฯ  ซึ่งเอาเข้าจริงก็ตลกดี  แต่ไม่ถึงกับ ‘กลิ้ง’  ผมเห็นว่าฉากขำที่สุดไม่ใช่จากการแสดงของคน  แต่เป็นการแสดงของ อูฐตาบอด ทุกฉากที่มันโผล่ออกมาเป็นฮา

ต่อมา  ผมได้อ่านข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ (ทาง SP ฉบับต่อ ๆ มา) ก็ได้รู้ความจริงว่า  หนังสร้างความดังให้กับฮอลลีวู้ดทีเดียว  คือมันเป็นหนังห่วยแตก  หนังเจ๊งหูรูดเมื่อเทียบกับทุนสร้างอันมหาศาล รายละเอียดเพิ่มเติมมาจาก Wikiฯ ว่าลงทุนไป 51 ล้าน (ค่าในยุคนั้น) ได้กลับมา 14 ล้าน ส่วนนักวิจารณ์ก็รุมกันสับเละ  Roger Ebert หัวหอกนักวิจารณ์ชื่อดังแห่งยุคให้ไว้แค่ ครึ่งดาว  พร้อมด่าว่า "Ishtar is a truly dreadful film. A lifeless, massive, lumbering exercise in failed comedy."  งานนี้เป็น talk of the year เลยเชียว

หนังฯ เข้าทำเนียบตำนานหน้าหนึ่งของฮอลลีวู้ดไปอย่างสง่าผ่าเผย  แต่อยู่ในด้านลบ  เวลาใครเอ่ยถึงตัวอย่างหนังเฮงซวย  ชื่อ Ishtar จะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่มีการยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างชั้นดี

จนกระทั่งการมาถึงของ อตน. และ Wikiฯ  ซึ่งเล่ารายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลัง ฯลฯ ของหนังเรื่องนี้อย่างสนุกสนานดุจอ่านนิยาย  ไม่น่าเชื่อว่าหนังที่ได้ชื่อว่าห่วยสลบนี้จะสร้างตำนานให้อ่านได้ยาวเหยียดขนาดนั้น

2 นักร้องนักแต่งเพลง
https://youtu.be/KadgeZuL5wE


เหล่านักวิจารณ์ล้วนบอกเหมือนกันว่า  นักแสดงที่เล่นเก่งที่สุดในหนังฯ คือ เหล่าอีแร้ง กับ อูฐตาบอด
https://youtu.be/ArJvC9GA9zc
(เล่นเก่งจริง ๆ)


เรื่องของเรื่องเกิดในฉากที่ ตัวละครคนหนึ่ง (WB) ต้องไปบอกชายชื่อ Mohamed ด้วยโค้ดลับว่า ‘I want to buy a blind camel’  ปรากฏว่าเธอไปเจอ Mohamed จริงแต่เป็นคนละคนกัน  Mohamed คนที่เธอเจอไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ   ก็เลยพาเธอไปซื้ออูฐตาบอด 1 ตัว
https://youtu.be/Om6iZow8VVU
(0.49 – ‘What the hell’s the matter with him? Is he blind?’…‘Well, yeah! He is but he’s in perfect condition’
1.11 - ‘Oh, God. I got a feeling something went wrong and now I own a blind camel’
4.07 – ‘Move the camel. Move the camel! The camel. Move the camel’… ‘Move the camel. Where?’…‘Anywhere. He's on my foot’… ‘Oh, Sorry’… ‘What the hell's the matter with that camel? Is he blind?’…‘Yeah’)

ความจริงยังมีฉากน่ารัก ๆ ของอูฐตาบอดดาวเด่นอีก  เช่นตอนผู้ก่อการร้ายสะกดรอยมันทางเครื่องเรดาร์  บนจอจะเห็นรอยตีนมันเดินสะเปะสะปะ (ก็เพราะว่ามันตาบอด)  ผู้ก่อการร้ายที่กำลังดูก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันละหว่า ฉากนี้ขำมาก  น่าเสียดายที่มันหายไปจาก youtube เสียแล้ว


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/XUlDtD9v2Gc

หมายเหตุ – ผมตามหารายละเอียด (มานาน) ของอูฐตัวที่ว่าว่ามันตาบอดจริงรึเปล่า  ก็ได้พบเกร็ดขำ ๆ ว่า...  And then there is the story of the blind camel on which Beatty and Hoffman trek across the desert. Of course, they couldn't use a real blind camel (too much trouble), so the camel trainers took off across the desert themselves in search of a rare blue-eyed camel that would photograph blind. (In fact, several rare blue-eyed camels were needed, since you never know when your No. 1 camel will break a leg)

"There's nowhere in Morocco to look at camels," says one crew member who took part in the search. "They have camel markets, but they're few and far between. So we ended up traveling in increasingly concentric circles around the location, trying to bump into nomadic tribesmen who had these camels."

It so happened that the first camel they found fit the bill. But it was like buying the first house you look at. You want to look at more. But after vainly checking out several more camel dealerships, they returned to the first one

"Here we are again. We want to buy your camel."
"Sorry," said the dealer, "You're too late. We ate it"


คุยถึง อูฐ แล้วทำให้นึกถึงครั้งที่ผมไปเที่ยวอินเดีย (เคยเกริ่นไปแล้วในช่วงหนัง The best exotic Marigold Hotel)  วันที่ไปถึงเมือง Jaisalmer เมืองที่มีชื่อเล่นว่า Gold City  เราไปเดินเล่นในตลาด  ผมเดินไปถึงร้านขายเครื่องหนังที่มีสินค้าโชว์อยู่เต็มร้าน  ส่วนใหญ่เป็นกระเป๋าหนังหลากหลายรูปแบบ
  
ขณะเดินชมอย่างเพลิดเพลิน  ผมเกิดความสงสัยจึงถามคนขายที่ยืนรอการต่อรองราคาอยู่ใกล้ ๆ ว่า  ใช้หนังอะไรทำ  คนขายตอบว่า ‘Camel’s (จริง ๆ แล้วเธอพูดว่า Camel เฉย ๆ คนขายเป็นชาวบ้านธรรมดา  คนอินเดียไม่ใช่ทุกคนที่คล่องภาษาอังกฤษ  แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่พูดภาษาอังกฤษได้)’
 
ผมฟังแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร  แค่อยากรู้  แต่อีกเพียงเสี้ยวอึดใจต่อมา  คนขายก็เสริมต่อว่า ‘Dead camel’

ผมหันไปมองหน้าคนขาย  คิดว่าคงเจอมุกฯ  ปรากฏว่าเธอหน้าตาบ้องแบ๊ว  

แหม... ใครวะจะบ้าถลกหนังอูฐเป็น ๆ มาทำกระเป๋า  ไม่เห็นต้องเน้นเลย


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/04/vD5a9I.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vD5a9I)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 พ.ย. 22, 18:35
ครูบ้านนอกในตำนาน

ขออนุญาตต่ออีกสักนิดหนา คุณโหน่ง ;D

พลังของครูบ้านนอก

ขอบคุณครูคำหมาน คนไค
เขียนครูบ้านนอกให้คนได้อ่าน
ขอบคุณ ปิยะ ตระกูลราษฎร์ ผู้เบิกบาน
ที่เปิดภาพทุกด้านของครูไทย

ยังจำพลังของหนังเรื่องนี้แม่น
เสียน้ำตาคับแค้นทั้งเด็กผู้ใหญ่
ปลุกอุดมการณ์ครูคนหนึ่งซึ้งสุดใจ
เรียนจบแล้วล้วนอยากไปไปเป็นครู
 
แม้วันนี้จะมีครูอยู่ทุกหน
แต่ครูคนชื่อปิยะยังจำอยู่
ครูบ้านนอกคนนั้น โปรดได้รู้
บุญของครูส่งพลันสวรรค์เทอญ

ชมัยภร แสงกระจ่าง
๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 พ.ย. 22, 12:23
ขอโอกาสพิเศษบ้างครับ...   :)

คั่นรายการตรงนี้ด้วย clip งานประกาศ Rock and Roll Hall of Fame ประจำปีนี้  ที่นำมาเสนอเพราะนักร้องคนโปรดตลอดกาลของผมนาม Carly Simon ได้รับการรับเลือก  มันเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดของวงการเพลง  แต่ละปีจะมีศิลปินได้รับการคัดเลือกเข้า Hall of Fame น้อยมาก  ไม่เกินหนึ่งโหล  อีกทั้งศิลปินที่ได้รับการพิจารณาไม่ใช่ศิลปินที่มีผลงานในปีนั้น ๆ แบบรางวัล Grammy  แต่เป็นศิลปินรวมทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่แรกเริ่มมาเลย เช่น Richie Valens ที่ตายไปตั้งแต่ปี 1959  ได้รับเลือกในปี  2001 เพราะฉะนั้นยิ่งนานปีโอกาสก็จะยากขึ้น

https://youtu.be/GnTNp_2hW1g
CS ไม่ได้มาร่วมเพราะกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์เนื่องจากพี่สาว 2 คนของเธอเสียชีวิตแทบจะพร้อมกัน  คือในเวลาห่างกันเพียงแค่ 1 วัน  


https://youtu.be/KwCA4Cec9dQ


https://youtu.be/oqIppjDHd3I


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/07/v6ZJ1D.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v6ZJ1D)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 พ.ย. 22, 13:01
ควันหลง...

พูดถึง Carly Simon แล้วต้องตามด้วย Linda Ronstadt  ทั้ง 2 คุ้นเคยกันเพราะเป็นศิลปินร่วมยุคและอยู่ค่ายเดียวกัน  ในยุคนั้นเรียกกันรวม ๆ ว่า west coast artists เป็นกลุ่มใหญ่และใกล้ชิดกัน  ตอนนั้นล้วนดัง ๆ  แก่น ๆ ที่เกาะกันเหนียวแน่นก็เช่น LR, วง Eagles, วง Doobie Brothers, James Taylor, J.D. Souther, Jackson Browne, Crosby - Still - Nash and Young, Nicolette Larson, Emmylou Harris, Karla Bonoff ฯลฯ  นอกเหนือจากนั้นก็เช่น Rita Coolidge, Carole King, Warren Zevon ฯลฯ แนวดนตรีของศิลปินพวกนี้คล้ายกัน  แต่ผมว่าแนวของ CS ต่างออกไป  ออกไปทาง pop/rock ไม่ใช่ country/rock

เวลาศิลปินพวกนี้จะทำเพลงออกมา  ศิลปินคนอื่น ๆ ถ้าว่างจะรีบมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ  บางทีให้เนื้อเพลงมาร้อง  บางทีมาร่วมเล่นดนตรี  บางทีมาร้อง backup ให้  บางทีมาช่วยในการผลิต  โน่นนี่  ที่ผมรู้เพราะนอกจากได้ความรู้จาก SP แล้ว  เวลาซื้อแผ่นเสียงของศิลปินเหล่านี้  ซองในหรือปกหลังจะบอกรายละเอียดในการผลิตแผ่นนั้น ๆ  อ่านแล้วจะพบชื่อศิลปินต่าง ๆ มากมายมาช่วยกันทำแผ่น (แผ่นของ LR ที่คนมาช่วยเยอะมาก  มาช่วยทุกแผ่นเลย  ความว่าเธอเป็นที่รักของทุก ๆ คน) เห็นแล้วเกิดอารมณ์สนุกร่วมไปด้วย

ตอนนี้หมดยุคที่ว่าไปแล้ว  แต่ละคนก็แก่ ๆ กันไป อายุแตะ 80 กันทั้งนั้น  บางคนก็ป่วย  บางคนก็ตายไปแล้ว  


ล่าสุดได้ดูสารคดีเรื่อง Linda Ronstadt: the sound of my voice (2019) เป็นสารคดีเรื่องยาวชั่วโมงครึ่งเล่าเรื่องการเดินทางของนักร้องหญิง LR ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการในปลายยุค 60s  แล้วค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้รับสมญานามว่า Queen of country rock ในยุค 70s  จากนั้นเธอก็กลายเป็นดาวค้างฟ้าของวงการเพลงมาตลอด  ไม่ว่าเธอจะจับอะไรเป็นดีงามไปหมด  เมื่อเปลี่ยนแนว rock มาเป็นแนว standard pop คนก็สนับสนุน  เปลี่ยนเป็น country แท้ ๆ คนก็ตามซื้อแผ่น  ย้อนกลับมาร้องเพลงแห่งรากเหง้าของตัวเอง (Mexican)  คนก็สรรเสริญ  แม้จะลองมาเล่นหนังก็เล่นได้ดีได้รับคำชม

อาชีพของเธอพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะหมดพลัง  แต่แล้ววันหนึ่งในปลายปี 2000s  เธอก็พบว่าจู่ ๆ เธอก็ไม่สามารถร้องเพลงในระดับคีย์โน้ตที่ร้องอยู่เป็นประจำได้

เธอรีบไปพบหมอและได้รับคำตอบชวนใจหายว่า  เธอกำลังเป็นโรค Parkinson  ตั้งแต่นั้นเธอก็รีบจัดการงานที่ค้างคาให้เรียบร้อย  เมื่อถึงปี 2011  เธอก็ออกประกาศเรื่องเกษียณอายุจากงานร้องเพลง  ในปี 2013 เธอให้สัมภาษณ์  ในช่วงหนึ่งเธอสารภาพว่า ‘… I can no longer sing a note…’

ผมว่าชีวิตของเธอน่าสงสาร  ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาตลอด  แทนที่จะได้สนุกสนานกับเวลาส่วนตัวในวัยเกษียณ  กลับต้องมาป่วยอย่างชนิดที่ไม่มีทางหาย

LR ชอบเดินสายมาก  ในช่วงกำลังไต่เต้าเธอต้องการวงสนับสนุนเป็นของตัวเอง  ในฉากนี้เธอเล่าถึงตอนที่เธอพบกับ Don Henley (และ Glenn Frey) แล้วเกี้ยวให้มาร่วมงานกับเธอ  

DH และ GF ต่อมาแยกออกมาก่อตั้งวง rock ที่โด่งดังที่สุดวงหนึ่งของโลกคือ The Eagles (ถ้าเป็นเมืองไทยละก็  ในยุคนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักเพลง Lyin’ Eyes  แม้แต่แม่ผมยังชอบฟัง)

การแยกตัวของคู่หูออกมานี้เป็นไปอย่างประทับใจคือ  ไปขออนุญาต LR ก่อน  ปรากฏว่านอกจากอนุญาตแล้วเธอยังทำหน้าที่เจ๊ดัน  สนันสนุนวง Eagles ในตอนต้นในทุกทาง
https://youtu.be/v1eZ3Fljb0U


จุดกำเนิดแผ่นเสียงดังชื่อ Trio (Linda Ronstadt, Dolly Parton, Emmylou Harris) เป็นแนว country แท้ ๆ  ที่ข้ามไปดังทางฝั่งเพลง pop
https://youtu.be/kApw45tW3J0


ตัวอย่างสารคดี
https://youtu.be/eDMYAsu5PvI

https://youtu.be/6z2P8fDH7sc


ไม่มีใครย่อย clip เลย  ยังดีที่มีคนลงตัวสารคดีมาให้ชม
https://youtu.be/OwTokOpFKh0


ตามประสบการณ์ผมว่านักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรู้จัก LR ครั้งแรกจากเพลง You’re no good  เพลงนี้ดังสนั่นไปทั่วทุกคลื่นวิทยุจนกลายเป็นเพลงโหล  หลังจากนั้นก็มีเพลง Tracks of my tears, Blue bayou ฯลฯ แต่ไม่มีเพลงไหนดังเท่า You’reฯ  
https://youtu.be/_bj_32QeAaU
(นักดนตรีที่เธอแนะนำ  เป็นขาประจำในการผลิตเพลงในแผ่นเสียงของเธอด้วย  ผมรู้จักคุ้นเคย (ตอนนั้น (70s) แค่ชื่อ  ไม่เคยเห็นหน้า) เหมือนเป็นพี่ชายข้างบ้าน)


ผมเริ่มซื้อแผ่นเสียงของเธอแผ่นแรกก็เพราะเพลง You’reฯ นี้เช่นกัน  พอฟังแล้ว แหม... แนวเพลงถูกใจ  จากนั้นผมก็ตามซื้อแผ่นของเธอมาตลอด

ช่วงที่ผมโดนผีเข้าแล้วเขียนจดหมายไปหา Helen Reddy และ Carly Simon นั้น  ผมเขียนไปถึง LR ด้วย  ผมได้รูปพร้อมลายเซ็นจาก HR 1 ใบ  จาก CS 2 ใบ (ต่างช่วงเวลากัน)  แต่ไม่มีวี่แววจาก LR เลย

ผมแสนจะเสียใจ  ผมเป็นแฟนเพลงจากแดนไกล  ภาษาอังกฤษก็งู ๆ ปลา ๆ เธอน่าจะเห็นใจ

อย่างไรก็ตาม การดูสารคดีเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับจดหมายตอบจากเธอ  เธอเล่าว่าเธอชอบเดินสายมาก  แล้วก็ไม่เคยจ้าง ผจก. ประจำตัว  เธอทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง  ตั้งแต่จัดตารางทัวร์  เตรียมเพลง (ออกแผ่นฯ) ฯลฯ  เวลาออกทัวร์ทีก็กินเวลาหลายเดือนเพราะอเมริกาใหญ่มาก  พอจบทัวร์ก็กลับมาทำงานบ้านซักเสื้อผ้า จัดเก็บข้าวของ แล้วก็เตรียมออกแผ่นเสียงแผ่นใหม่  เลือกเพลง  ซ้อมเพลง ฯลฯ  ซึ่งก็เหนื่อยแฮ่กแล้ว  ตอน จนท. บ.แผ่นเสียงให้เธอดูจำนวนจดหมายจากแฟนเพลง (ของผมก็คงรวมอยู่ในนั้น) ซึ่งกองเป็นภูเขาเลากา  เธอไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี  ก็เลยเฉยไปเลย

ถึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้สนใจเฉพาะผม  แต่เธอไม่สามารถตอบสนองแฟนเพลงทุกคนเลย

หลงน้อยใจอยู่เกือบ 50 ปีแน่ะ


แนบตัวอย่างแผ่นเสียงของ LR มาให้ชม  ในช่วง peak (เธอออกแผ่นฯ ปีละครั้ง) แผ่นเสียงของเธอสวย ๆ ทั้งนั้น  ซื้อแล้วต้องรีบกลับบ้านมาแกะเปิดดู (แผ่นฯ ทุกแผ่นจะ seal ด้วยพลาสติก)  ทุกแผ่นจะเปิดกางได้แบบกางหนังสือเรียกว่า gatefold 

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8oPIN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v8oPIN)



(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8DfVe.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v8DfVe)



(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8D9uv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v8D9uv)



(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8D3Rk.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v8D3Rk)



บางแผ่น  ซองใน (ซองใส่แผ่น) ยังมีรูปสวย ๆ แถมมาให้ชมอีก  รวมถึงเนื้อเพลง  อย่าง 2 แผ่นข้างบน
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8DoOf.jpg) (https://www.picz.in.th/image/v8DoOf)



แผ่นนี้ไม่มี gatefold แต่ออกแบบสวย  และได้รับรางวัล grammy สาขาออกแบบปกยอดเยี่ยม
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/08/v8DyeV.jpg)











กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 พ.ย. 22, 14:07
เกิดความผิดพลาดอะไรบางอย่างครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 พ.ย. 22, 13:07
ตั้งแต่ย้ายกลับมา ‘รับใช้ชาติ’ นี่ยุ่งขิง  เวลาผ่านไปแสนจะรวดเร็ว  ทำให้ลืมหรือไม่ได้ทำโน่นนี่ที่คิดเอาไว้ นี่ก็ลืมปรับปรุงข้อมูลเดิมให้ทันสมัย  ลงไปแล้วเป็นวันเพิ่งมีเวลานึกได้  อ้าว... ลืม...


Linda Ronstadt ได้รับเลือกเข้าสู่ Rock and Roll Hall of Fame ในปี 2014  เธอไม่สามารถมาร่วมงานได้เพราะอาการป่วยอย่างที่บอก  แต่ในงานประกาศในช่วงของเธอมีศิลปินมากมายมาร่วมให้เกียรติ  แสดงถึงความยิ่งใหญ่บวกกับบุคลิกอันเป็นที่รักใคร่ของทุกคนจากทุกรุ่น
https://youtu.be/dlx7PgTnym4


ศิลปินที่มาร่วมร้องเพลงของเธอมีตั้งแต่เพื่อนสนิทเก่าแก่คือ Emmylou Harris นักร้องแนว country หัวหอกคนหนึ่งของยุค  2 คนนี้รู้จักกันมาตั้งแต่ต่างยังกำลังเตาะแตะคือต้น 70s  รายละเอียดบนปกแผ่นเสียงแผ่นแรกของ LR ที่ผมเริ่มซื้อ (ไม่ใช่แผ่นแรกของอาชีพเธอ) คือ Don't Cry Now (1973) ก็มีชื่อ EH มาปรากฏในรายชื่อแขกรับเชิญแล้ว  เป็นชื่อที่ผมคุ้นเคยมากเพราะเห็นมาช่วยในงานของทุกแผ่นฯ ของ LR  จนกระทั่งผมเริ่มสนใจโดยเจาะจงและออกหาซื้อแผ่นฯ ส่วนตัวของเธอมาฟัง  แผ่นฯ หาซื้อยากเพราะคนไทยไม่นิยมเพลงฝรั่งแนว country  เพลงของเธอที่ออกอากาศในเมืองไทยจึงหาฟังยาก  ถ้าไม่ใช่สาวกหูติดลำโพงวิทยุแบบผมไม่มีทางเคยได้ยินเพลงของเธอ  เพลงของเธอที่ ‘ดัง’ ในบ้านเราคือเพลงนี้ (1981)
https://youtu.be/okuK7_531Bs
เป็นเพลงนำมาร้องใหม่  ต้นฉบับ (1954) เป็นของวงประสานเสียงรุ่นคุณแม่ (เทียบกับผม) คือ The Chordettes ที่โด่งดัง
https://youtu.be/WI6uuNxPeoA


ส่วนอีกเพลงของ EH ที่นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยประเภทหูติดลำโพงวิทยุจำได้  เป็นเพลงเฉพาะกิจเพราะเป็นเพลงเปิดรายการของ Nite Spots ช่วงที่ดำเนินรายการโดยคุณวาสนา วีรชาติพลี  ดีเจชื่อดังที่ดุสุดโคตร  แฟนรายการผู้ใดที่ถามปัญหาที่เธอคิดว่า ‘คำถามแบบนี้ไม่เห็นต้องมาถามชั้นเลย’ เป็นโดนเธอวี้ดออกลำโพงวิทยุให้ได้ยินกันทั่วประเทศ ผมได้ยินเป็นประจำ (แต่ไม่เคยมีประสบการณ์)  เพลงของ EH ที่ว่าคือเพลงนี้ (1976)
https://youtu.be/ipPS2iHg_3I


ศิลปินเก่าแก่ที่มาร่วมร้องเพลงเป็นเกียรติให้ LR ในงาน RRHF ที่เห็นใน clip ยังมี Bonnie Raitt  คนนี้ผมไม่เคยเห็นชื่อในรายชื่อแขกรับเชิญบนปกแผ่นเสียงของ LR อาจมาช่วยทีหลัง (หลังจากหมดยุคของเธอไปแล้ว) หรือมาช่วยทางการแสดงสด ฯลฯ  BR ได้รับเสนอชื่อเข้า RRHF ในปี 2000

ส่วนอีกคนใน clip ที่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสนิทกับ LR  คือ Stevie Nicks   คนนี้โดยส่วนตัวก็ดังสนั่นวงการเพลงร่วมยุคกัน  เธอเป็นนักร้องนำของวง Fleetwood Mac   นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราคุ้นเคยกับวงนี้ดี  ไม่ต้องโฆษณาอะไรมากมาย  วงฯ ได้รับเสนอชื่อเข้า RRHF ในปี 1998  

สมัยสาว ๆ SN สวยน่ารักไม่มีที่ติ  เป็นตัวเสริมความดังให้กับเธอ ผมไม่เคยติดตามงานของวงนี้  แต่มีช่วงหนึ่งที่เธอแยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  แผ่นเสียงส่วนตัวแผ่นแรกของเธอกระหึ่มวงการเพลงทั้งที่บ้านเขาและบ้านเราจนผมอดไปหาซื้อมาฟังไม่ได้   เพลงของเธอในแผ่นนี้เพราะเสนาะหูทุกเพลง  ขออนุญาตนำเสนอ (เพราะไม่รู้จะไประบายที่ไหนให้ใครดี)
https://youtu.be/H5i7j0VhEHw
เพลงออกในปี 1981  นักร้องคู่คือ Tom Petty (ตายไปแล้ว  เป็นข่าวใหญ่ระดับหนึ่ง) จากวง Tom Petty & The Heartbreakers  ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้า RRHF ในปี  2002


อีกเพลงในแผ่นฯ ที่เพราะมาก
https://youtu.be/S68jWX6v3Cc
(จะเห็นความน่ารักของ SN อย่างจุใจ  ผมว่าเธอน่ารักมากกว่าสวย)


SN สร้างประวัติศาสตร์ให้กับ RRHF เนื่องจากได้รับการเสนอชื่อเข้าถึง 2 ครั้ง  คือในปี 1998 ในฐานะสมาชิกหนึ่งของวง Fleetwood Mac และในปี 2019 ในฐานะศิลปินเดี่ยว  เป็นสถิติที่ยังไม่มีศิลปินหญิงคนไหนทำได้

ส่วนนักร้องหญิงอีก 2 คนคือ Sheryl Crow ศิลปินรุ่นน้องออกไปทางลูกกับ Carrie Underwood ศิลปินรุ่นหลาน  ที่ผลงานของพวกเธอได้รับอิทธิพลจากแนวงานของ LR  ช่วงเวลาของนักร้องทั้ง 2 นี้อยู่นอกวงจรของผม  เลยไม่รู้จะคุยอะไร

สำหรับพิธีกรชาย  บางคนอาจคุ้นหน้า  เธอคือ Glenn Frey (อ่านว่า ฟราย) แกนนำของวง The Eagles  วงนี้ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้า RRHF ในปี 1998  ปีเดียวกับ วง Fleetwood Mac  สมัยหนุ่ม ๆ  GF หล่อและเท่มาก  ยุคนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า  สื่อฯ ในบ้านเรามีแค่หนังสือ (สำหรับผมยังมีรูปจากแผ่นเสียงมานั่งพิจารณาเสริม) แค่เห็นภาพนิ่งก็กลืนน้ำลายแล้ว  GF ตายในปี 2016

ตบท้ายด้วย  ข่าวล่าสุดของ LR  
https://youtu.be/2zQRk7dUnUE
เธอได้ชื่อว่าเป็นคนเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน (ถึงเป็นที่รักของทุกคน)  บางคนถ้าป่วยแบบนี้ต้องเก็บตัวไม่ยอมออกข่าวด้วยกลัวเสียภาพพจน์ที่สั่งสมมานาน  ส่วนคนสัมภาษณ์คือ Maria Shriver เป็นสมาชิกหนึ่งของครอบครัว Kennedy (สืบจากทางแม่) เป็นอดีตเมียของ ลุง ‘Arnold’ เป็นแม่ของหนุ่มหล่อเห็นแล้วคลั่ง Patrick Schwarฯ


เอ... ลืมอะไรอีกรึเปล่าหว่า


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 พ.ย. 22, 13:46
Inside Llewyn Davis (2013) หนังย้อนยุคกลับไปปี 1961 เล่าเรื่องราวชีวิตของนาย Llewyn Davis นักร้องเพลง folk ที่กำลังดิ้นรนหาทางที่จะสร้างชื่อเสียงและเก็บเกี่ยวความสำเร็จทางการเงินอีกครั้งหลังจากความล้มเหลวของอัลบั้มเปิดตัวของเขา Inside Llewyn Davis
https://youtu.be/LFphYRyH7wc

นำเสนอในเรื่องเพลง folk เพราะ ๆ
https://youtu.be/7M8m4LyFSkE

https://youtu.be/9Aq4a7g_wdU

https://youtu.be/HAZJAzCshN4


ฉากตลกก็มี  คือฉากนี้เมื่อ LD พาแมวของเพื่อนบ้านไปเยี่ยมเพื่อนสาว  แล้วถือโอกาสค้างคืน  ตื่นเช้ามาก็ทำซุ่มซ่ามเผลอเปิดหน้าต่างห้องพักไว้ทำให้แมวหลบหนีออกไป  ระหว่างนั้นก็ได้รับข่าวว่า  เพื่อนสาวกำลังท้อง  แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อระหว่างตัวเขาเองหรือผัวเธอที่ตายไปแล้ว

เพื่อนสาวก็เลยตัดสินใจจะทำแท้งเพราะไม่อยากได้ลูกถ้าเกิด LD เป็นพ่อ (คือเป็นคนเฮงซวย) โดยให้ LD เป็นคนออกเงิน  ระหว่างกำลังโดนด่า (ที่เห็นใน clip)  จู่ ๆ LD ก็ขอร้องเพื่อนสาวให้ทำอะไรอย่างหนึ่ง  คือพอกลับไปถึง apartment แล้วช่วยแง้มหน้าต่างไว้เผื่อแมวมันคิดจะกลับมา

เพื่อนสาวก็ด่าว่าแมวมาอยู่แค่ 6 ชม.  มันจะกลับมาทำไม  แล้วตอนนี้ก็หน้าหนาวจะเปิดหน้าต่างให้แข็งตายหรือไง  LD ก็หงุดหงิดแล้วแว้ดว่า  ไม่รู้โว้ย  ชั้นไม่ใช่แมว  ทำแมวชาวบ้านหายก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว

เพื่อนสาวมองหน้าแบบไม่เชื่อหูก่อนจะเหน็บว่า  แค่แกทำแมวชาวบ้านหายก็รู้สึกผิดแล้วเหรอ (แล้วทีแกทำชั้นท้องล่ะ)

ผมดูแล้วขำกลิ้ง  เลยส่ง clip ไปให้เพื่อนดู  เพื่อนบอกไม่เห็นขำเลย  คนเฮงซวยแบบนี้  ก็สมควรโดนด่า  อ้าว...
https://youtu.be/1LWybNy6yIw


หนังเรื่องนี้ส่งผลให้ดารา no name ชื่อ Oscar Isaac ดังขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ได้รับบทดี ๆ มาตลอด



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 พ.ย. 22, 12:32
อยากเล่าเรื่องหนังชุดทางทีวีไม่ใช่หนังโรง  ที่เอามาเล่าตรงนี้เพราะมันเกี่ยวข้องกับหนังโรงที่ฉายมานานแล้ว  ดูแล้วอดเอามาเล่าไม่ได้

หนังชุดเรื่องที่ว่าชื่อ The Offer  (April – June 2022) เป็นหนังชุดขนาดสั้น (mini-series) ความยาว 10 ตอนจบ  เล่าเรื่องเบื้องหลังของการถ่ายทำหนังมหากาพย์เรื่องดังเรื่องหนึ่งของวงการบันเทิงคือ The Godfather (1972)

ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะภาคไหน ด้วยเหตุผลว่าผมเป็นสัตว์รักสงบไม่ชอบเรื่องยิงกันเลือดสาดซึ่งฉากที่ว่ามีอยู่หนาแน่นในหนังเรื่องที่ว่า นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุที่ผมไม่สามารถอ้างตัวเองว่าเป็นนักดูหนังมืออาชีพ แม้จะแหกตาดูหนังมาเป็นพัน ๆ เรื่องแต่เป็นเรื่องที่ตามใจกิเลสความอยากดูของตัวเองเสียมากกว่า

พอเห็นหนังชุดเรื่องนี้มาฉาย  ตอนแรกบอกผ่าน จะไปดูทำไมในเมื่อตัวหนังเองฉันยังไม่เคยดู  แต่ช่วงนั้น reviews ของหนังชุดนี้ครึกโครมมาก  บอกว่าเรื่องราวของเบื้องหลังการสร้างหนังสนุกพอ ๆ กับตัวหนัง  อ่านแล้วทนฝืนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหว  ก็เลยดูดมาดูซะหน่อยคิดว่าถ้ารับไม่ได้ก็ลบทิ้ง

พอได้ชิมแล้วปรากฏว่า โอ้โฮ... หนังสนุกอย่างที่มีคนคุยไว้จริง ๆ  นึกไม่ถึงว่าการสร้างหนังเรื่องนี้มีอุปสรรคมากมายและน่าตื่นเต้นจนสามารถแยกออกมาสร้างเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งได้

หนัง The Godfather เรื่องนี้สร้างโดย Paramount Studio ซึ่งในช่วงเวลานั้นหมดยุค ‘ยุคทองของฮอลลีวู้ด’ แล้ว  และสถานภาพของ Studio ก็กำลังย่ำแย่  บ. โดนซื้อเข้าไปอยู่ใต้ปีกของ บ. Gulf & Western ฯ อันเป็น บ. แม่  และในขณะนั้นก็กำลังเหงื่อแตกเพราะยังไม่มีหนังทำเงินมากู้หน้า  ทำให้ บ. แม่ร่ำ ๆ จะตัดเชือก

ผู้บริหารของ PS ตอนนั้นคือ Robert Evans ได้ตัดสินใจเฮือกสุดท้ายทำหนังออกมาเรื่องหนึ่งโดยหวังจะให้เป็นอัศวินม้าขาวกอบกู้สถานภาพของ บ.  หนังเรื่องที่ว่าเป็นหนังรักรันทดอันมีพื้นเพมากจากนิยายดังในช่วงนั้น  เพื่อถนอมต้นทุนให้ บ. ยังคงเอ็นดูอยู่เขาจึงให้เมียของตัวเองเล่นเป็นนางเอก  หนังเรื่องที่ว่าก็คือ

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/14/vIQiub.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vIQiub)


ผลในเวลาต่อมาปรากฏว่า ‘โป๊ะเช้ะ’  หนังดังถล่มทลาย   มาถึงตอนนี้ PS ต้องออกแรงอีกครั้งเพื่อสร้างหนังฮิตอีกเรื่องเพื่อพิสูจน์ให้ บ. แม่รู้ว่า ที่เรื่องแรกดังนั้น ไม่ได้ฟลุ้ค และนี่คือจุดกำเนิดของหนัง The Godfather  ซึ่งเข้ามาในวงจรบันเทิงอย่างไม่ราบรื่นเอาเลย  

เรื่องเริ่มจาก ผู้อำนวยการผลิตหนังทีวี Al Ruddy  เกิดเบื่อหน่ายอยากจะหาความก้าวหน้าทางจอใหญ่  กับนักเขียนไส้แห้งนาม Mario Puzo ที่เขียนเรื่องอะไรก็ไม่ดังจนกระทั่งเพื่อนแนะนำให้ลองเขียนเรื่องราวรอบตัวของเขา  หนังสือ The Godfather ก็ออกสู่ร้านหนังสือและกลายเป็นหนังสือขายดีตลอดกาลเรื่องหนึ่ง  

หนังสือฯ เตะตา AR  เขาอยากสร้างหนังจากหนังสือฯ นี้  แต่ก่อนอื่นต้องหาค่ายจัดจำหน่าย ต้นทุน ฯลฯ  เขาเล็งไปที่ RE แห่ง PS  การเจรจาสัมฤทธ์ผลด้วยดี  แต่บรรยากาศนั้นไม่ดีเนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเกี่ยวข้องกับความโหดร้ายของกลุ่มมาเฟียอิตาลีในอเมริกา  แค่ฉบับหนังสือก็ทำให้ชื่อเสียงของชาวอิตาลีพลัดถิ่นในอเมริกาด่างพร้อยแล้ว  ยังจะมีการสร้างหนังออกมาตอกย้ำอีก

ตัวตั้งตัวตีในการก่อหวอดประท้วงก็คือ Frank Sinatra ซึ่งมีเชื้อสายอิตาเลียนและหลังจากได้ลองอ่านหนังสือแล้วพบว่าตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องเป็นนักร้องชื่อ Johnny Fontane มีบุคลิกเหมือนเขา  FS เริ่มกลยุทธ์ที่จะระงับการสร้างหนังเรื่องนี้ด้วยการเข้าหาแก๊งค์มาเฟียของจริงซึ่งมีทั้งหมด 5 แก๊งค์  มี Joe Columbo เป็นประธาน  

ข่าวนี้ดังกระหึ่มอเมริกา  บ. G&W ร้อนตัวกลัวบรรลัยเพราะไปยุ่งกับนักเลง  จึงเรียก ผอ. RE ของค่าย PS มาแล้วบอกให้ระงับการสร้างหนังฯ  RE กลับมาบอก AR แต่ ผอ. AR ไม่ยอมเพราะเห็นว่านี่คือการตลาดอย่างหนึ่งที่จะส่งผลให้กับความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ถ้าสามารถสร้างออกมาได้  และความสำเร็จก็จะส่งผลให้กับค่าย PS ด้วย

ระหว่างนี้  หัวหน้ามาเฟีย JC เริ่มการปกป้องพิทักษ์สิทธิ์ให้กับชุมชนของเขา  ถึงขนาดลักพาตัวผอ. AR ไปจับเข่าคุยแกมขู่ให้ล้มเลิกการสร้างหนังเรื่องนี้  แต่ AR มีจิตวิทยา  เขากล่อม JC โดยอ้างว่าเนื้อหาของหนังให้บรรยากาศคนละแบบกับในหนังสือฯ  ในหนังสือฯ โหดร้ายจริงอยู่  แต่ในหนังนั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว (ตรงนี้ไม่รู้จริงแค่ไหนเพราะไม่เคยอ่านและไม่เคยดู  แต่น่าจะจริงเพราะไม่งั้นผู้เกี่ยวข้องในการทำหนังชุด The Offer นี้เป็นโดนฟ้องตูดแหกไปตาม ๆ กันแล้ว) แถมยังชักชวน JC ให้ไปที่สนง. PS เพื่ออ่านบทหนัง (ฉากในหนังชุดช่วงนี้สนุกสุดขีด  เพราะ มาเฟียใหญ่เข้ามาบุก Studio)
 
JC ทำตามแต่พอได้เห็นบทหนังหนาเกือบ 200 หน้าก็เลิกสนใจที่จะอ่านประกอบกับเห็นความจริงใจของ AR  ก็เลยอะลุ้มอะล่วย  ขอแต่เพียงให้ลบคำว่า mafia ออกให้หมด  ส่วนเรื่องคัดง้างกับนักร้อง FS  ก็ขอให้มีการปรับบทใหม่ให้มีบทของนักร้อง JF เหลือน้อยที่สุด  ซึ่ง FS ก็พอใจ  บทนี้ตอนแรกนักร้อง crooner ชื่อ Vic Damone รับปากอย่างดิบดีแต่แล้วต้องรีบถอนตัวหลังจากถูกอำนาจมืดขู่  ส่วนใครมารับบทในที่สุดให้การบ้านไปหาชื่อเอาเอง  

และไม่ใช่แค่นั้น JC ยังสนับสนุนช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แบบอยู่ในฉากหลังให้ด้วย  เนื่องจากทั้งผู้บริหาร G&W และ PS ไม่รู้เรื่องนี้ สรุปหนังผ่านไฟเขียวได้สร้าง  มี AR เป็น ผอ.  เขาเลือก ผกก. Francis Ford Coppola มาเป็น ผกก. เพราะมีเชื้อสายอิตาเลียน  และให้ MP ที่เขียนหนังสือเล่มนี้มาทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับ FFC ด้วย

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/14/vIqkv2.jpg) (https://www.picz.in.th/image/vIqkv2)
(L-R) Screenwriter Mario Puzo, director Francis F. Coppola, Paramount’s head of production Robert Evans and producer Albert S. Ruddy at the announcement event held to announce the filming of The Godfather

อุปสรรคยังมีต่อหลากหลาย  เป็นต้นว่า ต้องบริหารต้นทุนที่ บ.แม่ ให้มาแบบจิ๊บจ้อย  ในขณะที่ ผอ. AR ก็ต้องหันรีหันขวางตลอดเวลาเพราะแม้ว่า หน.แก๊งค์ JC จะสนับสนุน  แต่นี่เป็นกลุ่มนักเลง  การหักหลังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  และการนองเลือดก็เกิดขึ้นจนได้  ฯลฯ รวมถึงในที่สุด เมื่อความลับไม่มีในโลก ผู้บริหาร G&W และ PS ก็รู้เรื่องว่ามีแก๊งค์มาเฟียอยู่เบื้องหลังการทำหนังเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวของหนังชุด The Offer สนุกขึ้นไปอีก

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 พ.ย. 22, 12:41
ต่อ...

จะเล่าปัญหาในการสร้างหนัง The Godfather เฉพาะช่วงที่มีคนเอา clip ย่อยมาปล่อย

ฉาก หัวหน้าแก๊งค์ JC ลักพาตัว ผอ. AR มาเจรจาให้ล้มเลิกการสร้างหนัง
https://youtu.be/J4S0i75l-YQ


หลังจากได้รับความจริงใจจาก ผอ. AR หัวหน้าแก๊งค์ JC ก็ตอบแทนด้วยความจริงใจของตนโดยการช่วยเหลือให้งานสร้างหนังดำเนินไปได้โดยไม่ขลุกขลัก ฉากนี้เป็น 1 ในหลายปัญหาที่ JC ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
https://youtu.be/33m-aBQ55Ps


ปัญหาเรื่องใหญ่ที่สุดแต่ JC ก็สามารถแก้ไขให้ได้เกิดขึ้นเมื่อในที่สุด ผอ. AR โดนไล่ออก และห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสร้างหนัง  ก็เลยวุ่นวายไปหมดเพราะ AR เป็นหัวเรือใหญ่  การแก้ปัญหาของ JC มันมาก  คือใช้นโยบายแบบนักเลง ๆ  เสียดายไม่มี clip ย่อย

เพราะหนังได้รับอนุมัติทุนสร้างเพียงจิ๊บจ้อย  จึงไม่สามารถไปจ้างนักแสดงดัง ๆ ได้  บทหัวเรือใหญ่ของตระกูล Corleone คือ Don Vito C. นั้น  นักแสดงในฝันของ MP คือ Marlon Brando  แต่ก็ทำใจว่าคงไม่มีปัญญาจ้างอีกทั้ง PS ก็รู้สึกไม่ดีกับนักแสดงผู้นี้เพราะหนังเรื่องหลัง ๆ ไม่มีเรื่องไหนทำเงินเลย  อย่างไรก็ตาม MP เสี่ยงส่งหนังสือฯ ไปให้ MB อ่าน  ผลปรากฏว่า MB แจ้งกลับมาหน้าตาเฉยว่าอยากรับเล่นบทนี้

Clip นี้เป็นตอนที่ทีมงานหลักคือ AR, FFC, MP ไปหา MB ที่บ้านตามคำเชิญ  หลังจากคุยถูกคอ MB ก็สวมบท DVC ที่เขาคิดว่าควรจะเป็นให้ทีมงานดู  ผลคือ อ้าปากค้างกันหมด (clip ลากไปไม่ถึง  น่าเสียดาย)
https://youtu.be/YQSkpv_ZZvo
(นักแสดง Justin Chambers สวมบท MB ได้น่าเชื่อถือมาก)


ในการถ่ายทำฉากของ DVC (ไม่รู้ฉากเปิดตัวป่าว)  ขณะเตรียมความพร้อมทีมงานก็เห็น MB กำลังเล่นกับแมวอยู่ที่ที่โต๊ะทำงาน  ผอ. AR สงสัยเพราะใน script ไม่มีแมว  ปรากฏว่าเป็นไปตามนั้น  แต่ขณะรอ MB เหลือบไปเห็นแมวจรจัดก็เลยอุ้มมาเล่น  ผกก. FFC เห็นเก๋ดีก็เลยคงไว้  แต่ความจริงไม่มีใครกล้าบอก MB ว่าให้โยนแมวทิ้งไปเพราะไม่อยู่ใน script  พอถ่ายเสร็จก็เกิดปัญหาเพราะเสียงแมวกรนดังสั่นหวั่นไหวกลบเสียงสนทนา  เลยต้องมีการตัดต่อเสียง

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/15/GWX7Sv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GWX7Sv)
ไม่มีใครย่อย clip นี้เลย  น่ารักจะตาย


สำหรับผม  ปัญหาเด่นที่สุดในการสร้างเรื่อง The Godfather นี้อยู่ที่การหาตัวนักแสดงที่จะมารับบทตัวละครเอก Michael Corleone  แรกเริ่มเลย ผกก. FFC หมายตาที่นักแสดงโนเนมจากเวทีละครนามว่า Al  Pacino ที่ตอนนั้นเพิ่งเล่นหนังมาเพียง 2-3 เรื่อง  พอผู้บริหารทุกระดับรู้ข่าวก็พร้อมใจกันคัดค้านด้วยเหตุผลหลักคือ  ตัวเตี้ยจะตาย  แถมยังมีท่าทางตื่น ๆ  แล้วจะมีบารมีเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อได้อย่างไร  ผกก. FFC ไม่ย่อท้อ  เขาเกลี้ยกล่อมเพื่อนซี้ ผอ. AR จนเป็นผลสำเร็จ

ฉากนัดเจอตัว AP
https://youtu.be/4zw53Oiz5t4


กว่าจะเกลี้ยกล่อมผู้บริหารต่าง ๆให้ยอมตกลงจ้าง AP  เล่นเอาหืดขึ้นคอ  พอเสียงออกมาเป็นเอกฉันท์  ปรากฏว่า AP ดันไปรับเล่นหนังเรื่องอื่นเสียแล้ว  ผอ. AR เลยต้องออกแรงอีกเฮือกไปเกลี้ยกล่อม ผอ. RE ผู้บริหาร PS ให้ใช้กำลังภายในไปกระชากตัว AP มาให้ได้
https://youtu.be/ipqwGACFo0w


ตอนเข้าฉากถ่ายทำฉากแรกเป็นช่วงเวลา Christmas  เบื้องหลังกองถ่ายมองเห็นปัญหาในการเลือกตัว AP อย่างเด่นชัด ‘He is barely seen above that pile of presents he is carrying’  ไม่มี clip ย่อย  ผมเลยหาของจริงมาให้ดูพอเป็นแนว
https://youtu.be/qr0YLqZAB7c


ในระหว่างการถ่ายทำก็มักหาตัว AP ไม่ค่อยเจอ  ไม่ใช่เพราะเกเร  แต่ความที่ตัวเตี้ยทำให้กลืนหายไปกับคนอื่น ๆ ที่ตัวสูงกว่า  (ฉากนี้ตลกดิ้น – FFC: Where the fuck is Pacino? I can’t find him’ / AR: He’s right over there)

อย่างไรก็ตาม  ตัวอย่างการถ่ายทำฉากนี้ไม่เป็นที่ประทับใจผู้บริหารทั้งหลาย  เสียงลือออกมาว่าจำต้องเปลี่ยนตัว (ในหนังฯ ใช้คำว่า fire)  ผกก. FFC ร้อนตัวที่สุดเลยร่วมมือกับ ผอ. AR ดึงฉากที่คิดว่าผู้บริหารระดับสูงได้ดูแล้วจะต้องอึ้งในฝีมือของ AP  ออกมาถ่ายทำก่อน  ฉากนี้โป๊ะเช้ะ  ทุกคนอึ้งไปตาม ๆ กัน
https://youtu.be/nwwrIylOFMY
ซ้ายสุดใส่แว่นที่นั่งไม่ติดคือ ผอ. ระดับสูงของ G&W บ. แม่ของ PS  


นี่คือฉากจริง ๆ ของหนัง
https://youtu.be/Sv0Hp_nAsCI


ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย  แต่เล่าได้ไม่มันถ้าไม่มี Clip เสริม  รวมถึงฉากเบื้องหลังที่ผมว่าเยี่ยมมาก  คืองานเลี้ยงอาหารเย็นก่อนวันถ่ายทำหนัง  ผอ. AR และ ผกก. FFC เชิญนักแสดงทุกคนที่รับบทเป็นสมาชิกและคนใกล้ชิดของครอบครัว Corleone มากินข้าวร่วมกัน  ร่วมพูดคุยให้ครื้นเครง (break the ice)

พอถึงเวลาเข้าประทำที่นั่งรอบโต๊ะอาหารปรากฏว่านักแสดงเหล่านั้นต่างพร้อมใจกันสวมบทเป็นสมาชิกของครอบครัวฯ ในเรื่อง และเลือกที่นั่งตามตำแหน่งในครอบครัวฯ  ทุกคนแสดงบุคลิกที่ตัวเองจะต้องแสดงในหนัง  มีการทะเลาะเบาะแว้ง  ขัดคอกันระหว่างกินข้าว  โดยเอาบทที่ตัวเองอ่านมาแสดง ฯลฯ  เป็นฉากที่ทำเอา AR และ FFC อ้าปากค้างไปเลย  ส่วนคนดูหนังชุด The Offer เช่น ผม ก็จะได้เห็นนักแสดงของหนังชุด The Offer  แสดงเป็นนักแสดงจริง ๆ (AP, MB, James Caan ฯลฯ) ที่กำลังสวมบทสมาชิกของครอบครัว Corleone  เล่นเอาขนลุก

เมื่อหนังเสร็จเรียบร้อย ผอ. AR แสดงความจริงใจอีกครั้งโดยแอบเอาม้วนหนังที่ยังไม่มีใครได้ชมไปปิดโรงฉายให้แก๊งค์มาเฟียดูโดยเฉพาะ  อันเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อภาพพจน์ของ ‘เบื้องบน’ มาก  

นี่คือฉากรอบ premiere
https://youtu.be/DbBV7HgF7Mg
RE ผอ. โรงถ่าย PS มากับ AM ที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเมียเพราะความบ้างานทำให้ AM หนีไปมีชู้กับ Steve McQueen ระหว่างการถ่ายทำหนัง The Getaway


สรุปแล้ว The Offer เป็นหนังชุดที่สนุกมาก  (แต่นักวิจารณ์ไม่ชอบ  'ชั่ง' มันปะไร  ฉันชอบซะอย่าง) บรรยากาศไม่เครียดเหมือนหนัง GF  มีความตลกออกมาเนือง ๆ  แต่ฉากยิงกัน (เช่น หัวหน้ามาเฟีย JC โดนยิงเพราะสมาชิกเห็นว่า 'อ่อน'  และหันไปโปรดวงการบันเทิง  จำต้องกำจัด) ก็ทำเอาช็อคเหมือนกัน


ตัวอย่างหนังชุด
https://youtu.be/1vqu_x-ITIw



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 พ.ย. 22, 11:51
Lilting เป็นหนังเล็ก ๆ จากเกาะอังกฤษออกฉายในวงแคบเมื่อปี 2014  หนังเข้าประกวดในงานเทศกาล Sundance อันเปรียบเสมือนงานประกวดหนัง Oscar สำหรับผู้สร้างอิสระและได้รับรางวัล "Cinematography Award: World Cinema Dramatic"

เนื้อเรื่องของหนังเล่าถึงครอบครัวชาวจีนในอังกฤษ  ประกอบด้วยแม่และลูกชายวัยรุ่น  โดยปกติวัยรุ่นเป็นวัยที่สงวนความเป็นส่วนตัว  แม่ลูกคู่นี้ก็เช่นกัน  ลูกแยกไปอยู่ต่างหาก  แต่จะกลับมาเยี่ยมแม่เป็นประจำ  แต่แล้ววันหนึ่งลูกก็หายหน้าไป  และไม่มาเยี่ยมแม่อีกเลย  นั่นเป็นเพราะว่าวันนั้นขณะเดินทางไปเยี่ยมแม่ตามปกติ  เกิดอุบัติเหตุเธอโดนรถชนตาย (ผมจำไม่ได้ว่าเธอรู้ข่าวตอนไหน...)

แม่หัวใจสลาย  วัน ๆ เธอพยายามรำลึกถึงความทรงจำระหว่างตัวเองกับลูก  วันหนึ่งก็มีชายหนุ่มมาตามหา  จากนั้นความเป็นส่วนตัวของลูกก็เผยออกมาว่า  ลูกมีแฟนเรียบร้อยแล้วโดยที่ไม่เคยแพร่งพรายให้เธอรู้เลย  แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงนั่นคือ  ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคู่ของลูกชาย
 
คน 2 คนสูญเสียคนที่ตัวเองรักที่สุดอันเป็นคน ๆ เดียวกันไป  ต่างจึงพยามยามทำความเข้าใจ  ปัญหาอยู่ที่แม่เป็นคนจีนโบราณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  และไม่สามารถทำใจให้เข้าใจในวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกได้ ตัวละครที่ตายในเรื่องปรากฏอยู่ในหนังอยู่เนืองๆ  แต่อยู่ในภาคความทรงจำทั้งของแม่และแฟนตัวเอง
https://youtu.be/ZXNHeSfKQxk


การพบกันระหว่างแม่กับแฟนลูกต้องอาศัยล่าม
https://youtu.be/XLsnUa8frN4

https://youtu.be/gs1evPH0RHA
(1.16 –- แม่: ‘He was my only child’ / แฟนลูก: ‘He was my life. He was my half. Don’t translate that. She doesn’t know that we were together’)


ฉากทรงพลังอยู่ท้ายเรื่องซึ่งไม่ใครย่อย clip มาปล่อยเลย  น่าเสียดาย

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/apQY96cH5SM
(1.26 เป็นฉากท้าย ๆ เรื่องที่แม่พยามยามลดทิฐิมานะลงเพื่อพยายามเข้าใจลูกชาย  เธอตัดสินใจเดินทางมาพบแฟนลูกชายที่บ้านเพื่อดูว่า 2 คนนี้ใช้ชีวิตกันอย่างไร  แม่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแต่เมื่อเห็นสีหน้าบอกความทุกข์ของแฟนลูกเธอก็ใจอ่อนลง  ‘…I know you miss him' แฟนลูกชายบอก 'I don’t know what to do. I miss him tremendously…’


เป็นหนังดราม่าหนัก ๆ ที่น่าติดตาม  หลังจากดูจบก็รู้ว่านอกจากนักแสดงนำชาย Ben Whishaw แล้ว  บทแม่ก็เด่นมาก ๆ  อ่านจาก credit ท้ายเรื่องเขียนว่าเธอชื่อ Chen Pei-Pei   ชื่อช่างคุ้นหู  แล้วผมก็ย้อนกลับดูฉากของเธอในหนังแล้วความทรงจำก็ผุดขึ้นมาว่า  เธอคือ ‘เจิ้ง เพ่ย เพ่ย’ ดาราดังของค่าย Shaw Brothers นั่นเอง

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/17/GSF8gZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GSF8gZ)


ในสมัยเด็ก ๆ ผมเคยดูหนังของเธอในโรงฯ  ป้าสะใภ้ผู้ฝักใฝ่ในหนังไทย/จีนเป็นคนพาไป  ผมจำได้ว่าหนังของเธอที่เคยดูเป็นหนังฟันดาบแต่จำอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่ได้เลย  จำได้ว่าในยุคนั้นมีดาราจีนฝ่ายหญิงที่ดังมาก ๆ ก็ หลินปอ หลีชิง แล้วก็ เจิ้ง เพ่ย เพ่ย นี่แหละ

ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นเธออีก

https://youtu.be/eQ5fzSYL52g



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ย. 22, 13:11
จำเจิ้งเพ่ยเพ่ยได้จากหนังกำลังภายในยุคแรกๆของชอว์บราเธอร์   ตอนนั้นยังไม่มี TVB และ ATV ทางโทรทัศน์   เรื่องที่ดังมากคือ หงษ์ทองคะนองศึก  มีภาค 1  แล้วก็ทำภาค 2 ต่อมา

เธอเป็นดาราดังของชอว์   หลังจากเล่นหนังไปหลายเรื่องก็แต่งงาน ได้ข่าวว่าย้ายไปอยู่อเมริกากับครอบครัว  ผ่านไปหลายสิบปี ลูกเต้าคงโตๆไปหมดแล้ว  ก็ย้อนกลับมาเล่นหนังฮ่องกงอีกในบทป้าบทยาย

https://www.youtube.com/watch?v=1c6xaK_eFpo


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 พ.ย. 22, 12:44
ผมรู้จักเพลง Theme from a summer place ที่บรรเลงโดย Percy Faith มาตั้งแต่จำความได้  มันเป็นหนึ่งในเพลงที่ผมชอบตลอดกาล  เพลงอะไรก็ไม่รู้เพร้าะเพราะ  ไม่ต้องพึ่งเสียงร้องเลย
https://youtu.be/zV0SuwqOTY4


พอโตขึ้นมาหน่อยก็รู้เพิ่มเติมว่ามันเป็นเพลงจากในหนัง (มาจากความหมายของคำว่า Theme)  ชื่อ A summer place   พอโตขึ้นมาจากนั้นอีกก็รู้ว่าในหนังนั้น  เพลงนี้ไม่ได้บรรเลงโดย Percy Faith แต่เป็น Max Steiner ผู้เคยทำเพลงให้กับหนัง Gone with the wind ที่ลือลั่น

มาถึงตอนนี้ก็อยากรู้แล้วว่าฉบับของ MS กับ PF ต่างกันอย่างไร  แล้วก็อยากรู้มาแสนนานเพราะไม่รู้จะไปหาฟังจากที่ไหนเพื่อจะเอามาเปรียบเทียบกัน

พอ youtube ถือกำเนิดและปีกกล้าขาแข็งแล้ว  ผมก็เริ่มค้นคว้า  ก็พบว่าคนที่เอา clip มาลงล้วนแต่ใช้ฉบับของ PF กันทั้งนั้น  มิวายที่ผมจะใส่ keyword ว่า Max Steiner  ก็ได้ฉบับของ PF ออกมาเป็นประจำ  เลยยิ่งอยากรู้ความแตกต่างเข้าไปใหญ่  ครั้นจะลงทุนสั่งซื้อ soundtrack cd เอามาเพียงแค่เปรียบเทียบ ก็เว่อร์ไป  จากประสบการณ์ปล่อยให้สงสัยไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็สมใจเอง  แล้วก็จริง  ช่อง TCM เอาหนังมาให้ดูถึงเตียงนอน

หนัง A summer place (1959) เป็นหนังโรแมนติกแบบดราม่า  จากเพลงที่ฟังมาตั้งแต่เล็กนึกว่าจะเป็นหนังโรแมนติกแบบหวานแหววเสียอีก

เรื่องเล่าเกี่ยวกับครอบครัวประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายวัยหนุ่มซึ่งในอดีตเป็นครอบครัวมีอันจะกินเพราะมีบ้านใหญ่โตหรูหราอยู่ริมทะเลสวยงาม  แต่แล้วชะตาพลิกผันฐานะเปลี่ยนเป็นยากไร้  จนถึงขนาดต้องลงทุนดัดแปลงบ้านของตัวเองมาเปิดให้คนเช่าเป็นสถานที่พักร้อน

แล้วก็มีครอบครัวหนึ่งที่มีฐานะดีมาเช่าสถานที่แห่งนี้  ครอบครัวนี้ประกอบด้วยผัวเมียและลูกสาววัยรุ่น  แต่ละคนมีอายุอานามไล่เลี่ยกับสมาชิกครอบครัวเจ้าของบ้าน

เรื่องราวปรากฏในเวลาต่อมาว่า  ผัวของครอบครัวที่มาเช่าห้องกับเมียเจ้าของบ้านเคยเป็นกิ๊กกันมาก่อน แต่แล้วดวงไม่สมพงษ์กัน  เลยต้องเลิกราไป  ต่างก็ไปมีครอบครัวตามที่เห็นในเรื่อง  ที่แถมมาคือต่างก็ไม่มีความสุขกับคู่ของตน การมาเที่ยวครั้งนี้จึงมีเลศนัยแอบ

แล้วก็เป็นไปตามแนวของนิยายน้ำเน่า  อดีตคู่เคยกิ๊กก็กลับมากิ๊กกันแบบลับ ๆ เนื่องจากต่างก็มีพันธะกันแล้ว  
https://youtu.be/CtQqe1JQQgk


ในขณะที่ผู้ใหญ่สนุกสนานกับการผิดศีลข้อ 3  ลูกชายและลูกสาวของแต่ละคู่ก็มาคั่วกันบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้า  Troy Donahue กับ Sandra Dee ดังสุดขีดจากหนังเรื่องนี้และกลายเป็นคู่ตุนาหงันคู่หนึ่งของ Hollywood
https://youtu.be/hc-46hRqgD0
(ถ้าเงี่ยหู  จะได้ยินเสียงเพลงฯ แว่ว ๆ)


ส่วนเรื่องดราม่าเกิดขึ้นตรงที่พ่อและแม่ของทั้ง 2 ฝ่าย (ฝั่งที่ไม่ใช่กิ๊กกัน) ต่างไม่เห็นด้วย  ก็ขัดขวางกันด้วยวิธีนานา
https://youtu.be/xtHklkNZcy4


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/YZSBGf6abPA


หนังก็สนุกดี  แต่ผมอยากฟังเพลงมากกว่า  ระหว่างดูก็คอยสังเกตว่าเค้าจะแทรกเพลงที่ว่าตรงช่วงไหน  ก็มีบ้างประปรายทำนองก็คล้าย ๆ กันทั้ง 2 ฉบับ  เพียงแต่ฉบับของ PF ปรับปรุงให้เหมาะสมกับเปิดทางสถานีวิทยุมากกว่า (ผมว่า)
https://youtu.be/R89S4Y0kZc4
(นาทีที่ 0.50 เป็นต้นไป)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 พ.ย. 22, 14:36
ผมเกิดมาในฉบับ ‘ภาษาไทย’  สมัยเด็ก ๆ  อตน. ยังไม่เกิด  ผมจะคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษได้แค่ตอนอยู่ในห้องเรียน  ซึ่งเป็นการคุ้นเคยทางด้านทฤษฎี  ในด้านปฏิบัตินั้น  ผมว่า แม้แต่ครูเองก็ยังไม่คุ้นเคย 
 
ผมว่าความชอบภาษาอังกฤษของผมมาจากการได้ฟังและชอบเพลงฝรั่ง  ผมฟังเพลงฝรั่งมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก  ฟังมาพร้อมกับเพลงไทยก็ว่าได้  ผมเป็นคนเล็กของที่บ้าน  เอาเฉพาะเรื่องการฟังเพลง  บรรดา ‘ผู้ปกครอง’ จะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย  คือฝ่ายเพลงไทย และฝ่ายเพลงฝรั่ง  ฝ่ายเพลงไทยยังแบ่งย่อยออกไปอีกเป็นเพลงลูกกรุงและเพลงลูกทุ่งซึ่งรวมถึงเพลงหมอลำ (นี่มาจากบรรดาคนใช้ในบ้าน)  ฐานความรู้เรื่องเพลงของผมถึงกว้างขวาง  แต่ทั้งหมดนี่ผมชอบเพลงฝรั่งมากที่สุด  เพราะทำนองหลากหลายมาก

การฟังเพลงของผมไม่เหมือนคนทั่วไป คนอื่น ๆ จะฟังเพลงไปทำงานไปหรือดูหนังสือเรียนไป  ผมก็เคยลองทำ  ปรากฏว่าทำไม่ได้  เพราะเมื่อถึงเพลง (ฝรั่ง) ที่ผมชอบหรือเพลงใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยินแล้วทำนองติดหู  ผมเป็นต้องหมดสมาธิในเรื่องที่กำลังทำอยู่  แล้วพุ่งปราดไปเอาหูแนบลำโพงวิทยุทันที
 
การฟังเพลงของผมจึงเป็นการ ‘ฟังเพลง’ จริง ๆ เป็นกิจจะลักษณะไปเลย

ลักษณะการฟังแบบนี้นอกจากจะทำให้ผมรู้จักเพลงมากมายเกินคณานับแล้วยังทำให้ผมคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากกว่าคนอื่น ๆ  ยิ่งตอนหลังผมเริ่มเล่นแผ่นเสียง  ผมจะเปิดแผ่น ฯ แล้วลงนั่งฟังเพลงอย่างจริงจัง  ผมเคยได้ยินแม่แอบนินทากับพ่อตอนเห็นผมนั่งจ้องเครื่องเล่นแผ่นเสียงตาเขม็งว่า  ‘ดูมันฟังเพลงซี่  เหมือนกับกำลังจะหาเรื่องชกกับชาวบ้าน’

แผ่นเสียงซึ่งส่วนมากเกือบทุกแผ่นจะมีเนื้อร้องแนบมาให้  ยิ่งเป็นของศิลปินที่แต่งเพลงเอง เช่น Carly Simon ฯลฯ  ทุกแผ่นของเธอจะมีเนื้อร้องแถมมาเสมอ 
 
เมื่อถึงเพลงเพราะถูกใจ  การนั่งฟังเฉย ๆ ทำไม่ได้แล้ว  มันต้องหอนคลอไปด้วย  ทำเช่นนี้ (โดยไม่รู้ตัว) ทำให้ผมนอกจากคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอันรวมถึง สำนวน หรือ slang ฯลฯ แล้ว  การอ่านออกเสียงของผมยังดีกว่ามาตรฐานของคนไทยทั่วไป (แต่ไม่ใช่ accent เพราะ accent ได้มาจากการพูดคุย  ไม่ใช่จากการร้องเพลง)

ถ้ามีคน (มักเป็นฝรั่ง) ถามว่าผมเรียนพูดภาษาอังกฤษมาจากใครหรือที่ไหน  ผมจะบอกอย่างชัดเจนว่า  ครูผมคือ Carly Simon (กับ Helen Reddy) 

อย่างไรก็ตาม  ผมไม่ได้ฝักใฝ่ในวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมรากเหง้าของตัวเอง  ผมกล้าพูดอย่างเต็มปากได้ว่าผมอ่านออกเสียงภาษาไทยได้ชัดเจนกว่าคนไทยทั่วไป  ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ  ผมไม่เคยพลาด  ผมจำได้ถึงวิชาอ่านไทยในสมัยเด็ก ๆ ได้ไม่ลืม  เราต้องพูด ‘รอเรือรุ่งริ่ง’ ทุกครั้งก่อนเริ่มเรียน  ไม่ใช่พูดแบบเว้นช่วง ‘รอ – เรือ – รุ่ง – ริ่ง’  แต่ต้องพูดติดกันไปเลยไม่มีผิดจึงจะใช้ได้

ฐานภาษาอังกฤษของผมที่แน่นจากการฟังเพลงมาช่วยในการดูหนังฝรั่งด้วย  แต่มันช่วยได้แค่นิดเดียว 

สมัยที่สื่อทางด้านบันเทิงเกี่ยวกับหนังยังไม่ก้าวหน้า คือยังไม่มี วิดีโอ หรือ ดีวีดี หรือ file หนัง ฯลฯ  สิ่งเดียวที่จะหาหนัง (ฝรั่ง) ดูได้คือเข้าไปดูในโรงฯ  เวลาดูหนังในโรง  เราอาศัยอ่านคำแปลภาษาไทยด้านล่างของจอช่วยสร้างความเข้าใจ  ถ้าไม่มีคำแปลเป็นบื้อ  ต่อให้เราเก่งภาษาอังกฤษแค่ไหนก็ต้องบื้อ เนื่องจากมันไม่ใช่ภาษาของเรา เราไม่มีทางรู้จักภาษาอังกฤษที่ตัวละครพูดทุกคำ

ดูหนังฝรั่งในโรงหนังไม่เหมือนพูดคุยกับฝรั่งตัวเป็น ๆ  การพูดคุยถ้าถึงจุดที่ไม่เข้าใจ  เราสามารถบอก ‘เดี๋ยว ๆ เมื่อกี้แกว่า ‘ไรนะ’ แล้วการ ‘ฉายฉากซ้ำ’ ก็สามารถเกิดขึ้นให้เราเข้าใจได้

แต่ในโรงหนัง  เมื่อถึงฉากที่เรางงกับคำพูด  สมองเราจะหยุดคิดโดยอัตโนมัติเพื่อทบทวนว่าเมื่อกี้มันพูดอะไรหว่า  ในขณะที่สมองเราหยุดคิด  เนื้อเรื่องของหนังไม่ได้หยุดตามไปด้วย  มันยังคงดำเนินเรื่องต่อไป  ซึ่งตอนเราหยุดคิดนั้น  ความลับของเรื่องราวที่เราตั้งตาคอยอาจจะเผยออกไปแล้วโดยไม่รู้ตัว  ผลก็คือดูหนังไม่เข้าใจ

ผมมั่นใจว่าคนไทยที่ไปอยู่เมืองนอก (ไม่ใช่เกิดหรือโตที่เมืองนอก) หาใครเข้าโรงดูหนังได้ยาก  ด้วยเหตุผลอย่างที่บอก

ภายหลังผมมีเพื่อนฝรั่งก็ได้รู้ความลับที่นึกไปไม่ถึงว่า  ไม่ใช่ฝรั่ง (ฉบับภาษาอังกฤษ) ทุกคนที่คุ้นเคยกับการดูหนังในโรงฯ  บางคนก็ไม่ชอบเข้าโรงฯ เพราะพวกเขา ‘ฟังไม่ทัน’  ในขณะที่ของเรา ‘ฟังไม่ออก’

โหมโรงเสียนานจนเกือบลืมว่าจะเล่าอะไร


หนัง Twister (1996) เข้าโรงฯ  หลังจากผมร่อนออกไปเที่ยวอังกฤษแล้ว 1 วัน  จากการตามข่าวใน นส. SP ก่อนหน้านี้  มันเป็นหนังมหันตภัยที่สร้างในยุคใหม่ที่มีเทคนิคเยี่ยมยอดมาก  ผมละอยากดูเนื้อเต้นและภาวนาให้มันเข้ามาฉายหลังจากผมกลับจากไปเที่ยวแล้ว  ซึ่งปรากฏว่าการภาวนาของผมไม่เป็นผล

จากประสบการณ์  หนังฝรั่งที่มาฉายในเมืองไทยจะเริ่มในวันเสาร์  ถ้าหนังธรรมดา ๆ จะอยู่ในโรงฯ ประมาณ 1 อาทิตย์  เสาร์ต่อไปก็จะเป็นเรื่องใหม่ 

ผมไม่รู้ว่าหนัง Twister จะอยู่ในข่ายหนังธรรมดารึเปล่า  ถึงจะไม่ใช่  การที่มันฉายในโรงนาน 2 อาทิตย์  ก็ไม่ได้ประวิงเวลาคอยให้ผมกลับมาดูอยู่ดีเพราะผมไปเที่ยวนานกว่านั้นคือเกินครึ่งเดือน  แล้วแต่จะเจ้าเล่ห์จับแพะชนแกะรวบรวมวันหยุดงาน (ในแบบต่าง ๆ) ได้นานแค่ไหนโดยที่ไม่โดนนายด่า  ไปทั้งทีไปทำไมอาทิตย์เดียว  แค่บินไปบวกบินกลับก็ใช้ไปแล้ว 3 วัน  เหลือวันเที่ยวแค่ 4 วัน  อุตส่าห์ดั้นด้นนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ในเครื่องบินนานตั้ง 10 กว่าชั่วโมง

ฉะนั้นโอกาสที่ผมจะอดดู Twister มีมากเกือบ 100%  ถ้าอดดูในครั้งนี้  เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูอีกก็ไม่รู้  ไม่มีใครรู้อนาคตนี่

ดังนั้นระหว่างที่รอนแรมอยู่ที่อังกฤษผมก็กลั้นใจซื้อตั๋วเข้าโรงฯ ไปดูหนังเรื่องนี้เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้

ตอนไปถึงที่นั่นหนังยังไม่มาฉาย  มันมาเข้าตอนอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่นครหลวง London  โรงหนังที่นั่นมีขนาดเล็ก  ไม่มีระบบเสริมหรูหราแบบที่โรงเครือเมเจอร์หรือแมคเคนน่าในบ้านเรา  มันเป็นการดูหนังแบบกันไว้ดีกว่าแก้จริง ๆ  คือนอกจากจะฟังไม่ทันเพราะไม่มีบรรยายภาษาใด ๆ ช่วยอันส่งผลให้ไม่มีทางดูหนังเข้าใจแล้ว  ลำโพงในโรงฯ มีประสิทธิภาพพอ ๆ กับลำโพงทีวี  ลมสลาตัน Twister ดังเหมือนเสียงตด  ลุ้นความเร้าใจไม่ขึ้นเอาเลย  แต่ก็ยังดีกว่าอดดู

ปรากฏในเวลาต่อมาว่า  หลังจากผมกลับมาบ้านแล้ว  หนังยังคงฉายอยู่  แสดงว่ามันไม่ใช่หนังธรรมดาเอาเลย  อยู่ในโรงฯ ตั้งกว่า 20 วัน  ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาบ้านอันเป็นวันไปทำงาน  ผมก็ไปเสนอหน้าให้เจ้านายรับทราบว่า หนูกลับมา (กวนตีนนายเหมือนเดิม) แล้วนะจ๊ะ  แค่ครึ่งวันเช้าแล้วลาครึ่งวันบ่ายเพื่อมุ่งหน้าไปดูหนังอีกรอบ  คราวนี้สะใจกับระบบเสียงของโรงฯ บ้านเรามาก  กระหึ่มปึงปังป่าช้าแตก

เนื้อเรื่องของหนังไม่มีอะไรซับซ้อน  หนังหายนะจะมี plot อะไรมากมาย  กลุ่มนักล่าพายุพยายามที่จะติดตั้งอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อใช้ศึกษาธรรมชาติของพายุ Tornado 
 
ในปี 1996 เทคนิคทำฉากพายุเด็ดสะระตี่ทั้ง

เบื้องหลังว่าทำไมเธอ (Helen Hunt นักแสดงนำหญิง) ถึงหันมายึดอาชีพล่าพายุ
https://youtu.be/v4e9_5mbA_A


พอเข้าเรื่องก็ฉากนี้เลย
https://youtu.be/lzYXUVmt9So


ผมว่าฉากนี้ตื่นเต้นที่สุด
https://youtu.be/N-49iTWgm48


ใส่ ‘ดราม่า’ ไปหน่อยให้สมกับความเป็นหนัง
https://youtu.be/c6P6eUaV1q0

https://youtu.be/xiQgsUktP0A

https://youtu.be/ezaoo220mvI

https://youtu.be/TuQHsL2KMHA

https://youtu.be/nGLdfsWoEPM

https://youtu.be/BllLQCpbQIM


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/OgG2jfBfLzI


หมายเหตุ – เทคนิคพิเศษทั้งภาพและเสียงได้เข้าชิง Oscar



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 พ.ย. 22, 12:44
เป็นธรรมชาติในวัยแก่ ๆ  ที่จะไม่ชอบดูหนังการ์ตูน  มันพ้นวัยกิ๊บกั๊บไปแล้ว  แต่วันนั้นของปี 2009 ไม่มีอะไรดู  I/UBC ก็เลยเอาหนัง Up มาให้ลองดูฆ่าเวลา

ปรากฏว่าสนุกเกินคาด  นอกจากเนื้อเรื่องจะน่าติดตามแล้ว  ฉากต่าง ๆ มีสีสันสวยงาม  แล้วก็มีฉากตลก ๆ ยิงใส่ผมตลอดเรื่องจนตัวพรุนไปหมด  ภายหลังผมมี web ให้ download หนัง  ผมก็ดูดมาดูอีกครั้งพร้อมกับก็อปปี้ฉากเหล่านั้นเก็บไว้ดูยามว่าง

หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง Carl พ่อหม้ายสูงอายุที่ขี้หงุดหงิดตามประสาคนแก่ (แต่ผมเป็นคนแก่แสนจะน่ารักที่ไม่ขี้หงุดหงิดนะ เพียงแต่ปากจัด)  กับเด็กน้อยนักสำรวจธรรมชาติชื่อ Russell  ทั้ง 2 เจอกันในเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง  แล้วจำเป็นต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันยังจุดมุ่งหมายคือที่ดินแดนแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้  การเดินทางเป็นจุดประสงค์ของคุณตาที่จะเติมเต็มสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเมียรักที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้  ระหว่างการเดินทางทั้งคู่ก็ต้องพบปะกับเหตุการณ์ต่างๆ

เรื่องของหนังเริ่มด้วยการย้อนเวลากลับไปก่อนหน้า  ในช่วงเวลาที่ C ยังหนุ่มแน่น  เธอมีอาชีพทำบอลลูน  ต่อมาเธอแต่งงานกับ Ellie ซึ่งเป็นไกด์ในสวนสัตว์  สองผัวเมียมีความฝันอยากย้ายบ้านไปอยู่ในดินแดนหนึ่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้  แต่กว่าความฝันจะเป็นจริง  E ก็ตายเสียก่อน  C เลยตั้งปณิธานไว้ว่าจะทำความฝันนี้ให้เป็นจริง
https://youtu.be/F2bk_9T482g

https://youtu.be/A_iURv6S0MU
(บันทึกไว้นานมากจนลืมไปแล้วว่า clip นี้นำเสนออะไร เลยไม่สามารถหาใหม่ได้)


ตอนนี้เหลือ C คนเดียว  อีกทั้งในละแวกก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ คุณตาเลยตัดสินใจออกเดินทาง  แต่แล้วคุณตาก็ต้องได้เพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยโดยไม่คาดฝัน  คือเด็กอ้วนนักสำรวจธรรมชาติที่กำลังตามเก็บสะสมเหรียญ ‘จิตอาสา’ ที่เพิ่งถูกคุณตาไล่ตะเพิดไป
https://youtu.be/XubM62q9nlw

https://youtu.be/xVgxeuK7i90


การเดินทางมาสิ้นสุดใกล้ที่หมาย  จากนั้น 2 ตาหลานก็ต้องออกเดินทางด้วยเท้าโดยมีบ้านลอยได้พ่วงไปด้วย
https://youtu.be/3vrMFcleDp4


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 พ.ย. 22, 12:02
UP ต่อ...

ระหว่างนี้ Russell ก็พบเพื่อนเป็นนกพันธุ์ snipe ที่เธอตั้งชื่อว่า Kevin
https://youtu.be/60rvj9BuYrA


แล้วก็เจอ Dug หมาติงต๊องที่สามารถพูดได้เพราะมีเครื่องแปลงภาษาหมาเป็นภาษาคนติดอยู่ที่ปลอกคอ
https://youtu.be/Fi2i7iuA1n4


หลังจากนี้คุณตาก็ปวดเศียรเวียนเกล้ากับ 3 เกลอหัวแข็งนี้
https://youtu.be/zmt7D9BH3sE


Dug ไม่ใช่หมาตัวเดียวที่มีปลอกคอเครื่องแปลงภาษา  ความจริงยังมีหมาอื่นอีกเป็นฝูงที่ล้วนมีเครื่องแปลงภาษาแบบนี้ พวกมันเป็นลูกน้องของนักสำรวจเจ้าเล่ห์ที่พยายามเสาะหานกหายาก (ซึ่งก็คือ Kevin) เพื่อเอาไปขาย  และ Dug ก็เป็นหนึ่งในพวกหมาที่กำลังออกตามล่านกตัวนี้  จ่าฝูงเป็นหมาดุที่สุดแต่เผอิ้ญเผอิญเครื่องแปลงภาษาของมันชอบเสีย  (ก็เลยโคตรจี้)
https://youtu.be/s6OlCKwm2Tg


Dug เป็นหมาแหยแต่จิตใจดี  พรรคพวกหมาที่ล้วนสันดานเฮงซวยก็เลยเกลียดขี้หน้ามัน  ทำให้มันรู้สึกเป็นแกะดำ  เพื่อนใหม่ที่มันพบให้ความรู้สึกอบอุ่นกับมัน  ในที่สุดทีมหรรษาก็โดนจับตัวโดยนักสำรวจจอมละโมบ Charles Munz
https://youtu.be/oVFOoIax19w

https://youtu.be/X2_ERkr1JfY

https://youtu.be/KZ96Q2z7q_k


แล้ว Kevin ก็โดนจับตัวในที่สุด
https://youtu.be/WZDoEXwzODA


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 พ.ย. 22, 12:16
Up กันต่อ...

สมาชิกที่เหลือจึงต้องช่วยเหลือ อันนำมาซึ่งความตื่นเต้นและสนุกสนาน
https://youtu.be/Uu1Hse5Ousw

https://youtu.be/-okf80X0Nc0
(2.00 – cone of shame ไม่ใช่ coat of shame)


แต่ก็ต้องเสียบ้านที่เต็มไปด้วยความหลังไป
https://youtu.be/O31QkvyB1FA


อย่างไรเสีย คุณตาก็ได้ครอบครัวใหม่มาแทน  และ Kevin ซึ่งที่จริงเป็นนกตัวเมียก็มีลูกน่ารัก ๆ
https://youtu.be/SzH-gn4d5wY


แม้แต่ ending credit ก็น่ารักมาก
https://youtu.be/X9AYVluTUPk


เท่าที่สังเกตมาแต่อ้อนแต่ออก  หนังการ์ตูนทุกเรื่อง (โดยเฉพาะจากค่าย Walt Disney) จะมีตัวละครประกอบที่มีบุคลิกเด่น ๆ ทั้งนั้น  นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมจะจับตาดูทุกครั้งที่ดูหนังการ์ตูน  ในเรื่องนี้ตัวขโมยซีนคือ เจ้า Dug หมาติงต๊อง  ผลจากที่หนังออกฉาย  Dug ดังมาก  ผู้สร้างจึงต้องทำตอนพิเศษเป็นการอธิบายว่าไปอย่างไรมาอย่างไร  มันถึงมาเจอคุณตากับพรรคพวก
https://youtu.be/CKEEaFg6DS8


เป็นหนังการ์ตูนที่น่ารักที่สุดที่เคยดูมา  สีสันสดใสกลิ่นหอมชื่นใจ  ผมสรรเสริญคนสร้างคนออกความคิดให้กับตัวละคร  พวกเขาต้องมีจินตนาการที่ล้ำลึกมาก  มีฉากหนึ่งที่ผมติดใจในมุขคือ ฉากกบมาร้องโอ๊บ ๆ ข้าง ๆ คุณตาในตอนเช้า  ทำให้คุณตาตื่นนอนแล้วเผลอคิดไปว่าเป็นเสียงนาฬิกาปลุก  ก็เลยกดปิด  ไอเดียแบบนี้คิดได้ไงอ้ะ
https://youtu.be/znSDYmu0Wq8
(ผมทึ่งมากที่มีคนทำ clips ย่อย ๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มากมาย  นึกถึงฉากไหนเป็นหาได้หมด  ขณะที่บางเรื่องหาไม่มีเลย)

หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หลายรางวัลรวมถึงหนังยอดเยี่ยม  ทั้งยอดเยี่ยมแบบปกติ และยอดเยี่ยมประเภทหนังการ์ตูน  ซึ่งชนะในประเภทหลัง

ใครยังไม่เคยดู  ต้องหามาดูเสียแล้ว



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 พ.ย. 22, 12:35
ตอนหนัง Flashdance มาฉายในเมืองไทยในปี 1983  คนแห่ไปดูกันล้นหลามด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ ไปดู Jennifer Beals ในมาดเท่  หนังดังถล่มทลายรวมไปถึงเพลงเอกของเรื่องคือ Flashdance... What a feeling  วิทยุบ้านเรากระหน่ำเปิดจนหูแทบหนวก  ส่วนผมต้องวิ่งแจ้นไปซื้อแผ่นเสียงมาเปิดฟังให้บ่อยจนหนำใจ  

ในบ้านเขาความดังไม่ได้มีแค่ 2 หัวข้อนี้  แต่ยังมีหัวข้อที่ 3  ซึ่งก็คือนักร้องผู้ร้องเพลงนี้  เธอชื่อ Irene Cara สาวผิวสีลูกผสมระหว่าง Puerto Rico กับ Cuba  ปีนั้นเป็นปีทองของเธอเพราะเพลงนี้ได้รับเลือกเข้าไปร่วมแข่งขันชิง Oscar สาขาเพลงประกอบหนังยอดเยี่ยม  และคว้ารางวัลมาได้  ในฐานะที่ IC เป็นหนึ่งในผู้ร่วมแต่งเนื้อร้องเธอจึงได้ Oscar 1 ตัว อันเป็นรางวัลสูงสุดของวงการบันเทิงเอากลับไปลูบคลำที่บ้าน (ก่อนหน้านี้เธอก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำและ Grammy จากเพลงนี้มาแล้ว  เข้าทำนอง ยิงปืนนัดเดียวได้นกบานตะไท)

แต่ที่บ้านเราชื่อ IC นี้หานักฟังเพลงฝรั่งรู้จักน้อยมาก  เพราะพวกเราสนใจตัวเพลงมากกว่านักร้อง  ความจริงความดังของเธอเริ่มมาก่อนหน้านี้แล้ว  คือในปี 1980  มีหนังเพลงออกฉายชื่อ Fame เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของนักเรียนศิลปะในโรงเรียนแห่งหนึ่งในย่านชนชั้นแรงงาน  IC มีบทเล่นนิดหน่อยในหนังเรื่องนี้คืออยู่ในกลุ่มนักเต้น  ระหว่างการถ่ายทำปรากฏว่ามีคนค้นพบว่าเธอมีเสียงร้องที่เพราะมาก  ผู้สร้างก็เลยแก้ไขบทของเธอใหม่ให้เธอมีบทพูดรวมทั้งร้องเพลงประกอบหนังด้วย

เพลง Fame นี้ดังไม่น้อยที่บ้านเขา  ที่บ้านเรามีสถานีวิทยุเอามาเปิดบ้างประปราย  ช่วงนั้นยังอยู่ในฤดู disco  เพลงนี้จึงได้ยินบ่อยกว่าใน ‘เทค และบาร์ดิสโก้  แต่ตัวหนังนั้นผมจำไม่ได้ว่ามาเข้าโรงฯ รึเปล่า  ผมได้ดูทาง I/UBC ในเวลานานต่อมา
https://youtu.be/dF4P4Gcwcps
(แหม... ขาขยับทันที)


ในเรื่อง Fame นี้ IC ได้ร้องอยู่หลายเพลง  เพลงเด่นอีกเพลงเป็นเพลงช้า  เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผม  เธอโชว์พลังเสียงเต็มที่  เครื่องดนตรีบอกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาพวกข้ามาเล่นเล้ย
https://youtu.be/i4mkRwkQRoQ


ทั้ง 2 เพลงในหนังเรื่องนี้ได้เข้าชิง Oscar ในปีนั้น  และได้ทำสถิติที่เป็นครั้งแรกที่มีเพลงได้เข้าชิง Oscar 2 เพลงมาจากเสียงนักร้องคนเดียวกัน  สถิติส่วนตัวของ IC คือได้มีโอกาสขึ้นเวที (Oscar) เพื่อร้องเพลง (สำหรับการเข้าประกวด) ถึง 2 ครั้งในคืนนั้น

ตัวอย่างหนัง Fame
https://youtu.be/fZpBoyh9mds


หมายเหตุ – ในหนังเรื่องนี้มีอีกเพลงที่ผมว่าเพราะมาก ๆ
https://youtu.be/vqDIlbn_M-k


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/28/GUZUek.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GUZUek)
(ภาพรวบรวมจากคลังภาพของ 'อากู๋'  ของผมขายไปแล้วพร้อม ๆ กับแผ่น soundtrack หนัง Flashdance)


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/28/GUZsPW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GUZsPW)


แล้วก็เกิดควันหลง...







กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 พ.ย. 22, 12:36
ควันหลงจากหนังเรื่อง Fame…

คราวที่แล้วเล่าว่าเพลงจากหนังเรื่องนี้ได้เข้าไปชิง Oscar เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมถึง 2 เพลง   ลืมบอกไปว่า  ผลออกมา  หนึ่งในนั้นสามารถคว้ามาได้ด้วยคือเพลง Fame  แต่รางวัลไม่ได้ไปถึงมือของ Irene Cara  เหมือนเพลง Flashdance ฯ  ด้วยเหตุผลว่าเธอไม่ได้ร่วมในการแต่งเนื้อร้องหรือทำนองเพลง  แค่ร้องให้เฉย ๆ

ส่วนอีกเพลงคือ Out here on my own  ซึ่งพลาดรางวัลไปนั้น  แต่งเนื้อร้องและทำนองโดยคู่พี่น้อง Michael และ Lesley Gore

ควันหลงที่อยากเล่าอยู่ตรงนี้

LG เป็นนักร้องในยุคกลาง 60s  ในวัยเพียง 16 ขวบ เธอประเดิมอาชีพนักร้องด้วยเพลงดังสนั่นอเมริกาในปี 1963 ชื่อเพลง It’s my party
(เธอเกิดปี 1946  อ่อนกว่า Helen Reddy, Carly Simon  และเท่ากับ Linda Ronstadt  แต่ความที่เธอดังเร็วกว่า  เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 60s  ขณะที่ HR (เกิด 1941)  CS (เกิด 1943)  เกิดก่อนแต่ดังช้ากว่าจึงกลายเป็นนักร้องในยุค 70s  ซึ่ง 2 ยุคนี้มีแนวเพลงต่างกัน  ส่วน LR เกิดปีเดียวกันแต่ดังทีหลังก็เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 70s เช่นกัน)

ความดังของเพลง It's ฯ นี้นอกจากทำนองติดหูแล้ว เนื้อร้องยังน่าสนุก แถมน้ำเสียงของเธอก็ไปกันได้ดี  เนื้อเพลงกล่าวถึงสาวน้อย Lesley (ในเนื้อไม่ได้บอกว่าชื่ออะไรก็เลยเหมาเอาว่าคือคนร้องนั่นแหละ) ที่โดนแฟนหนุ่ม Johnny และเพื่อนสาวคนสนิท Judy พร้อมใจกันหักหลังด้วยการแอบไปคั่วกันเอง  หนำซ้ำยังมาหยามหน้าในงานวันเกิดของเธอ

เนื้อเพลงน้ำเน่าแบบนี้ทำให้วัยรุ่นวุ่นรักโดยเฉพาะสาว ๆ กรี๊ดกันสลบ  ส่งผลให้ยอดขายพุ่งหน้าตั้งไปติดอันดับหนึ่งของตารางเพลง billboard  และค้างอยู่นานถึง 2 สัปดาห์ซึ่งในยุคนั้นหานักร้องหญิงทำสถิติแบบนี้ได้ยาก

กระแสรุนแรงแบบนี้ทำให้ บ. แผ่นเสียงต้นสังกัด  ใช้กลยุทธ์น้ำขึ้นให้รีบตัก  ไม่รอช้าที่จะจับเธอมาร้องเพลงที่ 2  ออกสู่ตลาดตามมาติด ๆ ภายในช่วงเวลาห่างกันเพียง 2 เดือน

เนื้อเพลงของเพลง Judy’s turn to cry นี้เป็นตอนต่อจากเพลงแรก  กล่าวถึงในที่สุด Johnny แฟนหนุ่มของเธอก็กลับใจแล้วทิ้งโค้งวกกลับมาหาเธอ (ด้วยสาเหตุอะไรต้องฟังเพลงเอา) เป็นชัยชนะเหนือนัง Judy  เพื่อนจอมหักหลัง  (เป็นผมละก็ขอตบไอ้ ‘หน้าหม้อ’ Johnny ซัก 40 ทีก่อนแล้วค่อยให้อภัย)

เพลงที่ 2 นี้ดังตามคาดแม้จะไม่ถล่มหูเท่าเพลงแรก  อย่างไรก็ตาม 2 เพลงดังกล่าวความที่เป็นเพลงที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกันเหมือนหนังชุดทางทีวี และออกอากาศในเวลาไล่หลังกัน  เหล่าดีเจวิทยุจึงสนุกกับการเปิดเพลงทั้งสองติดต่อกันไป

นี่คือเรื่องราวความรักของสาวน้อย Lesley ที่ชาวอเมริกันล้วนได้ยินมานมนาน

ในปี 1986 เพื่อนผมคนหนึ่งซื้อแผ่น Lesley Gore, the Anthology มาให้  ผมดีใจจนเนื้อเต้น  ที่ถึงกับเนื้อเต้นเพราะเธอไม่เอาตังค์  ถ้ามาคิดตังค์ทีหลัง  ผมคงต้องเปลี่ยนจาก ดีใจจนเนื้อเต้น เป็น ดีใจมาก

แผ่นเสียงชุดนี้ทำออกมาในโอกาสพิเศษเพราะปี 1986 มันหมดยุคของเธอไปแล้ว  เป็นแผ่นคู่  คือมี 2 แผ่นเสียงอยู่ในซอง  ซึ่งหมายความว่าซองเป็นแบบ gatefold  คือเปิดกางได้  ชื่อแผ่นถ้าแปลแบบกันเองก็คือแผ่นรวมเพลง singles ของเธอนั่นเอง
 
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/30/GOc4U1.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GOc4U1)


หน้ากลางเมื่อเปิดกางออกมานอกจากมีรูปของนักร้องแล้วยังมีตัวหนังสือยุ่บยั่บ  ผมลงมืออ่านโดยยังไม่ต้องฟังเพลง  ตัวหนังสือเล่าความเป็นมาของเพลง singles ต่าง ๆ ที่ LG ร้องเริ่มตั้งแต่เพลงแรกคือ It’s ฯ และเพลงที่สองคือ Judy’s ฯ ความเป็นมาของทั้ง 2 เพลงนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่แล้ว  แต่พอมาเพลงที่ 3 นี่ซิ  ผมอ่านอย่างขะมักเขม้น  ข้อมูลบอกว่า เนื้อเพลงของเพลงที่ 3 นี้คือส่วนที่หายไปอันเป็นตอนกลางของเรื่องความรักของหนู Lesley
  
เนื้อของเพลงเริ่มต้นหลังจาก Johnny แฟนหนุ่มหน้าหม้อทรยศไปหลงระเริงกับเพื่อนซี้ Judy  ทำให้หนู Lesley อกหักดังเป๊าะ  ต้องไปนั่งคร่ำครวญหวนไห้ฟาดงวงฟาดงากับดวงดาวบนท้องฟ้า  ความจริงนี่ลำดับของเพลงนี้ต้องเป็นเพลงที่ 2  แล้วจึงตามมาด้วยเพลง Judy’s ฯ เป็นเพลงที่ 3  อันเป็นตอนจบแบบ happy ending   แต่ทำไม บ.แผ่นเสียงถึงปล่อยออกมาเป็น single แค่ 2 ตอนจบก็ไม่รู้
  
สรุปแล้วมาฟังชีวิตรัก (เน่า ๆ) ที่ครบชุดของหนู Lesley กัน

เพลงแรก It’s my party
https://youtu.be/acRMALrg1t4


เพลงที่สอง Just let me cry นี้เป็นเพลงเดียวของ LG ที่วิทยุบ้านเราเอามาเปิด  และกระหน่ำเปิดจนนักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุครู้จักเป็นอย่างดี  ในขณะที่บ้านเขาไม่เคยได้ยินเพราะมันไม่ใช่ single  ดีเจวิทยุจึงไม่มีสิทธิเปิดออกอากาศ  ส่วน 2 singles นั่นผมไม่เคยได้ยินในยุคของมัน  ไม่รู้มีใครเคยได้ยินบ้าง  ที่ผมไม่เคยได้ยินอาจเป็นเพราะยังเด็ก  ยังไม่รู้จักการหมุนปุ่มหาคลื่นบนหน้าปัดวิทยุ  แต่เพลง Just ฯ นี้ฮิตมายาวนานหลายปี  ตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งผมโตอยู่ ม. ต้นแล้วก็ยังคงได้ยินอยู่ประปราย  มันกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดตลอดกาลของผม

ตอนที่เพื่อนซื้อแผ่นฯ มาให้ผมถึงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะผมมีเพลงนี้ของเธอแต่อยู่ใน cassette tape  เพลง It’s ฯ นั้นเคยได้เห็นเพียงชื่อกับรู้ความดังของมัน ไม่เคยได้ยินตัวเพลง  ส่วนเพลง Judy's ฯ นี่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำนองเพลง Just ฯ นี้ผมว่าเพราะไม่แพ้ 2 เพลง singles นั้นเลย  
https://youtu.be/Du3nOZDW1mU


และจบด้วยเพลงที่ 3 คือ Judy’s turn to cry
https://youtu.be/oQyv0vzou0M


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/11/30/GOgf5l.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GOgf5l)


Fun fact คือ ในเนื้อเพลง  หนู Lesley เป็นสาวน้อยถวิลรัก  แต่ LG สาวน้อยคนร้องเป็น lesbian จากการสัมภาษณ์เธอเล่าว่ารู้สึกชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ก่อนอายุ 20 โน่น  วงการมายานี่สนุกจริง ๆ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ธ.ค. 22, 12:47
วันนี้สั้นมาก  มีคนเตรียมงานไว้ให้แล้ว

Spotlight (2015)

https://youtu.be/_SsvL9v3g8I
(ขอบคุณ คุณแมวเล่าหนัง)


เรื่องนี้ได้เข้าชิง Oscar 6 รางวัล  ได้มา 2 คือหนังยอดเยี่ยม และบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม  มิน่าถึงเป็นหนังที่สนุกมาก  น่าติดตามตลอดเรื่อง  ไม่มีฉากเด่นที่จะนำเสนอเพราะไม่ใช่หนังตื่นเต้น แฟนตาซี อะไรทำนองนั้น  

ผมมีเพื่อนฝรั่งอยู่ Boston  หลังจากดูหนังเรื่องนี้ก็เขียนไปถามไถ่  ได้ความว่า เป็นเหตุการณ์ที่ฉาวโฉ่มาก  เรียกได้ว่าเป็น talk of the town ในช่วงนั้น  เธอว่าหนังเรื่องนี้สรุปเรื่องคาวนี้ได้ครบถ้วนมาก  

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/EwdCIpbTN5g



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ธ.ค. 22, 12:00
Annihilation (2018)

https://youtu.be/Ug1IoYkU6tY
(ขอบคุณ คุณ Caracat)


3.36
https://youtu.be/MKg7kmfFP3g


4.14
https://youtu.be/YOCEHKSgwlQ


6.42
https://youtu.be/xC3PGTTjX7E


6.50
https://youtu.be/VHj96nAjRn0


8.10
https://youtu.be/9yUHHgfl-6o


9.10
https://youtu.be/ZrDL3HQCwE8

https://youtu.be/Mg0bvyIEHcs
ฉากนี้น่ากลัวที่สุด  ลืมหายใจไปเลย  ... หมีกลายพันธุ์  เมื่อมันทำร้ายนักสำรวจคนหนึ่ง  gene ของเธอกับความรู้สึกสุดท้ายเข้าไปผสมในตัวหมีกลายพันธุ์  เสียงร้องของมันจึงจำลองเสียงร้องขอความช่วยเหลือ (ฟังดี ๆ) ของนักสำรวจที่โดนมันทำร้าย  สยองขวัญไม่น้อย


10.34
https://youtu.be/RSl6bwZabjA


10.58
https://youtu.be/uBsJgceM0KI

https://youtu.be/zqFds4L73Uo


13.40
https://youtu.be/bHAkojYTAZ8


ผมว่าเป็นหนังที่ให้บรรยากาศหดหู่และน่ากลัวไม่น้อย  ถ้าได้ดูในโรงฯ คงตื่นตากับเทคนิคทั้งด้านภาพและเสียง  เหล่านักวิจารณ์ล้วนสรรเสริญในความคิดสร้างสรรค์  แต่คนดูเห็นต่าง  ผลคือหนังเจ๊ง


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/89OP78l9oF0



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ธ.ค. 22, 12:06
เพิ่งได้ความรู้ใหม่เอี่ยมว่า 'จาร ชอบ fairy creatures  

เคยดูหนังเรื่องนี้มั้ยครับ

The spiderwick chronicles (2008)
https://youtu.be/5LdCzmPXWYc
(ขอบคุณ คุณ CiniM_Anime)

2.22
https://youtu.be/387KRtYq2mE


4.00
https://youtu.be/XM6-qQn-hJk


5.05
https://youtu.be/plovZLxlpGk


6.07
https://youtu.be/CmtsobIYvK8


10.44
https://youtu.be/lVzWWUDBMtY


12.30
https://youtu.be/q254XDNZ2Ao

https://youtu.be/g0TZztZJGRo


13.16
https://youtu.be/3qZAvmpNfaw

https://youtu.be/1xI_CHaHWmw


ตอนจบ
https://youtu.be/07m_wtPWV1s


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/I99bp9SOhcQ


เป็นหนัง fantasy ที่เติมเต็มจินตนาการให้กับ ‘เด็กชายโหน่งโฉ่งโกร่ง’ อีกเรื่องหนึ่ง  ถึงขนาดไปควานหาหนังสือมาอ่านรายละเอียดต่อให้จุใจ

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/09/GXj46u.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GXj46u)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 22, 12:38
ชอบ fairies  ขนาดลูกซื้อหนังสือของ Cicely Mary Barker มาให้ทั้งเล่มเลยค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 22, 12:42
เพิ่งได้ความรู้ใหม่เอี่ยมว่า 'จาร ชอบ fairy creatures  

ไม่เคยดู  The spiderwick chronicles ค่ะ เคยดูแต่เรื่องนี้


https://www.youtube.com/watch?v=QF3btTryoPo




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ธ.ค. 22, 13:20
ชอบ fairies  ขนาดลูกซื้อหนังสือของ Cicely Mary Barker มาให้ทั้งเล่มเลยค่ะ

อุ๊ย... ตื่นเต้นมาก  มีเหมือนกันครับ
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/09/GXpkma.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GXpkma)


โหน่งสะสมหนังสือประเภทนี้ไว้เยอะแยะ  แต่เล่มนี้ 'เจ๋ง' ที่สุด  ไม่รู้ว่าหนังสือประเภทนี้มีชื่อเรียกเฉพาะรึเปล่า  แต่สนุกมาก  แต่ละหน้ามีสิ่งละอันพันละน้อยให้อ่านครับ
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/09/GXvWgZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GXvWgZ)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/09/GXv0FP.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GXv0FP)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ธ.ค. 22, 13:22
เพิ่งได้ความรู้ใหม่เอี่ยมว่า 'จาร ชอบ fairy creatures  

ไม่เคยดู  The spiderwick chronicles ค่ะ เคยดูแต่เรื่องนี้


https://www.youtube.com/watch?v=QF3btTryoPo




เรื่องนี้ที่สุดของที่สุดครับ  ฉากท้ายเรื่องทำได้เยี่ยมมาก  เอาไปคิดฝันเลยว่าอยากเจอบ้าง


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 ธ.ค. 22, 12:37
ผมเป็นคนสุดท้อง  เป็นคนเล็กในครอบครัวใหญ่ในบ้านหลังใหญ่ของคุณตาคุณยาย  บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้โบราณ  บ้านลักษณะนี้มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับเด็กตัวกะเปี๊ยกเช่นผม  คือเหมือนบ้านผีสิง  ดังนั้นความสามารถพิเศษของผมคือการสร้างจินตนาการได้ไม่มีขอบเขต  แม่เรียกผมว่า เด็กเพ้อพก

ตัวช่วยที่ทำให้ผมมีความสามารถดังกล่าวนอกจากโดน ‘ผู้ปกครอง’ ในระดับต่าง ๆ หลอกแล้ว  แหล่งบันเทิงต่าง ๆ ก็มีส่วน
  
ตอนเด็ก ๆ ผมคุ้นเคยกับแหล่งบันเทิงที่โอนเอียงไปทางตะวันตก  คือชอบดูหนังฝรั่ง  อ่านการ์ตูน (แปลจากการ์ตูนฝรั่ง)  นิทานที่ผมอ่านเป็นบ้าเป็นหลังคือชุด นิทานกริมม์ และนิทานแอนเดอร์สัน  ที่แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/14/GygAOa.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GygAOa)
(นิทานกริมม์ 2 เล่มบรรลัยไปหมดแล้ว  แม่ทันคว้านิทานแอนเดอร์สันมาเข้าตู้ได้ทัน)


ผมชอบนิทานกริมม์มากกว่า  เพราะสั้นและเข้าใจง่ายกว่า  เรื่องที่ประทับใจจนถึงบัดนี้คือเรื่อง 12 เจ้าหญิงเริงเต้นรำ  เป็นเรื่องของเจ้าหญิงพี่น้อง 12 คนที่ชอบแอบหนีพ่อพระราชาออกไปเต้นรำในเมืองใต้ดิน  ประตูสู่เมืองใต้ดินอยู่ใต้เตียงของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
 
อ่านจบแล้วผม ‘อิน’ กับมันเหมือนเป็นเรื่องจริง  ช่วงนั้นผมพยายามเคาะพื้นบ้านเพื่อหาว่าบ้านผม (บ้านคุณตาคุณยายน่ะ) มีประตูไปสู่เมืองใต้ดินหรือไม่  

นี่คือตัวอย่างที่หล่อหลอมให้จินตนาการของผมมีแนวโอนเอียงไปทางวัฒนธรรมตะวันตก  พอโตขึ้นผมก็ชอบหานิยายเกี่ยวกับแฟนตาซีอ่าน  ตอนนั้นโตก็จริงแต่ก็ยังด้อยประสบการณ์  พูดอ่านฟังเป็นแต่ภาษาไทย  หนังสือไทยเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ไม่มีเพราะมันไม่ใช่วัฒนธรรมของเรา  ต้องอาศัยหนังสือที่เป็นเรื่องแปลมาจากต้นฉบับเมืองนอก
 
จากประสบการณ์พบว่าหนังสือแปลแนวนี้มีออกมาน้อยมาก  concept มันเข้าไม่ถึงคนไทยรึไงก็ไม่รู้  สรุปแล้วถ้าเป็นอาหาร  ผมก็มีความอดอยาก

วันหนึ่งในเวลาต่อมา  ตอนนั้นผมเริ่มทำงานได้ซักปีสองปี  ไปเดินเล่นที่ห้าง Central สีลม ห้างโปรดตลอดกาล  นอกจากไปขลุกอยู่กับแผนกแผ่นเสียงแล้ว  แผนกหนังสือก็เป็นอีกแห่งที่จะเห็นผมป้วนเปี้ยนไปมาอยู่เป็นชั่วโมง
 
วันนั้นขณะพลิกดูหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ (แต่ไม่ซื้อ  แพงจะตายไป)  เศษกระดาษแผ่นหนึ่งก็ร่วงออกมา  เมื่อก้มลงเก็บขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นแผ่นโฆษณาที่แนบมาในหนังสือ (อ้อ... ลืมบอกว่าเป็นหนังสือพวก magazine น่ะ  ที่ห้างจะเปิดไว้ให้หยิบดูชื่อละเล่ม)  

ผมเห็นแล้วอยากได้  ทำไงดี  ก็เลยเดินไปหาคนขาย  บอกตรง ๆ ว่า ไอ้แผ่นนี้มันร่วงลงมา  ผมอยากได้แต่ไม่อยากซื้อหนังสือทั้งเล่ม

คนขายน่ารัก  เธอหยิบมาพลิกดูแล้วบอกว่า ‘เอาไปเถอะค่ะ แผ่นโฆษณาไม่มีประโยชน์อะไร’

ผมขอบคุณตามที่ได้รับการอบรมมาจากครอบครัว เมื่อมาถึงบ้านก็เอามาอ่าน  มันเป็นโฆษณาเชิญชวนสมัครเป็นสมาชิกชมรม Science fiction book club  แหม... พอแปลออกมาได้แบบนี้หัวใจเต้นโครมคราม  ในแผ่นมีช่องให้กรอกชื่อที่อยู่แล้วส่งกลับไปเพื่อแลกกับ catalogue

ผมทำตามโดยไม่รอช้า  สมัยนั้นเพิ่งเข้ายุค 80s หมาด ๆ  อตน. ยังไม่เกิดที่เมืองไทย  การสื่อสารกับต่างประเทศที่สะดวกที่สุดก็คือจดหมาย

ผมกรอกข้อความเสร็จก็ใส่ซองจดหมาย (ถ้าอยู่บ้านเค้า (อเมริกา) ก็ติดแสตมป์แล้วเอาไปหยอดตู้ ปณ. ได้เลย) แล้วเดินไปส่งที่ไปรษณีย์  มีการชั่งน้ำหนักเพื่อคิดค่าส่งตามขั้นตอน  จากนั้นกลับมาคอยว่า  โชคของผมจะไปได้ไกลแค่ไหน

อีกราวเดือนกว่าก็มีซองใส่เอกสารมาถึงผม มันมาจาก ชมรมฯ นั่นเอง  แกะดูก็พบจดหมายขอบคุณที่เป็นสมาชิก ฯลฯ  แล้วก็มี catalogue หนังสือเสนอขายของชมรม  ในราคาพิเศษ  เป็นหนังสือแนวแฟนตาซีทั้งนั้น  ทั้งแบบเวทมนตร์ในยุคโบราณ หรือแบบผจญภัยในอวกาศ  ล้วนอยู่ในแขนงเดียวกันนี้

ที่แนบมาในซองอีกก็คือใบสั่งซื้อ  มีแสตมป์พิมพ์เป็นรูปหน้าปกของหนังสือพวกที่เสนอขายนั้น  เวลาจะสั่งก็ฉีกแสตมป์ที่มีรูปหน้าปกหนังสือเล่มที่เราต้องการ  แล้วแปะลงในช่องว่างของกระดาษใบสั่ง (ผมหา ตย. ไม่เจอ  แบบว่าย้ายบ้านมาหลายหน  มันไม่หายหรอกเพราะผมเป็นผีสมบัติ  แต่ไม่รู้เอาไปแนบไว้ที่ไหน  เสียดาย  อดอวดเลย)

เป็นกรรมวิธีที่น่าทึ่งและสนุกมาก  ผมผู้ชอบการผจญภัยก็ดำเนินการทันที จำได้ว่าครั้งแรกลองสั่งไป 2-3 เล่ม ๆ ละประมาณ 5-6 เหรียญ  ล้วนเป็นแนวโปรดคือเวทมนตร์พ่อมดแม่มด ลองสั่งดูก่อนไม่รู้ว่าได้หนังสือมาแล้วจะถูกใจหรืออ่านออกได้มากน้อยแค่ไหน

ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็รวบรวมเงินที่ต้องจ่าย  ต้องบวกค่าส่งด้วย  ซึ่งประเทศไทยแลนด์ของเราอยู่ในหมวด overseas  จากนั้น (หลังจากถามชาวบ้านที่มีประสบการณ์) ก็เดินไปธนาคารเพื่อสั่งซื้อ draft ตามจำนวนเงิน  เสร็จแล้วก็ไป ปณ. เพื่อส่งจดหมายซึ่งคราวนี้เป็นแบบลงทะเบียนกันหาย… แพงชะมัด

จากนั้นก็กลับมาคอยด้วยใจเต้นตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ ว่า  จะออกหัวออกก้อยละหว่า  เงินกูจ่ายไปแล้วตั้งเยอะ  จะเจอสิบแปดมงกุฎมั้ยหนอ

มีต่อ... (ยังไม่มี clip เพราะยังฝอยไม่จบ)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ธ.ค. 22, 14:41
เอามาฝากแฟนนิทานกริมม์ค่ะ
หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่คุณโหน่งกำลังจะเอาคลิปมาลงนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=hiASEIz3qrg


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ธ.ค. 22, 12:10
เอามาฝากแฟนนิทานกริมม์ค่ะ
หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่คุณโหน่งกำลังจะเอาคลิปมาลงนะคะ



ขอบคุณครับ  อุ๊บอิ๊บก่อนครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ธ.ค. 22, 12:19
ฝอยต่อ...

อย่างไรก็ตาม  หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน  ในที่สุดหนังสือก็มา  ผมละตื่นเต้นสุดขีด เปิดกล่องออกมานอกจากจะมีหนังสือในรูปแบบปกแข็ง (มันถึงแพงเพราะมีน้ำหนัก) แล้ว  จดหมายบอกว่าผมเป็นคนไทยคนแรกจากนอกอเมริกาที่เป็นสมาชิกของชมรม  ทางชมรมมอบของแถมให้คือกล่องใส่ bookplates  

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/15/GIz48t.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GIz48t)
ผมไม่เข้าใจในการทำงานของมัน  แต่ก็ปลื้มและไม่กล้าแกะออกใช้จนบัดนี้


ได้คำเยินยอแบบนี้  ผมก็บ้าเลือด  ผมสั่งหนังสือจากที่นี่เป็นประจำรวมได้ประมาณ 30 กว่าเล่ม  ถ้าจะนับเวลาก็ 2-3 ปี  อ่านสนุกบ้างไม่สนุกบ้าง  แต่ขั้นตอนการสั่ง+เห็นรูปหน้าปกมันตื่นเต้นดี  

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/15/GIzh2k.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GIzh2k)
เดี๋ยวนี้เหลือแค่นี้ เก็บเล่มที่ชอบสุดไว้  นอกนั้นบริจาคให้ห้องสมุด มธ. ไปหมด


ทั้งหมดที่เล่ามาจะบอกว่าเวลาเราต้องทำอะไรสักอย่างที่ต้องลงทุนลงแรง  มันเกิดความทรงจำ  อย่างการสั่งซื้อหนังสือจากต่างประเทศในสมัยก่อนนี่มีขั้นตอน  เริ่มแรกเลยต้องหาแหล่งก่อนว่าจะสั่งจากที่ไหน ถ้าหาแหล่งไม่ได้ก็จบตรงนั้น  ของผมโชคช่วยด้วยการเจอแหล่งโดยบังเอิญ  จากนั้นก็ส่งใบสมัคร  เมื่อได้ catalogue มาก็เลือกหนังสือที่ต้องการ  ฉีกแสตมป์รูปหนังสือที่ต้องการแปะลงบนกระดาษสั่ง  ออกไปซื้อ draft ที่ธนาคาร ออกไป ปณ. เพื่อส่งจดหมาย แล้วก็ต้องรอคอย  จากขั้นตอนที่ว่าจนกระทั่งได้หนังสือในที่สุด  รวมเวลาแล้วนานเกือบครึ่งปี

ต่างกับยุค อตน.  อยากได้อะไรก็เปิดมือถือ  ปัดไปปัดมา จิ้ม ๆ  โอนเงิน  จากนั้นนั่งกระดิกนิ้วตีนยังไม่ทันเป็นตะคริวสินค้าที่สั่งไปก็มาถึงแล้ว

ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้

กลับมาที่หนังสือต่ออีกหน่อย  ผมเลิกสั่งซื้อหนังสือจากชมรมฯ เมื่อเริ่มออกท่องเที่ยวไปในต่างแดน ครั้งแรกที่ไปอเมริกา (กลาง 80s ที่ SF) ได้เห็นร้านหนังสือของเขาแล้ว   อ้าปากค้าง  มันใหญ่มาก ๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น  นั่นเป็นเพราะประชาชนบ้านเค้าชอบอ่านหนังสือ  ไม่เหมือนประชาชนบางบ้านไม่ชอบอ่านหนังสือ  ถ้าจะอ่านก็หนังสือพิมพ์กับ ‘ขายหัวเราะ’ (ปากจัดจังไอ้หมอนี่)

เห็นความใหญ่โตอลังการของร้านแล้วตะลึงลาน (ยุคนั้นต้อง Barnes & Noble)   ผมขลุกอยู่ได้ครึ่งค่อนวัน  ถ้าไม่หิวคงอยู่ได้ทั้งวัน  ผมชอบร้านหนังสือที่อเมริกาที่สุด  หนังสือมีทุกประเภททุก format  แต่ละเล่มหน้าปกสวย ๆ ทั้งปกแข็งปกอ่อน  หนังสือภาพ  ฯลฯ  ล้วนน่าจับต้องทั้งนั้น  แค่ดูหน้าปกก็เหมือนต้องมนตร์เข้าไปแล้ว  เวลาอยู่ในร้านหนังสือผมจะลืมโลกไปเลย (‘จาร คงรู้สึกแบบเดียวกับผม)
 
ตามความชอบส่วนตัว  ผมจะออกจากร้านพร้อมหนังสือแนวแฟนตาซีเสมอ

คราวหน้าเข้าเรื่องเสียที


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ธ.ค. 22, 12:50
Barnes & Noble เป็นที่ที่นั่งอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าอยากจะนั่ง     ผู้บริหารจัดมุมหนึ่งเปิดเป็นร้าน สตาร์บั๊ค ดึงดูดลูกค้าอีกแรงหนึ่งค่ะ   
น่าเสียดายว่า คลื่นลูกใหญ่ที่มากับโทรศัพท์มือถือ และไอแพด  ซัดโลกหนังสือคว่ำไปแล้วไม่เฉพาะแต่ในไทย   B&N ก็เซถลาไปเหมือนกัน      สาขาที่ดิฉันเคยไปดูเหมือนจะปิดไปแล้ว    แต่นั่นเป็นเมืองเล็กๆในโคโลราโด   ในเมืองใหญ่ๆอาจยังมีอยู่


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ธ.ค. 22, 12:04
Barnes & Noble เป็นที่ที่นั่งอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าอยากจะนั่ง     ผู้บริหารจัดมุมหนึ่งเปิดเป็นร้าน สตาร์บั๊ค ดึงดูดลูกค้าอีกแรงหนึ่งค่ะ   
น่าเสียดายว่า คลื่นลูกใหญ่ที่มากับโทรศัพท์มือถือ และไอแพด  ซัดโลกหนังสือคว่ำไปแล้วไม่เฉพาะแต่ในไทย   B&N ก็เซถลาไปเหมือนกัน      สาขาที่ดิฉันเคยไปดูเหมือนจะปิดไปแล้ว    แต่นั่นเป็นเมืองเล็กๆในโคโลราโด   ในเมืองใหญ่ๆอาจยังมีอยู่

ร่วมเสียดายด้วยครับ  ยังคิดอยากไปอีก  อยากกวาดซื้อหนังสือภาพ (illustrated books)  หนังสือพวกนี้สั่งทาง online ไม่ได้  เพราะเราพลิกพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อไม่ได้


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ธ.ค. 22, 12:20
เข้าเรื่องแล้น...

ผมชอบนางฟ้า  ชอบเจ้าหญิงเจ้าชาย  ชอบแม่มดพ่อมด  ชอบเวทย์มนตร์ ชอบสัตว์ประหลาดต่าง ๆ  คนแคระ  ม้ายูนิคอร์น... ทุกชนิด  แต่สุดยอดของผมคือ มังกร

ตอนเด็ก ๆ ผมมีเพื่อนเป็นมังกร  ไม่ใช่มังกรยักษ์พ่นไฟกินคน  แบบนั้นเด็กที่ไหนจะเอาเป็นเพื่อน  มังกรผมตัวเล็กพอ ๆ กับผมแล้วก็พูดได้  เธอมักจะมาหาผมเวลาอยู่คนเดียว  หรือเวลาโดนแม่ตีเสร็จแล้ว  มังกรจะมานั่งข้าง ๆ เงียบ ๆ แล้วพ่นควันเป็นวง ๆ ออกทาง 2 รูจมูกให้ผมดูแก้เซ็ง  วันหนึ่งก็หายไป  หาไม่เจอ  คิดถึงจัง

มังกรอยู่ในใจผมมาตลอด  เวลาโตขึ้นแล้วมีหนังเกี่ยวกับมังกรมาฉาย  ผมจะขวนขวายออกไปดูหรือหามาดู  ตอนเด็ก ๆ หนังเกี่ยวกับมังกรมีไม่มาก  ถ้าจะออกความเห็นผมว่าเทคนิคในการสร้างยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะสร้างมังกรให้ดูสมจริงได้

ในปี 1981 ผมได้ดูหนังเกี่ยวกับมังกรที่โรงฮอลลีวู้ดชื่อ Dragonslayer   เป็นหนังสนุกมากทีเดียว  เทคนิคในการสร้างมังกรเยี่ยมยอด (ในสายตาผมตอนนั้น)  มันเป็นหนังเอาจริงเอาจังเกี่ยวกับพ่อมดหนุ่มอ่อนหัดที่จับพลัดจบผลูต้องไปต่อกรกับมังกรร้าย

ฉากที่พ่อมดหนุ่มเผชิญหน้ามังกรในถ้ำนี่ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้เลย  มันตื่นเต้น
https://youtu.be/TJRaLnLDMWg
(จำได้ว่าโล่ห์ประเภทเดียวที่สามารถทนไฟของมังกรได้ก็คือเกล็ดของมันนั่นเอง)


อวสานของมังกรร้าย
https://youtu.be/uC-erzWkXWc


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/vu8vML5TPVE
(หมายเหตุ – เทคนิคการสร้างมังกรโดย บ. ILM ที่ก่อตั้งโดย George Lucas ครั้งที่เธอสร้างหนังชุด Star Wars  นี่เป็นงานรับจ้างจากภายนอกเรื่องแรกของบริษัทฯ  ผลงานนี้ได้เข้าชิง Oscar)


(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/16/GMGj0V.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GMGj0V)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/16/GMGlcQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GMGlcQ)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/16/GMGuB1.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GMGuB1)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/16/GMGXFf.jpg) (https://www.picz.in.th/image/GMGXFf)
(ตาทำด้วยเม็ดพลาสติกใส  หนังสือประเภทนี้แหละที่ไม่สามารถสั่งทาง online ได้  กลัวได้มาแล้วไม่ถูกใจ)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ธ.ค. 22, 12:06
ยังไม่จบเรื่องมังกร

ในปี 1996 ผมก็ได้ดูหนังเกี่ยวกับมังกรอีกเรื่อง Dragonheart   หนังเล่าความสัมพันธ์ระหว่างมังกรตัวสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่กับอัศวินที่วันหนึ่งก็มาเป็นนักล่ามังกร  ทั้ง 2 ต่อสู้กันอย่างเต็มที่แต่ไม่มีใครโค่นอีกฝ่ายลง  ลงท้ายก็มาตกลงกันว่าจะร่วมมือกันต้มตุ๋นชาวบ้าน  โดยให้มังกรไปก่ออาละวาดกินปศุสัตว์ของชาวบ้านแล้วอัศวินนั่นก็อาสามาปราบปรามโดยคิดค่าจ้าง  เป็นความสัมพันธ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

Plot ของเรื่องมีเพิ่มเติมตรงที่ว่า  ในกาลครั้งหนึ่งมังกรเคยไปช่วยชีวิตเจ้าชายหนุ่มไว้ด้วยการแบ่งหัวใจให้ครึ่งหนึ่งเพื่อเยียวยา  ทีนี้เจ้าชายเวรนั่นดันโตขึ้นมาแบบสุดชั่ว  ผู้คนก็เกรงกลัวว่าถ้าขึ้นเป็นพระราชาบ้านเมืองต้องวิบัติ  ก็เลยหาทางกำจัดเจ้าชายโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า  จะกำจัดเจ้าชายได้ต้องฆ่ามังกรด้วย

ในตอนใกล้จบความลับนี้จึงค่อยเปิดเผยออกมา  กว่าจะถึงตอนนั้นผู้คนก็หลงรักมังกรและรู้ว่าเป็นมังกรที่ดี  ความเศร้าก็เลยแผ่มาถึงคนดูด้วยเมื่อเห็นฉากมังกรสละชีวิตให้สังหาร ‘เพื่อส่วนรวม’

หมายเหตุ – เรื่องราวในหนังไม่ได้เรียงลำดับตามที่ผมฝอย  ผมเล่าจากความทรงจำที่กระท่อนกระแท่น

https://youtu.be/PR0LPjNUJrE


สงบศึกด้วยข้อเสนอแบบ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
https://youtu.be/gn6icT-fSmw


ตัวอย่างฉากต้มตุ๋น
https://youtu.be/nbbUEz_vujg


บางครั้งก็พลิกล็อค
https://youtu.be/W7zYmiHAI6s
(0.18 – เฮ่ย... จม (sink ไม่ใช่ think  ตามที่ youtube แปล) ลงไป จมลงไปในน้ำซีวะมึง ... จมไม่ได้อ้ะ  น้ำแม่งตื้น...)

2 คำนี้คือ sink/think ทำให้นึกถึงโฆษณาสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ลงใน youtube เมื่อเกิน 10 ปีมาแล้ว  คงเคยผ่านตากันมาบ้าง  ดูทีไรก็ตลก  
https://youtu.be/xacdDrylrek

 
เพิ่มรายละเอียดส่วนที่อัศวินคนที่ว่าเคยเป็นครูฝึกเจ้าชาย (ชั่ว)  แต่เธอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับมังกรเพราะมังกรไม่เคยเล่าให้ฟัง  ตัวเจ้าชายเองก็ไม่รู้เพราะเรื่องเกิดตอนเป็นเด็ก (ถ้าจำไม่ผิด)  ฉากนี้เป็นฉากศิษย์ล้างครู  แต่มังกรเข้ามาขัดจังหวะพร้อมเผยความลับให้เจ้าชายเห็น... ผมว่าฉากนี้ถ่ายทำได้สมจริงคือ  ความที่มังกรตัวใหญ่มาก  กล้องจึงไม่สามารถจับภาพได้หมด
https://youtu.be/iJhsNOaSWl0


ฉาก climax ของเรื่อง  ตื่นเต้น (และเศร้า) ไม่หยอก  แต่จบแบบเทพนิยายเมื่อวิญญาณของมังกรลอยถึงไปสมทบกับวิญญาณของเพื่อนมังกรอื่น ๆ
https://youtu.be/RgBXwxoQ98g

https://youtu.be/vP5Rd-mLZkM


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/iRjSw-4qcgM


สรุปว่า เป็นหนังมังกรที่ผมชอบที่สุดเพราะเทคนิคทำได้ดี๊ดี  แล้วมังกรก็พูดได้แบบเดียวกับมังกรเพื่อนผม (ในเรื่องให้เสียงโดย Sean Connery ความจริงไม่ต้องบอกก็เดาออก  เสียงปู่แกไม่เหมือนใคร)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ธ.ค. 22, 09:05
ชอบ Dragonheart มาก เป็นหนังผู้ใหญ่ดูได้ เด็กดูดี      หนังเรื่องนี้ได้ดาราดังอย่าง Dennis Quaid มาเล่นกับมังกร  แต่ในความรู้สึกของดิฉัน  มังกรเล่นดีกว่า อาจได้แรงหนุนจากเสียงของคุณปู่ฌอนทำให้ได้เปรียบ
ดูเดนนิสมาหลายเรื่อง ไม่ติดใจสักเรื่อง ไม่รู้ทำไม    เรื่องที่รับได้มีเรื่องเดียวคือ Parent Trap (1998)    เป็นเพราะได้หนูน้อย Lindsay Lohan  มาทำให้ทุกอย่างน่ารักน่าชมไปหมด


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 ธ.ค. 22, 12:08
The Thomas Crown Affair (1968) เล่าเกี่ยวกับมหาเศรษฐีรสนิยมสูง TC ที่วางแผนปล้นเงินธนาคาร  นี่คือฝ่ายหนึ่ง  อีกฝ่ายคือสาว insurance investigator ที่อุดมไปด้วยไหวพริบ  ทั้ง 2 เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกัน  ตามตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/qWq177unTh4


จุดประสงค์ของการดูหนังเรื่องนี้เป็นอันดับรอง  จึงไม่มีฉากที่ติดใจมาเล่าให้ฟัง

ส่วนจุดประสงค์แรกที่ดูคืออยากฟังเพลง (ได้ Oscar ด้วย) ชื่อ The windmills of your mind ต้นฉบับที่ร้องโดย Noel Harrison (ไม่รู้จักมาก่อน ข้อมูลบอกว่าเป็นลูกของดารา Oscar ชื่อ Rex Harrison)  ว่าอยู่ในฉากไหนของเรื่อง
https://youtu.be/Osl6EJGwFyM
ฟังแล้วนับว่าเพราะไม่หยอกเชียวแหละ


ผมรู้จักเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ  จำได้ว่าเป็นเสียงร้องของ Jose Feliciano นักร้องตาบอดจากประเทศ Puerto Rico
https://youtu.be/Rc3lz-rZlW0


ต่อมาก็ได้ฟังอีกหลายฉบับจากนักร้องอีกหลายคน  และสรุปเป็นการส่วนตัวว่าชอบฉบับของ Dusty Springfield มากที่สุด  เธอร้องช่วงต้นแบบเนิบ ๆ  แต่ตอนท้ายดนตรีกระหึ่มมาก  ฟังจากเครื่องเสียงดี ๆ แล้วสะใจ
https://youtu.be/fRmoHp_fyjo


พูดถึงเพลงเอกในหนัง  ยังมีเพลงจากหนังอีกที่ผมเคยได้ยินแต่ฉบับที่เป็น single ซึ่งจะออกกระจายเสียงทางวิทยุ แต่ไม่เคยได้ยิน/เห็นบนจอหนังเช่น

High hopes ของ Frank Sinatra จากหนังเรื่อง A hole in the head (1959)
https://youtu.be/hkH5-Wg47_8


Come Saturday morning ของ The Sandpipers จากหนังเรื่อง The sterile cuckoo (1969)
https://youtu.be/ALcEcZ7UgRA
(ฉบับทำออกขายเป็น single เพราะกว่ามากนะผมว่า)


For all we know ของ The Carpenters จากหนังเรื่อง Lovers and other strangers ปี 1970
https://youtu.be/jz4qKBUkTPc
(เพราะไม่หยอก)


เอาแค่นี้นะ




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ธ.ค. 22, 12:27
ผมรู้จักหนัง Swing Kids (1993) เพราะนักแสดงในหนังคนหนึ่งชื่อ Robert Sean Leonard เคยเล่นหนังดังไปครึ่งค่อนโลกเรื่อง Dead Poet Society (1989) หนังเรื่องนี้มาฉายที่โรงแมคเคนนา  เนื้อเรื่องประทับใจผมมาก (ในตอนนั้น) ผมดูตั้ง 3 รอบ  (... O Captain, my Captain!...)  ต่อมาเคยดูอีกที่ I/UBC ปรากฏว่ากลับกลายเป็นรู้สึกงั้น ๆ  ก็เลยเลิกติดใจ

อย่างไรก็ตาม หนังที่ว่าส่งชื่อ RSL ออกสู่สาธารณชน ข่าวคราวของเธอมีออกมาให้เสพย์เนือง ๆ (สำหรับผมก็ทาง นส. Starpics)  ข่าวหนัง Swing Kids ก็เป็นหนึ่งในนั้น  หนังเรื่องนี้ไม่ได้มาฉายในเมืองไทย  ทาง I/UBC ก็ไม่มีมา (จากประสบการณ์)  แล้วผมก็ลืมมันไปเรียบร้อยจนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมา (นับจากวันที่ลงมือเขียน)  website หนังที่ผมเป็นสมาชิกอยู่  เอาหนังเรื่องนี้มาปล่อย  

หนังแต่งขึ้นโดยอาศัยเรื่องจริงที่เกิดที่เมือง Hamburg ประเทศ Germany ในช่วงปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะระเบิดมิระเบิดแหล่  หนังเล่าเกี่ยวกับเด็กเยอรมัน 4 คนในวัย ม. ปลายที่ลุ่มหลงกับวัฒธรรมด้านบันเทิงจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษ โดยเฉพาะดนตรีแนว Swing ที่กำลังเป็นที่นิยมสุดขีดในอเมริกา  วัฒนธรรมที่ว่าเป็นของต้องห้ามในบ้านเกิด  เด็ก 4 คนนี้จึงเป็นตัวอย่างที่หนังยกขึ้นมาให้เห็นว่าการพยายามปรับชีวิตของตนให้สามารถเหยียบเรือได้ 2 แคมสามารถส่งผลอะไรบ้าง

เริ่มต้นเรื่องด้วยการอธิบายเพื่อให้คนดูความเข้าใจเรื่องราวของหนัง

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/26/JtIXue.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JtIXue)
No one who likes swing can be a Nazi คือคติของเหล่า Swing kids


https://youtu.be/juuzfzCb3Cg
หมายเหตุ - ดนตรี Swing เป็นที่นิยมในวงกว้างในช่วงกลาง 1930s  เกิดขึ้นทีหลังดนตรี Ragtime (เคยพาดพิงไปแล้ว)  แนวดนตรีออกไปทาง Jazz  วงที่เล่นเพลงพวกนี้เรียกว่า Big Band เพราะมีสมาชิกมากมาย  มี Bandleader เป็นผู้ควบคุมวง  Big Band ที่ดังมาก ๆ นักฟังเพลงไทยบางคนคงเคยได้ยินชื่อ เช่น Duke Ellington, Benny Goodman, Count Basie, Jimmy Dorsey, Tommy Dorsey, Glenn Miller, Artie Shaw and Django Reinhardt


นี่คือ Swing kids เพื่อน 4 คน
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/26/JtIyXQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JtIyXQ)
(คนซ้ายคือ Christian Bale ในบท Thomas  ตอนนั้นเธอยังละอ่อนอยู่เลย  ต่อไปที่ใส่แว่นคือ Arvid (Frank Whaley คนนี้นักดูหนังชาวไทยรวมถึงผมไม่คุ้นเคย  เหตุเพราะเธอวนเวียนอยู่กับบทประกอบเป็นประจำ) ส่วน RSL ในบท Peter นั่งหน้าสุด  ขวาสุดคือ Otto ไม่มีบทบาทอะไรนัก  เสียดาย  เธอหล่อระเบิด)


https://youtu.be/C-cRZmAZOi4
บรรยากาศร้านขายแผ่นเสียงในยุคนั้น มีห้องให้ลองฟัง  ผมชอบจังเลย  สมัยผมถ้าจะซื้อแผ่นฯ ต้องจ่ายตังค์เลย  ห้ามลองฟัง  เพราะแผ่นฯ จะห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสมาจากต้นทางซึ่งเป็นความจำเป็นเพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา  ไม่งั้นมาถึงก็จะพบว่าเหลือแต่ซอง  ตัวแผ่นฯ ไม่รู้ไปร่อนอยู่ที่ไหน  ฉะนั้นถ้าแผ่นฯ ไหนพลาสติกที่หุ้มอยู่มีรอยกรีด  ลูกค้าจะเข้าใจว่าแผ่นฯ นี้เป็นของใช้แล้วและจะไม่ซื้อ  ก็เลยขายไม่ออก  อย่างไรก็ตาม การมีพลาสติกหุ้มก็ไม่ดีอยู่อย่างคือ  บางครั้งกลับมาเปิดที่บ้าน  พอวางแผ่นลงบนแป้น  ก็พบว่าแผ่นงอเป็นข้าวเกรียบว่าวก็มีบ่อย  จะเอาไปเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะออกจากห้าง/ร้านไปแล้ว
  
การซื้อแผ่นเสียงนี่ให้ความรู้สึกคล้ายซื้อหวย  กล่าวคือ ไม่รู้ว่าจะมีกี่เพลงที่เพราะหู  มีบ่อย ๆ ที่ผมซื้อกลับมาฟังที่บ้านแล้วปรากฏว่า  ชอบอยู่เพียงบางเพลง  ซึ่งถ้ามีการให้ลองฟังแบบสมัยก่อน  ผมไม่มีทางซื้อแผ่นฯ นี้เด็ดขาด  ขาดทุนตายชัก

ท้าย clip เป็นการโชว์การเต้นรำไปกับแนวเพลง Swing เรียกว่า Jitterbug  เหวี่ยงให้เต็มที่
https://youtu.be/YtMnwud1agY
(นี่คือ Jerry Lewis ศิลปินชื่อดังของอเมริกา  เต้นได้สวยจังเลย  อยากเต้นเป็นบ้าง)


https://youtu.be/-WIJ_PF6Yo4
นี่คือ คลับที่สิงสู่ของเหล่า Swing kids  ข้างหน้าคลับจะมีคนเฝ้า  ถ้ามี gestapo หรือ H.J. โผล่เข้ามา (1.33)  คนพวกนี้จะรีบเข้ามาส่งสัญญาณแล้วแนวดนตรีจะเปลี่ยนไปเป็นแนวปกติสามัญคือ polka  Arvid คือสมาชิกกลุ่มที่ลุ่มหลงกับเพลง Swing มากที่สุด  ความรู้และความสามารถทางดนตรีของเธอกว้างขวางและเด่นชัด


https://youtu.be/uD9jUUpALyA
Arvid เป็นเด็กพิการที่เท้า เธอโดนเพื่อนที่กลายเป็น H.J. รังแก  แต่คนที่ทำเธอแทบพิการหนักลงไปอีกคือ Emil ซึ่งอดีตก็เป็น swing kid เหมือนกันแต่แปรพักตร์


https://youtu.be/CKcWL6AxlrY
อาการบาดเจ็บของ Arvid ทำให้เพื่อนเจ็บแค้นมาก  และลงมือแก้แค้นแทนเมื่อโอกาสมากถึง  แต่เธอเก่งบนเวทีเต้นรำไม่ใช่เวทีมวย


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ธ.ค. 22, 12:24
Swing Kids ต่อ...

เด็ก Swing kids 4 คนนี้เกลียดพวก Nazi และ H.J. มาก  ถ้ามีโอกาสจะไม่รีรอที่จะกลั่นแกล้ง  แต่แล้ววันหนึ่ง 1 ในนั้นก็ถูกจับได้ (Peter)  แม่ของเธอใช้เส้นที่เป็น gestapo ช่วยประกันตัวออกมาจากการรับโทษที่จะถูกส่งเข้าค่ายกักกันเยาวชน  สิ่งที่เธอต้องแลกกับอิสรภาพคือการสมัครเข้าเป็นสมาชิก H.J. ที่ตัวเองเกลียดเข้าไส้  ด้วยความรักเพื่อน  Thomas ก็สมัครด้วยจะได้เป็นเพื่อนกัน  จากนั้น 2 คนนี้ก็เป็น H.J. by day, swing kids by night

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/27/J1XdwJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/J1XdwJ)


https://youtu.be/YibBVIYwQWs
Swing ให้มัน  ผมมั่นใจว่าถ้าผมเกิดในยุคเพลง Swing  ผมต้องเวียนว่ายอยู่บนฟลอร์อย่างแน่นอน

เพลงนี้ชื่อ Sing, Sing, Sing โด่งดังไปครึ่งค่อนโลกโดยฝีมือของ Benny Goodman Orchestra  มันเป็น 1 ในเพลงหัวหอกของเพลง Swing  ทั้งหลายที่ทำให้นักฟังเพลงที่ไม่ใช่แนวนี้ (เช่นผม) ต้องเคยได้ยิน (อีกเพลงอยู่ที่ ‘หมายเหตุ’)
https://youtu.be/r2S1I_ien6A


ฉากล้างสมอง
https://youtu.be/tvIE-Hmtg30
(0.23)
That is the Jews’ trick.
The Jew wants you to look at him as just another person.
But he does not look at you that way.
He is your enemy.
Do you know why?
Because you are superior to him.
You are special.
You belong to something special.
He is your brother.
All of you are brothers.
The same blood runs through your veins...
the blood of the greatest race on the face of this earth.


https://youtu.be/dVnPLIUPg5o
เมื่อ Arvid อาละวาดเพราะพวก Nazi เข้ามาก้าวก่ายในโลกของเธอ  แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดและเสียใจมากคือการกระทำของเพื่อนรัก Thomas


https://youtu.be/dVnPLIUPg5o
ช่วงหลังจาก 2.41 ใน clip  เป็นช่วงที่ขาดหายไป  ใน clip นี้หลังจาก Thomas พูดว่า 'We're coming after you next' Arvid ก็สวมหมวกแล้วเดินจากไป

แต่ในหนัง  หลังจาก Thomas พูดจบ Arvid ยังต่อปากต่อคำต่อว่า
- Quiz time... "Got your glasses on."
Thomas: What?
- Means you don't know who your friends are.

ทำไมต้องมีการตัดออกก็ไม่รู้

หลังจากฉากใน clip นี้ 2 คู่หูก็ทะเลาะกันเมื่อ Peter เห็นแจ้งว่า Thomas โดนล้างสมองไปแล้ว

Thomas (หลังจากมอง Arvid เดินจากไป): I can't believe I used to feel sorry for that traitor.
Peter: You're a real bastard. What the hell's gotten into you?
Thomas: What's gotten into me?
Peter: You don't really believe all that propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ... จาก Nazi), do you?
Thomas: Peter, Arvid's the one who's got his head full of propaganda. Did you hear him? He was actually defending the Jews.
Peter: But... but Benny (… Goodman - เจ้าของวง Big Band ที่พวกเขาคลั่งไคล้) is Jewish.
Thomas: Yeah. And see what that music's done to Arvid? It's perverted his brain.
Peter: Well, he (Arvid) is right! Listen to yourself! You're turning into a fucking Nazi!
Thomas: Oh, so what if I am?

Arvid หัวใจแตกสลายเมื่อความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทที่เคยยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันต้องมาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพียงเพราะโฆษณาชวนเชื่อ  เธอจึงฆ่าตัวตายในที่สุด


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 ธ.ค. 22, 15:09
Swing Kids ตอนจบ

อุดมการณ์ที่ต่างกันทำลายความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นกลมเกลียว   ฉากนี้เกิดขึ้นหลังจาก Thomas รายงานเรื่องพ่อตัวเองกับ Nazi  ทำให้โดนจับตัวไป
https://youtu.be/qRk9xhFCTEQ   


ฉากจบเมื่อ Peter ตัดสินใจว่าจะไปทางทิศไหน
https://youtu.be/XxsHcslu2D8

https://youtu.be/CwU4AGGZi9E
(0.05) คือ gestapo ที่แม่ของ Peter เคยขอให้ช่วยในครั้งที่ไปก่อเรื่องไว้  นักแสดงคือ Kenneth Branagh   ผมว่าหนังมาเสียตอนท้ายเรื่อง  มัน ‘ดราม่า’ เกินไป  นึกถึงหนังโบราณเรื่อง Shane

เพลงใน clip แรกชื่อ Bei Mir Bistu Shein เป็นเพลงของชาวยิวที่โด่งดังมาตั้งแต่ 1932 จนถึงปัจจุบัน  แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า To me you're beautiful/grand  ศิลปินที่นำเพลงนี้ออกสู่โลกกว้างคือวงประสานเสียงที่ดังที่สุดในยุค 30s Andrew Sisters เพลงขึ้นอันดับ 1 ในปี 1938
https://youtu.be/HkEEhy33D3s
(เพลงอยู่ในช่วงแรก   clip นี้ถ่ายเมื่อ 1955)


บทสรุปท้ายเรื่อง
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/28/JZVXDZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JZVXDZ)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/43GN5BAXuHQ


หมายเหตุ –
1 เพลง swing อีกเพลงที่ดังออกมานอกวงการ swing คือ In the mood (1939) ของ Glenn Miller Orchestra
https://youtu.be/c2aqHGaSxRI


2 วง Andrew Sisters นี่ผมรู้จักชื่อมาตั้งแต่เด็ก ๆ  พ่อเล่าให้ฟังน่ะ  พ่อบอกว่าในช่วงวัยรุ่น  คนไทยนักฟังเพลงฝรั่งจะได้ยินเพลงดังของวงชื่อ Rum and Coca Cola  ผมได้ยินชื่อแล้วอยากฟังจัง  แต่ตอนนั้นไม่รู้จะหาฟังได้จากที่ไหน  จนกระทั่งแผ่นซีดีถือกำเนิดถึงได้มีโอกาสซื้อมาฟังเพลงนี้  ตอนนั้นถ้ารู้ว่าต่อมา อตน. จะเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต  ผมคงไม่เสียตังค์ซื้อหรอก  ฟังจาก youtube เอาก็ได้  อย่างไรก็ตาม วงนี้ไม่ใช่วงโปรดของพ่อ  วงโปรดของพ่อคือ The Platters
https://youtu.be/WiayZdPESno



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 ธ.ค. 22, 12:17
คุยกับ 'จาร เรื่อง Rosemary Clooney ร้องเพลง Mambo Italiano  แล้วทำให้นึกได้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ได้ดู  มีชื่อเรื่องเหมือนเพลง  และเคยเขียนถึง

Mambo Italiano (2003) เป็นอีกหนึ่งหนังเกย์ที่สร้างจาก Canada  หนังเล่าเรื่องครอบครัวชาว Italian ใน Canada  มีลูกสาวกับลูกชาย  Angelo ลูกชายเป็นเกย์ที่เปิดเผยเฉพาะกับโลกภายนอก  แต่สมาชิกในครอบครัวไม่รู้เพราะถ้ารู้คงเกิดภาพที่เห็นในตัวอย่างหนัง

พออึดอัดนักเธอก็ย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง  แล้ววันหนึ่งก็พบกับ Nino เพื่อนสนิทสมัยนักเรียนที่แยกย้ายกันไป  ตอนนี้เป็นตำรวจหนุ่มหล่อ  ทั้งคู่สานความสัมพันธ์กันต่อจากสมัยเด็กที่ต่างยังไร้เดียงสากันอยู่  ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่กันแล้วถึงพบว่าที่เป็นเพื่อนรักกันในสมัยเด็กนั้น  ความจริงมันไม่ใช่รักแบบเพื่อนแต่เป็นรักแบบแฟน

หนังเข้าเรื่องเมื่อหนุ่ม A เกิดอยากและดำเนินการประกาศก้องให้พ่อแม่ของตนรู้บุคลิกที่แท้จริงของตัวเอง  แต่เพื่อความแน่ใจเธอจึงโทร. ไปปรึกษา ‘Gay Help Line’  
   
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ทำให้ครอบครัวตัวเองโกลาหลเท่านั้นแต่ทำให้ N แฟนหนุ่มที่ไม่เคยคิดจะประกาศตัวเองฉุนเฉียวถึงกับประกาศความแตกหัก  เมื่อกระแสที่หนุ่ม A ก่อขึ้นนั้นกระทบไปถึงหูแม่ของเขาและทำท่าจะลุกลามไปถึงวงการอาชีพตำรวจที่เขาทำงานอยู่  หนุ่ม A จะแก้ไขความผิดพลาดนี้ได้อย่างไร

ตอน ‘โหลด’ มาดูก็ไม่ได้หวังอะไรมาก  ผมไม่เข้าใจว่า หนังเกย์ก็เหมือนหนังปกติ  เพียงแต่ ‘พระเอกนางเอก’ เป็นผู้ชายทั้งคู่หรือหญิงทั้งคู่  ก็น่าจะสามารถสร้าง plot เรื่องให้หลากหลายเหมือน plot เรื่องหนังปกติทั่วไปได้  แต่เปล่า  Plot หนังแนวนี้ (สำหรับ ชายกับชาย) ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับ ‘coming of age’ บ้าง วิธีเปิดเผยตัวตนกับสังคมบ้าง  โรค aids บ้าง  ค้นหาตัวตนบ้าง  หรือเกี่ยวกับเรื่อง homophobia บ้าง  อ้อ... เขียนถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ว่าเคยดูหนังเกย์เป็นหนังชุดทางทีวี  plot เรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพรางซึ่งสนุกไม่แพ้หนัง ‘ปกติ’ เลย  แถมได้ตั้ง 4 ดาว  แต่ไม่มีผู้สร้างอื่นต่อยอดเลย

สำหรับหนังเรื่องนี้ปรากฏว่าสนุกสนานมาก ๆ ๆ  มีฉากตลกขำขันประปราย  ส่วนใหญ่ล้อเลียนสังคมชาว Italian ที่เอะอะโผงผาง  
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/29/JcvrVS.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JcvrVS)


บุคลิกแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในสังคมไทยแสดงว่าเดี๋ยวอาจต้องมีการปะทะอาจตามด้วยการใช้กำลัง  แต่ในสังคม Italian ถือเป็นเรื่องปกติ  กะอีแค่ลูกชายตัดสินใจเลือกอาชีพเขียนบทหนังแทนอาชีพนักกฏหมายที่พ่อแม่อยากให้เป็น
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/29/JcvGoy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JcvGoy)


หรือจะย้ายออกไปอยู่ตามลำพังพ่อแม่ก็ฟูมฟายเหมือนโลกจะแตก  
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/29/JcvJJD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JcvJJD)


หรือตอนลูกชายประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์พ่อแม่ก็โวยวายเหมือนโลกจะถล่ม
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/12/29/Jcveh9.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Jcveh9)


เสียดายตรงที่ความเป็นหนังนอกกระแสจึงหาคนย่อย clip มาลง youtube ได้น้อยมาก  ที่มีมาลงก็ไม่โดนใจเลย (คือฉากตลก ๆ ไม่มีเลย) การหา clip มาสนับสนุนการเล่าเรื่องไม่ได้ เป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้การเล่าเรื่องหนังมีความสนุกน้อยลง... และน่าเบื่อ

Clip เล่าเรื่องครอบครัวของหนุ่ม A ที่ตั้งใจจะอพยพมาอยู่ America  แต่เกิดเข้าใจผิดเลยไปลงเอยที่ Canada
https://youtu.be/yiCb47qSj0k
(หมายเหตุ – ผมไม่เข้าใจมุขนี้เลยแม้แต่น้อย  ใครดูแล้วเข้าใจมุขว่ามันน่าขำอย่างไร  ช่วยแจงด้วย)


Clip ที่หนุ่ม A ตัดสินใจบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์  หญิงสาวคือพี่สาวของหนุ่ม A มีบุคลิกโผงผาง  สมัยเด็ก ๆ เธอชอบดูดไอติมแท่ง  น้องชายล้อว่า ‘ice sucker (เชื่อมมาจาก icicle + sucker)’  พอโตขึ้นเธอชอบ ‘performing oral sex’  ซึ่งหนุ่ม A  เหน็บว่า ‘finally what she has liked to do since being young has paid off’
https://youtu.be/JofnygFPX6g
Youtube แปลเอาไว้เพี้ยน  ขอแก้ไขเฉพาะที่จำเป็น...
0.45 My son just amusing almost Australia = My son told me he's omosessuale (= homosexual in Italian)
1.04 Aki = Hockey


Clip นี้พ่อแม่ของหนุ่ม A ตัดสินใจเผยความลัพธ์ของลูกชายตัวเองให้กับแม่หนุ่ม N  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นเกย์และเป็นแฟนกัน  ความตลกอยู่ที่ควรจะตกใจที่เพิ่งมารู้ความลับของลูกชายตนว่าต่างเป็นเกย์  กลับไปสนใจว่าใครเป็นฝ่าย ‘bang = ขี่’ ใคร
https://youtu.be/FIoPL3xt75Y


Clip นี้เกิดขึ้นหลังจากหนุ่ม N รู้สึกเหมือนโดนหักหลังจากการที่หนุ่ม A เปิดเผยตนแล้วมีผลกระทบ  เธอก็เลยแยกตัว  หนุ่ม A ก็เลยไปสมัครเป็นอาสาสมัครของ GHL แก้กลุ้ม  หนุ่ม A ไม่มีนิสัยแต๋ว  พอมาเจอผู้ขอความช่วยเหลือที่เป็นแต๋วแหววก็เลยอดขำกับปัญหาของเขาไม่ได้  หนุ่มอีกคน (0.30) คือ จนท. ของ GHL ที่กำลังทำหน้าที่คุมงานหนุ่ม A  ทั้ง 2 รู้จักกันมาตั้งแต่ต้นเรื่อง (ผ่านทางการพูดคุยทางมือถือ  เคยเอ่ยถึงไปแล้ว) ซึ่งหลังจากได้สัมผัสบุคลิกน่ารัก ๆ ของหนุ่ม A แล้วก็แอบหลงรัก
https://youtu.be/dik9ApK33TA


Clip นี้เขียนกำกับไว้ว่า 8/9  แสดงว่าต้องมีทั้งหมด 9 ตัว  แต่ปรากฏว่ามีแค่ 4 คือ เริ่มตั้งแต่ตัวที่ 6 เป็นต้นไป  แปลกดี (อ้อ... คนย่อย clip ทำบทพูดกับการขยับปากไม่พร้อมกัน เสียอรรถรสความตลกไปเยอะ  แต่ก็ยังดี  ตั้งใจดูหน่อยครับ)
https://youtu.be/DR8uABRMcxM

https://youtu.be/J800eoYPNyc
2 clips นี้ต่อกัน  คนเขียนบทให้พ่อแม่ของทั้งสองหนุ่ม (หนุ่ม N มีแค่แม่) มีบุคลิกตลกน่ารัก  โผล่ออกมาทีไรขำกลิ้ง โดยเฉพาะช่วง 1.20 และตอน 6.46 ของ clip แรก ฉากนี้เกิดขึ้นหลังจากฉากอลเวงของ 2 ครอบครัว  อันทำให้หนุ่ม A ฉุนเฉียวถึงกับอาละวาดกับพ่อแม่  เธอสำนึกผิดก็เลยหาโอกาสมาขอโทษที่นี่เพราะรู้ว่าพ่อแม่มาโบสถ์เป็นประจำ  ฉากนี้ก็สุดแสนจี้  ส่วนตอนกลางของ clip ที่ 2 เป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง  ผู้สร้างหลอกให้คนดูหลงคิดว่าหนุ่ม A จะรุดไปขวางพิธีแต่งงานของหนุ่ม N  แฟนใหม่ของหนุ่ม A ไม่ใช่คนหน้าใหม่  ผมเคยบอกว่าเป็นใครมาก่อนหน้านี้แล้ว


ดูจบด้วยความอิ่มใจ  เป็นหนังเล็ก ๆ ที่สนุกเกินคาด  แล้วตอนจบก็ไม่น้ำเน่า  ข่าวบอกว่าหนังทำรายได้มากถึง 80% ของต้นทุนตั้งแต่ยังไม่ออกฉายเพราะการตลาดรวมถึงตัวหนังเอง


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/1yxsqRcWUdo


เจอกันปีหน้าครับ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ม.ค. 23, 17:01
ขอนำหนังเรื่องนี้มาเสนอ  เนื่องในคริสต์มาสที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง

https://www.youtube.com/watch?v=qf1NZ_Nh3-s


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ม.ค. 23, 11:49
ผมเคยได้ยินชื่อนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อ Simone Signoret มาตั้งแต่ยังละอ่อน  จะจากใครถ้าไม่ใช่กูรู Starpics
 
กูรูสอนอ่านชื่อดาราได้ถูกคือ ซีโมน ซินญอเร่  อ่านชื่อออกแล้วหลงรักทันที  ผมว่าชื่อเธอคลาสสิก  แม้จะเป็นชื่อทางการแสดงก็ตาม  ผมว่าชื่อเธอไปได้ดีกับหน้าตาที่เซ็กซี่มาก
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/02/JQtDhg.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JQtDhg)


SP บอกว่าเธอเคยได้ Oscar จากเรื่อง Room at the top (1959) หนังจากอังกฤษที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มละอ่อนที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่ในที่สุดก็ไปหลงรักสาวใหญ่ที่ช่ำชองชีวิตแต่กลับไม่มีความสุขในชีวิตคู่ของตัวเอง
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/02/JQwNWN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JQwNWN)


หนังชวนให้ติดตามตลอดเรื่อง  ส่วนหนึ่งเพราะผมติดใจหน้าตาของ SS มาก  บอกไม่ถูก  เป็นคนสูงอายุที่ Sex appeal เปล่งประกาย

หนังเรื่องนี้ได้ทั้งเงินและกล่อง  ดารานำได้ชิงทั้งคู่รวมถึงตัวประกอบหญิงที่เด่นไม่แพ้กัน
https://youtu.be/FUl6-PEPtN8


ฉากนี้เห็นการประชันกันระหว่างดาราทั้ง 3  มี SS ในบทสาวใหญ่ใจเหงา, Laurence Harvey ในบทชายหนุ่มละอ่อน และ Hermione Baddeley ในบทเพื่อนของ SS ที่เป็นเจ้าของแฟลตที่ให้ SS เช่าด้วย  ในช่วงท้ายของ clip ซึ่งเป็นการตัดต่อ  เกิดขึ้นเมื่อ LH จำต้องบอกเลิกความสัมพันธ์กับ SS  เพราะสาวคนรักของหนุ่มเกิดท้อง  SS เสียใจมากเลยฆ่าตัวตาย  HB รู้ข่าวก็มาประณาม LH ว่า ‘ฆาตกร’  

การแสดงของ HB สุด ๆ  Wikiฯ บอกว่าการแสดงของเธอตลอดทั้งเรื่องกินเวลารวมกันไม่เกิน 3 นาที (2 นาที 19 วินาที) แต่ได้เข้าชิง Oscar  เป็นสถิติที่ยังไม่มีใครทำได้ถึงบัดนี้
https://youtu.be/-nijrm1i8nQ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ม.ค. 23, 14:07
Simone Signoret ได้เข้าชิง Oscar อีกครั้งในปี 1966 จากบทในเรื่อง Ship of fools (1965) เล่าเรื่องผู้โดยสารนานาชนชั้นบนเรือโดยสารที่ออกจากท่าแห่งหนึ่งใน Mexico มุ่งหน้าไปยังเยอรมันในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้ง 2  
https://youtu.be/mUFQYnMCwaQ


ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันซึ่งมีทั้ง ‘แท้’ และ ‘ผสม’ คือมีเชื้อสายยิวผสมอยู่ด้วย  แม้สงครามโลกครั้ง 2 จะยังไม่ระเบิด  แต่ความเกลียด ยิว ก็เริ่มระอุขึ้นแล้วโดยที่คนยิวก็ไม่เข้าใจว่ามันจะให้ผลร้ายอย่างไร ‘ถึงพวกผมเป็นยิว  แต่พวกผมก็เกิดในเยอรมัน พวกเค้าจะทำอะไรฮึ  เข่นฆ่าพวกผมทั้งหมดงั้นรึ’
https://youtu.be/dnt78zTfzLc


ในเรื่องนี้มีดาราคนโปรดของผมเล่นถึง 2 คน  คนแรกคือ SS เธอเล่นเป็นเคานเตสจากคิวบาที่ติดยาและกำลังเดินทางไปเข้าคุกที่เกาะคานารีข้อหาซ่องสุมให้ความช่วยเหลือกบฏ  ระหว่างเดินทางเธอตกหลุมรัก (และพยายามยั่ว) หมอหนุ่มประจำเรือ (จนสำเร็จ)
https://youtu.be/o3EunBhTZUM
(นี่คือฉากท้ายเรื่อง (ภาษาอะไรก็ไม่รู้  ดูแค่ภาพก็แล้วกัน) เมื่อเรือมาส่งเธอ  และมีทหารมาคุมเพื่อไปรับโทษ – ทำไมผมชอบหน้าผู้หญิงคนนี้จังก็ไม่รู้)


อีกคนคือ Vivien Leigh ในบท Mrs. Treadwell แม่หม้ายสาวใหญ่ขี้เมาชาวอเมริกันตอนใต้ที่ไม่ยอมรับว่าเวลารุ่งเรืองและความสวยสดของตนได้ผ่านไปแล้ว  บทของเธอเด่นพอ ๆ กัน  โดยเฉพาะ 3 ฉากนี้

เมื่อเธอโดนเจ้าหน้าที่ประจำเรือจีบ  แต่ความถือตัวเลยโดนด่าแบบแสบสันต์ (0.50)
https://youtu.be/dDcbvwzj3xo


ระหว่างเดินทางกลับห้องพัก เธอนึกถึงวันเวลาในอดีตที่รุ่งเรือง  VL เต้นจังหวะ Charleston ได้สวยมาก  ข่าวลอยมาว่า  ฉากที่ VL เต้นรำนี้เอาตัวเธอกับเพลงมาประกอบเข้าด้วยกัน  แต่ดูเนียนเหมือนเปิดเพลงแล้วเต้นตาม  แม้แต่ ผกก. เมื่อมาดูทีหลังยังประทับใจ
https://youtu.be/3D11ukNIpx4


ขณะกำลังหมดอาลัยตายอยากกับความสวยสดที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้  เธอก็โดนปล้ำโดย Lee Marvin ไอ้ขี้เมาที่ตั้งใจจะเข้ามาปล้ำสาวอีกคนแต่สาวดันให้เบอร์ห้องของ VL ไปแทน  เพราะสาวเธอไปหมั่นไส้ VL มาก่อน  เรื่องเลยโอละพ่อ (ฉากที่เธอเปิดประตูแต่พลาด (0.48 ของ clip ที่ 2) ไม่รู้เป็นไปตามบทหรือพลาดจริง ๆ  แต่ตลกดี  ตอนเธอสะบัดหน้าเชิดก่อนหน้าเดินไปเปิดประตูก็ตลก)
https://youtu.be/tC4op3neOvg

https://youtu.be/aS6ZVA8C5LE


จาก 3 ฉากนี้  ถ้าสังเกต (ดีๆ เพราะผมต้องดูแล้วดูอีก) จะเห็นว่าเหตุการณ์ 2 clips แรก  หน้าของ VL นุ่มนวล  นั่นเป็นเพราะ ผกก. ใช้เลนส์ ‘soft’  (ที่ใช้มาแต่ต้นเรื่อง) แต่พอมา clip ที่ 3 และ 4  ผกก. ใช้เลนส์ ‘คม’ เน้นความโทรมของเธอให้ชัดอย่างไม่ปรานี (ข้อมูลจาก Wikiฯ น่ะ)

ตอนเล่นเรื่องนี้ VL อายุ 52  เสียงต่างจากเสียงสาวตอนเล่นเป็น Scarlett O’ Hara จนน่าตกใจ
  
การที่ VL ดูเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัดเป็นเพราะเธอป่วยเรื้อรังด้วยโรคทางสมองที่เรียกว่า bipolar disorder  ที่มีผลกระทบต่อร่างกายและอารมณ์ ในช่วงการถ่ายทำเรื่องนี้เธอแสดงอาการป่วยออกมาเป็นระยะ ๆ
 
ฉากที่โดน จนท. เรือดูถูก (clip แรก) เบื้องหลังกองถ่ายฯ สังเกตว่าเธอคุมอารมณ์เกือบไม่อยู่  นักแสดงเป็น จนน. เรือ  มาสารภาพว่าตอนนั้นเสียวว่า VL จะกรี๊ดแตก  แต่กล้องก็ยังยิงต่อไป

ส่วนฉากที่เธอเอารองเท้าส้นสูงตอกหน้า LM ใน clip ที่ 4  เป็นของจริงเพราะ VL ‘อิน’ กับบทจนอารมณ์พุ่งปรี๊ดแล้วกระหน่ำใส่ LM จนหน้าแตกเป็นแผลเป็นติดตัวไปเลย

อย่างไรก็ตาม นักแสดงหลายคนเข้าใจในความป่วยของเธอ  อันรวมถึง LM ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนซี้กับเธอ ล้วนต่างให้อภัยและให้กำลังใจ  เธอตายในปีถัดมา  นี่เป็นบทสุดท้ายของเธอบนจอหนัง  นักวิจารณ์ล้วนสรรเสริญในความกล้าหาญของเธอที่รู้ว่าป่วยมากแต่ยังสามารถสวมบทหนัก ๆ ได้

...Leigh's last screen appearance in Ship of Fools was both a triumph and emblematic of her illnesses that were taking root.

Producer and director Stanley Kramer, who ended up with the film, planned to star Leigh but was initially unaware of her fragile mental and physical state.

Later recounting her work, Kramer remembered her courage in taking on the difficult role, "She was ill, and the courage to go ahead, the courage to make the film—was almost unbelievable."

Leigh's performance was tinged by paranoia and resulted in outbursts that marred her relationship with other actors, although both Simone Signoret and Lee Marvin were sympathetic and understanding.

In one unusual instance during the attempted rape scene (clip 3), Leigh became distraught and hit Marvin so hard with a spiked shoe that it marked his face.

Leigh won the L'Étoile de Cristal for her performance in a leading role in Ship of Fools. (แต่ไม่ได้เข้าชิง Oscar)

Upon her death which was publicly announced on 8 July 1967, the lights of every theatre in central London were extinguished for an hour.
(ข้อมูลจาก Internet movie data base)

หมายเหตุ - นำเสนอ VL บนเวที Broadway ละครเพลงเรื่อง Tovarich (1963)  เธอได้รับรางวัล Tony จากบทในเรื่องนี้  แต่เล่นได้ไม่นานก็ต้องถอนตัวเพราะป่วย

https://youtu.be/O7Ghdnfo21E
(ช่วง 3.10 เธอเต้นได้พริ้วและเบาหวิวมาก  ตอนนั้นเธออายุ 50 ปีแล้ว)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/03/JUXqSV.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JUXqSV)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 ม.ค. 23, 12:00
The Legend of 1900 (1998) อ่านแค่นี้ไม่มีทางนึกออกว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร

https://youtu.be/luSMZGtTth4
ขอบคุณ คุณ Talk A Film


ฉากเปิดเรื่อง
https://youtu.be/hEW_TuCRQwE


2.34
https://youtu.be/9zEHFn6TD5k


2.49
https://youtu.be/-6BvZU3FvUs


3.10
https://youtu.be/CjiPmp4OmyE


4.22
https://youtu.be/E8GEeY-RlmM


5.00 - ฉากดวลเพลงระหว่าง ตำนานนักเปียโนแนว jazz แห่ง New Orleans ชื่อ Jelly Roll Morton (มีตัวตนจริง) กับ นาย 1900
https://youtu.be/6yHLYc8IJT0

https://youtu.be/hr7Mk0ODzI0

https://youtu.be/MjhM7-8UlDI


7.27 - อัดเสียง
https://youtu.be/I3Qptz2ozrg


ตอนจบของ 1900
https://youtu.be/0Xe3l2w_BMc


ตอนจบของหนัง
https://youtu.be/66exR7sm4-I


ถ้าได้ดูในโรง ฯ คงให้บรรยากาศที่แจ๋วกว่านั่งดูอยู่หน้าจอทีวี  หนังเน้นเรื่องเพลงเป็นส่วนใหญ่  clip ที่นำมาเสนอก็เลยเกี่ยวเพลงที่ทำโดย Ennio Merricone นักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/2uf-LDlZMFE

หมายเหตุ - clips ค่อนข้างสับสนเพราะผมทำเรื่องนี้มานานแล้ว  ตอนเอามาลงปรากฏว่าติดลิขสิทธิ์  เล่นไม่ได้หลาย clip  ตอนนี้ผมก็ไม่มีเวลามากพอจะมาพิจารณาว่าที่หามาใหม่แทนที่ได้เหมาะสมหรือไม่  นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เริ่มเบื่อ  ต้องขออภัย



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ม.ค. 23, 11:47
หนัง The Nice Guys (2016) เป็นหนังตลกแอคชั่นแนว neo-noir เกี่ยวกับ 2 คู่หู (เกิดขึ้นด้วยความจำใจ) คนหนึ่ง (Ryan Gosling = Holland March) เป็นนักสืบเอกชนที่เรียบร้อยออกไปในทางปอดแหก อีกคนหนึ่ง (Russell Crowe = Jackson Healy) เป็นชายที่มีปัญหากับการควบคุมอารมณ์ที่ชอบตัดสินด้วยกำลัง  มาร่วมมือกันแบบเฉพาะกิจเพื่อตามหาหญิงสาวที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
https://youtu.be/LQg9H2Bh-Lg
(ขอบคุณ คุณ Sunii)


ตรงตามที่พ่อหนุ่มบอกว่า plot ซับซ้อน ถ้าเขียนอธิบายก็เรื่องใหญ่  เอาเป็นว่าชมฉากตลก ๆ ที่ยิงเข้าใส่ตาคนดูอย่างต่อเนื่อง

ท้องเรื่องของหนังเกิดในปี 1977  รถอเมริกันสวย ๆ ทั้งนั้น  ตอนนั้นคันยังใหญ่เท่าบ้าน

ฉากเริ่มต้น (บรรยากาศย้อนแนวหนังนักสืบในยุค 70s)  การตายอย่างมีปริศนาของดาราหนังโป๊ Misty Mountain ซึ่งไปเกี่ยวพันกับการหายตัวของหญิงสาวอีกคน
https://youtu.be/fkUg2E8Tfvg


อาชีพของ Jackson Healy
https://youtu.be/QbqwOhBkQFw
(1.18) But if you got trouble with someone or someone's messing around with your underage daughter, you might ask around for me, Jackson Healy  นี่คืองานของเธอ


อาชีพของ Holland March
https://youtu.be/ZetBTl4PMxY
(อย่าลืมอ่านคำบรรยาย  จี้ดี)


ฉากตลกทั้งนั้น
https://youtu.be/KGp9PHF5tus
(0.29) That's a lot of blood!


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ม.ค. 23, 15:17
The Nice Guys กันต่อ...

2 หนุ่มเจอกันครั้งแรกในบรรยากาศที่ไม่สวยนัก
https://youtu.be/-wBOjw_08o8

https://youtu.be/vyYm6xrjKyE


การพบกันอีกครั้ง  คราวนี้แบบเป็นการเป็นงาน
https://youtu.be/LPuY2U04mS4

https://youtu.be/3Y6_CuuvA5E
(0.22) You beat people up and charge money?


https://youtu.be/s4Sy0ZaqKO0
dick (slang) = ไอ้จู๋
(0.12 ... or you can blow = to do the oral sex)
(1.16 ... Fags! (ย่อมาจาก faggots) = อีตุ๊ดเอ๊ย )


มุขนี้จี้สุด ๆ คิดได้ไงอ้ะ
https://youtu.be/6IEm7RHZMI0


ฉาก action ยังแฝงความตลก
https://youtu.be/QQAd5xx0XHc


นักแสดงผู้สวมบทนักฆ่าหน้าเหี้ยม John Boy ชื่อ Matt Bomer (ปานที่กรามเป็นของปลอม)  ในชีวิตจริงเธอเป็นเกย์ที่ (รวมรวบความมาว่า) น่ารักมาก ๆ  ไม่มีข่าวอื้อฉาวใด ๆ  จริตออกไปทางเรียบร้อย  นี่คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของวงการแสดง

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/10/Jsl1uZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Jsl1uZ)


https://youtu.be/3snpAmY2xeE

https://youtu.be/bKWBb1_NJe8
(ในยุค 70s รถอเมริกันยังคันใหญ่ยักษ์อยู่  สวย ๆ ทั้งนั้น)


ถ้าฉากเหล่านี้ถูกใจ  กรุณาหาหนังมาดูจะถูกใจยิ่งขึ้น  เพราะฉากมัน ๆ ไม่ได้มีแค่นี้  บางฉากก็จี้แต่ไม่มีใครเอามาปล่อย  เช่นฉากตามหาคนในสถานที่ที่กำลังจัดประท้วงกันอยู่  อย่างไรก็ตาม หนังไม่ได้มีแต่ฉากฮา  ฉากโหด ๆ ก็มีโดยเฉพาะตอนท้ายเรื่อง  เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้เหมือน ต้มยำที่รสจัดจ้าน  น่ากินเป็นที่สุด

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/GQR5zsLHbYw


clip ตลกเพื่อสนับสนุนหนัง
https://youtu.be/49ifhCQvpVQ


มีต่อ...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 ม.ค. 23, 12:07
The Nice Guys ตอนจบ

นักแสดงนำในหนังที่ผมอยากคุยถึงคือ Ryan Gosling  ผมเคยเห็นเธอครั้งแรกในหนัง Remember the titans (2000) เกี่ยวกับวงการอเมริกันฟุตบอล  ตอนนั้นเธอเป็นแค่นักแสดงประกอบ  หน้าตาเห่ย ๆ  นึกไม่ถึงว่าต่อมาความสามารถในการแสดงของเธอจะจัดให้เธออยู่ในขั้นนักแสดงแนวหน้าคนหนึ่ง คือได้ชิง Oscar ถึง 2 ครั้ง  อันหมายความว่า ‘ไม่ฟลุค’
https://youtu.be/yK3Y4Ctjv70


เท่าที่ได้รวบรวมมา RG เธอเป็นคนน่ารัก  ไม่ขี้โอ่  เป็นกันเองและมีอารมณ์ขัน  นี่เป็นอีก clip หนึ่งที่แสดงความน่ารักของเธอ  เธอได้ไปออกรายการ Saturday night live อันเป็นรายการ variety show ออกสด  ที่ดังที่สุดของอเมริกา  รายการมีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ยุค 70s บางคนคงเคยได้ยินชื่อมาบ้าง

ในช่วงหนึ่งของรายการจะมีฉากละครตลกที่เล่นกันต่อหน้าผู้ชม (บ้านเขาเรียกว่า sketch)  ใครตีหน้าตายได้ก็ทำไป  ใครหลุดก็ฮาไปเลย  อย่างที่ RG เธอหลุดเละเก็บไม่หมด  ละครตอนนี้ใช้ชื่อว่า Close encounter เป็นฉากการสัมภาษณ์ผู้ที่โดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป  ชุดนี้อยู่ในปี 2015 หลังจากจบรายการ  poll ความนิยมพุ่งสูงลิบเพราะมันตลกจริง ๆ  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความน่ารักของ RG

https://youtu.be/PfPdYYsEfAE

ลองดูว่าคนไทยจะขำกับมุขของเขารึเปล่า  ผมแนบบทพูดมาให้เพื่อช่วยในการขำ

ตัวละครอื่น ๆ คือนักแสดงประจำของรายการ  หญิงสาวเห้ว ๆ สูบบุหรี่ที่นั่งอยู่ซ้ายมือของกลุ่มผู้ถูกลักพาตัวคือ Kate McKinnon ในละครนี้เธอยิงมุขตลกไม่ยั้ง  ผู้คนรับกันไม่ไหว  หลุดกันหมดทั้งบนเวทีและนอกเวที  ตอนนี้เธอก้าวมาเล่นทั้งหนังโรงและทีวี  เธอกวาดรางวัลไปหนึ่งกระตั๊กจากความสามารถของตัว  ผมชอบจมูกของเธอ  ได้รูปสวยงามทำให้หน้าเธอดูสวยทีเดียว  โดยเฉพาะตอนยิ้ม  ยิ้มสวย  เธอเป็น lesbian แบบเปิดเผย

อ้ะ... มาชมกัน

Aidy: I am agent Loris with the NSA and this is special agent Kerpatrick.  Now we know, you’ve all been through quite an ordeal. So, we appreciate you making a trip to Washington on such short notice.

Bobby: Yes. You three experienced the first verified case of alien abduction. So, naturally you are great interest of United States government.

[Cut to Sharon = KM, Ms. Raperdy and Tod = RG]
Sharon: It’s nuts, man! I mean, we’re just small town buds who saw a UFO in the woods. I mean, we never hand out with the government.

[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: Okay, now, after the blue light pulled you into the space craft, what is your next memory?

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod]
Sharon: I came to (สำนวนหมายถึง ตื่น (ฟื้น) ขึ้นมา) and saw a beautiful being made of like a beautiful calming light.
Tod: Yea, same here. That being touched my head and I felt every emotion in it’s purest form. It was amazing. I cried, sir.

[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: Okay. And you, Ms. Raperdy?

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod. Ms. Raperdy is smoking a cigarette.]
Ms. Raperdy: Wow, what floor were you guys on (พวกแกอยู่บนชั้นไหนของยานวะ)? I woke up in a dirty middle dome and 40 little gray aliens watch me pee (ฉี่) in a steel bowl. And they took the bowl and walked out.

[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: Interesting. Were these beings also bathed in light?

[Cut to Ms. Raperdy]
Ms. Raperdy: No. They were grey with big fat eyes, little mouths. They just stared while I peed. I don’t think I was dealing with the top brass (= alien ระดับหัวหน้า  เธอหมายถึง ‘แม่งมองกูฉี่  ไม่เคยเห็นหรือวะ  ไม่มืออาชีพเลย’).

[Cut to Aidy and Bobby]
Aidy: And how did they instruct you to urinate? Was that telepathically (พวกเขาใช้กระแสจิตบอกคุณว่าให้คุณฉี่ที่ไหนเหรอ)?

[Cut to Ms. Raperdy]
Ms. Raperdy: Um, no. I woke up, I had to pee like a camel (ใครที่ไม่เคยเห็นอูฐฉี่จะนึกภาพไม่ออก  ลักษณะการฉี่ไม่เหมือนหมาแมว  ผมเห็นตอนอยู่ที่ทะเลทรายในอินเดีย  เวลามันฉี่เหมือนเราเทเหยือกใส่น้ำเต็มเปี่ยมลงพื้น ซ่า...). So, I started peeing and one of the grey aliens slapped the wall and pointed at the bowl. So I got the hint. I kind of duck-walked (นึกถึงภาพเป็ดเดิน เพราะตอนนั้นเธอฉี่ออกมาแล้ว  กลั้นไม่ได้) over the bowl, peed in it.

[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: Yes, I see. Now, when you all awoke, were you clothed?

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod]
Sharon: I was wrapped in like, a robe, man. Warm, glowing energy.
Tod: Yeah, like a blanket made out of pure love.
Ms. Raperdy: Yeah, it worked different for me (ของชั้นเป็นอีกแบบว่ะ). Um, I had the shirt I came in with but my pants were gone. So, my cuckoo (จิ๋ม) was out. It’s full porky pig (ดูรูปข้างล่างประกอบ) in a drafty (ลมพัดโบก) dome.

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/11/JCkOpl.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JCkOpl)
(นี่คือ Porky Pig ตัวการ์ตูนดังของอเมริกา – ตอนนั้นสภาพของ Ms. Raperdy เป็นแบบนี้)


[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: Now, did you all stay on the same ship the entire time? Or…?

[Cut to Sharon and Tod]
Tod: Well, you know, my body did but my consciousness was shown what lies beyond time and space. [sobbing] It was so beautiful. I’m sorry, I’m just crying about this thing a little bit.

[Cut to Aidy and Bobby]
Aidy: Okay. Do you need a tissue?

[Cut to Sharon and Tod]
Tod: What? No. Sorry, I’ll use my shirt.
Sharon: Um, the aliens showed my mind the Furness of all creation that we would call god.

[Cut to Ms. Raperdy looking at Sharon and Tod]
Ms. Raperdy: What? These fancy cats (โจ๊กที่ฝรั่งใช้แดกดัน ถ้าผมจะแปลก็ ‘อะไรวะ อีเพ้อเจ้อสองตัวนี่...’) are seeing god. Meanwhile, I’m starting phase two which is me sitting on a stool while 40 grey aliens take turns gently batting my knockers (แสลง = นม). Did y’all get the knocker stuff?

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod]
Sharon: No.
Tod: No.
Sharon: No knocker stuff. Sorry.

[Cut to Aidy and Bobby]
Aidy: And, did you feel threatened, Ms. Raperdy?

[Cut to Ms. Raperdy]
Ms. Raperdy: No, no, no, no, no. They were real respectful about it. They were in a line and then one by one, they’d step up, slap a knocker, and then go to the end of line and wait for another turn. It didn’t hurt. It was like, I’m sorry, pardon me Sharon. [Cut to Sharon and Ms. Raperdy. Ms. Raperdy starting patting Sharon’s breasts.] It was like that. No harm, no foul.
Sharon: It hurts a little. It hurts.

[Cut to Aidy and Bobby]
Aidy: Perhaps they were collecting biological data (เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเก็บข้อมูลทางชีววิทยาปะคะ)?

[Cut to Ms. Raperdy]
Ms. Raperdy: No. No. It felt super off the books (ชั้นว่าแม่งทำนอกตำรามากกว่า). I swear to god, there was one grey alien by a door just kind of peeking in and out. I think he was the lookout (ในที่นี้ – คนคอยดูต้นทาง). Look, it wasn’t my worst Wednesday night (ผมว่าเป็นมุขของวัฒนธรรมทางตะวันตก ลึกเกินกว่าจะเข้าใจ คาดว่า วันพุธ เป็นวันกลางอาทิตย์  ให้ความรู้สึกสุดเซ็ง)

[Cut to Aidy and Bobby]
Bobby: And how did the aliens returned you all to earth?

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod. Tod is laughing hard covering his mouth.]
Sharon: Oh, I was carried down gently. [Sharon looks at] He’s crying. I was carried down gently in a cradle of light placed into a soft bed of wallflowers.
Tod: Yeah. Yeah. The light layed me down like a baby in a meadow near my house. I was smiling and weeping tears of joy, sir.
Ms. Raperdy: Alright, now this misses me a little bit. Coz, my grand exit (ทางออกจากยาน) was out of what was basically like a big airplane toilet (ส้วมบนเครื่องบิน – นึกภาพเวลากดปุ่ม  ของเสียจะไหลเป็นวงลงไปสู่รูที่ก้น), okay? I dropped down seven feet on the roof of a long John Silvers (ร้านอาหารทะเลประเภท fast food ที่มีสาขามากมายทั่วประเทศ). They threw out my pants separately. They missed the roof. My slacks (= pants) landed on a freaking pine tree, 30 feet away. So, I had to just chill up there with my damn cuckoo and Prune shoes (ยี่ห้อรองเท้าที่เจ้าตัวใส่อยู่) hanging on till the place opened up (ถ้าจะแปลก็ - ชั้นก็เลยต้องยืนตากจิ๋มโต้ลมหนาวตัวสั่นรอจนกว่าร้านจะเปิด).

[Cut to Sharon, Ms. Raperdy and Tod. Tod is laughing hard covering his mouth.]
Sharon: Man!
Tod: Man, you got screwed (เซ็งชิบหายไปเลยเธอ).
Ms. Raperdy: Oh, you think Tod?

[Cut to Aidy and Bobby]
Aidy: Well, we’d like to take you guys for physical examinations now.

[Cut to everybody]
Ms. Raperdy: Yeah, alright. There’s gonna be a knocker stuff (จะมีรายการ ตบนม อีกรึเปล่า)?
Aidy: Possibly. I’m sorry (น่าจะนะก๊ะ โทษที).
Ms. Raperdy: Na-na. Don’t be. Just be gentle (ฮู้ย... ช่างแม่งเหอะ  ขอเบา ๆ หน่อยละกัน) cos, it’s gonna be super banged up (มันก็เจ็บไม่ใช่เล่น). Tell me about god. What’s god deal?
[The End]

--- ‘ดัน’ สุดขีดแล้วนี่ หวังว่าคงจะขำบ้างนิ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ม.ค. 23, 12:14
Borat! Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan (2006) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า Borat เป็นหนังตลกถากถางเล่าเรื่องของ Borat ผู้สื่อข่าวชาว Kazakhstan ที่เดินทางไปอเมริกาเพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตคนอเมริกันในแง่มุมต่าง ๆ

เขาโหมโรงสารคดีของตนด้วยการแนะนำตัว
https://youtu.be/jTx5c-2QOXc
My name Borat. I like you. I like sex. It's nice.
This my country of Kazakhstan. It locate between Tajikistan and Kyrgyzstan...and a**holes Uzbekistan.
This my town of Kuzcek. This Urkin, the town rapist. Naughty, naughty.
Over here, our town kindergarten. And here live Mukhtar Sakanov, town mechanic and abortionist.
This my house. Entry, please.
He is my neighbor, Nursultan Tulyakbay. He is pain in my a**holes. I get a window from a glass, he must get a window from a glass. I get a step, he must get a step. I get a clock radio, he cannot afford. Great success.
This is Natalya. She is my sister. She is number four prostitute in all of Kazakhstan. Nice.
This is my mother. She oldest woman in whole of Kuzcek. She is 43. I love her.
And this my wife, Oxana. She's boring.
What you say about me, you skinny piece of sh*t?
Not now, please. Why don't you do something useful and dig your mother a grave.
Come in here, please. Ignore.
This is where I lives. My bed. This is a VCR recorder. And this play cassettes.
Now I show you outside from my houses. My hobbies, Ping-Pong......sunbathe......disco dance......and on weekends, I travel to capital city and watch ladies while they make toilet.


ที่ New York นาย Borat ได้เผอิญดูหนังทีวีเรื่อง Baywatch ที่นำแสดงโดย Pamela Anderson  แล้วก็หลงรักเธอหัวปักหัวปำ  เวลาประจวบเหมาะกับที่เขาได้รับโทรเลขส่งข่าวมาจากบ้านว่าเมีย Oxsana ถูกหมีฆ่าตาย  ด้วยความดีใจและโล่งอก  เขาจึงคิดแผนลักพาตัว PA เอามาเป็นเมีย  เขากับเพื่อนร่วมงานตกลงกันว่าจะเดินทางโดยรถยนต์เพราะต่างกลัวเครื่องบิน  เนื่องมาจากครั้งเหตุการณ์ 9/11   แต่ก่อนอื่นต้องไปหัดเรียนขับรถยนต์ก่อน  จากนั้นก็ไปหาซื้อรถซึ่งไปลงเอยที่รถขายไอติมเน่า ๆ
https://youtu.be/tnDJhYrkrUw


ระหว่างทางก็เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เขาไม่ลืมบันทึกเรื่องราวไว้
https://youtu.be/JsKpNQk0NpM

https://youtu.be/xOb5vz6WSlg

https://youtu.be/mGcPKGS4LsU

https://youtu.be/ltAlgjJ5AU8

https://youtu.be/FLwD60hPK4I
(0.06)
Borat: What do you do?
Man: I have spent years in construction. I’m recently retired.
Borat: You are a retard?
Man: Yes
Borat: Physical or mental?
Woman: Retired.
Man: No, no. Not retard. I don’t work anymore. Stop working.
Borat: It’s very good you allow a retard to eat with you in the same place.


ในที่สุดก็ตามหา PA จนเจอ
https://youtu.be/_-OpLcb6prw


หลังจากก่อความโกลาหลไปครึ่งค่อนอเมริกา  Borat ก็กลับมาบ้านพร้อมทั้งนำประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่างของอเมริกามาเผยแพร่ให้กับชาวบ้าน
https://youtu.be/BjwcKD-WVhk


การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ด้นกันสด ๆ โดยเฉพาะฉากสัมภาษณ์ผู้คน  คนทั่วไปก็เลยนึกว่าเป็นเรื่องจริง  ผลออกมาเป็นงานแสดงถึงความเป็นธรรมชาติของผู้คน  ในแง่ตลกโปกฮา

ข่าวเล่ามาว่าช่วงการถ่ายทำตามสถานที่ต่าง ๆ  มีคนโทร. แจ้ง FBI อยู่เนือง ๆ โดยรายงานว่าเห็นชายชาวตะวันออกกลางขับรถไอติมมาป้วนเปี้ยนอยู่ในละแวก

Sasha Baron Cohen เป็นศิลปินแนวตลกจากอังกฤษ  มีนักแสดงชั้นแนวหน้าที่รู้จักผลงานของเขาพอรู้ว่าจะมีการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ต่างก็เสนอตัวเอาหน้าเข้าไปโผล่ในฉาก (cameo)  แต่ SBC ปฏิเสธเพราะความดังของพวกเขาจะทำให้ผู้คนเอะใจว่าเป็นการถ่ายหนัง  กลัวไม่เนียน  ทั้งเรื่องจึงมีนักแสดงอาชีพเล่นอยู่เพียง 4 คน

หลังจากหนังออกฉายในวงกว้าง  เนื้อหาเหยียดหยามชาติพันธุ์ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันมาตลอด  ประเทศทางตะวันออกกลางรวมถึง Kazakhstan ห้ามฉายหนังเรื่องนี้  แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระแสความดังซวนเซ  จากต้นทุนแค่ 18 ล้านเหรียญ  หนังกวาดรายได้ไป 262 ล้านเหรียญ  พร้อมรางวัลต่าง ๆ มากมาย

หมายเหตุ – ที่นำเสนอเป็นแค่กว้าง ๆ  หนังมีรายละเอียดมากกว่านี้ซึ่งตลก ๆ (ในสายตาของผมในฐานะคนอยู่ห่างไกลจากเรื่องการเมือง) ทั้งนั้น  ทางที่ดีควรดูทั้งเรื่อง





กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ม.ค. 23, 12:00
Beautiful thing (1996) เป็นหนังเกย์แนว coming of age จากฝั่งอังกฤษ  แก่นของหนังแนวนี้เหมือนกันหมดคือ วัยรุ่นชายที่สับสนกับความต้องการทางเพศของตัวเอง  ระหว่างค้นหาก็พบอุปสรรคต่างรูปแบบกันไป  แต่ในที่สุดก็ค้นพบตัวเองในที่สุด  แต่จะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เป็นประเพณีที่หนังจะเริ่มต้นด้วยการปูพื้นตัวละครสำคัญ ๆ
https://youtu.be/tYoQqXoJ26s


ฉากของ ‘ความลับไม่มีในโลก’
https://youtu.be/xU51GubXhBY


ฉากจบ  สำหรับหนังเรื่องนี้เป็นแบบจบด้วยความสุข
https://youtu.be/QXctg52Jj2Y


หนังเรื่องนี้มีเพลงของ Mama Cass (อดีตสมาชิกวง The mamas and the papas หลังจากแยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว) สอดแทรกอยู่ตลอดเรื่อง  สิ่งที่น่าสนใจคือหนังเป็นของอังกฤษแต่ MC เป็นชาวอเมริกัน

ไตเติ้ลของหนังประเดิมเพลงของเธอเป็นเพลงแรกชื่อ It’s getting better  เป็นเพลงโปรดสุดขีดเพลงหนึ่งของผม  เสียดายที่ไม่มีใครทำ clip ย่อยมาปล่อย
https://youtu.be/qxmXu6k8PiU


อีกเพลงเด่นของเธอ Make your own kind of music
https://youtu.be/b1K8DY8pLTQ


ส่วนเพลงในฉากจบ (ข้างบน) ชื่อ Dream a little dream of me

หนังเล็ก ๆ เรื่องนี้อย่างได้รับคำชมอย่างมหาศาลจากเหล่านักวิจารณ์

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/RJ8iUDYiVE0

มีต่อ...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 23, 10:35
ดาวสุดสวยของอิตาลีที่มาดังในฮอลลีวู้ดลับฟ้าไปอีกดวง ในวัย 95 ปี   เธอมีชื่อสั้นแต่นามสกุลยาวมาก  ว่า Gina Lollobrigida

เธออยู่ยุคเดียวกับริต้า เฮย์เวิร์ธ ลานา เทินเนอร์   เกรซ เคลลี่  ลิซ เทเลอร์    เป็นยุคที่ดาราสาวต้องสวยได้สวยดีถึงจะดัง
ส่วนฝ่ายชายก็ต้องหล่อได้หล่อดีเช่นกัน

https://www.youtube.com/watch?v=WVSWE1xV9nU


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 23, 10:42
https://www.youtube.com/watch?v=kIx6xHVGDHI


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 23, 10:46
https://www.youtube.com/watch?v=5xqvtCC9E3w


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ม.ค. 23, 12:50
ดาวสุดสวยของอิตาลีที่มาดังในฮอลลีวู้ดลับฟ้าไปอีกดวง ในวัย 95 ปี   เธอมีชื่อสั้นแต่นามสกุลยาวมาก  ว่า Gina Lollobrigida

เธออยู่ยุคเดียวกับริต้า เฮย์เวิร์ธ ลานา เทินเนอร์   เกรซ เคลลี่  ลิซ เทเลอร์    เป็นยุคที่ดาราสาวต้องสวยได้สวยดีถึงจะดัง
ส่วนฝ่ายชายก็ต้องหล่อได้หล่อดีเช่นกัน


คู่แข่งของเธอคือ Sophia Loren ครับ

'จาร เคยดูหนังของเธอมั้ยครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ม.ค. 23, 12:58
พูดถึง Mama Cass  มีเรื่องราวที่พาดพิงถึงเธอ เกิดอาการงงว่าจะนำไปปล่อยไว้ที่ไหนดี  ระหว่างห้องนี้กับห้องเพลงของ ‘จาร เพราะ MC ตายไปแล้ว  เอาเป็นว่าลงที่นี่แล้วกันเพื่อความต่อเนื่อง  อีกทั้งมีเรื่องสารคดีมาเกี่ยวข้องด้วย

Laurel Canyon เป็นชื่อของทำเลที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงต่ำรับทอดกันไปบนแนว Hollywood Hills อันเป็นส่วนหนึ่งของ Santa Monica Mountains ในเขต Los Angeles รัฐ California สหรัฐอเมริกา  สถานที่นี้มีความสำคัญในทางบันเทิงมาตั้งแต่ยุค 30s อันเป็นยุคทองของฮอลลีวู้ดด้วยเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของเหล่าดารา  ต่อมาในยุคกลาง 60s สถานที่นี้เริ่มเปลี่ยนชื่อเสียงจากวงการแสดงเป็นวงการเพลงเพราะเหล่าศิลปินทางวงการเพลงเริ่มย้ายเข้ามาครอบครองบ้านเรือนที่เคยเป็นที่อยู่ของเหล่าดารายุคก่อน

ศิลปินเพลงเหล่านี้เช่น Joni Mitchell, Linda Ronstadt, Carole King, The Byrds, Eric Clapton, Glenn Frey, Don Henley, Jackson Browne และอีกมากมายที่เป็นรากของแนวเพลง west coast music ที่โด่งดังมาตลอดจนเลยกลาง 70s เมื่อยาเสพย์ติดแบบรุนแรง (เฮโรอีน สารระเหย ฯลฯ) เริ่มเข้ามารุกราน  สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มทรุดโทรมแล้วเปลี่ยนเป็นที่ซ่องสุมของเหล่ามิจจาชีพ

ผมรู้จักชื่อ Laurel Canyon เมื่อปีก่อน (มาถึงตอนนี้ก็ 2 ปี) เมื่อ website เกี่ยวกับหนังที่ผมเป็นสมาชิกอยู่นำสารคดีมาปล่อยให้ดูดไปชม  ตอนเห็นชื่อครั้งแรกไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร  แต่พออ่านเรื่องย่อแล้วต้องรีบดูดเอามาดูโดยทันที

สารคดีชื่อ Echo of the Canyon สร้างโดย Jakob Dylan เธอเป็นลูกชายของ Bob Dylan (หน้าตาคล้ายกันมาก)  สารคดียาว 1 ชม. เศษ  เล่าเรื่องราวย้อนยุคของเหล่าศิลปินเพลงที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดกันใน Laurel Canyon  ศิลปินพวกนี้ตอนนั้นยังไส้แห้งกันอยู่  ระหว่างรอให้คนมาค้นพบความสามารถ  เวลาว่างๆ  ก็จะมารวมตัวกันแล้วเล่นเพลงต่อเพลง เกิดความสนิทสนมกันเป็นกลุ่มแน่น

ในสารคดีนี้  JD ได้คัดเพลงเด่นดังที่แต่งโดยศิลปินเหล่านี้มาเข้าห้องอัดอีกครั้ง

นี่เป็น remake ของเพลงดังของวง The Mamas and the Papas  ชื่อ Go where you wanna go  ทำได้ดีมาก
https://youtu.be/KUL5lpCwb1U


เพลง Goin’ Back ของ The Byrds  หนึ่งในเพลงโปรดของผม หนุ่มกีต้าร์อีกคนชื่อ Beck เป็นศิลปินรุ่นหลังที่นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรวมถึงผมไม่รู้จัก
https://youtu.be/qwoFUePJVE0


เสียดายที่ไม่มีใครเอาสารคดีฉบับเต็มมาปล่อยใน Youtube  มีแต่ clip ย่อย ๆ

ตัวอย่างสารคดี
https://youtu.be/ngclh-Rn3iI


ต่อมาไม่นานก็มีคนเอาสารคดีเกี่ยวกับ LC มาปล่อยอีก  คราวเป็น mini series ยาว 2 ตอน  ชื่อง่าย ๆ ว่า Laurel Canyon  นี่ก็สนุก (น่าจะเป็นผมสนุกคนเดียวเพราะคุ้นเคยกับศิลปินเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ)  ได้เห็นชีวิตของพวกเขาในยุคแรก ๆ แล้วก็เช่นกันไม่มีใครเอาฉบับเต็มมาปล่อยใน Youtube  คราวนี้แย่กว่าคือ แม้แต่ clip ย่อย ๆ ก็หาไม่ได้   อยากให้เห็น 2 หนุ่มสมาชิกก่อตั้งวง The Eagles คือ Don Henley กับ Glenn Frey สมัยยังไม่ตั้งวง เหมือนเด็กหนุ่ม (หล่อ ๆ) ซน ๆ (0.57 - GF)

รวมถึง Jackson Browne ตอนหนุ่ม ๆ ที่แม้แต่ Stephen Still ศิลปินเพลงระดับตำนานยังเอ่ยปากว่า  เป็นหนุ่มหน้าสวยมากเกินกว่าจะเชื่อว่าเล่นดนตรีเก่งหาตัวจับยาก  JB เป็นคนแต่งเพลง Take it easy แต่ไม่ชอบงานของตน  GF ที่ตอนนั้นเพิ่งตั้งวงฯ เลยขอเพลงไปร้อง  กลายเป็นเพลงดังสนั่น (รวมถึงในบ้านเรา) ของวง The Eagles
 
ตัวอย่างสารคดี
https://youtu.be/yt5yfItXQ2I


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 23, 13:19
คู่แข่งของเธอคือ Sophia Loren ครับ
'จาร เคยดูหนังของเธอมั้ยครับ
จำไม่ได้ค่ะ  ถ้าเคยดูก็คงยังเด็กมาก   แต่จำรูปร่างหน้าตาได้ว่าสวยคมสุดๆ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 23, 16:31
ตอนเต้นระบำในหนังทีวีเรื่องยาว  Folcon Crest ปี 1984   คุณป้าอายุ 57 แล้ว
 
https://www.youtube.com/watch?v=i9JElWzo9VI&t=604


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 ม.ค. 23, 14:05

ผมรู้จักชื่อ Laurel Canyon เมื่อปีก่อน (มาถึงตอนนี้ก็ 2 ปี) เมื่อ website เกี่ยวกับหนังที่ผมเป็นสมาชิกอยู่นำสารคดีมาปล่อยให้ดูดไปชม  ตอนเห็นชื่อครั้งแรกไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร  แต่พออ่านเรื่องย่อแล้วต้องรีบดูดเอามาดูโดยทันที

สารคดีชื่อ Echo of the Canyon สร้างโดย Jakob Dylan เธอเป็นลูกชายของ Bob Dylan (หน้าตาคล้ายกันมาก)  สารคดียาว 1 ชม. เศษ  เล่าเรื่องราวย้อนยุคของเหล่าศิลปินเพลงที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดกันใน Laurel Canyon  ศิลปินพวกนี้ตอนนั้นยังไส้แห้งกันอยู่  ระหว่างรอให้คนมาค้นพบความสามารถ  เวลาว่างๆ  ก็จะมารวมตัวกันแล้วเล่นเพลงต่อเพลง เกิดความสนิทสนมกันเป็นกลุ่มแน่น


มีต่อ...


เรื่องที่อยากเล่าต่อเกี่ยวกับเพลงโดยตรง  คิดว่านำไปปล่อยในกระทู้เพลง ฯ ของ 'จาร ดีกว่า


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 ม.ค. 23, 14:21
Elizabeth Short เป็นสาวสวยเกิดในปี 1924  เธอมีความไฝ่ฝันว่าจะเป็นคนโด่งดังแล้วก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นนักแสดงของฮอลลีวู้ด  แต่ความฝันของเธอไปไม่ถึงฝั่งเมื่อเธอโดนฆาตกรรมเสียก่อน  ตายในขณะอายุเพียง 22 ปี

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/18/JGCb5f.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JGCb5f)


ข่าวการฆาตกรรมของเธอยิ่งใหญ่และโด่งดังที่สุดในยุคนั้น  รูปแบบของการฆาตกรรมโหดร้ายเกินกว่าที่จะมีใครคาดว่าเป็นฝีมือของปุถุชนคนเดินดิน

ศพของเธอถูกพบในย่านที่อยู่อาศัยในเขต Los Angeles  คนที่พบเป็นคนแรกให้การว่า  ตอนที่เห็นนึกว่าเคยเป็นหุ่นที่ตั้งโชว์อยู่ในห้าง  ลักษณะของศพ  มีคำอธิบายไว้ดังนี้ (ไม่แปล)

The body found was Elizabeth Short. Her body was split in half at the waist, and pieces of her flesh had been cut away from her body. And while she was severely mutilated, there was no blood anywhere leaving her skin a pallid white. Medical examiners determined that she had been dead for around ten hours prior to the discovery, leaving her time of death either sometime during the evening of January 14 or the early morning hours of January 15. The body had apparently been washed by the killer. Short's face had been slashed from the corners of her mouth to her ears, creating an effect known as the "Glasgow smile" (นึกถึงหน้า Joker ในหนัง Batman). She had several cuts on her thigh and breasts, where entire portions of flesh had been sliced away. The lower half of her body was positioned a foot away from the upper, and her intestines had been tucked neatly beneath her buttocks. The corpse had been "posed", with her hands over her head, her elbows bent at right angles, and her legs spread apart.

........................‘จาร ห้ามเปิดดูครับ.........................
https://youtu.be/-e-gLo2_93E


การสืบสวนดำเนินการอย่างรัดกุมและละเอียดถี่ถ้วน มีผู้ต้องสงสัยนับได้เกิน 150 คน  แต่ไม่มีใครโดนจับกุมเพราะหลักฐานไม่พอหรือไม่ชัดเจน
 
คดีนี้กลายเป็นหนึ่งใน ‘cold case’ ที่ดังที่สุดของอเมริกาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  เป็น cold case ที่เก่าแก่ที่สุดของเขต LA  เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสื่อในรูปแบบหนังสือบทความต่าง ๆ มากมายที่ต่างก็เสนอทฤษฎีความน่าจะเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบ

ES กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืนตามที่ใฝ่ฝัน แต่ในแง่มุมที่เธอคงคิดไม่ถึง  ต่อมาชื่อของเธอได้รับสมญานามใหม่ว่า Black Dahlia  ไม่มีใครให้ข้อสรุปได้ว่าทำไมถึงชื่อนี้


ในปี 2006 ผกก. ชื่อดัง Brian de Palma นำคดีนี้มาสร้างเป็นหนัง  ใช้ชื่อตามต้นเรื่องของคดีว่า The Black Dahlia  หนังเรื่องนี้สร้างออกมาเป็นนิยายผสมเรื่องจริง (คือมีเรื่องของ ES รวมอยู่ด้วย)

ผมดูหนังเรื่องนี้เพราะต้องการรู้เรื่องราวของ ES  (ที่รู้มานานแล้วจาก ซี้คลาสสิก)  ไม่ได้ต้องการรู้คำเฉลยว่าใครคือคนฆ่า เพราะเรื่องในหนังเป็นนิยายแต่งขึ้น  ซึ่งของจริงนั้นจนป่านนี้ก็ไม่มีใครรู้ ก็เลยไม่สามารถบอกได้ว่าสนุกหรือไม่
 
อย่างไรก็ตามหนัง/สารคดีว่าด้วยเรื่องลึกลับเหล่านี้  ผมเปรียบเสมือนการ ‘อึไม่สุด’  ตัวอย่างชัด ๆ ก็เรื่องราวทั้งหลายแหล่ในช่อง History  ที่จะจบด้วย ‘นักวิทยาศาตร์คาดว่า...’ หรือ ‘นักสำรวจมั่นใจว่า...’ ฯลฯ ในทำนองนี้  คือดูมาตั้งนานแต่ก็ยังไม่รู้ความจริง แค่คาดเดาไปตามทฤษฎีที่ต่างก็ตั้งขึ้นกันเอง

นักแสดงที่เล่นเป็น ES
https://youtu.be/fWTX501_eqc


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/4UK1B0nSi94


Crime scene ณ ปัจจุบัน
https://youtu.be/gy_ht-YCNaY



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ม.ค. 23, 18:28
คุณโหน่งอ่านหรือยังคะ

https://en.wikipedia.org/wiki/George_Hodel

เคยอ่านคดีฆาตกรรมสยอง ของ "แม่รักเร่ดำ" ในนิตยสารมานานแล้ว   พอคุณโหน่งเอ่ยถึงก็นึกออก  ไปถามอาจารย์กู๊กจึงได้รายละเอียดเพิ่มเติม    พอเข้าใจได้ว่าที่จริงฆาตกรก็ไม่ใช่ตัวลึกลับซับซ้อนนัก  เพียงแต่เป็นความหละหลวมของตำรวจแอลเอ ที่ปล่อยผู้ต้องสงสัยไป ไม่ได้ตามเรื่องจริงจัง
เคยอ่านผ่านตาว่า แม่รักเร่ดำ  ไม่ได้เป็นแค่สาวที่ใฝ่ฝันจะเป็นดาราอย่างเดียว  แต่เป็นโสเภณีชั้นสูงด้วย   มีความสัมพันธ์กับชายมากหน้าหลายตา  หนึ่งในนั้นคือฆาตกรผู้สังหารด้วยความหึงหวง บวกกับมีอาการทางจิตทำนองเดียวกับแจ๊คเดอะริปเปอร์
เวลาผ่านไป หลักฐานค่อยๆโผล่ขึ้นมา   แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้วที่จะเอาผิด


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ม.ค. 23, 11:58
คุณโหน่งอ่านหรือยังคะ

https://en.wikipedia.org/wiki/George_Hodel

เคยอ่านคดีฆาตกรรมสยอง ของ "แม่รักเร่ดำ" ในนิตยสารมานานแล้ว   พอคุณโหน่งเอ่ยถึงก็นึกออก  ไปถามอาจารย์กู๊กจึงได้รายละเอียดเพิ่มเติม    พอเข้าใจได้ว่าที่จริงฆาตกรก็ไม่ใช่ตัวลึกลับซับซ้อนนัก  เพียงแต่เป็นความหละหลวมของตำรวจแอลเอ ที่ปล่อยผู้ต้องสงสัยไป ไม่ได้ตามเรื่องจริงจัง
เคยอ่านผ่านตาว่า แม่รักเร่ดำ  ไม่ได้เป็นแค่สาวที่ใฝ่ฝันจะเป็นดาราอย่างเดียว  แต่เป็นโสเภณีชั้นสูงด้วย   มีความสัมพันธ์กับชายมากหน้าหลายตา  หนึ่งในนั้นคือฆาตกรผู้สังหารด้วยความหึงหวง บวกกับมีอาการทางจิตทำนองเดียวกับแจ๊คเดอะริปเปอร์
เวลาผ่านไป หลักฐานค่อยๆโผล่ขึ้นมา   แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้วที่จะเอาผิด

เคยอ่านครับ 'จาร  ทำการบ้านก่อนจะลงมือเขียนเรื่องนี้  หนังฉายมานานมากแล้วเลยอยากรู้ว่ามีข้อมูลคืบหน้าไปถึงไหน  แต่ความที่มันเป็น cold case ที่ 'cold' มากจนไม่มีใครรู้ความจริง  เนื่องหลักฐานทางสิ่งตีพิมพ์ก็เชื่อไม่ได้เพราะอยากพิมพ์อะไรก็พิมพ์ได้


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 ม.ค. 23, 12:06
The Aviator (2004) เป็นหนังนำเสนอประวัติของนักธุรกิจ Howard Hughes ผู้มีความสามารถรอบด้าน: A business magnate, investor, record-setting pilot, engineer, film director, and philanthropist, known during his lifetime as one of the most influential and financially successful individuals in the world. ประวัติของเธอยาวเป็นเล่ม
  
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/19/JLkQFJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JLkQFJ)
ตอนเป็นหนุ่มผู้หลงรักการบิน


เธอเป็นมหาเศรษฐีที่หลงใหลแสงสี  นอกจากสร้างหนังเองแล้วเธอยังควงดาราไม่ซ้ำหน้า  นี่เป็น clip อธิบายการถ่ายทำเลียนแบบของจริงในยุคโบราณ  
https://youtu.be/upEuqL6ab58


Katharine Hepburn เป็นคนหนึ่งที่ HH หลงรักแต่เธอเบื่อความปรวนแปรทางอารมณ์และความบ้างานเลยทิ้งไป Cate Blanchett รับบทนี้และได้ Oscar ไปครองเป็นตัวแรก
https://youtu.be/v0RPKgymJyc

https://youtu.be/Dsp0Wrcsdlw


แต่คนที่ HH ขอแต่งงานด้วยคือ Ava Gardner (เล่นโดย Kate Beckensale) แต่โดนปฏิเสธ
https://youtu.be/EdugJkbOtDo


HH มีโรคประจำตัวที่ต่อมาทวีความรุนแรงคือ Obsessive Compulsive Disorder (COD)
https://youtu.be/2fXF8G50BPQ


HH ผู้หลงใหลในการบิน  ก่อตั้ง บ. Hughes Aircraft Company และสร้างเครื่องบิน the XF-11 reconnaissance aircraft ให้กับกองทัพอากาศสหรัฐ  แต่ขณะนำเครื่องไปทดสอบเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง  HH ได้รับบาดเจ็บสาหัส  และกองทัพอากาศสหรัฐก็ยกเลิกการสั่งซื้อ
https://youtu.be/_S35LOAhiRQ


ของจริง
https://youtu.be/TwxkRrKA2J0


ฉากตื่นเต้นที่สุดของหนังอยู่ที่ความพยายามเอาเครื่องบิน the H-4 Hercules flying boat  บินขึ้นสู่อากาศให้ได้
https://youtu.be/RTkxOkhgb20


หนัง Aviation ได้ทั้งเงินและกล่อง  จากการเข้าชิง Oscar 11 สาขา  อันรวมถึง หนังยอดเยี่ยม ผกก. ยอดเยี่ยม และ ดารานำชายยอดเยี่ยม


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/FebPJlmgldE


เครื่อง H-4 Hercules flying boat  นักข่าวและนักวิจารณ์เรียกมันว่า Spruce Goose  เป็นเครื่องบินต้นแบบผลิตโดย บ. ของ HH  ตั้งใจให้ใช้เป็นเครื่องบินลำเลียงระยะทางไกลระหว่างทวีปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  แต่แล้วเสร็จไม่ทัน

ลำตัวเครื่องสร้างด้วยไม้โดยใช้วิธี duramold เพราะในช่วงสงครามมีข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณการใช้อลูมิเนียมอีกทั้งต้องคำนึงถึง นน. ตัวเครื่องด้วย  เครื่องบินเคยได้ชื่อว่าเป็น flying boat ที่ใหญ่ที่สุด  และมีช่วงปีกยาวที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างเครื่องบินกันมา  จนกระทั่งเครื่องบิน Roc ที่ผลิตในปี 2019 ออกมาล้มแชมป์

เครื่อง Spruce Goose เคยออกทะยานขึ้นฟ้าเพียงครั้งเดียวในระยะทางสั้น ๆ (1 ไมล์ ในช่วงเวลา 26 วินาที  อยู่เหนือน้ำ 21 เมตร) ในเดือน พ.ย. ปี 1947  จากนั้นโครงการก็หยุดดำเนินงาน  ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ the Evergreen Aviation & Space Museum in McMinnville, Oregon, United States.

สารคดี
https://youtu.be/GkY0rwOb2q0


Clip เปรียบเทียบระหว่างการถ่ายทำหนังกับของจริง
https://youtu.be/_oEXWvi_tP8


การเปรียบเทียบระหว่างฉากในหนังกับฉากเหตุการณ์จริงต่าง ๆ  Hell’s Angel เป็นหนังจากการอำนวยการสร้างและกำกับรวมถึงใช้ทุนส่วนตัวของ HH เอง  มันเป็นหนังที่ตอนออกฉายก็งั้น ๆ  แต่กาลเวลาต่อมากลายเป็นหนังคลาสิกขึ้นหิ้งอีกเรื่องหนึ่ง
https://youtu.be/tWAJcNp7dgQ






กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ม.ค. 23, 12:37
วันนี้ไม่พล่ามมากเพราะมีผู้ใจบุญยื่นมือมาช่วย...

Hugo (2011)
https://youtu.be/a9XUdvFRTbY
ขอบคุณ คุณMozz Video ในความอุตสาหะเพื่อความบันเทิงของผู้ชม


0.22 – เป็นฉากที่ (ถ้าได้ดูชัด ๆ ในโรงฯ) ทำได้สวยมาก  ข่าวบอกว่าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์รวมทั้งหมดหลักพันเครื่อง  การทำงานเพื่อให้ได้ฉากเริ่มต้น (และฉากจบ) ใช้เวลารวมกันประมาณ 1 ปี  และได้รับ Oscar สมกับความอุตสาหะ
https://youtu.be/aSTnmEEotCQ


1.25 – Sacha Baron Cohen ที่ดังจากหนังเสียดสี Borat ที่เคยเล่าไปแล้ว  ในเรื่องนี้เธอหล่อผิดหูผิดตา
https://youtu.be/3OF2YOVkaiQ


2.53
https://youtu.be/DqR8ENAExzo


3.10
https://youtu.be/8VzQ-XM_Cqs


8.45
https://youtu.be/4Tj1KAlzCNg
ภาพจากหนังเงียบขนาดสั้นสร้างในฝรั่งเศสชื่อ A trip to the moon (1902)


9.44
https://youtu.be/9BQCK9c-O3w


10.50
https://youtu.be/6JcekP1otT8
1.17 – ‘You see, I was injured in the war and it will never heal. Good evening, Mademoiselle’
‘I lost my brother’
‘Where?’
‘Verdun’


11.15
https://youtu.be/_8sa0pKZt2o


12.22
https://youtu.be/5J8XoQiJzZE


13.38
https://youtu.be/tIxWRoYgncA
ฉากรถไฟกระหน่ำสถานีนี้จำลองมาจากของจริงที่เกิดขึ้นในเดือน ต.ค. 1895  (เนื้อเรื่องในหนังเกิดในปี 1931) เรียกเหตุการณ์นี้ว่า the Montparnasse derailment สาเหตุมาจากคนขับกลัวนำรถไฟเข้าสถานี Gare Montparnasse ช้าเลยเร่งความเร็วเต็มที่แต่แล้วเบรกเกิดเสีย  มีผู้เสียชีวิต 1 คนคือผู้หญิงที่ยืนอยู่บนถนนหน้าสถานี  ตอนหัวรถจักรหล่นลงมาทับ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/20/JmxBaR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/JmxBaR)


16.16
https://youtu.be/vWS5KlqgpR8


18.33
https://youtu.be/ZhzHrTQ_Hrc


18.55
https://youtu.be/KpnVq9WL77Y


และตอนจบ
https://youtu.be/qtJi_VZrVAY

https://youtu.be/X6zbmAt0YwI


หนังสร้างมาจากหนังสือ The invention of Hugo Cabret (2007)  สร้างออกมาเป็น 3 มิติและได้รับความชมจากเหล่านักวิจารณ์อย่างท่วมท้น  ระดับ 90% ขึ้นไป  มันได้เข้าชิง Oscar ถึง 11 สาขา รวมถึงหนังและ ผกก. ยอดเยี่ยม  แต่ในทางการค้าปรากฏว่าหนังเจ๊ง

หุ่น automaton มีรายละเอียดที่มาที่ไปดังนี้
The cam mechanism in the automaton is heavily inspired by the machinery in the Jaquet-Droz automata, built between 1768 and 1774. Indeed these automata are still in working condition (they can be seen at the Musée d'Art et d'Histoire of Neuchâtel, in Switzerland) and are capable of drawing figures as complicated as the drawing depicted in this movie. Many nuances, such as the head following the pen as it was drawing and dipping the pen in ink were also present in the automata in real life.


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/FG9rvNhdOX8




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 ม.ค. 23, 12:18
The Disaster Artist (2017) เล่าเรื่อง 2 หนุ่มบุคลิกผิดฝาผิดตัวแต่มาเป็นเพื่อนสนิทกัน  ทั้งคู่มีจุดหมายปลายทางร่วมกันคือ การเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวู้ด  แต่อนิจจา  ไม่มีใครไปถึงฝัน  ด้วยความท้อแท้ทั้งสองเลยตัดสินใจสร้างหนังเพื่อตัวเองจะได้มีโอกาสเล่นได้อย่างเต็มอิ่มเสียเลย

2 หนุ่มประกอบด้วย  Greg Sestero หนุ่มขี้อาย แรงบันดาลใจที่ทำให้เธอตัดสินใจเป็นนักแสดงมาจากการได้ดูพ่อหนู Macaulay Culkin เล่นใน Home Alone

ครูสอนการแสดงคนหนึ่งที่ได้สัมผัสการแสดงของเธอ  ออกความเห็นว่า ‘…So scared and insecure. Like a wounded puppy. Do you even want to be an actor? … Okay, well, it must be a big secret because I can't tell at all…’

ส่วนอีกหนุ่ม  Tommy Wiseau เธอใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดงประเภท method อย่าง James Dean และเล่นหนังหรือละครของ Shakespeare  แต่คนในวงการบันเทิงที่ได้สัมผัสการแสดงบวกฟังสำเนียงพูดที่เดาไม่ออกว่ามาจากย่านไหนของโลกตั้งนิยามไว้ว่า เหมือน vampire ติงต๊องที่เหมาะกับบทตัวร้ายมากกว่าพระเอก
https://youtu.be/yL9TIJvw7jc
(กำลังสวมบทของ Marlon Brando ใน A Streetcar ฯ)

https://youtu.be/CVQeM3N9XOo


2 หนุ่มมาเจอกันและเป็นเพื่อนกัน
https://youtu.be/mE4lS7zmROw


จากนั้นช่วยกันตามหาฝันโดยย้ายจาก San Francisco ไป LA ดินแดนของวงการบันเทิง  ต่างพยามยามสำแดงพลังของความเป็นนักแสดงให้คนประจักษ์  แต่ไม่ประสบผล  ลงท้ายเลยตัดสินใจสร้างหนังเพื่อจะได้เล่นเสียเอง  คือที่มาของหนังเรื่อง The Room
https://youtu.be/o9AD5DIM-Ro


ฉากระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้
https://youtu.be/N6eazRc61Wg
Great. We do alley scene… This set of the alleyway looks exactly like the real alleyway out there… That's right. That's why we doing Hollywood movie, right?... Why don't we just shoot in the real alleyway?... Because it's real Hollywood movie… No, yeah, sounds good. - Okay.


https://youtu.be/gwyCuhvBAHw

https://youtu.be/ufEZzQzxoR0


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/3DT41LF22ZA

https://youtu.be/duZCTqsyrZs


ตอนจบของหนังเรื่องนี้คือ ความสำเร็จของการถ่ายทำหนังเรื่อง The Room  ที่จะเก็บไว้เล่าคราวต่อไป


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 ม.ค. 23, 13:46
หนัง The Disaster Artist สร้างจากเรื่องจริงที่เอาโครงเรื่องมาจากหนังสือแนวบันทึกความทรงจำชื่อ The Disaster Artist: My Life Inside The Room, the Greatest Bad Movie Ever Made  เขียนโดย Greg Sestero กับเพื่อนที่ออกวางแผงในปี 2013  บรรยากาศของหนังออกแนวตลกร้าย  บทของ Tommy Wiseau และ Greg Sestero เล่นโดย James Franco และ Dave Franco  ทั้ง 2 เป็นพี่น้องคลานตามกันมา (แต่หน้าไม่เหมือนกันเลย ผมว่า  ในหนังยังมีพี่น้องอีกคนคือ Tom Franco แต่ไม่มีบทพูด  เธอร่วมเล่นเป็นตากล้องผมยาว)

การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่เคยเล่าไปนานแล้วคือ Grey’s Garden  เป็นการสร้างหนังเลียนแบบหนังต้นฉบับแบบฉากต่อฉาก
 
ในหนังเรื่องนี้ส่วนการสร้างเลียนแบบอยู่ในช่วงถ่ายทำหนัง The room  ซึ่งฉบับของจริงออกฉายในปี 2003  TW คุมบังเหียนทั้งหมดตั้งแต่อำนวยการสร้าง กำกับ เขียนบท และนำแสดง  มีเพื่อนรัก GS เล่นบทรอง

ตัวอย่างหนัง The room
https://youtu.be/KRAUPqK9Y7I


ฉากเปรียบเทียบระหว่างต้นฉบับ The room กับ ฉากถ่ายทำใหม่ใน The disaster artist
https://youtu.be/CZSAf47IGUk


มีคนสงสัยกันมากว่า  การสร้างหนังสักเรื่องในฮอลลีวู้ดต้องใช้ทุนหนักมาก  แล้ว TW ซึ่งไม่มีประวัติโด่งดังอะไรเลยไปหาทุนมาจากไหน  เจ้าตัวเล่าว่าหาเงินจากการสั่ง jacket หนังจากเกาหลีเข้ามาขายเอากำไร  ส่วนคู่หู GS เล่าในหนังสือว่า  เธอเห็นความร่ำรวยของ TW มาตั้งแต่เริ่มรู้จักกันแล้ว

อย่างไรก็ตามขณะที่การถ่ายทำหนังดำเนินไปเหล่าผู้เกี่ยวข้องล้วนเสียว ๆ ว่า  ทุนสร้างอาจจะมาจากขบวนการผิดกฎหมาย   แล้วพวกเขาก็ต้องลงเอยด้วยการเข้าไปนอนในคุกโทษฐานมีส่วนรู้ร่วมเห็น  แต่เหตุการณ์ที่หวั่นไม่เคยเกิดขึ้น  สรุปแล้วทุนของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับ  แต่เป็นเงินที่สะอาด  เช็คค่าแรงที่จ่ายให้ทุกคนล้วนขึ้นเป็นเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

เงินที่หมดไปกับการสร้างหนังเรื่องนี้คือ 6 ล้านเหรียญ (wikiฯ บอกว่าประมาณ 8.8 ล้านในปี 2021)  ผู้เกี่ยวข้องเล่าว่าที่จริงไม่ควรถึงแต่ TW มือเติบมาก  เป็นต้นว่าอุปกรณ์การถ่ายหนังที่ปกติจะใช้เช่ากัน  แต่เธอออกเงินซื้อใหม่หมดทุกชิ้น  และความที่เป็นคนไม่มีความรู้เรื่องการถ่ายทำหนังเลยตัดสินใจผิดตลอดเวลา  ผลคือเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น

หลังจากหนังสร้างเสร็จปรากฏว่าไม่มี studio ไหนยอมเป็นตัวแทน  TW เลยต้องจัดจำหน่ายเอง  ด้วยการสร้าง billboard โฆษณาหนังเรียกคนดูอย่างใหญ่โตติดอยู่ข้างถนนที่มีการสัญจรพลุกพล่าน
 
ในวันฉายรอบโชว์ นักวิจารณ์พร้อมใจกันสับแหลกด้วยคำพูดสุดแสบเท่าที่จะคิดได้ เป็นต้นว่า ดูได้ไม่เกิน 30 นาที (หนังยาว 99 นาที) คนดูต้องลุกออกไปขอเงินค่าตั๋วคืน ฯลฯ แต่สรุปเหมือนกันว่าเป็นหนังห่วยแตกที่สุดเท่าที่มีการสร้างกันมา

ในวันฉายจริง หนังเข้าเพียง 1 โรง (ข้อมูลตามที่ปรากฏในหนัง ใน wikiฯ บอกว่า 2 โรง) ข่าวบอกว่าคนดูโห่ฮาตั้งแต่หนังฉายไปไม่ถึง 30 นาที ในวันหลัง ๆ คนซื้อตั๋วจะได้รับ soundtrack CD เป็นของแถม  ส่วนทางโรงต้องปั๊มคำว่า ‘No refund’ ที่หลังตั๋ว

หนังเข้าฉายครบ 1 อาทิตย์ก็จำเป็นต้องถอดออกจากโปรแกรม แต่ TW จ่ายเงินเพิ่มกับทางโรงเพื่อยืดเวลาเป็น 2 อาทิตย์จะได้เข้ากฎของการพิจารณาคัดเลือกรางวัล Oscar

วันหนึ่งในรอบหลัง ๆ มีกลุ่มนักดูหนังที่มีอิทธิพลทางด้านชักจูงแฟน ๆ (followers) ได้ไปดูหนัง  ดูไปดูมาเกิดไปจับในแง่ความตลกโปกฮา ในขณะที่ TW คนสร้างตั้งใจให้ออกมาเป็นแนว ดราม่า  ที่หนักอึ้ง  พวกเขาก็เลยกลับมาวิจารณ์หนังในแง่นี้อย่างสนุกสนาน  ผลคือเหล่า followers ตามไปดูกันพร้อมเพรียง และเห็นด้วยว่ามันเป็นหนังที่สร้างได้ตลกมากเรื่องหนึ่ง  บางคนถึงกับจ่ายเงินเข้าไปดูแล้วดูอีก 2-3 รอบ

ปฏิกิริยาของคนดูหนังดราม่าบรรยากาศหนักอึ้งเรื่อง The room ในรอบหลัง ๆ ที่มีเหล่า followers  เริ่มเข้าไปดู
https://youtu.be/3Ko8v6YD_bM
(อย่าพลาดช่วงที่เริ่มตั้งแต่ 12.12  และช่วงที่เริ่มตั้งแต่ 22.30)


หนังถอดออกจากโรงฉายด้วยรายได้รวม 1,900 เหรียญ  แต่เส้นทางของมันไม่จบแค่นั้น 

หลังจากหนังถูกถอดออกจากโรงได้ไม่นานก็ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งติดต่อไปยัง TW ขอร้องให้เอาหนังกลับมาฉายให้ชมอีก  คำขอร้องมีมากมายขึ้นจนเธอต้องลงทุนควักเนื้อเอาหนังกลับมาลงโรงฉายตามคำเรียกร้อง  จากนั้นหนังเรื่องนี้ก็สร้างปรากฏการณ์ที่ต้องเอามาวนฉายให้แฟนหนังทั้งหน้าเก่าและใหม่ดูเป็นประจำ  จนทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น ‘cult’ เรื่องหนึ่งในหมู่นักดูหนัง (หนัง cult เรื่องอื่นเช่น Hocus Pocus (Bette Midler) ฉายในช่วง Halloween) จนถึงปัจจุบันหนังทำเงินไปได้ถึง 4.9 ล้านเหรียญแล้ว (wikiฯ บอก)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/25/L7MpK0.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L7MpK0)


จบพรุ่งนี้จ้า


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 ม.ค. 23, 12:06
หนังเรื่อง The disaster artist  ได้รับความสำเร็จอย่างมาก  นักวิจารณ์+คนดูชื่นชมกันถ้วนหน้า  หนังกวาดรางวัลมากมายรวมถึงบนเวที Oscar  ตัวนักแสดงนำ James Franco ที่เล่นเป็น TW (เธอเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับด้วย) ได้รางวัลลูกโลกทองคำ

ปฏิกิริยาของคนดูต่อหนังเรื่อง The disaster artist คล้ายกับเรื่อง The room  แต่ในเรื่องนี้เป็นไปตามจุดประสงค์ของคนสร้างคือ หนังตลกเสียดสีที่สมควรเฮฮา
https://youtu.be/RAFMnw1n4Ts


พูดถึง JF ผมเห็นเธอมาแสนนาน  ประทับใจจากบท James Dean (2001) ที่เธอสวมได้เนียนจนน่าขนลุก (หล่อกว่าด้วย)  เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรกจากหนังเรื่องนี้  หนังทำฉายออกทางทีวี  ได้ดูทาง I/UBC
https://youtu.be/ZPKq9q2Cq8E

https://youtu.be/v_1Q_KZMC2A

https://youtu.be/GWuFbu5fe5w


ตอนนั้นเธออายุ 23  ผมว่าเธอเป็นคนที่เวลายิ้มแล้ว ตายิ้ม ไปด้วย  ดูมีเสน่ห์  แต่เสียดายมากว่า  ในเวลาต่อมาเริ่มจากปี 2014  เริ่มมีผู้หญิงร้องเรียนเรื่องความประพฤติที่ไม่เหมาะสมหลายราย  เรื่องลากยาวมาจนปี 2020  ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ The Disaster Artist นี้ด้วย  ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ยอมความกันได้  ปัจจุบันเธอแจ้งว่าจะเริ่มชะลอการรับงานให้น้อยลงเพื่อทบทวนการใช้ชีวิตของตัวเอง



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ม.ค. 23, 11:52
หนังสนุกมากอีก 1 เรื่องที่มีคนให้ความกรุณาช่วยเล่าแทน

The talented Mr. Ripley (1999) เป็นหนังสั่นประสาทสร้างจากนวนิยายออกขายในปี 1955  แม้ความยาวของหนังคือ 2 ชม. กว่า  แต่การเดินเรื่องน่าติดตามน่าลุ้นว่าจะจบอย่างไรทำให้ลืมแม้กระทั่ง อาการปวดเมื่อย
https://www.youtube.com/watch?v=K8TrQOXgCfY
ขอบคุณ คุณSading Film ในความอุตสาหะเพื่อความบันเทิงของผู้ชม

2.43
https://youtu.be/QoJ5JJ3keUw


2.58
https://youtu.be/p2Md_248enw


3.40
https://youtu.be/E-TthagAhsk


4.05
https://youtu.be/dQSK2gmtNMI


5.07
https://youtu.be/BjMrxHxraio


5.28
https://youtu.be/_9b7JgWu4PQ


5.38
https://youtu.be/ZOQ-BRtw0_M


5.57
https://youtu.be/3si4Cv66RSM


8.35
https://youtu.be/gmwl-OVP0Kk


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/xJaV4dqxQGU



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 ม.ค. 23, 12:50
ตอนหนัง เมโลดี้ที่รัก (1971) มาฉายผมไปดูกับเพื่อน ๆ  (แต่ไม่มี ขาโหด ของผม) ตอนนั้นเรายังใส่ขาสั้นกันอยู่เลย  จุดประสงค์คือไปดูความน่ารักของ Tracy Hyde ที่เล่นเป็นสาวน้อย Melody Perkins
 
ถ้าจะให้พูดว่าประทับใจฉากไหนบ้าง  ฮู้ย... เด็กปานนั้นจะไปดูดดื่มอะไรได้  แต่สามารถบอกได้ว่าทุกเพลงที่ปรากฏในฉากนั่นแหละประทับใจที่สุด  และจำติดตามาจนถึงบัดนี้

ตั้งแต่ In the morning ในฉากเปิดเรื่องเลยแหละ
https://youtu.be/pt5skwSDI9A


แล้วก็ฉากเปิดตัวหนู Melody
https://youtu.be/w6DIa0roL74


แล้วก็ฉากเพลง Give your best
https://youtu.be/mg6wTTTlqCE
รถเมล์ 2 ชั้นเนี่ย  บ้านเค้าเรียก double decker bus บางทีก็ไม่มี bus (รถไฟใต้ดินก็เรียก tube) เห็นบนจอ (หนัง/ทีวี) มาตั้งแต่เด็กๆ  อยากขึ้นเป็นกำลัง  พอได้มีโอกาสไปเยือนอังกฤษ  ผมก็พุ่งถลาขึ้นไปเลย  ไต่กะไดขึ้นไปนั่งชั้นบน  สนุกสมใจ  แต่อีตอนจะลงนี่  โอย... กว่าจะเบียดผู้คนลงมาจากชั้นสองและตะกายออกมาจากรถได้  ปรากฏว่าเลยไปหลายป้าย  เพราะเราไม่ใช่คนถิ่นเค้า  เตรียมตัวลงไม่ทัน  ลืมนึกถึงข้อนี้ไป


และเพลงแห่งความสุขอันดับ 1 ตลอดกาลของผม
https://youtu.be/BlG0PNzhWFU


สรุปแล้วผมประทับใจเพลง (โดยเฉพาะที่ร้องโดยคณะ Bee Gees) มากกว่าตัวหนัง  ตัวหนังสนุกในตอนที่ดูแล้วก็จบ  แต่เพลงเพราะทุกเพลง  ฟังทีไรก็มีความสุขมาถึงปัจจุบัน

ต่อมาผมเผอิญไปเปิดเจอ clip เพลง First of may ที่ร้องโดย Lulu กับ Maurice Gibbs  MG ไม่เคยโชว์เสียงของเธอในแผ่นเสียงเลย  จำไม่ได้ว่าเพราะอะไร  ความจริงเสียงของเธอเพราะทีเดียว  2 คนนี้เคยเป็นผัวเมียกันมาหนึ่งขณะ นี่เป็นมาการเจอกันต่อหน้าสาธารณชน  และดูท่าทางเป็นการเลิกรากันด้วยความรู้สึกที่ดี  อีกไม่นาน MG ก็ตาย
https://youtu.be/9cNWAtgNCWg
(ดูแล้วมีความสุข)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/30/L3ku4J.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L3ku4J)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 31 ม.ค. 23, 11:55
ในปีนั้นมีหนังวัยรุ่นวุ่นรักเข้ามาฉายอีกเรื่องชื่อว่า Friends  แก๊งค์เราไปดูตามเคย  จุดประสงค์ก็เช่นเดิมสำหรับวัยกลัดมันอย่างพวกเราคือไปดู Anicee Alvina สาวน้อยชาวฝรั่งเศส

มันเป็นหนังจากอังกฤษเล่าเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของ 2 หนุ่มสาววัยรุ่นที่ลงท้ายก็หนีสังคมไปอยู่ร่วมกันในแดนอ้างว้างปราศจากผู้คน

สมัยนั้นเราไม่รู้เรื่องหรอกว่า มันคือหนังโป๊  เพราะกรรมการเซ็นเซ่อร์ท่านให้เกียรติหั่นส่วนวาบหวามออกซะเหี้ยนเกรียน (แบบว่ามารู้ในภายหลังอีกน้านนาน) พวกเราจึงนั่งดูด้วยจิตใจบริสุทธิ์ชื่นชมในความน่ารักของนางเอก  เหมือนตอนดู Melody

หนังเรื่องนี้นักวิจารณ์ด่าเช็ด  บางคนถึงบอกว่าซื้อแผ่นเสียงมาฟังดีกว่า  ซึ่งก็จริงเพราะเพลงในหนังเรื่องนี้ผลิตโดย Elton John  โดยเฉพาะ 2 เพลงเอกในเรื่องคือ Friends กับ Mitchelle’s song เพราะจริง ๆ  โดยส่วนตัว ผมว่าเพราะกว่าทุกเพลงที่ EJ เคยผลิตออกมาถึงปัจจุบัน  แต่แปลกที่เพลงไม่ดังไม่อันดับเพลงเลย  ไม่ว่าจะฝั่งไหน ในอังกฤษไม่มีปรากฏในอันดับเพลง ส่วนในอเมริกามีเพลงเดียวคือ Friends ที่ไต่อันดับไปแป๊บเดียวก็ร่วงหาย  เพื่อนฝรั่งของผมบอกว่าไม่เคยได้ยิน  พอผมส่งเพลงให้ฟัง  เธอบอกว่ามิน่าถึงไม่เคยได้ยิน  อะไรวะ

https://youtu.be/rdw51RHZAME
(จับผิด... รถที่พ่อหนุ่มโขมยช่วง 1.46 พอขับมาถึงช่วง 2.33 กลายเป็นคนละคันเสียนี่  แต่ยี่ห้อเดียวกัน  แหม... สะเพร่าจัง)

https://youtu.be/aZBaP5m8CqA


ฉบับเต็ม ๆ
https://youtu.be/15zttI2GZjk

ปล.
1.   Soundtrack ของหนังออกทำนองเดียวกับเพลงในหนัง Melody ที่มีเพลง Frist of may เพลงเดียวแล้วไปได้ไม่ไกลในอันดับเพลงเลย
2.   ในช่วงเวลานั้นโปสเตอร์หนังดังติดตา มีคนนำมาพลิกแพลงให้เข้ากับงานของตนมากมาย  แม้แต่ I.S. Song Hits  ก็เอากับเค้าด้วย


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/01/31/L9naEn.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L9naEn)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 ก.พ. 23, 13:55
ในปี 1978 หนังสือ Starpics ที่ผมซื้อมาอ่านประจำลงข่าวหนังที่กำลังลงโรงฉาย (ที่บ้านเขา)  หนังชื่อว่า FM  เนื้อหาเล่าเกี่ยวกับสถานีวิทยุคลื่น FM แห่งหนึ่งในเมือง LA อเมริกา  ที่สร้างความนิยมให้กับแฟนเพลงด้วยการกระหน่ำเพลงฮิตติดต่อกันโดยปราศจากการโฆษณา  แต่แล้ววันหนึ่งหุ้นส่วนใหญ่เกิดความคิดอยากหากำไรจากสถานีวิทยุอันดับหนึ่งนี้ด้วยการสอดแทรกโฆษณาลงไป  ซึ่งย่อมเป็นที่แน่นอนว่า ศิลปะที่นำเสนอโดยเหล่าดีเจที่ไม่หวังผลกำไร กับ การค้าที่หวังผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ มันไปด้วยกันไม่ได้

ตอนที่ผมรู้เรื่องย่อก็รู้สึกเฉย ๆ  กับเนื้อหาของหนัง  สำหรับ soundtrack ของหนังเรื่องนี้ที่ต่อมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  ยอดขายมากถึงจุดที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว  แม้จะเป็นแผ่นคู่  นส. SP ไม่ได้บอกรายละเอียดว่ามีเพลงอะไรบ้าง 

เป็นที่แน่นอนว่าหนังไม่มาฉายในบ้านเรา  แต่อีกไม่นานแผ่น soundtrack ก็มา  ผมเห็นเป็นประจำทุกครั้งที่แวบไปสำรวจแผ่นเสียงที่ห้างเซ็นทรัลสีลม แผ่นสวยมาก

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/01/LwNmkv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LwNmkv)
(ภาพจากคลังอากู๋)


ครั้งแรกที่เห็นผมพุ่งตรงไปคว้ามาสำรวจ  เพลงในแผ่นนั้นผมรู้จักทุกเพลง  แต่ที่หูอื้อตาลายคือมีเพลงของนักร้องสุดโปรด Linda Ronstadt (สุดโปรดของผมมี 3 คน) ด้วย  แต่เพลงเหล่านั้นมีบรรจุอยู่ในแผ่นเดี่ยวของเธอที่ผมมีครอบครองอยู่แล้ว  ผมก็เลยคลายความหูอื้อตาลาย  ความอยากซื้อก็เลยน้อยลง  อีกทั้งมันเป็นแผ่นคู่ซึ่งมีราคาแพงสำหรับผม (อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 500 บาท  ปี 1978 ก็คือ 2521 ผมยังเรียนหนังสืออยู่เลย  ผู้ปกครองให้เงินใช้เดือนละ 800 บาทเอง  การซื้อแผ่นเสียงนี่สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยกระจิ๋วหลิวแบบผมต้องคิดให้ถ้วนถี่  ถ้าซื้อมาแล้วพบว่าฟังได้เพลงสองเพลงละก็นอนไม่หลับเพราะเสียดายเงินไปหลายคืนเลยละ)
 
สรุปแล้วผมก็เลิกคิดที่จะซื้อ  แต่ไม่เลิกหยิบมาลูบคลำทุกครั้งที่ไปเยี่ยมมัน  ใจก็อยากเห็นว่าเวลาเปิดกางออกแล้วจะเห็นรูปอะไรบ้าง (แผ่นหุ้มพลาสติกแน่นหนา)

กลับมายุคปัจจุบัน  วันหนึ่ง website ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ (เพื่อนฝรั่งให้ password มาน่ะ) ก็เอาหนังเรื่องนี้มาปล่อย  ผมเห็นแล้วนึกถึงความหลังก็ดูดมาดูซะหน่อย

เพียงแค่ฉากเปิดเรื่องผมก็ต้องมนตร์ของหนังทันที (เป็นความรู้สึกส่วนตัว เพราะปรากฏว่าหนังไม่ได้ดังอะไรมากมาย  soundtrack ดังกว่าหลายเท่า) บรรยากาศของหนังพาผมย้อนยุคกลับไปยุคที่ผมกำลังบ้าคลั่งเพลงฝรั่งสุดขีดกับบรรยากาศของเมืองนอกในยุค 70s  ขณะดูก็คิดว่าถ้าได้ดูในช่วงเวลาของมันผมคงไม่ ‘in’ กับหนังขนาดนี้
https://youtu.be/ygrIs1y8azk


เนื่องจากเป็นหนังเกี่ยวกับวงการเพลง  จึงมีเพลง (ในปี 1978) สอดแทรกเข้ามาบานตะเกียง  หนังประเดิมด้วยเพลงของ Steely Dan ชื่อ FM (No static at all)  วงนี้ไม่ได้เป็นแฟนของนักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราเหมือนวง Eagles, Bread, America, Chicago  แต่ singles ดังของพวกเขานักฟังเพลงประเภท ‘สิงห์’ จำได้ติดหูไม่ลืม... Do it again กับ Ricky don’t lose that number เพลง rock ชั้นยอดแห่งยุค 70s 
https://youtu.be/vptlTsgu9p0

https://youtu.be/UfZWp-hGCdA


เพลงดังเพลงสุดท้ายของวงในบ้านเรา  ซึ่งผมว่าเพราะที่สุดคือ Hey, Nineteen
https://youtu.be/8NNn6Fc_R6E


สำหรับเพลง FM ผมได้ยินทางวิทยุบ้างแต่แป๊บเดียว  แป๊บเดียวจริงๆ  เพราะจำทำนองอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ชื่อของมัน

ใน clip หนัง  ที่ 1.06 เป็นบรรยากาศภายในห้องส่งของสถานี  เห็นชั้นแผ่นเสียงแล้วอยากรู้จังว่ามีแผ่นฯ ของนักร้องคนโปรดของผมท่านใดบ้าง
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/01/LwBWxQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LwBWxQ)
ที่เห็นชัด ๆ ก็ Helen Reddy ละ  แหม... ขนลุก


เพิ่งรู้ว่าในสมัยที่ดังเป็นพลุแตกเธอร่ำรวยขนาดไหน
https://clickamericana.com/topics/home-garden/at-home-with-singer-helen-reddy-1978


ภาพบรรยากาศภายในห้องส่งนี้คุ้นตาผมเพราะในช่วงหนึ่งผมเคยไปช่วยรุ่นพี่จัดรายการเพลง (...ค่อย ๆ คายออกมา)  คือผมมีแผ่นเสียง  รุ่นพี่มีความสามารถ  ก็เลยมาร่วมกันจัดรายการเพลง  ห้องส่ง (ไม่ใหญ่เท่านี้) อยู่ในซอยสายลมใกล้บ้าน  กับอีกช่วงเวลาหนึ่งห้องส่งอยู่ใกล้โรงหนังฮอลลีวู้ด  จัดรายการเสร็จก็หอบแผ่นฯ เข้าไปดูหนังด้วยกัน
 
2.56 กางเกงยีนส์ทรง mod ยอดนิยม  มีให้เห็นอีกจาก clip ของวง Steely Dan  กางเกงทรงนี้ดังถล่มทลายจริง ๆ  ฝรั่งใส่สวยมากเพราะเขาตัวผอมสูง  เราเตี้ยแมะแคะ  เห็นรูปตัวเองในกระจกเงาแล้วต้องถอนหายใจ


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/01/LwBze2.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LwBze2)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/01/LwB1Pq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LwB1Pq)
นี่คือภาพ Chart แสดงอันดับเพลง  ในยุคนั้นมีนิตยสารเพลงรายสัปดาห์ 2 ชื่อที่รายงานอันดับเพลงเป็นที่ยอมรับของชาวอเมริกันคือ Cashbox กับ Billboard  เท่าที่รู้มาแต่ดึกดำบรรพ์  ในยุคนั้น Cashbox ป๊อบปูล่าร์กว่า Billboard เพราะหน้าปกเป็นหน้าสีสวยสดของบรรดาศิลปินที่นำผลงาน (ไม่ว่า single หรือ album ในสาขาต่าง ๆ เช่น pop, R&B, country ฯลฯ) ขึ้นอันดับหนึ่งในสัปดาห์นั้น ๆ  ในกาลเวลาต่อมา Cashbox ก็ปิดตัวเหลือแต่ Billboard  จะด้วยเหตุผลกลใด  กรุณา ‘จิ้มแล้วปัด’ เดี๋ยวคำตอบก็ขึ้นมาเอง

หน้าอันดับเพลงนี้จะมีลงประจำในหนังสือ Starpics และหนังสือเพลงฝรั่ง เช่น IS Song Hits ฯลฯ จากประสบการณ์ผมเคยจับ Cashbox เพียงครั้งเดียว  แต่เคยจับ Billboard บ่อยครั้งกว่า คือมันไม่มีขายในเมืองไทย  แต่จะมีตามร้านขายแผ่นเสียงกับแผนกแผ่นเสียงที่ห้างเซ็นทรัล  ที่แผนกแผ่นเสียงของห้างเซ็นทรัลสีลม จะฉีกหน้าอันดับเพลง pop จาก magazine นี้แล้วปะไว้บนกระดานหน้าทางเข้าแผนกฯ  ซึ่งผมจะแวะไปดูในวันศุกร์ที่ว่าง (และทุกวันศุกร์ถ้านักร้องคนโปรดของผมออกเพลง) หลังเลิกเรียน  นี่คือเหตุผลที่ทำไมผมถึงพร่ำเพ้อแต่ชื่อห้างฯ นี้

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 ก.พ. 23, 12:11
คุยเรื่อง FM กันต่อ...

สถานีนี้ดำเนินงานในรูปแบบของศิลปะ  กล่าวคือ ดีเจแต่ละคนจะนำปัญหาส่วนตัวมาออกอากาศ  ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ (คือพล่าม  เป็นต้นว่า ดีเจ อกหักก็จะคร่ำครวญออกอากาศอยู่นั่นแล้ว... เสียดาย  ไม่มี clip)  ผู้ฟังก็สนุกและเข้ามามีส่วนร่วม  นี่เป็นต้นเหตุให้สถานีนี้มี rating สูงที่สุด
https://youtu.be/W0m9OnTsBrg
Background คือเพลง Do it again ของ Steely Dan และ Your smiling face ของ James Taylor


เนื้อหาของหนังไม่มีอะไรซุกซ่อนอยู่ในก่อไผ่  ดูไปชั่วอึดใจก็รู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร

เมื่อพยายามในหลายวิธีการก็ไม่ประสบผล  เหล่าดีเจทั้งคณะจึงก่อการประท้วงโดยยึดสถานีออกอากาศเป็นฐาน  งานนี้พวกเขาไม่ได้ตัวคนเดียวแต่มีบรรดาแฟนคลับต่างเข้ามาร่วมให้กำลังใจ  หนังใช้เพลงดังเพลงหนึ่งของ Queen คือ We will rock you เป็น background
https://youtu.be/uVrh7FBEuVo


อย่างไรก็ตามน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ  แต่ก่อนจะถึงจุดวิกฤติพวกเขาก็ได้ตัวช่วยมีความแรงประดุจน้ำป่าคือ ตัวเจ้าของสถานี  ซึ่งแอบดูอยู่และชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของเหล่าดีเจที่จะยึดมั่นในอุดมการณ์ไม่แสวงหาผลกำไรอย่างไม่ท้อถอย  หนังจึงจบด้วยความสวัสดีมีชัย (เหมือนหนังของ Walt Disney เลย)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/02/L1JTrE.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L1JTrE)


หนังเรื่องนี้มีฉากการแสดงสดของศิลปิน 2 คน

https://youtu.be/X7ckBvSKG-Q
Jimmy Buffett  เป็นนักร้องนักดนตรีที่มีความดังปานกลาง (ที่บ้านเขา) และไม่ดังเลยในบ้านเรา  ในยุคนั้นผมเคยได้ยินเพลงของเธอเพลงเดียว  เป็นเพลงที่เพราะติดหูมาถึงปัจจุบัน
https://youtu.be/lE3ZXFf6Yd8
Wikiฯ บอกว่าเธอเป็นนักธุรกิจตัวยง  บัดนี้จัดเป็นศิลปินที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่ง


ส่วนอีกหนึ่งการแสดงสดอันเป็น highlight ของหนัง  คือการแสดงสดของ Linda Ronstadt ซึ่งจัดให้กับหนังโดยเฉพาะ  ไม่ใช่ทางทีมงานเอาการแสดงสดของเธอจากแหล่งอื่นมาตัดต่อ  เธอร้อง 3 เพลง  แต่ใน soundtrack บรรจุไว้แค่ 2 เพลงแรก

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่หนังออกฉาย  ผมไม่รู้หรอกว่าบทบาทของ LR ในหนังคืออะไร SP ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้  ขณะดูไปก็อดคิดไม่ได้ว่าในปี 1978 การเห็น LR in action นี่ไม่เคยมีอยู่ในความคิด  เหมือนนึกไม่ออกว่าภายในเครื่องบินมีอะไรบ้าง  แค่ได้เห็นภาพนิ่งของเธอตามสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว

เมื่อ Youtube ถือกำเนิด  ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นเธอรวมถึงนักร้องคนโปรดอื่น ๆ in action ที่แม้จะเป็นของเก่า  แต่มันตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก  นั่งจ้องตาไม่กระพริบ  ความรู้สึกของคน 2 ยุคแบบผมนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับคนที่โตขึ้นมาในยุคสมัย อตน.

https://youtu.be/kjNNo705Lwc
0.51 – keyboard คือ Don Grolnick, guitar ใส่แว่นคือ Waddy Wachtel  ใส่เสื้อขาวคือ Kenny Edwards ที่เหลือคือ Dan Dugmore  ส่วน กลอง คือ Rick Morotta

เพลงที่เธอร้องในหนังนี้ (ทั้ง 3 เพลง) ล้วนบรรจุอยู่ในแผ่นเสียงส่วนตัวของเธอ  นักดนตรีในวงของเธอที่เห็นอยู่นี่ผมรู้จัก (ชื่อ + หน้าตา) ทุกคน  เพราะตอนฟังเพลงผมก็เอาแผ่นฯ ของเธอมานั่งดูรูปไปอ่านรายละเอียดไป  ทำอย่างนี้มาร่วม 100 ครั้ง  ภาพก็ซึมเข้าไปในหัวเอง  


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/02/L1J1ZV.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L1J1ZV)
แผ่น Simple Dreams (1977 ตอนออกวางขายก็ขึ้นอันดับ 1 ของ billboard ทันทีและค้างอยู่นาน 5 สัปดาห์  มันเป็นแผ่น ฯ ที่ขายดีที่สุด) ภาพที่เห็นคือหลังจากกางปกหน้า-หลังแผ่ออก  รูปข้างล่างเป็นอีกด้านหนึ่ง  เหล่านักดนตรีในภาพก็คือคนที่เล่นใน concert ของเธอในหนัง  มาได้เห็นพวกเขา in action นี่  ตื่นเต้นจริง ๆ

Package ใส่แผ่นเสียงที่เปิดกางได้แบบนี้เรียกว่า ‘gatefold’  โดยส่วนตัว ถ้านักร้องคนโปรดออกแผ่นฯ ใส่ในซองแบบนี้  คือกำไรเลยละ

Package มีขนาดใหญ่กว่า 12” x 12” (คือขนาดของแผ่นฯ) เล็กน้อย  เมื่อกางออกจะเห็นภาพเก๋ ๆ ขนาดใหญ่กว่า 12” x 24”  เล็กน้อย  ลองคิดดูว่าน่าสะใจแค่ไหน (ถ้ามีโอกาส ‘หยอด’ จะเอาของคนอื่น ๆ ที่ยังเก็บไว้  ไม่ได้ขายไป ออกมาโชว์)

2 เพลงแรกในหนังคือ Tumbling Dice กับ Poor poor pitiful me บรรจุอยู่ในแผ่นนี้ (หมายเหตุ – Package ชุดนี้ได้รางวัล Grammy ด้านการออกแบบ)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/02/L1JRvW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L1JRvW)
แผ่น Living in the USA (1978)  บรรจุเพลงที่ 3 คือ Love me tender ซึ่งไม่ได้เอามาบรรจุไว้ใน soundtrack ทำไมก็ไม่รู้


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/02/L1Jqry.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L1Jqry)
ซองในสำหรับใส่แผ่นฯ ของทั้ง 2 album (เรียกว่า inner sleeve) อีกด้านของแต่ละซองเป็นเนื้อเพลง


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ก.พ. 23, 12:29
ต่อเรื่อง FM…

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/03/LZara2.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LZara2)

ร้านแผ่นเสียง Tower Records  เป็น chain ของร้านขายแผ่นเสียงที่โด่งดังที่สุดของอเมริกาในยุคนั้น (‘จาร  น่าจะคุ้นตากับ logo นะครับ) มีสาขาอยู่ทั่วทุกเมืองในทุกรัฐ  (รองลงมาคือร้าน Warehouse)  เอกลักษณ์ของร้านคือตัวหนังสือสีแดงบนพื้นสีเหลืองอ๋อย  เห็นภาพแล้วขนลุกกับบรรยากาศ  อยากจะกระโจนพุ่งผ่านจอเข้าไปลุย

ที่หน้าร้านเป็นภาพโฆษณาแผ่นเสียงล่าสุด  มีของวง Electric light orchestra (เรียกง่าย ๆ ว่า วง ELO) วงเชื้อชาติอังกฤษ  เล่นดนตรีแนว rock แล้วนำแนวดนตรีแบบ orchestra มาผสมผสานได้อย่างกลมกลืน ในยุคนั้นเป็นวงเดียวที่เล่นแนวดนตรีแบบนี้  ถ้าหมุนคลื่นวิทยุหาเพลงฟังแล้วไปเจอเพลง rock กระหึ่ม ๆ ละก็  นั่นละเพลงของวงนี้  เป็นวงที่ดังมากทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา  ดังในบ้านเราด้วย  สถานีวิทยุบ้านเราเปิดเพลงของวงนี้เป็นว่าเล่น นี่คือเพลงที่เปิดบ่อยมากเพลงหนึ่งในบ้านเรา
https://youtu.be/NNjrBUzXDJk


ถัดไปเป็นแผ่นฯ soundtrack ของหนัง James Bond ตอน The spy who loved me ที่แฟนสาวของผม Carly Simon ร้องเพลง Nobody Does It Better เป็นเพลงเอก  ถัดไปเป็นแผ่นของ Alan Price คนนี้ผมไม่รู้จัก  ถามอากู๋ได้ความว่าเธอเคยเป็นสมาชิกวงคลาสสิคในยุค 60s ชื่อ The animals ที่มีเพลงอมตะติดหูนักฟังเพลงฝรั่งทั่วโลกรวมถึงหูคนไทยคือ House of the rising sun

แผ่นสุดท้ายเป็นของสาว country นามว่า Crystal Gayle  นี่เป็นแผ่นดังสุดของเธอ  ดังเพราะ single นี้ที่คุ้นหูพวกเราเป็นอย่างดี
https://youtu.be/9pnp5HR751w

 
ตอนไปอเมริกาครั้งแรก  หลังจากตั้งหลักได้ผมพุ่งไปที่ร้าน TR เป็นแห่งแรก  ยุคที่ผมไปนั้น format ของแผ่นเสียงกำลังจะล่มสลาย  format ของ ซีดี กำลังเข้ามาแทนที่  มันเป็นช่วงรอยต่อ  ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับทุกร้านขายแผ่นเสียงคือ  ช่องวางแผ่นเสียงที่มีอยู่เดิมใช้ไม่ได้กับการวางแผ่นซีดี  เพราะ format ของแผ่นซีดี มีขนาดเล็กกว่ามาก  มันไม่พอดีกัน  ทุกร้านจึงต้องปรับเปลี่ยนขนาดของช่องใส่แผ่นฯ เสียใหม่ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายและเวลาไม่น้อยและอ่วมไปเลยสำหรับร้านใหญ่ ๆ  อย่าง TR ที่มีสาขาเป็นร้อยแห่ง

ในช่วงแรก ๆ เพื่อประวิงเวลาที่ใช้ในการปรับเปลี่ยน  แผ่น ซีดี ทุกแผ่นที่ออกมาจากโรงงานจะใส่อยู่ในกล่องกระดาษที่มีความสูงประมาณเดียวกับแผ่นเสียง (12”)  ดังนั้น ช่องวางแผ่นเสียง 1 ช่องจึงสามารถใส่แผ่นซีดีเรียงได้ 2 แถว  จนกระทั่งการปรับเปลี่ยนช่องวางแล้วเสร็จ  หน้าตา package ของแผ่นซีดีจึงมีรูปแบบเล็ก ๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน  ไม่มีกล่องกระดาษหุ้มอีกทีอีกต่อไป

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/03/LZaVxy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LZaVxy)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/03/LZaXnD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LZaXnD)
เปรียบเทียบระหว่าง package ของแผ่นเสียง กับ package ของแผ่นซีดี
 
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/03/LZaGPb.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LZaGPb)
สำหรับแผ่นที่มี gatefold จะเห็นว่าภาพบน package ของแผ่นฯ กับภาพในกล่องซีดีนั้นมีขนาดคนละเรื่องเลย แถมในชุดที่เอามาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้รูปเป็นขาวดำเสียอีก  ก็มันเป็นแผ่นผลิตย้อนหลัง (back issue) จะทำเริดหรูทำไมให้เปลืองต้นทุน

บางชุดยิ่งกว่านี้อีก  อย่างชุด Simple Dreams ของ Linda Ronstadt  เอกสารแนบในแผ่นซีดีไม่มีรูปนักดนตรีที่เห็นในหน้า gatefold ของ package แผ่นเสียง  รูปของเธอบน inner sleeve มีมาให้แต่ก็เป็นขาวดำ  คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่  ซื้อแผ่นซีดีไปก็จะนึกว่า  เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น  นี่แหละ  ศิลปะกับการค้า  มันไปด้วยกันไม่ด้ายยย

พวกเราน่าจะจำได้ว่า ร้าน TR มาเปิดสาขาที่เมืองไทยด้วยเช่นกัน  แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะสาเหตุอะไรทุกคนรู้ดีกันแล้ว 

มีเรื่องอุบาทว์ของตัวเองจะแฉให้ฟัง (อ่าน) ว่า  ช่วงที่ TR จะเข้ามาบุกเมืองไทยนั้น  มีการประกาศจ้างงานหลายตำแหน่ง  ด้วยความบ้าอยากเวียนว่ายอยู่กับเสียงเพลง  ผมก็ไปสมัครกับเขาในตำแหน่งผู้จัดการ 

ผมดำเนินเรื่องอย่างเงียบ ๆ  ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้  ผมผ่านด่านต่าง ๆ เข้าไปถึงด่านสัมภาษณ์  แล้วก็จบตรงนั้น  แสดงว่าผมปิ๋ว  นั่นแหละ ผมจึงค่อยเผยเรื่องให้กับเพื่อน ๆ ฟัง  รู้สึกเสียหน้าเพราะเก็งไว้ว่าไม่พลาด  ก็ความรู้เรื่องเพลงยอดนิยมของผมใช่ย่อยเสียที่ไหน แถมตอนจบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ยังทำหน้าเลื่อมใสกับความรู้ของผมให้ใจพองฟู

พอเล่าจบ  เพื่อน ๆ รุมกันกระหน่ำว่า ผมท่าจะสติเสียอย่างหนัก  ถึงขนาดตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานในสถานที่ทำงานที่มีความมั่นคงระดับ 'แห่งประเทศไทย'  เพียงเพื่อจะไปขายแผ่นซีดี (ขอแย้งนิดว่า ความจริงผมอยากเป็นพนักงานขายแผ่นเสียงมากกว่า)  ยิ่งพี่มนันยา (นักแปล) หลังจากฟังผมเล่าแล้ว เธอแหวเสียงแสบแก้วหูขึ้นมาทันทีว่า 'ไอ้บ้าเอ๊ย  ทำเข้าไปได้ยังไง  โง่หรือฉลาดวะนี่  ดีนะนี่เค้าไม่เรียกตัว'  ไม่มีใครแสดงความเห็นใจเลย  แสดงว่าเป็นการกระทำที่โง่สมบูรณ์แบบ

มาถึงวันนี้เมื่อคิดย้อนไปแล้ว  ผมถ้าจะผีเข้าจริง ๆ  แล้วรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้งานตำแหน่งนั้น  ไม่งั้นป่านนี้คงกำลังนั่งขายกะลอจี๊ริมถนนหาเงินไปจ่ายค่าเช่าห้องแถวโง่ ๆ ข้างสลัมที่ไหนสักแห่ง

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/03/LZae3a.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LZae3a)


ตัวอย่างหนังที่ดูด้วยความรู้สึกโหยหาในบรรยากาศ (nostalgia)
https://youtu.be/Acsa4s5n5Tg



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ก.พ. 23, 12:14
Attraction (2017) เป็นหนังจากประเทศรัสเซีย  หนังเล่าเรื่อง มนุษย์ต่างดาวที่ตั้งใจมาทำ ‘research’ ยังโลกมนุษย์แต่ยานของเขาประสบอุบัติเหตุโดนฝนดาวตกถล่มทำให้ตกลงสู่พื้นในเมืองหนึ่งของรัสเซีย  การตกของยานสร้างความเสียหายย่อยยับเป็นบริเวณกว้าง  ต่อจากนั้นก็หนังก็ออกแนวโรแมนติคแบบมีกลิ่นเน่าโชย เมื่อสาวชาวโลกเจอมนุษย์ต่างดาวแล้วพึงพอใจกันโดยมีแฟนเก่าของสาวไม่พอใจแล้วตามด้วยการแก้แค้น  จนหนุ่มสาวคู่รักเสียชีวิต ?!?

หนังสร้างใน format แบบ IMAX 3D  ภาพที่เห็นจึงคมชัด

เพราะเป็นหนังรัสเซียจึงไม่พูดภาษากลางคือ อังกฤษ  ตอนผมดู  มี subtitle ภาษาอังกฤษให้อ่าน  พบว่าบทพูดตลกดีโดยเฉพาะสาวน้อยชาวโลกที่ไม่ค่อยถูกกับคุณพ่อนายทหารใหญ่ผู้เป็นแกนนำในการสืบสวนเรื่องนี้  บทพูดของเธอจึงขบกัดเหน็บแนมคุณพ่อตลอดเวลา  เช่น ตอนจะนำแฟนมนุษย์ต่างดาวเข้าไปเอาของในห้อง lab  แต่ยามไม่ให้เข้า  เธอก็ขอพบพ่อ  และเพื่อความมั่นใจว่าพ่อต้องให้พบแน่  เธอจึงฝากยามไปบอกพ่อว่า มาเรื่อง ‘ตั้งท้อง’ ซึ่งยังตามหาพ่อที่แท้จริงไม่ได้  แต่พามา 1 คนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย ยามมองหน้าหนุ่มมนุษย์ต่างดาวซึ่งฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง แต่เพื่อไมตรีเธอจึง ‘ยิ้ม’ ไว้ก่อน ฯลฯ  เสียดายไม่มีใครย่อย clip น่ารัก ๆ เหล่านี้  ส่วนหนุ่มมนุษย์ต่างดาวสุดหล่อก็เข้าทำนองตามท้องเรื่องคือเปิ่น ๆ เด๋อ ๆ

ฉากยาน ‘พระเอก’ ตก  ถ้าดูในจอโรงหนังที่มีระบบเสียงสมบูรณ์แบบ  จะตะลึงตาเป็นอย่างมาก
https://youtu.be/GdvF4eU7ERQ
0.34 – พ่อนางเอกเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่


https://youtu.be/bucLg6sviF8
ชุดมนุษย์ต่างดาวออกแบบได้เท่มาก


นี่คืออดีตแฟนนางเอกที่แค้นที่แฟนของตนเปลี่ยนใจไปรักมนุษย์ต่างดาวแทน  ในฉากนี้เธอโขมยชุดมนุษย์ต่างดาวมาสวมและพบว่าชุดนี้ติดอาวุธสำหรับการต่อสู้ไว้พร้อม
https://youtu.be/qfF6NNM5pWQ


พอรู้ว่าชุดฯ มีอาวุธพร้อมมูล อดีตแฟนก็บ้าเลือด แล้วไปกระตุ้นชุดนักรบเปล่าอื่น ๆ ให้รับสัญญาณจากตนเพื่อออกทำลายล้างผู้คน โดยมีเหล่าทหารที่ไม่รู้ที่มาที่ไปร่วมลงมือขัดขวาง  ก็ได้ฉากสนุกสนานฉากนี้
https://youtu.be/32ak96ZmtdY


ตอนจบ
https://youtu.be/m_S0YnU0_qA


ตบท้ายด้วยคำคมจากเสียงของนางเอก ‘The truth is that one alien from far away trusted us more than we trust ourselves’  หนังประสบความสำเร็จทางด้านรายได้  รายงานบอกว่า 3 เท่าของต้นทุน  แล้วก็มี Attraction 2 ตามออกมาในปี 2020 (ต้องไปหามาดู)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/MCtKBMO8Sgc


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 06 ก.พ. 23, 21:03
Attraction สนุกมากเพราะเป็นหนังรัสเซียไม่ค่อยมีฉายในบ้านเรา นางเอกน่ารัก หมานางเอกน่ารักกว่า แฟนเก่านางเอกไม่น่ากลายเป็นแบบนั้นไปได้ แต่บทเพื่อนแฟนเก่านางเอกหน้าตี๋ขโมยซีนพอสมควร พระเอกกับพ่อนางเอกผมเฉยๆ เพิ่งรู้ว่ามีภาค 2 แต่ที่เพิ่งรู้ยิ่งกว่าคือ Attraction เป็นหนังเก่าแล้วหรือครับเนี่ย  :o


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 ก.พ. 23, 14:23
Attraction สนุกมากเพราะเป็นหนังรัสเซียไม่ค่อยมีฉายในบ้านเรา นางเอกน่ารัก หมานางเอกน่ารักกว่า แฟนเก่านางเอกไม่น่ากลายเป็นแบบนั้นไปได้ แต่บทเพื่อนแฟนเก่านางเอกหน้าตี๋ขโมยซีนพอสมควร พระเอกกับพ่อนางเอกผมเฉยๆ เพิ่งรู้ว่ามีภาค 2 แต่ที่เพิ่งรู้ยิ่งกว่าคือ Attraction เป็นหนังเก่าแล้วหรือครับเนี่ย  :o

ตื่นเต้นและขอบคุณสำหรับการสนทนาครับ

ผมเขียนเรื่องนี้มาเกือบปีแล้ว  ขณะที่เขียนก็หลังจากดูหนังมาแล้วอีกเกือบปี  ดูไล่กับเรื่อง VIY  หลังจากเขียนไม่นานก็ได้ดูภาค 2  ความรู้สึกส่วนตัวไม่สนุกเท่าภาคแรก  ฉากตื่นตาตื่นใจก็น้อย  ขาดแรงบันดาลใจที่จะเอ่ยถึง


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 ก.พ. 23, 14:31
ผมรู้จักหนัง From here to eternity (1953) มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก  สิ่งที่แนะนำให้ผมรู้จักหนังเรื่องนี้ก็คือภาพนี้

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/07/LU4a6z.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LU4a6z)


บ้านเค้านิยามว่าภาพ erotic  ภาษาไทยแปลว่าอย่างไรผมไม่รู้  ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักแสดงมีใครบ้าง  แต่เห็นแล้วมันเซ็กซี่ดีจัง  แล้วก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าโอกาสมาจะไม่พลาด  อยากรู้ว่าฉากนี้อยู่ในช่วงไหนของเรื่อง

TCM สปอนเซ่อร์เจ้าเก่าเป็นผู้นำเสนอ  หนังขาวดำ (ถ้าเป็นสีคงจะน่าดูกว่านี้) เล่าเรื่องนายทหารหนุ่ม 3 นาย (Burt Lancaster, Montgomery Clift และ Frank Sinatra) ประจำอยู่ฐานทัพในฮาวายในช่วงเวลาที่ Pearl Harbor ถูกถล่ม  มีนักแสดงหญิงชั้นเลิศร่วมเล่นด้วย 2 คนคือ Deborah Kerr กับ Donna Reed

ช่วงที่หนังมาฉาย  ผมชำนาญหนังฝรั่งเต็มตัวแล้ว  และรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ดูดาราระดับมหากาฬมารวมกันอยู่ในจอเดียว  โดยเฉพาะ DK กับ MC
https://youtu.be/NiTje59-yhk


ฉากอันเป็นที่มาของภาพอมตะ
https://youtu.be/nvbRdxVLC7I


สมกับที่เค้าบัญญัติคำว่า ‘stars’ ให้กับนักแสดงในยุคทองของฮอลลีวู้ด
https://youtu.be/Oajh08kZ7Z4


ทหารเรือมาแล้ว Ernest Borgnine ก็เล่นด้วยนะ  เป็นนักเลงไม่ใช่ ‘แม็คเฮลลลลล’
https://youtu.be/Lfk-JTdQ_0I


Monty ขโมย scene
https://youtu.be/qKvblHYdoXg

หมายเหตุ – นักแสดงทั้ง 5 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ทั้งหมด  รวมสาขาอื่น ๆ เป็น 13 รางวัลที่เข้าชิง


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/Z7PmarMfuog


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 ก.พ. 23, 11:53
Montgomery Clift เป็นนักแสดงในจำนวนน้อยคนที่ใช้หลัก method มาใช้ในการแสดงของตน  อีกคนก็ Marlon Brando  แล้วก็ James Dean ที่ศึกษาหลักการแสดงของ MC เป็นครู

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/09/LOBjtq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LOBjtq)


MC เป็นทั้งดาราและนักแสดงคุณภาพ  เคยได้เข้าชิง Oscar ถึง 4 ครั้ง  แต่ชีวิตส่วนตัวของเธอไม่เป็นสุขนัก  นั่นคือเธอเป็นเกย์

ในยุคทองของฮอลลีวู้ดมีนักแสดงชาย (และหญิง) ชั้นนำที่เป็นเกย์ไม่น้อย  แต่ละคนก็เรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับมันในแบบต่าง ๆ กันไป  บางคนก็อยู่กับมันอย่างเป็นสุข เช่นคู่ของ Cary Grant กับ Randolph Scott  คู่นี้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยโดยยกให้ PR ของ studio ทำหน้าที่กลบเกลื่อนข่าวไป (ด้วย  slogan ว่า The Merry Bachelors  ความจริงทั้งคู่ ‘แต่งงาน’ กันเรียบร้อย)  ส่วนตัวเองก็ชดเชยด้วยการทำตัวดี ๆ ไม่ดื้อ  ทำงานหาเงินป้อนให้ studio  ประเภทน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/09/LOBAfR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LOBAfR)


บางคนก็หลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำนองมี 2 บุคลิกเช่น Farley Granger หรือ Rock Hudson หรือ Anthony Perkins หรือ Tab Hunter

แต่บางคนคือ MC ไม่ยอมรับมือกับมันเพราะเธอเกลียดความเป็นเกย์ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นเกย์  สิ่งเดียวที่ช่วยทำให้เธอลืม ๆ มันได้ก็คือเหล้า (ในยุคนั้นบรรดายาเสพย์ติดยังไม่เข้ามา)

ผมเคยดูหนังที่เธอแสดงมา 3-4 เรื่อง  อย่าง From here to eternity แล้วก็ A place in the sun (1951) อันเป็นช่วง heyday ของเธอซึ่งหล่อสุดขีด
https://youtu.be/oM2se8-FFWg


ในปี 1957 เธอเล่นเรื่อง Raintree County หนังย้อนยุคไปสมัยเดียวกับ Gone with the wind มี MC เป็นดารานำร่วมกับ Elizabeth Taylor ในบทผัวเมียที่เมียมีอารมณ์ปรวนแปรจนนำไปสู่ความร้าวฉาน
https://youtu.be/3JzWQCUbYrU


ช่วงกำลังถ่ายทำ  ET จัดงานปาร์ตี้ที่บ้านมีคนไปร่วมงานเยอะรวมทั้งเหล่านักแสดงจากหนังเรื่องนี้  หนึ่งในนั้นคือ MC

เมื่อถึงเวลาอันสมควร MC ก็ขอตัวกลับบ้าน  ระหว่างขับรถกลับบนทางเปลี่ยวเธอเกิดหลับใน  ส่งผลให้รถประสบอุบัติเหตุ  รถพังไม่เท่าไรแต่ MC บาดเจ็บสาหัส  รวมถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของเธอ ยับไปครึ่งหน้า

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/09/LOBsHu.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LOBsHu)


เธอหยุดงานนานกว่า 2 เดือนเพื่อรักษาแผลบนในหน้าที่ต้องทำศัลยกรรมพลาสติก  ก่อนที่งานถ่ายทำดำเนินต่อไปท่ามกลางความวิตกของ studio ว่าหนังเรื่องนี้ท่าจะเจ๊ง  แต่ MC คิดต่าง  เธอบอกว่าน่าจะตรงกันข้ามเพราะคนอยากมาดูว่า MC เสียโฉมตรงไหนบ้าง

ซึ่งก็จริงแม้ฉากตอนที่หน้า MC เสียโฉมแล้วจะโดนมุมกล้องและเทคนิคต่าง ๆ กลบเกลื่อนแต่เทคโนโลยีสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอ  จึงพอสังเกตได้ว่าในหนังครึ่งเรื่องหลังใบหน้าด้านซ้ายของ MC แทบจะไม่หันเข้าหากล้อง ถ้าเห็นก็พบว่าใบหน้าซีกนั้นผิดปกติคือ แทบไม่เคลื่อนไหว

หนังเรื่องนี้ผมได้ดูทางวิดีโอ  (อ้อ... นึกออกแล้ว ชื่อ บ. ทำวิดีโอคุณภาพที่ดูประจำ คือ บ. CVD International  อัดเสียงพากย์เสียงได้ดีมาก  แถมตอนจบจะต้องบอกว่า ‘ขอได้รับความขอบคุณจาก CVD International’)  หนังสนุกเชียวแหละ และผมก็ไม่ลืมที่จะสังเกตใบหน้าด้านซ้ายของ MC  แต่ก็ไม่เท่าไรนะผมว่า

ในช่วงการถ่ายทำหนัง MC ต้องใช้ยาระงับความปวดบ่อยมากเลยกลายเป็นคนติดยาเพิ่มขึ้นไปจากติดเหล้า  สองอย่างนี้ทำให้สุขภาพรวมถึงหน้าตาเธอโทรมเร็วกว่าอายุ  เห็นได้ชัดในฉากเรื่อง Judgement in Nuremberg เธอเพิ่งอายุ 41  แต่ดูแก่และหาเค้าคนเคยหล่อไม่เจอเลย
https://youtu.be/vQltcMFirsc
(ฉากนี้ซีกหน้าที่เป็นอัมพาตเห็นได้ชัด  Stanley Kramer ผกก. เล่าไว้ในบันทึกว่า  MC เข้าฉากนี้เพียงฉากเดียวแต่แทบจะจำบทพูดไม่ได้เลย  เขาต้องบอกให้เธอลืมเตรียมเรื่องบทพูดไปเสียแล้วคิดว่าตัวเองกำลังขึ้นศาล  พอทนายซักก็ค่อยคิดถึงบทบาทบุคลิกของตัวเองแล้วก็พูดไป  ปรากฏว่า MC ทำได้ดีและดีขนาดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ด้วย)

MC มีเพื่อนดาราที่สนิทมากอยู่คนเดียวคือ ET  ทั้งคู่จัดเป็นคู่ตุนาหงันบนจอหนังเพราะเล่นหนังคู่กันถึง 3 เรื่องและดังสุดกู่ทั้ง 3 เรื่อง  ส่วนเรื่องที่ 4 ลงมือไม่ทันเพราะเธอเสียชีวิตเสียก่อนในปี 1966 ด้วยอายุเพียง 45 ปี

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/09/LOBugI.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LOBugI)


MC ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงเกย์ที่มีชีวิตที่เศร้าที่สุดของฮอลลีวู้ด  สิ่งนี้ทำให้เธอเป็น icon ของชาวเกย์

ในหนังสือ Montgomery Clift: A Biography ออกขายในปี 1978  เธอบอกว่า ‘I love men in bed but I really love women’

แถมฉากในหนังเคาบอยอันเป็นเรื่องแรกของ MC ชื่อ Red river (1948) มีบทพูด 2 แง่ 2 มุมที่ว่า ‘good looking gun… can I see it? และ Maybe you’d like to see mine?’ 
https://youtu.be/zBe5T01yBUI
(อันนี้ซี้คลาสสิกแนะให้ดู ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 ก.พ. 23, 12:26
A Touch of Pink (2004) เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างอังกฤษกับคานาดา  หนังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่คานาดา  หนุ่มเกย์มุสลิมรู้สึกเบื่อกับความเคร่งศาสนาของครอบครัวของตนจึงย้ายถิ่นมาหางานทำที่อังกฤษ  และสามารถใช้ชีวิตเกย์ ๆ ของตนได้อย่างสบายใจ  ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนตอนอยู่บ้าน

ชีวิตของเขาเฮฮาไร้กังวลมาจนกระทั่งวันหนึ่งมารดาจอมเฮี้ยบที่มักจะติดต่อกันทางโทรศัพท์ตัดสินใจมาเยี่ยมเขา

https://youtu.be/TubNiTJQfkc


เป็นหนังน่ารักบรรยากาศบางเบา  ความจริง plot เรื่องถ้าเทียบกับยุคปัจจุบันแล้วแสนจะพื้นฐาน  แต่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน  ก็น่าติดตามอยู่  ผมดูทาง DVD ในปีที่ออกฉายโดยสั่งซื้อทาง Amazon  ยุคนั้น DVD หนังของนอกที่พูดภาษาอังกฤษที่มีบรรยายเสริมมาให้ประกอบการดูนั้นหายากมาก  ตอนนั้นสิทธิความเท่าเทียมกันยังไม่เข้มข้นเหมือนเดี๋ยวนี้  อย่างไรก็ตาม เสียงฟังไม่ยาก  สำเนียงมีทั้งอังกฤษแท้และอังกฤษสำเนียงแขก ซึ่ง แปลกดี ฟังง่ายกว่า

ใน clip  จะเห็นนักแสดง Kyle MacLachlan รับบท Cary Grant  เป็นจินตนาการที่หนุ่ม Alim คนนี้สร้างขึ้น  CG ของหนุ่ม A ชอบให้คำแนะนำบางครั้งก็ช่วยแก้ปัญหาแต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นความวุ่นวายเสมอ

ไม่มีใครย่อย clip มาปล่อยเลย  ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับหนังเล็ก ๆ  จะแนวเกย์หรือไม่ก็ตาม  น่าเสียดาย

แต่มีอยู่ clip หนึ่ง  คาดว่าผู้ปล่อยตั้งใจจะนำเสนอเพลงในหนัง  ความจริงในหนังมีเพลงสอดแทรกเข้ามาประปรายและเพราะ ๆ ทั้งนั้น  เพลงที่เอามาปล่อยชื่อว่า "Sailing on the Real True Love" ร้องโดยนักน้องชาวคานาดา  Emilie-Claire Barlow
https://youtu.be/O0KTX8NUMzs
เหตุการณ์ใน clip เป็นตอนที่แม่ของหนุ่ม A มาพักแล้วขัดคอกัน  คู่รักของหนุ่ม A เห็นเธอเซ็งก็เลยอาสาเป็นไกด์พา ‘ว่าที่แม่ยาย’ ออกเที่ยว London  ในเหตุการณ์นี้ทั้ง 2 หนุ่มยังปกปิดความสัมพันธ์อยู่  แม่หนุ่ม A เข้าใจว่าเป็นเพื่อนร่วมบ้าน

ใน clip จะเห็น London Eye   เป็น OTOP ของนคร London   ผมขี้เกียจค้นว่ามันเริ่มเปิดบริการเมื่อไร แต่ปีที่ผมไปเยี่ยมมัน (ครั้งแรก) คือ 2003  ตอนนั้น อตน. ยังไม่เจริญพันธุ์  แหล่งให้ค้นข้อมูลมีน้อยและหายาก  สรุปว่าก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยผมไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ตรงส่วนไหนบนตลิ่งแม่น้ำ Thames  ต้องไปถึง L นั่นแหละถึงจะสามารถหาข้อมูลรายละเอียดได้  จากการถามชาวบ้านเอา
 
ตามประสานักท่องเที่ยวมืออาชีพ (ขอยกหางหน่อย) เวลาจะไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ไหนที่ใกล้ตัว (ประมาณว่า ‘within reach’)  ผมจะปลีกเวลาไปสำรวจเส้นทางก่อน  โดยเฉพาะ LE ที่เพิ่งเปิดบริการ  คนย่อมแห่แหนไปร่วมประสบการณ์อย่างแน่นอน  ซึ่งต้องมีทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างบ้าน

แล้วก็จริงอย่างที่คาด  ผมไปถึงประมาณหลังเที่ยง  โอ้โฮ... คนมืดฟ้ามัวดิน  มดไม่กล้าแตกรังแถวนี้เพราะออกมาจากรังไม่ได้  มันแน่นไปหมด  พอเห็นสภาพของจริงแล้วผมก็วางแผนทันที  แผนของผมคือต้องไปวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดและต้องไปให้ทันรอบแรก  เพราะจากประสบการณ์พวกฝรั่งมันจะนอนกันก้นโด่งในวันหยุด

แล้วก็จริงตามแผน  วันอาทิตย์ที่ผมไป ไม่มีคนเลย ช่างตรงกันข้ามกับวันก่อนที่มาสำรวจ  แบบหน้ามือเป็นหลังตีนชาวบ้าน  LE ตั้งตระหง่านอย่างเหงาหงอยท่ามกลางอากาศยามเช้าเงียบสงบเหมือนอยู่อีกมิติหนึ่ง

บริเวณนั้นร้างผู้คนถึงขนาดว่าพนักงานเดินออกมาชวนเชิญผมให้ใช้บริการ   ‘มาแต่เช้าเชียว  มาซื้อตั๋วเลยเร้ว...'  ทำนองนี้

สรุปแล้วผมเป็นคนแรกของวันนั้น   แล้วก็ไม่ใช่เช้าตรู่แบบตี 5 อะไรเลย  เวลา 9.30 น. นี่นับว่าสายจัดแล้ว  ไม่รู้ผู้คนหายหัวไปไหนกันหมด 

ผมซื้อตั๋วราคา 11 ปอนด์ (ไม่รู้เดี๋ยวนี้เท่าไร)  แล้วเดินไปที่ชานชาลา  ตัว LE ไม่ได้หยุดนิ่งแต่จะหมุนเอื่อย ๆ  ช้ากว่าบันไดเลื่อน ดังนั้นเราต้องหาจังหวะก้าวเข้าไปในแคปซูลเอาเอง ไม่น่ากลัวหรอกครับ ถ้าก้าวขึ้นลงบันไดเลื่อนตามห้างแล้วไม่มีปัญหา  ที่นี่สะดวกกว่าอีก

ตัวแคปซูลมีขนาดกว้างใหญ่ จุได้ 25 คน  เช้าวันนั้น พอก้าวเข้าไปแล้วเพิ่งนึกได้ว่า เอ... อยู่คนเดียวแบบนี้แล้วใครจะถ่ายรูปให้ข้าละหว่า (อย่าลืมตอนนั้นยังไม่มีมือถืออัฉริยะ)  แต่โชคช่วย  อีก 2-3 วินาทีต่อมา  แคปซูลยังเคลื่อนไปไม่พ้นชานชาลาก็มีฝรั่งหนึ่งคู่ก้าวเข้ามาร่วมกับผม  รวมเป็น 3 คนในแคปซูลกว้าง  หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ  รวมถึงต่างไหว้วานให้ช่วยถ่ายรูปให้กันและกัน  เราก็สามารถเดินดูวิวได้รอบทิศสบายเหมือนอยู่ในบ้านของเราเองเลย การหมุนนั้นขึ้นไปสูงมากก็จริงแต่ไม่หวาดเสียวแม้แต่น้อยเพราะมันไต่ระดับช้ามาก

ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลานานเท่าไร  แต่ตอนครบรอบกลับมาที่ชานชาลา  คนกลับมามืดฟ้ามัวดินเหมือนเก่า


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/13/LPeGJR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LPeGJR)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 ก.พ. 23, 15:09
Nightmare before Christmas ออกฉายในปี 1993 เป็นหนังที่เรียกว่า Stop motion animated แนวแฟนตาซี  เล่าเรื่อง Jack Skellington ผู้มีตำแหน่งเป็น King of ‘Halloween Town’ 

เปิดเรื่องให้เห็นความเป็นไปใน Halloween Town 
https://youtu.be/A8NeYGphFyk
ลืมบอกไปว่าเป็นหนังเพลง


พลเมืองของเมืองนี้ยกย่อง JS ให้เป็นผู้นำโดยตั้งชื่อว่า Pumpkin King  หน้าที่ของ JS คือจัดงาน Halloween ให้มัน ๆ  แต่ในปีนี้เขาเกิดความเบื่อหน่ายและคิดไม่ออกว่าจะจัดงานในรูปแบบไหนดีถึงจะ ‘มัน’  เขาก็ออกไปเดินเล่นแก้เบื่อ  แล้วก็หลงเข้าไปใน Christmas Town  ประเพณีแปลกตาน่าหลงใหลทำให้เขาคิดอยากครอบครองเมืองนี้
https://youtu.be/tndrYKmX5us

https://youtu.be/MeURqpydzq8


เขานำไอเดียมาเสนอชาวเมือง Halloween  และต่อมาลักพา Santa Claus เพื่อเอามาศึกษา
https://youtu.be/l6QZUcRJw-A

https://youtu.be/0CndCiUVaeE


ความที่ไม่เข้าใจ concept  ของ Christmas Town ทำให้ JS ดำเนินงานไปตามประสบการณ์ความรู้ที่ตัวเองมีอยู่
https://youtu.be/fsrHJGgLV-g


เมื่อสามารถปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เข้ากับบุคลิกของตนได้แล้วก็ออกป่วนใน Christmas Town
https://youtu.be/M8FhegB5KNo


การป่วนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของ JS ทำให้ทางการของ Christmas Town ต้องหาทางกำจัด JS
https://youtu.be/RCMTp5DS90I


JS ไม่ใช่ผู้ร้าย  ที่เขาทำไปก็เพราะความต่างในวัฒธรรมกัน  เมื่อรู้ตัวว่าไปทำบ้านเมืองเค้าป่วนก็หาทางแก้ไข  ฝ่าย Santa Clause ก็เข้าใจในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  และเพื่อแสดงความไม่ถือโทษโกรธเคือง SC ก็โปรยหิมะลง Holloween Town  ทำให้พลเมืองตื่นเต้นกันใหญ่
https://youtu.be/30VDFt5JAdk


เสริมว่า Sally คือแฟนของ JS
https://youtu.be/lZErtwynT0g


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/wr6N_hZyBCk


หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีของ ผกก. Tim Burton เอง  ดังนั้นมันจึงเป็น project ส่วนตัวเขาที่ได้รับทั้งเงินและคำชมอย่างท่วมท้น

ผมดูหนังเรื่องนี้ในโรงฯ  จำความรู้สึกได้ว่าง่วงนอนจัง  เพราะผมไม่ ‘อิน’ กับแนวเพลง  แถมเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องบรรยายเหตุการณ์ของหนังไปด้วย  แนวการใช้เนื้อเพลงนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ในหนัง Little shop of horror  ยังสนุกกว่าเพราะเพลงเป็นจังหวะ doo-wop น่าฟังกว่า

นี่ถ้าไม่ใช่หนังเพลงผมจะสนุกกว่านี้มาก  ที่ชอบที่สุดคือเหล่าตัวละครต่าง ๆ ในหนัง  ล้วนน่ารักอยากได้เก็บไว้ทุกตัวเลย

ควันหลงจากความสำเร็จของหนังเรื่องนี้คือ merchandise หลายรูปแบบ  มีทั้งตุ๊กตา เกมส์ หนังสือการ์ตูนและการ์ตูนนานา ข้าวของเครื่องใช้ทุกชนิดเท่าที่สมองคิดไปถึง ฯลฯ ซึ่งยังคงมีขายถึงปัจจุบันนี้

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/14/Lu0pze.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Lu0pze)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 ก.พ. 23, 12:56
เขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อเกือบปีแล้ว  ตอนนั้นยังไม่มี idea หาความสุขจากกระทู้ 'นักร้องเก่าฯ' ของ 'จาร  คิดจะลบทิ้งก็เสียดายการค้นคว้าที่ลงทุนไป

Hitsville, the making of Motown (2019) เป็นสารคดีเล่าเรื่องราวการถือกำเนิดของบริษัทผลิตแผ่นเสียงชื่อดังของอเมริกา Motown  ที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ผลิตนักร้องผิวดำออกมาสู่ตลาดผู้บริโภคดนตรีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก  นักร้องในสังกัดที่แผ่ความดังมาถึงหูนักฟังเพลงบ้านเราก็เช่น Diana Ross (หรือ The Supremes ในยุคดั้งเดิม), Marvin Gaye, Stevie Wonder, The Jackson 5 และอื่น ๆ อีกมากมาย

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/15/L6eApl.jpg) (https://www.picz.in.th/image/L6eApl)
(บริษัท Motown Rec. ในยุคแรกเริ่มเป็นบ้านเล็ก ๆ 2 ชั้น Barry Gordy ผู้ก่อตั้งยืนเล่นกีตาร์  นั่งริมซ้ายคือ Smokey Robinson อดีตนักร้องนำคณะ The Miracles ต่อมาแยกตัวเป็นศิลปินเดี่ยว  SR มีฐานะประมาณเจ้าพ่อในวงการเพลง (ทั้ง pop และ soul) มีความสามารถทั้งแต่งและร้อง  นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรู้จักเพลงของเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น Shop Around, Tracks of My Tears ฯลฯ  ผู้หญิง 3 สาวคือวงอมตะ The Supremes มี Diana Ross นั่งติดกับ SR ผู้ชายอีก 2 คนที่เหลือคือนักแต่งเพลงมือฉมังของ บ.)

ผมชอบดูสารคดีแบบนี้เป็นที่สุด  เล่าเรื่องราวในอดีตของวงการเพลงในแง่มุมต่าง ๆ หรือเล่าเรื่องราวในอดีตของวงการหนังในแง่มุมต่าง ๆ  ได้ความรู้และได้รับรู้เรื่องราวแปลก ๆ มากมาย (จนอดนำมาเล่าไม่ได้)

นักฟังเพลงฝรั่งยุคเก่าชาวไทยรุ่นเซียนคงเคยได้ยินเพลง Dancing in the street (1965)  แต่ต้องเซียนของแท้ถึงจะรู้ว่าเพลงนี้ร้องโดยคณะนักร้องหญิงชื่อ Martha & the Vandellas  ผมเพิ่งมารู้จากสารคดีนี้ว่า นักร้องนำ Martha Reeves ต่อสู้หนักกว่าจะได้ขึ้นมาผงาดในวงการเพลง  สารคดีที่ดำเนินเรื่องโดย Barry Gordy ซึ่งเป็นประธานผู้ก่อตั้งเล่าว่า MR เข้ามาทดสอบเสียงร้องอยู่หลายหนแต่ไม่ประสบผล  จากคติว่า ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก  ในที่สุดเธอก็ได้มีโอกาสเข้ามาเหยียบในบริษัทฯ  หากไม่ใช่ในฐานะนักร้องแต่เป็นหน้าที่เลขาฯ 

ในตอนนั้น บ. Motown กำลังไต่เต้า  ทุกอย่างพร้อมมูลขาดแต่นักร้องที่ยังมีไม่มาก บริษัทฯ ก็ฆ่าเวลาระหว่างตามหานักร้องมาเข้าสังกัดด้วยการอัดแต่เสียงดนตรีไว้ก่อน ซึ่งผิดกฎของ ‘สหภาพ’ ที่กำหนดไว้ว่าเมื่อไรที่อัดเพลงจะต้องมีเสียงนักร้องด้วย (นอกจากตั้งใจทำเพลงบรรเลงออกขายจริง ๆ)

วันหนึ่ง จนท.ของ สหภาพ ฯ ก็เข้ามาตรวจโดยไม่บอกกล่าวในขณะที่ บ. กำลังอัดเพลงต้นแบบโดยปราศจากนักร้อง  ทุกคนตระหนกกลัวโดนปรับ  BG จึงตะโกนว่าหาใครซักคนมาถือไมค์โดยด่วน  แล้วก็มีหญิงสาวพุ่งเข้ามาทำหน้าที่ทันที  วินาทีนั้นเปลี่ยนอาชีพของ MR ไปอย่างสิ้นเชิง
https://youtu.be/mJtiTsetlvU

 
หรือนักร้องที่นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักดีเหมือนเพื่อนสนิท Stevie Wonder ผู้มีความสามารถรอบตัว  สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายตั้งแต่กลองแบบต่าง ๆ หรือหีบเพลงเป่า เปียโน ออร์แกน ฯลฯ  เธอนำเพลงขึ้นถึงอันดับ 1 (Fingertips Part 2 - 1963) ขณะที่มีอายุเพลง 12 ขวบ  เลยได้สมญานามว่า Little Stevie Wonder  คำว่า Wonder เข้ามาแทนนามสกุลจริงคือ Morris  ความดังของพ่อหนูอยู่ยงคงกระพันถึงบัดนี้ซึ่งต่อมาเมื่อโตขึ้นก็ตัดคำว่า Little ออก
https://youtu.be/dZSe6svF9Ko

 
เพลง Mickey’s Monkey ของนักร้อง Smokey Robinson ศิลปินคู่บุญของ BG  เพลงนี้ได้ยินครั้งแรกจากซี้คลาสสิคของผม  ตอนนั้นฟังแล้วเฉย ๆ จนกระทั่งได้มารู้เบื้องหลังของเพลงจากสารคดีนี้ว่า ฉบับอัดลงแผ่นเสียงใช้ backup  จากการระดมศิลปินชั้นนำของ บ. เช่น The Miracles (… The Tracks of my tears), Martha & Vandellas, The Temptations (… My Girl), The Marvelletes (… Please, Mr. Postman), Mary Wilson (1 ในสมาชิกของวง The Supremes)  รู้แล้วต้องไปหาฉบับเต็ม ๆ มาฟังอีกที  คราวนี้เพราะชะมัด  แล้วก็สงสัยว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกเฉย ๆ หว่า
https://youtu.be/ZVkAQUPGqpk

 
นี่คือ คณะ Jackson 5 และหนูน้อย Michael Jackson มาทดสอบเสียงในปี 1968  ตอน BG เห็นครั้งแรกเขาอุทานว่า ‘What is that?’
https://youtu.be/-Ppsyx02XwQ

 
หนึ่งในเพลงชุดแรก ๆ หลังจากได้รับการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินแล้ว
https://youtu.be/N9U9A4_cgyI


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ก.พ. 23, 05:12
คั่นรายการ...

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/16/LrQAYJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LrQAYJ)

เคยดูหนังที่เธอเล่นอยู่ 2-3 เรื่อง  แต่ที่ชอบมากคือหนังชุด The Musketeers มี 2 ตอน The Three และ The Four เข้าฉายที่โรง President

https://youtu.be/ssLVKLJ8ojU

https://youtu.be/-J0gFsBX0Lc


เธอสวมบท Constance de Bonacieux (who is a dressmaker to the Queen, Anne of Austria) เป็นบทตลก ๆ เปิ่น ๆ ตัวโขมย scene เลยละ  แต่ถึงคราวที่ต้องตายก็ตะลึงไปเหมือนกัน  มีอยู่ฉากหนึ่งที่เธอเดินอยู่กับกลุ่มแล้วผ่านเครื่องหมุนซึ่งความเปิ่นก็โดนเครื่องหมุนกระทุ้งท้องเอา  ฉากนี้ตลกมาก  เคยหาเจอใน youtube  ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว (นี่แหละถึงเบื่อเขียนเรื่องหนังแล้ว  ขนาด copy ที่อยู่ไว้  ถึงเวลาเอาลง  โดนถอดไปแล้ว)

Richard Chamberlain หล่อสุดขีด
https://youtu.be/nOFhfw-u5fg


CB โดนฆ่า
https://youtu.be/gaTDaUZ8phE

https://youtu.be/wR0ae4vJSz0


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 23, 08:18
คุณย่า Raquel Welch  เป็นนักแสดงไม่ใช่นักร้อง  แต่เธอก็เคยไปโชว์เสียงในรายการของ Cher มาเหมือนกัน

 https://www.youtube.com/watch?v=NDqgrZZtLnE


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 23, 08:21
https://www.youtube.com/watch?v=vjifXvo05pg


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ก.พ. 23, 09:35
ราเควล เวลช์ (Raquel Welch) เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายโบลิเวียน ชื่อจริงคือ โจ ราเควล เตฮาด้า (Jo Raquel Tejada) หากใช้นามจริงในวงการมายาคงไม่หนุนให้เธอฉายแสงได้เต็มที่ ดังนั้นชื่อในวงการของเธอจึงใช้ว่า ราเควล เวลช์ โดยใช้ชื่อสกุลของสามีคนแรก เจมส์ เวลช์ (James Welch) คุณย่าเปิดตัวในฐานะดาราสาวดาวเซ็กซี่แห่งยุค ด้วยภาพยนตร์เรื่อง โลกล้านปี (One Million Years B.C.) ปี ๑๙๖๖

https://youtu.be/gSYmJur0Npw


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ก.พ. 23, 11:39
Hitsville ต่อครับ

อีก 1 ตอนที่สนุกคือ เมื่อ มี.ค. 1964  SR แต่งเพลง My Guy ให้ Mary Wells ร้องและสามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ใน billboard chart ได้
https://youtu.be/79T-Q6qBEpo


พอเพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1  SR ก็เกิดความคิดว่าถ้าทำเพลง My Guy ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้  เขาจะทำเพลง My Girl ให้ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้ด้วยเช่นกัน  และเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ
https://youtu.be/6nWjve-z5TE
(เพลงโปรดตลอดกาลของผม  ช่วง intro ถือเป็น ‘one of the most guitar riffs ever’  ข้อมูลจากปากของ BG ทางสารคดี  นักร้องนำคือ David Ruffin  อยู่กับวงในช่วง 1964-1968  เป็นช่วงเวลาที่วงดังถึงจุดสูงสุด  เธอได้ชื่อว่า ‘was ranked as one of the 100 Greatest Singers of All Time by Rolling Stone magazine in 2008’  ผมว่าเธอเป็นคนผิวดำที่หน้าตาหล่อไม่เบา  เสียดายที่มีบุคลิคเป็น bad boy  เอาทุกอย่างตั้งแต่ยาเสพย์ติด ทำร้ายร่างกาย  ฯลฯ  ตายด้วยการเสพย์ยาเกินขนาดเมื่อปี 1991 รวมอายุ 50 ปี  )


คติในการทำเพลงให้ฮิตของ BG คือ ต้องทำดนตรี (ช่วง intro) ให้ติดหูคนฟังภายใน 10 วินาทีแรก
https://youtu.be/wBwRmFguRB8

https://youtu.be/A3Ix4hKSnxQ

https://youtu.be/F1FFOMshiO0
เพลงนี้ดังขนาด ‘The song was transmitted to astronauts orbiting earth in August 1965 during the Gemini 5 mission’

 
แต่ส่วนที่น่าอดสูใจเกิดขึ้นหลังจาก บ. ประสบความสำเร็จในอันดับเพลงแล้วก็ถึงเวลาออกทัวร์  ทัวร์แรกใช้เวลา 3 เดือน  ศิลปินทุกคนที่มาร่วมในสารคดีชุดนี้พูดเหมือนกันว่าเป็นฝันร้าย  เพราะ การแบ่งแยกสีผิว แพร่กระจายไปทุกตารางนิ้ว  ถึงแม้จะเป็นศิลปินดังแต่พวกเขาไม่สามารถเข้าห้องน้ำสาธารณะได้ถ้าไม่มีป้ายติดไว้ว่า  ‘สำหรับคน ผิวสี’  แม้แต่โรงแรมก็ต้องหาเฉพาะโรงแรมที่ต้อนรับคนผิวสี ฯลฯ  ทั้ง ๆ ที่ศิลปินเหล่านี้ตระหง่านในคลื่นวิทยุ/ห้างแผ่นเสียง  มีเงิน  แต่เมื่อออกมาสู่ที่สาธารณะพวกเขากลับกลายเป็นคนน่ารังเกียจ  ในโรงมหรสพก็มีเชือกกั้นแบ่งแดนสีผิว

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/16/LrppJW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LrppJW)


อย่างไรก็ตาม Motown Rec. ก็ฟันฝ่าอุปสรรคได้ด้วยวิธีการอันชาญฉลาด อาวุธที่ใช้ทำลายกำแพงฯ เป็นต้นว่า  จังหวะเพลงที่ทุกสีผิวเมื่อได้ฟังแล้วอดขยับแข้งขาไม่ได้
https://youtu.be/WCRuA9CFDhE


แฟชั่น จัดโดยคณะ The Supremes หัวหอกของ Motown Rec.  นี่เป็นจุดกำเนิดของ Motown fashion
https://youtu.be/Itn438i30hk

https://youtu.be/aFS8-m628_U


เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Motown ที่สุดคือ
https://youtu.be/SiyM_wLkVK4


ส่วนนักร้องที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ
https://youtu.be/JOFCpvIlpVk
สังเกตการณ์วางนิ้วลงบนแท่น  ผมละทึ่งในความแม่นยำจริง ๆ .... Stevie Wonder  แต่จำไม่ได้แล้ว ว่า clip ไหน 


นี่คือผลงานสร้างสรรค์ของ BG งานที่ไม่มีใครกล้าทำแข่งกับนักร้องขวัญใจวัยรุ่นผิวขาวที่ครองตลาดมาก่อน
https://youtu.be/JPL3Z14is1w
(1971-1973)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/16/LrpHIS.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LrpHIS)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 23, 11:46
คุณโหน่งโพสผิดกระทู้หรือเปล่าคะ   กระทู้นี้กระทู้หนังนะคะ

ขอนำฉากอมตะ ว่าด้วยอาบน้ำกลางแจ้งของคุณย่ามาให้ดูกันอีกครั้ง

https://www.youtube.com/watch?v=QNWg8IiW6hk


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 ก.พ. 23, 11:55
คุณโหน่งโพสผิดกระทู้หรือเปล่าคะ   กระทู้นี้กระทู้หนังนะคะ



เป็น 'หนังสารคดี' ครับ 'จาร

https://youtu.be/zpBpJHx9IpA


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 ก.พ. 23, 12:14
พูดถึงคู่ตุนาหงันบนจอหนังในยุคทองของฮอลลีวู้ด ผมว่า (แบบไม่ได้ค้นคว้าโดยละเอียด) ไม่มีใครเล่นคู่กันในหนังมากเรื่องเท่าคู่ของ Errol Flynn กับ Olivia de Havilland คือ 8 เรื่อง

ในจำนวนนี้ผมได้ดู 2 เรื่องคือ The adventures of Robin Hood (1938) ดูแล้วไม่ประทับใจ  อย่างแรกคือ ฉบับที่ TCM เอามาฉายภาพไม่คม ทำไมไม่รู้  ดูมันนวล ๆ  ต่อมาคือ EF ตัวหนุ่มล่ำแต่ไว้ผมบ๊อบดัดลอน (โดยประมาณ) รับมิได้   แล้วต่อมา OH ไม่สวยเท่ายุคหลัง ๆ  ในสายตาของผม

สรุปแล้วไม่หนุก

ทั้งคู่มาแก้ตัวกับผมในเรื่อง The private life of Elizabeth and Essex (1939) ในเรื่องนี้ EF หล่อเต็มประตู  ส่วน OH ก็สวยหยาดเยิ้ม  ที่ TMC เอามาให้ดูเป็นฉบับทำสี  เพิ่งเห็นใน youtube ว่ามีฉบับขาวดำด้วย
https://youtu.be/B_2345Prc54


Bette Davis ในบท Queen Elizabeth (ดูหลอนในสายตาของผม)
https://youtu.be/HSPx-VT4IoQ
(Vincent Price ที่ต่อมาติดอยู่กับบทผี ๆ  ตอนหนุ่ม ๆ เธอหล่อไม่เบา)


อีกเรื่องที่ส่งประกายความหล่อของ EF คือ  The adventures of Don Juan (1948)
https://youtu.be/fchCwrnIeK0

https://youtu.be/fvwiWoh2G7c


เพิ่งนึกได้ว่า ผมไม่เคยดู EF ในหนังที่มีเนื้อเรื่องอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันเลยแฮะ  เรื่องนี้ Leonard Maltin บอกว่า EF เล่นบทตลกได้ลื่นไหลมาก  อยากดูจัง
https://youtu.be/BGRYxeF98uY


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/17/LV4oDn.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LV4oDn)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.พ. 23, 13:44
มีเรื่องนี้ที่ Errol สวมสูทสากล  แต่ดูอายุมากขึ้นแล้ว  ไม่หล่อเ่ท่าตอนหนุ่ม

https://www.youtube.com/watch?v=EOfHcfPpx_k


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ก.พ. 23, 11:48
มีเรื่องนี้ที่ Errol สวมสูทสากล  แต่ดูอายุมากขึ้นแล้ว  ไม่หล่อเ่ท่าตอนหนุ่ม



ดาราชายยุคทองฯ ตอนหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ ทุกคน  พออายุมากหน่อย  แค่ 40 กว่า  เละกันหมด  ไม่ทราบเพราะอะไรครับ  ใช้ชีวิตแบบหัวหกก้นขวิดรึเปล่าก็ไม่รู้  แต่ดาราหญิงไม่เห็นโทรมเร็วเลย

ที่เห็นชัด ๆ ก็ EF กับ Robert Taylor นี่แหละ  จากหนังเรื่อง Qua Vadis  อ้าปากค้าง...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 ก.พ. 23, 11:56
Man in an orange shirt (2017) เป็นหนังเกย์จากอังกฤษสร้างสำหรับฉายทางทีวี  หนังประกอบด้วย 2 ส่วน  แยกกันด้วยเวลา  ส่วนแรกเกิดขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ส่วนหลังเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน (2017)  ทั้ง 2 ส่วนนี้มีตัวเชื่อมคือหญิงสาวซึ่งเป็นเมียในเหตุการณ์ส่วนแรกและเป็นคุณย่าในเหตุการณ์ส่วนที่สอง

หนังเริ่มเรื่องในยุคปัจจุบันแป๊บนึง  หลานชายกับคุณย่า (Vanessa Redgrave  ดาราใหญ่ระดับยักษ์) อาศัยอยู่ด้วยกันใน London  รูปของสามีเธอที่ตายไปแล้วชื่อ Michael เป็นตัวเปิดเรื่อง  Michael กับ Thomas  เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมาตั้งแต่สมัยเด็ก  ทั้ง 2 มาเจอกันอีกครั้งในสนามรบ
https://youtu.be/_EB5-8ik3xk

https://youtu.be/WWxHmsMwJRg


หลังสงครามจบสิ้น  จากความรู้สึกเก่า ๆ ก็คุขึ้นมา  T ขอให้ M ตามหาเขาเมื่อมาถึง London  ผู้หญิงตอนท้าย clip คือ Flora คู่หมั้นของ M
https://youtu.be/ejCAdTsiZAc


เมื่อมาถึง London   M รีบไปตามหา T ก่อนที่จะไปหาคู่หมั้นด้วยซ้ำ
https://youtu.be/rsCNFJ3rAoU
T เป็นเกย์อย่างเปิดเผยแต่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะการเป็นเกย์เป็นสิ่งผิดกฎหมายในช่วงเวลานั้น


2 หนุ่มหนีโลกไปอยู่กันตามลำพังที่บ้านพักตากอากาศของ M ยังต่างจังหวัด  T ผู้มีพรสวรรค์ในงานศิลปะวาดรูปของ M ในเสื้อสีส้มสวย  อย่างไรก็ตามความสุขถูกขัดจังหวะเมื่อ M แจ้ง T ว่าเขาจะต้องแต่งงาน  และอยากให้ T เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
https://youtu.be/EPEIzWOtyTM


T ไปอย่างเสียไม่ได้และมอบภาพวาดรูปกระท่อมที่ทั้ง 2 ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นของขวัญวันแต่งงาน (1.05 ของ clip ที่ 2)
https://youtu.be/z76XdP667go

https://youtu.be/MXVMozYi65k


M ใช้ชีวิต 2 ด้านของเขาไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง F ก็บังเอิญไปค้นพบจดหมายรักระหว่างสามีของตนกับคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นแค่เพื่อนรัก (T) ของเขา  ความโกรธผสมความกลัวว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายทำให้ F เผาจดหมายทิ้งแล้วเผชิญหน้าสามีของตนเพื่อหาความจริง
https://youtu.be/aXvmwgW58Q0

https://youtu.be/LYTX4GEgtqM
(1.48 – F เอารูปวาดที่ T มอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงานไปเก็บแล้วอ้างว่า  เกลียดรูปใบนี้)


F คลอดลูกแต่ความสัมพันธ์ฉันผัวเมียเปลี่ยนไป  การใช้ชีวิต 2 ด้านของ M เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
https://youtu.be/DjmQT8a-UWQ


ระหว่างนี้ T ถูกทางการจับข้อหาเป็นเกย์ (ข้อหาคือ to practice cottaging เป็นแสลงของชาวอังกฤษโบราณ แปลว่า to have homosexual sex in a public lavatory)  M ไปเยี่ยม T  แต่เป็นการเยี่ยมที่ไม่ราบรื่น  T ไม่อยากเจอหน้าเขาอีกต่อไป (Don’t visit again. It’s upsetting) 
 
T วาน M ให้เดินทางไปเยี่ยมแม่ของเขา  เธอเอารูปวาดของลูกชายที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยให้ดูและบอกว่า  แม้ยังไม่เสร็จแต่ก็รู้ว่าชายในรูปคือ M  เธอเลยมอบรูปนั้นให้
https://youtu.be/c-Q-O3Bj2XE
0.42 - How is he?
He's grown a beard.
His father did that once for Ibsen (คนเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงในยุคโบราณ). Does it suit him?
Yes, he looks like a submariner.

2.05 - Well, you should take this one. It's only a study. He must have sold the finished portrait. I call it man in an orange shirt. But it's you, isn't it?
Yes.


แม่ของ T รักและ ‘รู้จัก’ ลูก  เธอเสนอให้หนุ่มทั้ง 2 เริ่มชีวิตกันใหม่ที่บ้านอีกหลังของเธอในต่างจังหวัดของฝรั่งเศส (He can paint and you can write something?) แต่ M ปฏิเสธ
https://youtu.be/u6odPNQK8D0


ระหว่างที่เหตุการณ์คาราคาซัง  M เขียนจดหมายไปหา T พร้อมสารภาพความในใจ  เขาเอาภาพวาดกระท่อมของ T ไปเก็บไว้ยังกระท่อมต่างจังหวัดของตน
https://youtu.be/R8QuPSg4umg


ในที่สุดวันที่ T เป็นอิสระก็มาถึง  M ตั้งใจไปรับแต่พบว่า T โดนเพื่อนของเขาดักหน้าไปเสียก่อน  ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ขาดสะบั้นลงแล้ว
https://youtu.be/ZR3viZAtxOI


M กับ T พบกันอีกครั้ง  อันเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิตของทั้งสอง  ก่อนจากกัน T ให้ของขวัญกับลูกของ M เป็นกล่องสี pastel
https://youtu.be/e9eZJHXLqm4

https://youtu.be/bNNVdCpvtyg
0.19 – He’ll drink himself to death in the sunshine.
Probably.
Is that where you were going?
Yes.

1.33 เป็นตัวอย่างสำหรับตอนที่ 2


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 ก.พ. 23, 05:04
คั่นรายการ...

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/21/LJLEIt.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LJLEIt)


ชื่อนี้ได้ยินมาตั้งแต่เกิด  แต่จำบทบาทของเธอในหนังไม่ได้เลย  เท่าที่ตรวจดู  มีหนังที่เธอเล่นเข้ามาฉายในบ้านเราที่ผมรู้จักและได้ดูคือ  The Poseidon Adventure (1972)  แต่จำบทของเธอไม่ได้

อยากรู้ว่ามีใครจำเธอได้บ้างครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 23, 10:28
จำได้ค่ะ   เธอเป็นสาวสวยยุค 1960s   เล่นหนังเล็กๆหลายเรื่องรวมทั้งเรื่อง The Nutty Professor  เจอรี่ ลุยส์  (ที่คนไทยออกเสียงว่า เลวิส ) เล่นเป็นอาจารย์หนุ่มเนิร์ดที่คิดค้นยาวิเศษ กินเข้าไปแล้วกลายเป็นหนุ่มเพลย์บอยหล่อ
สเตลลาเล่นเป็นนศ.สาวขวัญใจอาจารย์

https://www.youtube.com/watch?v=MH8ZGTKJLOY


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 23, 10:30
https://www.youtube.com/watch?v=SGoRVgrsff4


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 23, 10:34
https://www.youtube.com/watch?v=V5VxjViAVjk


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.พ. 23, 10:37
คุณโหน่งและท่านอื่นๆดูภาพอดีตและปัจจุบันของเธอ(ก่อนถึงแก่กรรม) ได้ที่นี่ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=n-4DI8RGr7c


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 ก.พ. 23, 12:24
Man in an orange shirt ภาคจบ

60 ปีต่อมาในยุคปัจจุบัน 2017  Flora ซึ่งบัดนี้คือคุณย่าหม้าย F อาศัยอยู่ใน apartment ที่เธอแบ่งห้องใต้ดินให้ Adam หลานชายคนเดียวอยู่ร่วมอาศัย  หนุ่ม A นี้ก็คือหลานของเธอกับ Michael ที่ตอนนี้ตายไปแล้ว  A มีอาชีพเป็นสัตวแพทย์และเป็นเกย์แบบปกปิด  หลังเลิกงานเขาก็วุ่นอยู่กับการหาความสุขกับหนุ่ม ๆ ทาง online  วันหนึ่งเขาก็เจอลูกค้าชื่อ Steve เป็นสถาปนิกที่เป็นเกย์แบบเปิดเผยและมีคู่เป็นชายสูงอายุ  ทั้ง 2 ปิ๊งกันอย่างช้า ๆ  โดยที่ A พยายามฝืนเนื่องจากเขาไม่ชอบการผูกมัด
https://youtu.be/t83nwH6evLg

https://youtu.be/sslpD2Y_5H0

https://youtu.be/X1os613DXEg


คุณย่า F มอบกระท่อมที่เคยเป็นมรดกตกทอดของสามีเธอคือ M ที่เธอมีความหลังที่ไม่ดีกับมัน ให้กับหลาน A  โดยให้สิทธิเต็มที่  ถ้าเขาอยากขายก็ตามใจ  A ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะจ้าง S มาช่วยปรับปรุงไว้ก่อน  S เมื่อมาเห็นสภาพแล้วชักจูงว่าอย่าขายเลย  การที่หนุ่ม A ไม่ชอบการผูกมัด  ทำให้เขาเห็นผู้ชายที่อยากได้เป็นของเล่น  ถ้าอยากได้ก็ 'เอา'  แต่ S คิดต่าง  เขาชอบการค่อยเป็นค่อยไป  วันนั้นสรุปว่า A ตัดสินใจจะปรับปรุงกระท่อมแล้วขายค่อยขายมัน
https://youtu.be/Vh7088fk1Zk

https://youtu.be/102SMI75CiI


การทำงานร่วมกันสร้างความใกล้ชิดให้กับทั้ง 2 และ A เริ่มผ่อนคลาย  วันหนึ่งขณะรื้อข้าวของเขากับ S ก็พบภาพวาดของกระท่อมหลังนั้น  A เอาภาพวาดไปให้คุณย่าดูซึ่งเธอก็ทำไม่สนใจ  แต่ A ชี้ให้ดูลายมือที่เขียนอยู่หลังรูปว่า  ผู้วาดต้องการให้รูปนี้แขวนไว้ที่บ้าน  แต่ทำไมมันถึงไปยัดอยู่ในซอกลับในกระท่อมต่างจังหวัด  คุณย่าไก๋ว่าทั้งคุณปู่และเธอไม่ชอบมันเลยเอาไปไว้ที่อื่น  แล้วคุณย่าก็ระเบิดอารมณ์ที่เธอเก็บไว้นานตั้งแต่ครั้งรู้ว่าสามีเป็นเกย์ใส่หลานชายซึ่งก็เป็นเกย์ที่เธอรู้เห็นและทำเงียบมานาน
https://youtu.be/-qb2ntdsP7U

https://youtu.be/ZXFj5f7RhaQ
1.54 - Why did you just pretend that you...?

I can forgive. Hm... It's how you're made. I wish you would be discreet, but of course, that's my age.

What?

You and the man.

There's nothing between... There's nothing...

Well, I never expected when I gave you the cottage that you'd turn it into somewhere that you'd bring your latest...

Stop...pick-up. Just stop, right there.

You're using your father's money...

Just stop!

I'm 34 years old. And I'm still hiding in your basement. Is it any wonder...? It's no business of yours who I fuck.

I don't need to hear this.

I'm sorry. Silly of me to forget that anything below the neck disgusts you!


https://youtu.be/IByO8DllMmQ
0.00 - I mean, do you ever lose control?

What do you mean? Well, did you ever need to give yourself...

I loved your grandfather!

Yes, but passion!

Yes! I loved him! With passion!

Shit!

All right. You win. I've been ashamed all my life. And I wonder why that was!

Yes, you should be ashamed. Because it is terrible, it's disgusting to live with other people, as if you were animals.

Animals?

Yes! ANIMALS!


A โมโหจัดแล้วผลุนผลันออกไปจากบ้าน  เขาขับรถไปยังกระท่อมที่ S อาศัยอยู่ชั่วคราวเพราะยังเกี่ยวพันกับงานตบแต่ง  แล้วระบายความในใจ  พร้อมกับค้างอยู่ที่นั่น  ไม่ยอมกลับ London

เวลาผ่านไปจนกระทั่งการตบแต่งคืบหน้าไปมาก  ขณะที่ 2 หนุ่มจัดงานเล็ก ๆ ระหว่างเพื่อนสนิท (ของ A)  คุณย่าก็เดินทางมาเยี่ยมโดยไม่คาดนึก
https://youtu.be/oMcRvzvGADs
2.15 - I'm sorry, I should have rung.

D-Don't be silly. It's good to see you.

Yes. I came to bring you this. Well, it belongs here. With you.

Thank you. Come and meet Steve.


https://youtu.be/EXNka1-3v2k
0.38 - I wish I hadn't told Michael to throw away his painting.

So how well did you know Thomas March?

Not at all well.

They were at school together and in the Army.

"To Flora and Michael, in the hope that one day the enclosed might hang in your drawing room."

What was enclosed with it?

Oh, Thomas was probably drunk. He must have meant the painting. Can I have some wine?

Yes, of course.

Would you mind? I think there's something peculiar about the frame

There is?

Something odd going on. And it's just a hunch.

Oh, My goodness

Yeah, it’s definitely a second painting under there.

It's Grandpa, isn't it?

Hey, it's OK. Hey...

Here.

I thought I'd won.

Won what?

His love.

But Thomas March loved Michael, and Michael loved Thomas March.

Grandpa was gay.

Yes.

Grandpa was gay.


https://youtu.be/y-5aJFqcsgo
0.00 - He loved me, but he married me to be like everybody else.

How did you find out?

Oh, his love letters. They were beautiful. And I burnt them.

You burnt them?

I was angry and scared that Michael would be sent to prison. Thomas was.

I thought I'd won. I ruined both of their lives.

They hurt you, too.

Yes.

I wish I'd known him.


ช่วงหลังของ clip มีเสียง message เข้าที่มือถือของ A  เป็นของหนุ่ม ๆ ที่เขาชอบเก็บเกี่ยว sex ด้วย  ทั้ง ๆ ที่ตอนคบหากับ S เขาได้บอกว่าเลิกนิสัยนี้แล้ว  แสดงว่า A ยังโกหก   S ผิดหวังเลยกลับไป

A กลับไปหาคุณย่า  ซึ่งเธอบอกว่านึกอะไรได้อย่าง
https://youtu.be/fpUA-yS0OJ0
1.45 - Now, this is a letter your grandfather Michael wrote, he never sent it.

I found it after he died. Well, you'll see. I want you to keep it. Keep everything.
And, you know, whatever happens, I know that your grandfather Michael and Thomas would have been very, very proud of you.


https://youtu.be/ueuxAhL_3Pc
0.31 - "My darling Thomas. I'm at work. Nobody knows I'm writing to you here. You refuse my visits, so you're probably tearing up my letters, too.

"But there's nothing else I can do but keep trying. It's beyond my control, do you see?

"All those months ago, when I had nothing to lose, really, I wrote to you in my head but was too cowardly to set more than lines on paper. And now, I find I no longer care. The love I feel for you runs through me like grain through wood.

"I love you, Thomas. Your face, your voice, your touch enter my mind at the least opportune moments and I find I have no power to withstand them. No desire to.

"I want us to be together, as we were in the cottage. Only forever, not just a weekend.

"I want it to go on so long that it feels normal. I think of you constantly. Your face, your breath on my neck at night. I want to do all the ordinary, un-bedroomy things we never got around to doing. Making toast. Raking leaves. Sitting in silence.

"I love you, Thomas. I've always loved you. I see that now. Tell me I'm not too late."


Fun fact บอกว่า ‘The flagship drama in the BBC's 2017 Gay Britannia season, a series of programmes commemorating the 50th anniversary of the Sexual Offenses Act. Up until 1967, homosexuality in the United Kingdom was a criminal offense. The removal of the Act meant that gay men could consort together without the fear of being sent to prison.

สมกับ term ว่า ‘flagship’ เพราะหนังทีวีชุดนี้ชนะรางวัล 2018 International Emmy Award for Best TV Movie or Miniseries’ (รางวัล Emmy เปรียบเสมือนรางวัล Oscar ของหนังทีวี)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 ก.พ. 23, 13:33
ผมเห็นหน้า Deborah Kerr มาตั้งแต่เด็ก ๆ  แต่ไม่เคยดูหนังที่เธอเล่นจนกระทั่งพี่มนันยาเอา วิดีโอ เรื่อง An affair to remember (1957) มาให้และบอกว่าถ้าไม่ร้องไห้  ให้ด่า  ตอนผมเอาวิดีโอไปคืน  เธอถามว่า เป็นไง  ผมยิ้มแหย ๆ

https://youtu.be/1qFSl4DiKXA


บทของ DK ในหนังเรื่องนี้ทำให้ผมติดใจและเริ่มชอบเธอตั้งแต่บัดนั้น  ผมไม่ได้ดูหนังที่เธอเล่นอีกเลยจนกระทั่งมารู้จักกับ TCM 

เมื่อไรที่ TCM เอาหนังของเธอมาปล่อย  ผมเป็นไม่พลาด (ยกเว้น The King and I ... ไม่ชอบ) รวมทั้งเรื่องนี้ Tea and sympathy (1956) ที่ดัดแปลงมาจากบทละคร

เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มวัยเรียนแสดงโดย John Kerr  (นักแสดง 2 คนนี้ (DK กับ JK ไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน  ซี้คลาสสิกสอนผมให้อ่านนามสกุลว่า คาร์  ไม่ใช่ เคอร์  ตามที่เขียน)) ที่ใช้ชีวิตผิดแผกไปจากชาวบ้าน  ขณะที่เด็กอื่นชอบเฮฮา ดูกีฬา สังสรรค์ ฯลฯ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ชอบอยู่ตามลำพัง  ชอบฟังเพลงคลาสสิก  ชอบอ่านบทละครและชอบดูละคร แล้วก็ชอบอยู่ท่ามกลางผู้หญิง

เธอจึงเป็นจุดเด่นให้ต้องโดนกลั่นแกล้งนานา

DK ซึ่งเป็นเมียครูคุมหอพักที่ JK อาศัยรู้เห็นเรื่องนี้แล้วพยายามเข้าช่วยเหลือในการปรับตัว

เหตุการณ์ในชีวิตของ JK แย่ลงเรื่อย ๆ จนเขาชอบปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง  ด้วยความเป็นห่วง  วันนั้น DK จึงออกตามหา  ในช่วงเวลาที่ทั้ง 2 อยู่ตามลำพัง  DK ปลอบว่าในวันหนึ่งข้างหน้า JK จะต้องแต่งงานและมีครอบครัวที่สมบูรณ์  อย่าได้กังวล

ด้วยอารมณ์พาไป DK จับมือเด็กหนุ่มและจูบเธอหนึ่งครั้งก่อนพูดว่า "Years from now, when you talk about this, and you will be kind."

https://youtu.be/4aHeaXwMoHQ
(หมายเหตุ – ผมงงกับความหมาย  ตอน ซี้คลาสสิค ‘ยังอยู่’ ก็ลืมถามว่าหมายความว่าไง)


10 ปีผ่านไป  เด็กหนุ่ม JK กลายเป็นหนุ่มนักเขียนอาชีพและหัวหน้าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ  วันนั้นเธอกลับมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าและเลยไปหา DK ที่หอพัก เพียง เพื่อพบแค่สามีของเธอพร้อมคำตอบว่า DK จากไปแล้ว  แต่ฝากจดหมายไว้ให้ด้วย

JK รับจดหมายมาเปิดอ่านพบว่า DK เขียนจดหมายนี้หลังจากอ่านนิยายที่ถูกตีพิมพ์ของเขาที่เล่าเกี่ยวกับช่วงเวลาพิเศษของทั้ง 2 ใน 'วันนั้น'  มันทำให้เธอคิดย้อนกลับไปและตัดสินใจต้องลาจากสามีของตน

มันตรงตามที่ JK เขียนไว้ในหนังสือว่า "the wife always kept her affection for the boy."

https://youtu.be/3nPIvXomwq4

https://youtu.be/xnjDhRwZdVI
(ผมว่าการสอดเพลงที่มีเสียงร้องแทนที่จะเป็นเพลงบรรเลงแทรกเข้าไปใน clip ทำให้เสียอารมณ์ไม่น้อย)


ต่อด้วย ควันหลง คราวหน้า...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 23, 15:07

ด้วยอารมณ์พาไป DK จับมือเด็กหนุ่มและจูบเธอหนึ่งครั้งก่อนพูดว่า "Years from now, when you talk about this, and you will be kind."

(หมายเหตุ – ผมงงกับความหมาย  ตอน ซี้คลาสสิค ‘ยังอยู่’ ก็ลืมถามว่าหมายความว่าไง)

มันตรงตามที่ JK เขียนไว้ในหนังสือว่า "the wife always kept her affection for the boy."

ประโยคที่ถูกต้องคือ  "Years from now when you speak of this, and you will; be kind." ค่ะ
ไม่ใช่ "and you will be kind"
แปลว่า  "อีกหลายปีนับจากนี้ เมื่อคุณพูดถึงเรื่องนี้ (หมายถึง sex ที่กำลังจะเกิดระหว่างสองคนนี่) และคุณต้องพูดแน่นอน ขอให้พูด(ถึงฉัน) ในทางดีด้วย"
Be kind   ก็คือ อย่าเอาไปเอ่ยกับคนอื่นๆในทำนองเป็นเรื่องตลกในวงเหล้า    อย่าพูดในทำนองประณามเธอว่าสำส่อนหรือใจง่าย    ขอให้เอ่ยถึงด้วยความเข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนี้ แม้ว่าผิดทั้งทางโลกทางศีลธรรม  ก็เป็นไปด้วยความปรารถนาดีต่อเด็กหนุ่ม เพื่อให้เขาหลุดจากความกดดันว่าตัวเองไม่ใช่ชายแท้อย่างเพื่อนๆหาความกัน

JK ก็เข้าใจ   ในหนังสืออิงชีวประวัติที่เขาเขียนใน 10 ปีต่อมา  เขาจึงใช้คำว่า "the wife always kept her affection for the boy"  แทนที่จะใช้คำอื่นๆ เช่น passion  หรือ love ที่โจ่งแจ้งไปทางชู้สาว
affection คืออารมณ์รักแบบเมตตา เอ็นดู   ชอบพอ โปรดปราน  ทำนองนี้      ถ้าหญิงที่เป็นผู้ใหญ่มีต่อเด็กหนุ่มก็คือเอ็นดูอย่างลูกหลาน

เรื่องนี้เป็นละครเวทีมาก่อนเป็นหนัง   เป็นเรื่องที่ตีความได้ซับซ้อนเพราะคนแต่ง คนกำกับและคนสร้างแฝงนัยระหว่างบรรทัดเอาไว้มากมาย  พอจะเป็นหนังสือเล่มหนาๆได้อีกเล่ม
ในยุค 1950s ที่เรื่องนี้ทำหนัง สังคมเข้มงวดกว่าสมัยนี้มาก  แม้แต่ในประเทศที่ป่าวประกาศว่าเสรีอย่างอเมริกา ก็โหดอย่างไม่น่าเชื่อ    รักร่วมเพศนอกจากผิดกฎหมายแล้วยังถือว่าเป็นบาปมหันต์อีกด้วย   พอๆกับการนอกใจก็ถือว่าผิดร้ายแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  
ผู้หญิงที่นอนกับชายอื่นนอกจากสามีถือเป็นนางกากีทั้งหมด    ชายที่รักชายรู้กันเมื่อไหร่  เสียอนาคต เสียผู้เสียคน หมดเนื้อหมดตัว  จึงต้องแอบแฝงกันสุดฤทธิ์สุดเดช   ต้องแต่งงานเมื่อถึงวัย   ทำตัวเป็นสามีตามปกติในสายตาคนภายนอก   แม้ว่าในบ้านไม่ปกติก็ตาม  อย่างในชีวิตคู่ของนางเอกกับสามีในเรื่อง   ในที่สุดเธอก็ขอหย่าจากสามี นอกจากด้วยเหตุผลว่าเธอไปมีพสพ.กับชายอื่นแล้ว  สามีเธอที่ในเรื่องบอกใบ้เอาไว้ ก็เป็นเกย์อีกด้วย
ความจริงถ้าเป็นยุคนี้   นางเอกนอกจากไม่ผิดแล้วยังได้รับความเห็นใจ   แต่ยุคโน้นผู้คนรับไม่ได้  นางเอกในหนังจึงต้องประทับตรา "ผิด" ในสิ่งที่ทำลงไป ตามระเบียบ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ก.พ. 23, 11:49

ด้วยอารมณ์พาไป DK จับมือเด็กหนุ่มและจูบเธอหนึ่งครั้งก่อนพูดว่า "Years from now, when you talk about this, and you will be kind."

(หมายเหตุ – ผมงงกับความหมาย  ตอน ซี้คลาสสิค ‘ยังอยู่’ ก็ลืมถามว่าหมายความว่าไง)

มันตรงตามที่ JK เขียนไว้ในหนังสือว่า "the wife always kept her affection for the boy."

ประโยคที่ถูกต้องคือ  "Years from now when you speak of this, and you will; be kind." ค่ะ
ไม่ใช่ "and you will be kind"
แปลว่า  "อีกหลายปีนับจากนี้ เมื่อคุณพูดถึงเรื่องนี้ (หมายถึง sex ที่กำลังจะเกิดระหว่างสองคนนี่) และคุณต้องพูดแน่นอน ขอให้พูด(ถึงฉัน) ในทางดีด้วย"
Be kind   ก็คือ อย่าเอาไปเอ่ยกับคนอื่นๆในทำนองเป็นเรื่องตลกในวงเหล้า    อย่าพูดในทำนองประณามเธอว่าสำส่อนหรือใจง่าย    ขอให้เอ่ยถึงด้วยความเข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนี้ แม้ว่าผิดทั้งทางโลกทางศีลธรรม  ก็เป็นไปด้วยความปรารถนาดีต่อเด็กหนุ่ม เพื่อให้เขาหลุดจากความกดดันว่าตัวเองไม่ใช่ชายแท้อย่างเพื่อนๆหาความกัน

JK ก็เข้าใจ   ในหนังสืออิงชีวประวัติที่เขาเขียนใน 10 ปีต่อมา  เขาจึงใช้คำว่า "the wife always kept her affection for the boy"  แทนที่จะใช้คำอื่นๆ เช่น passion  หรือ love ที่โจ่งแจ้งไปทางชู้สาว
affection คืออารมณ์รักแบบเมตตา เอ็นดู   ชอบพอ โปรดปราน  ทำนองนี้      ถ้าหญิงที่เป็นผู้ใหญ่มีต่อเด็กหนุ่มก็คือเอ็นดูอย่างลูกหลาน

เรื่องนี้เป็นละครเวทีมาก่อนเป็นหนัง   เป็นเรื่องที่ตีความได้ซับซ้อนเพราะคนแต่ง คนกำกับและคนสร้างแฝงนัยระหว่างบรรทัดเอาไว้มากมาย  พอจะเป็นหนังสือเล่มหนาๆได้อีกเล่ม
ในยุค 1950s ที่เรื่องนี้ทำหนัง สังคมเข้มงวดกว่าสมัยนี้มาก  แม้แต่ในประเทศที่ป่าวประกาศว่าเสรีอย่างอเมริกา ก็โหดอย่างไม่น่าเชื่อ    รักร่วมเพศนอกจากผิดกฎหมายแล้วยังถือว่าเป็นบาปมหันต์อีกด้วย   พอๆกับการนอกใจก็ถือว่าผิดร้ายแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  
ผู้หญิงที่นอนกับชายอื่นนอกจากสามีถือเป็นนางกากีทั้งหมด    ชายที่รักชายรู้กันเมื่อไหร่  เสียอนาคต เสียผู้เสียคน หมดเนื้อหมดตัว  จึงต้องแอบแฝงกันสุดฤทธิ์สุดเดช   ต้องแต่งงานเมื่อถึงวัย   ทำตัวเป็นสามีตามปกติในสายตาคนภายนอก   แม้ว่าในบ้านไม่ปกติก็ตาม  อย่างในชีวิตคู่ของนางเอกกับสามีในเรื่อง   ในที่สุดเธอก็ขอหย่าจากสามี นอกจากด้วยเหตุผลว่าเธอไปมีพสพ.กับชายอื่นแล้ว  สามีเธอที่ในเรื่องบอกใบ้เอาไว้ ก็เป็นเกย์อีกด้วย
ความจริงถ้าเป็นยุคนี้   นางเอกนอกจากไม่ผิดแล้วยังได้รับความเห็นใจ   แต่ยุคโน้นผู้คนรับไม่ได้  นางเอกในหนังจึงต้องประทับตรา "ผิด" ในสิ่งที่ทำลงไป ตามระเบียบ


อ่านของ 'จาร แล้วกลับไปฟังประโยคที่ว่าอีกที  จริง ๆ ด้วย  มีช่องว่างระหว่าง you will กับ be kind  ซึ่งไม่เคยสังเกตมาก่อน 

แค่ ช่องว่าง เองสามารถเปลี่ยนความคลุมเครือให้เป็นความเข้าใจอย่างแจ่มชัดเหมือนกับเห็นของวางอยู่กลางแจ้งเลยครับ  หลงงงงวยมาร่วม 20 กว่าปี  นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็คลุมเครือกับประโยคที่ว่า  นี่แสดงว่าตอนดูหนังที่ IBC คนแปลก็คง 'ตกหลุม' เหมือนกัน  ไม่งั้นโหน่งคงไม่งงมาจนถึงบัดนี้

ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 ก.พ. 23, 12:15
กลับมาที่ควันหลงจากหนังเรื่องนี้...  ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องของหนัง  แต่เกี่ยวกับชื่อหนัง

ชื่อหนัง Tea and sympathy นี้ฟังแล้วคลาสสิกมาก ผมเคยได้ยินสำนวนนี้มานานแล้วตั้งแต่ต้นยุค 70s  โน่น
 
ในปี 1975 ที่อเมริกามีนักร้องหญิงชื่อ Janis Ian ออกเพลงที่ดังมาก  เป็นเพลงแนวเบา ๆ ใส ๆ ชื่อ At seventeen  วิทยุบ้านเราเปิดเพลงนี้ประปราย (ไม่งั้นผมคงไม่เคยได้ยิน) 
https://youtu.be/KCp-ymJpRP4


พอเพลงดัง (สามารถคว้าแผ่นฯ ทองคำได้)  เธอก็ออก album ตามมามีชื่อว่า Between the Lines  (อันดับ 1 billboard เลยละ)  ผมก็แจ้นไปซื้อมาฟังว่าเพลงอื่น ๆ ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง  ผลคือเพลงเพราะถูกหูมากหลายเพลง (จะบอกว่าเพราะทุกเพลงไม่ได้  มันต้องมีบ้างที่ไม่ถูกหู  คน (ฝรั่ง) เคยบอกว่าซื้อ album มาฟัง 1 แผ่น  ถ้ามีเพลงถูกหู 3-4 เพลง (จากจำนวนมาตรฐาน 10 เพลงใน 1 แผ่น) ก็คุ้มแล้ว)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/23/LF42Jk.jpg) (https://www.picz.in.th/image/LF42Jk)
(จากคลังภาพของอากู๋  ฉบับส่วนตัวขายไปแล้ว)


ในบรรดาเพลงในแผ่นของ JI นี้มีอยู่เพลงหนึ่งชื่อ Tea and sympathy  ทำนองเนิบนาบอ้อยสร้อย  ฟังครั้งแรกหาวทันที  แต่พอได้มาฟังซ้ำอีก 2-3 ครั้ง  แหม... มันเพราะจัง  นั่นแสดงว่าเพลง ๆ หนึ่งถ้าฟังบ่อยครั้งขึ้นจะเริ่มคุ้นหู  จากนั้นสมองจะตัดสินใจว่าเพราะหรือไม่

พอเริ่มเพราะหูก็อยากเข้าใจเนื้อร้อง  ก็หยิบซองใน (inner sleeve) ที่มีเนื้อร้องพิมพ์อยู่ (ไม่เสมอไปสำหรับทุกแผ่นฯ) ออกมาอ่านไปฟังไป  ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 20  อย่าว่าแต่ความรู้ภาษาอังกฤษเลย  ความรู้ภาษาไทยยังไม่ค่อยจะแตก  เป็นอันว่าไม่เข้าใจว่าในเพลงนี้ JI เธอต้องการสื่ออะไร

เปลี่ยนฉาก...  เคยเปรยไปบ้างแล้วว่าที่บ้านผมรับนิตยสารมากมาย  หนึ่งในนั้นคือนิตยสารสตรีสาร  ก่อนที่นิตยสารฯ จะเพิ่มหน้า ‘ภาคพิเศษ’ อันเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่ผมติดตามประจำ   มี 3 คอลัมน์ที่ผมชอบอ่านที่สุด คือคอลัมน์เรื่องเขียนชุด ‘คลังคนใช้’ ของ พรพรหม อนันต์ (ชื่อคนเขียนนี้ถามอากู๋  ผมจำไม่ได้) จำเอกลักษณ์ได้แม่นว่าชื่อตอนจะคล้องจองกับตอนต่อไป อีกคอลัมน์คือนิทานนานาชาติ  แปลโดย บรรจบ พันธุเมธา (ข้อมูลนี้จำได้)

ส่วนคอลัมน์ที่ 3 ที่ชอบอ่านคือ เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง ผมจำชื่อเจ้าของคอลัมน์ไม่ได้แม่นแล้ว รู้สึกจะ ‘จ.ย.ส.’  แต่มารู้ในเวลาต่อมาอีกนานว่าคือ ศจ. คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร  เป็นแฟนคอลัมน์นี้เพราะเพลงฝรั่ง  ฉบับไหนลงเพลงที่ผมรู้จักก็อ่าน  ถ้าไม่รู้จักก็ผ่าน 

พอนึกถึงคอลัมน์นี้ได้  ผมก็คว้ากระดาษและปากกามาเขียนจดหมายถึงเจ้าของคอลัมน์พร้อมทั้งลอกเนื้อเพลง T&S ที่ยาวยืดส่งไปถามความหมาย (นึกขึ้นมาได้ว่าในสมัยผม  เราเรียนวิชา ‘จดหมาย’ ‘เรียงความ’ แล้วก็ ‘ย่อความ’  หลักสูตรเหล่านี้คงสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว)

เวลาผ่านไปหวือ... หวือ...  วันหนึ่งกลับจากโรงเรียน  แม่ก็ทักว่าเขียนจดหมายไปถามความหมายเพลงที่สตรีสารเหรอ  แหม... พอได้ยินแล้วก็ตื่นเต้น  รีบคว้าหนังสือมาเปิดอ่าน  จำได้คร่าว ๆ ว่าเจ้าของคอลัมน์เกริ่นว่าได้รับ จม. ถามเนื้อเพลงแล้วลงชื่อ-นามสกุลของผม (แม่ถึงรู้ว่าเป็นไอ้ตัววุ่นวายนี่เอง  แสดงว่าแม่อ่านแหลกเพราะแม่ไม่ใช่คนฟังเพลง)  บอกว่าดูจากลายมือเป็นของเด็กแต่ทำไมฟังเพลงที่มีเนื้อหาเป็นของผู้ใหญ่

จากนั้นเธอก็อธิบายเนื้อเพลง  เธอไม่ได้แปลประโยคต่อประโยคแต่แปลความหมายของแต่ละย่อหน้า  มีการเน้นบางประโยคบางสำนวน เช่น ชื่อเพลง ที่เธอคิดว่าน่าศึกษา แล้วสรุปรวมว่าเนื้อเพลงหมายถึงอะไรได้ชัดเจนมาก

ผมว่า ความสามารถในด้านการให้ความรู้  สำหรับคนก่อนยุค อตน. นี่ถ้าเป็นคนเก่งจะเก่งจริง ๆ เพราะไม่มีการ ‘จิ้มแล้วปัด หรือ จิ้มแล้วคลิก’ แล้วลอกข้อมูล  มีแต่ ‘พลิกไปพลิกมา’ เพื่อหาข้อมูลเอามาประกอบการอธิบาย  พอเข้ายุค อตน.  นิยามของความเก่งเปลี่ยนเป็น ใครหาข้อมูลได้เร็วกว่าหรือแม่นยำกว่า 

สรุปแล้ว  ขอบคุณ จ.ย.ส.  ที่อธิบายให้ผมเข้าใจความหมายของสำนวนว่า Tea and Sympathy

https://youtu.be/DX4_OZ9uTSA


มีต่อ...




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 23, 12:48
อ้าว คุณโหน่ง
หลอกให้อ่านจนเพลิน  แล้วไม่ยักไขกุญแจให้รู้ว่าอาจารย์คุณหญิงจินตนา ท่านอธิบายเนื้อความของเพลงว่าอะไรล่ะคะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ก.พ. 23, 12:12
อ้าว คุณโหน่ง
หลอกให้อ่านจนเพลิน  แล้วไม่ยักไขกุญแจให้รู้ว่าอาจารย์คุณหญิงจินตนา ท่านอธิบายเนื้อความของเพลงว่าอะไรล่ะคะ

จำไม่ได้แล้วครับ 'จาร  ร่วม 50 ปีมาแล้ว  จำได้แต่ว่าอ่านแล้วเข้าใจดี  พอเข้าใจแล้วก็จบความสงสัย  ความจริงโหน่งฉีกเก็บเอาไว้ด้วยแต่ความที่ย้ายบ้านหลายครั้ง  ยิ่งครั้งสุดท้ายเป็นการย้ายแบบไม่ได้ตั้งตัว  เลยไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน

ตอนนี้ อตน. เฟื่องฟู  เลยขัด link มาให้อ่านครับ

https://songmeanings.com/songs/view/3530822107858592480


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 ก.พ. 23, 12:19
หนังเรื่องอื่นของ Deborah Kerr ที่ช่อง TCM เอามาฉายให้ดูอีก คือ Heaven knows, Mr. Allison (1957) เรื่องย้อนไปยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่าเกี่ยวกับคน 2 คนติดอยู่บนเกาะที่ถูกครอบครองโดยทหารญี่ปุ่น  คนหนึ่งเป็นทหาร U.S. Marine Corporal Allison (เล่นโดย Robert Mitchum) ที่ถูกสถานการณ์คับขันจำต้องถูกทิ้งอยู่บนเกาะ  อีกคนคือแม่ชีที่ยังไม่ได้ปวารณาตัวชื่อ Angela (DK) เธอมาที่เกาะนี้พร้อมกับพระระดับผู้ใหญ่เพื่อมารับพระอีกรูปที่เกาะนี้กลับ  แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าทหารญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเรียบร้อยแล้ว  คนที่นำ 2 นักบวชมาก็เปิดหนีด้วยความกลัว  แล้วอีกไม่นานพระผู้ใหญ่ก็ตาย  สรุปแล้วแม่ชี Angela ถูกทิ้งอยู่โดดเดี่ยวบนเกาะเช่นกัน

https://youtu.be/6X4TEs8uiZk


ผมนั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเครียด  หนังอะไรไม่รู้มีบรรยากาศน่าหดหู่ที่สุด  ไม่มีอะไรน่าเบิกบานสายตาเลย  แล้วก็เล่นกันอยู่ 2 คน  แถม DK เล่นเป็นแม่ชี

https://youtu.be/ONAdzVgRaGc
(DK ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar และพลาดเป็นครั้งที่4)


หมายเหตุ – เพิ่งคิดได้ว่า หนังในยุคคลาสสิกนี่  ฟังดูคลาสสิกมาตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว  อย่างเรื่องนี้ Heaven knows, Mr. Allison หรือ Tea and Sympathy หรือ Gone with the wind, A streetcar named desire, For whom the bell tolls, None but a lonely heart, This property is condemned, Bang the drum slowly, Written on the wind และอื่น ๆ อีกมากมาย  พิถีพิถันมาตั้งแต่ชื่อเรื่องเลยทีเดียว

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 23, 16:46
น่าจะเรียกว่า version เครียดของ  Six Days Seven Nights  หนังรุ่นลูก
 
https://www.youtube.com/watch?v=n64H3WXoEs8


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 ก.พ. 23, 12:08
น่าจะเรียกว่า version เครียดของ  Six Days Seven Nights  หนังรุ่นลูก
 
https://www.youtube.com/watch?v=n64H3WXoEs8

ออกเดินทางไปแล้ว 1 ครับ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4mgr0.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4mgr0)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 ก.พ. 23, 12:26
แล้วก็มาเรื่อง Separate Tables (1958) เป็นหนังขาวดำแถมสร้างจากบทละครซึ่งแปลว่ามีแต่พูด ๆ ๆ  ซึ่งปกติผมจะเมินโดยไม่เหลียวแล  แต่ที่ดูเพราะกูรู Leonard Maltin บอกว่า ห้ามพลาด  เอาวะ  อย่างน้อย Deborah Kerr ก็ไม่ได้แต่งเป็นแม่ชี  เอาเข้าจริงในหนังเธอดูเฉิ้มเฉิ่ม

เพราะเป็นบทละครเนื้อเรื่องของหนังจึงกินเวลาแค่ 1 คืน  ประมาณว่า เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ในชั่วคืน

เรื่องเกิดทางตอนใต้ของอังกฤษที่โรงแรมประเภทที่จะมาพักชั่วครู่ชั่วยามหรืออยู่ไปเป็นเดือน ๆ ก็ได้ (ไม่รู้เมืองไทยมีแบบนี้รึเปล่า) ชื่อ Beauregard  ที่ตั้งอยู่ริมทะเล (แต่ไม่เห็นทะเล  ฉากของทั้งเรื่องถ่ายในโรงแรมที่ว่าซึ่งสร้างขึ้นในโรงถ่าย)

ตัวละครทั้งหมดในหนังเป็นผู้มาพักในประเภทหลัง  ยกเว้น 1 คน...  คนที่สำคัญของเรื่องคือ นายพันตรีปลดประจำการที่ดูภูมิฐาน  แต่เย็นนั้นเขาแสดงท่าลุกลี้ลุกลนผิดปกติทำให้เป็นที่ต้องสงสัยของคุณนายแม่หม้าย  คุณนายแม่หม้ายมีลูกเป็นสาวทึนทึกที่เป็นโรคประหม่าเพราะโดนแม่ครอบไว้มาตลอด  ลูกสาวทึนทึกนี่ชอบพูดคุยกับนายพันตรี  เธอพบว่าอยู่ใกล้เขาแล้วมีความสุข  แต่คุณนายแม่หม้ายที่เข้มงวดกลับไม่พอใจ

นอกจากนี้ยังมีหนุ่มใหญ่ขี้เมาที่มาตกหลุมรักสาวผู้ดูแลโรงแรม  ถึงกับลั่นปากว่าจะต้องแต่งงานกัน

ในเย็นวันนั้นมีแขกหน้าใหม่เป็นสาวหรูหรามาเข้าพักแต่ยังไม่บอกจำนวนวัน

พอหัวค่ำ นสพ. ฉบับเย็นก็มาส่ง  นายพันเอกพุ่งเข้ามาที่กอง นสพ. ยี่ห้อต่าง ๆ และทำท่าพิรุธจนคุณนายแม่หม้ายรู้สึกหงุดหงิดเลยไล่ไปแล้วคว้า นสพ. ฉบับที่อยู่ในมือนายพันตรีมาเปิดอ่าน ก็พบข่าวเกี่ยวกับนายพันตรีนี้  มันเป็นข่าวที่ไม่ดี  คือ เขาติดคดีลวนลามสาว  ข่าวบอกว่าเจ้าตัวสารภาพว่าไม่ใช่เหตุผลในทางชู้สาวอย่างที่คนเข้าใจไป  อีกทั้งการให้ปากคำของเหยื่อก็คลุมเครือ  จึงไม่มีการดำเนินคดี  มีแต่ลงข่าว

นี่คือเหตุผลที่นายพันตรีลุกลี้ลุกลนคอยหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว  เพื่อที่จะดักเอาไปโยนทิ้ง  แต่ดันผิดแผน  แถมเรื่องดันไปตกอยู่มือของคุณนายแม่หม้ายที่ไม่ชอบขี้หน้าเขา 

คุณนายแม่หม้ายเห็นโอกาสแจ่มแจ้งจึงไม่รีรอที่จะเรียกประชุมในคืนนั้นเพื่อแฉเรื่องฉาวของนายพันตรีและเสนอให้ขับเขาออกไปจากโรงแรม

การประชุมลับจะเกิดขึ้นหลังอาหารค่ำ  ซึ่งคืนนั้นโต๊ะในห้องอาหารมีแขกพิเศษคือสาวหรูหรา  เธอนั่งคนเดียวเงียบ ๆ  จนกระทั้งหนุ่มใหญ่ขี้เมากลับเข้ามาหลังจากออกไปเมาแล้วมาหาอาหารกิน  ทั้ง 2 ได้พบกัน  และความลับก็เปิดเผยว่า 2 คนนี้คืออดีตผัวเมีย  แต่เลิกกันไปแล้ว  ผัวก็หนีมาอยู่ที่โรงแรมนี้และเกิดปิ๊งปั๊งกับสาวผู้แลฯ  ส่วนเมียหรูหรา (แสดงว่า 2 คน 2 ฐานันดร) ทำใจไม่ได้จึงออกตามหาเพื่อขอคืนดี

เนื้อเรื่องของหนังมี 2 plots นี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจบลงในชั่วคืน

Plot แรก  ที่ประชุมโดยการมัดมือชกของคุณนายแม่หม้ายสรุปว่าต้องอัปเปหินายพันตรีไปจากโรงแรมในตอนเช้า  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็นด้วยเพราะพบเห็นกันมาหลายเดือน นายพันตรีมีแต่ความสุภาพและเป็นมิตร  และคดีก็ไม่มีใครสานต่อ

Plot หลัง ผัวไม่ยอมคืนดีกับเมียเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ  และไล่ให้อดีตเมียเดินทางกลับไปในตอนเช้า  แต่ตกดึกเขาก็ได้พบกับสาวผู้ดูแลฯ ซึ่งเผยว่า ตอนเธอเข้าไปใจจัดห้องให้สาวหรูหราได้เห็นยานอนหลับอยู่หนึ่งขวด  เธอสรุปว่าอดีตเมียมีสถานภาพทางจิตใจแย่มาก
 
เมื่อตอนเช้ามาถึง  ทุกคนมารวมตัวในห้องอาหารเพื่อกินอาหาร  ไม่ได้นั่งด้วยกัน  แต่ต่างนั่งคนละโต๊ะเพราะความเป็นส่วนตัว  ยกเว้นคู่คุณนายแม่หม้ายกับลูกสาวทึกทึก

นายพันตรีเข้ามานั่งกินเป็นมื้อสุดท้ายท่ามกลางความไม่พอใจอย่างออกหน้าออกตาของคุณนายแม่หม้าย
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4ybtb.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4ybtb)


ทุกนั่งกินอย่างเงียบ ๆ  แต่แล้วหนุ่มใหญ่ขี้เมาเป็นคนแรกที่เอ่ยทักนายพันตรีอย่างมีไมตรี  จากนั้นคนอื่น ๆ รวมถึงสาวทึนทึกต่างก็ทักทายเขาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4IV8k.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4IV8k)


เป็นภาพที่ทำให้คุณนายแม่หม้ายฉุนจัดที่โดนหักหลัง  เธอเลิกกินอาหารเช้ากลางคัน  และผลุนผลันลุกขึ้นเดินออกจากห้องโดยเรียกลูกสาวทึนทึกให้ตามไป  แต่คราวนี้ลูกสาวปลดแอก  เธอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ายังกินอาหารอยู่ 
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4IGyV.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4IGyV)

พอแม่จอมจุ้นจ้านฮึดฮัดออกไปจากห้องอาหารแล้วเธอก็จ๋อย ๆ กับนายพันตรีต่ออย่างสนิทสนม


กลับมาที่อดีตผัวเมียต่างฐานันดร  เหตุการณ์ทะเลาะกันทำให้ต่างได้คิด 
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4Imvn.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4Imvn)


ผัวถามว่าจะทำอย่างไรต่อ  สาวหรูหราอดีตเมียบอกว่าก็คงต้องกลับ New York
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4IFBg.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4IFBg)
‘It's hard to believe but you can be more alone in New York than this hotel. Even with their separate tables, they can talk back and forth. Being alone in a crowd is worse. It's more painful, more frightening.’ และนี่คือ ที่มาของชื่อหนัง

หนุ่มใหญ่ขี้เมาอดีตผัวถามอดีตเมียตัวเองว่า ‘You know, don't you, Ann, that we don't have very much hope together’ อดีตเมียผู้หรูหราก็ตอบว่า ‘Have we all that much apart?’

บทของทั้งคู่จบลงแค่นี้  ปล่อยให้ท่านผู้โชมคิดเรื่องราวต่อไปเอาเอง


มาถึงตอนจบของหนังเมื่อ สาวผู้ดูแลโรงแรมเข้ามาแจ้งนายพันตรีว่า รถแท็กซี่มารอแล้ว  นายพันตรีทำท่าลังเล (บรรยายอย่างรวบรัด) สาวผู้ดูแลโรงแรมเลยต่อด้วยประโยคว่า ‘Very well, lunch will be at the usual time’
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/28/e4IIqW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e4IIqW)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 มี.ค. 23, 14:31
ชม clip ของหนัง Separate Tables  มีคนเอามาปล่อยที่นอกจากมีน้อยแล้วก็ไม่ประติดประต่อเท่าไร

ฉากต้นเรื่อง David Niven เล่นเป็นนายพันตรี ที่จริงเธอยังโกหกต่ออีกหน่อยเพราะยศที่แท้จริงแค่ Lieutenant  อีกคนคือสาวทึนทึก Deborah Kerr  ทั้ง 2 เจอะกันที่หน้าโรงแรม นายพันตรีมีท่าทางหนักอกเพราะเรื่องอื้อฉาวดังที่เล่าไว้กล่าว
https://youtu.be/GAW0ZvsTtfA
(1.08) คือคุณนายแม่หม้ายแม่ของสาว DK
(1.13) คือตัวประกอบชายที่ไม่ค่อยมีบทเท่าไหร่ แต่นักแสดงที่สวมบทนี้ไม่ขี้ไก่เลย  เธอคือ Rod Taylor  ดาราทำเงินคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดยุคทอง  บทที่โด่งดังที่สุดคือบทนำในหนัง The Birds (1963) ของ Alfred Hitchcock


https://youtu.be/qvCwLLG5w60
นี่คือเรื่องของอดีตผัวเมียต่างฐานันดร  สาวใหญ่หรูหรา เล่นโดย Rita Hayworth  ในหนังเรื่องนี้เธอเริ่มแก่ (จาก Strawberry Blonde ที่เคยเล่า) แล้ว  และอดีตผัวขี้เมา Burt Lancaster  นักแสดงระดับหัวแถวของฮอลลีวู้ดยุคทอง  เพิ่งเล่าฉากสุด ‘hot’ ของเธอกับ DK ใน From here to eternity ไป


https://youtu.be/8xLkca7N29w
ฉากการประชันกันระหว่างนายพันตรี (กำมะลอ) กับ สาวผู้ดูแลโรงแรม เล่นโดย Wendy Hiller  ฉากเกิดขึ้นในตอนเช้าเมื่อนายพันตรีเข้ามาแจ้งให้สาวผู้ดูแลฯ สรุปค่าใช่จ่ายสำหรับการพักที่โรงแรมนี้  เธอพยายามโน้มน้าวนายพันตรีให้เปลี่ยนใจ  แต่ไม่เป็นผล  นักแสดงทั้ง 2 ได้รับ Oscar จากบทในเรื่องนี้  ดารานำกับประกอบหญิง


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/QtRz2zrjkSI


เพลงประกอบเรื่องเพราะมากร้องโดย Vic Damone
https://youtu.be/RZ8-vY8F7lM


นี่คือ clips ทั้งหมดใน youtube ที่หาได้  ผมไม่ได้หาหนังฉบับเต็มมาให้เพราะแน่ใจว่าไม่มีใครดู

หนังได้เข้าชิง Oscar ทั้งหมด 7 สาขารวมทั้งหนังยอดเยี่ยมและนักแสดงนำหญิง DK ซึ่งพลาดเป็นครั้งที่ 5 จากทั้งหมด 6 ครั้ง  ผมดูหนังจบแล้วแปลกใจนิด ๆ ว่า  ทั้ง DN กับ DK ไม่ได้มีบทมากมายเกินจากคนอื่นเลย  แต่ได้รับการเสนอชื่อในฐานะนักแสดงนำ  น่าจะเป็นเพราะเครดิตต้นเรื่อง

ตอนเริ่มดูหนังก็ร่ำ ๆ จะเลิกกลางคันอยู่หลายหน  อย่างที่เคยบอกว่า  ไม่ชอบหนังขาวดำ  แต่ด้วยนิสัย ‘มีความเพียร’   ก็ทู่ซี้ดูไปเรื่อย ๆ  พอหนังผ่านไปได้ครึ่งเรื่องก็เริ่มติดใจแล้วก็ดูจนจบด้วยความสนุกสนาน  โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เกิดขึ้นในห้องอาหารเช้า  ผมดูย้อนกลับไปกลับมาอยู่ 2-3 หน  เป็นฉากที่สนุกที่สุดของเรื่อง

สรุปจากการดูหนังของ DK มาจำนวนหนึ่ง  แม้จะเป็นหนังคุณภาพของเธอคือได้เข้าชิง Oscar  แต่ก็นับว่าน้อยนิดในสายตาของนักดูหนังเจ้าบ้าน  แต่มากไม่น้อยในสายตาของนักดูหนังฝรั่งชาวไทย ผมจับได้ว่าชอบที่บุคลิกของเธอ  เธอดูสง่างาม  แม้แต่ในคราบแม่ชีหรือสาวทึนทึกหรือสาวผิดศีลธรรม (From here to eternity) ฯลฯ  ก็ยังเห็นความสง่างามแอบแฝงอยู่  โดยส่วนตัวผมว่าเธอดูสง่ากว่า Grace Kelly เสียอีก  แถมไม่เคยมีข่าวฉาวโฉ่โผล่ออกมาตามสื่อให้เสื่อมเสียราศี (อืมมม... สะกดผิดเป่าหว่า)

สมัยหนึ่งผมชื่นชม Olivia de Havilland  แต่หลังจากเห็นเธอปรี๊ดแตกในวัยเหยียบร้อย  จำต้องถอนชื่อออก

DK ปรากฏโฉมในงานสาธารณะในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตคืองานรับ Oscar เกียรติยศปี 1994  ความสง่างามแบบนี้หาได้ยากขึ้นทุกที
https://youtu.be/EQMdxLkvUaA
เนื่องจากไม่เคยสัมผัสเธอคงคาดไม่ถึงว่ารูปปั้นจะหนักกว่าที่คิด


https://youtu.be/26kzCQ6SbxE


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/02/e34nxy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/e34nxy)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 มี.ค. 23, 12:40
ไป ‘โหลด’ หนังสารคดีมาดู  เรื่องเกี่ยว Discotheque ระดับตำนานที่มีชื่อเสียงดังไปครึ่งค่อนโลกคือ Studio 54

ผมรู้จักชื่อนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น (แต่ไม่เคยไปเยี่ยม) สงสัยมานานแล้วว่าไอ้ตัวเลข 54 มันมีที่มามาจากไหน  ตอนที่สงสัยมากนั้น อตน. ยังไม่เกิด  พอ อตน. เกิด  ความสงสัยหายไปแล้ว ไปสงสัยเรื่องอื่นๆ (ที่ไม่เกี่ยวกับวิชาเรียน) แทน   ตอนนั่งดูสารคดีถึงรู้ว่าสถานที่นี้ตั้งอยู่บนถนนสาย 54 ใจกลางเมือง Manhattan รัฐ New York

เริ่มแรกในยุค 20s มันเป็น Opera House  สถานที่เปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อย ๆ กาลเวลาเปลี่ยนทำเลที่เคยหรูหรามาเป็นย่านอันตรายจากสิ่งเลวร้ายทุกรูปแบบในยุค 70s  จนกระทั่งในปี 1977  สองเพื่อนคู่หู Steve Rubell และ Ian Schrager  ตัดสินใจเสี่ยงกับย่านที่ไม่มีใครคิดจะลงทุนมาเปิดสถานที่เต้นรำหรือที่เรียกว่า Discotheque  

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/07/egRWlD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/egRWlD)


IS เล่าต้นเหตุของความคิดว่า  เกย์คลับเป็นคลับประเภทแรกที่เล่นเพลง disco ซึ่งผลิตโดยคนผิวดำ  ซึ่งมาจากคลับของคนผิวดำ  จังหวะของเพลงติดหูคนทั่วไปรวมถึงเหล่านางแบบชั้นนำ  ต่างก็มาที่เกย์คลับตามคำชักชวนของเหล่านักออกแบบเสื้อผ้า ช่างทำผม ช่างแต่งหน้าที่ล้วนเป็นเกย์  พอได้ข่าวว่าคนสวย ๆ ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น  เหล่าชายแท้ที่อยากสัมผัสคนสวยก็เลยไปออกันที่เกย์คลับ  หลังจากนั้นทุกคนทุกเชื้อชาติทุกอาชีพทุกสีผิวจึงไปรวมกันอยู่ที่นั่น  นั่นเป็นสถานที่ที่ 'ทุกคน' ต่างรู้สึกถึงความเท่าเทียมกัน  ไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม  ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน  Studio 54 นำแนวคิดนี้มาต่อยอดโดยเพิ่มความอลังการและแผ่ชื่อเสียงให้ขจรไกล

ตอนแรก ๆ ด้วยเหตุที่ต้อง ‘ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน’ ทำให้ S54 จำต้องแอบขายเหล้าล่วงหน้าโดยยังไม่ได้รับใบอนุญาต  ผลก็คือโดนปรับและ S54 ต้องขายแต่น้ำผลไม้แทนไปนาน 6 เดือน  ใบอนุญาตถึงออก

พอเข้าเดือน ธ.ค. 1978 SR ก็ออกข่าวว่าภายในปีแรก S54 สามารถทำเงินได้ราว 7 ล้านดอลล่าร์ ‘มีแต่แก๊งค์ Mafia เท่านั้นที่สามารถทำเงินได้มากกว่านี้ในช่วงเวลาเท่า ๆ กัน’

สิ่งที่เขาโวดันไปจี้จุดสงสัยให้กับกรมสรรพากร  ในไม่ช้าก็งานเข้า  สองคู่หูโดนปรับ 2 หมื่นดอลล่าร์แล้วเดินหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปนอนในซังเตตามคำสั่งศาลที่บอกไว้ว่า 3 ปีครึ่ง  แต่ทั้งคู่ประพฤติตัวดีศาลก็เลยลดหย่อน

ถึงแม้จะอยู่ในคุกไม่นาน  แต่เวลาและสายน้ำไม่เคยคอยใคร  ตอนที่ออกจากคุกนั้น แม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานแต่วงการบันเทิงก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  สองคู่หูจึงตัดสินใจปิดฉาก S54 ด้วยการจัด final party ขึ้นในคืนวันที่ 2-3 ก.พ. 1980  เป็นงานที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับตอนเปิดคลับ  ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี  S54 สร้างความเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบัน

สารคดีมาจบที่การตายของหนึ่งในคู่หูคือ SR เนื่องจากโรคเอดส์

ต่อไปนี้เป็น clip ของบุคคลเด่น ๆ (คัดมาจาก youtube) ที่แต้มสีสันให้ S54

Rollerena, the fairy godmother (1948-2009), a Wall Street banker & Vietnam vet who became a celebrated figure in NYC's Pride marches, protests, & discos.
https://youtu.be/rq1K5w5PKBY
(ใน clip บอกว่าเป็น stockbroker)


ต่อมาคือ Disco Sally (1900-1982) เธอมีอดีตเป็นนักกฎหมาย  อายุ 77 ในตอนนั้น
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/07/egRNgq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/egRNgq)

https://youtu.be/eAe7Y7Ts990


แล้วก็ Potassa de la Fayette, a star in the early days of New York’s Studio 54, 1977-8, where she was noted when on the dance floor, and liked to pick up straight Wall-Street type guys and take them to a balcony for oral sex.
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/07/egR9Gu.jpg) (https://www.picz.in.th/image/egR9Gu)


Clip ต่าง ๆ ที่หามาสนับสนุนสารคดีเรื่องนี้

https://youtu.be/p4RgF12SMLY
(ในสารคดี มีคนบอกว่าคนที่มาเป็นกลุ่ม  มีน้อยครั้งมากที่สามารถเข้าได้ทั้งกลุ่ม  ส่วนใหญ่เข้าได้เป็นบางคน  กลุ่มที่ดังมากคือคณะ Rolling Stones ที่สามารถเข้าคลับได้เพียง 2 คนคือ Mick Jagger กับ Keith Richards)


https://youtu.be/B6oFWUXseKE


https://youtu.be/cQAFmYGjaU4


นี่คือสารคดีที่เอ่ยถึง  ขอบคุณผู้ที่นำมาปล่อย  
https://youtu.be/M9ki5gQaJ8k
20.00-27.00 – วิธีการคัดเลือกแขกเข้าคลับ
33.00-43.00  - Highlight (รวมถึง Rollerena, Disco Sally และ Potassa)
1.10.00 - Farewell party
1.25.00 - Steve Rubell หนึ่งในคู่หูผู้ก่อตั้งตายด้วย HIV ในปี 1989 อายุ 45


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/07/egQ2UJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/egQ2UJ)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 09 มี.ค. 23, 12:04
ผมเคยพร่ำเพ้อเรื่องความหล่อของ Mickey Rourke ให้ฟังมาแล้ว  ผมว่าความหล่อของเธอมาถึงระดับสุดขีดในหนัง 9 ½ weeks (1986)  อีกไม่นานก็มีหนังที่เธอเล่นเข้ามาฉายอีก  ผมก็ถลาแล่นเข้าโรง ฯ ไปชมความหล่อของเธอประดุจแมลงเม่าบิน (แบบตั้งใจ) เข้ากองไฟ   ผมนึกไม่ออกว่าหนังชื่ออะไร  พอนึกชื่อไม่ออกก็จำเนื้อเรื่องไม่ได้  พอมาถึงจุดที่ว่าความลืมก็เข้าครอบงำเป็นของธรรมดา

เมื่อไม่กี่วันมานี้ Website สำหรับ ‘โหลด’ หนังเอาหนังชื่อ Angel Heart (1987) มาปล่อย  พออ่านชื่อก็คุ้นหูมาก  รู้สึกว่าข้าเคยดูหนังเรื่องนี้นี่หว่า  พอไปปุจฉากับ Wikiฯ ก็ได้รายละเอียดมาว่าเป็นหนังที่ MR เล่นที่เข้ามาฉายในบ้านเราต่อจาก 9 ½ weeks นั่นเอง

มาถึงจุดนี้ความทรงจำเก่า ๆ ก็ค่อย ๆ ซึมเข้ามาว่า  เป็นหนังที่ดูแล้วไม่ชอบ  มิน่า  ก็ไม่ชอบแล้วจะไปจำมันทำไม  ว่าแต่ว่าไม่ชอบเพราะอะไร  ว่าแล้วก็ ‘โหลด’ หนังมาดูใหม่อีกรอบ

AH เป็นหนังสืบสวนมีกลิ่นอายของแฟนตาซีโดยใช้บรรยากาศขมุกขมัวที่เรียกว่า ฟิล์ม Noir

MR สวมบทนักสืบอิสระชื่อ Harry Angel  ที่วันหนึ่งก็ได้รับการว่าจ้างจากชายบุคลิกแปลก ๆ ชื่อ Louis Cyphre  ให้ตามหา Johnny Favorite ชายที่หายตัวไปอย่างลึกลับ

ขณะที่การสืบสวนดำเนินไปเรื่องร้าย ๆ ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นติดตามเขาไปเหมือนเงา  ในที่สุดเขาก็สังเกตได้ว่าทุกคนที่เขาตามหาข้อมูลนั้นลงเอยด้วยความตายอย่างน่าสยดสยองทุกราย

https://youtu.be/x__DfGWWRSQ
(... an attorney is like a lawyer but bills are bigger ความแตกต่างแบบนี้จำแม่นดี)


ฉากพบกับนายจ้าง Louis Cyphre  ผมว่าคนที่ ‘ดูหนัง’ เมื่อมาถึงฉากนี้จะเห็นความผิดปกติของ LC อย่างเด่นชัด  ปล. MR ยังหล่อเหมือนเดิมแต่เริ่มอ้วนนะ
https://youtu.be/e4r_Hvk6bDg


การพบกันครั้งที่สอง  สิ่งผิดปกติของ LC ที่เห็นจากการพบกันในครั้งแรก  กลายเป็นเรื่องธรรมชาติของเขา
https://youtu.be/35EwXAmIke8


เรื่องของหนังโดยสรุปพร้อมกับฉากการพบกันของ HA กับ LC ครั้งสุดท้ายที่เฉลยตัวตนที่แท้จริงของ LC ว่าคือใคร (9.03)
https://youtu.be/7EfaS9V-wVc


เฉลยของเรื่องนี้  Harry Angel กับ Johnny Favorite คือคน ๆ เดียวกัน  JF เป็นคนที่ลุ่มหลงในไสยศาสตร์  เขาเคยทำสัญญากับ Lucifer ด้วยการแลกวิญญาณกับความสำเร็จทางด้านอาชีพการงาน  เมื่อได้สมตามความปรารถนาเขาเกิดขี้โกงไม่ยอมทำตามสัญญา  จากความรู้ที่เคยศึกษามาเขาพบว่าวิธีตบตา L ได้คือก็เปลี่ยนตัวตน  วิธีการก็คือฆ่าคนแล้วกินหัวใจขณะที่ยังเต้นอยู่  การเปลี่ยนวิญญาณก็เกิดขึ้น Johnny Favorite ก็กลายเป็น Harry Angel  นายทหารหนุ่ม  HA ไปออกรบแล้วได้รับบาดเจ็บทางสมองที่ทำให้เขาลืมว่าตัวตนที่แท้จริงคือใคร

พอ HA ความจำเสื่อมไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร L ทวงวิญญาณไม่ได้  นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดหนังเรื่องนี้  คือต้องทำให้ HA/JF จำตัวตนที่แท้จริงให้ได้

มาดูหนังอีกครั้งในวัยแก่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวขึ้น  ผมคิดว่าสมัยดูครั้งแรกแล้วไม่ชอบน่าจะเป็นเพราะบรรยากาศของเรื่องที่หม่นหมอง  ไม่เหมาะกับวัยสดใสหวานแหววในขณะนั้นของผม

ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้ในยุค อตน. คือมันเป็นหนังติดเรท X แต่มีการปรับปรุงเพื่อให้ได้เรท R แก่ ๆ  เนื่องจากมีฉากโหดเลือดสาดมาตลอดทาง  แถมด้วยฉากเซ็กส์แบบโจ่งครึ่ม  ฉากเหล่านี้ โดยเฉพาะฉาก ‘ตอกเสาเข็ม’ ท่ามกลางห่าฝนที่ตกลงมาเป็นกระแสเลือด  ไม่มีทางเล็ดรอดเข้ามาในโรงหนังอย่างแน่นอน



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 มี.ค. 23, 12:35
The greatest show on earth (1952) ได้รับรางวัล Oscar หนังยอดเยี่ยมประจำปี  แม้หนังจะยาวมากแต่สีสันสดใสและดูเพลิน
https://youtu.be/pNygNdVd7kM


ไม่รู้คนที่ได้ดูจะช่างสังเกตแบบผมรึเปล่า  ฉากหลังจากเหตุการณ์รถไฟตกรางและคณะละครสัตว์ต่างช่วยกันให้ความช่วยเหลือ  แล้วก็มาถึงฉากที่ตัวละครฝ่ายหนึ่งกำลังอุ้มลูกเสือตัวใหญ่  อีกฝ่ายกำลังลากเสือตัวเล็ก  เสือ 2 ตัวเป็นคนละพันธุ์  ผมไม่ชำนาญเรื่องเสือเลยไม่แน่ใจว่าพันธุ์อะไรบ้าง  ตัวใหญ่น่าจะเป็น puma  ตัวเล็กไม่รู้พันธุ์อะไร  เสือ cheetah  ป่าว

ขณะที่ 2 ฝ่ายเดินสวนกัน เสือตัวเล็กซึ่งโคตรดุก็อาละวาดระรานไปเรื่อย  ส่วนเจ้าตัวใหญ่ก็ปัดป้องอุ้งเล็บเจ้าตัวเล็ก  เห็นแล้วขำดี
 
ผมทำ clip นี้เก็บไว้ดู  แต่หาจาก youtube มันไปไม่ถึงฉากที่ว่า
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/10/eENo02.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eENo02)


ตัวอย่างฉากอลังการตามประสาหนังทุ่มเงินสร้างในยุคทองของฮอลลีวู้ด
https://youtu.be/dygaWkKI2UM
นักร้องคือศิลปิน (มีความสามารถทั้งร้องและแสดง) ระดับยักษ์คนหนึ่ง Dorothy Lamour


ส่วนฉากตื่นเต้นนี้เป็น climax ของเรื่อง
https://youtu.be/hl26Ojtz_Aw


ใน credit ตอนต้นเรื่องบอกชื่อนักแสดง  ผมเห็นชื่อ James Stewart ด้วย  แต่ตอนดูหาเท่าไรก็ไม่เจอ  จนกระทั่ง อตน. เจริญพันธุ์แล้วถึงรู้ว่าเธอเล่นเป็นตัวตลกที่ไม่เคยถอดหน้ากากเพราะมีเบื้องหลังอันดำมืดซึ่งสมาชิกน้อยคน (ยกเว้นคนดู) ที่จะรู้ความลับนั้น
https://youtu.be/jDjZ_Dh6HSM


https://youtu.be/aQRjyav-x8o


ตอนจบ ‘The show must go on’
https://youtu.be/_lUoQ8_xtrI


สมัยอยู่ชั้น ม.ปลาย เคยมีคณะละครสัตว์จากต่างประเทศแบบนี้มาเปิดการแสดงที่ สนามกีฬาหัวหมาก  ผมจำที่มาที่ไปไม่ได้  ความจำลาง ๆ บอกว่าเป็นของ บ. Disneyฯ  เพราะผมนึกภาพ snow white ได้  ผู้ปกครองพาไปดู  ทุกอย่างที่อยู่ในความทรงจำมีหน้าตาแบบที่เห็นในหนังเรื่องนี้เปี๊ยบ  รวมถึง ‘เต็นท์ใหญ่ที่จัดกิจกรรม’ ที่เจ้าบ้านเรียกว่า ‘the big top’ ที่ตั้งครอบพวกเราเหล่าคนชมอยู่ภายในสนามกีฬา

จากประสบการณ์ที่ได้รับ  ผมไม่ชอบดูเลย  ช่วงแรก ๆ ก็สนุกดี  เห็นตัวละครมากมายออกมาร้องเพลงเต้นรำ  มีตัวตลก  แต่พอตอนช้างออกมาแสดง  ผมกลัวมันจะเหยียบคน  ตอนสิงโตออก  ผมก็กลั้นใจกลัวมันจะกินคน  ยิ่งตอนนักกายกรรมขึ้นไปแกว่งชิงช้าตัวจิ๋ว ๆ อยู่กลางอากาศ  แล้วผลัดกันรับไปมา  มันทำให้ผมนึกถึงเพลงหนึ่งของ Helen Reddy ทันที  แล้วก็จะหลับตาปี๋  กลัวจนขี้ขึ้นสมอง  กลัวพวกเขาจะพลาดตกลงมากระแทกพื้นไส้แตกแหลกกระจาย เหมือนเนื้อเพลงนั้น อุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาใคร ๆ ก็รู้  ยิ่งผมเป็นคนชอบสร้างจินตนาการอยู่ด้วย

พอการแสดงจบ  ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  ตอนเดินออกมาผู้ปกครองบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่า  เสียดายเงินชะมัด  ตั้งใจให้มาเห็นอะไร ๆ ที่สนุกสนาน  แต่หันมาดูทีไรเห็นผมหลับตาปี๋ทุกครั้ง
 
‘โตแล้ว ไม่ใช่เด็กซะหน่อย  ปอดแหกอะไรไม่เข้าเรื่อง’ โดนดุด้วย
 
ไม่ได้รบเร้าให้พาไปดูเล้ย


ควันหลง... เห็นคณะละครสัตว์แบบนี้แล้วนึกถึงเพลงนี้ของ Helen Reddy ทุกครั้ง  ผมหาเนื้อเพลงมาให้ด้วย

https://youtu.be/HOVqwqnQ7a4

I was what they called a circus child
The big top was my home each year for a while
Mama was an actress then, but in the summer, she fell in
With a truth they called the West Wind

I recall the smell of sawdust after the rain
The summer you signed on when everything changed
You stole my mother's heart away, and it was hard for her, they say
'Cause you risked your life every day

And Mama'd always cry and close her eyes until your act was through
And me, I seemed fine, and all the time you never knew
I loved you, too

No one told the story, and you never knew
Just why it was we were so afraid for you
That prophecy the Gypsies made we called a superstitious game
Still, we half-believed it just the same

And Mama'd always cry and close her eyes, and say a prayer for you
And me, I seemed fine, and all the time you never knew
I was praying, too

I can still see your figure crushed on the ground
And now, when the circus comes to town
I let my children have their day
But me? I tend to stay away
You see, my father died that same way

And Mama'd always cry and close her eyes until your act was through
And me, I seemed fine, and all the time, you never knew
I loved you, too



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 มี.ค. 23, 12:26
หนัง My beautiful launderette ออกฉายในปี 1985  ในยุค 80s ผมมีทางเลือกในการดูหนังโรงอีก 1 ทางนอกเหนือจากถ่อสังขารไปที่โรงหนังคือดูทางม้วนวิดีโอ  เครื่องเล่นคู่ใจยี่ห้อ Sony สีเงินรุ่นยัดตลับเข้าไปทางด้านบนของเครื่อง  แล้วก็กดฝามันลงไปในเครื่อง  เป็นรุ่นที่ทนทายาดมาก  ถ้ามันกินเส้นเทปก็ล้วงควักได้ง่ายกว่ารุ่นที่ยัดตลับเข้าทางช่องด้านหน้า  ผมลองหารูป  ปรากฏว่ามีหลากหลายจนไม่แน่ใจว่าที่เคยครอบครองมันหน้าตาอย่างไรกันแน่

พอมีทางเลือกมากขึ้นผมก็สามารถดูหนังได้หลากหลายขึ้น  หนังตลาด ๆ ก็ไปดูที่โรงฯ  หนังนอกกระแสเช่นเรื่องนี้ก็ไปหาวิดีโอมาดู อย่างไรก็ตามดูหนังทางม้วนวิดีโอมีข้อเสียคือ  มักเป็นวิดีโอผี  ภาพ/เสียงไม่ได้มาตรฐาน  ที่สำคัญถ้าเป็นม้วนผีก๊อปปี้จากเมืองนอกมาจะไม่มีพากษ์  ก็ต้องเขม้นทั้งตาและหูกันเป็นสามารถ  หนังเรื่องนี้อยู่ในข่ายที่ว่า

หนังเรื่องนี้มาจากฝั่งอังกฤษ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในกรุงลอนดอนในย่านชุมชนระดับล่างถึงกลางที่ประกอบด้วยชาวอังกฤษและชาวเอเซีย (ในที่นี้คือ ชาวปากีสถาน) อาศัยอยู่ร่วมกัน  

เนื่องจาก clip ย่อยมีน้อยเพราะไม่ใช่หนังแนวตลาด  ก็จะเล่าข้าม ๆ ไปยัง clip ที่พอหามาเสริมได้

หนังเปิดฉากให้เห็นพื้นเพชีวิตของหนุ่ม Omar ที่อาศัยอยู่ใน apartment ซ่อมซ่อกับพ่อที่เคยทำอาชีพผู้สื่อข่าวสมัยอยู่ที่ Pakistan  เมื่อต้องย้ายมาอยู่ที่อังกฤษ  เขาก็ไม่ชอบใจระบบสังคมการเมืองของประเทศนี้  แล้วก็ลงท้ายด้วยการติดเหล้าทำให้ป่วยออด ๆ แอด ๆ  

ผู้ชายอีกคนคือ Salim เป็นตัวแสบของเรื่อง  เขามีอาชีพค้ายาเสพย์ติด  และชักชวน O มาหาลำไพ่พิเศษด้วยการขับรถไปส่งส่วยยาฯ
https://youtu.be/jEAxv4DsH4k


วันหนึ่ง 3 คนที่ว่าไปเจอกุ๊ยข้างถนนที่เป็นพวกเหยียดผิว  ขณะเข้าได้เข้าเข็มกำลังจะเลือดตกยางออก  หัวหน้าแก๊งค์เป็น punk ชื่อ Johnny ก็จำ O ได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียน

หนุ่ม O มีลุงที่รวย เป็นเจ้าของกิจการมากมายรวมถึงร้านให้บริการซักผ้าแบบหยอดเหรียญ  ลุงชอบหลานเพราะขยันขันแข็งและมีแววส่ออนาคตที่ดี  เนื่องจากตัวเองไม่มีลูกชายจึงคิดจะยกกิจการนี้ให้กับเขาดำเนินการต่อ
  
O เป็นเด็กเรียนเรียบร้อยรักสงบ  เขารู้ว่าถ้าดำเนินกิจการในย่านแบบนี้ตามลำพังท่าจะน่าลำบากใจ  O เกิดไอเดียจึงติดต่อและชวนหนุ่ม punk มาช่วยกันดูแลธุรกิจโดยมอบหน้าที่พิเศษให้คือ ทำหน้าที่ ‘ดูแลความสงบเรียบร้อย’

Clip นี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง O กับ J  ดูแล้วทั้ง 2 มีอะไรมากกว่าแค่ความเป็นเพื่อนนักเรียน
https://youtu.be/IO8skgxSAv0


เพื่อนกลุ่มกุ๊ยมาเตือนสติ J ว่าที่อังกฤษบ้านเกิดสถานภาพของเขาคืออะไร
https://youtu.be/nJp0NHPDAis


ลุงมีลูกสาวซึ่งหลงรัก O  แต่ O ไม่กล้าเพราะกลัวลุงด่า  พอเธอได้เห็น J ก็เปลี่ยนช่องมาที่ J  แต่แล้วเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของทั้ง O และ J  เธอก็ต้องถอนหายใจแล้วก็ ‘ไปดีก่า’
https://youtu.be/RlFb0qhoEL8


พ่อของ O เข้ามาพูดเป็นนัย ๆ ให้ J ตระหนักถึงความสำคัญของสถานภาพตัวเองต่อลูกชายของเขา
https://youtu.be/OBnb5lwqGYc


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/QvTNrlHwYyw


ผมได้มาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งสมัย I/UBC  มีการตัดฉาก love scene ของ 2 หนุ่มออกโดยบัญชาของคณะกรรมการเซ็นเซ่อร์  ถึงกระนั้นก็ยังดูด้วยความสนุกสนาน  ด้วยเป็นหนังที่มีรสชาติกลมกล่อมมาก


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 14 มี.ค. 23, 12:02
ในหนัง My beautiful laundrette  นักดูหนังฝรั่งรุ่นใหม่ที่ได้เห็นหน้าหนุ่ม punk นาม Johnny คงอดกังขาไม่ได้ว่าทำไมคุ้นหน้าจัง  นั่นคือ Daniel Day-Lewis  ที่บัดนี้คือนักแสดง (เกษียณตัวเอง) ฝีมือระดับพระกาฬอันดับหนึ่งของโลกผู้กำสถิติด้านการแสดงไว้คือ เป็นนักแสดงชายคนเดียวในประวัติศาสตร์ Oscar ที่ได้จับรางวัล 3 ตัวในบทแสดงนำล้วน  เป็นสถิติที่ยังไม่มีใครทำได้เหมือน 

สถิติสาขานี้ทำให้อเมริกาอับอายมากเพราะเป็นผู้สร้างสถาบัน Oscar ขึ้นมาแต่ผู้ที่ครองสถิติกลับเป็นนักแสดงจากฝั่งอังกฤษ  Jack Nicholson (ที่เพิ่งรู้ว่าตอนหนุ่ม ๆ โคตรหล่อ) ก็ได้ 3 ตัวแต่เป็นสาขาแสดงนำเสีย 2
 
ผมเพิ่งมาได้อ่านประวัติโดยละเอียดของนักแสดงคนนี้ขณะเขียนเรื่องนี้ เธอเล่นหนังครั้งแรกในปี 1971 รับบทเด็กที่ไม่มีชื่อในเรื่อง 
https://youtu.be/jvf0IjmU6oE
(คงพอดูเค้าออกนะ นึกไม่ถึงว่าโตขึ้นจะหล่อแฮะ)


อีก 11 ปีต่อมาคือ 1982  เธอถึงได้รับบทที่เป็นเรื่องเป็นราว  หนัง MBL เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของเธอ  น่าประหลาดใจที่ตลอดอาชีพการแสดงที่ยาวนานเกือบ 50 ปี  เธอเล่นหนังน้อยมากคือ 21 เรื่องเอง  แต่สามารถเข้าชิง Oscar ถึง 6 ครั้ง  ความสามารถทางการแสดงช่างเป็นเลิศ

เรื่องที่น่าสนใจคือ ในปี 1997 เธอประกาศพักการแสดงชั่วคราวเพื่อไปฝึกอาชีพช่างทำรองเท้าที่ตัวเองเคยไฝ่ฝันอยากทำเป็นมานานที่เมือง Florence ประเทศ Italy  พักงานไป 3 ปีพอกลับมาเริ่มต้นงานใหม่  ผลงานจากการแสดงเรื่องแรกก็ทำให้เธอได้เข้าชิง Oscar ในทันที  ไม่รู้มีใครเก็บ DNA ไว้แล้วยัง

ถัดจากหนัง MBL ที่ผมได้รู้จักเธอเป็นครั้งแรก  หนังเรื่องต่อมาที่ผมได้ดูก็คือเรื่องถัดไปที่เธอแสดงซึ่งออกฉายในปีเดียวกัน  เป็นหนังย้อนยุคไปในช่วงต้น 1900s  ชื่อ A room with a view  หนังสร้างโดยทีมคู่หูนักสร้างหนังย้อนยุคชาวอังกฤษที่สร้างผลงานเป็นที่โด่งดังในช่วง 80s หลายเรื่องคือ Merchant-Ivory  ทั้ง 2 เลือกงานส่วนใหญ่จากนักเขียน E.M. Foster มาสร้าง  เป็นต้นว่าเรื่องนี้ และ Maurice ที่เคยชื่นชมให้ฟังไปนานแล้ว

บทของเธอในเรื่องนี้คือหนุ่มสำรวย  เป็นบทประกอบในเรื่อง
https://youtu.be/TSlghsKc4ZI


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/DgZkCc3xFl4


ตอนหนังออกฉายซึ่งไม่มาเมืองไทย  SP เล่าว่าหนังดังมาก  นี่เป็นสาเหตุที่ผมไปขวนขวายหาม้วนวิดีโอมาดู  แล้วก็พบความผิดหวังเป็นหนึ่งในครั้งที่นับไม่ถ้วนเนื่องจากมันเป็นวิดีโอผี  ผมมาได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งทาง I/UBC  วิวในหนังสวยมาก
 
SP เล่าว่าบรรดานักวิจารณ์ที่บ้านเขาต่างสรรเสริญบทของ DDL ว่าเด่นมากจนใคร ๆ ในวงการคาดว่าเธอต้องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ของปีนั้น แต่พอโผออกมากลับไม่มีชื่อเธอรวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม อีกเพียง 4 ปีต่อมาเธอก็ประกาศศักดาคว้า Oscar ตัวแรกจากบทนำในเรื่อง My left foot สร้างจากประวัติของศิลปินที่เกิดมาพร้อมกับโรค ‘cerebral palsy’
https://youtu.be/oaBtXwbfgGI


ผมจำไม่ได้ว่าหนังมาฉายในบ้านเรารึเปล่า  แต่ผมไม่ได้ดู  บรรยากาศหดหู่เกินไป


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 มี.ค. 23, 13:26
Daniel Day-Lewis เล่นหนังต่ออีกไม่มาก  ไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ จนถึงปี 2012  เธอรับบทนำในหนัง Lincoln การสวมบทนี้ของเธอเป็นตำนานย่อย ๆ หน้าหนึ่งของวงการฮอลลีวู้ด… (คัดมาจาก wikiฯ)...

Day-Lewis portrayed Abraham Lincoln in Steven Spielberg's biopic Lincoln (2012). Based on the book Team of Rivals: The Political Genius of Abraham Lincoln, the film began shooting in Richmond, Virginia, in October 2011. Day-Lewis spent a year in preparation for the role, a time he had requested from Spielberg. He read over 100 books on Lincoln, and long worked with the make-up artist to achieve a physical likeness to Lincoln. Speaking in Lincoln's voice throughout the entire shoot, Day-Lewis asked the British crew members who shared his native accent not to chat with him. Spielberg said of Day-Lewis's portrayal, "I never once looked the gift horse in the mouth (เป็นสำนวนแปลว่า to find fault with something that has been received as a gift or favor). I never asked Daniel about his process. I didn't want to know." Lincoln received critical acclaim, especially for Day-Lewis's performance.
https://youtu.be/1qjtugr2618

เทคนิคการแสดงของ DDL เรียกว่า method acting คือ …when he was working on a film, he lives his life as that character on and off camera...

และเป็นไปตามคาด  เธอคว้า Oscar เป็นตัวที่ 3 แบบนอนไสยาสน์มาบนเสลี่ยง
https://youtu.be/yKh_XFJ9TWc


หลังจากเรื่องนี้ DDL ประกาศพักการแสดงอีกครั้งนาน 5 ปีเพื่อกลับไปใช้ชีวิตสงบแบบปกติที่บ้านใน Ireland (เธอเกิดในอังกฤษ) เธอกลับมาในปี 2017  เพื่อเล่นหนังอีก 1 เรื่องก่อนประกาศเกษียณจากการแสดงหนังเป็นการถาวร

บทของเธอในหนังเรื่องสุดท้ายที่ชื่อ Phantom Thread เล่าเรื่องช่างตัดเสื้อแนว haute couture กับสาวเสิร์ฟ  ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เป็นครั้งที่ 6  เป็นการปิดฉากอาชีพการแสดงอย่างน่าทึ่งจนพูดไม่ออก
https://youtu.be/NJ-OfdVU1CM


On 14 November 2014, DDL was knighted by Prince William, Duke of Cambridge, in an investiture ceremony at Buckingham Palace
https://youtu.be/B9L9qJTX5ro


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/15/eCHnwQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eCHnwQ)
หน้าตาเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  สิ่งเดียวที่เปลี่ยนน้อยที่สุดคือรอยยิ้ม


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 มี.ค. 23, 11:54
Fright night (1985) เป็นหนังดังประจำปี  แล้วก็มาดังที่เมืองไทยด้วย

https://youtu.be/nnd3TNlm1vg
(ขอบคุณ คุณเอ็ม มุกฟาย)


ฉากจบ  อ้าปากค้างเลยละ ตื่นเต้นนั่งเกร็งอยู่บนเก้าอี้
https://youtu.be/WUpOGDkaMEk


ส่วนฉากที่ 1.15 (เสียดายที่ clip ไม่ได้พูดภาษาต้นฉบับ) นี่ถูกใจผมจริง ๆ ในปี 1985  อตน. ยังไม่เกิด  ภาพ Amy ปากฉีกถึงใบหูนี่ประทับใจไม่รู้ลืม  ผมลงทุนตีตั๋วรอบที่ 2 เพื่อจะดูฉากนี้อีกครั้งโดยเฉพาะ  สมัยยังห่ามๆ  นี่ทำอะไรได้สุดกู่ดีจัง  พอ youtube ถือกำเนิด  ผมรีบกระโจนลงไปคุ้ยหาฉากนี้เพื่อเอามาก๊อปปี้เก็บไว้
https://youtu.be/s0ocDMydZw4


หนังเรื่องนี้เป็นหนังม้ามืดเพราะไม่มีใครคิดว่าจะดัง  พอดังขึ้นมาก็เลยมีภาค 2  ออกมาในปี 1988  หนังใช้นักแสดงชุดเดิม  คราวนี้ vampire เป็นผู้หญิง  แต่หนังเจ๊ง  ส่วนผมก็ไปดูตามปกติแล้วก็ไม่รู้ว่ามันเจ๊งจนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิด
https://youtu.be/K5Ctp_8g9FU


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 มี.ค. 23, 11:51
ความดังของหนัง Fright Night ฉบับดั้งเดิมยังคงตามหลอกหลอนวงการบันเทิง (บ้านเค้า) อยู่เรื่อยมา  ในปี 2011  จึงมีคนลองของปลุกชีพหนังเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่  ปรากฏว่าทำได้ดีเกินคาด  นักวิจารณ์ต่างสรรเสริญ
https://youtu.be/2mI-08QvTA0
(ขอบคุณ คุณ Madman คนบ้าหนัง)


ฉบับนี้ Peter Vincent เซ็กซี่สุดขีด  รับบทโดยนักแสดงจากอังกฤษชื่อ David Tennant  
https://youtu.be/m_tw5RMqdLs
เธอดังมากในอังกฤษจากบท Doctor Who  หนังทีวีของอังกฤษที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 1963  เคยมาฉายบ้านเราในสมัยผมยังเล็ก  ผมจำได้แม่น Police box (ตอนที่นั่งอ้าปากบ๋อดูอยู่หน้าจอทีวี ผมนึกว่ามันเป็นตู้โทรศัพท์) ที่พอเข้าไปข้างในแล้วที่แท้มันเป็น Time machine เดินทางข้ามมิติ  ทึ่งจนอึ้ง


ฉากจบ  เทคนิคก้าวหน้าขึ้น ของต้องออกมาดีกว่าอยู่แล้ว
https://youtu.be/Yezs41XBJb8
(หายไปแล้ว  หาใหม่ก็ไม่ได้)


ส่วนฉาก Amy ของฉบับนี้ยังแหกปากได้สะใจเช่นเดิม
https://youtu.be/r2AhMqQm4Rs


พระเอกของฉบับนี้เป็นนักแสดงชาวอเมริกันแต่เกิดในรัสเซียชื่อ Anton Yelchin  เธอเสียชีวิตในปี 2019  เป็นข่าวดังประมาณหนึ่งสาเหตุเพราะ

‘After Yelchin failed to arrive at a rehearsal, he was found by friends after midnight on June 19, 2016, pinned between his Jeep Grand Cherokee and a brick pillar gate post outside his house in Studio City, Los Angeles, the victim of what was described as a "freak accident". As Yelchin got out of his car and went to check his locked gate and mail, the vehicle apparently rolled back down his driveway, which was on a steep incline, and trapped him against the pillar and a security fence. Yelchin was pronounced dead at the scene at the age of 27; the Los Angeles County Coroner's office identified the cause of death as "blunt traumatic asphyxia" and stated that there were "no obvious suspicious circumstances involved’.


สุดท้ายและท้ายสุดของหนังคือความประหลาดใจที่ถ้าเป็นนักดูหนังฝรั่งปกติเป็นต้องพลาดอย่างแน่นอน  แต่ผมเป็นนักดูหนังมืออาชีพ (ขอยกหางตัวเองหน่อย)  ไม่เคยพลาดตั้งแต่วินาทีแรกที่หนังเริ่มต้นจนถึงวินาทีสุดท้ายของม้วนหนัง

เป็นประเพณีของหนังทุกเรื่องที่เมื่อจบเรื่องแล้วจะตามด้วยรายชื่อคณะทำงานทุกสาขาที่ทำให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมา  ที่เค้าเรียกว่า end credits หรือ closing credits  ระหว่างร่ายยาวรายชื่อเหล่านี้ทางคณะทำงานก็จะสอดเพลงเข้าไปให้ฟัง  เป็นส่วนหนึ่งของ soundtrack ของหนัง  ส่วนใหญ่เพลงแรกเป็นเพลงร้อง  ถ้าดูโหงวเฮ้งแล้วท่าจะฮิตก็จะอัดเป็นแผ่นเสียงแผ่นเล็กออกแจกจ่าย (บางครั้งก็พร้อมเงิน) บรรดาดีเจวิทยุ  ให้เอาไปเปิดล่อนักฟังเพลง นักฟังเพลงฟังแล้วชอบก็แต่งตัวออกจากบ้านไปหาซื้อแผ่น (ที่เค้าเรียกว่า single) ต่อยอดไปเรื่อย ๆ แบบเงียะ

กลับมาที่เรื่องนี้พอหนังจบแต่ผมไม่จบก็นั่งดูต่อ  เพลงแรกระหว่างฉาย end credits เป็นเพลงมีจังหวะฟังแล้วถูกหู  พอถูกหูแล้วก็อยากรู้ว่ามันชื่ออะไร  ก็นั่งถ่างตาดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหมวดดนตรีแล้วก็มาถึงรายชื่อบรรดาเพลง  เพลงที่ผมชอบชื่อว่า 99 Problems ร้องโดยนักร้องชื่อ Hugo

รู้แค่นี้ก็อยากรู้ต่อว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใคร  ก็ไปถาม youtube  คำตอบที่ได้ประหลาดใจแบบนึกไม่ถึง

https://youtu.be/swnudbCnccs
(หมายเหตุ – 99 Problems ต้นฉบับเป็นเพลง rap)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/sUipgKdTi_k



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 มี.ค. 23, 12:24
Idle hands (1999) เป็นหนังสยองขวัญในบรรยากาศของตลกร้าย  เป็นเรื่องของหนุ่มโหลยโท่ยที่วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากบิดขี้เกียจกับพี้ยา  วันหนึ่งเธอก็ถูกผีสิงกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง  จุดที่แปลกของเรื่องนี้คือผีไม่สิงทั้งตัวแต่สิงเฉพาะที่มือ
 
เหยื่อชุดแรกคือพ่อแม่ของหนุ่มเอง  
https://youtu.be/6cXneqT8dCQ


ชีวิตของหนุ่มไร้สาระของ Anton ที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่  แล้วก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันหายไปจนกระทั่งเวลาผ่านไปแล้ว 1 อาทิตย์
https://youtu.be/KimXrwYSBcM
(บ้านน่ารักจัง)


มือผีสิงยังฆ่าไปเรื่อย ๆ กับพ่อแม่ของหนุ่มยังไม่เว้นแล้วเพื่อนสนิทจะรอดเรอะ
https://youtu.be/WQCc74gH65U

https://youtu.be/Jxgj-LqCrNo
(วิธีที่จะทำให้มือผีสิงวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปฆ่าคนคือจับมันถัก knitting คิก ๆ น่ารัก  ส่วนเพื่อน 2 คนที่โดนมือผีสิงฆ่ากลายเป็นผีดิบ)


พอรู้ต้นสายปลายเหตุหนุ่ม A ก็พยายามทุกวิภีทางที่จะกำจัดมือผีสิง  เธอทำทุกอย่างแม้จะต้องตัดมือตัวเองก็ตาม
https://youtu.be/scNjCQEP-GM


ลงเอยแบบนี้ (ตอนท้าย หลังจากโดนตัด มือผีสิงเข้าไปสิงใน hand-puppet)
https://youtu.be/4NoQ_MIdNd0


ฉากที่ผมว่าน่ารักที่สุดคือฉากที่มีหมาร่วมด้วย  ตรง 4.53 – 5.06 น่ารักที่สุด  ส่งหมาออกไปตายก่อน
https://youtu.be/DXhcz5gw4kY


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/vlmCEc8BmEQ


นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบแต่ผมว่าตลกดี  



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 มี.ค. 23, 12:08
หลวงพ่อ Greg โดนส่งตัวมาที่วัดแห่งหนึ่งใน Liverpool  อยู่ได้ไม่นานก็พบว่าหลวงพ่อ Matthew เจ้าถิ่นที่เป็นที่เคารพของชาวบ้านมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับแม่บ้านของวัด  ที่สำคัญคือ เจ้าตัวยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน  หลวงพ่อ G จึงเกิดความกังวลและกังขาต่อสถาบันคริสตจักรแห่งนี้  แต่ในขณะเดียวกันตัวหลวงพ่อเองก็กำลังกุมความลับของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น  สรุปแล้วใครเลวกว่ากัน

หลังจากจับได้ว่า ลพ. M กำลังคั่วผู้หญิง  1.31 – คือคำแก้ตัวของ ลพ. M
https://www.youtube.com/watch?v=RJb2g2Q_LKk


งานใหญ่เข้าในขณะดำเนินการสารภาพ เมื่อมีเด็กหญิงมาสารภาพว่าโดนพ่อข่มขืน
https://youtu.be/FmYZiXCxdTI


เรื่องรู้ไปถึงหูพ่อชาติชั่ว  เขาจึงมาเตือน  ลพ.G เกิดสถานการณ์น้ำท่วมปากเพราะ ‘If I intervene, I could stop someone’s suffering but that means breaking the seal of confession’ พูดง่าย ๆ คือ ผิดกฎของการสารภาพบาป   เขาจึงทำได้แค่ ‘drop a hint’ แต่แม่ของเด็กซึ่งเป็นคนมองโลกสวยก็ไม่เข้าใจเสียที 
https://youtu.be/8MC5N8h59zY


จนกระทั่ง...
https://youtu.be/eojfSJ62Obg
จาก กฎของการสารภาพบาป ทำให้ ลพ. G โดนคุณแม่โลกสวยด่า
‘You knew. You knew. What kinda man are ya ?. I hope you burn in hell’


ส่วนความลับของ ลพ. G คือเป็นเกย์
https://youtu.be/ovQ7GMXVgQM


เมื่อความลับไม่มีในโลก
https://youtu.be/51zUiUDFOr4

https://youtu.be/fP8RCmEA6ug
ลพ.G อับอายและสับสน เขาย้ายไปประจำอยู่ที่วัดอีกแห่งห่างไกลจากความเจริญ  แต่เขาไม่ลาออกจากเพศนักบวชเพราะ  ‘God wants me to be a priest’  เขาอยู่ด้วยความสับสนและทรมาน  จนกระทั่งวันหนึ่ง ลพ.M  ที่เขาเคยรังเกียจมาตามหา  ทั้งสองเถียงกันด้วยเรื่องแก่นของศาสนา...

ลพ.M ใช้หลักความต้องการของธรรมชาติมาถกเถียงกับหลักที่ ลพ. G อ้างว่าพระเยซูบัญญัติไว้

ลพ M - To call another human being Satan, I mean what kind of religion is that ? What kind of sick, twisted brainwash have you been through? His sole purpose in life is to tempt you into sin, is that what you're sayin'? Do you love that man (เด็กหนุ่มของ ลพ.G)?
ลพ. G - I think I love him. Yes.
ลพ. M - Do you want him ?
ลพ. G - Yes.
ลพ. M - All the time?
ลพ. G - A lot of the time.
ลพ. M - And is that sinful?
ลพ. G - Sick.
ลพ. M – So, to itch for a man is sick; to want to scratch that itch, to want to make love to another man, that's sinful?
ลพ. G - Yes.
ลพ. M - And to want to go on scratching, to live with another man. Well, that's permanent sin. That's evil. Is there any sense, any intellect, any common humanity in that kind of bullshit?

ในที่สุด ลพ. G  ก็สามารถตีความในคำสอนของพระเยซูแตก  เขากลับไปหา ลพ. M ที่วัดเดิมและเผชิญหน้าชาวบ้านโดยอาศัยหลักคำสอนที่เขาตีความได้...

“Compassion, ladies and gentlemen. You sin, you go to a priest. You expect compassion. If you expect it from him, shouldn't he expect it from you? Compassion, forgiveness, understanding”


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/21/eLOB02.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eLOB02)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/mxlZ8hB5Q40

 
หนังจากอังกฤษเรื่อง Priest นี้ออกฉายในปี 1994  ในยุคที่รักร่วมเพศยังหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า  การทำหนังเนื้อหาล่อแหลมต่อศีลธรรม (ในยุคนั้น) ออกฉายในวงกว้างย่อมต้องเจอตออย่างแน่นอน

‘The film received very vocal condemnation from the Church, with the Catholic Church in Ireland in particular calling for a ban on theatrical distribution. This marked the first major disagreement between the Church and the Irish Film Censor Board, which decided to release it anyway. It went into general release in the UK on 17 March 1995 and into limited release on 8 screens in the US the following week. Catholic organizations in the United States, including the Catholic League and the American Life League, were in an uproar over its planned nationwide release by Miramax during Easter weekend, calling the film "smut," "blasphemous" and "sacrilegious"; staged a national boycott over Miramax parent, Walt Disney Studios; demanded that the film be withdrawn and called for Disney president Michael Eisner to be fired. Exhibitors in New Jersey received threats, including bomb threats, warning against screening the film.” ข้อมูลจาก Wikiฯ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 มี.ค. 23, 13:07
ผมรู้จักหนังเรื่อง Grand Hotel (1932) มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาย  ก็ได้ความรู้มาจากการอ่าน SP นั่นแหละ  รู้มาว่าเป็นหนังรวมดาราชั้นนำของวงการในขณะนั้น  นับเป็นครั้งแรกที่มีหนังแนวรวมดารา  เนื้อเรื่องก็เล่าเรื่องราวของแขกหลากหลายที่มาเช่าห้องพักในโรงแรมแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ในกรุง Berlin 

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/22/emlWjy.jpg) (https://www.picz.in.th/image/emlWjy)


ถ้าเป็นยุคนี้ plot แบบนี้ไม่มีอะไรใหม่  แต่เมื่อเกือบ 90 ปีก่อนโน้น  คนถึงกับแย่งกันตีตั๋วเข้าไปชม

https://youtu.be/PHXQSOrzCOI

https://youtu.be/fUhl5o8cJ5g


ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้เมื่อ UBC เปิดช่อง TCM  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นการแสดงของดาราดัง ๆ ที่เคยได้ยินแต่ชื่อหลายคนอย่าง Greta Garbo ดาราที่เคยได้ยินชื่อมาก่อนรู้จักหนังเรื่องนี้เสียอีก  ในเรื่องเธอเล่นเป็นนักบัลเล่ย์จากรัสเซียที่ชื่อเสียงเริ่มซบเซา  เธอประชันบทกับ John Barrymore (ญาติอาวุโส (great uncle) ของ Drew B.) ที่เล่นเป็นบารอนตกอับที่พยายามขโมยเครื่องเพชรของเธอ  แต่ลงท้ายก็ปิ้งกัน
https://youtu.be/hZGI3dzPphc


ข่าวลือมาว่า ในฉากประชันกันนี้  ทาง studio กลัวว่าจะไปไม่รอดเพราะทั้ง GG และ JB ต่างเป็นดาราระดับยักษ์ทั้งคู่และต่างได้ชื่อว่า ไม่ยอมลงให้ใคร

แต่แล้วก็ต้องถอนใจกันลั่นกองถ่ายเมื่อปรากฏว่าทั้งคู่เข้าขากันได้ดีไม่มีขบกัด  การเข้าขากันผ่านออกมานอกจอด้วย  เพราะปกติ นอกจอ GG จะไม่คุยกับใครทั้งสิ้น
 
ในฉากนี้ GG ถึงกับ ‘อิน’ กับฉากจูบกับ JB จนเมื่อ ผกก. สั่ง cut แล้วเธอก็ยังกระหน่ำจูบ JB ต่อไปอีกนานเป็นนาที ๆ  ฉากนี้มีการถ่ายเก็บไว้แต่ไม่มีใครเอามาเปิดเผย

มีบทพูดตอนหนึ่งที่ GG พูดไว้และมันกลายเป็นคำพูดคลาสสิกที่เป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบันนี้  ‘I want to be alone’ … placed number 30 in AFI's 100 Years...100 Movie Quotes in 2005
https://youtu.be/_3H7sgjtvq0
ประโยคนี้ต่อมาเป็นคำพูดประจำตัวของ GG  และสื่อก็ประโคมข่าวว่าเป็นคำพูดอาถรรพ์เพราะมันทำให้เธออยู่เป็นโสดจนสิ้นอายุขัย (เว่อร์กันเข้าไป)


ดาราดังอีกคนคือ Joan Crawford  ในเรื่องนี้เธอเล่นเป็นสาวอาชีพจดชวเลขที่ไฝ่ฝันจะเป็นดารา  แต่ตอนนี้ต้องทำหน้าที่จดงานให้นายจ้าง (Wallace Beery)
https://youtu.be/MwGm3ESV3XU


ในยุคนั้น JC ยังเป็นเด็กใหม่ ในขณะที่ GG เป็นเจ้าแม่ของวงการแล้ว  ข่าวเล่าต่อกันมาว่า  JC บูชา GG มาก  แม้นักแสดงทั้ง 2 จะไม่เคยเข้าฉากร่วมกัน  แต่เมื่อผ่านกันนอกจอ JC จะหยุดเพื่อทักทาย GG แบบอาย ๆ เป็นประจำ แต่ GG ไม่เคยชายตามอง  จนกระทั่ง JC ฝ่อไป

แล้ววันหนึ่งตอนผ่านกันนอกจอครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้  จู่ ๆ GG ก็หยุดแล้วถาม JC ว่า  "Aren't you going to say something to me?"

ตอนท้ายเรื่องบรรยากาศเริ่มหนักขึ้นเมื่อมีการฆาตกรรม (บารอนตกอับ (JB) พยายามเข้ามาขโมยของมีค่าของนายจ้างนักจดชวเลข (WB))
https://youtu.be/BcTD_Hq94n8


ในฉากสุดท้าย JC ในบทสาวนักจดชวเลขกับนักบัญชีสูงอายุที่ป่วยใกล้จะตาย Lionel Barrymore (พี่ชายในชีวิตจริงของ JB)  และ GG ที่วิ่งพล่านเพื่อตามหาชายคนรัก JB โดยไม่รู้ว่าถูกฆ่าไปแล้ว
https://youtu.be/IzmDQIrHtVI


หนังจบด้วยประโยคที่ว่า "Grand Hotel. Always the same. People come. People go. Nothing ever happens."

หนังดูสนุกทีเดียวครับ

Grand Hotel เป็นหนังเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์รางวัล Oscar ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเพียงสาขาเดียวคือหนังยอดเยี่ยมและได้รับรางวัล



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 มี.ค. 23, 12:07
ผมได้ดูหนังของ Greta Garbo หลายเรื่องทีเดียว  แต่ไม่ได้ชอบทุกเรื่องไป  เพราะเธอชอบรับบทเครียด ๆ  ซึ่งพอถ่ายทำเป็นหนังขาวดำแล้ว  ผมผู้เป็นคนดูพลอยเครียดไปด้วย  หนังดีมากของเธอเรื่อง Camille (1936) ผมก็เฝ้าดูเธอได้ไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะมัวแต่ไปอ้าปากค้างกับความหล่อของ Robert Taylor ที่กลบความสวยของเธอเสียมิดชิด

แต่พอมาเรื่อง Ninotchka (1939) นี่สิ  แหม... สนุกจริง ๆ  

ท้องเรื่องเกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสเมื่อรัสเซียส่งเจ้าหน้าที่บ้องตื้น 3 คนมาทำเรื่องขายทอดตลาดเครื่องเพชรที่ยึดมาได้จากราชวงศ์รัสเซียเมื่อครั้งปฏิวัติใหญ่ปี 1917 แต่งานไม่สำเร็จเพราะโดน Count Leon d'Algout หรือ พระเอก ของเรา  เข้ามาขัดขวางเพราะต้องการให้เครื่องเพชรกลับไปสู่มือเจ้าของเดิม

ทางราชการรัสเซียเลยต้องส่ง a special envoy นามว่า Ninotchka มาเพื่อแก้ไขเหตุการณ์  Ninotchka เป็นสาวหลังม่านเหล็กที่เย็นชาและไม่ใส่ใจกับความหรูหราของโลกภายนอก  รวมถึงเรื่องโรมานซ์  แต่แล้วก็ต้องมาตกหลุมรักพระเอกเจ้าเสน่ห์ของเรา

ฉากแรก ๆ ที่ Ninotchka มาถึงกรุงปารีส  จนท. บ้องตื้นทั้ง 3 มาคอยรับแต่ งง ๆ กับชื่อ Ninotchka ว่าเป็นชื่อผู้หญิงหรือผู้ชาย
https://youtu.be/dzkjnPSbxJw
(ฉากหมวกในตู้โชว์ (1.45) ออกแบบโดย Adrian (เคยเอ่ยถึงเธอไปแล้ว) ซึ่งต่อมา Ninotฯ ก็ซื้อมาใส่อย่างเก๋ไก๋)


ฉากพระเอก (Melvin Douglas) กับนางเอกเจอกัน โดยที่ยังไม่รู้รายละเอียดว่าต่างเป็นใคร
https://youtu.be/2A60QcsJtlE
(ผมขำตอนที่พระเอกถามว่ากำลังหาอะไร  นางเอกตอบว่า Eiffel Tower  แล้วพระเอกอุทานว่า ‘ตายจริง (Eiffel Tower) หายอีกแล้วเหรอนี่’  มุกตลกที่ทันสมัยนะผมว่า)


ปัญหาของคนจากประเทศหลังม่านเหล็กเมื่อมาถึงดินแดนหรูหรา
https://youtu.be/qFOp7gSiC0I


แล้วโดนผู้ชายเกี้ยว
https://youtu.be/aJoVRUNmqIY


แล้วก็ไม่ตลกกับมุกไม่ว่าเจ้าของมุกจะพยายามอธิบายอย่างไรก็ตาม
https://youtu.be/jU6nB-uJh68
(ผมว่าฉากนี้ตลกมาก  ผมไม่เคยเห็น GG เอิ๊ก ๆ แบบนี้มาก่อน)


ฉากจำลองแบบขำ ๆ ของที่พักใน apartment ในรัสเซีย
https://youtu.be/AH9_BGpsNCo


ตอนหนังออกฉายสื่อและแผ่นปิดโฆษณาหนังประโคมกันว่า “Garbo laughs!”  ย้อนกลับไปเมื่อครั้งวงการหนังพัฒนาจากหนังเงียบมาเป็นหนังเสียง  GG เล่นเรื่อง Anna Christie (1930) เป็นหนังเสียงเรื่องแรก  ตอนนั้นสื่อก็ประโคมข่าวกันว่า “Garbo talks!”

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/23/eFCNzk.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eFCNzk)


สรุปแล้ว Ninotchka เป็นหนังตลกที่ตลกแบบใสสะอาดน่ารัก  แม้จะสร้างมากว่า 80 ปีแล้ว  แต่มุขตลกยังคมอยู่  เธอไปได้คล่องกับบทตลกนี้และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ด้วย

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/23/eFCTeS.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eFCTeS)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 มี.ค. 23, 12:45
Greta Garbo เล่นหนังอีกเรื่องเดียวในปี 1941 หลังจากนั้นสัญญาที่เธอเซ็นไว้กับ studio ต้นสังกัดก็หมดลง  เธอไม่ต่อสัญญา  แต่บินกลับบ้านที่ Sweden   เธอเคยบอกว่าหลังสงครามสงบแล้วอาจจะกลับมาใหม่ 

เธอกลับมาจริงในช่วงต้น 1950s  แต่ไม่ได้มาเล่นหนัง หากมาซื้อ apartment ขนาดย่อมแล้วอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ จนกระทั่งตาย  ระหว่างนั้นมีคนเสนอบทหนังดี ๆ มากมายแต่เธอบอกปัดหมดเพราะเลิกเล่นหนังแล้ว 

GG เป็นนักแสดงที่มีวินัยเป็นอย่างมาก  เมื่อถึงเวลาถ่ายทำเธอจะปรากฏตัวขึ้นที่ฉากโดยไม่ต้องให้ใครเดินไปเชิญ   ในทำนองเดียวกัน  ถ้าตอนนั้นกำลังเข้ากล้องอยู่  ถ้าตาเหลือบไปเห็นเข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าหมดเวลาสำหรับงานวันนี้แล้ว  เธอจะชี้ไปที่หน้าปัดนาฬิกาแล้วยิ้มในทำนองว่า ‘หมดเวลาแล้วอ้ะ’ แล้วก็เดินออกไปจากฉากโดยทันที  โดยไม่สนใจว่ากล้องกำลังทำงานอยู่  ทุกคนในโรงถ่ายต่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้

ครั้งใดที่เกิดการคัดง้างกับ studio  เธอจะใช้ไม้ตายด้วยประโยคว่า ‘I think I’ll go back to Sweden’  ได้ยินประโยคนี้ทีไรผู้บริหาร studio เป็นเหงื่อแตกและยกธงขาวยอมตามเงื่อนไขของเธอทุกอย่าง  เพราะบุคลิกของเธอเป็นคนเอาจริงเอาจังกับงาน

ตลอดชีวิตของการเป็นนักแสดงนอกเหนือจากตอนที่เข้าวงการใหม่ ๆ  จนกระทั่งถึงวันตาย  เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แบบทางการไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด  ไม่เคยแจกลายเซ็นใคร  ไม่ว่าจะเป็นแฟนหนังหรือดาราด้วยกัน  แล้วก็ไม่เคยตอบจดหมายแฟน

เธอไม่เคยไปร่วมงานแจกรางวัลใด  ไม่ไปแม้แต่งานปฐมฤกษ์หนังของตัวเอง  แต่จะแอบไปดูคนเดียวโดยพลางหน้าด้วยแว่นกันแดด

คนเล่าว่าเธอกับ Clark Gable ไม่ชอบขี้หน้ากัน  เหตุผลคือ She thought his acting was wooden while he considered her a snob  ในขณะเดียวกันคนก็เล่าว่าเธอชอบ Gary Cooper มากและเคยเสนอขอให้เล่นหนังด้วยกันแต่โอกาสที่ว่าไม่เกิดขึ้น

แม้จะครองตัวเป็นโสดจนวันตาย  แต่ในครั้งหนึ่งเธอเกือบได้เป็นเจ้าสาวของเจ้าบ่าวนักแสดงดังในยุคหนังเงียบ John Gilbert  แต่แล้วเกิดปอดแหกแล้วสวมบท ‘Runaway bride’

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/24/eMnRK8.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eMnRK8)


นี่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อยของดาราที่ได้ชื่อว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/03/24/eMnsmE.jpg) (https://www.picz.in.th/image/eMnsmE)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 มี.ค. 23, 16:10
์Nanotchka  เป็นเรื่องเดียวกับ Silk Stockings (1957)หนังเพลงที่ Cyd Charisse  แสดงคู่กับ Fred Astaire  หรือเปล่า
ฉากที่นางเอกปรากฏตัวในฐานะคอมราดจากรัสเซีย  เหมือนกันเปี๊ยบเลย

https://www.youtube.com/watch?v=sF578e2Mmp4


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 มี.ค. 23, 07:11
์Nanotchka  เป็นเรื่องเดียวกับ Silk Stockings (1957)หนังเพลงที่ Cyd Charisse  แสดงคู่กับ Fred Astaire  หรือเปล่า
ฉากที่นางเอกปรากฏตัวในฐานะคอมราดจากรัสเซีย  เหมือนกันเปี๊ยบเลย

https://www.youtube.com/watch?v=sF578e2Mmp4

ใช่ครับ 'จาร

Silk Stockings is a 1957 American musical romantic comedy film directed by Rouben Mamoulian, based on the 1955 stage musical of the same name, which itself was an adaptation of the film Ninotchka (1939)

โหน่งเพิ่งรู้ครับ  เปลี่ยนจากหมวกของ Adrian เป็นถุงน่องแทน 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 28 มี.ค. 23, 12:06
จำได้ว่าในยุคปลาย 70s ต่อ 80s อันเป็นยุคที่ผมกำลังก๋ากั่น  ผมตะบันดูหนังไม่เลือก  โรงหนังที่ผมแวะเป็นประจำอยู่ในละแวกราชเทวี  มี 2 โรงที่ดูทุกอาทิตย์  บางอาทิตย์ก็ดูเบิ้ล 2 รอบ  จบรอบเช้าออกมาหาข้าวกินแล้วตามด้วยรอบบ่าย 2  ประมาณว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว  2 โรงที่ว่าคือ ฮอลลีวู้ดกับแมคเคนน่า  2 โรงนี้อยู่ใกล้กัน  เดินไปเดินมา  บางครั้งก็เข้าโรงเพรสซิเดนท์  บางทีก็เลยไปเครือสยาม  วนเวียนอยู่ในละแวกนี้  ก็เก็บเกี่ยวหนังดังแห่งยุคได้ครบ (นอกจากหมายหัวไว้แล้วว่า ไม่ชอบ) 

จนกระทั่งผมย้ายไปอยู่ฝั่งธนฯ  ความสะดวกก็ตามมาอำนวย  คือมีโรงเครือเมเจอร์มาตั้งที่... เค้าเรียกย่านอะไรก็จำไม่ได้แล้ว  ตรงข้าม Central ปิ่นเกล้า  ซึ่งเดชะบุญทำเลอยู่ใกล้บ้านใหม่มาก  สะดวกกว่าก่อน ผมยังคงไปตลุยดูหนังเป็นประจำไม่เปลี่ยนแปลงจนกระทั่ง  เจ้าหน้าที่แนะนำให้ผมสมัครเป็นสมาชิก  รู้แล้วรู้รอดไป

เพราะดูหนังเยอะความจำเกี่ยวกับหนังในช่วงนั้นจึงมีเยอะ  ผมว่ายุคดังกล่าวเป็นแหล่งกำเนิดหนังสั่นประสาทสยองขวัญชั้นดีมากมาย ที่ดังสุดกู่ก็เช่น Texas chain saw massacre (1974) หรือชื่อไทยว่า สิงหาสับ (ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็ The hills have eyes (1977) หรือชื่อไทยว่า โชคดีที่ตายก่อน (ถ้าจำไม่ผิดเช่นกัน)

ผมละไม่เคยชอบหนังแบบนี้เลย  แต่ก็ประหลาดใจตัวเองที่ไม่ชอบแล้วทำไมถึงไม่เคยพลาดก็ไม่รู้  จำความรู้สึกตอนดูหนัง สิงหาสับ ได้ว่า ‘น่ากลัวฮี้หาย  ไม่รู้ดูไปทำไม’
https://youtu.be/MNBuZ8kO-LA


พอหนัง โชคดีที่ตายก่อน มาฉายผมก็ไปนั่งป๋อหลออ้าปากบ๋อปิดตาดูอยู่ในโรงฯ
https://youtu.be/pzLfsql1Yvc


ปีต่อมาก็มีหนังแบบนี้มาฉายอีกชื่อ Halloween  คราวนี้ผมไม่หลงกลดู  แต่ดันไปหลงคารมเพื่อน รู้สึกเพื่อนจะเลี้ยงด้วย  หูยย… ผมว่าเรื่องนี้สั่นประสาทที่สุด  ผมเห็นคนที่นั่งดูในละแวกต่างสะดุ้งบ้างกระสับกระส่ายพยายามเบือนหน้าหนีฉากโหดบนจอ (คือขณะผมเบือนหน้าหนีก็ไปเห็นคนข้าง ๆ ก็กำลังเบือนหน้าหนีมาเจอกันเช่นกัน)
https://youtu.be/OxRc3Z-pAqc
ตอนต้นของ clip นี่แหละที่ทุกคนทุกเพศทุกวัยในโรงฯ ร้องกันลั่น  ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นจำฉากนี้ได้ไม่ลืม 

 
หนังสั่นประสาทเรื่องสุดท้ายที่ผม (ต้องสาป) ซื้อตั๋วเข้าไปดูคือ Nightmare on elm street (1984)  หลังจากนั้นผมก็ไปหาพระรดน้ำมนต์เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากคำสาป 
https://youtu.be/dCVh4lBfW-c


หนังประเภทนี้ยังมีมาฉายอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน  แต่การนำเสนอเข้าสูตรสำเร็จรูปไปแล้ว  ขาดความคลาสสิกไม่เหมือนรุ่นพี่ ๆ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 มี.ค. 23, 13:38
ในยุคดังกล่าวมีหนังอีกสาขาหนึ่งที่ออกมาฉายเยอะแยะคือหนังผี  ผมว่าไม่มีหนังผี (ในยุคนั้น) เรื่องไหนสุดยอดเท่า Poltergeist (1982) มันเป็นหนังผีสมัยใหม่ที่ทั้งสนุกและน่ากลัวแห่งยุคนะผมว่า  slogan ที่ว่า They’re here นี่ฮิตติดปาก

หมู่บ้านจัดสรรสร้างทับลงบนสุสาน  ถึงแม้จะประกาศว่าได้ดำเนินเรื่องโยกย้ายศพแล้ว  แต่ความจริงทางโครงการตอแหล เพียงแค่ย้ายแผ่นหินจารึกชื่อคนตายบนหลุมเท่านั้น  ก็เลยเกิดเรื่อง

เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่  แต่สิ่งแปลกใหม่คือการถ่ายทำและเทคนิคตระการตาที่เว่อร์เวิ่น 

https://youtu.be/Pl-6SnoZ7ck

https://youtu.be/fZUVvdWeXak

https://youtu.be/DaDGGeqJV44

https://youtu.be/wO21q7DWgSE

https://youtu.be/83Ghe5Q7INM

https://youtu.be/qWRIlTz7vxU

https://youtu.be/yrtfdlhUlDs


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/9eZgEKjYJqA


ความดังของหนังทำให้มีการสร้างภาคต่อออกมาอีก 2 ภาคซึ่งก็เข้าทำนองคลาสสิกคือไม่ดีเท่า  ทั้ง 3 ภาคมีแม่หนู Carol Anne เป็นตัวเอก 

หนังชุด P นี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังอาถรรพ์เพราะมีนักแสดงตายระหว่างการถ่ายทำหรือหลังจากจบชุดไปได้ไม่นานจำนวนหนึ่ง
https://youtu.be/WrOOUE1ge4g



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 มี.ค. 23, 12:03
The Lost Boys (1987) เป็นอีกหนังสยองขวัญบรรยากาศสนุกสนานสุดเหวี่ยง  เล่าเรื่องครอบครัวแม่หม้ายลูกติด 2 คนย้ายมาอยู่ในเมืองชายทะเลสวยงามโดยไม่รู้ว่าเมืองนี้มีเจ้าถิ่นเป็นนักเลงแวมไพร์ที่มีหัวหน้ากลุ่มเป็นชายนักธุรกิจหน้าตาจืดชืด  ไม่มีใครรู้ว่านี่คือแวมไพร์ตัวเอ้

แรกเริ่มสำนวน The lost boys เกิดขึ้นในนิยายเรื่อง Peter Pan  บรรดาเด็กที่ไม่รู้จักโต สำนวนสามารถเอามาใช้ในหนังเรื่องนี้ได้เพราะเหล่าวัยรุ่นที่เป็นแวมไพร์ก็ประหนึ่งเด็กไม่รู้จักโตเช่นกัน  แต่น่าหยดหยอง

หนังเปิดเรื่องแบบนี้
https://youtu.be/pD7EzelP1fw

https://youtu.be/rnhokhNny4U


ความเป็นหน้าใหม่ 2 พี่น้องไม่รู้ลึกตื่นหนาบาง  พี่ชายดันไปชอบสาวที่เป็นแฟนของหัวหน้าแก๊งค์แวมไพร์
https://youtu.be/wmbt1RjPn4M


ส่วนน้องชายออกสำรวจถิ่นก็ไปเจอแก๊งค์คู่อริที่พยายามโค่นแก๊งค์แวมไพร์
https://youtu.be/ZynRcyXIGKM


ภายในถ้ำของแก็งค์แวมไพร์
https://youtu.be/0A80j2BuMaU
บทพี่ชายเป็นของ Jason Patric  นี่เป็นหนังเรื่องที่สอง  อายุเพิ่งแตะ 20  หล่อไม่เกรงใจใคร


พี่ชายเข้าร่วมแก๊งค์แวมไพร์โดยไม่รู้ตัว
https://youtu.be/iYsOzr1hPl8


นี่คือโฉมหน้าหัวหน้าใหญ่ที่กำลังมาจีบคุณแม่ลูกติด ลูกชายคนเล็กกับพรรคพวกก็พยายามขัดขวาง  แต่ความเป็นหัวหน้าใหญ่มากประสบการณ์  กลเม็ดเด็ก ๆ ไม่ระคาย
https://youtu.be/GtYHDJiBuOs


บุกรัง  ตื่นเต้นมาก  นั่งตัวเกร็ง (ทั้ง 2 รอบ) เลยละ
https://youtu.be/5EN8IHljaaE


ตั้งแต่ฉากนั้น คิวตื่นเต้นตามมาไม่หยุด
https://youtu.be/_JDtb1u_0VY

https://youtu.be/XObhhoFp6G8

https://youtu.be/F5g7u8WRwqQ


และฉากสุดท้าย
https://youtu.be/GtYHDJiBuOs

https://youtu.be/VjGgkR2aI1Y


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/r1Iqy6m7U7c



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 เม.ย. 23, 12:11
Benediction (2021) เป็นหนังจากฝั่งอังกฤษเล่าอัตชีวประวัติช่วงหนึ่งของกวีและนักเขียนในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของยุคนามว่า Siegfried Sassoon

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/04/mgr42D.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mgr42D)


Wikiฯ ให้นิยามงานกวีของเขาว่า His poetry both described the horrors of the trenches and satirised the patriotic pretensions of those who, in Sassoon's view, were responsible for a jingoism-fuelled war

หนังเริ่มต้นที่ SS โดนเรียกไปรับใช้ชาติอันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่ออุดมการณ์ของเขาเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าในระหว่างที่ทำสงครามเขาจะได้รับการยกย่องว่า “Decorated for bravery on the Western Front including the single-handed capture of a German trench in the Hindenburg Line. Armed with grenades, he scattered sixty German soldiers”

ความไม่ชอบใจต่อการทำสงครามมาถึงจุดสูงสุดเมื่อเขาประท้วงเดี่ยวด้วยการเขียนบทกวีชื่อ ‘Soldier’s declaration’ ออกแจกจ่ายในปี 1917  ผลก็คือถูกเรียกตัวจากสนามรบไปเข้าขบวนการประเมินอาการแล้วลงท้ายด้วยการถูกส่งเข้าบำบัดใน military psychiatric hospital ใกล้กรุง Edinburgh ในปี 1917 นั้นเอง

https://youtu.be/ZIeXsuScWt0
(ปากคอเราะรายดีจัง (เหมือนผมเลย  ประมาณด่ากราด))


ที่นั่น SS พบและผูกมิตรกับนายทหารคนป่วยชั้นผู้น้อยชื่อ Wilfred Owen...  

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/04/mgritZ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mgritZ)

...ซึ่งเป็นกวีเริ่มต้น  ด้วยแรงสนับสนุนจาก SS ทำให้ฝีมือของพ่อหนุ่มแก่กล้าขึ้นถึงขนาดสร้างชื่อเสียงให้อยู่ในแนวหน้าของวงการกวียุคสงครามโลกกับเขาด้วย  แต่ความดังเกิดขึ้นหลังจากเขาตายไปแล้ว  จากการสนิทสนมนี้ทำให้ทั้ง 2 กลายเป็นคู่รักกัน

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่าจะยืนยาวถ้าไม่เกิดเหตุพลิกผันเมื่อ WO โดนเรียกตัวกลับไปสนามรบและเสียชีวิตในปีต่อมาเมื่ออายุได้ 25 ขวบ
https://youtu.be/NouZIDrdgd4


ส่วน SS ปลดประจำการและออกสู่สังคมชั้นสูงในฐานะเกย์คิงไฮโซ  ระหว่างนั้นเขามีแฟนมากมาย  แต่มีคนหนึ่งที่สร้างความสัมพันธ์ให้มี ‘รสชาติ’ มากกว่าคนอื่นคือ นักแสดงหนุ่ม Ivor Novello  (1.06 ของ clip ข้างบน)
  
ใน clip เขาเล่นดนตรีและร้องเพลงที่มีเนื้อตลกและน่ารักมาก เป็นการเล่นคำระหว่าง came too (ไปด้วย) กับ came to (ฟื้นขึ้นมา) ตอนแรกนึกว่าทางผู้ผลิตหนังเอาเพลงชาวบ้านมาเสริม  แต่หลังจากหยุดดูแล้วไปค้นแป๊บก็พบว่า IN ร้องเพลงจริง  เพลงชื่อว่า And her mother came too  เป็นเพลงเด่นเพลงหนึ่งของเขา

ในยุคต้น 20s  เมื่อชั่ง นน. (weigh) ระหว่างยุคแล้ว  เนื้อเพลงตลกแบบนี้  ในตอนนั้นคนฟังแล้วคงขำกันกลิ้ง
https://youtu.be/PEs-nMSLHuc
(Verse)
I seem to be the victim of a cruel jest
It dogs my footsteps with the girl I love the best
She's just the sweetest thing that I have ever known
But still we never get the chance to be alone

(Chorus 1)
My car will meet her
And her mother comes, too
It's a two-seater
Still her mother comes, too

At Ciro's when I am free
At dinner, supper, or tea
She loves to shimmy with me
And her mother does, too

We buy her trousseau
And her mother comes, too
Asked not to do so
Still her mother comes, too

She simply can't take a snub
I go and sulk at the club
Then have a bath and a rub
And her brother comes, too

(Verse 2)
There may be times when couples need a chaperone
But mothers ought to leave a chap alone
I wish they'd have a heart and use their common sense
For three's a crowd, and more, it's treble the expense

(Chorus 2)
We lunch at Maxim's
And her mother comes, too
How large a snack seems
When her mother comes, too

And when they're visiting me
We finish afternoon tea
She loves to sit on my knee
And her mother does, too

To golf we started
And her mother came, too
Three bags I carted
When her mother came, too

She fainted just off the tee
My darling whispered to me
"Jack, dear, at last we are free!"
But her mother came to

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/04/mgrAoQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mgrAoQ)


ตอนที่เจอกับ SS นั้น IN มีคู่รักอยู่แล้ว (คนที่เกาะอยู่ข้างเปียโน) ชื่อ Glen B. Shaw ซึ่งเป็นนักแสดงเหมือนกัน

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/04/mgrri1.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mgrri1)


พอ IN ได้พบ SS เขาก็สลัด GS คนรักเดิมทิ้งหน้าตาเฉย แล้วอ้าแขนรับ SS  

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/04/mg8ShP.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mg8ShP)


ความรักของทั้ง 2 หวือหวา  แต่ดำรงอยู่ได้ไม่นานเพราะ ‘The main drawback with love is that it descends, all to quickly, in possessiveness. That is really a bore’  นี่คือความเห็นและคติในการเปลี่ยนหน้าคนรักเป็นว่าเล่นของ IN
https://youtu.be/5y_LCpDI7O0

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 เม.ย. 23, 11:58
SS อกหัก  แต่กว่าจะสลัดทิ้งได้ IN ก็เปลี่ยนคู่รักไปหลายรายแล้ว  SS ก็กลับมาสนิทสนมกับคู่รักเก่าของ IN คือ GS  แต่ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่าความเป็นเพื่อนสนิทซึ่งต่างดำรงสถานะนี้ไปจนกระทั่งตายจากกัน

แต่คู่ที่แท้จริงของ Seighfried Sassoon คือ หนุ่มสำราญนามว่า Stephen Tennant ซึ่งก็เคยตกเป็นเหยื่อของ IN มาก่อนเช่นกัน
https://youtu.be/Xq-TIzlSwuo
(จังหวะ Charleston)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/06/mq3mM9.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mq3mM9)


ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ยืนยาวนานถึง 6 ปีก็ต้องถึงจุดอวสานเมื่อ ST พบว่าตัวเองเป็นวัณโรคและหักดิบด้วยการตัดความสัมพันธ์

SS อกหักอีกครั้งและหันไปสนิทกับ Hester Gatty เพื่อนของ ST (คนใน clip ข้างบน และ 3.44 ของ clip ที่ 2) ซึ่งเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนโต  คบไปคบมาก็เลยแต่งงานกัน  แต่ก่อนจะดำเนินเรื่องไปถึงจุดนั้น  SS ก็สารภาพกับ HG ว่า  ‘I have never had an affair with a woman before, only men’  แต่ HG ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่

ทั้งสองแต่งงานกันอย่างเงียบ ๆ ในหนังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าแขกทางฝั่ง HG มีใครมาบ้าง  แสดงแต่แขกฝั่ง SS ซึ่งล้วนเป็นนักกวีระดับ ‘เซียน’ ของยุคซึ่งรวมถึง E.M Forster และ T.E. Lawrence  ที่ชาวโลกรู้จักดี  เขาคือแรงบันดาลใจต่อการสร้างหนัง Lawrence of Arabia ในหนัง TEL มีบุคลิกแต๊วแต๋วและปากจัด  ผิดกับบุคลิกที่เราเห็นในหนังที่แสดงโดย Peter O’Toole

สองผัวเมียมีลูกชาย 1 คนที่ต่อมาก็มีชื่อเสียงในหลาย ๆ ด้านเช่น วิศวกร นักวิทยาศาตร์ นักประพันธ์ ฯลฯ

ในบั้นปลาย ST กลับมาง้อ SS  แต่ SS เจ็บปวดเกินกว่าจะให้อภัยได้  ในหนังความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ้นสุดโดยไม่เหลือเยื่อใยในวันนั้น  แต่ในประวัติย่อที่ Wikiฯ ลงไว้  HG เมียของ SS เป็นคนเตือนสติให้ SS ยุติความสัมพันธ์ให้นุ่มนวลกว่านี้  ซึ่ง SS ก็เห็นด้วยและยินดีสานความสัมพันธ์กับ ST ต่อแต่ในระดับผิวเผินเช่น ติดต่อกันทางจดหมาย หรือ โทรศัพท์

หนังจบที่ SS ในวัยคนแก่ที่ขี้หงุดหงิด ไม่เคยพอใจต่อโลกสมัยใหม่ ลงท้ายด้วยการกลายเป็นคนซึมเศร้า  ชีวิตของแต่ละคนก็คือนิยายเรื่องหนึ่ง ๆ เนอะ  มีทั้งสนุกและจืดชืด

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/06/mq9NMu.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mq9NMu)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/rHPcubS9XbM


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 เม.ย. 23, 14:18
หนังเรื่อง Benediction ลงเอยตรงนั้น  แต่ผมยังไม่จบ  ยังมีความอยากรู้ต่อก็เลยแวะไปหา Wikiฯ  ซึ่งแจงรายละเอียดให้ว่า  ในที่สุด 2 ผัวเมียก็แยกทางกัน  ตอนปลายชีวิต SS  ก็หันหน้าเข้าหาศาสนา (Catholicism) และนี่คือที่มาของชื่อหนัง Benediction

หนังสอดใส่บทกวีของ SS ลงไปเป็นระยะ ๆ แต่ละชิ้นบรรยายความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ที่ใส่เข้ามาเยอะคือบทกวีที่ด่าการทำสงคราม

ร่ายสดในงานเปิดตัว
https://youtu.be/SOce6NIEeDM


ชิ้นข้างล่างเป็นตัวอย่างบทกวีที่เขาเขียนบรรยายความรู้สึกต่อการตายของน้องชาย
https://youtu.be/EBOCnkHjNs8
อาจเป็นเพราะผมเป็นเด็กวิทย์จึงไม่เคยมีอารมณ์ร่วมกับบทกวี  ยิ่งบทกวีทางฝั่งตะวันตกแล้ว  ฟังยังไงก็แยกไม่ออกว่าทำไมถึงเรียกว่าบทกวี  ไม่เหมือนของไทย  กาพย์ กลอน ฯลฯ  ฟังออกเพราะมันมีสัมผัสนอก-ใน  ฟังแล้วเพราะหู (ถึงแม้จะไม่มีอารมณ์ร่วมอย่างที่บอก)

นักวิจารณ์ชื่มชมหนังเรื่องนี้ Rotten Tomatoes ให้คะแนนถึง 94%    ก่อนหน้านี้ชื่อ Siegfried Sassoon ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง  รู้จักแต่ Vidal Sassoon (ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวดองกัน) พอดูไปได้หน่อยก็  เออ... สนุกดี 

ตอน ‘พักครึ่ง’ ผมก็ไปหาประวัติอ่านแล้วก็ต้องตกตะลึงเพราะว่ามีคนลงประวัติของเขาเยอะมาก  แต่ละแหล่งเขียนเรื่องยาวเป็นหางว่าว  เหมือนไม่รู้จัก Tom Cruise แต่พอลองหาประวัติของเขาอ่านก็พบว่า โอ้โฮ... เป็นคนดังปานนี้เชียวหรือ

ประวัติของ SS มีให้อ่านตั้งแต่เกิดมาเลย  ส่วนบทกวีก็มีให้อ่านมากมายจาก link ต่าง ๆ  เช่น

https://www.poetrynook.com/poem/my-mother-16
บทนี้ SS บรรยายความรู้สึกที่เขาเห็นการแสดงออกของแม่ของตนเมื่อคุยเรื่องการตายของน้องชายของเขา (Hamo S.) ซึ่งเป็นทหารเหมือนกัน

(หมายเหตุ – ในเรื่องมีคำคมบทหนึ่งว่า “Friends may come. Friends may go but enemies are faithful’...  ชอบจัง)


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/07/mOAAqI.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mOAAqI)





กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 เม.ย. 23, 12:39
ตอนเด็ก ๆ เวลา SP เล่าเรื่อง Clark Gable  จะต้องนำเสนอภาพนิ่งนี้

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/10/msdpjJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/msdpjJ)


แล้วบอกว่านี่เป็นหนังดังที่สุดของ CG  บทของเธอในหนังเรื่องนี้ทำให้ได้รับ Oscar ดารานำชายยอดเยี่ยม

SP ยังเล่าต่อว่าหนังเรื่อง It happened one night (1934) เป็นเรื่องแรกในประวัติศาสตร์รางวัล Oscar  ที่ได้รับรางวัลหลัก 5 สาขา (เรียกว่า The Big Five) คือ หนังยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดยี่ยม ดารานำชาย-หญิงยอดเยี่ยม และคนเขียนบทหนังยอดเยี่ยม

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในอีกกว่า 40 ปีต่อมาคือปี 1976 หนังเรื่อง One Flew Over The Cuckoo’s Nest เป็นเรื่องที่ 2 ที่ได้รับรางวัล Big Five ในเวทีประกาศรางวัล Oscar ครั้งที่ 48  เเละถัดจากนั้นมาอีก 16 ปี เรื่อง The Silence Of The Lambs ได้ทำสถิติเป็นหนังเรื่องที่ 3 ที่คว้ารางวัล Big Five ของเวที Oscar ครั้งที่ 64 ในปี 1992 (หลังจากนั้นผมก็สนใจพวกสถิติเหล่านี้น้อยลงเลยไม่รู้ว่ายังมีต่อมาอีกรึเปล่า)

หนัง IHON เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น เพราะเนื่องจาก เป็นหนังเเนว Romantic - Comedy ผสม Road Movie ซึ่งเป็นแนวใหม่และไปก่ออิทธิพลต่อการสร้างหนังเเนวนี้ออกมาอีกมากมายจนถึงปัจจุบัน  

หนังเรื่อง IHON ดัดเเปลงมาจากนิยายเรื่อง Night Bus ของ Samuel Hopkins Adams มีโทนเรื่องจะออกเป็นเเนวเสียดสีคนรวยแบบขำ ๆ  โดยเล่าเรื่องราวของ 2 หนุ่มสาว เอลลี่ เเอนดรูว์ส (Claudette Colbert) ลูกสาวมหาเศรษฐีผู้เอาเเต่ใจ เธออยากจะเเต่งงานกับ ผู้ชายที่เป็นคนรักของเธอ เเต่พ่อของเธอไม่เห็นด้วย ทั้งคู่จึงทะเลาะกัน ส่งผลให้เอลลี่หนีไป ผู้เป็นพ่อร้อนใจ จึงออกตามหาลูกสาวเเถบพลิกเเผ่นดิน จ้างนักสืบออกตามหา เเละประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ เเต่ก็ยังคงไร้ร่องรอย

เอลลี่ตัดสินใจที่จะนั่งรถโดยสาร Greyhound Lines เดินทางจากไมอามี่ไปหาคนรักของเธอที่นิวยอร์ก เเละการเดินทางครั้งนี้ทำให้เธอได้พบกับ ปีเตอร์ เวิร์น (Clark Gable) นักข่าวหนังสือพิมพ์ที่พึ่งจะถูกเจ้านายไล่ออก เมื่อหนึ่งหนุ่มตกงานเเละหนึ่งสาวผู้เอาเเต่ใจต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล

ช่วงที่หนังออกฉายก่ออิทธิพลต่อธุรกิจบางอย่างเป็นต้นว่าธุรกิจของการเดินรถโดยสาร Greyhound  โดยเป็นตัวส่งเสริมให้ธุรกิจการเดินรถโดยสารของบริษัทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากรถโดยสารของบริษัทนี้อยู่ในเหตุการณ์ที่พระเอกเเละนางเอกได้ร่วมเดินทางกันไป
https://youtu.be/1kAtlL7cZOg

 
อีกอิทธิพลหนึ่งมาจากฉากที่ Clark Gable พระเอกของเรื่องถอดเสื้อ ซึ่งในฉากเริ่มแรก CG สวมเสื้อกล้ามด้วยซึ่งเป็นวัฒนธรรมปกติในยุคนั้นที่ผู้คนยังแต่งตัวมิดชิด  แต่ระหว่างการถ่ายทำ มุขตลกจากปากของ CG จบไปก่อนที่การถอดเสื้อตัวสุดท้ายจะจบสิ้น    ประมาณว่ามุขจบไปแล้วแต่ยังถอดเสื้อไม่หมด  ทางทีมงานเลยตัดสินใจไม่ให้ CG สวมเสื้อกล้ามเข้าฉากเพื่อเป็นการย่นเวลาให้จบลงพร้อมกับมุข

ภาพที่ CG ถอดเสื้อตัวสุดท้ายแล้วโชว์เสื้อหนังมังสาปรากฏความเท่ในสายตาผู้คนทั่วไป  เมื่อภาพปรากฏบนจอทำให้สาวๆกรี๊ดกันสนั่น อิทธิพลที่เกิดขึ้นก็คือ มันกลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมที่หนุ่มๆในยุคนั้นไม่นิยมสวมเสื้อกล้าม เลียนเเบบ CG กันยกใหญ่ ส่งผลให้เสื้อกล้ามนั้นขายไม่ดี ถึงขั้นมีผลกระทบให้บริษัทขายเสื้อกล้ามบางรายล้มละลายกันเลยทีเดียว
https://youtu.be/9zUaNKBQ04c


หนังเรื่องนี้เเม้ว่าจะดูเก่าเเละเชย การดำเนินเรื่องเรียบง่ายและไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ประมาณพ่อแง่แม่งอน ซึ่งอาจไม่ดึงดูดใจใครในสมัยนี้มากนัก  เเต่เมื่อได้นั่งดูไปเรื่อย ๆ แล้วพบว่ามันยังคงมีมนต์เสน่ห์ที่จำเป็นต้องดูจนจบ
  
ฉากน่ารัก ๆ
https://youtu.be/qFWptPtHG78


ส่วนฉากนี้เป็นฉากอมตะที่จารึกไว้ในวงการหนัง  เริ่มแรก CC ปฏิเสธฉากต้องโชว์ขา  ทางทีมงานเลยต้องหาตัว stand-in  แต่พอตัว stand-in โชว์ขาให้เห็น  CC เปลี่ยนใจพลางโวยวายว่า "That is not my leg!"
https://youtu.be/Wcrth90C3D4


หนังเรื่องนี้เป็นม้านอกสายตา  วันปฐมฤกษ์การฉายก็ไม่มีการประโคมใด ๆ ที่หน้าโรงหนัง  เข้าโรงฉายแบบตามมีตามเกิด  นอกจากนี้ดารานำทั้ง 2 ก็ไม่คิดอยากแสดงตั้งแต่เริ่มแรก  

CG จำต้องแสดงเพราะโดน studio ต้นสังกัดทำโทษโดยส่งให้ studio ที่สร้างเรื่องนี้ยืมไปใช้  เนื่องจากไปมีอะไร ๆ กับ Joan Crawford  จนเป็นข่าวฉาวสร้างชื่อเสียให้กับ studio วันแรกที่เข้าฉาก  ข่าวบอกว่า CG พูดแบบเซ็ง ๆ ว่า  ‘เอาให้มันจบ ๆ ไป’

ส่วน CC มีกำลังใจแสดงเพราะ studio สัญญาว่าจะให้เงินเดือนขึ้นโดยจะถ่ายทำให้จบภายในเวลาที่เร็วที่สุด  ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอไม่ใช่ดาราดังอะไรเลย

CC ไม่ชอบหนังเรื่องนี้  แม้หนังเรื่องนี้จะสามารถตลุยไปถึงเวที oscar จนได้  เมื่อถึงวันประกาศผล เธอก็ไม่ไปร่วมงาน  ตอนข่าวประกาศทางวิทยุออกมาว่าเธอได้รางวัล  เจ้าตัวกำลังจะออกเดินทางไปต่างเมือง  จนท. ของงานต้องรีบรุดไปที่สถานีรถไฟเพื่อนำตัวเธอกลับไปที่งาน  แขกในงานจึงเห็นเธอขึ้นเวทีรับรางวัลในชุดเดินทาง

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/10/msdFc8.jpg) (https://www.picz.in.th/image/msdFc8)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/ZUNFCUZ5BwU

(ขอบคุณ website: https://minimore.com/b/2kCVV/2 ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลบางส่วนที่ช่วยประหยัดเวลาในการเสาะหา)



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 เม.ย. 23, 12:25
The dressmaker (2015) เป็นหนัง comedy-drama จาก Australia  เล่าเรื่องช่างตัดเสื้อที่ประสบความสำเร็จในเมืองใหญ่ต้องกลับมายังบ้านเกิดในถิ่นห่างไกลความเจริญเพื่อมาดูแลแม่ที่เจ็บป่วย  นี่คือจุดประสงค์หลัก  แต่จุดประสงค์ย่อยนั้นคือการหมายมั่นปั้นมือที่จะกลับมาคิดบัญชีชาวบ้านที่นั่น

รายละเอียดตามนี้
https://youtu.be/YXCxbmE_8xA
(ขอบคุณ น้องเศก Channel)


หนังได้นักแสดงระดับแม่เหล็กคือ Kate Winslet มารับบทนำ  ในเรื่องนี้มาดเธอเยี่ยมมากตั้งแต่ฉากเปิดตัวมาเลย
https://youtu.be/IjXLVgyOQJs


พอตั้งหลักได้ เธอก็ออกป่วนเมือง
https://youtu.be/k_FgtFxmkaU


เธอแสดงฝีมือแปลงโฉมลูกเป็ดขี้เหร่
https://youtu.be/JxYe9YHZPrA

https://youtu.be/Yo7cbwY93AQ


ความสำเร็จนี้ทำให้มีคนมาตัดชุดกับเธอมากมาย  แต่เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า  แม้จะมีฝีมือไม่เป็นรองใคร  แต่ยังไม่สามารถเหนือฝีมือแม่ตัวเองได้
https://youtu.be/eyTp-PWedh4


หนุ่มที่อยู่ในสายตาของเธอคือ
https://youtu.be/c8CVcGFdOQY
นักแสดงคือ Liam Hemsworth น้องชายของ Chris Hemsworth


ฉากแก้แค้น
https://youtu.be/KsEqC1BHKjk


เบื้องหลังแฟชั่นในเรื่อง
https://youtu.be/5-0y-iS0cy8


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/8wy0NvZ8_p4


หนังเต็ม ๆ
https://youtu.be/L5rErsU3kac



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 17 เม.ย. 23, 11:53
Dior and I เป็นสารคดีจากฝรั่งเศสเล่าเรื่องชีวิตช่วงหนึ่งของ Raf Simons

RS เป็นชาว Belgium ที่ยึดอาชีพเป็น designer เริ่มแรก (ข้อมูลจาก wikiฯ) ก็ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ก่อนแล้วเอาความชำนาญไปต่อยอดทางด้านออกแบบเครื่องแต่งกายชาย  ไอเดียเขาดีมากเลยโดนซื้อตัวโดยห้องเสื้อชั้นหรูจาก Germany ชื่อ Jil Sanders ให้มาทำหน้าที่ creative director

ต่อมาเขาก็ขยับขยายไปทำหน้าที่ creative director ให้กับห้องเสื้อ Dior (ในสารคดีบอกแค่ว่าเป็น competitive  ไม่รู้ว่าได้ตำแหน่งด้วยการซื้อตัวหรือว่าชนะการแข่งขัน... ขี้เกียจค้นน่ะ)

หลังจากแนะนำตัวแล้วก็ต้องออกผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของตนสู่สาธารณชนในนามของ Dior  สารคดีเริ่มตรงช่วงเวลานี้

เนื่องจากชื่อ Dior ไม่ใช่ขี้ ๆ  งานเปิดตัวในครั้งนี้จึงสร้างความเครียดและเครียดกระหน่ำ  เพราะมันไม่ใช่งานแฟชั่นโชว์ธรรมดาแต่เป็น “Collection for Haute Couture” งานช้างที่สาวก Dior จับจ้องตาไม่กระพริบ

สารคดีชุดนี้สร้างออกฉายในปี 2014  ได้รับคำชื่นชมจากเหล่านักวิจารณ์ถ้วนทั่ว  ผมได้ดูจาก website สำหรับ ‘โหลด’ หนังตามที่เคยบอก  เป็นแหล่งชั้นยอดจริง ๆ  มีอะไรแปลก ๆ (รวมถึงหนังโป๊... ด้วยล่ะ) นอกเหนือจากหนังปกติแพลมมาล่ออยู่เนือง ๆ  บางทีดูแต่หนัง ๆ ๆ  มันก็เบื่อนิ

บรรยากาศในห้องทำงานของห้องเสื้อ Dior  ทุกคนกำลังขะมักเขม้นช่วยสานความฝันของ RS ให้เป็นความจริง  ช่างทุกคนดูจริงใจและล้วนเป็นห่วงเพราะ “He is used to ready-to-wear where you cut, glue, sew and it is finished but we use elaborate technique”  ถ้างานนี้สำเร็จทุกคนก็จะได้หน้าไปด้วย
https://youtu.be/IQ_jndWUbac
หนังไม่มีบรรยายภาษาอังกฤษ คำสนทนาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสจะมีบรรยายภาษาอังกฤษแนบมาให้  ถ้าคุยเป็นภาษาอังกฤษ (แบบเพี้ยน ๆ) ก็แกะกันเอาเองตามสะดวก


งานแรกเป็นงานช้างก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา
https://youtu.be/53_lhg51SRs
0.13 บนกำแพงคือ ไอเดียที่เป็น highlight ของ RS  ได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของศิลปินอเมริกันชื่อ Sterling Ruby

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/17/mJf04E.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mJf04E)


ในเวลาแค่ 8 อาทิตย์  จาก 0 ถึงเส้นชัย  ใครไม่เครียดก็ผิดปกติแล้ว
https://youtu.be/9y3PH1JFJ6Q


ไม่แปลกใจที่หา clip ย่อยได้ยากมาก  แต่มีคนนำงานเต็ม ๆ มาให้ดู  แขกบางคนอาจจะคุ้นหน้าบ้างโดยเฉพาะเจ๊ Donatella Versace
https://youtu.be/faeORRbdluk
ผมพยายามค้นแต่ไม่ได้คำตอบแบบฟันธงว่าสถานที่จัดงานมันที่ไหน  แต่มีตอนหนึ่ง RS และคณะบินไปสำรวจตึกทรงคลาสสิกอันเป็นบ้านของครอบครัวของ Dior  น่าจะเป็นที่นั่น  กำแพงดอกไม้ที่เห็นล้วนเป็นดอกไม้ของจริง  ไอเดียกลั่นมาจากความคิดของ RS  งานทุกแขนงต้องให้แล้วเสร็จภายใน 8 อาทิตย์ที่ว่า


การเตรียมงานกำแพงดอกไม้
https://youtu.be/KvwGQ65GCds


จากผลงานครั้งนี้ ... Simons's first collection for Haute Couture Fall–Winter 2012 was well-received as the designer focused on the 1950s by playing with some of Christian Dior's famous silhouettes: the A line and the H line, and the Bar jacket.

Simons said he aims “to bring some emotion back, to what I felt in the nineties, because I see a lot of amazing clothes, but I don’t see a lot of emotion now.”


ตัวอย่าง
https://youtu.be/Y-6YymtcApM


หมายเหตุ –
1.   RF ทำงานให้กับห้องเสื้อ Dior แค่ 3 ปีครึ่ง
2.   การออกเสียงของคำว่า haute couture นี้ได้รู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ  จากการอ่านใน ลลนา  แพรว  กะรัต  ดิฉัน ฯลฯ  แต่ตอนนั้นเค้าเขียนเป็นภาษาไทยว่า โอตกูตูร์  พยายามหาต้นฉบับว่าภาษาอังกฤษ (ตอนแรกนึกว่าเป็นคำอังกฤษ) เขียนอย่างไรก็หาไม่เจอ  ต่อมามีโอกาสได้ถามฝรั่งก็ล้วนทำหน้างง  น่าจะเป็นเพราะผมออกเสียงเพี้ยน  จนกระทั่งมาถึงยุค อตน.  ถึงได้คำตอบ  อีกคำหนึ่งคือ ออร์เดิฟ - Hors d'oeuvre  หู... ใครจะนึกว่าตัวภาษาอังกฤษของมันจะเขียนได้วิลิศมาหราขนาดนี้


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/17/mJfuUE.jpg) (https://www.picz.in.th/image/mJfuUE)
Raf Simons กับ Pieter Mulier มือขวาของเขา



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 เม.ย. 23, 12:12
ผมจำได้ว่าเคยดูหนัง The Wizard of Oz (1939) ที่โรงหนัง  ไปดูกับน้าคนสวย  แต่จำอะไรอื่นเช่นเมื่อไรหรือโรงหนังอะไรไม่ได้เลย  ท่าจะเป็นตอนเด็กมาก ๆ  ซึ่งยังอ่านหนังสือไม่แตก  มีเหลือแต่แค่ความจำ  ที่จำได้โดยไม่ลืมเช่นช่วงเริ่มต้นเป็นหนังขาวดำ
https://youtu.be/PP5oQ0_xdow
ข่าวบอกมาว่าฉากเดียวที่มีการถ่ายทำนอกโรงถ่ายคือฉากกลุ่มเมฆใน opening scene นี้


https://youtu.be/8TOBzT-1LfU
ข่าวแจ้งว่า Judy Garland ไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบทหนู Dorothy เพราะเธอมีอายุเกินอายุของตัวละคร หนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ที่เราคุ้นชื่อที่สุดคือ Shirley Temple  แต่ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่านอกจากแม่หนู ST จะอยู่คนละสังกัด studio (20th Century Fox กับ MGM) ซึ่งจะก่อความยุ่งยากในการทำสัญญาขอยืมตัวแล้ว เสียงร้องเพลงของแม่หนูก็ไม่สามารถจับใจคนดูได้เท่าที่ต้องการ  MGM ก็เลยหันมาพิจารณาทรัพยากรของตัวเอง

ตอนแสดงหนังเรื่องนี้ JG อายุ 16 ซึ่งเป็นสาวสะพรั่งแล้ว  ผกก. Victor Fleming (ผกก. จอมโหดตามที่เคยเล่าในเรื่อง Gone with the wind) ต้องให้เธอใส่เสื้อทับทรง (corset – แปลแบบนี้ใช่รึเปล่า) เพื่อกดนมไว้เพราะ Dorothy ในเรื่องยังเป็นเด็กหญิงอยู่

เพลง Over the rainbow เกือบไม่ได้นำมาบรรจุในหนังเพราะผู้ผลิตเห็นว่ามันจะทำให้ฉากนี้ใช้เวลานานเกินไป  ไม่เหมาะกับคนดูที่เป็นเด็ก ๆ ที่ไม่ชอบจ้องอะไรนาน ๆ  เพลงนี้พิสูจน์ตัวเองในที่สุดว่าได้รับเลือกเป็นเพลงอันดับที่ 1 ของเพลงจากหนังทั้งหมด (โดย American Film Institute - 2004)


ฉากพายุนี่ทำเอาผมตื่นเต้นมาก
https://youtu.be/RQWSh7Db-_E


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 เม.ย. 23, 13:44
แต่แล้วเมื่อมาถึงเมืองมรกตก็กลายเป็นหนังสีสวยสดใส  เป็นฉากที่ผมเห็นแล้วฝันเลยละ  อยากไปเที่ยวบ้าง  พอแก่แล้วดูอีกที  มันกลายเป็นเฉย ๆ
https://youtu.be/1N77NaxlGlU
ประโยคที่ว่า "Toto, I have a feeling we're not in Kansas anymore." ได้รับการ vote เป็น famous line อันดับที่ 4 ของ American Film Institute ครั้งล่าสุดปี 2005


https://youtu.be/4IErqIMLwtQ
หมายเหตุ – รองเท้าคู่นี้ในหนังสือบรรยายว่าเป็นสีเงิน  แต่ทาง studio เห็นว่าเมื่อถ่ายเป็นหนังสี  ใช้สีแดงจะเด่นกว่า  มีคนให้ข้อมูลว่ารองเท้าคู่นี้มีการสั่งทำออกมา 7 คู่ 7 แบบ เพื่อพิจารณาว่าจะใช้คู่ไหน ปัจจุบันนี้ตามหาได้แค่ 5 คู่  อีก 2 หายสาบสูญไปแล้ว  คู่หนึ่งมีปลายงอนแบบรองเท้าอลาดิน (ออกแบบโดย Adrian) อยู่ในความครอบครองของ Debbie Reynolds  แต่ละคู่มีมูลค่า (ปี 1989) ประมาณ 1.5 ล้านดอลล่าร์  นับเป็นสิ่งสะสมจาก Hollywood ที่มีราคาแพงมากที่สุดในโลก


คู่ที่ใช้ในการถ่ายทำใส่ได้ไม่สบายเท้าอย่างมาก  JG ไม่สามารถใส่ได้ตลอดการถ่ายทำ  เธอจะใส่เฉพาะฉากที่เห็นรองเท้ากระจะตา  นอกนั้นเธอจะใส่ร้องเท้าธรรมดา  แต่คนตาดีแอบเห็นอย่างในฉากหลุดนี้
https://youtu.be/2AX3So3ITs8


https://youtu.be/RmqRx3ypWwU
ในปี 1939 กรรมวิธีถ่ายทอดหนังออกมาเป็น Technicolor ยังไม่พัฒนา  ภาพที่ออกมาจะเห็น yellow brick road เป็นสีเขียวอยู่ร่ำไป  ต้องปรับอุปกรณ์กันหลายยก


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 เม.ย. 23, 11:57
https://youtu.be/5wBjmPfhsvM
จากฉากนี้  ถ้ามองพุ่งไปที่ background ซึ่งเป็นป่า  จะเห็นเงาเป็นแท่งห้อยต่องแต่ง  นี่คือต้นกำเนิดเสียงลือกันว่าคือศพของนักแสดงที่เป็นคนแคระคนหนึ่งที่สวมบท munchkin เสียงลือหนาหูมานาน  ทางโรงถ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากออกข่าวแก้ไปว่า  ความจริงคือเงาของนกแผ่ปีกทำประหนึ่งสัตว์ประหลาดในท้องเรื่อง (ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนแฮะ)

จนถึงปี 1998 เมื่อ technology พัฒนาขึ้น  ทางผู้ผลิตจึงนำต้นฉบับมาใช้ขบวนการทางคอมพิวเตอร์ลบรอยที่เปิดประเด็นแล้วใส่ภาพเงานกจริง ๆ ลงไปแทน ก่อนนำไปทำก๊อปปี้ขาย  อย่างไรก็ตามในช่วง 2000s ก็มีคนเอา footage ฉบับดั้งเดิมที่ไม่มีใครรู้ว่าหลงรอดจากการปรับมาได้อย่างไร  เอามาปล่อยใน youtube กระพือข่าวลือขึ้นมาอีก

ข่าวเล่าว่า  ช่วงการถ่ายทำ นักแสดงคนแคระเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่แย่มากจากทีมงานเพียงเพราะสรีระไม่ปกติเหมือนชาวบ้าน
https://youtu.be/8HYfsYwSy80


https://youtu.be/z2itQkiQUOE
ฉากที่หนู Dorothy ตบสิงโตขี้ขลาด (0.40) เบื้องหลังเล่าว่า Judy Garland ทำไม่ได้แนบเนียนเพราะเธออดหัวเราะคิกคักกับเหตุการณ์ในเรื่องไม่ได้  ผกก. จอมโหดชักยั้วะจึงลากเธอมานอกฉากแล้วอบรมจากนั้นแสดงให้ดูว่าต้องตบอย่างไรด้วยการตบหน้าเธอจริง ๆ  พอกลับมาเข้าฉาก  ผลออกมาว่า take เดียวเรียบร้อย
 
หลังจากการถ่ายทำผ่านไปแล้ว  ผกก. ก็รำพึงกับคนอื่น ๆ ว่ากลัวว่าตัวเองจะโหดจน JG งอน  ปรากฏว่าเปล่า JG แอบได้ยิน  เธอก็เดินมาจูบเขาที่จมูกและบอกว่าไม่ได้งอนจ้ะ  หนูแอบหลงรัก ผกก. มานานแล้ว

ในช่วงเริ่มต้นที่ (1.00) ระหว่างคำพูด ‘Of course not’ กับ ‘My Goodness…’ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็น JG กำลังหักห้ามไม่ให้รอยยิ้มปรากฏในฉาก  เธอบอกว่าสิงโตตลกและน่ารักจนอดขำไม่ได้


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 เม.ย. 23, 13:37
ไม่รู้ฉากแขวนคอ  อันไหนจริงอันไหนเท็จ
https://www.youtube.com/watch?v=aAqvkj3HtGY


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 21 เม.ย. 23, 12:01
https://youtu.be/Z8JJMoYGbZU
ข่าวบอกว่าม้าสีลูกกวาด (เริ่มที่ 0.34) เหล่านี้  ทางโรงถ่ายใช้เยลลีสีนานาทาเคลือบซึ่งทำได้ยากมากเพราะ  ม้าหมั่นเลียเข้าท้องหมด  ต้องพยายามล่อไว้  พอทาเสร็จก็ต้องรีบถ่ายทำ


https://youtu.be/RPs2Y4FdGzM
‘There is no place like home’ ได้รับการ vote เป็น famous line อันดับที่ 23 ของ American Film Institute ครั้งล่าสุดปี 2005


ครั้งแรกที่ออกฉาย หนัง WOZ ทำรายได้พอประมาณไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง  เมื่อเทียบกับต้นทุนมหาศาลที่ลงไป (ในด้าน special effects เสียส่วนใหญ่) ผลก็คือ studio ผู้สร้างขาดทุนเกินล้านดอลล่าร์  นับว่าเป็นมูลค่ามหาศาลสำหรับค่าของเงินในยุคนั้น  ทำให้ผู้บริหารของ studio เวียนหัวกันถ้วนหน้า
 
Christopher Finch ผู้เขียนชีวประวัติของ Judy Garland กล่าวว่า  หนังแนว fantasy ไม่เป็นที่นิยมของคนในยุคนั้น  แล้ว special effects ยังไม่พัฒนาพอที่จะทำให้คนดูคล้อยตามได้  อีกทั้งในปีนั้นมีหนังฟอร์มยักษ์ใหญ่คือ Gone With the Wind ออกฉาย  คนเลยแห่ไปดูเรื่องนี้กันหมด  โชคดีที่ทั้ง 2 เรื่องมาจากค่ายเดียวกันคือ MGM  เรื่องก็เลยไม่หนักหนา

บนเวที Oscar หนัง WOZ ได้รับการเข้าชิงรางวัล 5 สาขา  (ไม่รวมรางวัลพิเศษในยุคนั้นคือ Academy Juvenile Award ที่มอบให้กับ JG)  สาขาที่หวังที่สุดคือ Best Effects นั้นพลาด  แต่ไปได้ 2 รางวัลในสาขาเพลงคือ เพลงร้องประกอบ (Over the rainbow) และเพลงบรรเลง  ซึ่งนักฟังเพลงในยุคนั้นพากันอ้าปากค้างเมื่อผลออกมาแบบนี้เพราะทุกคนคาดว่า เพลงบรรเลงประกอบหนังนั้น Theme from GWTH ของ Max Steiner ต้องนอนมาอย่างแน่นอน  ซึ่งก็น่าเห็นด้วยเพราะจนบัดนี้นักฟังเพลงทุกคนยังจำทำนอง Theme from GWTH ได้ดี  ในขณะที่Theme from WOZ นั้นหาคนนึกทำนองออกได้ยาก

อย่างไรก็ตามจากการนำมาออกฉายอย่างต่อเนื่องถึงในปัจจุบันก็สามารถทำให้หนังกลายเป็นหนังทำเงินและสร้างความคลาสสิกขึ้นได้ในที่สุด

หมายเหตุ - Famous line อันดับที่ 1 ของ American Film Institute คือ "Frankly, my dear, I don't give a damn." จาก Gone with the wind


ในปี 1985 Walt Disney Studio อาจหาญสร้างภาคต่อ (อย่างไม่เป็นทางการ) ของหนังโดยใช้ชื่อว่า Return to Oz หนังมีบรรยากาศน่ากลัวกว่าต้นฉบับและไม่สบอารมณ์นักวิจารณ์ 
https://youtu.be/gS34xXjonDY



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 เม.ย. 23, 12:35
เบื้องหน้าสิสดใส  เบื้องหลังไซร้ให้หดหู่ ::)

https://youtu.be/coWC5Krd5QI


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 เม.ย. 23, 12:08
อีกหนึ่งสารคดีที่มีคนเอามาปล่อยให้ชม  ชมแล้วก็อยากเอามาคุย Mapplethorpe: Look at the pictures (2016)

ก่อนอื่น Mapplethorpe คือนามสกุล  ชื่อของเขาคือ Robert   RM เป็นศิลปินชาวอเมริกันสาขาการถ่ายภาพ  ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นสีขาวดำ  มีรูปแบบหลากหลาย  รูปแบบที่ส่งให้เธอมีชื่อเสียงคือภาพ portrait ของบรรดาศิลปิน  แต่ที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขาคือภาพเกย์ชายในชุดหนังพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการร่วมประเวณีแบบวิตถาร นายแบบออกท่าออกทางอย่างถึงพริกถึงขิง

สารคดีเริ่มต้นด้วยอารัมภบทเล็กน้อยย้อนไปถึงสมัยที่ RM ยังเป็นเด็ก  พอโตขึ้นก็เหมือนวัยรุ่นชาวอเมริกันทั่วไปคือ  หาเงินใช้จ่ายเองด้วยการออกไปหางานทำ  ช่วงนี้เขามีแฟนสาวชื่อ Patti Smith  เธอเป็นศิลปินทั้งในด้านนักร้องนักแต่งเพลงรวมถึงบทประพันธ์ ฯลฯ

หมายเหตุ – ดูถึงตรงนี้ก็นึกได้ว่าเพลงของ PS เคยมากระจายเสียงทางวิทยุบ้านเราอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง (1978)  เท่าที่ผมได้ยินมีเพลงเดียว  เป็นเพลงร็อค  ตอนนั้นยังหน่อมแน้มผมว่าเพลงของเธอดุเดือดไป  แต่มาฟังตอนกร้านประสบการณ์กลับเป็นเพราะแฮะ
https://youtu.be/6OjW1TDANxk


พอเข้าปี 1972 RM ก็ค้นพบตัวเองว่าเป็นเกย์และออกเดินทางบนเส้นทางใหม่นี้แบบโจ่งแจ้ง  อย่างไรก็ตามกับแฟนสาว PS ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนกระทั่งตายจากกัน  ช่วงนี้เองที่ RM ได้พบกับนักแสดงหนังโป๊ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกใต้ดินคือ Peter Berlin

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/24/yfpMpf.jpg) (https://www.picz.in.th/image/yfpMpf)


RM หลงไหลในสรีระของ PB  อันเป็นจุดเริ่มต้นให้ตัวเองสามารถค้นพบทางเฉพาะของตน  นั่นคือการถ่ายภาพซึ่งเลยเถิดไปสู่แขนงของผลงานที่มีความอื้อฉาวอย่างที่เล่าไว้  แต่ในตอนเริ่มต้นนั้น  อย่างแรกเธอต้องหาช่องทางเข้าไปในวงการนี้เสียก่อน  อาศัยที่ตัวเองหน้าตาหล่อเธอจึงใช้ให้มันเป็นประโยชน์ด้วยการหาคู่ที่กระเป๋าหนัก  นับเป็นวาสนาที่ดีที่คู่ทุกคนก็ล้วนสนับสนุนอาชีพของเธอให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนก้าวเข้ามาสู่ความมีชื่อเสียงติดปากประชาชนทั้งในวงการและนอกวงการ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/24/yfv0Qq.jpg) (https://www.picz.in.th/image/yfv0Qq)


RM สั่งสมไอเดียด้วยการเข้าไปสิงสู่ในบาร์เกย์แบบ hard core  ที่นั่นสร้างแรงบันดาลใจให้อย่างมากมาย

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/24/yfv7rz.jpg) (https://www.picz.in.th/image/yfv7rz)


มีต่อ...




กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 เม.ย. 23, 11:58
Robert Mapplethorpe แบ่งรูปแบบผลงานของเขาออกเป็น  

งาน X คือภาพถ่ายโป๊ของผู้ชายทุกรูปแบบ  ตั้งแต่แบบธรรมดา ๆ ถึงแบบเห็นแล้วอ้าปากค้าง

งาน Y คือภาพถ่ายมวลเหล่าดอกไม้ และ

งาน Z คือภาพถ่ายทั้งแบบปกติและโป๊หลายระดับของชายผิวดำ  งาน Z นี้เพิ่งมาเป็นที่นิยมของ RM ในช่วงหลัง  เมื่อจู่ ๆ เขาก็เกิดคลั่งไคล้ชายผิวดำขึ้นมา

ผลงานสาขา X นี้สร้างความขัดแย้งให้กับสาธารณะชนแผ่เป็นวงกว้าง  ก่อให้เกิดกลุ่มชน 2 กลุ่มคือกลุ่มคัดค้านพร้อมสาปแช่งกับกลุ่ม ‘ไม่เห็นเป็นไรเลย’  การต่อต้านอย่างเผ็ดร้อนเกิดขึ้นในยุคปลาย 60s ถึงต้น 70s

แต่เหตุการณ์ที่อื้อฉาวเกิดขึ้นที่ Corcoran Arts Gallery ที่ Washington D.C. ในเดือน มี.ค. 1989:

The exhibition of Mapplethorpe's work, titled Robert Mapplethorpe: The Perfect Moment, sparked a debate in the United States concerning both use of public funds for "obscene" artwork and the Constitutional limits of free speech in the United State.

The gallery was pulled into the controversy, which "intensified the debate waged both in the media and in Congress surrounding the NEA's funding of projects perceived by some individuals...to be inappropriate." (แหล่งมาจาก Wikiฯ)

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้ Art Director ถูกขู่ฆ่าในรูปแบบต่าง ๆ  เขาจึงตัดสินใจประกาศให้ห้องแสดงภาพงดการนำเสนอผลงานของ RM ก่อนวันเปิดงาน  ส่งผลให้ประชาชน ‘อีกฝั่ง’ ก่อการประท้วงเพราะอดดู

อีก 5 สัปดาห์ต่อมา  ก็มีอีกหนึ่ง Art Gallery เสี่ยงเปิดการแสดงภาพของ RM  ผลปรากฏว่าผู้คนแห่กันเข้ามาชมผลงานของเขาอย่างล้นหลามเป็นประวัติการของ AG นั้น  แต่ช่วงนั้น RM ป่วยหนักไม่สามารถมาร่วมงานได้

ต่อมาในปี 1990  หลังจากที่ RM เสียชีวิตแล้ว  มีการเปิดการแสดงภาพที่ Contemporary Arts Center ในเมือง Cincinnati (รัฐอะไรหาเอาเอง)  งานนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าคราวก่อน ๆ (ดูภาพจากตัวอย่างสารคดีตอนต้น)  นอกจาก AG ถูกบังคับให้ปิดแล้วยังมีการฟ้องร้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล  ตั้งแต่ Art Director มาถึงผู้เกี่ยวข้อง  แต่ผลการตัดสินออกมาว่าไม่มีความมีความผิด

https://youtu.be/KrVYqB0geMo

https://youtu.be/TluOit0HetE

https://youtu.be/sSpED6xtTuA
(3.07 – งาน X  / 4.27 – งาน Y)


https://youtu.be/BAoWhhLFPdI
(สรุปงาน X Y และ Z ของ RM)


RM ตายด้วยโรค AIDS ในเดือน มี.ค. ปี 1989  อายุได้ 42 ปี


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/04/25/y3vDO9.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y3vDO9)


หมายเหตุ เรื่องในคลังพร่องลงไปเรื่อย ๆ  ผมไม่ได้เขียนเรื่องใหม่มาเกือบปีแล้ว  ทำอะไรนานเกินไปมันก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา  แม้จะเป็นงานที่โปรดปรานก็ตาม...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 เม.ย. 23, 13:54
ครั้งยังตัวกระจิ๋วผู้ปกครองพาไปดูหนังสนุกเรื่องหนึ่ง ในความทรงจำของเด็ก  มันเป็นหนังไล่ล่าที่ตลก  ผู้ร้ายใส่หน้ากากยางสีเขียวขี้ม้า  หัวโล้น  หน้าตาน่ากลัว  จำความรู้สึกตอนนั่งดูได้ว่าตอนกลางคืนสงสัยจะนอนไม่หลับ  ส่วนผู้ล่าเป็นตำรวจแก่ ๆ ชื่อจำแม่นว่า สารวัตรจู้ฟ  จำได้อีกหน่อยคือรถซีตรองบินได้  สาเหตุที่จำได้คือ  นอกจากจะบ้ารถมาตั้งแต่ตั้งไข่แล้ว  ลุงของผมก็ขับรถซีตรองแบบในหนังด้วยเหมือนกัน  แต่ที่จำได้ไม่ลืมคือชื่อหนัง  จอมโจรแฟนโทมัส

เก็บความจำกระท่อนกระแท่นใส่กระป๋องปิดฝาไว้จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิด  แล้วตามด้วย youtube  จากนั้นก็มา Wikiฯ  ถึงสามารถประติดประต่อความทรงจำได้ว่า  หนังชื่อ Fantomas เป็นหนังฝรั่งเศสสร้างเลียนแบบหนัง James  Bond ที่กำลังดังอยู่ในช่วงเวลานั้น  แต่เลี่ยงไปทำบรรยากาศออกแนวตลก 

ปรากฏว่าหนังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นโดยเฉพาะในยุโรป  แล้วยังข้ามมาโกยเงินในอเมริกาด้วย

จากความสำเร็จนี้ทำให้เกิดภาค 2 และ ภาค 3 ตามมาอีก

ผมเช็คปีที่ฉาย  ภาคแรกฉายปี 1964  ภาคสอง 1965 และภาคสุดท้ายปี 1967 

ต่อมาเช็คตัวอย่างหนัง ภาคแรกเปิดมาก็พบว่าได้ดูแน่นอนเพราะจำฉากรถซีตรองสีดำล้อแบะได้ (3.08 - ในความทรงจำเป็นแค่รถสีดำ) แล้วก็ฉากรถวิ่งแทรกกลางระหว่าง 2 รถบรรทุก (3.19 – ประโยชน์ของความบ้ารถ) แต่ไม่เห็นรถซีตรองบินได้
https://youtu.be/OeFax15WOTk


ฉากเปิดเรื่องภาคแรก  รถฝรั่งเศสสวย ๆ ทั้งนั้น  รถพวกนี้เคยมาวิ่งกันให้ว่อนอยู่ในกรุงเทพฯ
https://youtu.be/unwBtoJcMVs


ปรากฏว่ารถ ฯ มันมาอยู่ในภาค 2 
https://youtu.be/vOVEJiF55wA


ดูแบบกระจะตา
https://youtu.be/D8CzZrDCusg


ส่วนภาค 3 จำอะไรไม่ได้เลย  ไม่รู้ว่าหนังมารึเปล่าหรือมาแล้วได้ดูแต่จำไม่ได้  หรือมาแล้วแต่ไม่มีใครพาไปดู

อย่างไรก็ตาม  แสดงว่าตอนนั่งอ้าปากบ๋อดูหนังภาคแรกอยู่ในโรงนั้น อายุผมเพิ่งพ้นเลข 5 ขวบไปนิดเดียว 



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 เม.ย. 23, 12:16
Mascarpone (2021) เป็นหนังเกย์จากอิตาลีเล่าเรื่องราวของหนุ่ม Antonio ซึ่งกินอยู่กับคู่ของตนมาตั้งแต่เรียนจบ  เอาเป็นว่าตลอดชีวิตน้อย ๆ เขามีแฟนเพียงคนเดียวแล้วก็กินอยู่ด้วยกันฉันผัวเมียมาโดยตลอด  ความที่แฟนแก่กว่าจึงเป็นที่พึ่งทั้งด้านจิตใจและกำลังทรัพย์  แต่แล้วโชคชะตาพลิกผันเมื่อวันหนึ่งแฟนก็เกิดเบื่อแล้วไปมีใหม่  หนุ่ม A โดนอัปเปหิออกจากบ้าน  ต้องระหกระเหินไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยกำลังทรัพย์ของตัวเอง  

เจ้าของที่อยู่ใหม่ชื่อ Denis เป็นเกย์เช่นกัน  พอรู้เรื่องราวก็พา A ไปสมัครเป็นลูกมือเจ้าของร้านเบเกอรี่สุดหล่อนาม Luca  พอได้เงินมาก็เอาไปจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนวิชาทำเบเกอรี่ที่ตัวเองชื่นชอบ

ในสิ่งแวดล้อมใหม่ A พบว่าทุกคนรอบตัวล้วนสำส่อนกันทั้งนั้น  เป็นประสบการณ์ที่ตัวเองไม่เคยพบมาก่อน  พอกลมกลืนเข้าไปแล้วก็ชักสนุก  ความที่ตัวเองหน้าตาหล่อ  กิจการ ‘ขึ้นเตียง’ ก็เจริญรุ่งเรือง  แต่วิชาทำเบเกอรี่กลับไปไม่ได้ไกลเพราะความสนุกสนานในชีวิตเป็นเหตุ
 
วันหนึ่ง A พบ Thomas คู่นอนคนล่าสุดที่ติดใจเขาและต้องการสานความสัมพันธ์แบบยั่งยืน  T  มีอาชีพถ่ายภาพฝีมือดีและกำลังจะย้ายฐานไป Milan  จึงชวน A ไปด้วย  แต่ A กำลังสนุกกับชีวิตใหม่จึงบ่ายเบี่ยง  ไม่นานนักชีวิตของหนุ่มน้อยก็พลิกผันอีกเมื่อ D เจ้าของที่พักเกิดตาย  เขาจึงต้องขนสมบัติออกอย่างไม่คาดคิด  

A นึกถึง T  เพื่อความมั่นคงในอนาคตเขารีบตอบตกลงเพื่อสานสัมพันธ์แบบยั่งยืน  โดยที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ

ตอนเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปอยู่กับ T  ยังต่างเมือง  หนุ่ม A ล้างตู้เย็นแล้วพบถ้วย mascarpone ที่เขาทำแล้วลืมไว้  ก่อนเททิ้งเขาลองเปิดชิม (อยากรู้จังว่ารสชาติเป็นอย่างไร)  ปรากฏว่ารสชาติเยี่ยมยอด (ดูจากสีหน้าน่ะ)  แล้วเขาก็คิดไปถึงอนาคต  การที่จะย้ายไปอยู่กับ T  ก็จะเข้ารูปแบบเดียวกับตอนที่เขาอยู่กับแฟนคนแรก  คือต้องพึ่งพาอย่างน้อยก็ด้านกำลังทรัพย์  แล้วตอนนี้เขาได้ค้นพบสูตรทำ mascarpone อร่อยเลิศแล้ว  น่าจะนำวิชามาใช้เพื่อสร้างจุดยืนของตัวเอง

A จึงกลับไปหา T เพื่อแจ้งว่าตัวเองเปลี่ยนใจแล้ว.... โจบบบ

หนังเรื่องนี้จบแบบไม่น้ำเน่าประเภท happily ever after หรือ unhappily ever after  แต่จบแบบค้นพบตัวเอง  เป็นหนังที่ดูสนุกทีเดียว  สิ่งที่เป็นสีสันคือนักแสดงนำที่เป็นชายทั้งนั้นล้วนหน้าตาหล่อแบบ ‘ดูเพลิน’

เรื่องราวคร่าว ๆ ในช่วงแรกของหนัง
https://youtu.be/v2w9nwyx57M
0.15 – คือ Lorenzo แฟนดั้งเดิม กำลังสารภาพว่ามีแฟนใหม่
3.15 – คือ Denis เจ้าของ apartment ที่ A ย้ายไปเช่าอยู่หลังจากโดนลอยแพ หนุ่ม A กำลังเซ็งกับชีวิตที่ไร้ประสบการณ์เพราะเข้าชีวิตคู่ตั้งแต่เรียนจบเลยทำให้เอาตัวเองไม่รอด
8.40 – คือ Thomas ที่ต้องการสานความสัมพันธ์แบบยั่งยืนกับ A
12.00 – คือฉากที่ A ได้รับข่าวการเสียชีวิตของ D คนที่เข้ามาร่วมการเสียใจคือ Luca เจ้าของร้านเบเกอรี่

D พา A ไปฝึกงานที่ร้านเบเกอรี่  เจ้าของเป็นหนุ่มหล่อคือ Luca
https://youtu.be/lAo2mz1HWSA


D และ L เป็นผู้เปิดประตูพา A ออกไปสู่ชีวิตใหม่  แม้จะสนุกแค่ไหนแต่ลึก ๆ แล้ว  A ก็อดคิดถึง Lo รักเดียวของเขาไม่ได้  และคอยอยู่เสมอที่เขาจะกลับมา
https://youtu.be/F2jBQqt4SIw


จนกระทั่งมาพบ T ผู้ต้องการสานความสัมพันธ์แบบยั่งยืนกับ A  ทำให้หนุ่มน้อยคิดหนักเพราะยังรักสนุกกับโลกใหม่อยู่
https://youtu.be/MqCsA9pqqwM

clip ย่อยมีให้เท่านี้  ไม่มีใครย่อยเหตุการณ์ในครึ่งหลังของเรื่องเลย


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/DZ_OsZXAnmw


พูดถึงผู้ชายหน้าตาหล่อ  จากประสบการณ์ที่ตะลอน ๆ ไปเจ็ดคาบสมุทร  มีอยู่ 3 ประเทศที่หนุ่มหล่อแบบไม่เกรงใจใครคือ  อิตาลี สเปน และตุรกี (ความจริงหนุ่ม Moroccan ก็ไม่เลวถ้าจะโกนหนวดโกนเคราเสียหน่อย)  แต่ละนายสะโอดสะอง  ไม่อ้วนพุงหลามแบบ American  ตากลมโต  ขนตายาวเฟื้อย  หล่อลากดิน  แถมไม่ต้องออกแรงค้นหาเลย  เดินกันขวักไขว่อยู่ตามถนน ไม่ก็ในห้างร้านค้านั่นแหละ   พวกนี้เวลาทำหล่อ (grooming)  คือมีรอยโกนหนวด/เคราเขียวครึ้ม (เรียกว่า 5 o’clock shadow หรือ stubble)  เห็นแล้วอ้าปากค้าง

แต่หนุ่มตุรกีสนิทด้วยยากเพราะพวกเขาเป็นอิสลาม  ระวังตัวทุกฝีก้าว  ขณะที่หนุ่มอิตาลี  ถ้าเดินผ่านแล้วสบตากันแบบ meaningfully ได้ละก็เป็นเรื่อง...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 พ.ค. 23, 12:07
ตอนช่อง TCM เอาหนังเรื่อง High society มาฉายผมละคอยดูว่าฉากของเพลงดังที่ผมเคยได้ยินมาจากรายวิทยุ Golden Oldies ตั้งแต่ยังอยู่ชั้นประถมคือ True love ที่ร้องโดยดารานำคือ Bing Crosby กับ Grace Kelly จะอยู่ในช่วงไหนของเรื่อง

หนังเรื่องนี้เป็นหนังเพลงสร้างในปี 1956 เล่าเรื่องของสามีภรรยาคู่หย่าร้าง  ทั้งคู่ร่ำรวยมหาศาลคลุกคลีอยู่ในสังคมชั้นสูงสมกับชื่อเรื่องหนัง  อดีตสามีเป็นศิลปินเพลงที่เคยแต่งเพลงอุทิศให้กับอดีตภรรยาจนโด่งดัง  ส่วนอดีตภรรยาก็ไม่ต้องทำอะไรกินเพราะรวยอยู่แล้ว  ว่าง ๆ ก็คอยจับผิดอดีตสามีของตัว  จนนำไปสู่การหย่าร้าง  แม้จะหย่ากันแล้วแต่ก็ไม่ได้ห่างกันเพราะบ้าน... เอ้อ... คฤหาสน์อยู่ติดกัน

เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มเมื่ออดีตภรรยาพบรักใหม่ซึ่งก็ร่ำรวยไม่แพ้กัน  ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน  ส่วนอดีตสามีที่ยังหลงรักอดีตภรรยาอยู่ไม่วางวายก็พยายามจะกู้ความรักคืนมา  แผนของเธอคือป่วนงานแต่งงานโดยแกล้งโหมซ้อมเพลงเพื่อจะไปออกงานมหกรรมเพลงแจ๊สที่กำลังจะเริ่มขึ้นให้มันกระหน่ำหูชาวบ้าน

หนังดูได้เพลิน ๆ ผมว่าบทสนทนาออกจะเชย  ปล่อยมัน... เราดูฉากซึ่งอลังการเว่อร์เวิ่นแทน 

นี่คือคู่หย่าร้าง Bing Crosby กับ Grace Kelly อีกคนตัวสูงคือ คู่หมั้นใหม่ของ GK เป็นนักแสดงชื่อ John Lund
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/01/y5rjzt.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y5rjzt)


สิงห์นักดูหนังฟังเพลงฝรั่งรู้จัก Bing Crosby ดี  เธอเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งมีชื่อเสียงทั้งในฐานะนักแสดง (เคยได้ Oscar) และนักร้อง  เพลงอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเธอคือ White Christmas  เพลงออกขายครั้งแรกในปี 1941 ติดอันดับ 1 อยู่ 11 สัปดาห์  นับถึงวันนี้มันเป็นเพลงที่ขายได้ดีที่สุดตลอดกาล  แนวการร้องเพลงของเธอเป็นแม่แบบให้กับนักร้องดังๆ รุ่นต่อ ๆ มาเช่น Perry Como, Frank Sinatra ฯลฯ

ส่วน Grace Kelly คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก  แต่จะเสริมนิดว่าบทในเรื่องนี้เป็นบทสุดท้ายของอาชีพการแสดงของเธอก่อนจะเข้าวิวาห์และกลายเป็นเจ้าหญิง  อันเป็นเรื่องราวที่แต่ก่อนคนคิดว่ามีจริงเฉพาะในนิยาย

สำหรับคนที่ 3 คือ John Lund นั้น ผมรู้จักแต่ชื่อ กับภาพนิ่ง


นี่คือบ้านของอดีตสามี อุ๊แม่เจ้า... 
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/01/y5ro6l.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y5ro6l)


นี่คือบ้านของอดีตภรรยา  อุ๊แม่เจ้า (อีกหน)... มีกี่ห้องวะเนี่ย หนึ่ง สอง สาม...
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/01/y5rAWk.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y5rAWk)


และนี่คือห้องสมุดในบ้านของอาของอดีตภรรยา  ข้างหลังแผงหนังสือด้านหนึ่งมีบาร์เหล้าอย่างหรูซ่อนตัวอยู่ ...ต๊ายยยย... อาของเธออาสาจัด Bachelor party ให้กับหลานสาวที่บ้านนี้
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/01/y5rHxg.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y5rHxg)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/01/y5rVnW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/y5rVnW)


เวลาผมเห็นบ้านใหญ่ ๆ (แค่ใหญ่ ไม่ต้องถึงกับมหึมาแบบนี้ก็ได้)  ผมมักอดคิดไม่ได้ว่า  ถ้าเป็นบ้านฉัน  ฉันจะเริ่มกวาดตรงไหนก่อนดี

หนังยาวเกือบ 2 ชม. แต่ฉากสนทนามีไม่มาก (ถึงบอกว่า ปล่อยมัน)  มีแต่ฉากเพลงที่มีทั้ง standard pop และ jazz big band บรรเลงโดย Louise Armstrong ซึ่งเพราะ ๆ ทั้งนั้น


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 พ.ค. 23, 11:44
เปิดเรื่องมาก็มีการโหมโรงด้วยการยำเพลงบรรเลงในหนังนาน 5 นาที  เป็นการโหมโรงจริง ๆ เพราะมาก่อนไตเติ้ลหนังเสียอีก
https://youtu.be/ne4e9EWKXv0
ตอนผมทำเรื่องนี้ยังเปิดได้  ฟังเพลงเฉย ๆ แทนละกัน
https://youtu.be/VtGF2NppBhk


ไตเติ้ลหนังมีจิ๊ดเดียว
https://youtu.be/wEAYHwZPaXs


แล้วตามด้วย Louise Armstrong พาคุณผู้โชมไปดูหนัง
https://youtu.be/K9Py3Dj8vX0
LA เป็นอีกคนที่ไม่ต้องพล่ามที่มาที่ไปของเธอ  เสียงของเธอเป็นเอกลักษณ์  ฟังแหบ ๆ แบบนี้  เธอเคยส่งเพลง Hello, Dolly! ออกไปกระแทกหูคนทั่วโลกมาแล้ว  ในเรื่องเธอเล่นเป็นหัวหน้าวงแจ๊สที่จะมาซ้อมดนตรีกับ BC ที่บ้าน

เพลง High society นี้เป็นเพลงจังหวะ calypso  อ่านมาว่าช่วงต้นเป็น mono แต่หลังจากนั้นทาง studio ใช้กลยุทธพลิกแพลงให้เกิด effect กลายเป็น stereo  ถ้าฟังดี ๆ เสียงร้องภายในรถจะแยกซ้ายขวาตามตำแหน่งคนร้อง  นับเป็นหนังเพลงเรื่องแรก ๆ ที่ทำแบบนี้  ระบบอัดเสียงแบบ stereo  ยังไม่ใครค้นคิดได้สำเร็จจนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา


https://youtu.be/n_uiQK3hkJc
นี่คือ 2 ตัวละครในบทรอง นักแสดงหญิงคือ Celeste Holm เป็นดาราใหญ่ในต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดคนหนึ่ง  เธอเคยสำแดงฝีมือจนได้ Oscar  ส่วนฝ่ายชายไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็น Frank Sinatra ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกคนหนึ่ง  เธอเคยได้ Oscar เช่นกันจากเรื่อง From here to eternity ที่ผมเคยฝอยถึงไปแล้ว  ในเรื่อง คู่นี้เป็นนักข่าวมาทำข่าวเรื่องงานแต่งงาน

 
https://youtu.be/5q6SIMHlxcM
ฉากนี้เกิดขึ้นที่บ้านอดีตภรรยา (แค่เห็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียงเป็นตับก็เวียนหัวกับความรวยแล้ว)  อดีตสามีเอาของขวัญวันแต่งงาน (ใหม่) มาให้แล้วถือโอกาสเหน็บแนม  ผมว่าแสบดี

‘…You'd be a wonderful woman if you'd just ‘let your tiara slip a little – เปรียบเทียบได้ดีจัง’. But you'll never be a wonderful woman or even a wonderful human being until you learn to have some regard for human frailty – วุ้ย... ปากจัด'


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 พ.ค. 23, 11:54
แล้วก็มาถึงฉากสำคัญที่รอคอยคือฉากเพลงเอก True Love

https://youtu.be/m_BQEJmoCy4
ฉากนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ของเรื่องแต่อยู่ในช่วงรำลึกย้อนหลังครั้งที่ 2 ผัวเมียยังเป็นข้าวใหม่ปลามันกันอยู่

เพลงนี้ดังในบ้านเราอย่างแน่นอนเพราะผมจำได้มาตลอด  แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่า Grace Kelly เป็นดารา  รู้แค่เป็นนักร้องซึ่งเป็นการเข้าใจผิด  แล้วก็ไม่รู้ว่านี่คือเจ้าหญิงเกรซซึ่งเคยเป็นดารามาก่อน  ค่อยมาประติดประต่อว่าคือคน ๆ เดียวกันเมื่อโตขึ้น  เพลงนี้ดังในอันดับเพลงด้วยโดยขึ้นถึงอันดับ 3 ของ Billboard chart ในปีนั้น


https://youtu.be/__gz7Xndtg0
นี่คือเพลงที่อดีตสามี (Bing Crosby) แต่งให้กับอดีตเมียรักจนโด่งดัง


https://youtu.be/26TIfLT-1Xk
นี่คือ master piece ของเรื่อง  jazz big band ที่อลังการไม่หยอก


https://youtu.be/YNQj8h_pQag
ฉากดวลกันระหว่าง 2 เจ้าพ่อ (คนละยุค) standard pop เป็นครั้งแรกของวงการ


https://youtu.be/GZOGg_lRsQ0

https://youtu.be/E-00ikz4bRk
เบื้องหลังฉากนี้คือคืน bachelor party เมื่อ GK เมาหัวทิ่มแล้วแอบไประเริงกับนักข่าว (Frank Sinatra) ซึ่งแอบชอบเธออยู่ในใจ  เรื่องลุกลามเมื่อทั้งคู่ลงเล่นน้ำในสระด้วยกัน  ก่อนจบที่นักข่าวอุ้มว่าที่เจ้าสาวขึ้นห้องนอน  โดยผ่านหน้าอดีตสามีและว่าที่สามีไปอย่างหน้าตาเฉย

เหตุการณ์ของหนังยุคปี 1956  ไม่มีใครคิดแผลงไป ‘แบบนั้น’ แต่ก็อดไม่ได้  แม้แต่ว่าที่เจ้าสาวก็เมาจนจำคืนนั้นไม่ได้  มีเพียงนักข่าวที่ยังมีสติและยืนยันว่าแค่พาไปเข้าห้องของเธอเท่านั้น  แต่สาวก็รู้สึกผิดและอายเพราะชอบจับผิดชาวบ้าน  ตอนนี้ตัวเองพลาดเสียเอง


ตอนจบเป็นอย่างไรต้องดู clip นี้  ตั้งแต่  2.24  (ช่วงแรกซ้ำ)   
https://youtu.be/FtfxSAnOgoU


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/jU9SfpVOuSQ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 พ.ค. 23, 12:16
ในยุค 2000s ผมเลิกเข้าโรงหนังแล้ว  ระยะหลังๆ ขณะนั่งดูอยู่ในโรงผมจะปวดฉี่บ่อย  ก็อากาศในโรงฯ มันเย็นยะเยือก  ยิ่งไปดูรอบเช้าซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่ออกจากบ้านกัน  บรรยากาศโหรงเหรง  อากาศยิ่งหนาวเหน็บ  ขนาดเตรียมตัวด้วยการงดกินน้ำเสียตั้งแต่ตื่นโน่นแล้ว  มันก็ยังปวด
 
การปวดฉี่ขณะดูหนังอยู่ในโรงฯ นี่เป็นเรื่องน่าเซ็งอย่างมาก  จะกลั้นก็รบกวนการดูหนัง  ได้อรรถรสไม่เต็มที่  แล้วหนังก็ไม่ได้พักการฉายเพื่อให้เราลุกออกไปฉี่จนเสร็จสรรพ  จะแวบออกไปฉี่ก็จด ๆ จ้อง ๆ ไม่แน่ใจว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร  น่าเสียดายแค่ไหน  ขณะทำกิจกรรมโดยเริ่มตั้งแต่ลุกขึ้นจากเก้าอี้จนกระทั่งกลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้งใช้เวลาไปไม่ต่ำกว่า 5 นาที  เวลาแค่ 5 นาที  เนื้อเรื่องบนจอหนังผ่านไปหลายฉาก  ดีมั้ยดีคำเฉลยหรือฉากน่าตื่นเต้น ฯลฯ ผ่านไปแล้ว  ยิ่งตอนแอ่นอยู่ได้ยินแต่เสียงอันน่าเร้าใจแต่มองไม่เห็นภาพ  มันทำอะไรกันวะ  น่าเซ็งมั้ยล่ะ

จำได้ว่าหนังโรงเรื่องสุดท้ายที่ดูคือ Pirates of the Caribbean ภาคแรก  ขณะที่ชาวบ้านหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก  ผมขำไม่ไหว  ปวดฉี่ชิบเป๋ง  บิดไปบิดมากว่าจะตัดสินใจลุกออกไปฉี่  เดินกลับมาแบบเบื่อโลก  หาแถวเก้าอี้ไม่เจออีก  กว่าจะได้นั่งหนังเดินเรื่องไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้  ความที่หนังยาวกว่าปกติ  กว่าจะจบมันก็ปวดอีก  ความสนุกไม่มีเหลือเลย  เหลือแต่เมื่อไรมันจะจบซักทีวะ  ฉันจะได้ไปฉี่เป็นรอบที่ 2

ตั้งแต่คราวนั้นผมก็เลิกออกไปดูหนัง  

ตอนนั้นผมรับ IBC แล้วจึงมี ‘option’ ให้เลือก  ถึงแม้จะชดเชยไม่ได้เพราะหนังออกจากโรงฯ ไปเกือบปีละมัง  มันถึงเข้ามาฉายใน IBC   แต่ก็มีหนังอื่นให้ดูแก้ขัด  รอไม่ไหวก็ไปซื้อแผ่นวีซีดี/ดีวีดีมาดู

ผมดูหนัง Paranormal Activity (ปีไหนก็จำไม่ได้  ข้อมูลบอกว่าหนังเริ่มออกฉายในวงแคบในปี 2007  และในวงกว้างในปี 2009) ทางดีวีดี   การนำเสนอของหนังใช้รูปแบบของ footage ประหนึ่งคัดมาจาก surveillance camera  เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่โดนผีตามหลอกหลอน

ผมรู้ข่าวของหนังเรื่องนี้จาก อตน. ที่เจริญพันธุ์เต็มที่แล้ว  เป็นข่าวที่ครึกโครมมากว่าทำได้หน้ากลัวจนถึงขั้นต้องบอกต่อ… ให้ไปเป็นเหยื่อของความน่ากลัว เหมือนที่ตัวเองไปโดนมา
https://youtu.be/RhsAoxzHXaQ


ฉากจบของเรื่องทำออกมาหลายแบบ  ผมก็จำไม่ได้ว่าที่ดูมันแบบไหน
https://youtu.be/jDC6eKD-MYY

https://youtu.be/j-Sn1VNwVd8


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/d2Rb662pPEE

https://youtu.be/7TC9bKyDB5Y


ปฏิกิริยาของคนดูหนังในโรงฯ
https://youtu.be/1rFCdKLh5bE
เพราะปฏิกิริยาออกมาเป็นแบบนี้  คนถึงแห่ไปดูอย่างล้นหลาม  ยังผลให้หนังที่มีต้นทุนเพียง $15,000  แต่โกยเงินจากทั่วโลกไปถึง $193,000,000s   หนังคลอดภาคต่อออกมาถึง 7 ตอน  รวมรายได้ทั้งหมด  $890,000,000s  เป็นตัวเลขที่เห็นแล้วเวียนหัว

ส่วนตัวผมนั่งจุ้มปุ๊กดูอยู่หน้าจอทีวี  รู้สึกงั้น ๆ  ไม่รู้ว่าไปนั่งดูอยู่ในโรงที่มีระบบเสียงกระหึ่มจะรู้สึกกลัวบ้างรึเปล่า  



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 พ.ค. 23, 11:57
จากประสบการณ์น้อย ๆ ของผม  หนังเกย์ดี ๆ เนื้อหาได้เรื่องได้ราวมักมาจากฝั่งยุโรป  ผมว่าเพราะเหล่าผู้สร้างไม่มีเงื่อนไขเช่นทำออกมาแล้วต้องโกยเงิน/กวาดรางวัลเหมือนหนังที่สร้างในฮอลลีวู้ด  ทำให้มีอิสระในการนำเสนอเนื้อเรื่องหรือระดมทุนสร้าง 

เนื่องจากน้อยประเทศในยุโรปที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ  ในสมัยก่อน หนังพวกนี้จึงวนเวียนอยู่ในดินแดนของพวกเขา  จนกระทั่งถึงยุค dvd ที่สามารถสลัก ‘sub’ ลงไปได้  หนังพวกนี้จึงได้มีโอกาสออกมาเปิดเผยตัวเองในโลกกว้างได้  อย่างเช่นเรื่อง A love to  hide ที่เคยเล่าให้ฟังน้านนานมาแล้ว

ผมไม่เคยสนใจตลาดบ้านเราเลยไม่รู้ว่า  LBGT ชาวไทยสามารถหาหนังแนวนี้ที่สร้างในดินแดนฝั่งตะวันตกดูได้มากน้อยแค่ไหน

Just friends (2018) เป็นหนังเกย์อีกเรื่องจากฝั่งยุโรปคือ ฮอลแลนด์  เล่าเรื่องชีวิตของ 2 หนุ่ม  คนนึงชื่อ Joris เป็นเด็กวัยรุ่นอายุเพิ่งแตะ 21  J มีพื้นเพทางครอบครัวที่รวย  ความรวยมักเกี่ยวข้องกับการตามใจลูก เธอจึงเป็นเด็กใช้ชีวิตแบบเสรีออกจะห่าม ๆ และเจ้าอารมณ์  แต่เนื่องจากแม่ซึ่งเป็นแม่หม้ายเป็นคนออกจะหัวโบราณ  J จึงต้องเก็บความเป็นเกย์ของตนไว้ในตู้เสื้อผ้า  คนที่เข้าใจชีวิตของเธอมีเพียงคุณยายที่พักอาศัยอยู่ใน community ของคนชรา  J กับคุณยายจึงสนิทกัน

อีกหนุ่มหนึ่งชื่อ Yad อายุแก่กว่า 5 ปีมาจากครอบครัวชาวซีเรียที่อพยพมาอยู่ที่ฮอลแลนด์ ครอบครัวของ Y มีพ่อเป็นนักวิชาการ  แต่การมีพื้นเพเป็นอิสลามทำให้ครอบครัวนี้มีความเป็นหัวโบราณยิ่งกว่าครอบครัวของ J  โดยเฉพาะผู้เป็นแม่  Y กำลังเรียนหมออยู่ที่กรุง Amsterdam  แต่เธอต้องพักการเรียนชั่วคราวเพราะ “Amsterdam is too fun. My study is too boring”

Y กลับมาอยู่กับครอบครัวชั่วคราว เธอหางานพิเศษทำฆ่าเวลาด้วยการเป็นครูสอน surfing  เวลาว่างหลังจากนั้นเธอก็รับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน  บ้านหนึ่งที่เธอไปทำความสะอาดให้คือห้องพักของคุณยายของ J 

ความสัมพันธ์ของ 2 หนุ่มก็เริ่มต้นขึ้น

หนุ่มน้อย Joris กับความเก็บกด
https://youtu.be/9bgIXDLx6Uk


วันแรกที่ Joris พบกับ Yad
https://youtu.be/cpddikByPic


ต่อจากนั้นเป็นการสร้างความสัมพันธ์
https://youtu.be/3CYRrxjj5Do

https://youtu.be/tTgq0D8jmZY
(เพลงเพราะมากไม่รู้ว่าชื่ออะไร  รู้แต่ผลิตโดย Rob Peters)

https://youtu.be/7xRWWBoxX7E


อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องแก้ไขคือความเจ้าอารมณ์/อารมณ์ร้อนของหนุ่มน้อย J  ที่ทำให้ Y ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าไม่สบอารมณ์  เธอขอบอกเลิกความสัมพันธ์ฉันแฟน  ลดระดับลงเหลือแค่ Just friends
https://youtu.be/jR01nYNnu3M


ทั้ง 2 จะมีความสุขกับความสัมพันธ์ใหม่หรือว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเพื่อให้คงความสัมพันธ์แบบเดิม  ต้องไปหาหนังมาดู


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/9pukacVvoHg


เป็นหนังน่ารักให้บรรยากาศเบาสบาย นอกจากดึงคะแนนจากเหล่านักวิจารณ์ได้ดีแล้วยังไปเข้าแข่งขันบนเวทีหนังเล็ก ๆ หลายเวที  ตัวเอกคือ Joris เล่นโดยนักแสดงชาว Dutch ชื่อ  Josha Stradowski  ตอนนี้กำลังดังจากหนังชุดทางทีวีเรื่อง The Wheel of Time  ทุกฉากในหนัง (Just friends) เธอมีความเท่และเป็นแมนมาก ๆ  ผมชอบดูหนังเกย์ที่มีตัวละครนำไม่หวานแหววแต๋วจ๋า  แต่เป็นชายชาตรีเหมือนทั่วไปเพียงแต่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน

คุณชอบกินข้าว ผมชอบกิน steak ทั้งคุณและผมต่างก็เป็นคนเหมือนกัน  ข้าวกับ steak ก็คืออาหารเหมือนกัน ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน  เอาสิทธิอะไรไปสร้างกฏเกณฑ์เพื่อแบ่งแยกว่าข้าวดีกว่า steak หรือ steak ดีกว่าข้าว

คุณยายบอกกับหลาน Joris ว่า Love cannot be controlled. It controls you



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 11 พ.ค. 23, 12:10
หนัง Always (1989) มาฉายที่โรงฮอลลีวู้ด  ก่อนหนังมา นส. Starpics ก็โหมโรงไว้ล่วงหน้าว่าเป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ Audrey Hepburn ร่วมแสดงหลังจากพักการเล่นหนังมานาน  ข้อมูลที่รู้ในเวลานั้นมีเท่านี้  เวลาผ่านมาอีกแสนนานจนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิดจนปีกกล้าขาแข็งผมถึงได้รู้ข้อมูลเสริมอื่น ๆ อีกเป็นต้นว่า  ที่บอกว่าพักการเล่นหนังมานานนั้นหมายถึงเล่นหนังโรง  เพราะหลังจากเรื่องนี้เธอยังเล่นหนังทีวีอีกเรื่องนึง  แต่ที่สำคัญที่ตอนนั้น (1989) ไม่มีใครในโลกนี้รู้คือ Always เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เธอร่วมแสดง  เพราะอีกไม่นาน (1993) เธอก็ตาย

หนังอยู่ในแนวโรแมนติกเล่าเกี่ยวกับนักบินมืออาชีพที่เข้าทำนองสี่ตีนยังรู้พลาด ฯ  ผลคือเกิดอุบัติเหตุทำให้เธอต้องตายกลายเป็นผีที่ต้องมาจับพลัดจับผลูคอยฝึก (ในทำนองให้กำลังใจ) นักบินหนุ่มฝึกหัดให้เกิดชำนาญในขณะเดียวกันก็ต้องมาเป็นพยานรับรู้เรื่องโรแมนติกระหว่างนักบินฝึกหัดคนนี้กับแฟนสาวของตัวเอง (ฮู้ย... เจอแบบเข้านี้เซ็งตายโหง)

ฉากเปิดเรื่อง (ลืมไปแล้ว พอมาดูทาง Youtube จำความรู้สึกตอนนั่งดูอยู่ได้ว่า  ตื่นเต้นจัง)
https://youtu.be/upPHSDqj5x0


ฉากนักบินมืออาชีพกับแฟนสาวและอุบัติเหตุ
https://youtu.be/AMBG_-0zjEg


ฉากเปิดตัว AH ในบท angel นามว่า Hap
https://youtu.be/bwPuMwZQYd0


ข้อมูลยุคใหม่เล่าว่า ตอนแรก ผกก. Spielberg ต้องการให้บท Hap เป็นผู้ชายและหมายตา Sean Connery ไว้   แต่ช่วงเวลาไม่สมพงษ์  S ก็เลยหันไปทาบทาม AH ซึ่งตอบตกลงเพราะได้ยินกิตติศัพท์ความสามารถของ S มานานจนเกิดความอยากร่วมงานด้วย  AH รับค่าตัว 1 ล้านเหรียญ  เธอบริจาคเงินทั้งหมดให้กับองค์กร UNICEF
 
ในฉากเปิดตัวนี้จะเห็น AH ในชุดขาวสะอาดตาหาที่ติไม่เจอท่ามกลางความสกปรกเลอะเทอะของสถานที่  นั่นเป็นเพราะเธอมาเข้าฉากด้วยการนอนมาในเปลหามเพื่อเป็นการกันคราบสกปรกต่าง ๆ  ไม่ให้ติดเสื้อผ้า  เพราะเธอเป็น angel


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 พ.ค. 23, 12:16
ต่อ...

ความจริงเรื่องฮือฮา (ในตอนนั้น) ของหนังเรื่อง Always นี้ไม่ได้อยู่ที่การปรากฏตัวของ Audrey Hepburn  แต่อยู่ที่นักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเล่นหนังโรงเป็นเรื่องแรกในบทนักบินฝึกหัด  เธอชื่อ Brad Johnson  น่าเสียดายว่าไม่มี clip ย่อยของเธอโดยเฉพาะเลย  เธอสูงสง่าและเป็นแมนอย่างไม่เกรงใจใคร  BJ เพิ่งตายไปเมื่อเดือน กพ. ที่ผ่านมา (...นับถึงวันนี้ก็ปีที่แล้ว) จากการติดเชื้อ COVIDฯ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/12/yIcCXJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/yIcCXJ)


เธอเคยเป็น Marlboro man อยู่ชั่วขณะหนึ่ง
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/12/yIgSbN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/yIgSbN)
ผมเห็นรูปนี้บ่อยมาก  อยู่ด้านหลังนิตยสาร Time กับ Newsweek  ที่ทำงานผมเป็นสมาชิกอยู่


ท้ายเรื่อง  เน่าเชียว...  ครั้งเมื่อตอนนั่งดูอยู่ในโรงก็อิ่มเอิบใจดี
https://youtu.be/tSWIlf8QrdE


หนังยังให้กำเนิดความดังอีกเรื่องก็คือเพลงประกอบ Smoke gets in your eyes เป็นฉบับนำมาร้องใหม่โดยนักร้องนักดนตรีระดับมืออาชีพ JD Souther
https://youtu.be/BSph7UoesaY
วิทยุที่บ้านเราร่วมใจกันเปิดอยู่หนึ่งเพลา  ผมชอบที่เธอเลี่ยงการใช้เสียงให้ต่างไปจากต้นฉบับในตอนต้นของเพลง  ซึ่งทำได้เยี่ยมมาก


10 ปีก่อนหน้า  นักร้องคนนี้มีเพลงดังมากในบ้านเรา (บ้านเขาด้วย) คือ
https://youtu.be/5M39HESwLyM


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/5FZJ8gOjT3A



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 พ.ค. 23, 12:15
วันนี้ (ณ เวลาที่เขียน) ได้ดูหนังอีกเรื่องที่ติดอยู่ในใจมานาน  มันชื่อ Mrs. Brown, you've got a lovely daughter (1968)  เป็นหนังตลก  ชื่อของหนังมาจากเพลงดังสุดกู่ของคณะ Herman's hermit  เพลงนี้ดังในเมืองไทยด้วย  เป็นเพลงหนึ่งที่ได้ยินมาตั้งแต่จำความได้  ทำนองน่าร้ากน่ารัก
 
Peter Noone หัวหน้าวงเป็นหนึ่งใน 'teenage idol' ของสาว ๆ บ้านผมเลย  ทุกหนังสือเพลงฝรั่ง (i.s. song hits และ ฯลฯ) กับ หนังสือ SP ลงภาพของเขาเป็นประจำ (ผมจำไม่ได้ว่าในปีนั้นหนังสือ SP ถือกำเนิดแล้วยัง แต่ตั้งแต่รู้ความก็เห็นหน้าของเธอในหนังสือที่ว่ามาแทบทุกฉบับ)
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYh46a.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYh46a)


ความดังของเพลงรวมถึงรูปลักษณ์ของนักร้องนำ (ที่บ้านเกิดคือ อังกฤษ) ทำให้มีการทำหนังออกมาฉาย  ที่จริงช่วงนั้นศิลปินวัยรุ่นคนไหนดังก็จะมีการสร้างหนังให้พวกเขาเล่นออกมาฉายล่อเงินเป็นประจำ  ที่มาบ้านเราแน่ ๆ ก็หนังของ The Beatles, Cliff Richard, Elvis Presley แล้วก็เรื่องนี้ (เป็น 1 ใน 2 เรื่อง) ของคณะ HH  อย่างไรก็ตามผมไม่เคยดูเรื่องไหนซักเรื่อง  พวกพี่ ๆ เคยดูบ้าง  เคยถามก็ไม่เห็นเล่าอะไรนอกจากว่า  รอบปฐมทัศน์  จะมีคณะนักร้องของไทยมาแสดงดนตรีบนเวทีหน้าจอ  ทุกโรงหนังสมัยก่อนจะมีเวทีกว้างหน้าจอเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ  รอบปฐมทัศน์จะเป็นรอบเช้าของวันเสาร์  เพื่อให้กิจดำเนินจนจบสิ้นก่อนรอบปกติคือ 10 โมงเช้า

สำหรับหนังเรื่องนี้ผมจำได้จากการดูตัวอย่างทางทีวี

เนื้อเรื่องก็บางเบาแบบหนังวัยรุ่นร้องเพลงทั่วไปที่เน้นความหล่อของศิลปินมากกว่า  PN เล่นเป็นหนุ่มชาว Manchester ชื่อ Herman ที่ได้รับมรดกเป็นหมาแข่งพันธุ์ greyhound ชื่อ Mrs. Brown  เขากับพรรคพวก (สมาชิกวง) ก็เอามาลองแข่ง  แต่ก่อนจะเข้าแข่งได้ก็ต้องจ่ายเงินค่าสมัครซึ่งหนุ่มพวกนี้ไม่มี  ก็เลยต้องตั้งวงเล่นดนตรีเพื่อหาเงิน (แน่นอน)  พอได้เข้าแข่งก็ปรากฏว่าชนะได้ถ้วย  แล้วก็น่าจะได้เงินด้วยแต่คิดว่าคงเล็กน้อย

หลังงานก็มีแมวมองมาทาบทามให้นำหมาไปเข้าแข่งในรายการใหญ่กว่านี้ที่ London  หนุ่มทั้งคณะก็ทำตาม  แต่ความที่ยังถังแตกก็เลยไปพักที่บ้านแมวมองระหว่างนั้นก็ทำงานหาเงินไปด้วย  แมวมองชื่อ Mr. Brown กับเมีย Mrs. Brown มีลูกสาวสวยเป็นนางแบบ  สองหนุ่มสาวก็ปิ๊งกัน  แต่ได้ไม่นานเพราะสาวต้องไปทำงานที่ Italy  ระหว่างส่งสาวออกเดินทาง  H เฟอะฟะทำ Mrs. Brown (หมายถึงหมา ไม่ใช่แม่แฟน) หาย

ก็มีการตามหาแต่ไม่เจอ  ก็เลยอดเข้าแข่ง  หนุ่ม ๆ คอตกกอดคอกันกลับบ้าน  แต่ไม่นานก็ได้หมาคืน (เพราะอะไรขี้เกียจ 'จิ้ม' อธิบาย)  ปรากฏว่า Mrs. Brown ทำงามหน้าไปท้องกลับมา  แล้วก็ออกลูกมา 1 ตัว (น่าร้ากกกก) 

หนังจบที่ H ต้องฟื้นฟู Mrs. Brown ให้กลับมาแข่งแรงอีกเพื่อจะได้เอาเข้าแข่ง  ส่วนแฟนสาวก็ไป ๆ มา ๆ


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhfKz.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhfKz)
ทิวทัศน์เมือง Manchester ในปลาย 60s  ผมหลงไหลประเทศอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ก็จากหนังทีวีที่เคยดูอย่าง ขวัญใจสายลับ, พยัคฆ์ร้าย 707, สิงห์สำอาง, The Champions (จำชื่อไทยไม่ได้) ฯลฯ  แม้ทีวีที่ดูจะเป็นขาวดำแต่ก็ยังให้บรรยากาศสดชื่นน่าไปเที่ยว  ตอนนั้นยังเด็ก  ความคิดความอ่านมีกระจิ๋วหลิว  คิดออกมาได้เท่านี้  ความจริงทุกที่ในสากลโลกก็เหมือนกันหมดคือมีทั้งที่สวยและไม่สวย  เมือง M ในภาพนี่เห็นแล้วหดหู่จัง  มีแต่ตึกเน่า ๆ  ท่าจะเป็นย่านสังคมของชนชั้นแรงงาน


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhTOu.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhTOu)
เอามาให้ชมลังน้ำอัดลมทำด้วยไม้  เห็นแล้วโหยหาจัง


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYh1zI.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYh1zI)
สาวในย่าน (ชั้นแรงงาน) ที่แอบหลงรักพระเอก  เห็นภาพแบบนี้ทีไรอดคิดไม่ได้ว่า ส้วมจะเป็นอย่างไรหนอ


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhZnt.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhZnt)
นี่คือ Mainframe Computer ในปี 1968


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhRPk.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhRPk)
สาวที่พระเอกปิ๊ง  เป็นลูกสาวของ Mr. & Mrs. Brown


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhU3E.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhU3E)
การถ่ายหนังที่อังกฤษก็มีคนมุงเหมือนกัน


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/15/FYhO4Q.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FYhO4Q)
พระเอกกับ Mrs. Brown และลูกน้อยหอยสังข์


หนังยาวเกือบ 2 ชม.  แต่ผมใช้เวลาดูประมาณครึ่ง ชม. เศษ ๆ   ปกติ ณ ปัจจุบัน  หนังแนวนี้ผมไม่รบกวนกล้ามเนื้อนิ้วเพื่อ 'คลิก' แล้ว 'โหลด' มันมานั่งถ่างตาดูหรอก  แต่มันเป็น nostalgia ก็เลยดูเพื่อตอบสนองความโหยหา  ดูแล้วก็อดรำพึงในใจไม่ได้ว่า PN ไม่เห็นหล่อสมกับได้ชื่อว่าเป็นขวัญใจสาว ๆ ทั่วโลกเลย  หน้าตาจืด ๆ แถมหุ่นก็ไม่ดี  ปู่ CR ร่วมยุคดูดีกว่ามาก

หนังมีเพลงน่ารัก ๆ สอดแทรกอยู่ประปราย  นอกจากเพลงที่ใช้เป็นชื่อหนังแล้วยังมีเพลงดังอีกเพลงที่คุ้นหูพวกเรานักฟังเพลงฝรั่งมากกว่าคือ A Kind of Hush (2.55)  ส่วนเพลงเอกอยู่ที่ 9.16 

ฉากที่ออกเพลงนี้เป็น plot ที่ผมชอบมาก  คือให้ตัวละครมีชื่อ Mrs. Brown สองรายคือหมากับคน  แต่นึกไม่ถึงว่าเพลง Mrs. Brown ... นี้จะเกี่ยวกับหมา  เพราะลูกสาว Mrs. Brown ก็สวยน่ารัก  นึกว่าจะเกี่ยวกับฝั่งนี้  หลอกไปได้จนเกือบจบเรื่อง
https://youtu.be/gLh_hDuzqsY


ตัวอย่างหนัง  เพลงนำเรื่องเพลงนี้ก็เพราะ
https://youtu.be/Uad-iiuPwiE


มาพาดพิงถึงวงดนตรีคณะนี้ในบ้านเรา ความดังของพวกเขาไม่แพ้ที่อเมริกาหรืออังกฤษ  ขนาดในยุคนั้นเทคโนโลยีทางการสื่อสารยังหลับสนิทอยู่  แต่นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักเพลงของพวกเขามากมาย  อย่างไรก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่าเพลง Mrs. Brown ฯ นี้แม้จะดังที่สุดในอันดับเพลง BB  จะดังติดหูนักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรึเปล่า  แต่ A kind of hush นี่ดังแน่และดังอยู่นานกว่าที่ควรเพราะคณะ The Carpenters เอามาปลุกชีพให้ดังต่อไปอีกในเวลาต่อมา


ส่วนเพลงที่ฮิตสุดกู่มากกว่าเพลงอื่น ๆ แม้มันจะไม่ดังในอันดับเพลง BB เลยคือ
https://youtu.be/URm9PHLyuRc


กับเพลงนี้  ที่มาดังเมื่อคณะ Wynners เอามาปลุกชีพ
https://youtu.be/eSw9MMT5msA


หมายเหตุ - ถ้า PN ม่องเท่ง  ผมคงมีโอกาสเขียนถึงเพลงของวงนี้อีก... มากมาย



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 พ.ค. 23, 12:07
หนังชื่อ Supernova มี 2 เรื่องเรื่องแรกสร้างในปี 2000 เป็นหนัง sci-fi สั่นประสาทเกิดขึ้นในยานอวกาศ ก็สนุกดี

แต่ที่อยากพูดถึงเป็นหนังสร้างในปี 2020  เนื้อเรื่องต่างกันลิบลับ  เรื่องเล่าเกี่ยวกับคู่เกย์วัยสูงอายุ Sam กับ Tusker
 
S เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง ส่วน T เป็นนักเขียน

T กำลังป่วยด้วยโรคภาวะสมองเสื่อม (dementia … ถามอากู๋เอา  ถ้าผิดพลาดกรุณาไปด่าอากู๋)  ทั้งคู่ตัดสินใจเดินทางข้ามประเทศ (ท้องเรื่องเกิดขึ้นที่อังกฤษ) ไปยัง Lake District เพื่อไปฟื้นความหลังอันแสนโรแมนติกสมัยวัยหนุ่ม  แล้วก็ไปพบปะเพื่อนฝูงในละแวกด้วย  เป็นความตั้งใจอยากพักผ่อนก่อนที่ S จะกลับมาเปิด concert ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นงานครั้งสุดท้าย  หลังจากนั้นจะได้มีเวลาดูแลคู่ได้อย่างเต็มที่

ระหว่างเดินทาง T มีสมุดบันทึกที่ตั้งใจจะเอาไว้ร่างนิยายก่อนจะเอาลงพิมพ์เป็นเล่มในภายหน้า

ขณะอยู่บ้านเพื่อน  หลังจากกินอาหารเสร็จเพื่อน ๆ ก็ให้ทั้งคู่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ  มาถึงคิวของ T อาการผิดปกติก็เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  จู่ ๆ เขาก็มีปัญหาในการอ่าน  แม้จะเป็นโน้ตสั้น ๆ ที่ตัวเองร่างไว้

S เอะใจจึงแอบกลับไปที่รถแล้วค้นสมุดโน้ตของ T ที่อ้างว่าเอาไว้ร่างนิยาย  พอเปิดดูก็พบว่า  สิ่งที่ T เขียนนั้นมองไม่เป็นตัวหนังสือเลย  นอกจากนี้ S ยังค้นพบยาพิษที่ T แอบซ่อนไว้  จากสิ่งที่พบที่เห็น S ก็เดาความตั้งใจของ T ได้อย่างคร่าว ๆ  2 คู่รักเลยมีปากเสียงกันในคืนนั้น  ความก็เฉลยออกมาว่า T ตั้งใจจะฆ่าตัวตายถ้าอาการของตนกำเริบไปถึงจุดวิกฤติ  ซึ่งก็คือในวันสองวันนี้เพราะอาการวิกฤติมาถึงแล้ว
 
ตอนท้ายของเรื่องเป็นดราม่าที่ทั้ง 2 พยายามชักจูงให้อีกฝ่ายพยายามเข้าใจตน  การแสดงของนักแสดงระดับ Oscar (ได้และได้ชิง) ทั้ง 2 ปะทะบทบาทกันอย่างถึงพริกถึงขิง  แต่จะลงเอยตามความต้องการของฝ่ายไหนต้องหาหนังมาดูเอาเองนะ

Clip ย่อยมีน้อยอย่างไม่น่าแปลกใจ

คู่สูงอายุไม่ว่าจะคู่ปกติหรือคู่เพศเดียวกันมักจะขบกัดกันเป็นเรื่องปกติ
https://youtu.be/S_95UFp7jFc

https://youtu.be/PR34e7SOIe0


ฉากเบา ๆ
https://youtu.be/PJHw89USO3E


ทั้ง 2 มาถึง Lake District สถานที่แห่งความทรงจำ
https://youtu.be/L1dWPBcHkPM


ไม่มีใครย่อย clip ครึ่งหลังของหนังเลย


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/I4Vk0CVcDts



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 18 พ.ค. 23, 12:22
ในสมัยเด็ก ๆ จำได้ว่าหนังสือ SP ลงบทความเกี่ยวกับหนังยุโรปเรื่องหนึ่ง  อ้อ... ก่อนจะพล่ามต่อ  ขอชื่นชม (มิรู้วาย) กอง บก. ของหนังสือฯ ว่าช่างสรรหาข่าวบันเทิงแปลก ๆ มาแปลให้อ่าน เป็นข่าวที่ไม่สามารถหาอ่านจากหนังสือบันเทิงชื่ออื่นได้  เป็นต้นว่าข่าวคราวของหนังจากฝั่งยุโรป หนังยุโรปส่วนใหญ่จะมีการนำเสนอต่างจากหนังฮอลลีวู้ด เนื่องจากทุนสู้ไม่ได้จึงต้องเน้นที่การนำเสนอทางด้านอื่น
 
ผมรู้จักคำว่าหนังอาร์ตก็จาก SP นี้  ถ้าเป็นหนังอาร์ตก็ต้องมาจากฝั่งยุโรป  คนแปลเรื่องต้องมีความสนใจในหนังจากฝั่งยุโรปมาก  เขาจะแปลบทความมาให้ ‘ผม’ อ่านเนือง ๆ  ในยุคนั้นความรู้เรื่องหนัง (และเพลง) ของผมขยายกว้างกว่าชาวบ้านก็จากนักแปลท่าน (หรือ กลุ่ม) นี้  ไม่รู้ว่าชื่ออะไรกันบ้าง  แม้แต่นามปากกาก็ไม่มีลงไว้  รู้ว่าเป็นคุณกิตติศักดิ์ ฯ หรือ ทิวลิบ คนหนึ่งละ

ชื่อเหล่านี้ผ่านตาผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ โน่น Dominique Sandra, Pia Degermark, Liv Ullman, Francois Truffaut, Ingmar Bergman, Federico Fellini ฯลฯ  อ่านเรื่องเหล่านี้แล้วเมื่อไม่สามารถต่อยอดได้  มันก็เข้าไปอยู่ในความทรงจำ  ลึกบ้างตื้นบ้าง  ต่อมาเมื่อ Wikiฯ เจริญพันธุ์ผมก็ดึงมันออกมาจากหีบความทรงจำ  เอาไปค้นหาเรื่องราวต่อยอดได้อย่างสนุกสนาน

กลับมาที่หนังเรื่องที่ว่า  ความที่อ่านมานานร่วม 50 ปี  จึงมีความทรงจำเหลืออยู่น้อยมาก  และหนังก็ไม่มาฉายที่บ้านเรา  หรือถ้าจะฉายก็คงที่สมาคม AUA  ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งให้ความทรงจำนี้กระเถิบหายกลายเป็นความลืม  ผมจำได้แต่ว่าชื่อเรื่องเกี่ยวกับเมือง Venice  และส่วนที่ไม่เคยลืมคือข่าวฮือฮาเกี่ยวกับเด็กผู้ชายในเรื่องที่ได้รับการยอมรับในขณะนั้นว่ามีใบหน้าที่สวยมาก ๆ  ตอนนี้อย่าว่าแต่สวยอย่างไรเลย  แค่หน้าตายังไงก็นึกไม่ออก

อีกหลาย 10 ปีต่อมา  ถึงตอนที่ผมรับทีวี I/UBC แล้ว  วันหนึ่งขณะนั่งขีดชื่อหนังที่อยากดูในคู่มือประจำเดือน  ตาก็กวาดมาเห็นชื่อ Death in Venice  ความทรงจำที่ไม่ค่อยจะมีเกี่ยวกับหนังเรื่องที่เอ่ยถึงก็ผุดขึ้นมาพลอมแพลม  ตอนนั้นผมมีปูมเกี่ยวกับหนังของ Leonard Maltin แล้ว  ก็เอามาปรึกษาแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายเพียงแต่รู้เรื่องย่อสั้น ๆ กับการให้ดาวถึง 3 ดาวครึ่งจาก 4 ดาว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นกมลสันดานเดิม  ผมก็ขีดเอาไว้กันลืม

ครั้นเมื่อได้ดูแล้วก็ปรากฏว่าเป็นหนังเรื่องนี้นี่เอง  แต่ตอนนั้น อตน. ยังไม่ปีกหล้าขาแข็ง  Wikiฯ คลอดแล้วยังก็จำไม่ได้  แต่ผมก็ได้ความรู้ขึ้นมาอีกหน่อยคือชื่อหนัง  และชื่อนักแสดงเด็กชายหน้าสวยคือ Bjorn Andresen
  
หนังที่ว่าเล่าถึงชีวิตในบั้นปลายของนักประพันธ์เพลงนาม Gustav von Aschenbach ที่กำลังป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ  เขาเดินทางมา Venice เพื่อพักผ่อนแต่แล้วกลับไปพบเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อ Tadzio  ความสวยของเด็กคนนี้ทำให้นักประพันธ์สูงวัยถึงกับตะลึงและลุ่มหลง

หนังเดินเรื่องอืดอาดแต่นักแสดง BA เป็นเด็กชายที่หน้าสวยจริง ๆ  สวยแบบผู้หญิงต้องชิดซ้าย
https://youtu.be/2vzamnC6Q40


ฉากสุดท้ายของเรื่อง
https://youtu.be/G_0993qzZAQ


นี่คือตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/-pxn49yWVJk


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 พ.ค. 23, 12:20
ต่อ...

ดูหนังจบแบบง่วง ๆ  เป็นการบอกความนัยว่า  ดูหนังอาร์ตไม่เป็น  แต่ก็ได้เห็นเด็กผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปครึ่งค่อนโลกว่าหน้าสวยที่สุดในโลก  แล้วก็อยากอ่านประวัติของเด็กคนนี้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแต่ก็หาไม่ได้เพราะเหตุดังกล่าวข้างต้น สรุปแล้วในที่สุดผมก็ลืม

เวลาผ่านไปอีกหลาย 10 ปีจนเมื่อวานนี้ (นับจากวันที่เขียน) ขณะนั่งไล่หนังที่คนใจดีเอามาลงให้ดูดไปดู  ผมก็เจอหนังสารคดีชื่อ ‘The most beautiful boy in the world’ (2021)  ได้เห็นใบปิดโฆษณาและได้อ่านโปรยเรื่องย่อของสารคดีว่า...
 
In 1971, due to the world premiere of Death in Venice, Italian director Luchino Visconti proclaimed his Tadzio as the world's most beautiful boy. 50 years later, that shadow still weighs upon Björn Andresen's life.


อ่านเพียงแค่นี้ก็เดาได้ไม่ยากว่าอนาคตของเด็กคนนี้เป็นอย่างไร  อย่างไรก็ตามผมก็ดูดขึ้นมาดูโดยไม่รอช้า

สารคดีเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกในงานเทศกาลหนัง Sundance ประจำปีและได้รับการสรรเสริญโดยถ้วนทั่ว  ส่วนสมญานาม "The most beautiful boy in the world" นั้นได้มาจากงานเทศกาลหนังเมือง Cannes  จากสื่อทุกชนิดที่พร้อมใจกันตั้งขึ้นให้กับเขา
 
จากการดูผสมกับอ่านข้อมูลจาก Wikiฯ เป็นการเสริมความรู้พบว่า  ทุกคนที่ได้ดู BA จากบทในหนังเรื่องนี้ต่างมั่นใจว่า เขาต้องเป็นเกย์เพราะมีหลาย ๆ ฉากสื่อไปทางนั้น  ซึ่งเรื่องนี้ BA ออกข่าวปฏิเสธเป็นพัลวันว่าเขาเป็นชายแท้  และหลีกเลี่ยงบทหนุ่มเกย์ที่มีผู้สร้างหนังนำเสนอให้พิจารณาในเวลาต่อมามากมาย

ส่วนบทความนี้น่าสนใจ  อ่านต้นฉบับจาก Wikiฯ นะ  ขี้เกียจแปล  ไม่มีสมาธิมากพอ...

After the release of Death in Venice, Andrésen spent an extended period of time in Japan and appeared in a number of television commercials and also recorded several pop songs. It is said that his appearance as Tadzio in the film influenced many Japanese anime artists (known for their depictions of young, beautiful men known as "Bishōnen"), especially Keiko Takemiya. Andrésen has had a strong liking for Japan since then and has visited the country again over the years. Björn Andrésen's arrival in Tokyo has been described as being similar to the Beatles landing in the U.S. The young actor was met with mass hysteria and received an enormous amount of female attention.


Clip นี้เผยเบื้องหลังการเสาะหาหนุ่มน้อยหน้าสวย
https://youtu.be/eMDG5kEQ-gM


Clip เสริม
https://youtu.be/1uKn2Frp0A0

https://youtu.be/tGDMk9aRfBs

https://youtu.be/sHlfSTGshnw
[ข้อมูลบอกว่า BA ปล่อยตัวโทรมเนื่องจากหมดอาลัยตายอยากหลังจากลูกชายเสียชีวิตหลังจากเกิดได้ 9 เดือน (ไม่ได้บอกว่าเด็กเกิดเมื่อไร)  ปัจจุบันเขามีหลานแล้ว 2 คน]


ตัวอย่างสารคดี
https://youtu.be/movf4weZq30


(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/19/FwWKle.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FwWKle)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 23, 13:18
ดูเท่าไรก็ไม่เห็นเค้าเด็กชายที่สวยที่สุดในโลก ในตัวคุณปู่หนวดยาวผมยาว หน้าตาทรุดโทรมคนนั้น

ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วค่ะ  จะเป็นการตีความของผู้กำกับ  หรือเอามาจากนิยายก็ไม่ทราบ   แต่ดูแล้วขนลุก   
มันเหมือนพวก pedophile  กำลังเล็งตาเป็นมันไปที่เด็กชายคนนี้


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 พ.ค. 23, 11:53
ดูเท่าไรก็ไม่เห็นเค้าเด็กชายที่สวยที่สุดในโลก ในตัวคุณปู่หนวดยาวผมยาว หน้าตาทรุดโทรมคนนั้น



บ้านเราก็มีครับ นึกถึงสมัยรุ่น ๆ มีโฆษณาธนาคารยี่ห้อหนึ่งใช้เด็กน้อยเป็นตัวนำเรื่อง  slogan ว่า 'คุณคือลูกค้ารายใหญ่'  พ่อหนูหน้าตาหล่อมาก  จำได้ว่าเป็นที่ฮือฮา


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 พ.ค. 23, 12:36
Written in the wind (1956) เป็นหนังดราม่าน้ำเน่าที่เหล่านักวิจารณ์เทคะแนนให้คนละ 3-4 ดาว 

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/22/FicAdz.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FicAdz)


ตัวเอกของเรื่องมี 2 คนเป็นพี่น้องทายาทมหาเศรษฐีอุตสาหกรรมน้ำมัน 

คนพี่เป็น playboy ขี้เหล้าหยำเป (เล่นโดย Robert Stack) พาผู้หญิงที่ถูกใจขึ้นเตียงเป็นว่าเล่น  จนกระทั่งมาถึงช่วงเวลาในหนังเมื่อเธอพบเลขาฯ (เล่นโดย Lauren Bacall) ที่ทำงานใน บ. พ่อของตัวเอง  โดยการแนะนำของเพื่อนสนิท (เล่นโดย Rock Hudson)   เหตุการณ์ดำเนินไปตามรูปรอยเดิม  แต่สาวคนนี้ไม่ตกหลุม  ทำให้ชนะใจหนุ่ม playboy ในที่สุดก็ย้อนกลับมาเอาชนะใจสาวได้มาเป็นเมีย

ย้ายไปที่คนน้องเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ (เล่นโดย Dorothy Malone) ที่แอบหลงรักเพื่อนสนิทของพี่ชายคนนี้ แต่หนุ่มไม่เล่นด้วยเพราะเป็นเกย์  เอ้ย... ไม่ใช่  เพราะบุคลิกเด่นโดดหล่อนคือสาวร่านพล่านสวาท  ใครเอาไปก็บ้าแล้ว  สาวเจ้าน้อยใจก็เลย ‘สลีพอะราวด์’ คาวไม่เลือกแก้เซ็ง  จิ๊กโกโล่  เด็กปั๊ม  ผัวชาวบ้าน ฯลฯ กรุณาหยิบบัตรคิวเพื่อความเป็นระเบียบ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/22/Fii0HP.jpg) (https://www.picz.in.th/image/Fii0HP)


เมื่อพี่ชายพาเมียเข้าบ้าน  น้องสาวสุดแสบก็เข้ามาป่วนด้วยความอิจฉา  พี่ชายอยากมีลูกแต่หมอบอกว่าเชื้ออ่อน  เธอไม่กล้าบอกใครเพราะเสียเชิงชายเลยหันไปเมาแก้กลุ้ม  ปล่อยให้เมียงุนงงอสงไขย ‘แม่งเป็น ‘ไร ของมันวะ  ป้อจนกูตกหลุมแล้วเสือกไม่ขี่กู  แถมยังทำหน้าเป็นส้นตีนทั้งวัน’ 

เมียเอะใจวิ่งไปถามหมอ  ก็ได้คำตอบเฉลยปัญหา  แต่หมอแถมด้วยโบนัสว่า  อนึ่งไซร้ ถ้าจะเป็น ‘false alarm’ เพราะตรวจได้ว่าเมีย (เสือก) ตั้งท้อง

เมียโกยสี่ตีนหน้าบานเหมือนจานใส่หอยทอดกลับมาบอกข่าวดีกับผัวแก้วว่า  ชัดช้า... ผัวขา  น้องท้องแล้ว  ผัวเป็นอึ้ง  มันเป็นไปได้อย่างไร  เอ็งท้องกะใคร  นังน้องสาวสุดแสบได้โอกาสจีบปากแหลมแล่บเข้าไปในรูหูพี่ชายสุดที่รักว่า  ‘ก็ท้องกับเพื่อนรักของคุณพี่ไงคะ  เวลาส่องกระจกคุณพี่ไม่เห็น ‘เขาโง้ง’ บนหัวกระโหลกหนา ๆ ของคุณพี่บ้างหรือไรคะ’ 

พี่ชายฉุนขาด  เมียข้าคือนางกากีแห่งยูไนเต็ด สเตท ออฟ อเมริกา  สรุปได้ดังนั้นจึงบรรจงตบไปซะ 2 ฉาด  เมียรักสลักจิตล้มกลิ้งแท้งลูกเป็นการประชด

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/22/FiiBtv.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FiiBtv)


ฝ่ายเพื่อนรักเผอิญไปปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในคฤหาสน์ได้ยินเสียงเอะอะก็รีบเข้ามาห้ามทัพพร้อมกับกล่าวขู่ฟอด ๆ  ตบท้ายด้วยการประกาศกร้าวว่า คนอย่างข้า  ไม่เคยทำเมียใครท้อง  เพราะข้าเป็นเกย์  เอ้ย ... เอาอีกละ… เพราะข้าเป็นสุภาพบุรุษ

พี่ชาย playboy ไม่ฟังเสียง  พุ่งหลาวลงสู่ชั้นล่างไปคว้าเอาปืนมายิง  นังน้องสาวสุดร่านเห็นท่าไม่ดี  กลัวชายในดวงใจตาย  เลยกระโดดเข้ายื้อแย่งปืน  ปืนลั่นเปรี้ยง  พี่ชาย playboy ทำหน้าเหมือนควายโดนตบด้วยเขียง  ก่อนล้มหงายท้องชักกระแด็ก ๆ

เพราะความเป็นคนดังในสังคม  งานนี้ถึงขั้นขึ้นศาลว่าทายาทมหาเศรษฐีตายเพราะใคร  เนื่องจากคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์แต่ไม่เห็นเหตุการณ์กับตาต่างก็บอกเหมือนกันว่า  ได้ยินเพื่อนพี่ชาย playboy กล่าวขู่อาฆาตชีวิตเสียงดังลั่นอาณาจักร  นังน้องสาวพราวเล่ห์เหลี่ยมเห็นเป็นโอกาสดี  opportunity knocks ก๊อก ๆ ที่จะรวบหัวรวบหางเอาทำผัวให้มันรู้แล้วรู้แรด  ก็เลยไป blackmail ชายหนุ่มว่า  ถ้าเอ็งไม่ขึ้นเตียงมาขี่กับข้า  ข้าจะฟ้องศาลว่าเอ็งเป็นคนยิง ฮ่า ๆ

แต่แล้วธรรมะย่อมชนะอธรรม  พันธุกรรมฟากความดียังมีหลงเหลืออยู่บ้าง  เจ้าหล่อนก็ทำไม่ลง  และสารภาพไปว่าปืนลั่น  คดีก็จบ  เหยื่อที่อุตส่าห์ตามไล่ล่อมาตั้งแต่เด็กหลุดลอยไปเข้าสู่อ้อมแขนเมียหม้ายผัวหน้าโง่  สาวสวยรวยคาวเลยหน้าจืดต้องยึด ‘เสาแท่นเจาะน้ำมัน’ ปลายแหลมไว้เป็นสรณะไม่ยอมปล่อย

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/22/FiihJN.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FiihJN)


โจบ

มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 24 พ.ค. 23, 13:10
ดูหนังจบแล้วนึกถึงหนังทีวีชุด Dallas หรือ Dynasty  ที่ท่าจะเอาไอเดียมาจากหนังเรื่องนี้

รังสำหรับไว้เผด็จศึกสาวของพี่ชาย playboy
https://youtu.be/o9bofxLqDns
(... นึกแล้วเชียว...)


น้องสาวเข้ามาป่วนพี่สะใภ้แต่โดนตีแสกหน้ากลับไป (เหตุการณ์ก่อนหน้า clip นี้  น้องสาวเข้ามากวนตีนว่า ที่พี่ชายแต่งงานกับหล่อนเนี่ย  ได้รับความยินยอมจากชั้นแล้วนะยะ)
https://youtu.be/iArJeEah92s


ยั่วยวนสุดใจขาดดิ้น  เสียดายไม่มีใครย่อย clip ช่วงนางเต้นรำยั่ว
https://youtu.be/kBBhqhScYJc


ถ้าผมมีน้องสาวแบบนี้  ต้องตบซัก 30 ฉาดตามด้วยถีบอีก 1 ที
https://youtu.be/4Afeiog1jbk
(1.30 – ‘Cause I’ve never had him. Your wife has him … ฉาดดดด)


หลังจากปั่นหัวผู้ชมจนหนำใจแล้ว  เหล่านักแสดงนำออกมาเริงร่า เอิ๊ก ๆ  (Robert Stack ในบท playboy โดนยิงตายไปแล้ว  ออกมาเริงร่าไม่ได้)
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/24/FEqZn2.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FEqZn2)


ผมไปหาหนังฟรีมาให้ชม DM เต้นรำ  (ไม่รู้เปิดได้ป่าว  ตอนผมลองมันทำงานได้  web ฯ แบบนี้เอาแน่นอนไม่ได้)
https://m4uhd.tv/watch-movie-written-on-the-wind-1956-244918.html
44.40 – จังหวะ mambo  ยั่วยวนใจ
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/24/FEUe68.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FEUe68)

1.00.25 – จังหวะอะไรไม่รู้  ดูเหมือน ‘ดิ้น’ เลย
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/24/FEq93Q.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FEq93Q)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 25 พ.ค. 23, 12:07
เหตุผลที่ผมดูหนังเรื่องนี้คือ Dorothy Malone  ผมเคยเห็นเธอครั้งแรกจากบท คุณนายแม็คเคนซี แม่ผู้แสนดีของ Allison M. (เล่นโดย Mia Farrow) ในหนังทีวีชุด Peyton Place (1964-69)  ผมไม่เคยดูเธอเล่นเต็ม ๆ ฉากสักครั้งเพราะหนังมาฉายในยามดึก  รู้สึกจะ 3 ทุ่มทางช่อง 4  ส่วนใหญ่จะเห็นแค่หน้าเธอในช่วง opening credit  หรือตอนเธอปรากฏตัวในช่วงต้นเรื่อง  ใครจะไปสนุกกับหนังได้ในเมื่อมีแม่หรือคุณยายถือไม้เรียวไล่ให้เข้านอนอยู่ข้าง ๆ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/25/FjWKkn.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FjWKkn)


อย่างไรก็ตามแค่เห็นหน้าเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ  ผมว่าเธอสวยเตะตา  แต่พอมาเห็นเธอในหนังเรื่องนี้  ในบทสุดแสบแทบกระโดดพุ่งทะลุจอเข้าไปตบไม่เลี้ยงแล้วเกิดความรู้สึกรับไม่ค่อยได้  และผมว่าตอนแก่เธอสวยกว่าตอนสาว ๆ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/25/FjWcaW.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FjWcaW)


อีกคนก็ Rock Hudson  ผมเคยดูหนังที่เธอเล่นมา 3-4 เรื่อง  Giant, A farewell to arms กับอะไรอีกหว่า อ้อ... Pillow Talk

ทุกเรื่องที่ดูอยู่ช่วงเวลาที่เธอกำลังรุ่งโรจน์  ซึ่งก็คือยังไม่มีใครเปิด ‘ประตูตู้เสื้อผ้า’ ของเธอออกให้คนชม  มาดูเรื่องนี้ด้วยความรู้ใหม่ว่าเธอเป็นเกย์  ดูไปก็พิจารณาไป  ผมว่าบุคลิกของเธอโคตรแมนเลย  ไม่มีใคร ‘แอค’ ได้แมนกว่านี้อีกแล้วในโลกหล้า  แมนเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าเธอชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  ผมว่าเหมือนกับบอกว่า Paul Newman หรือ Warren Beatty เป็นเกย์อ้ะ  ใครฟังแล้วจะยอมรับทันทีว่า ‘เหรอ’  มีแต่ ‘เฮ้ย... เป็นไปม่ายด้ายยย’

ส่วน Lauren Bacall เป็นดารา/นักแสดงที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในยุคทองของฮอลลีวู้ด  เธอมีอายุยืนยาวมาจนถึง 2014  (เกิด 1924) นับเป็นดาราดังในยุคทองคนท้าย ๆ ที่มาตายเอาในยุคปัจจุบัน  ในยุครุ่งเรืองเครื่องหมายการค้าของเธอคือเสียงต่ำ ๆ ที่สุดจะเซ็กซี่ (เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนจนกลายเป็นธรรมชาติไปเลย)
https://youtu.be/JPAXwbQ2HmI


เธอเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar 1 ครั้งในปี 1997  แต่พลาด  แล้วมาได้ Oscar เกียรติยศในปี 2009-10
https://youtu.be/7-7PPOqbeNM


คู่ชีวิตของเธอเป็นอีกหนึ่งดารายักษ์ชื่อ Humphrey Bogart  ทั้ง 2 เจอกันในหนังเมื่อ HB อายุ 42 ส่วน LB อายุ 19  และแต่งงานอยู่กินกันจนฝ่ายชายตายจากไปเมื่อปี 1957
(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/25/FjW5AJ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/FjW5AJ)


ส่วน Robert Stack ในบท playboy ไม่มีเกร็ดอะไรจะคุยเพราะไม่รู้จักมักจี่  เคยได้ยินแต่ชื่อเห็นแค่หน้าในรูป

ในหนังตัวแสดงหลักคือสองพี่น้องแสบสันต์  แต่ใน credit เปิดเรื่อง  ชื่อของทั้ง 2 มารองจาก RH และ LB  ในการเข้าชิง Oscar ทั้ง 2 ก็เข้าชิงในบทประกอบ  แต่ DM ได้คนเดียว

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/862Yc-cwQEY


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 พ.ค. 23, 12:31
ควันหลงนิดหน่อยเพราะเรื่องนี้คงไม่มีหัวข้อของตัวเอง...

Humphrey Bogart เล่นหนังดังเป็นอมตะเรื่องหนึ่งคือ Casablanca (1942)  นอกจากหนังดังแล้วบทที่เธอเล่นก็ดังด้วย  จากประโยคที่ว่า “Here’s looking at you kid…” – (1.50)
https://youtu.be/rEWaqUVac3M
(“Here's looking at you, kid", was voted as the #5 movie quote by the American Film Institute, and as #1 of "The 100 Greatest Movie Lines" by Premiere in 2007)


รวมถึงประโยคนี้ “Play it again, Sam” อันนำมาซึ่งเพลงดัง “As time goes by”
https://youtu.be/w3ruUJSgtzY
(Ingrid Bergman สวยบาดใจ)

เบื้องหลังของคำพูดนี้... What Bergman actually said was 'Play it once, Sam. For old times' sake', though, when Sam pretended not to know what she was talking about, Miss Ilsa did go on to say: 'Play it, Sam! Play "As Time Goes By".


มันเป็นหนังในดวงใจของคนอเมริกัน  ในปี 1982 มีนักร้องระดับเล็ก ๆ แต่งและร้องเพลง Casablanca  เพลงนี้ไม่ใช่ single  คนอเมริกันในตอนนั้นที่ไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงของเขาจึงไม่รู้จักแต่วิทยุบ้านเราเปิดกันกระหึ่ม (โดยมีน้อยคนที่จะรู้ที่มาที่ไปของชื่อเพลง)
https://youtu.be/Blx9lHMivQs


ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้  แล้วก็คงไม่ดู  เพราะแก่แล้ว  จะไปยี่หระอะไรกับหนังโรแมนติก  ด้วยอายุปูนนี้ชอบดูว่าโลงแบบไหนที่ตัวเองอยากลงไปนอนมากกว่า  

จำได้ว่าตอนรู้จัก ซี้คลาสสิค  เธอถามถึงหนังเรื่องนี้  พอรู้ว่าผมไม่เคยดู  เธอทำหน้าตกใจแบบที่เห็นฝรั่งทำหน้าตกใจในหนัง... ตาถลน อ้าปากบ๋อ  ผมต้องเตือนสติเธอว่า ฉันมาจากฝั่งตะวันออกนะแก ฉันดูแผลเก่า

อีกเรื่องที่จัดเข้าเป็นวัฒนธรรมของคนอเมริกันคือ It’s wonderful life (1946)  เรื่องเกี่ยวกับเทศกาล Christmas  เรื่องนี้ผมก็ไม่เคยดู  ความจริงดูแต่หลับไปตั้งแต่ต้น ๆ เรื่อง  



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 23, 10:11
มาคั่นโปรแกรมด้วยฉากเบาๆจากหนังเพลงในอดีตของฮอลลีวู้ดค่ะ
ดาราบางคนก็อำลาเวทีไปก่อนสมาชิกเรือนไทยเกิด   เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นเมื่อยูทูปรวบรวมลีลาการเต้นของเขาและเธอมาให้ดูกัน
ทำให้นึกถึงวันก่อนของวันวาน ที่ดาราจะต้องสวย หล่อ ร้องเล่นเต้นรำได้ครบเครื่องราวกับมนุษย์มหัศจรรย์  ถึงจะฉายแสงบนเวทีฮอลลีวู้ดได้สำเร็จ

https://www.youtube.com/watch?v=yp1WWj_Gkg8


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 23, 10:12
https://www.youtube.com/watch?v=h0YM91p3uQg


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 พ.ค. 23, 12:22
มาคั่นโปรแกรมด้วยฉากเบาๆจากหนังเพลงในอดีตของฮอลลีวู้ดค่ะ
ดาราบางคนก็อำลาเวทีไปก่อนสมาชิกเรือนไทยเกิด   เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นเมื่อยูทูปรวบรวมลีลาการเต้นของเขาและเธอมาให้ดูกัน
ทำให้นึกถึงวันก่อนของวันวาน ที่ดาราจะต้องสวย หล่อ ร้องเล่นเต้นรำได้ครบเครื่องราวกับมนุษย์มหัศจรรย์  ถึงจะฉายแสงบนเวทีฮอลลีวู้ดได้สำเร็จ


นึกถึงศิลปินช่อง 4 ครับ  เป็นได้หมดตั้งแต่พิธีกร  เสนอโฆษณาสินค้า  ร้องรำทำเพลง  แสดงโน่นนี่


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 พ.ค. 23, 12:37
ในปี 2017 ขณะที่สาวกหนังฝรั่งชาวเกย์ต่างตื่นเต้นและรอคอยการมาฉายของหนังดังสุดขีดประจำปีที่ชื่อ Call me by your name  ในปีนั้นยังมีหนังเกย์ชั้นดีอีกเรื่องเข้าฉายแต่โดนความดังของหนัง CMBYN กลบเสียมิด  

มันเป็นหนังจากเกาะอังกฤษชื่อ God’s own country  หนังเล่าเรื่องเด็กหนุ่มชาวเกย์เก็บกดอาศัยอยู่ในถิ่น ตจว. ย่าน Yorkshire  ครอบครัวของเธอมีฟาร์มแกะ  ความที่ถิ่นนี้ห่างไกลความศิวิไลซ์เลยทำให้พ่อหนุ่มกลายเป็นคนดิบ ๆ ห่าม ๆ ที่ไม่มีความรับผิดชอบสักเท่าไร วัน ๆ ก็ช่วยพ่อเลี้ยงแกะแบบขอไปที  พอ ‘หงี่’ ๆ ก็เข้าเมืองไปหาเหยื่อมาช่วยปลดปล่อยในห้องน้ำตามบาร์

เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์แกะ  ครอบครัวนี้ต้องหาคนมาช่วย  ปีนั้นคนที่หาได้เป็นเด็กหนุ่มลี้ภัยมาจาก Romania  เด็กหนุ่มคนนี้เรียบร้อยและมีอารมณ์สุนทรีย์  เมื่อ 2 หนุ่มบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิงมาเจอกันย่อมเกิดผลตามมา

หนังเรื่องนี้อัตคัด clip ย่อยที่ให้เสียงตามธรรมชาติ  ส่วนใหญ่จะสอดแทรกเพลงที่คิดว่าเป็นการเสริมบรรยากาศ

คน 2 คนไม่รู้จักกันมาก่อนก็ต้องมีการสงวนท่าที  
https://youtu.be/FfmR18cPoJA


การใกล้ชิดกันท่ามกลางความเหงา  คนหนึ่งห่ามอีกคนหนึ่งนุ่มนวล  จะเกิดอะไรขึ้น (ภาษาใน clip ไม่ใช่ภาษาต้นฉบับ)
https://youtu.be/5Krohw9mPoo


ในที่สุด  เสือย่อมไม่ทิ้งลาย  หนุ่มห่ามที่อุดมไปด้วยทิฐิมานะไม่สามารถละทิ้งสันดานดิบของตัวเองได้  หนุ่มนุ่มนวลจึงหนีจาก  เมื่อวันนั้นมาถึงหนุ่มห่ามถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร  และมันต้องแลกด้วยการปรับตัว (อย่างถาวร)  เป็นการเสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีค่า
https://youtu.be/0ofeDhCzVS4
(3.40 ประโยค ‘You’re a freak’ ‘So are you’ ‘Faggot’ ‘Fuck off’ เป็นคำพูดที่ทั้ง 2 เคยปะทะกันในตอนแรก ๆ อันนำไปสู่ความใกล้ชิด  การที่ประโยคที่เคยใช้ปะทะกันตอนแรกเริ่มเกิดขึ้นอีกในฉากนี้อันเป็นฉากช่วงท้ายเรื่อง แสดงว่า  บรรยากาศคลายความตึงเครียดแล้ว)

clip ย่อยช่วงนี้มีคนเอามาลงมากมาย  ทั้งแนบเพลงบ้าบอทั้งปล่อยตามธรรมชาติ (clip นี้  เจ้าของทำเพลง background ใหม่  แต่ลากยาวอย่างเต็มอิ่ม  ยังพอถูไถ) แสดงว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็น highlight ของหนัง   ภาษาที่พูดแม้จะเป็นภาษาอังกฤษแต่แม่เจ้า  ฟังยากชะมัด   เกาะอังกฤษมีอาณาเขตไม่ใหญ่แต่ภาษาพูดมีสำเนียงหลากหลาย  ผมเคยถามเจ้าถิ่นทาง Scotland  เธอบอกว่าบางครั้งก็ฟังภาษาทาง Liverpool แทบไม่ออก  

มีคนทำ clip เล่าเรื่องย่อของหนัง (ผู้หญิงสูงอายุคือ ยาย/ย่า  ซึ่งเข้าใจอารมณ์ของหลานชายเป็นอย่างดี  ผู้ชายสูงอายุคือพ่อที่เป็นผู้ชายหัวโบราณ  ตอนหลังป่วยไม่สามารถทำงานได้)
https://youtu.be/XzTu2FitU5M


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/c5uWHuzBaEw


มีคนใจดีนำหนังฉบับเต็มมาให้ดู
https://youtu.be/poXJcUTw244

หมายเหตุ – วลี God’s own country มีความหมายตรงตัว  ใช้เจาะจงได้หลายสถานที่ในโลก  แต่ที่อังกฤษซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องนี้  GOC หมายถึง มณฑล Yorkshire  

มีอยู่คำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยมากในหนังคือ summat  แน่นอนไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร  พอถามอากู๋ก็ได้คำตอบว่าเป็นคำท้องถิ่นหมายถึง something ใช้เป็นคำสร้อย  ถ้าเป็นคำไทยก็น่าจะใกล้เคียงกับ ชั้นถูบ้านแล้วก็ ‘โน่นนี่นั่น’

ผมดูหนังเรื่องนี้ในปีนั้น (แต่เพิ่งมานึกได้ภายหลัง)  หนังทั้งสองเรื่องสนุกไม่แพ้กัน  ผมว่าเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าที่หนักและเข้มข้นกว่า

ขณะที่บรรยากาศตามท้องเรื่องของหนัง CMBYN ดูสว่างสดใสโปร่งตา  แต่หนังเรื่องนี้ดูเย็นยะเยือก  ถ้าให้ไปอยู่ขอสั่นหัว  มันต้องหนาวจับจิต  ตอนยังไม่เปิดกว้าง  ผมชอบบ่นว่าบ้านเราร้อนสุดโคตร  อยากย้ายไปอยู่เมืองหนาวท่าจะสบาย  มาวันหนึ่งผมได้ไปที่ Boston อเมริกา  ตอนนั้นคือ เดือน พ.ค.  ถ้าเป็นบ้านเราก็กำลังร้อนแทบคลั่ง

แต่ที่ B กลับหนาวมาก  บนท้องฟ้าไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว  เป็นฟ้าสีเข้มที่สวย  มีพระอาทิตย์ดวงโตแผดแสงกล้าเป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียว  ซึ่งตามทฤษฎีแล้วมันควรจะร้อนหรืออย่างน้อยก็อบอุ่น  แต่เปล่าเลย  อากาศหนาวจนผมต้องกระโดดโหยง ๆ  เพื่อนถามว่าแกโดนผีเข้าเหรอ  นี่ขนาดอยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดแผดเผาและตอนนั้นยังไม่มีลม  ยังไม่สามารถไล่ความหนาวได้  แล้วจะให้ไปอยู่ที่ไหน
  
เมื่อกลับเข้าบ้าน  เพื่อนรีบเปิด  heater ในบ้าน  พออบอุ่นไปได้แป๊บ  ก็เริ่มร้อน  มันจะร้อนที่ส่วนปลายของร่างกาย  พวกหู ปลายจมูก ตามนิ้ว  มันร้อนแบบอึดอัด  หายใจก็ไม่สะดวกเหมือนอากาศมันบางเบา  เพื่อนต้องปิดบ้างเปิดบ้างสลับกัน  

เวลาล้างจาน  ล้างด้วยน้ำปกติไม่ได้เพราะน้ำเย็นยะเยือกจนมือชาแล้วก็แตกเลือดซิบ  ต้องสวมถุงมือ  ถ้าเปิดก๊อกน้ำร้อนช่วยก็ต้องต้องสวมถุงมืออยู่ดี  ไม่งั้นผิวทนน้ำร้อนบ้างเย็นบ้างไม่ได้  ล้างตีนก็ไม่ได้  ตีนแตกอีก  เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ  ต้องเปิดน้ำร้อนและน้ำเย็นผสมกัน  กว่าจะปรับได้ที่ผิวแสบร้อนไปหมด  ออกจากห้องน้ำตัวแดงแจ๋  วิ่งไปเอาครีมประคบ ๆ  นี่เป็นแค่ตัวอย่าง ยังไม่นับหน้าแตก  ปากแตก หนังหัวลอกหลังสระผม  และอื่น ๆ อีกมากมาย

ผมนึกถึงที่บ้านเรา  เดิน ๆ อยู่ถ้าร้อนก็หลบเข้าที่ร่มก็จบเรื่อง  ถ้ายังร้อนอยู่ก็อาบน้ำก็จบเรื่อง  และถ้ายังร้อนอยู่ก็เอาพัดโบกเข้าไป  หรือเปิดแอร์ก็จบเรื่อง  จะเปิดแอร์นานเท่าไรก็ไม่เกิดผลผิดปกติต่อร่างกาย  ถ้าอากาศเย็นเวลาอาบน้ำแค่เครื่องทำน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อน) ก็สดชื่นสบาย
 
แล้วผมก็สรุปได้ว่า  อยู่เมืองร้อนดีกว่าอยู่เมืองหนาว  หยุดเห่าไปเลย  เวลาได้ยินคนบ่นในทำนองนี้ผมจะยกตัวอย่างนี้ให้ฟังและย้ำว่า  สภาพอากาศบ้านเราเป็นแบบนี้ดีที่สุดจ้า



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 พ.ค. 23, 12:12
หนังสือ The movie stars story ออกจำหน่ายในปี 1984  ในปี 1986 ผมเห็นมันวางขายอยู่ในแผงหนังสือในห้าง Central สาขาสีลม  ห้างโปรดที่ผมไปเดินแทบจะทุกอาทิตย์  ผมจำราคาไม่ได้รู้แต่ว่ามันแพงเพราะมันเป็นหนังสือนำเข้า  แล้วยังเล่มใหญ่หนาหนักเพราะเป็นปกแข็งข้างในเป็นกระดาษมันอย่างดี  แต่ผมก็ควักเงิน (ดังหนับ) ซื้อมันมาอย่างไม่ต้องคิด

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8h4HQ.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8h4HQ)


พอกลับมาถึงบ้านผมก็รีบเปิดออกสำรวจ  หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องดาราดังโดยแบ่งออกเป็นยุค ๆ  ยุคแรกเริ่มคือ 1920s  ขณะเริ่มพลิกดูพลางคิดว่า ‘จะมีปัญญาอ่านหมดมั้ยหว่า’ พอมาถึงหน้าหนึ่งของดาราในยุค 20s ผมก็หยุดตะลึงกับรูปของดาราหญิงคนหนึ่ง  นอกจากจะสวยแล้วรูปเธอใส่หมวก beret (ใช่ป่าว) ทำให้แลดูเก๋เหมือนผู้หญิงในยุคใหม่  แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาแกะเรื่องราวของเธอเป็นคนแรก

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8Brev.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8Brev)


ประวัติคร่าว ๆ คือ Louise Brooks เกิดในปี 1906 เธอเป็นนักแสดงในยุค 20s  ผลงานของเธอไม่เด่นดัง  แต่สิ่งที่ทำให้เธอเด่นดังคือ style การแต่งตัวของเธอ  เธอช่วยผลักดันการแต่งกายในแบบที่เรียกว่า flapper คือ นุ่งกระโปรงสั้น  ไว้ผมบ๊อบ ใส่หมวก  และฟัง/เต้นกับเพลงแจ๊ส ให้แพร่หลายต่อสาธารณะชนอเมริกันผ่านทางสื่อ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8BI3y.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8BI3y)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8BMbD.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8BMbD)


เมื่อเซ็งกับงานที่ฮอลลีวู้ดที่ไม่ก่อให้เกิดความก้าวหน้า  เมื่อจบสัญญา LB ก็ข้ามไปเล่นหนังที่ยุโรปแทนในปี 1929   หนังที่เธอเล่นในยุโรปดังกว่าอเมริกา  แต่ปลายปีนั้นเธอก็กลับมาของานทำที่ฮอลลีวู้ด  แต่นิสัยไม่ยอมใครทำให้เธอไปงัดข้อกับ Harry Cohn ซึ่งเป็นประธานของ Columbia Studio  ผลก็คืออาชีพเธอดับวูบ

ในปี 1932 LB กลายเป็นคนล้มละลายและหายไปจากวงการบันเทิง  มีข่าวลือว่าช่วงนั้นเธอหาเงินจากอาชีพ ‘paid escort’

ใน 1955 LB กลับมาดังอีกครั้ง...

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8f7Qb.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8f7Qb)


การค้นพบกากฟิล์มของ LB นำมาซึ่งเทศกาลหนังของ Louise Brooks (1957) ส่งให้เธอกลับขึ้นมาดังในแวดวงบันเทิงของอเมริกาอีกครั้ง  แม้จะไม่เกี่ยวกับการแสดง  ความโล่งอกที่อนาคตกลับมามั่นคงอีกครั้งทำให้เธอผ่อนคลายความกังวลแล้วลงมือเขียนบทความและหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวิตและอาชีพของตัวเอง

A collection of her writings, titled Lulu in Hollywood, published in 1982 and still in print, was heralded by film critic Roger Ebert as "one of the few film books that can be called indispensable."

LB ตายในปี 1985 ด้วยโรคหัวใจ เพียง 1 ปีหลังจากหนังสือประวัติดาราฮอลลีวู้ดที่ผมซื้อมาตีพิมพ์  ในส่วนประวัติของเธอจึงยังไม่ได้ลงวันตายของเธอ

หนัง Beggars of life (1928) ได้ชื่อว่าเป็นหนังดังที่สุดในอาชีพของเธอ  นี่คือเรื่องย่อ: After killing her treacherous step-father, a girl tries to escape the country with a young vagabond. She dresses as a boy, they hop freight trains, quarrel with a group of hobos, and steal a car in their attempt to escape the police, and reach Canada.
https://youtu.be/S81cMoSP9OA
(ผมว่าหน้าตาเธอเหมือนคนยุคใหม่นะ)


หนัง Pandora’s Box (1929) ถ่ายทำในเยอรมัน (เพลงประกอบเป็นของทำขึ้นมาใหม่)
https://youtu.be/lxYUj6rJ4iA


หนัง Diary of a lost girl (1929)
https://youtu.be/kn5XS4qiGcA


หนังเสียง God’s gift to women (1931)
https://youtu.be/C6oTprKNeVU


อีกเรื่องหนึ่งที่โหมกระพือความดังให้กับ LB ในช่วงรุ่งโรจน์ของเธอคือ  รสนิยมทางเพศของเธอ  ข่าวหนาหูบอกว่าเธอได้ชื่อว่าเป็น lesbian คนแรกของฮอลลีวู้ด ซึ่งเจ้าตัวไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
 
According to biographer Barry Paris, Brooks had a "clear preference for men", but she did not discourage the rumors that she was a lesbian, both because she relished their shock value, which enhanced her aura, and because she personally valued feminine beauty. Paris claims that Brooks "loved women as a homosexual man, rather than as a lesbian, would love them. ... The operative rule with Louise was neither heterosexuality, homosexuality, or bisexuality. It was just sexuality ..."

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/05/30/F8fzda.jpg) (https://www.picz.in.th/image/F8fzda)


ดีใจจังที่มีที่ให้ระบายเรื่องนี้



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 23, 12:30
   Louise Brooks  หน้าตาทันสมัยมากค่ะ  อยู่ในปี 2023 ได้สบาย

  การเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นความเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง   คือไม่ว่าคุณจะมีความสามารถทางอาชีพการงานมากขนาดไหน ก็ตาม   แต่ถ้าคุณมีเรื่องส่วนตัวที่สื่อจะนำไปฉีกเป็นชิ้นๆได้   มันก็จะกลายเป็นตราบาปติดตัวทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว
  สงสารดาราหลายคนอย่าง Rock Hudson  Jim Nabors  และอีกหลายๆคนที่พอเอ่ยถึงชื่อเขาขึ้นมาทีไร  เดี๋ยวก็จะมีคำวิจารณ์ห้อยท้ายไม่ให้ลืมว่า (รู้ไหมว่า) เขาเป็นเกย์นะ    ฝีมือของเขาเลยถูกบดบังแสงลงไปเพราะเรื่องส่วนตัวนี่เอง
  ดิฉันก็เคยสงสัยว่า พฤติกรรมส่วนตัวของเขาพวกนี้ มีใครวิเคราะห์ออกมาได้ไหมว่ามันมีผลดีผลเสียอย่างไรกับฝีมือการทำงาน    อย่างสาวสวย Louise Brooks คนนี้ถ้าเธอเป็นหญิงแท้ มีสามีมีลูกเต้าไปตามปกติ   เธอจะแสดงดีขึ้น(หรือแย่ลง) หรืออย่างไรกันแน่  บรรดานักเขียนประวัติถึงต้องเสียเวลาไปค้นคว้ามาใส่เอาไว้เสียมากมาย
  แต่ถ้าเป็นนักเขียนละก็   พฤติกรรมส่วนตัวมีผลต่องานของพวกเขาแน่นอน    เวอร์จิเนีย วูลฟ์ป่วยเป็นโรคจิต  แต่เธอสามารถรำลึกถึงอารมณ์ความรู้สึกขณะป่วย และถ่ายทอดลงมาในผลงานได้   กลายเป็นงานสร้างสรรค์ไม่ซ้ำแบบใคร  ถ้าหากว่าเธอไม่ป่วย เธอก็เขียนแบบนี้ไม่ได้     นักเขียนชีวประวัติจึงมองข้ามพฤติกรรมส่วนตัวที่เป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนไม่ได้
  ส่วนดารา ดิฉันยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีละค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 มิ.ย. 23, 12:00
   Louise Brooks  หน้าตาทันสมัยมากค่ะ  อยู่ในปี 2023 ได้สบาย

  การเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นความเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง   คือไม่ว่าคุณจะมีความสามารถทางอาชีพการงานมากขนาดไหน ก็ตาม   แต่ถ้าคุณมีเรื่องส่วนตัวที่สื่อจะนำไปฉีกเป็นชิ้นๆได้   มันก็จะกลายเป็นตราบาปติดตัวทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว
  สงสารดาราหลายคนอย่าง Rock Hudson  Jim Nabors  และอีกหลายๆคนที่พอเอ่ยถึงชื่อเขาขึ้นมาทีไร  เดี๋ยวก็จะมีคำวิจารณ์ห้อยท้ายไม่ให้ลืมว่า (รู้ไหมว่า) เขาเป็นเกย์นะ    ฝีมือของเขาเลยถูกบดบังแสงลงไปเพราะเรื่องส่วนตัวนี่เอง
  ดิฉันก็เคยสงสัยว่า พฤติกรรมส่วนตัวของเขาพวกนี้ มีใครวิเคราะห์ออกมาได้ไหมว่ามันมีผลดีผลเสียอย่างไรกับฝีมือการทำงาน    อย่างสาวสวย Louise Brooks คนนี้ถ้าเธอเป็นหญิงแท้ มีสามีมีลูกเต้าไปตามปกติ   เธอจะแสดงดีขึ้น(หรือแย่ลง) หรืออย่างไรกันแน่  บรรดานักเขียนประวัติถึงต้องเสียเวลาไปค้นคว้ามาใส่เอาไว้เสียมากมาย
  แต่ถ้าเป็นนักเขียนละก็   พฤติกรรมส่วนตัวมีผลต่องานของพวกเขาแน่นอน    เวอร์จิเนีย วูลฟ์ป่วยเป็นโรคจิต  แต่เธอสามารถรำลึกถึงอารมณ์ความรู้สึกขณะป่วย และถ่ายทอดลงมาในผลงานได้   กลายเป็นงานสร้างสรรค์ไม่ซ้ำแบบใคร  ถ้าหากว่าเธอไม่ป่วย เธอก็เขียนแบบนี้ไม่ได้     นักเขียนชีวประวัติจึงมองข้ามพฤติกรรมส่วนตัวที่เป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนไม่ได้
  ส่วนดารา ดิฉันยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีละค่ะ


'จารเคยดูหนัง Who's afraid of Virginia Woolf? มั้ยครับ  พาดพิงถึงนักเขียนคนนี้รึเปล่าครับ  โหน่งดูไม่จบ  เหมือนดูหนังโรคจิต  เกิดความเครียดมากกว่าความบันเทิง

https://youtu.be/4vIUGN8CGjE


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 01 มิ.ย. 23, 12:05
Mrs. Harris goes to Paris ออกฉายในปี 2022  บรรยากาศของหนังเกิดขึ้นที่อังกฤษในยุคปลาย 1950s   Ada Harris เป็นหญิงวัยกลางคนมีอาชีพรับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน  สมาชิกประจำก็เช่นนักแสดงสาวกิ๊กก๊อกที่พยายามไขว่คว้าหาโอกาส  สตรีสูงศักดิ์ที่มีแต่ศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเงิน ฯลฯ

ยามผ่อนคลาย AH จะออกไปเต้นรำในคลับของชนชั้นกรรมาชีพ  ชีวิตของเธอเรียบง่าย  มีความสุขตามอัตภาพ

วันหนึ่งขณะทำงานใน apartment (ที่อังกฤษเรียก flat) ของเลดี้ขี้ตืดที่ติดเงินค่าจ้างเธอเป็นประจำ  AH ก็พบชุดสวยทำจากห้องเสื้อ Dior เป็นชุดที่เรียกว่า haute couture  หลังจากชื่นชมอย่างดูดดื่ม AH ก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องเก็บเงินแล้วไปซื้อชุดแบบนี้มาบ้าง

การออมเงินของเธอมีอุปสรรคแต่โชคช่วยเมื่อผัวเธอที่ตายในสงครามทำให้เธอได้รับ war-widow pension  ทำให้เธอสามารถออกเดินทางไปปารีสเพื่อตามความฝัน

ชีวิตของ AH ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลง
https://youtu.be/jVjPTiSvz6A


วันที่ AH ไปถึงปารีสทางห้องเสื้อ Dior กำลังจัดงานใหญ่  AH ได้บังเอิญหลุดเข้าไปงานด้วยการจับผลัดจับผลู  จากนั้นการผจญภัยก็เริ่ม
 
การที่แม่บ้านต๊อกต๋อยหลุดเข้าไปในห้องเสื้อหรูระดับโลกสร้างความโกลาหลขึ้น  ในงานแสดงฯ ที่ห้องเสื้อฯ ในวันนั้น AH ได้พบเพื่อนใหม่คือหนุ่มการเงิน สาวดาวเด่นของ Dior และ Marquise หม้าย  รวมถึงผู้บริหารสาวใหญ่หัวโบราณที่ยังเคร่งขรัดกับประเพณีเก่า ๆ
https://youtu.be/vz1K31ZaHnw
(เรื่องราวมีแค่ 1 นาทีแรก  หลังจากนั้นเป็นตัวอย่างหนัง)


เผอิญตอนนั้นสถานภาพทางการเงินของห้องเสื้อกำลังบรรลัยเพราะคนสั่งทำชุดแม้จะเป็นผู้ดีตีนแดงแต่ฐานะการเงินง่อนแง่นกันทั้งนั้น  ล้วนเบี้ยวเงินบ้าง ขี้ตืดจ่ายไม่ครบบ้าง ฯลฯ  การที่ AH ควักเงินสดมาซื้อชุดทำให้เจ้าหน้าที่กระอักกระอ่วนเพราะมันเป็นเงินจำนวนมากซึ่งทางห้องเสื้อกำลังต้องการ แต่คนจ่ายเป็นชนชั้นกรรมาชีพ  แม้จะซื้อเงินสดแต่การดูถูกดูแคลนก็ยังมีเป็นปกติ
https://youtu.be/caDj63IujTo


แม้จะได้รับการดูถูกจากผู้บริหารของห้องเสื้อ  แต่ AH ได้รับการเอ็นดูจากพนักงานเพราะอยู่ในระดับเดียวกัน  เลยมีการพาทัวร์ห้องเสื้อ
https://youtu.be/aIGiAIfuu0Y
(0.51 ชุดสีแดงที่ AH หมายมั่นที่จะซื้อแต่โดนสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งใช้เส้นซื้อตัดหน้าไปทั้ง ๆ ที่ AH พร้อมที่จะจ่ายเงินสด  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวเธอเลยซื้อชุดที่ชอบรองลงมา (สีเขียว))


หนังในช่วงหลัง ๆ ไม่ค่อยมี clip ย่อยมาประกอบการเล่าเท่าไร  ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับลิขสิทธ์ที่รัดกุมขึ้นเรื่อย ๆ รึเปล่า  คงต้องขวนขวายไปหาหนังมาดูเอง


เรื่องย่อ ๆ ของหนังเรื่องนี้
https://youtu.be/1P7MlkWSU5k



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 23, 13:03
รู้จักแต่

https://www.youtube.com/watch?v=HfWhNAPsnwE


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 มิ.ย. 23, 12:09
รู้จักแต่

https://www.youtube.com/watch?v=HfWhNAPsnwE

ตอนเป็นคุณหนูเคยอ่านหนังสือแปล  ใครแปลจำไม่ได้แล้ว  สนุกดีครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 02 มิ.ย. 23, 12:13
เมื่อคืน (ไม่ใช่เมื่อคืนนี้  ก็เกือบปีมาแล้วละ) ได้ดูหนังคลาสสิกแปลกแหวกแนวชื่่อ Private Party on Catalina Isle (1935) ที่ว่าแหวกแนวนั้นนอกจากมันจะเป็นแค่หนังสั้นยาวเพียง 19 นาทีแล้ว  ยังมีสีสันสดใสในขณะที่ตอนนั้นหนังที่ทำออกมาเป็นขาวดำเสียเกือบ 100%

สำหรับเนื้อหาของหนังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  เปรียบกับในยุคปัจจุบันมันก็แค่ variety show ที่ไปถ่ายทำกันที่เกาะ Catalina  หนังเรื่องนี้ลงทุนโดย Studio อันดับหนึ่งของโลกคือ MGM  แสดงว่าต้องมีฉากสวย ๆ ให้ยล

ในเรื่องมีดารารับเชิญดัง ๆ มาร่วม (แค่) โผล่หน้า  ที่พวกเรานักดูหนังฝรั่งพอจำได้ก็เช่น คู่ตุนาหงัน Cary Grant กับ Randolph Scott แล้วมี Marion Davies คนนี้อาจเป็นผมคนเดียวที่รู้จัก  เธอดังขึ้นมาจากการเป็นเมียน้อยของมหาเศรษฐีนักธุรกิจสิ่งพิมพ์ชื่อดัง William Randolph Hearst ซึ่งกลายมาเป็นพ่อดันให้เธอได้ขึ้นไปผงาดบนแผ่นฟิล์ม

แล้วยังมีพ่อหนู (ในตอนนั้น) Mickey Rooney แล้วก็ Errol Flynn มากับเมียนักแสดงซึ่งผมไม่รู้จัก  มีหมายเหตุนิดว่า เพิ่งเคยเห็น EF ไม่มีหนวด 'in action'  เคยเห็นแต่ในภาพนิ่งซึ่งผมว่าหล่อน้อยกว่ามีหนวด  ในหนังสั้นนี้เธอไม่ไว้หนวด แต่กลับหล่อสุดยอด  แสดงว่าภาพนิ่งนี่ไว้ใจไม่ได้

หนังดูเพลิน ๆ แป๊บเดียวก็จบ  ไม่มีอะไรให้เก็บไปฝันถึงนอกจากความหล่อแบบไร้หนวดของ EF 

แล้วผมก็นึกได้ว่าหนังสั้นแบบนี้น่าจะมีคนเอามาปล่อยใน youtube  มีจริง ๆ ด้วย  มาดูความหล่อของ EF กัน (4.29)
https://youtu.be/o22w88qb9xs



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 05 มิ.ย. 23, 12:01
Operation Hyacinth เป็นหนังจาก Poland สร้างในปี 2021  เป็นชื่อการปฏิบัติการลับที่ดำเนินการในช่วงปี 1985-87 โดย Polish communist police จุดประสงค์เพื่อจะดำเนินการขึ้นทะเบียนชายรักร่วมเพศและผู้ที่ให้ความสนิทสนมกับชนพวกนี้

ชื่อเรื่องเป็นคำแปลจากภาษาโปแลนด์ว่า "Hiacynt”  ซึ่งเป็นคำเหยียดหยามใช้เรียกผู้ชายรักร่วมเพศ  ถ้าให้เปรียบเป็นภาษาอังกฤษก็คือคำว่า pansy

เหตุผลของทางการคือเพื่อควบคุมโรคเอดส์ เพื่อควบคุมแก๊งค์อาชญากรรมที่มีต่อชนรักร่วมเพศ และเพื่อควบคุมการค้าประเวณีของชนรักร่วมเพศ  ผลจากการปฏิบัติการณ์นี้สามารถขึ้นทะเบียนชาวรักร่วมเพศ (โดยไม่เต็มใจ) ได้ประมาณ 11,000 คน  ผลร้ายต่อคนพวกนี้เกิดขึ้นเพราะการขึ้นทะเบียนไม่ได้เป็นความลับแบบที่ทางการประกาศไว้  เป็นต้นว่ามีการพิมพ์ลายนิ้วมือ  มีการลงลายเซ็นยินยอม ฯลฯ  ผลกระทบที่ตามมาคือการสร้างอุปสรรคในการหางานทำ  การเข้าสังคม การโดน blackmail รวมถึงการกดขี่ข่มเหงในรูปแบบต่าง ๆ

เนื้อเรื่องของหนังเล่าถึงตำรวจหนุ่มที่ออกปฎิบัติหน้าที่ดังกล่าว  เพื่อความสะดวกเขาจึงต้องหาสายสืบซึ่งก็คือหนุ่มน้อยชาวเกย์คนหนึ่ง  แต่อารมณ์พึงพอใจไม่เข้าใครออกใคร  เพราะมาถึงจุดหนึ่งเขาก็ตกหลุมรักหนุ่มเกย์คนนี้ เรื่องมันยุ่งยากตรงที่ตำรวจหนุ่มคนนี้มีคู่หมั้นสาวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว  อีกหนึ่งเรื่องยุ่งยากที่ตามมาคือความลัพธ์แตก  ระหว่างนั้นก็เกิดการฆาตกรรมต่อเนื่อง  เหยื่อคือชายรักร่วมเพศอันเป็นผลมาจากการขึ้นทะเบียนที่ไม่เป็นความลัพธ์  climax มาถึงจุดเมื่อหนุ่มน้อยของเขาคือเป้าหมายคนต่อไป

เป็นหนังดราม่าหนัก ๆ ที่ดูสนุกมากเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากแนว coming of age หรือ road trip ที่ทำออกมาอยู่นั่นแล้ว  แม้จะฟังภาษาพูดไม่รู้เรื่องแต่ผู้สร้างคงหวังผลในโลกกว้างจึงมีการทำ “ซับ”  ภาษาอังกฤษอันเป็นภาษาสากลสอดมาให้ ‘อ่านไป ดูไป’  อย่างใจจดใจจ่อ

ถึงตรงนี้นึกขอบคุณตัวเองที่ชอบภาษาอังกฤษแม้จะไม่ได้มาจากสายศิลป์  ทำให้สามารถพาตัวเองออกไปสู่โลกกว้าง เปิดโลกทัศน์ให้ได้มีโอกาสรับรู้สิ่งแปลก ๆ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกสากลได้มากมาย

เป็นหนังในวงแคบจึงไม่มีใครทำ clip ย่อยเด่น ๆ ออกมาเลย  ที่มีก็สอดแทรกเพลงบ้า ๆ บอ ๆ ที่คิดว่าเก๋เข้าไปอันทำให้ไปบั่นทอนบรรยากาศของหนัง

Clip นี้ผมว่าเข้าท่ากว่าชาวบ้าน  แม้เพลงจะน่ารำคาญ  แต่มีฉากตอนท้ายของเรื่องให้เห็น  clip อื่น ๆ ส่วนใหญ่เน้นแต่ฉากโรแมนติก
https://youtu.be/A_HDuvDxfkM


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/J30EGyQVIlk


หมายเหตุ – ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนังเรื่อง Cruising ที่เข้ามาฉายในบ้านเราในปี 1980 ที่โรงเครือสยาม  Al Pacino เล่นเป็นตำรวจที่ New York ที่ถูกส่งไปสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องซึ่งเหยื่อล้วนเป็นชาวรักร่วมเพศ (ไม่ได้ค้นว่าในยุคนั้นมีศัพท์บัญญัติว่า เกย์ แล้วยัง) เพื่อความกลมกลืนเขาจึงต้องปลอมตัวเข้าไปคลุกคลีในแวดวงชาวรักร่วมเพศเพื่อหาความจริง  ในที่สุดก็สามารถตามหาผู้ร้ายได้  ตอนจบของหนังเป็นฉากที่แฟนของ AP มาหาที่ apartment  ระหว่างคอย AP ที่อยู่ในห้องน้ำเธอก็ค้นพบชุดหนังที่ AP เคยใช้ปลอมแปลงเข้าไปคลุกคลีอยู่ในหมู่ชาวรักร่วมเพศ  ซึ่งความจริงเมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว (คดีจบไปได้ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว) จับตัวคนร้ายได้แล้ว  ชุดหนังนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ใช้อีกต่อไป  แต่ปรากฏว่า AP ไม่ได้ทำเช่นนั้น

https://youtu.be/I64kZnzQ414
(AP หล่อสุดขีด)


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/kRSasuf3JoU


คำว่า Cruising นี้มี 2 ความหมาย  จะหมายความถึง ตำรวจออกลาดตระเวณก็ได้  หรือจะหมายความถึง ชาวรักร่วมเพศออกตระเวณหาเหยื่อมาร่วมเพศก็ได้



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 มิ.ย. 23, 12:01
Mini series...

โรงหนังอินทราเปิดให้บริการเมื่อไหร่ผมขี้เกียจค้น  แต่จำได้แม่นว่ามันเป็นโรงหนังที่มีจอกว้างใหญ่กว่าโรงอื่น ๆ  แรก ๆ จะมีคณะนาฏศิลป์ชื่ออะไรหนอ อินทรดารา รึเปล่า  ออกมาโชว์ในรอบพิเศษอยู่ชั่วขณะ  ส่วนหนังที่เข้ามาฉายแรก ๆ จะเป็นหนังจอกว้างเสียส่วนใหญ่ เช่น มนตร์รักเพลงสวรรค์, ขุมทองแมคเคนนา (ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อโรงหนังใหม่ที่คอสะพานหัวช้าง) ฯลฯ  จำได้ว่าถ้าเป็นหนังจอกว้าง ก่อนหนังฉายจะมีเสียงมอเตอร์ทำงานขณะลากจอให้ถ่างออกไปทางซ้ายและขวา  เสียงมอเตอร์นี่ติดหูมาจนเดี๋ยวนี้

หนังที่ไปดู (ผู้ปกครองพาไปน่ะ) นอกจาก 2 เรื่องนั้นแล้ว  ยังมีหนังลิเกฝรั่งชื่อ The great waltz (1972)  เรื่องนี้จำชื่อไทยไม่ได้แต่จำชื่อต้นฉบับได้แม่นเพราะมันทำให้ผมหลับสนิทในห้องแอร์แสนจะเย็นสบาย
https://youtu.be/q27YNeU1UCw


อีกเรื่องหนึ่งที่ได้เข้าไปดูคือ That’s entertainment (1974) เรื่องนี้ไม่ใช่หนังแต่เป็นประมาณสารคดี  เรื่องเล่าความเป็นมาของสิ่งบันเทิงที่เรียกว่าหนังโดยเน้นประเภทหนังเพลงที่มีฉากและการแสดงตระการตา  ยุคนั้นเป็นยุค studio system  ส่วน studio มีหลากหลายเช่น Columbia, Universal, Paramount, RKO, United Artists ฯลฯ และที่ดังที่สุดคือ MGM  หนังเรื่องนี้เจาะจงนำเสนอหนังที่สร้างจาก MGM (เพราะผู้สร้างก็คือ MGM นั่นเอง)

ผมชอบหนังเรื่องนี้มากเพราะผู้สร้างตัดตอนเอาเฉพาะฉาก ‘โอ้โฮ ๆ’ ของหนังดังในอดีตเรื่องต่าง ๆ มาให้เราชม  ถ้าเป็นเรื่องราวเดี่ยว ๆ ของแต่ละเรื่อง  ผมเป็นหลับกลิ้งอยู่บนพื้น  แต่นี่เป็นสิ่งละอันพันละน้อย  ดูอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งจบเรื่อง

ที่มาฝอยในวันนี้ (ไม่ใช่วันนี้ของจริง) เพราะ website ของผมเอาหนังเรื่องนี้มาปล่อย  ทำให้นึกขึ้นได้แล้วก็โหลดมาดูเพื่อรื้อฟื้นความหลัง

ตอนนี้ youtube เจริญพันธุ์เต็มที่  ผมถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะนำเสนอ clip ตัวอย่างหนังคลาสสิคที่ได้รับการรับรองจากเจ้าของบ้านว่าสุดยอด เลือกที่คิดว่าน่าสนใจมาให้ชม  รายละเอียดด้านต่าง ๆ ของหนังอยู่ใน clip  มีบอกไว้  ถ้าไม่มีผมจะแทรกไว้ให้นะ

https://youtu.be/nabHJEyIXAc


https://youtu.be/XOMGpATAzBE


https://youtu.be/N_BGWbryBkA
(Dennis Morgan ใน The Great Ziegfield)


https://youtu.be/nZPndC-F5SE
(Broadway melody – 1940, Fred Astaire กับ Eleanor Powell


https://youtu.be/9LYhyaBfEe8


https://youtu.be/MyQG5odAL3U
(P Lawford คือ Peter Lawford ประวัติของเขาดังกว่าหนังที่เล่น)


https://youtu.be/_qBBc4lgO9I


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 23, 17:20
อ้างถึง
โรงหนังอินทราเปิดให้บริการเมื่อไหร่ผมขี้เกียจค้น  แต่จำได้แม่นว่ามันเป็นโรงหนังที่มีจอกว้างใหญ่กว่าโรงอื่น ๆ  แรก ๆ จะมีคณะนาฏศิลป์ชื่ออะไรหนอ อินทรดารา รึเปล่า  ออกมาโชว์ในรอบพิเศษอยู่ชั่วขณะ
ชื่อ นาฏศิลป์อินทรา ค่ะ   เจ้าของคือคุณพิสิฐ ตันสัจจาได้แบบอย่างมาจากระบำของบรอดเวย์   แต่พอคุณพิสิฐถึงแก่กรรม  นาฏศิลป์ชุดนี้ก็หมดอายุไปด้วย


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 มิ.ย. 23, 12:00
อ้างถึง
โรงหนังอินทราเปิดให้บริการเมื่อไหร่ผมขี้เกียจค้น  แต่จำได้แม่นว่ามันเป็นโรงหนังที่มีจอกว้างใหญ่กว่าโรงอื่น ๆ  แรก ๆ จะมีคณะนาฏศิลป์ชื่ออะไรหนอ อินทรดารา รึเปล่า  ออกมาโชว์ในรอบพิเศษอยู่ชั่วขณะ
ชื่อ นาฏศิลป์อินทรา ค่ะ   เจ้าของคือคุณพิสิฐ ตันสัจจาได้แบบอย่างมาจากระบำของบรอดเวย์   แต่พอคุณพิสิฐถึงแก่กรรม  นาฏศิลป์ชุดนี้ก็หมดอายุไปด้วย

ความรู้อันมีค่าครับ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/08/IB7Tz2.jpg) (https://www.picz.in.th/image/IB7Tz2)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 08 มิ.ย. 23, 12:10
ต่อหนังเรื่อง That’s entertainment (1974) – โรงอินทรา

แล้วก็มาถึงตอนที่อีกหนึ่งนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล James Stewart ให้เกียรติเป็นพิธีกรออกมาเล่าเรื่อง เขาเล่าว่ายุคต้น 30s  หนังเสียงเข้ามามีบทบาทและถีบหนังเงียบให้ตกจอ  หนังประเภทที่โชว์เสียงให้คนดูฮือฮาได้สะใจมีอยู่เพียงแขนงเดียวคือหนังเพลง  ช่วงนั้น studio ต่าง ๆ ทำหนังเพลงออกมาเยอะมากกว่าหนังประเภทอื่น  เหล่านักแสดงหนังเงียบล้วนใจตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ กับการที่ต้องโชว์เสียงของตัวเอง  เพราะไม่ได้มีน้ำเสียงและสำเนียงจังหวะจะโคนเพราะพริ้งกันทุกคน  เพราะหนังเงียบไม่ต้องอาศัยเสียง  ออกแต่เพียงท่าทางให้คล้อยตามอารมณ์ในเนื้อเรื่องก็พอแล้ว  แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่ร้องเพลงได้  ไอ้เต้นน่ะพอไหว
 
JS เล่าติดตลกว่า  ขณะที่เหล่านักแสดงล้วนเหงื่อแตกกับการที่ต้องเปล่งเสียงของตนลงฟิล์มออกโชว์ชาวบ้าน ยังมีนักแสดงอีกรายที่ไม่เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อยนิดคือ Rin Tin Tin
 
การที่ studio ต่างระดมกันเน้นการสร้างหนังเพลงที่เป็นที่ต้องการของตลาด  ทำให้นักแสดงบทดราม่าต่างต้องฝืนใจอย่างมากกับความสามารถใหม่คือทั้งร้องและเต้น  แต่ต้องทำเพราะไม่งั้นจะไม่มีงานทำ ในเรื่องนี้นักแสดงที่กำลังฝืนใจร้องเพลงพร้อมออกท่าทางที่ดูประดักประเดิดเนื่องจากไม่ใช่แนวถนัดแม้น้ำเสียงจะพอไปไหวคือ Robert Montgomery ในหนัง free and easy
https://youtu.be/rglR-sBDi5Y


ขณะที่หนังเสียงฆ่านักแสดงหนังเงียบที่ไม่สามารถปรับตัวได้ไปเรื่อย ๆ  ยังมีนักแสดงหนังเงียบอีกกลุ่มที่เคยเป็นตัวทำเงินให้กับ studio นักแสดงพวกนี้ studio ไม่สามารถทิ้งขว้างได้  ในช่วงหนังเพลงกำลังกระหน่ำ  studio จึงต้องหาคนมาให้ยืมเสียงร้องแทน อย่างในกรณีของ Jean Harlow
https://youtu.be/hYJbeWoILZM


ในขณะที่นักแสดงประกบ Cary Grant (หล่อเฟี้ยว) เอาตัวรอดไปได้
https://youtu.be/zsEHBlsGjH4


และขณะที่หนังเพลงกำลังครองตลาด นักแสดงหน้าใหม่ที่เข้ามาในวงการในช่วงเปลี่ยนแปลงนี้ต้องมีความสามารถเพิ่มขึ้นจากที่เคยคือความสามารถทั้งในการร้องและเต้น  และนอกจากจะเต้นคล่องแล้วน้ำเสียงต้อง 'โชว์' ได้ด้วย
https://youtu.be/3fyiSRc5tQE


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 มิ.ย. 23, 11:59
ต่อหนังเรื่อง That’s entertainment (1974) – โรงอินทรา

นักแสดงนำชายคือใครไม่ต้องบอก  นักแสดงนำหญิงคือ Norman Shearer  เป็นเจ้าแม่คนหนึ่งของวงการฯ  เจ้าของ 1 Oscar
https://youtu.be/aNFffHQOXMc


Judy garland กับ Mickey Rooney 2 ดาราคู่ขวัญในช่วงแรกของ Hollywood ยุคทอง
https://youtu.be/1fW0cwp1YlE

https://youtu.be/epVUXREs6X8
(การเลียนแบบชนชาวนิโกร ถ้าอยู่ในยุคนี้  เป็นเรื่องเลยละ)


Fred Astaire, the greatest dancer in film history
https://youtu.be/CsoYyDlYU8M

https://youtu.be/0aDOojXN0ko
(2 ฉากนี้ดังมาก  เห็นอยู่เนือง ๆ)


FA กับคู่เต้นหลากหลาย นอกจาก 2 คนนี้  ยังมีอีกเช่น Frank Sinatra, Joan Crawford  ที่เพิ่งผ่านตาไปคือ Eleanor Powell  และคู่ขาที่เข้าขากันได้ดีเยี่ยม  ถึงขนาดมีหนังให้เล่นร่วมกันหลายเรื่องคือ Ginger Rogers  แต่ไม่ใครกินเขาลง
https://youtu.be/IjwZ4zIOkKE

https://youtu.be/1oKTdxYyJA8


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 15 มิ.ย. 23, 12:12
ต่อหนังเรื่อง That’s entertainment (1974) – โรงอินทรา

ต่อมาเป็นเรื่องราวของ Esther Williams นักว่ายน้ำมืออาชีพที่หมดโอกาสเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกเนื่องจากเกิดสงครามโลกพอดี  ก็เลยจับผลัดจับผลูเข้าสู่วงการแสดงในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับความสามารถที่โดดเด่นหาใครเทียบได้ยาก
https://youtu.be/hXpYcv4Btgg


พิธีกรคือ Donald O’Conner  เป็นนักแสดงที่ถนัดบทเบา ๆ แต่ความสามารถในด้านเต้นและร้องไม่เป็นรองใคร  นี่คือหนึ่งในผลงานอมตะของเขาที่หนัง TE นี้คัดมาให้ชม  มาจากหนังเรื่อง Singin' in the rain (1952)
https://youtu.be/iGCNBdCvzL4


กลับมาช่วงที่หนัง TE เอ่ยถึงเป็น clip ประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนต์ Hollywood งานเลี้ยงฉลองครบ 25 ปีของ MGM Studio ในปี 1949  รวมดาราดัง ๆ ของยุค   Studio เปรียบเอาไว้ว่าดาราในสังกัดของตนมีมากกว่าดาวบนท้องฟ้าเสียอีก  ดูไปเรื่อย ๆ ต้องมีรู้จักหรือคุ้นหน้าบ้างละ  อย่างน้อย ๆ ก็ Rin Tin Tin
https://youtu.be/QMvo3kM1mbc


ต่อมาเป็นหนัง Show Boat (1951)  Clip ฉากเปิดเรื่องที่สั้นไปหน่อย  มีอีก clip ที่ยาวกว่านี้แต่มันมัว 
https://youtu.be/rbuVXZVYRoI


ฉากตอนจบ
https://youtu.be/beJAc2WjcHM
หนังทั้งเรื่องถ่ายทำใน Studio  จินตนาการไปไม่ถึงว่าอาณาเขตของ MGM Studio นั้นเคยกว้างใหญ่ขนาดไหน

หนังเรื่องนี้เคยมาฉายใน I/UBC  ผมดูแบบผ่าน ๆ เพราะมันล้าสมัยไปแล้ว  มีอีกเรื่องที่ I/UBC เอามาฉายเหมือนกันคือ The Harvey Girls (1946 – Judy Garland)  บรรยากาศคล้ายกันเลย  เปลี่ยนจากเรือกลไฟเป็นรถไฟ
https://youtu.be/-gZ8zMBOh3A


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มิ.ย. 23, 13:32
ชอบฉากว่ายใต้น้ำของเอสเธอร์ฉากนี้ที่สุด   เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ  คู่กับโฮเวิร์ด คีล พระเอกเสียงทองแห่งยุค 1950s
ตอนเล็กๆ ดูแล้วเข้าใจว่าเธอหายใจในน้ำได้ เพราะยิ้มได้  แสดงลีลาได้หลายแบบ ต่อเนื่องกันนานๆใต้น้ำ

https://www.youtube.com/watch?v=FMzfCVfT3gs


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 มิ.ย. 23, 12:06
ชอบฉากว่ายใต้น้ำของเอสเธอร์ฉากนี้ที่สุด   เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ  คู่กับโฮเวิร์ด คีล พระเอกเสียงทองแห่งยุค 1950s
ตอนเล็กๆ ดูแล้วเข้าใจว่าเธอหายใจในน้ำได้ เพราะยิ้มได้  แสดงลีลาได้หลายแบบ ต่อเนื่องกันนานๆใต้น้ำ

https://www.youtube.com/watch?v=FMzfCVfT3gs

ไม่เห็นฟองอากาศด้วยครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 16 มิ.ย. 23, 12:11
ต่อหนังเรื่อง That’s entertainment (1974) – โรงอินทรา

ช่วงท้ายของหนัง TE จะเข้มข้นด้วยผลงานของดาราระดับแม่เหล็กที่คร่ำหวอดในวงการร้องและเต้น  เริ่มต้นด้วย
https://youtu.be/S9250pY6wfQ

https://youtu.be/j0AA_YuyY5g

และผลงานอมตะ
https://youtu.be/swloMVFALXw


หนังเรื่องนี้สนุกมาก  ผมดูตั้งหลายรอบ (ทาง I/UBC)  เรื่องหลักเกี่ยวกับปัญหาการสร้างหนังในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างหนังเงียบกับหนังเสียง  clip เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับหนัง TE  แต่เอามาแทรกให้ดู
https://youtu.be/m6jsXQm5IrM

https://youtu.be/YMzV96LV6Cc

https://youtu.be/rS4G_BAC-Zc


ดาราแม่เหล็กท่านต่อมา
https://youtu.be/hwP6kNIDg30

ที่เลือกมาอีก clip เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เธอทำสัญญาไว้กับ MGM (1950)
https://youtu.be/q7d0NRewzW4


ในหนัง TE นี้  Judy Garland เล่าว่าในยุคนั้นดาราเด็กที่ดังที่สุดคือ Shirley Temple แต่แม่หนูอยู่ในสังกัดของ 20th Fox  ดังนั้น Studio ไหนอยากได้แม่หนูมาเล่นหนังก็ต้องมีการแลกตัวกันระหว่างแม่หนูกับดาราในสังกัดของตน (ค่าจ้างต่างหาก) 

สำหรับ MGM  ตอนนั้นมีดำริจะสร้าง Wizard of Oz  ก็อยากได้แม่หนู ST มาเล่นเป็นหนู Dorothy  MGM ถึงกับเสนอให้ยืมตัว Clark Gable กับ Jean Harlow เพื่อแลกกับแม่หนู ST คนเดียว (ใครแน่กว่ากัน) แต่การต่อรองมีปัญหาผลก็คือ 20th Fox ไม่ให้ยืมตัว  MGM เลยต้องขวนขวายหาเด็กที่จะมารับบทหนู D แทน นั่นแหละชื่อ JG ถึงได้อุบัติขึ้นในทำเนียบดารา

และคนสุดท้าย… ใครเอ่ย
https://youtu.be/NwUO4HGpkqE
สถานที่คือสถานีรถไฟ Grand Central  ที่ MGM เนรมิตขึ้นมาทั้งอาคาร  ไม่ต้องเหนื่อยขนย้ายไปถ่ายทำในสถานที่จริงที่ New York

จบจากนักแสดงระดับแม่เหล็กก็มาที่ตัวหนังที่เป็นจุดสูงสุดของยุค
https://youtu.be/QbzJtP75NqM

ดูเพลินไปเลย

หนัง TE จบที่ clip ของหนังที่ MGM บอกว่านี่คือ Gem of the studio
https://youtu.be/OkXHlTfpDBM
หนังได้ oscar หนังยอดเยี่ยมปี 1952

หนังสารคดีเรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจนต้องออกตอนต่อมาอีกทั้ง ๆ ที่ได้โปรยหัวไว้ว่า   'such a production would never be repeated'  แต่ความคลาสสิกของมันทำให้ MGM ต้องกลืนน้ำลายตัวเองและออกตอนต่อออกมาถึง 3 ครั้งในปี 1976, 1985 และ 1994  นับเป็นหนังสารคดีหนึ่งในจำนวนน้อยเรื่องที่ออกตอนต่อได้มากขนาดนี้

จบแล้น...



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 19 มิ.ย. 23, 12:16
James Dean เล่นหนังทั้งหมด 8 เรื่อง  เป็นบทเล็ก ๆ ตอนเริ่มต้นอาชีพเสีย 5 เรื่อง  3 เรื่องหลังเป็นบทนำที่ทำให้เธอดังสะท้านฟ้า คือ East of Eden (1955), Rebel without a cause (1955) และ Giant (1956)  ทั้ง 3 เรื่องนี้ผมได้ดูครบแต่ต่างเวลากัน  ได้ดู Giant ก่อนใคร  ตั้งแต่ยุคที่สื่อบันเทิงทางด้านหนังมีให้ชมได้ 2 ทางเองคือทางจอทีวีกับจอโรงหนัง  ทางจอโรงหนัง  หนังมาเข้าฉายที่เฉลิมไทย  ทำไมผมจำได้ก็ไม่รู้ยังไม่เกิดซะหน่อย  ผมมาได้ดูทางจอทีวี  หนังยาวและสนุกมาก  ตอนนั้นเด็ก  ไม่รู้จักนักแสดงเลยว่าพวกเขาดังสนั่น  จำได้ว่าเกลียดตัวละครของ JD เธอร้ายมาก  ตอนจบนั้นสะใจจริง ๆ

2 เรื่องที่เหลือ ผมได้ดูทางสื่อวิดีโอ  ในยุคที่วิดีโอครองตลาดเมืองไทย  มีร้านให้เช่าเกิดขึ้นยังกับดอกเห็ด  ตอนนั้นจำได้ว่า บ.ทำวิดีโอ ให้เช่าที่ดังที่สุดคือ บ.CVD entertainment  งานของ บ. นี้ประณีตมาก  ภาพคมชัดเสียงพากย์ระรื่นหู  แถมขณะพากย์เสียงต่าง ๆ ที่เกิดอยู่ในขณะที่หนังดำเนินเรื่องไปก็ไม่ขาดหายไม่เหมือนงานของ บ. อื่น

จำได้ว่า East of Eden เครียดมาก   แต่เรื่อง RWAC ค่อยยังชั่วลงหน่อย  หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องปัญหาของวัยรุ่นในช่วงที่ฝรั่งเค้าบัญญัติว่า ‘coming of age’  มีตัวละครหลัก 3 คนที่ล้วนมีนิสัยรุนแรงก้าวร้าวเพราะต่างมีครอบครัวเฮงซวย  3 คนนี้มาเจอกันโรงพักเมื่อแต่ละคนโดนจับในข้อหาต่าง ๆ กันคือ

Jim ข้อหาเมาและอาละวาดในที่สาธารณะ ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อแหย แม่จอมบงการ  
https://youtu.be/UBOcWFBBB04


Judy ข้อหาฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อไม่รัก เธอคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอไม่ใช่หนูน้อยน่ารักไร้เดียงสาอีกต่อไป  เธอพยายามดึงดูดความสนใจจากพ่อกลับคืนมาด้วย ‘การแต่งตัว’ แต่เรื่องกลับแย่ลงเมื่อพ่อเธอสรุปว่าดูเหมือน dirty tramp
https://youtu.be/8JhRzlsZPas


บุคลิกของพ่อของวัยรุ่น 2 คนนี้ (เริ่มต้นเป็นของ Jim  ของ Judy เริ่มที่ 1.17)
https://youtu.be/0kouy3p9oBw

https://youtu.be/_EpizUY_las


ส่วนวัยรุ่นที่ 3 ชื่อ Plato เป็นเด็กผิวสีโดนจับข้อหาฆ่าลูกหมา  ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เธอยังเตาะแตะ  ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน  ทิ้งให้เขาอยู่กับแม่บ้านเป็นประจำ
https://youtu.be/2yZrFQUbbG0


ต่อมา 3 คนนี้เป็นเพื่อนกัน  Jim หลงรัก Judy  ตอนแรกเธอไม่รักตอบ เพราะเธอมีแก๊งค์  
https://youtu.be/0IpKLS2HjzE


เกิดการปะทะกัน
https://youtu.be/eselLQax8us


นำมาซึ่งการท้าดวลที่เรียกว่า Chicken run
https://youtu.be/sDFnYvKl1LU


ผลคือโศกนาฏกรรม
https://youtu.be/BGtEp7zFdrc


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 20 มิ.ย. 23, 12:09
Rebelsฯ กันต่อ...

Jim รู้สึกผิดจึงไปปรึกษาพ่อแม่แต่คำตอบที่ได้ช่างหงุดหงิดใจมาก
https://youtu.be/7014C_6ABAg


Jim ตัดสินใจไปหาตำรวจ  แต่ตำรวจก็ไม่รู้จะตั้งข้อหาฆาตกรรมได้อย่างไรจึงไล่ให้กลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เจอ Judy คอยอยู่  เธอมาขอโทษในความประพฤติของตัวเอง  ทั้ง 2 ลงเอยด้วยความเข้าใจอันตามมาด้วยความรักในที่สุด (เฮ้อ... วัยรุ่น)  และตกลงกันว่าในเมื่อต่างมีครอบครัวห่วยแตก  งั้นหนีไปอยู่ด้วยกันที่อื่นดีกว่า
https://youtu.be/ntnqp7-SG7k


2 หนุ่มสาวเริ่มต้นด้วยการหนีไปหลบอยู่ที่ mansion ร้างของครอบครัว Plato  ฝ่ายแก๊งค์ที่หัวหน้าตายไปต้องการแก้แค้น Jim จึงออกตามหา  Plato รู้เรื่องจึงคว้าปืนของแม่แล้วรีบไปเตือน 2 หนุ่มสาว 
https://youtu.be/oBFoKE0jqsM


ที่ mansion ร้าง 3 วัยรุ่นได้มีโอกาสใช้ชีวิตกันอย่างเสรี  Jim กับ Judy คือพ่อแม่ ส่วน Plato คือลูกน้อยที่โหยหาความอบอุ่นของครอบครัว
https://youtu.be/6zUb3NRUQRM
(เป็นฉาก screen test)


ตอน Plato เผลอหลับ  Jim กับ Judy แอบไปพลอดรักกัน  แก๊งค์ตามมาพบ Plato หลับอยู่จึงข่มเหง  ผลคือสมาชิกแก๊งค์คนหนึ่งถูก Plato ยิง

2 หนุ่มสาวกลับมาเห็นเหตุการณ์  Jim พยายามปลอบ แต่ Plato หัวเสียเมื่อรู้ว่า 2 หนุ่มสาวทิ้งเขาไปพลอดรักกัน  เลยหนีไปที่หอดูดาว

2 หนุ่มสาวรีบตามไป  Jim เผชิญหน้ากับ Plato  เขาหลอกล่อ Plato จนใจอ่อนยอมแลกปืนกับเสื้อ jacket ของ Jim ที่ Plato ชอบ  ระหว่างนั้น Jim แอบถอดลูกกระสุนออกจากปืนของหนุ่มน้อย
https://youtu.be/nqz5wwsXnUE


ช่วงนี้ตำรวจมาออกันเต็มและหว่านล้อมให้ 3 วัยรุ่นออกมาจากหอดูดาว  Jim หว่านล้อมให้ Plato ปฏิบัติตาม  แต่เมื่อโผล่ออกมาจากประตู  ตำรวจเห็นว่า Plato มีปืนอยู่ในมือ  ความโกลาหลเกิดขึ้น  ลงท้ายตำรวจยิง Plato ตาย  ในขณะที่ Jim อาละวาดว่าเขาได้เตือนล่วงหน้าและได้ถอดลูกกระสุนออกจากปืนของ Plato ไปแล้ว
https://youtu.be/Uk1MJFwGMjI


ฉากสุดท้ายของหนัง
https://youtu.be/RhaISNf3pzY


ตัวอย่างหนัง


จากหนัง James Dean ทั้ง 3 เรื่องที่เอ่ยมา  ผมชอบหนังเรื่องนี้ที่สุด  3 ดารา James Dean, Natalie Wood และ Sal Mineo เชือดเฉือนบทกันโดยไม่ไว้หน้าใคร  แต่บนเวที Oscar ปรากฏว่า JD คนเดียวที่พลาดการเสนอชื่อ  ผมดูหนังของเธอทั้ง 3 เรื่อง  ผมว่าการแสดงของเธอเข้มข้นทั้ง 3 เรื่อง

แนวการแสดงของเธอมีชื่อเรียกว่า method acting ผมไม่อธิบายเพราะไม่สามารถเลือกคำแปลภาษาไทยได้พอเหมาะกับนิยาม  นักแสดงชั้นแนวหน้าที่ใช้วิธีนี้มีอีกอาทิเช่น Marlon Brando, Montgomery Clift
   
สำหรับเรื่องนี้เธอไม่น่าพลาด อย่างไรก็ตามสถิติเล่นหนังที่มีบทบาทนำเพียง 3 เรื่องแต่ได้เข้า Oscar ถึง 2 ครั้งนี่เป็นฝีมือที่ใครหยามไม่ได้

และที่สร้างสถิติหน้าหนึ่งให้กับวงการแสดงคือ เธอเป็นนักแสดงคนแรกของวงการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว (ปี 1955)  เท่านี้ยังไม่พอ... หนังเรื่องที่ 3 สุดท้ายของเธอคือ Giant ซึ่งสร้างเสร็จทีหลังสุด  กว่าจะพร้อมออกฉายก็ปีถัดไป  JD ก็ได้เข้าชิง Oscar อีกเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน  เธอจึงเป็นนักแสดงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ฯ หลังจากเสียชีวิตไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ตอนแรกหนังเรื่องนี้ได้รับการอนุมัติจาก Studio ให้เป็นหนังเกรด B  ใช้ฟิล์มขาวดำ  หลังจากถ่ายทำได้หนึ่งเพลินปรากฏตามมาว่า JD ดังสนั่นขึ้นแท่น Hollywood icon  จากหนัง East of Eden  ทาง Studio จึงปรับเปลี่ยนให้เป็นหนังฟอร์มใหญ่แล้วเปลี่ยนเป็นฟิล์มจากขาวดำเป็นสี  ฉากขาวดำทั้งหมดจึงต้องมีการถ่ายทำใหม่โดยใช้ฟิล์มสี

Humphrey Bogart หนึ่งในดาราระดับยักษ์ของฮอลลีวู้ดยุคทองกล่าวถึงความดังของ JD ว่า "Dean died at just the right time. He left behind a legend. If he had lived, he'd never have been able to live up to his publicity."

Joe Hyams นักเขียนประวัติดาราในยุคทองและ columnist กล่าวว่า มีดาราชายจำนวนน้อยคนมากที่ไม่ได้เป็น sex symbol ให้กับแค่สาว ๆ แต่เป็น sex symbol ให้กับบรรดาหนุ่ม ๆ ด้วย  คือ JD, Montgomery Clift แล้วก็ Rock Hudson

สำหรับรสนิยมทางเพศของ JD เสียงที่มั่นใจว่าเธอเป็นหนุ่มชอบสาว กับเสียงที่มั่นใจว่าเธอเป็นหนุ่มชอบเพศเดียวกัน มีน้ำหนักสูสี  เพราะต่างก็มีตัวอย่างเหตุการณ์มาอ้างอิง  Elizabeth Taylor เพื่อนสนิทของเธอได้สรุปไว้ว่า "He hadn't made up his mind. He was only 24 when he died....”

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/20/IHEWsE.jpg) (https://www.picz.in.th/image/IHEWsE)


สำหรับนักแสดงหนุ่มอีกคนคือ Sal Mineo เป็นเกย์แบบอยู่ในตู้เสื้อผ้า  เธอเล่าว่าหลังจากฉากสุดท้ายของเรื่องที่เธอโดนยิงตายถ่ายทำเสร็จสิ้น JD ขลุกอยู่กับเขาตลอดทั้งวันไม่ปล่อยให้คลาดสายตา  SM โดนแทงตายในปี 1976 อายุ 37 ปี

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/20/IHOL6l.jpg) (https://www.picz.in.th/image/IHOL6l)


3 Rebels without a cause
https://youtu.be/Ft3TFFmI_U8



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 22 มิ.ย. 23, 12:14
Ruthless People เข้ามาฉายในบ้านเราในปี 1986  จะเป็นโรงฯ อะไรก็สุดจะจำได้  ระหว่างดูก็สรุปก่อนหนังจบว่าเป็นหนังที่สนุกมาก  ตล้กตลก  หนังเดินเรื่องว่องไว  ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็จบแล้ว  ด้วยความยังสนุกไม่หาย  วันเสาร์ของอาทิตย์ต่อมาผมก็ไปตีตั๋วเข้าชมอีกรอบ  หัวเราะเอิ๊ก ๆ กับฉากจี้ ๆ ทั้ง ๆ ที่เคยเห็นมาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน  หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมได้เห็น Bette Midler ในฐานะนักแสดง  ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่เสียงร้องเพลงของเธอหรือภาพนิ่งจากหนังสือ SP  เห็นแล้วถูกใจ  เธอยิ้มได้ว้านหวาน

หนังเรื่องนี้มีตัวละครเด่นอยู่ 3 คู่คือ Bette Midler ในบทลูกสาวทายาทธุรกิจร้อยล้าน (ตรงนี้ตอแหลเอาเอง  รู้แค่รวย)  Danny de Vito ในบทผัวเส็งเคร็งที่จับ BM เพราะต้องการไต่เต้าในธุรกิจนี้  แล้วก็มีคู่ของ Judge Reinhold กับ Helen Slater ผัวเมียหนุ่มสาวในวัยหากินที่โดน DDV ทำแสบคือไปโขมยไอเดียประดิษฐ์สินค้าของเมีย HS ไปครอบครองเป็นของตัวเองแล้วผลิตออกขาย   คู่ที่ 3 คือ เมียน้อยของผัว DDV กับชิ้นหนุ่มของนาง

เปิดเรื่องมาก็สนุกเลย  ไม่มีอารัมภบทใด ๆ   DDV อยู่กับเมียน้อย กำลังพล่ามถึงความเกลียดชังที่มีต่อเมียหลวงรวยเละ BM  ของตนและกำลังหาทางฆ่าอยู่  นังเมียน้อยนั่งคอยให้กำลังใจ
https://youtu.be/zbe0KxGJk5k


นี่คือฉากภายในบ้านของผัวเมียที่เมียเป็นใหญ่ (BM)  การตกแต่งบ้านเป็นไปตามไอเดียของเมีย BM  ว่าจะฆ่าเมียเสียหน่อยแต่ดันหาไม่เจอเจอแต่อีหมาเวรของเมีย
https://youtu.be/IVveqZF0z_Q


หารู้ไม่ว่าเมียสุดชัง BM โดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่เสียก่อนแล้วด้วยเหตุผลข้างต้น
https://youtu.be/uYB9GeNVhcU


การเจรจาค่าไถ่ก็เริ่มขึ้น
https://youtu.be/J61LFSJrtGI


การนัดหมายเพื่อแลกตัวกับค่าไถ่ก็เกิดขึ้น  แต่ผัวเฮ็งซวย DDV ไม่เคยมาตามนัดซักที  นัดก็เลยต้องเลื่อนอยู่นั่นแล้ว ผัวเมียหนุ่มสาวเลยจำต้องเลี้ยงดูเหยื่อค่าไถ่เศรษฐีนี BM ไปพลาง ๆ  ความที่ทั้งคู่ไม่ใช่คนเลวชาติแต่ออกจะแหยแฝ่นด้วยซ้ำ  การเลี้ยงดูจึงออกมาในรูปอย่างดีมีที่นอนพร้อมอาหารอร่อย ๆ  3 มื้อ  วัน ๆ เมีย BM ไม่รู้จะทำอะไรดีก็ออกกำลังกายไปตามเรื่อง
https://youtu.be/TiV8E6Xxmus
(0.21 – สมัยโน้น magazine เมืองนอกแต่ละเล่มจะมีน้ำหอมแห้งฉาบมาในหน้ากระดาษให้คนฉีดเอาไปถูทา  มีเยอะแยะหลากยี่ห้อ  ผมเห็นแล้วนึกถึงตัวเอง  คือทำเป็นประจำเวลาไปยืนดู magazine (ตัวอย่าง) เหล่านี้ที่ห้าง central สีลม  เป็น nostalgia ของผมอย่างหนึ่ง  เวลาทำต้องแอบทำนะ  ไม่ได้ฉีกเพียงแต่แง้มออกมาแล้วเอานิ้วมือป้าย ๆ มาถูกับคอ)


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 23 มิ.ย. 23, 12:17
Ruthless people (ต่อ)

ความที่ผู้ลักพาตัวไม่ได้เป็นคนสันดานโหดร้าย  ช่องทางการหลบหนีจึงเกิดขึ้น
https://youtu.be/Nwaua2lBYAI


เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่นัดเจอกันทีไร  ฝั่งคนเจ้าของเงินค่าไถ่เบี้ยวนัดทุกที  จนผัวหนุ่ม JR สงสัยเลยไปถามเมียเศรษฐีนี BM ว่าทำไมล่ะ
https://youtu.be/priLTcKzyeg


ความที่นัดจ่ายเงินเลื่อนแล้วเลื่อนอีก  เวลาก็ยืดยาวออกไป ในที่สุดเมีย BM ที่แต่แรกอ้วนท้วนก็กลายเป็นสาวหุ่นดีมีชัย  คนถูกลักพาตัวกับคนลักพาตัวก็เลยร่วมกันชื่นมื่น
https://youtu.be/lBc-SKY5pIQ


เมีย BM ได้รู้ความจริงว่าค่าตัวของเธอถูกลงเรื่อย ๆ   กระนั้นผัว DDV ก็ยังเบี้ยวนัดต่อไป
https://youtu.be/jYQp8R_7IDk
(Kmart เป็นห้างที่ได้ชื่อว่าขายของถูกชอบมีนโยบายลดราคาสินค้า)


การแก้แค้นผัวแมงดาเฮงซวยที่กำกับโดยเมีย BM ก็เริ่มขึ้น
https://youtu.be/xT5iqTgypVs

https://youtu.be/3Lwu5WZUSVE

https://youtu.be/d0-_R1YHmuw
(2.53 – ชู้หนุ่มสมองไม่เต็มกะโหลกของเมียน้อยของผัว DDV  โผล่เข้ามาเพราะมีแผนจะเอาแย่งเงินค่าไถ่ไป)


แล้วก็ลงเอยแบบนี้
https://youtu.be/OUen_Q6r6ao


ส่วนตอนของหนังก็แบบ ‘หนัง ๆ’  
https://youtu.be/3dFEJjfW-Sc


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/peGgfrkfmxE


หมายเหตุ – นักแสดงที่รับบทชู้หนุ่มสมองกลวงคือ Bill Pullman ที่ในอีก 10 ปีต่อมา เธอกลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ในหนังเรื่องดัง (แต่สุดจะเลี่ยนในความคิดของผม) Independence Day (1996)
https://youtu.be/3_QSJyJaeD4
อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นใด้ในรั้วของวงการบันเทิง


สำหรับ BM สาวยิ้มหวานของผม  ตอนนี้อายุปาเข้าไปใกล้ 80 แล้ว  ในปีนี้ (2022) เธอกลับมาดังอีกครั้งในหนังตอนต่อจากปี 1993 ชื่อ Hocus Pocus (เคยคุยถึงไปนานน้านนานแล้ว)  หนังที่ครั้งแรกไม่มีใครคิดว่าจะมีตอนต่อได้เพราะนอกจากไม่ทำเงินแล้วยังทำให้ค่าย Disney ขาดทุนตูดแหว่งวิ่น  แต่หนังดันเข้าไปอยู่ในใจของผู้คนในเวลาต่อ ๆ มาทุกครั้งที่เทศกาล Halloween มาถึง  จนทำให้มันกลายเป็น cult classic
https://youtu.be/HaQ4NyUG0QI


อุดมไปด้วยฉากตลกงี่เง่า ๆ เช่นเดิม  ซึ่งให้ความบันเทิงเต็มที่
https://youtu.be/9mJpR7Jo5a4



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 26 มิ.ย. 23, 12:07
ช่วงที่ยังดูทีวีอยู่ ช่อง TCM เอาหนังของ Alfred Hitchcock มาฉายมากมาย Vertigo, North by Northwest, To catch a thief, Rear window ฯลฯ รวมถึงหนังอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเธอคือ Psycho (ได้เห็น John Gavin สุดหล่อ in action เป็นครั้งที่สอง  ครั้งแรกจากเรื่อง Imitation of life  หล่อและแมนไม่น้อยหน้า Rock Hudson  เสียดายเส้นทางในวงการบันเทิงไม่พุ่งแรงเท่า) และ The  Birds ที่เล่นโดย Tippi Hedren ที่เป็นแม่ของ Melanie Griffith

หนังอีกเรื่องที่สนุกมากคือ Dial M for murder (1954)  ดัดแปลงมาจากละครเวที  เนื้อหาก็คือ ผัวจับได้ว่าเมียมีชู้จึงจำเป็นต้องฆ่า  แต่จะลงมือเองก็ไปติดเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่เพ่งเล็ง  คือต่างฝ่ายต่างทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งตายอีกฝ่ายจะได้มรดกทั้งหมด  

ผัวเลยต้องไปว่าจ้างมือสังหารมาทำหน้าที่แทน

หนังปูพื้นละเอียดตั้งแต่การสรรหามือสังหาร  ว่าต้องเป็นคนที่ไม่สามารถตลบหลังได้  และรวมถึงการวางแผนอย่างไรให้รัดกุมรอบคอบ  โดยไม่โดนเข้าปิ้งทั้งคู่

ตอนที่คิดจะเล่าเรื่องนี้  ยังคิดต่อว่า เอ... ถ้าจะงานหนักเพราะ ต้องบรรยายเยอะซึ่งไม่มีเวลามากพอ  จะยกเพียงจุดโน้นจุดนี้มาเล่า  ท่านผู้อ่านก็จะได้อารมณ์ไม่ชัดเจน  มีหนังหลายเรื่องมากที่ทำให้ผมประสบปัญหานี้ หลายเรื่องมีความละเอียดซับซ้อน  ไม่สามารถนำมาเล่าได้อย่างน่าเสียดาย

แต่โชคดีจังที่เรื่องนี้ มีจิตอาสาสรุปมาให้  ทุนเวลาไปเยอะ (เสียดายมีไม่บ่อย)
https://youtu.be/WuzM9DF3Cgw
นักแสดงที่เล่นในบทสำคัญคือ Ray Milland ในบทผัวชื่อ Tony   Grace Kelly ในบทเมียชื่อ Margot (อ่านว่า มาร์โก)  Robert Cumming ในบทชายชู้ชื่อ Mark  และ Anthony Dawson ในบทมือสังหาร (โดยจำยอม)

รายละเอียดเป็นช่วง ๆ
7.01
https://youtu.be/LWIAWDjHhx4

https://youtu.be/Igs1WM2pA54


8.41
https://youtu.be/jPRiyRmsLBo


12.00 – ไม่ใช่ถ่านนาฬิกาหมด  แต่ยุคนั้นเป็นเพราะไขลานนาฬิกาตึงเกินไป
https://youtu.be/8HiCEPL6oa8
ข่าวเล่าว่า  ตอนแรก AH จัดให้ GK อยู่ในชุดกรีดกรายสีแดงกำมะหยี่ในฉากออกมารับโทรศัพท์กลางดึก  แต่ GK ท้วงว่า "This robe would be perfect in Lady Macbeth's sleepwalking scene, but not something I would wear just to answer the phone."  AH เลยขอความเห็นซึ่งเธอบอกว่า ในคืนที่ต้องนอนแอ้งแม้งอยู่คนเดียว หล่อนต้องใส่ชุดนอนธรรมดา ๆ   AH ก็ตามใจ  ผลปรากฏว่างานออกมาเนียนกว่าที่คาดไว้แต่ต้น  ตั้งแต่นั้น AH เลยให้ GK เลือกเครื่องแต่งกายในฉากอื่น ๆ

ส่วนฉากที่ 2.48 ถ่ายทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ภาพกรรไกรอยู่ในมุมที่ให้ความรู้สึกสยดสยอง  นอกจากนี้ตัวกรรไกรจะต้องสะท้อนแสงเพื่อเสริมความสยดสยองนั้นด้วย  AH ให้เหตุผลว่า "It had to be nicely done, but there wasn't enough gleam to the scissors, and a murder without gleaming scissors is like asparagus without the hollandaise sauce, tasteless”


15.08
https://youtu.be/9qorxa6iMm4


19.00
https://youtu.be/DaWi5EoJVGA


20.00
https://youtu.be/9MSGSOjdViQ


31.50
https://youtu.be/JY4UoItJ_lA


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/JWP_hrNHSN4


หนังถ่ายทำในระบบ 3 มิติ (เพิ่งรู้แฮะ มิน่าฉากสำคัญ ๆ ถึงถ่ายออกมาเสียใกล้ลูกตาคนดู)

หนังตื่นเต้นตลอดเรื่อง  และตื่นเต้นที่สุดในฉากท้าย ๆ ของเรื่องที่อยากรู้ว่า ‘ความผิดพลาด’ ของการวางแผนฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นตรงไหน

นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของ Grace Kelly ที่เล่นให้กับ ผกก. Alfred Hitchcock  อีก 2 เรื่องคือ Rear Window (1954) กับ To catch a thief (1955) ที่เธอหรูหราในเครื่องแต่งกายชั้นนำ

รายชื่อนักแสดงที่ AH เลือกไว้ในใจคือ Cary Grant, Deborah Kerr และ William Holden  กาลต่อมาปรากฏว่า DK กับ WH ติดงานถ่ายหนังเรื่องอื่น  ส่วน CG ไม่ยอมเล่นบทคนใจอำมหิต  ข้อเสนอตกมาถึง RM ซึ่งคว้ามับพร้อมบอกว่า  ‘ด้วยความยินดี’

คนที่เป็นแฟนหนังของ AH จะรู้ว่า  เอกลักษณ์ในการทำงานของเธอ  คือจะเอาตัวเองเข้าไปแหยมในหนังทุกเรื่อง  บางทีก็เดินผ่าน  บางทีก็นั่งอยู่ตรงมุมฉาก ฯลฯ  เรียกว่า cameo  ในเรื่องนี้  ตัวเธออยู่ในภาพถ่ายที่เป็นส่วนหนึ่งของ plot สำคัญ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/26/IyTj39.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/IyTj39)


หมายเหตุ - ขอขอบคุณ คุณแมวเล่าหนัง



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มิ.ย. 23, 13:32
ไม่เคยชอบหนังของคุณปู่แกสักเรื่องเดียวค่ะ   ประหลาดมาก
ดูไม่ว่าเรื่องไหนก็รู้สึกว่าบทมันไม่เนียนเลยสักเรื่องเดียว   มีเงาของคุณปู่มายุ่มย่ามเต็มไปหมด 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 27 มิ.ย. 23, 11:58
เรื่องนี้เด็ดขาดครับ ‘จาร

Strangers on a train (1951) เป็นหนังแนวสั่นประสาทจากฝีมือการกำกับของ Alfred Hitchcock อีกเรื่องหนึ่งที่นักวิจารณ์ทั้งอดีตและปัจจุบันให้การยกย่องถึงระดับ 4 ดาว

https://youtu.be/CSftSiUhzH8


หนังเล่าเรื่องชายแปลกหน้า 2 คนมาเจอกันบนรถไฟ  หลังจากคุยกันถูกคอถึงขนาดเล่าปัญหาส่วนตัวแลกกันฟัง  คนหนึ่งก็เสนอว่าน่าจะ ฆ่า ทิ้งซะ  แต่ควรจะใช้วิธี ‘ทำให้ซึ่งกันและกัน’ จะได้ไม่เป็นที่สงสัยของตำรวจ

ฉากเจอกันครั้งแรกของชายแปลกหน้า 2 คนบนรถไฟ  คนหนึ่งเป็นนักเทนนิส  อีกคนหนึ่งเป็นหนุ่มท่าทางมีเงิน  ทั้ง 2 คุยกันถูกคอ  เรื่องที่คุยมาถึงเรื่องส่วนตัวเมื่อ หนุ่มมีเงินรู้ (ความจริงรู้มานานแล้วจากการค้นคว้า) ความลับว่านักเทนนิสมีเมียแล้วแต่เจ้าหล่อนร่านมากจนเขาอยากฟ้องหย่าแล้วไปแต่งกับผู้หญิงลูกสาวนักการเมืองที่แอบคั่วกันอยู่  แต่ความหวังที่จะหย่ายากขึ้นเมื่อ  เมียสำส่อนดันรู้ตัวว่าท้องโดยหาพ่อไม่เจอ  เจ้าหล่อนเลยไม่ยอมตกลงหย่า

หนุ่มมีเงินแนะนำว่าเรื่องแบบนี้ต้องฆ่าทิ้งแต่นักเทนนิสจะทำด้วยตัวเองไม่ได้  เป็นต้องโดนจับ  เขาจึงยื่นข้อเสนอว่าจะดำเนินการให้เพื่อแลกกับการที่นักเทนนิสจะต้องฆ่าพ่อที่เขาเกลียด เป็นการยื่นหมูยื่นแมว (ใช้สำนวนนี้ใช่ปะ)  เหตุผลคือคนโดนฆ่าโดยคนแปลกหน้า  โอกาสที่ฆาตกรโดนจับนั้นยากมาก

นักเทนนิสตะลึงกับข้อเสนอแต่บอกปัด ตอนผลุนผลันจากไปนักเทนนิสดันลืมไฟแช็คไว้
https://youtu.be/SMQ6aga9mI0


แทนที่จะรอการตกลงให้เป็นกิจลักษณะ  หนุ่มมีเงินที่ตอนนี้คนดูรู้แล้วว่าเป็นโรคจิตด้วยก็ลงมือฆ่าเมียสำส่อนของนักเทนนิสโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
https://youtu.be/S04ArwiZwjE


แล้วมาดักแจ้งนักเทนนิสว่า  มีของขวัญมาให้ซึ่งก็คือแว่นตาของเมียที่เลนส์แตกกระจาย  ซึ่งก็หมายความว่าสามารถฆ่าเมียของเขาได้สำเร็จแล้ว  ตานี้ก็ถึงคิวที่นักเทนนิสจะทำงานให้เขาบ้างซึ่งก็คือไปฆ่าพ่อของตน
https://youtu.be/44RYxAPH78A


เมื่อนักเทนนิสปฏิเสธพร้อมบอกว่าไม่เคยได้บอกการตกลงแบบนั้นเลย  หนุ่มมีเงินโรคจิตก็เริ่มตามรังควาน  ถึงขนาดเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจรชีวิตของนักเทนนิส
https://youtu.be/_tVFwhoeQVM

https://youtu.be/dgJUZPwaZUU
1.33 - หนุ่มมีเงินโรคจิตเมื่อเห็นหน้าน้องสาวของแฟนนักเทนนิสถึงกับตะลึงเพราะหน้าเหมือนเมียนักเทนนิสที่ตัวเองเพิ่งลงมือฆ่าไป  และทำโจ๊กสาธิตเรื่องวิธีการฆาตกรรมคนให้ชาวบ้านดู เผอิญช่วงนั้นน้องสาวของแฟนใหม่ของนักเทนนิสเดินเข้ามาในฉาก  หนุ่มมีเงินโรคจิตเห็นเข้าก็นึกถึงเมียนักเทนนิสที่ตัวเองเพิ่งฆ่าไปอีก  เพราะ 2 คนนี่หน้าตาคล้ายกัน  อารมณ์เผลอทำให้เขาบีบคอผู้หญิงที่ตัวเองกำลังสาธิตอยู่จนเกือบตาย
https://youtu.be/FL1acMVcHGo


น้องสาวแฟนใหม่ของนักเทนนิสเล่าเรื่องให้พี่สาวฟัง  ทำให้เธอประติดประต่อเรื่องได้ว่าฆาตกรที่ฆ่าเมียนักเทนนิสคือใคร  เธอจึงไปเล่าให้นักเทนนิสฟังและนักเทนนิสก็เผยเรื่องแผนฆาตกรรมของหนุ่มมีเงินโรคจิตออกมา

หนุ่มมีเงินโรคจิตเดินเรื่องต่อด้วยการส่งรายละเอียดในการฆ่าพ่อของตนมาให้นักเทนนิส  นักเทนนิสรีบไปที่บ้านหนุ่มมีเงินโรคจิตเพื่อแจ้งพ่อของเขาแต่กลับต้องเผชิญกับตัวหนุ่มมีเงินโรคจิตแทนเพราะความไม่ไว้ใจ

เมื่อเห็นว่านักเทนนิสจะล้มแผนหนุ่มมีเงินโรคจิตจึงเปลี่ยนแผนเป็นลวงให้ตำรวจจับนักเทนนิสข้อหาฆ่าเมียตัวเอง  ด้วยการย้อนกลับไปที่สถานที่เกิดเหตุแล้วทิ้งไฟแช็คที่นักเทนนิสลืมทิ้งไว้บนรถไฟตั้งแต่ต้นเรื่องไว้เป็นหลักฐาน แต่พนักงานของสวนสนุกคุ้นหน้าหนุ่มมีเงินโรคจิตว่าป้วนเปี้ยนอยู่ในวันเกิดเหตุฆาตกรรม  จึงไปแจ้งตำรวจ  ในขณะที่ด้วยความเอะใจ นักเทนนิสจึงตามมาทัน ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น (ฉากนี้ตื่นเต้นและสนุกมาก)
https://youtu.be/csE9FuQVJ1s


ตามด้วยฉาก aftermath
https://youtu.be/jVxyX7FcS4Q


ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/J1iSS5r0OVE


Cameo อันเป็นเอกลักษณ์ของ ผกก. AH อยู่ที่ฉากที่นักเทนนิสลงจากรถไฟ

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/27/IFJfaS.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/IFJfaS)


บทนักเทนนิสเล่นโดยนักแสดงชื่อ Farley Granger  บทหนุ่มมีเงินโรคจิตเล่นโดยนักแสดงชื่อ Robert Walker  ทั้งคู่เป็นนักแสดงระดับรองในยุคทองของฮอลลีวู้ด  RW ตายหลังจากเรื่องนี้ถ่ายทำแล้วเสร็จไปเพียง 8 เดือนเนื่องจากแพ้ยาที่ใช้รักษาโรคติดสุรา

FG เป็นนักแสดงเกย์แต่ปกปิดอีกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดยุคทอง  เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าช่วงการถ่ายทำหนังเรื่องนี้และได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ RW เป็นประสบการณ์ที่เขามีความสุขที่สุด  ในยุค studio  เธอมีหน้าฉากเป็นคู่ตุนาหงันกับ Shelley Winters และ Ava Gardner

ในตอนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวชื่อ ‘Include Me Out’ ที่ออกขายในปี 2007  กล่าวถึง FG ที่เล่าถึงฮอลลีวู้ดยุคทองว่า

Granger feels lucky to have been a part of Hollywood's Golden Age. He writes about what may have been the quintessential Hollywood party. Gary Cooper called to invite Granger to a party for Clark Gable. Granger quickly accepted.

The Cooper estate overflowed with the town's elite: Greer Garson, Ronald Colman, Jimmy Stewart, David Niven, Ray Milland, James Mason, Deborah Kerr, Myrna Loy and many others.

"Clark Gable arrived late, and it was an entrance to remember," Granger writes. "He stopped for a moment at the top of the stairs that led down into the garden. He was alone, tanned, and wearing a white suit. He radiated charisma. He really was The King.''

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/06/27/IFJOPR.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/IFJOPR)


หมายเหตุ – หนัง Strangers on a train เป็นหนังขาวดำเรื่องเดียวในชีวิตที่ผมดูซ้ำถึง 2 ครั้ง  เพราะมันสนุกมาก ๆ



กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 29 มิ.ย. 23, 11:56
To kill a mockingbird ออกฉายในปี 1962  หนังสร้างจากนิยายรางวัล Pulitzer ปี 1960 เขียนโดย Harper Lee

หนังสนุกมาก  เล่าทีละน้อย  รวดเดียวเดี๋ยวเบื่อ  เสียดายเสน่ห์ของหนัง

หนังดำเนินเรื่องตามปากเล่าของตัวละครเอกในเรื่อง  ส่วนเหตุการณ์ของท้องเรื่องเกิดขึ้นในปี 1932  จุดศูนย์กลางอยู่ที่ครอบครัวของผู้เล่าอันประกอบด้วยพ่อหม้าย (Atticus Finch) และลูกวัยอยากรู้อยากเห็น 2 คน  เป็นชาย 1 (Jem) หญิง 1 (ทอมบอยชื่อเล่นว่า Scout)

หัวหน้าครอบครัวทำหน้าที่ทนายสมถะที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ว่า ‘All people deserve fair treatment’ อาชีพการงานของเขาจึงรับใช้ชนชั้นล่างมากกว่า  ผลที่ได้คือฐานะการเงินอยู่ในขั้นจุ๋มจิ๋มเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีเงินจ่าย  จึงมักจ่ายด้วยผลิตผลที่ตนทำอาชีพอยู่เช่นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ฯลฯ

การดำเนินเรื่องของหนังเริ่มแรกแยกเป็น 2 plot

Plot แรกเกี่ยวพ่อที่โดนว่าจ้างให้เป็นทนายแก้ต่างให้กับนิโกรที่โดนใส่ความว่าข่มขืนสาวผิวขาว  ส่วน Plot 2 หนักแน่นในช่วงแรก  เกี่ยวกับความซุกซนของ 2 พี่น้องที่ต่อมามีเด็กสอดรู้สอดเห็นมาร่วมสร้างความโกลาหลด้วยอีก 1 รวมเป็น 3  

เป้าหมายหลักของเด็กทั้ง 3 คือ  Boo เพื่อนบ้านหนุ่มลึกลับที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าตา  เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ที่หนักไปทางขนพองสยองเกล้า

วันหนึ่งในวันหยุดเทอม  เด็กทั้ง 2 ฆ่าเวลากันอย่างสนุกนาน  Cunningham เป็นอีกหนึ่งลูกค้าที่ AF ให้ความช่วยเหลือ  แต่ไม่มีเงินจ่าย  เลยเอาผลิตผลที่ตนทำอาชีพมาส่งส่วยแทน
https://youtu.be/muZdy82zFb0
เด็กทั้ง 2 ไม่เคยเรียก AF ว่าพ่อ... 3.49 คือเด็กคนที่ 3 ชื่อ Dill  ดูเหมือนคนแคระนะผมว่า... 5.30 เป็นบ้านของ Boo  

กิตติศัพท์ของ Boo (ดูเฉพาะภาคแรก)
https://youtu.be/tQKkILXIU9U
ป้าของ Dill คือนักแสดงชื่อ Alice Ghostley ซึ่งต่อมานักดูหนังฝรั่งชาวไทยคุ้นตากับบทแม่มดเฟอะฟะ Esmeralda ในหนังทีวีชุด แม่มดเจ้าเสน่ห์


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 30 มิ.ย. 23, 11:51
เกมนี้ท่าทางสนุก แต่ผมคงไม่เล่นเพราะเวียนหัวตายชัก clip จบที่มันกลิ้งเข้าไปในเขตบ้านของ Boo  Jem วิ่งขึ้นไปแตะประตูหน้าบ้านเพราะ Dill เคยท้าไว้ว่าเขาไม่มีทางทำได้
https://youtu.be/St9Ge_oqiL0


ดีใจที่มีคนเอาฉากน่ารักนี้มาปล่อย  มีการเฉลยว่าทำไมเด็ก 2 คนถึงไม่เรียก AF ว่าพ่อ
https://youtu.be/tmzg4KoPsUg


เด็กทั้ง 3 ตัดสินใจไปสืบหา Boo ชายลึกลับ  ดูไปก็ตื่นเต้นไป
https://youtu.be/mc7ckliCd6E
1.48 ตอนแรกผมสงสัยที่ Jem สั่งว่าให้ถุยน้ำลาย  มองก็ไม่เห็นว่าทำทำไม  นึกว่าทำไสยศาสตร์ประมาณตัดไม้ข่มนาม  สักแป๊บก็เข้าใจ  ถุยใส่บานพับที่เป็นสนิทให้มันลื่นนั่นเอง


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 03 ก.ค. 23, 11:12
ในที่สุดก็เปิดเทอมเด็กทุกคนไปโรงเรียน  รวมถึง Scout  
https://youtu.be/LaeonnC5-Jw
2.28 เด็กชายที่โดน Scout กระหน่ำคือลูกชายของ Cunningham ในตอนต้นเรื่อง  ดูไปเรื่อย ๆ แล้วชอบ Scout ที่สุด  ท่าทางเอาเรื่อง  แก่นแก้วสุดขีด เธอแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าได้น่าร้ากน่ารัก...

ในที่สุด Jem ก็ชวนเด็กชายไปกินข้าวที่บ้าน
https://youtu.be/w_z2ALnm8PA
2.20 คำอธิบายว่า ทำไมถึงไม่ Kill a mockingbird

but to remember it was a sin to kill a mockingbird.
- Why? –
Well, I reckon... because mockingbirds don't do anything but make music for us to enjoy. Don't eat people's gardens. Don't nest in the corn cribs. They don't do one thing but just sing their hearts out for us.

3.41 ชอบช่วงนี้มาก  สมกับอุดมการณ์ของ AF ที่ว่า  ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกัน

ฉาก AF ยิงหมาบ้า  Jem หมกมุ่นกับปืนมาก  คงอยากมีเป็นของตัวเองแต่พ่อไม่ให้  1.10 สีหน้าพ่อหนูตอนเห็นพ่อตัวเองยิงปืนนัดเดียวหมาจอด
https://youtu.be/Th6QxEgSOrk


ข้ามมาที่ plot ของ AF  เขาไปสืบหาข้อมูลที่บ้านของนิโกรที่โดนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรข่มขืน  ผู้ชายตอนท้าย clip คือพ่อของสาวที่โดนข่มขืนที่ปักใจมั่นว่าหนุ่มนิโกรเป็นผู้กระทำ
https://youtu.be/ojydQ3_FDqI
เด็ก 2 คนสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อคือ ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 04 ก.ค. 23, 12:01
หนังเรื่องนี้มีบทเรียนให้ศึกษาเยอะแยะเช่นตอนต้นของ Clip นี้

https://youtu.be/K0ele0TdLPc
2.35 ท่าเดินแบบ Egyptian ของ Jem  ทำให้ผมนึกถึงเพลง (อดแขวะเข้ามาหาเพลงไม่ได้อ้ะ) ดังสุดขั้วในปี 1986 ชื่อ Walk like an Egyptian ไม่ได้  ไม่รู้ผู้แต่งเนื้อและออกแบบท่าได้แรงบันดาลใจมาจากฉากนี้ของหนังรึเปล่า
https://youtu.be/Cv6tuzHUuuk

3.08 เด็กทั้ง 2 จะพบของกระจุกกระจิกในโพรงต้นไม้ข้างบ้านอยู่เนือง ๆ  ล่าสุดคือตุ๊กตาที่สลักจากสบู่เป็นรูปเด็กชายหญิงที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าคือ Jem กับ Scout

AF โดนนายอำเภอขอร้องให้ไปช่วยอารักขาความปลอดภัยให้กับหนุ่มนิโกรด้วยได้รู้มาว่า  จะมีฝูงอันธพาลมากำจัด  เด็ก 3 คนแอบตามมาและเข้ามาขวางการใช้กำลัง  Scout แก้สถานการณ์ (ด้วยความไร้เดียงสา) ให้กับพ่อของตัวเอง  
https://youtu.be/oaVuVu5KXuE
1.10 มีศัพท์ entailment ซึ่งผมไม่เข้าใจ
Entailment or fee tail is the process in which a property cannot be sold, devised by will, or otherwise done anything with by the owner. The property passes by law to the heir of the owner upon his death. Entailment was used to keep properties in the main line of succession. The heir of an entailed property could not sell the land, or give it to say an illegitimate child.

In this context Mr. Cunningham has been telling Atticus and the children about his property is entailed.


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 06 ก.ค. 23, 11:58
ครึ่งหลังของหนังเป็นฉากการไต่สวนที่สนุกมาก  นั่งอ้าปากบ๋อดูอย่างตั้งใจ  AF เป็นทนายแก้ต่างให้กับจำเลย Tom Robinson  ศาลสมัยก่อนไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก

นี่คือพ่อของสาวที่อ้างว่าโดน TR ข่มขืน
https://youtu.be/xg2KjgVA9UU


ส่วนนี่คือนังลูกสาวตัวแสบ
https://youtu.be/44TG_H_oY2E


นี่คือ TR
https://youtu.be/DhetrQJg4lE


ผลของการพิจารณาคดี ซึ่งก็ไม่แปลกใจแต่อย่างไร  ก็เหล่าลูกขุนผิวขาวผ่องเป็นยองใยกันถ้วนทั่ว  ฉากท้าย clip น่าประทับใจมาก
https://youtu.be/IH_wkRJmKSA


ถึงแม้ผลการตัดสินของศาลจะออกมาว่า TR ผิด  แต่ AF ไม่ยอมแพ้เขาจะทำเรื่องขออุทธรณ์ต่อไป  เขาบอก TR ให้อดทน  แต่ TR มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง  ระหว่างคุมตัวไปฝากขัง  TR พยายามหลบหนีเลยโดนเจ้าหน้าที่ยิงตาย  Clip นี้เป็นฉากที่ AF เดินทางไปบอกข่าวร้ายกับครอบครัวของ TR  ไอ้เวรท้าย Clip คือ  Bob Ewell  พ่อขี้เมาตัวแสบ
https://youtu.be/pViznMttfZs


มีต่อ..


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 07 ก.ค. 23, 12:29
เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งถึงวัน Halloween  ทุกคนลืมเรื่อง TR นักโทษคดีข่มขืนไปเรียบร้อย  ต่างสนุกสนานกับงานประกวดการแต่งกาย  จัดขึ้นที่โรงเรียน หนังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าใครได้  แต่คืนนั้น scout แต่งเป็นแฮม (คงจะขาหมู) พอถึงเวลางานเลิกก็ปรากฏว่ามีคนโขมยเสื้อผ้าของเธอ  แม่หนูเลยต้องใส่ชุดขาหมูกลับบ้าน

ระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดอะไรขึ้นเชิญทัศนา
https://youtu.be/FROgIia2cb8


ฉากต่อเนื่อง  (0.59 – กรุณาเงี่ย...  พวกผู้ใหญ่คิดว่าเป็นฝีมือของพ่อหนู Jem  อีกช่วงหนึ่งคือ 2.12  ถ้าไม่ใช่พ่อหนู Jem แล้วใคร... เล่นเอาน้ำตาซึม)
https://youtu.be/RbZ3wm7yF6I


เหตุการณ์ต่อจาก clip ข้างบนซึ่งไม่มี clip สนับสนุน
Mr. Finch, do you think Jem killed Bob Ewell? Is that what you think? Your boy never stabbed him. Bob Ewell fell on his knife. He killed himself.

There's a black man dead for no reason. Now the man responsible for it is dead. Let the dead bury the dead this time, Mr. Finch.

I never heard it was against the law for any citizen to do his utmost to prevent a crime from being committed, which is exactly what he did.

But maybe you'll tell me it's my duty to tell the town all about it, not to hush it up. You know what'll happen then. All the ladies in Maycomb, includin' my wife, will be knockin' on his (Boo’s) door bringin' angel food cakes.

To my way of thinkin', takin' one man, who done you and this town a big service, and draggin' him with his shy ways into the limelight. To me, that's a sin. It's a sin.

And I'm not about to have it on my head. I may not be much, Mr. Finch, but I'm still Sheriff of Maycomb County, and Bob Ewell fell on his knife.

Good night, sir.

Mr. Tate was right. What do you mean? Well... it would be sort of like shooting a mockingbird, wouldn't it?


ตอนจบของหนัง
https://youtu.be/AYEjYGJCSyM
Thank you, Arthur. Thank you for my children.

Narrator: Neighbors bring food with death and flowers with sickness and little things in between. Boo was our neighbor. He gave us two soap dolls, a broken watch and chain, a knife and our lives.

One time Atticus said you never really knew a man until you stood in his shoes and walked around in them. Just standing on the Radley porch was enough.

The summer that had begun so long ago had ended, and another summer had taken its place. And a fall.

And Boo Radley had come out (ถ้าเป็น dialogue ในยุคนี้ก็หมายความถึง  Boo ประกาศว่า 'ข้าเป็นเกย์ (come out)). I was to think of these days many times, of Jem and Dill and Boo Radley and Tom Robinson. And Atticus.

He would be in Jem's room all night, and he would be there when Jem waked up in the morning.


ผมเพิ่งบอกไปว่าในชีวิตดูหนังขาวดำซ้ำสองครั้งเรื่องเดียวคือ Strangers on a train  ที่จริงด่วนสรุปไปหน่อย  แก่แล้วเลอะๆ เลือน ๆ  หนังเรื่องนี้ก็ดู 2 ครั้งเช่นกัน

ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกทาง IBC  นมนานกาเล  ก่อน SOAT เสียอีก  จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าสนุก  เมื่อไม่นานนี้ Website ให้โหลดหนังเอาเรื่องนี้มาปล่อย  ก็กลืนน้ำลายตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะจำที่บอกว่าไม่ชอบหนังขาวดำ  โหลดมาดูอีกครั้ง  อยากรู้ว่าที่จำได้ไม่ลืมว่ามันสนุกนั้นสนุกอย่างไร  

ปรากฏว่ามันสนุกอย่างนี้นี่เอง  สนุกจนลืมความความหดหู่ของสีขาวดำไปเลย  ฉากการไต่สวนตื่นเต้น  ทำให้นึกถึงฉากนี้ในหนังเรื่อง Judgement in Nuremberg
  
แต่ที่ชอบที่สุดคือฉากตอนต้นเรื่อง ผมชอบบรรยากาศของทิวทัศน์ (แม้จะเป็นในโรงถ่าย) มันสบาย ๆ สดใส  ปราศจากเทคโนโลยี  คิดว่าถ้าเป็นเด็กในยุคนั้นคงมีความสุข  มีความทรงจำมากมายสามารถเล่าให้ลูกหลานฟังในภายภาคหน้า  เหมือนกับเรื่องราวของหนังเรื่องนี้

หนังประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน  รายได้มากเป็น 6 เท่าของต้นทุน  ได้เข้าชิง Oscar 8 สาขา  และได้มา 3  เป็นสาขานำชาย Gregory Peck  บทภาพยนตร์ และ Art Direction ซึ่งหลังจากดูแล้วไม่ประหลาดใจ

แต่ที่เสียดายมากคือ นักแสดงประกอบหญิงคือ Mary Badham ในบท Scout  ไม่น่าพลาดเลย  เธอแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ดีจริง ๆ

Pedigree ของหนังเรื่องนี้คือ  In 1995, the film was selected by the Library of Congress for preservation in the National Film Registry as "culturally, historically, or aesthetically significant". In 2003, the American Film Institute named Atticus Finch the greatest movie hero of the 20th century. In 2007, the film ranked twenty-fifth on the AFI's 10th anniversary list of the greatest American movies of all time. In 2020, the British Film Institute included it in their list of the 50 films you should see by the age of 15.  

หมายเหตุ ที่บอกว่าเนื้อเรื่องหนังมาจากการบอกเล่า  คนที่เล่าเรื่องนี้ก็คือ Scout ในตอนเป็นผู้ใหญ่

อีกหนึ่งหมายเหตุ – มีสาวกหนังเรื่องนี้สรุปเรื่องราวของฮีโร่ Boo ให้
https://youtu.be/PPuPdbcgQ94
บรรยายของ youtube ห่วยแต่ก็ยังดี  


จบแล้นนน


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ก.ค. 23, 11:59
Firebird (2021) เป็นหนังเกย์ร่วมสร้างระหว่างอังกฤษกับ Estonia  ที่เล่าเรื่องความรักต้องห้ามระหว่างพลทหารหนุ่มน้อยกับนักบินหนุ่มใหญ่  บรรยากาศของหนังย้อนกลับไปในช่วงสงครามเย็น

Sergey Fetisov พลทหารประจำการในค่ายหนึ่งในรัสเซีย  ซึ่งในไม่กี่อาทิตย์ก็จะปลดประจำการ  งานของเธอคือเป็นช่างภาพ  ความไฝ่ฝันในอนาคตคือการเป็นนักแสดง
Roman เป็นนักบินหนุ่มใหญ่ที่ย้ายมาประจำการที่นี่  ทั้ง 2 พบกันและพึงพอใจกัน
 
https://youtu.be/HvQ__6z0bQY


SF แอบหลงรัก R  วันหนึ่งบรรยากาศก็เอื้ออำนวย
https://youtu.be/mTQlejz0ptA


ทั้ง 2 สานความสัมพันธ์แบบลับ ๆ พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ KGB จับได้  แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องหวุดหวิด  ทำให้ R ซึ่งตระหนกในอนาคตของตนเป็นฝ่ายถอยและพยายามยุติความสัมพันธ์กับพลทหาร SF
https://youtu.be/VIJ9xo33cVE


SF ปลดประจำการแล้วมุ่งหน้าสู่ Moscow เพื่อสานความฝันที่จะเป็นศิลปินโดยได้แรงยุมาจากอดีตแฟนนักบิน R  ฝ่าย R แต่งงานกับพลทหารหญิงเพื่อนสนิทของ SF  แต่ก็ยังอดคิดถึงชีวิตอีกด้านหนึ่งกับ SF ไม่ได้เขาจึงหลอกเมียว่าจะไปเรียนต่อที่ Moscow แต่ความจริงคือ  ไปตามหา SF ซึ่งก็เจอ  แต่ผลการพบกันไม่เป็นตามที่คาด  R ผิดหวังกลับไป  แต่แล้ว...
https://youtu.be/iK2-e803rYw


R ทำตัวเหมือนเสือเข้าป่า  เขาไม่ยอมกลับบ้านไปหาครอบครัว  เขาซื้อ apartment อยู่กับ SF  แต่วันหนึ่งเมียและลูกของ R ก็ออกตามหาและพบความจริงว่า ผัวของเธอกำลังใช้ชีวิต 2 ด้านขนานกันไป
https://youtu.be/QjC9vlHY0Is


เมื่อความแตก ชีวิต 2 ด้านของ R ย่อยยับ  ระหว่างออกปฏิบัติภาระกิจในสมรภูมิ Soviet-Afghan  R เสียชีวิต  ฉากทรงพลังนี้คือตอนที่ SF เมื่อได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของ R ก็เดินทางมาแสดงความเสียใจกับเมีย R ซึ่งในอดีตเคยเป็นเพื่อนสนิทของเขา
https://youtu.be/QftmqDFqW8U


หนังจบแบบเศร้า ๆ  รักสามเส้าที่พังย่อยยับ สาเหตุมาจากความลังเล
 
พื้นฐานของหนังมาจากเรื่องจริง  โดยดัดแปลงมาจากบันทึกของ Sergey Fetisov ซึ่งก็คือ พลหทารหนุ่มน้อย  แต่ก่อนที่หนังจะเริ่มถ่ายทำเขาก็ตายเสียก่อน
https://youtu.be/QbntkyoSO8Q

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/07/10/MTpaSb.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/MTpaSb)


ตัวละครสำคัญในเรื่องคือ พลทหารหนุ่มน้อย SF แสดงโดยนักแสดงชาวอังกฤษชื่อ Tom Prior  ส่วนนักบินหนุ่มใหญ่ Roman แสดงโดยนักแสดงชาว Ukraine ชื่อ Oleg Zagorodnii เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จึงต้องเข้า course ฝึกพูดหนัก 3 เดือน

ในงาน Premiere หนังที่ London คนสำคัญที่มีส่วนในการสร้างหนังเรื่องนี้มาปรากฏตัวกันพร้อมหน้ายกเว้น OZ เพราะ Ukraine บ้านเกิดของเขากำลังมีเรื่องขัดแย้งกับ Russia   เขาถูกส่งไปปฏิบัติภาระกิจที่ Kiev หนังเรื่องนี้ได้รับคำชมล้นหลามจากทุกเทศกาล LBGT และกวาดรางวัลมามากมาย

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/D7XT9OWifHs


ชื่อเรื่อง Firebird  ก่อนดูหนังผมก็สงสัยว่ามันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอย่างไร  ดูไม่เห็นเกี่ยวกับ theme ของหนังซึ่งออกไปทาง โรแมนติก-ดราม่า แต่อย่างใด  พอดูจบแล้วก็ไม่เห็นความสัมพันธ์อยู่ดี  มารู้ใน wikiฯ ว่า Firebird เป็นชื่อของการแสดง ballet อันเป็นผลงานของ Igor Stravinsky เป็นฉากอยู่ในช่วงแรก ๆ ของหนังที่ R พา SF ไปชมหลังจากรู้ว่าเขาชอบศิลปะการแสดง  แต่ไม่เคยได้ดูอะไร ๆ พวกนี้ที่มีคุณภาพเลย (1.09 ใน clip ตัวอย่างหนัง)

(https://sv1.picz.in.th/images/2023/07/10/MTvSIe.jpeg) (https://www.picz.in.th/image/MTvSIe)


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 10 ก.ค. 23, 12:20
งานชิ้นหน้าจะเป็นงานเขียนชุดสุดท้าย 

ครั้งเริ่มต้นเมื่อ 2-3 ปีก่อนเป็นตอนที่ชีวิตยังมีอิสระเสรี  รู้สึกสนุกในการทำงานชิ้นนี้มาก  ความที่เป็นผีหนัง  ดูหนังมาเป็นพัน ๆ เรื่อง  ทั้งจอเล็กจอใหญ่  แต่ละเรื่องก็มีสิ่งละอันพันละน้อยให้ต้องจดจำ  ทั้งดีและไม่ดี  พอได้ลงมือเขียน  ก็เหมือนกับเปิดก๊อก  มันก็พรั่งพรูกันออกมา  บางทีเขียนเรื่องนี้อยู่ยังไม่จบ  อีก 2 เรื่องแทรกเข้ามาในสมองแล้ว  ต้องจดเอาไว้  ช่วงนั้นสามารถเขียนได้วันละหลาย ๆ เรื่อง  เกินกว่าจะเอามาลงได้หมด  ก็เอาใส่กล่องไว้ค่อย ๆ ทะยอยลง
 
ตามสันดานคน  ทำไป ๆ นานเข้าความเบื่อเริ่มแพรมเข้ามา  วัตถุดิบยังมีเหลืออีกตั้งเยอะ  ทำไมเริ่มเบื่อเสียแล้วล่ะ  ตัวเร่งให้ความเบื่อมากขึ้นคือการหา clip  บางเรื่องมี clip ย่อยเยอะแยะก็ต้องมานั่งดูเป็นอัน ๆ ไปว่า clip ไหนครอบคลุมฉากที่เอ่ยถึงมากที่สุด เสียเวลาไม่ใช่น้อย ในขณะที่บางเรื่องหา clip มาสนับสนุนฉากที่อยากให้เห็นไม่ได้เลย หาอยู่นานน้านนาน  ตอนนั้นเวลาทั้งโลกเป็นของเรา  ก็ไม่เป็นไร  นั่ง 'คลิ้ก' ไป ๆ  ส่วนใหญ่เวลาที่ใช้หา clip สนับสนุนเรื่องนานกว่าเวลาเขียน  มันมาทั้งเบื่อและเซ็งตรงที่เมื่อถึงเวลาเอาเรื่องลง  บาง clip ที่เตรียมไว้หายไปเสียฉิบ  เจ้าของเอาคืนบ้าง  ติดลิขสิทธิ์บ้างต้องเอาออก  ก็ต้องมานั่งหาใหม่  บางทีก็จำไม่ได้แล้วว่านำเสนอ clip อะไรไว้  เพลียใจ...

แต่ก็ยังทำต่อไปได้  ยังสนุก  เพราะเวลาทั้งโลกเป็นของเรา  มาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา  มีหมายเรียกตัวกลับไปรับใช้ชาติ  เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง  ยังคิดอยู่ว่าเดี๋ยวเอาไปเขียนต่อคงได้  ยังมีอีกหลายร้อยเรื่องที่อยากฝอย  เอาให้ไม่คนเขียนก็คนอ่านตายกันไปข้าง  แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นเช่นที่คาดไว้  นี่แหละสัจธรรม  อนาคตเป็นสิ่งที่อยู่เกินขอบเขตการคาดเดา  เมื่อพบว่าหลังจากได้ลงสนามแล้ว  หาเวลาว่างประเภท 'มีคุณภาพ' ไม่เจอ  วัน ๆ กระเด้งเข้ากระเด้งออก (ระหว่างห้อง และระหว่างในบ้านกับนอกบ้าน  หมายถึงโน่นออกไปร่อนอยู่ข้างถนน)  กระเด้งขึ้นกระเด้งลง (ระหว่างชั้น) เอาให้ว่อนและเหนื่อยแฮกเหมือนหนูใส่แว่นแก่ ๆ  ซึ่งจะดำเนินตามรอยนี้ไปอีกนานเท่าไรก็สุดจะเดา

ในเมื่อชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้  จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งเขียนนั่งไล่หา clip ที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เวลาว่างที่พอหาได้ก็อยากจะเอนกายแล้วหลับตา

สรุปแล้ว 1 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ผลิตงานใหม่ออกมาเลย  เอาแต่บุญเก่ามาลง  ไม่น่าเชื่อว่าตอนนั้นบ้าระห่ำขนาดสามารถเขียนงานสะสมไว้ให้อ่านได้นานถึง 1 ปีเต็ม

ซึ่งบัดนี้บุญเก่าก็จะเกลี้ยงหลังจากจบงานชื้นหน้านี้  ก็ต้องปิดฉากงานเขียนของตัวเองในกระทู้นี้  คงได้เจอกันอีกแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเพราะยังบ้าดูหนังอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง  มีหลายเรื่องที่ให้แรงบันดาลใจอยากเขียน  แต่มันไปได้ไกลแค่ 'อยาก' เท่านั้น

ตอนนี้ก็มาขลุกอยู่กับงานเพลงในกระทู้ของ 'จาร เทาชมพู (รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [1 (ช่วงท้าย) & 2]) ความจริงเขียนเรื่องเพลงสนุกกว่ามาก  มีความสุขด้วย  'ความหลัง' ทั้งนั้น  ประมาณว่า  เพลงนี้ตอนที่กำลังกระจายเสียงอยู่นั้นเรากำลังทำอะไรอยู่หนอ  ได้ทำอะไรที่ให้ความสุขมันก็สนุก  จิ้ม ๆ ไป 2-3 บรรทัดแล้วหยอด clip ซึ่งหาได้ง่ายและเร็วกว่าคลำหาเม็ดยาที่ชาติทำหล่นหายไปบนพื้นเป็นไหน ๆ  เขียนแป็บ ๆ ก็ได้ตอนนึง  แต่คงจะดำเนินไปได้อีกไม่นาน  ด้วยเงื่อนไขจากชื่อของกระทู้  ก็นักร้องไม่ได้ตายกันทุกวันนิ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 23, 13:23
ถ้าคุณโหน่งยังมีไฟที่จะเขียนถึงนักร้อง  ยังสนุกที่จะเล่าถึงเสียงสวรรค์เมื่อวันวาน   (เสียงของวันนี้แยกไปได้อีกกระทู้ ไม่เกี่ยวกัน)  ดิฉันจะตั้งกระทู้ใหม่ให้  เพิ่มเรตติ้งให้เรือนไทย
จะเอาชื่อเหมาะกับวัยผู้อ่านเรือนไทย อย่าง "เสียงสวรรค์เมื่อวันวาน"  หรือจะเอาชื่อตรงๆ ว่า "เล่าถึงนักร้องเทศและไทยในอดีต"  หรือจะแยกกระทู้เป็นเทศหนึ่งกระทู้  ไทยหนึ่งกระทู้    ก็ตามใจได้ทั้งนั้นค่ะ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ก.ค. 23, 12:10
ถ้าคุณโหน่งยังมีไฟที่จะเขียนถึงนักร้อง  ยังสนุกที่จะเล่าถึงเสียงสวรรค์เมื่อวันวาน   (เสียงของวันนี้แยกไปได้อีกกระทู้ ไม่เกี่ยวกัน)  ดิฉันจะตั้งกระทู้ใหม่ให้  เพิ่มเรตติ้งให้เรือนไทย
จะเอาชื่อเหมาะกับวัยผู้อ่านเรือนไทย อย่าง "เสียงสวรรค์เมื่อวันวาน"  หรือจะเอาชื่อตรงๆ ว่า "เล่าถึงนักร้องเทศและไทยในอดีต"  หรือจะแยกกระทู้เป็นเทศหนึ่งกระทู้  ไทยหนึ่งกระทู้    ก็ตามใจได้ทั้งนั้นค่ะ

ไฟยังลุกแรงครับ  เขียนถึงเรื่องที่ให้ความสุข (กับคนเขียน)  ไฟไม่มอดง่าย ๆ  รอให้งานในกระทู้ของ 'จาร จบก่อน  แล้วจะกราบเรียน 'จาร ช่วยตั้งกระทู้ใหม่นะครับ  ไม่อยากทำขนานกัน  จะเป็นการยัดเยียด  กลัวของดีจะเสียค่า

ขอบคุณครับ


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 12 ก.ค. 23, 12:22
The Long Long Trailer เป็นหนังตลกที่ออกฉายในปี 1954  นักแสดงนำนั้นพวกเรานักดูหนังฝรั่งร่วมยุครู้จักกันดีคือ 2 ผัวเมีย Desi Arnaz กับ Lucille Ball  หนังเล่าเรื่อง 2 หนุ่มสาวที่กำลังข้าวใหม่ปลามันจากการแต่งงาน ผัวหนุ่มได้งานทางวิศวกรรมที่จำต้องย้ายถิ่นอยู่เนือง ๆ เมียสาวจึงมีความคิดที่จะซื้อบ้านเคลื่อนที่เสียเลยเพื่อความสะดวก  เธอวาดฝันที่จะได้ตื่นขึ้นในสถานที่นานาทิวทัศน์ที่ล้วนจะโรแมนติก  แต่ความฝันกับความเป็นจริงนั้นต่างกันลิบลับ

อ่านชื่อนักแสดงนำก็รู้ว่าเป็นหนังตลก  ซึ่งก็ตลกจริง ๆ ตามแนวของ 2 ผัวเมียคู่นี้  อาจจะล้าสมัยสำหรับชนยุคใหม่  ก่อนโหลดผมก็หาตัวอย่างหนังดูเพื่อชิมลาง  ปรากฏว่าหนังสีสดใสมาก  แล้วก็ถ่ายทำนอกสถานที่เสียเป็นส่วนใหญ่  ได้เห็นวิวของอเมริกาในยุค 50s  อันเป็นยุคโปรดของผม  ตึกรามบ้านช่อง  การใช้ชีวิตของคนในยุคนั้น  และรวมถึงรถอเมริกันสวย ๆ

ไตเติ้ลหนังที่แสนจะ classic  ถ้านั่งดูในสมัยนั้นคงเฉย ๆ
https://youtu.be/MqLfO4i3vTI


ฉากงานแสดงรถ trailer  ในหนังยาวกว่านี้มาก ผมนั่งดูตาถลน (ตอนนี้ตากลับเข้าที่แล้ว)  เกิดมาเพิ่งเคยเห็นงานแสดงพาหนะประเภทนี้  ที่เคยเห็นเป็นแค่ Motor Show ในยุคสมัยต่าง ๆ  ผมพยายามหางานแสดงพาหนะประเภทนี้ทาง youtube แต่ไม่เจอ  เลยไม่รู้ของจริงอลังการแบบนี้รึเปล่า
https://youtu.be/oUZYuqizeHQ


Trailer ที่เมียแก้วตั้งใจจะไปหยิบฉวยคือคันที่แสดงอยู่ข้างหลังเธอที่เมื่อเห็นของจริงแล้วปรากฏว่าเล็กกระจิ๋วหลิว  แต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาขายที่ตั้งไว้คือ $1700s เพียงแต่แผ่นพับโฆษณาทำเว่อร์เกินจริง  ขณะผิดหวังตาเจ้าหล่อนก็เหลือบไปเห็น trailer ตัวใกล้ ๆ  แล้วก็โดนดูดเข้าไปเหมือนต้องมนตร์  เสียดายจังที่ clip ลากยาวไปไม่ถึงการตกแต่งภายใน  เอาเป็นว่าหล่อนก็ต้องสาปเมื่อตัวแทนขายล่อเอาว่างบ $1700 นั้นสามารถเป็นเจ้าของได้  ที่เหลือ (จากทั้งหมดเกือบ $6000) ก็ไว้ผ่อนเอาทีหลัง
https://youtu.be/J8GReeca704


ผมพยายามเสาะหา trailer รุ่นนี้ของจริงจาก youtube มาให้ชม  ได้ clip นี้มาซึ่งเยี่ยมเลย  จำลองของที่ใช้ในหนังเรื่องนี้มาให้ชม  หน้าตามันเป็นอย่างนี้
https://youtu.be/6q0RItXp5TQ


ส่วน clip นี้เป็นตัวจริงเสียงจริง  ผมว่าแต่งจนดูเลอะเทอะ
https://youtu.be/LOd-_P5joIY


กลับมาที่หนังกันต่อ  หลังจากได้บ้านเคลื่อนที่ในฝัน (ของเมียรัก) แล้ว  แทนที่จะจบเรื่อง  การณ์กลับเป็นว่ามีเรื่องปลีกย่อยตามมาอีกเป็นหางว่าว  อย่างแรกคือ  trailer ตัวนี้ทั้งใหญ่และหนัก (3 ตันมั้งถ้าจำไม่ผิด)  รถที่จะลากได้ต้องมีกำลังสูงพอ  ซึ่งปรากฏว่ารถเก่าของ 2 ผัวเมียนี้เก่าจริง ๆ  ไม่สามารถฉุดไอ้ตึกติดล้อนี่ได้  จึงจำต้องซื้อรถใหม่  คือ Mercury Monterey  คันที่เห็นใน clip  

หลังจากซื้อเสร็จก็ได้รับข่าวดีต่อไปว่า  ต้องนำรถใหม่คันนี้ไปเสริมตัวลากซึ่งมีทั้งหมุดและล้อเสริมเพื่อช่วยระบายน้ำหนักของ trailer (อธิบายจากที่ได้ดูในหนัง  เป็นความรู้สำหรับคนที่อยู่ในดินแดนที่ไม่เป็นที่นิยมการใช้ trailer)
https://youtu.be/50OFuouSZm4


หลังจากการเตรียมการเรียบร้อยซึ่งเกินงบไปหลายเท่าตัว  จนผัวแก้วมึนงงกับตัวเลขที่จ่ายไป  ก็ถึงเวลาทดลองขับ  นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ของผัวเพราะเธอไม่เคยขับรถพ่วงมาก่อน  เสียดายมากว่า clip เสริมมีแค่ clip นี้  ในหนังดูเพลินไปเลย
https://youtu.be/QEKdCEYtgOw


มีต่อ...


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: nathanielnong ที่ 13 ก.ค. 23, 11:55
ต่อไปก็เป็นรายการ Lucy & Desi Show  อันมีให้ชมตลอดเรื่อง  บางมุขก็น่ารัก  บางมุขก็เชย  ทั้งหมดเป็นมุขแบบเจ็บตัว/ทำลายข้าวของ (Slapstick)
https://youtu.be/vvEhKMztwmY


ฉากนี้เกิดขึ้นเมื่อคู่ผัวเมียแวะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของเมีย  ทุกคนตะลึงกับ trailer คันใหญ่ยักษ์
https://youtu.be/U6CbffjZ6fI
(ในหนังไม่มีเพลงประกอบนี้  ความจริงมี clip เด็ดแต่โดนถอดออกไปแล้ว... เซ็ง)


แถมเพลงเพราะให้ฟังสลับกับความวุ่นวาย  ในหนังนั้นระหว่างทางมีการพาชมวิวธรรมชาติของอเมริกาในยุค 50s  ที่สวยขาดใจ
https://youtu.be/UCTYo3_Ij1U


นี่คือฉากเด่น Lucy Show  เรื่องเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในวันก่อน ๆ ที่กว่าจะได้ฤกษ์ทำอาหารเย็นกินกันก็ต้องไปให้ถึง Trailer Park ก่อน  กว่าจะจัดขบวนรถเข้าที่ เตรียมเครื่องครัว  ลงมือทำอาหาร  กว่าจะเสร็จเรียบร้อย  คนขับก็หิวตาลายพาลง่วงอยากนอนไปเลย

เมียแก้วก็เกิดความคิดว่า  ก่อนจะถึง Trailer Park ข้างหน้าสักช่วงระยะทางหนึ่ง  ก็จอดแล้วให้เจ้าหล่อนเข้า trailer ไปปรุงอาหาร  ซึ่งกว่าจะเสร็จก็คงได้เวลาพอดีกับการเอาขบวนรถเข้าจอดเรียบร้อย  ไม่ต้องมาเสียเวลาคอยเหมือนก่อน

แต่ความที่ไม่มีประสบการณ์  ความโกลาหลก็เกิดขึ้นอย่างที่เห็น  อีกอย่างทั้งคู่ไม่ได้ศึกษาว่าขณะเดินทางต้องล็อค trailer พร้อมกับประตูลิ้นชักต่าง ๆ ให้แน่นหนา  และที่สำคัญห้ามคนเข้าไปอยู่ในนั้น  นี่เป็นกฏหมายถึงขั้นถูกปรับเลย
https://youtu.be/QAsglWFsRd8


ฉากนี้เป็นฉากของ Lucy and Desi Show ฉากสุดท้ายของเรื่อง  เมื่อถึงเส้นทางสุดท้ายของ trip ที่จะต้องข้ามเขาที่มีความสูง 8000 ft  ผัวแก้วก็เอาขบวนรถไปตรวจตราเพื่อความปลอดภัย  เจ้าหน้าที่เมื่อเห็นก้อนหินขนาดเขื่องรวมถึงบรรดาขวดแยมทำเองวางอยู่เกลื่อนใน trailer ก็เตือนว่าต้องเอาทิ้งให้หมดเพราะน้ำหนักจะมากเกินไปรถจะลากไม่ไหว  ก็มาถึงจุดคัดง้างเมื่อเมียแก้วค้านว่าบรรดาก้อนหินเหล่านี้เก็บมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสนุกสนานของทั้งคู่ขณะแวะตามที่ต่าง ๆ ส่วนขวดแยมเธอก็อ้างว่าอุตส่าห์หมักไว้

สุดท้ายผัวแก้วยื่นคำขาด
https://youtu.be/1HZvFxEn5k8
เมื่อผ่านด่านนี้ไปได้แล้วมารู้เรื่องเอาทีหลังว่าเมียแก้วไม่ได้ทิ้งอะไรที่สั่งไว้ไปเลยสักอย่างหรือสักชิ้น  2 ผัวเมียก็กัดกัน  ถึงขั้นจะเลิกกัน  แต่ตามสูตรของหนังตลก  ในที่สุดก็เข้าใจกันได้

ตัวอย่างหนัง
https://youtu.be/Ucb9O8q1eOc


แถม clip สั้น ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตใน trailer ใน trailer park ในยุค 1950s ของชนชาวอเมริกัน
https://youtu.be/SfbqK5MNbHk


สำหรับ clip นี้เป็น long trailer รุ่นล่าสุดของปีนี้ 2023 ยี่ห้อ trailer ที่ดังและหรูหราระดับโลก ถ้าเป็นเก๋งก็ประมาณ Rolls Royce ก็คือ Airstream จุดเด่นของ trailer ของบริษัทนี้คือตัวถังที่ทำด้วยอลูมิเนียมมันปลาบ
https://youtu.be/ER79TNnQOno


เป็นอันว่าจบงานของผมแต่ตรงนี้  ต้องขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่อนุญาตให้ใช้พื้นที่สำหรับ ‘ปล่อยของ’ 


กระทู้: ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.ย. 23, 10:14
เชิญต่อที่กระทู้นี้ค่ะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7377.new#new