กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: chatchawan ที่ 05 ส.ค. 12, 12:57 เราถือว่าพระองค์ทรงเป็นมหาราชพระองค์หนึ่งของไทยอีกพระองค์หรือไม่ครับ พอดีได้อ่านในวิกิพีเดียว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 31 มีนาคมของทุกปีเป็น วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า หรือ วันเจษฎาบดินทร์ เป็นวันสำคัญของชาติ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ และเห็นชอบให้ให้ถวายพระราชสมัญญาว่า “ พระมหาเจษฎาราชเจ้า ” แปลว่า “ พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่ ”
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 ส.ค. 12, 15:59 อดีตบูรพมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา การตั้งสมัญญามหาราชหากตั้งทุกพระองค์คงเฝือ ทุกพระองค์ล้วนมีจุดเด่นในแต่ละรัชกาล ในรัชกาลพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างบ้านแปลงเมืองให้พระนครกรุงรัตนโกสินทร์งดงามและแข็งแรง ป้อมเมือง กำแพงเมืองแข็งแรงแน่นหนา วัดวาอารามล้วนสร้างเสริมและสร้างใหม่ต่อจากรัชกาลที่1 การค้าขายรุ่งเรืองเป็นอย่างมากจนเก็บสะสมเงินพระคลังข้างที่ไว้จำนวนมากจนนำมาไถ่บ้านไถ่เมืองในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 การสร้างพระพุทธรูปมีจำนวนมากมายทั้งใหญ่และเล็ก และที่สำคัญพระองค์ทรงรักแผ่นดินสยามมากทรงเห็นแก่บ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใด
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ส.ค. 12, 17:29 ถ้าสหายทั้งปวงว่าง เราน่าจะคุยกันเรื่อง จดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติ จะได้เห็นราชกิจอันหนักหน่วง และความรู้ความสามารถของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในการเดินเรือ สมัยที่ตามหาหนังสือเล่มนี้ ลำบาก หาไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้มีหลายฉบับ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 ส.ค. 12, 17:48 ถ้าสหายทั้งปวงว่าง เราน่าจะคุยกันเรื่อง จดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติ จะได้เห็นราชกิจอันหนักหน่วง และความรู้ความสามารถของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในการเดินเรือ สมัยที่ตามหาหนังสือเล่มนี้ ลำบาก หาไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้มีหลายฉบับ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 12, 21:03 "ทูลเรื่องอื่นมิได้ชื่นเหมือนเรื่องวัด
เวียนแต่ตรัสถามไถ่ให้ใฝ่ฝัน ถึงวัดนั้นวัดนี้เป็นนิรันดร์ ถึงเรื่องปั้นเขียนถากสลักกลึง" กลอนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้แต่ง นายมี (หลวงศุภมาตรา) กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 07:37 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระอุทิศพระราชทรัพย์และพระวรกายในการทำนุบำรุงพระศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงสร้างวัดวาอารามประดับพระนครเป็นศรีสง่าแก่บ้านเมืองเป็นจำนวนมาก
เมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่เห็นว่าท่านโปรดการสร้างวัด ข้าราชการต่าง ๆ ก็ล้วนดำเนินรอยตาม บริจาคที่ดินสร้างวัดตามอย่างและถวายเป็นพระราชกุศลอย่างมากมาย วัดที่โดดเด่นในกรุงเทพ มีด้วยกันหลายวัดคือ ๑. วัดกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ด้วยการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ด้วยปูนปั้น สูงราวพระพุทธรูปวัดพนัญเชิง (พระพุทธไตรรัตนนายก) ๒. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งทรงได้ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ เปลี่ยนโฉมหน้าวัดไปให้ใหญ่โต งดงามปานประหนึ่งเทวดาสร้าง ๓. พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม เป็นพระปรางค์ที่สร้างครั้งยังทรงเป็นเจ้าฟ้า และสำเร็จด้วยงานศิลป์กระเบื้องถ้วยในสมัยพระองค์ ๔. พระสมุทรเจดีย์ เริ่มสร้างยังทรงเป็นเจ้าฟ้า และก่อสร้างมาแล้วเสร็จในสมัยพระองค์ ๕. วัดยานนาวา ทรงประมาณเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ว่าเรือสำเภาต่อด้วยไม้จะลดบทบาทลงไป จึงทรงให้จำลองไว้ ๖. พระปรางค์วัดสระเกศ เป็นพระปรางค์สูงใหญ่ริมคลองมหานาค หากสร้างสำเร็จจะมีความใหญ่โตกว่าพระปรางค์วัดอรุณ ๗. พระพุทธรูปที่โปรดเกล้าให้หล่อด้วยทองแดงก็มี พระพุทธรูปที่หล่อด้วยกลักฝิ่นก็มี พระพุทธรูปทรงเครื่องถวายพระนามแผ่นดินต้น แผ่นดินกลางก็มี พระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างกษัตริย์งดงามที่วัดนางนองก็มี พระพุทธรูป ๓๔ ปางถวายเฉลิมพระเกียรติอดีตบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มี กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 08:43 ยอดพระเจดีย์เอียง
ณ เดือน ๘ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จออกขุนนาง พระองค์เข้าชุมสาย กราบทูลว่ายอดพระเจดีย์ใหญ่นั้นเอียงทั้ง ๓ องค์ โดยองค์เหนือเอียงไปด้านเหนือ องค์กลางเอียงไปทางตะวันตก องค์ใต้เอียงไปทางใต้ด้านละศอกเศษ ทรงตรัสถามถึงว่า "ทำไมจึงเอียงไปทั้งสามองค์" หลังจากนั้นทรงไม่เสด็จออกขุนนางกว่า ๗ วัน ทรงประชวรด้วยมึนพระยอด เสวยได้ ๓ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง ครันบแล้วทรงออกเสด็จขุนนางโดยไม่ทรงประทับบังลังก์ ทรงหลับพระเนตรด้วยยังมีอาการเวียนพระยอด แต่ก็ยังทรงดำรัสถามถึงเรื่องยอดพระเจดีย์เอียง เหล่าขุนนางจึงกราบทูลว่าจะขอรับอาสาทำยอดพระเจดีย์ ซึ่งเอียงไปเนื่องด้วยหนักบัวกลุ่มโดย พระมหาเทพ จัดการดูแลยอดพระเจดีย์ด้านเหนือ พระอินทรเดชา จัดการดูแลยอดพระเจดีย์องค์กลาง พระยาราชรองเมือง จัดการดูแลยอดพระเจดีย์ด้านใต้ ครั้นแล้วเดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๘๒ ทรงออกว่าราชการและทรงถามถึงเรื่องยอดพระเจดีย์ที่เอียงว่า "ช่างกระเลย เอียงไปเสียทั้งหมดสามองค์ จะเหลือให้สักหนึ่งองค์ก็ไม่ได้ พระยาศรีพิพัฒน์ออกมาเสียแล้ว จะอาศัยพระยาเพ็ชรพิไชยช่วยดูแลให้ดีก็ไม่ได้ อายเขาหนักหนา" คิดแล้วเสียพระทัย พระอาการพระวาโยกำเริบขึ้นมาเนื่องจากพระโรคเก่า กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 09:09 ทรงแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียที่สวนขวา
ครั้งสวนขวาในพระบรมมหาราชวังเกิดตมเน่าเสียเนื่องจากน้ำที่ขังไม่มีการระบายออกไป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเป็นทรงกรมเจษฏาบดินทร์ทรงช่วยเป็นพระราชภาระในการจัดการออกแบบวางท่อไขน้ำเข้าสวนขวาเสียใหม่ ทรงจ้างช่างชาวจีนมาทำการซ่อมแซมและทรงวางแผนการวางท่อไขน้ำเข้าออกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงถือไม้วาเข้าออกประตูอนงคลีลาด้วยไม่ถือพระองค์ ทรงงานสนองพระเดชพระคุณพระพุทธเลิศหล้านภาลัยด้วยความกระฉับกระเฉง การสำเร็จด้วยการไขน้ำเข้าสวนขวาได้อย่างงดงาม ด้วยการวางท่อนำน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่พระบรมมหาราชวังโดยตรง น้ำจึงหมุนเวียนไม่เน่าเสีย และไม่เกิดโคลนตมก้นบ่อเป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 09:39 อ้างถึง หลังจากนั้นทรงไม่เสด็จออกขุนนางกว่า ๗ วัน ทรงประชวรด้วยมึนพระยอด เคยอ่านราชาศัพท์ พบว่าพระยอดหมายถึง หัวฝี แต่ในที่นี้เห็นจะหมายถึงพระเศียรละมังคะ ? กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 09:43 http://www.youtube.com/watch?v=7vh01FEyYLw
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 09:44 http://www.youtube.com/watch?v=RvujPDx3wlY
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 09:45 http://www.youtube.com/watch?v=XYmH8yRKNk8
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 10:19 อ้างถึง หลังจากนั้นทรงไม่เสด็จออกขุนนางกว่า ๗ วัน ทรงประชวรด้วยมึนพระยอด เคยอ่านราชาศัพท์ พบว่าพระยอดหมายถึง หัวฝี แต่ในที่นี้เห็นจะหมายถึงพระเศียรละมังคะ ? "ทรงวิงเวียนพระเจ้า" ครับผม :-[ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 11:01 ทรงวิงเวียนพระเจ้า ----> เวียนศีรษะ
;D กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 11:16 จุลศักราช ๑๒๑๒ พุทธศักราช ๒๓๙๓ นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรไม่สบายพระองค์มาตั้งแต่เดือน ๑๐ บรรทมไม่หลับ ให้ทรงคลื่นเหียน เสวยพระกระยาหารไม่ถึงประมาณตามปกติได้ ไม่สบายพระองค์เสด็จออกได้บ้าง มิได้บ้าง มาหลายเดือน ครั้นรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๒ ขึ้น ๗ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๙ มกราคม พระโรคมากขึ้น พระบังคนเบาก็ขุ่นข้นเป็นตะกอน พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายในมีความร้อนใจ พร้อมกันกันปรึกษาให้แพทย์ประกอบพระโอสถ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย แล้วก็พากันนอนประจำซองอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนทุกแห่ง พระโรคไม่คลาย พระอาการประทังอยู่ กำลังพระกายทรุดไปทีละน้อย ๆ
ในข้อความของคุณ siamese ข้างบนนี้ บอกว่า "หลังจากนั้นทรงไม่เสด็จออกขุนนางกว่า ๗ วัน ทรงประชวรด้วยมึนพระยอด เสวยได้ ๓ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง ครันบแล้วทรงออกเสด็จขุนนางโดยไม่ทรงประทับบังลังก์ ทรงหลับพระเนตรด้วยยังมีอาการเวียนพระยอด แต่ก็ยังทรงดำรัสถามถึงเรื่องยอดพระเจดีย์เอียง " แสดงว่าทรงวิงเวียนพระเศียรมากจนลืมพระเนตรไม่ขึ้น เสวยอะไรก็ไม่ลงถึงขั้นไม่เสด็จออกขุนนางถึง ๗ วัน พระบังคนเบาขุ่นเป็นตะกอน อ่านจากที่พงศาวดารบันทึกพระอาการประชวรไว้ตามนี้ ผู้รู้เรื่องการแพทย์ ที่อยู่ในเรือนไทยพอจะสันนิษฐานได้ไหมคะว่า พระโรคน่าจะเกี่ยวกับอะไร ความดันโลหิตสูง? ไต? กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 06 ส.ค. 12, 12:10 จดหมายพระราชทานพระอาการ โปรดเกล้าให้พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าบุตรีเชิญออกให้ เมื่อ เดือน ๓ แรม ๕ ค่ำปีจอ โทศก เวลาเช้า ๔ โมงเศษ มีข้อความดังนี้
"...จงรู้อาการโรคของข้าซึ่งเจ็บครั้งนี้ เดิมให้กะเสาะกะแสะกินเข้าไม่มีรสตั้งแต่เป็นมาสักปีเศษสองปีแล้ว กินเข้าเก้ามือสิบมื้อจะมีรสสักมื้อหนึ่ง เบื่อเข้าสวยกินแต่เข้าต้มเข้าบุหรี่เข้ามูนกะทิ มือหนึ่งได้สักถ้วยหนนึ่งข้อนถ้วย แล้วเจ็บหลังเสียดท้องข้างซ้ายตามชายโครงตั้งแต่ยอดยอกจนไปถึงเกลียวปัศฆาฏ ตามสายเสียดตั้งแต่ชายโครงลงไปกระทั่งข้อเท้า ได้ให้นวดก็หายบ้าง พอประทังอยู่บ้าง .... กินยาหลายขนานแล้ว พอประทังมาได้ ร่างกายก็ซูบผอมลงทุกวัน ๆ เดี่ยวนี้เจ็บล้มหมอนนอนเสื่อ เสียดเฟ้อข้างตำหระซ้ายแล้วเกิดใหม่แต่ปิดอุจจาระปิดผายลมเสีย นอนหงายไม่ได้ ให้เสียดให้เต้นในท้อง ให้ปวดฝักให้คลื่นให้เหียน ให้หิวเป็นกำลังกินเข้าไม่ได้เลย ให้เจ็บหน้าตะโพกนอนไม่หลับ แล้วเกิดโรคอีกอย่างหนึ่งให้ขัดปัสสาวะเบาออกเล็กน้อย ให้ปวดอยู่หลายวันจึงค่อยเบาออกมา ได้คลายปวดหน่อยหนึ่ง...." พอจะประมาณได้ว่าการปวดร้าวชายโครงถึงข้อเท้า คงจะเป็นด้วยระบบเส้นประสาท ซึ่งอาจจะเกิดจากนิ่วในไตกระมังครับ ถึงได้ฉี่น้อย นอนได้ข้างเดียว ต้องนอนหงายอย่างเดียว ท่านคงเป็นนิ่วจนสวรรคต กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 09:01 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกวีเอกผู้หนึ่งในรัชกาลที่ ๒ แต่เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็มิได้ทรงสร้างสรรค์วรรณคดีอีก มุ่งไปทางด้านการปกครองและศาสนา แต่ความเป็นกวียังทิ้งร่องรอยไว้ในภาษาที่ทรงใช้ เป็นภาษาที่อ่อนหวาน สละสลวยในเนื้อความ ถนอมน้ำพระทัยเจ้าฟ้ามงกุฎ ตลอดจนให้เกียรติผู้ที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึง
เห็นได้จากจดหมายกระแสพระราชโองการที่ทรงมีไปถึงสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร ในช่วงเวลาท้ายๆเมื่อใกล้สิ้นแผ่นดิน ทรงบรรยายถึงเรื่องที่อัดอั้นตันพระทัยอยู่ ในเรื่องศาสนานิกายธรรมยุติที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงสถาปนาขึ้นมา ว่าด้วยการห่มผ้าอย่างพระมอญ “พ่อมั่งขา พ่อจงเป็นเชฐมัตตัญญู พ่อจงรู้วารน้ำจิต และอธิบายของข้าผู้พี่ อันขันธะทุพพลภาพมากอยู่แล้ว ด้วยแผ่นดินศรีอยุธยา ทรงพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์แล้ว กับพี่ด้วยอีกคนหนึ่ง เป็น ๓ ตั้งแต่แผ่นดินล้นเกล้าล้นกระหม่อมสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ท่านได้ปราบดาภิเษกปีขาลนั้นมาได้ ๕ ปี ถึงปีมะแมพี่จึงเกิด ตั้งแต่จำความได้มา จนอายุได้ ๒๒ ปี ได้บวชในแผ่นดินนั้น ต่ออายุ ๒๓ จึงสิ้นแผ่นดินไป มาเป็นแผ่นดินของล้นเกล้าล้นกระหม่อมอีก ๑๖ ปี จึงมาเป็นแผ่นดินของพี่ พระสงฆ์ผู้เป็นสงฆรัตนในกรุงศรีอยุธยาก็เห็นนุ่งสบงทรงจีวรเป็นลูกบวบทั้งสิ้นด้วยกัน แต่พม่ารามัญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่นั้นแหละ เห็นครองผ้าผิดกับพระภิกษุของเรา จึงเรียกกันว่า พระมอญ เดี๋ยวนี้พระไทยก็ห่มผ้าเป็นมอญ โดยอัตโนมัติปัญญาของพี่ เห็นว่าถ้าล้นเกล้าล้นกระหม่อมยังเสด็จอยู่ ก็เห็นจะให้ประชุมพระราชาคณะ ได้ว่ากล่าวกันให้เห็นว่าควรไม่ควรนานแล้ว นี่พี่กลัวจะเป็นบาปเป็นบุญ เป็นคุณเป็นโทษ พระสงฆ์จะแตกร้าวกันไป จึงมิได้ว่ากล่าว แต่ใจนั้นรักแต่อย่างบุราณอย่างเดียวนั้น และสืบไปเบื้องหน้าพระภิกษุไทยซึ่งห่มผ้าเป็นมอญนั้นศูนย์ไปพี่เห็นว่าจะควรกับศรีอยุธยา ก็ถ้าแม้นกลับมากขึ้นอีกด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง ชื่อของพี่ผู้ได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ก็มีแต่จะเสียไป เขาจะว่าเป็นเมืองมอญเมืองพม่าไปเสียมาแต่ครั้งแผ่นดินนั้น นี่แลเป็นความวิตกของพี่มากนักหนา ให้พ่อเห็นแก่พี่ ช่วยเอาขึ้นแจ้งกับกรมหมื่นนุชิตชิโนรส เธอเป็นบรมญาติอันใหญ่ ทรงไว้ซึ่งผ้ากาสาวพัตร์ ทั้งรู้พระสัทธรรมของพระเจ้าเป็นอันมาก แล้วก็เป็นพระภิกษุศรีอยุธยา พี่มีจีวรอยู่ผืนหนึ่ง ให้พ่อช่วยถวายกรมหมื่นนุชิต ถ้าเธอจะรับเอาไว้ครองได้ ก็ให้ถวายเธอเถิด ถ้าเธอมิรับไว้ครองแล้ว ก็ให้เอาคืนมาเสีย” เรื่องนี้ทรงอดกลั้นอยู่ถึง ๒๑ ปี จนจวบจะสวรรคต จึงได้ตัดสินพระราชหฤทัยมีจดหมายกระแสพระราชโองการ โดยโปรดให้ พระราชโอรส คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรรณพ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี ต้นราชสกุล ‘อรรณพ ณ อยุธยา’ จดตามพระราชดำรัส ณ วันอังคาร เดือน ๓ แรม ๒ ค่ำ ปีจอโทศก เพลาตี ๒ ทุ่มเศษ (พ.ศ. ๒๓๙๓) เมื่อได้รับพระบรมราชโองการ ‘พ่อมั่ง’ ก็ไปกราบทูล "กรมหมื่นนุชิตชิโนรส" หรือสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ปรากฏว่า เมื่อรับพระราชทานจีวรแล้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ท่านก็ทรงครองทันที และทรงครองแบบที่สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มีพระราชประสงค์มาตลอดพระชนมชีพ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 10 ส.ค. 12, 20:40 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดที่จะทำบุญให้ทานมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เช่น
๑. ทรงตั้งโรงทานแจกทานสำหรับประชาชนที่โรงทานหน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อความทราบถึงพระบรมชนก (รัชกาลที่ ๒) ก็ทรงโปรดยินดีในการกระทำครั้งนี้ ก็ทรงตั้งโรงทานเพิ่มเติมขึ้นอีก ๒. คราวเกิดไทยยกกองทัพไปปราบเมืองไทรบุรี กองทัพเกิดขาดแคลนอาหาร พระองค์ทรงโปรดให้ตั้งโรงทานเลี้ยงกองทัพและชาวเมือง แถมยังทรงเป็นกังวลเรื่องมีหมูหรือไม่ ทรงทราบว่าแขกไม่ทานหมู ทรงเป็นห่วงว่าจะผิดประเพณีแก่เขา ๓. เมื่อก่อสิ้นพระชนม์ ทรงแจกทานราษฎรคนละบาท ทรงแจกให้กับพระสงฆ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ๔. การไม่ทำบาปนี้ พระองค์ยังทรงเห็นว่า "หอยเบี้ย" ที่ใช้ในพระราชอาณาจักรของพระองค์นั้น ชาวเรือต้องจับหอยมาขายในเมืองไทย ซึ่งหมายถึงการฆ่าสัตว์ หอยจำนวนมากต้องมาตาย จึงทรงเลี่ยงติดต่อไปยังทูตอังกฤษ อยากทำเหรียญดอกบัว - เมืองไทย และเหรียญช้างขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นบาป กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 10 ส.ค. 12, 21:08 ยังไม่เคยอ่านพงศาวดารรัชกาลที่สาม แต่ตั้งท่าไว้แล้ว
ได้อ่านจดหมายเหตุหลวงอุดมสมบ้ติตอนต้นๆ(ยังอ่านไม่จบ) เห็นได้ว่าความตั้งใจในการรักษาอาณาเขตของพระองค์ท่านเต็มเปี่ยม โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างผู้บริหารประเทศในยุคประชาธิปไตย กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 09:35 พระบรมปัจฉิมโอวาท แม้แต่ประชวรหนักใกล้จะสวรรคต พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้าก็ยังทรงห่วงใยบ้านเมือง
"การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว" จาก พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: tikky1974 ที่ 15 ส.ค. 12, 15:36 นักเรียนใหม่...ขอมานั่งเรียนด้วยคนนะค่ะ ;D
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ส.ค. 12, 16:07 เชิญคุณทิกกี้มาที่ ห้องเรียนภาษาไทย (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2403.msg103104#msg103104) ด้วย
;D กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 20:51 ^
ครูเพ็ญรับน้องใหม่ไปแล้ว ;) " วัดไหนไหนก็ไม่ลือระบือยศ เหมือนวัดราชโอรสอันสดใส เป็นวัดเดิมเริ่มสร้างไม่อย่างใคร ล้วนอย่างใหม่ทรงคิดประดิษฐ์ทำ ทรงสร้างด้วยพระมหาวิริยาธึก โอฬารึกพร้อมพริ้งทุกสิ่งขำ ล้วนเกลี้ยงเกลาเพราเพริศดูเลิศล้ำ ฟังข่าวคำลือสุดอยุธยา " เพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติ โดย นายมี วัดราชโอรสฯหรือวัดจอมทองเมื่อแรกสร้างนั้นมีความงดงามแปลกตาเป็นที่เลื่องลือ กระทั่งมีชาวไทยและชาวต่างชาติลงเรือมาชมมิได้ขาดรวมทั้ง จอห์น ครอเฟิร์ด (John Crawfurd)ราชทูตอังกฤษที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเขียนบันทึกยกย่องวัดแห่งนี้ไว้ว่า "เป็นวัดที่สร้างขึ้นได้อย่างงดงามที่สุดของบางกอก" เมื่อทรงปฏิสังขรณ์เสร็จจึงน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระอารามหลวงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนกโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า "วัดราชโอรส"อันหมายถึงวัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์พระอารามไว้เป็นจำนวนมาก ถึงกับมีคำกล่าว ในรัชกาลที่ ๓ ถ้าใครสร้างวัดวาอารามก็เป็นคนโปรด ในจำนวนวัดที่ทรงสร้างบูรณะและปฏิสังขรณ์ ไม่มีวัดไหนเป็นที่เลื่องลือเสมอด้วยวัดราชโอรส กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 20, 09:48 วันที่ 31 มีนาคม วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า
ถวายบังคมพระมหาเจษฎา ธิราชราชามานั่งเกล้า แม้เสด็จนิพพานนานเนา แต่ร่มเงาพระบุญญายังถาวร อำนาจพระราชศรัทธามหาศาล โปรดได้มาบริบาลผันผ่อน หล่อเลี้ยงรักษาประชากร สยามให้พ้นร้อนได้เย็นใจ บุญกุศลเปนของมีจริง พระบารมียอดยิ่งยังเห็นได้ ทั้งหมดมาประมวลถ้วนรวมไว้ ขับไข้ให้ห่างเขตประเทศเทอญ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 20, 09:49 .
กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 20, 09:55 จาก FB คลังประวัติศาสตร์ไทย
เรื่องลี้ลับ ฉบับวังหลวง!!! (ภาค3) บุรุษร่างท้วมเดินหายเข้าไปในพระบรมสาทิสลักษณ์ ในสมัยรัชกาลที่5 เมื่อการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ ก็เสด็จฯย้ายเข้ามาประทับภายในพระที่นั่งองค์นี้ พระที่นั่งองค์นี้ถูกออกแบบให้มีช่องตามฝาผนังเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่างๆ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้ยังเป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นสถานที่ประทับและเป็นที่สวรรคตของพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกรัชกาล "เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์(องค์ต้นราชสกุลจักรพงษ์)ยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ได้ประทับเล่นภายในพระที่นั่ง อยู่ๆพระองค์ก็ทรงเห็นบุรุษร่างท้วมสวมเสื้อผ้าอาภรณ์โบราณแปลกตาเดินผ่านมาทางด้านหน้าพระองค์แล้วเดินเลยหายเข้าไปในพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ด้วยความที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์พระชนม์ยังน้อย พระองค์จึงตะโกนเรียกออกไปตามประสาเด็กว่า"นั่นใครกัน ออกมาเดี๋ยวนี้..ออกมาสิ!! แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครออกมา เหล่าข้าหลวงพระพี่เลี้ยงในบริเวณนั้นเมื่อเห็นเหตุการจึงซักไซ้ทูลถามสมเด็จเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไร ไม่นานนักความจึงทราบถึงฝ่าละอองพระบาทของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา(พระอัครมเหสีในขณะนั้น) ท่านจึงรับสั่งถามเจ้าฟ้าจักรพงษ์อีกครั้งหนึ่งว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไรหน้าตาผิวพรรณเป็นอย่างไร สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์จึงตอบไปตามที่พระเนตรเห็น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงทราบได้ทันทีว่า บุรุษที่เดินหายเข้าไปในภาพนั้น แท้จริงคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมาปรากฏพระองค์ให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ได้ทอดพระเนตรเห็น ดังนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯจึงทรงรีบเป็นธุระจัดหาดอกไม้ธุปเทียนแพพาสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ไปถวายและขอขมาลาโทษที่ไปล่วงเกินดวงพระวิญญาณ หลังจากนั้นเจ้านายและผู้คนในวังทั้งหลายจึงได้รู้ว่าดวงพระวิญญานสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ทุกรัชกาลจะยังคอยปกปักรักษาพระบรมหาราชวังและพสกนิกรของพระองค์อยู่เสมอ กระทู้: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 20, 09:57 อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เล่าว่า
บรรดาปราสาทพระราชมณเฑียรที่สร้างมาพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทร์นั้น นอกจากจะมีความใหญ่โตโอฬารแล้ว ยังมีความเก่าดูน่าวังเวง ทั้งยังไม่ค่อยมีผู้คน บรรยากาศจึงชวนให้นึกถึงเรื่องผีและวิญญาณ ชาววังฝ่ายหน้าฝ่ายในจึงมีเรื่องประเภทนี้เล่ากันมาก และเรื่องที่ซุบซิบกันมากกว่าทุกเรื่องก็คือ เรื่องพระวิญญาณ ร.๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีผู้อ้างว่าเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะพวกที่อยู่เวรยามในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งชั้นบนเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปขนาดใหญ่ของรัชกาลต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่โอ่โถงรโหฐานและวังเวงมากแห่งหนึ่ง ทุกคนที่อ้างว่าเห็นเล่าตรงกันว่า ทรงพระภูษาแดงลอยชายปราศจากฉลองพระองค์ แค่เห็นด้านหลังก็รู้ว่าเป็นองค์พระนั่งเกล้าฯ เพราะอ้วนใหญ่กว่าทุกรัชกาล คนที่อยู่เวรยามเห็นก็ไม่กล้าร้อง เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่ไม่ห่างไปนัก กลัวจะถูกเฆี่ยนหลังลาย ได้แต่ตัวสั่นงันงกรีบก้มกราบด้วยความกลัว เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า เหตุเกิดตอนกลางวันขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่สิ้นแสง เวลาราว ๕ โมงเย็น พวกฝ่ายในได้เชิญเสด็จ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ หรือ “ทูลกระหม่อมเล็ก” ไปทรงเล่นตามประสาเด็กกับพระโอรสของเจ้านายต่างกรมอีก ๒-๓ พระองค์ที่มีชันษา ๕-๖ พรรษาไล่เลี่ยกัน ในห้องโถงชั้นล่างของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพราะเป็นห้องที่โล่งไม่มีเครื่องตกแต่ง เพื่อให้เจ้านายพระองค์น้อยกระโดดเต้นกันได้สะดวก ในขณะที่เจ้านายพระองค์น้อยกำลังทรงเล่นซ่อนหากันอยู่ โดยทูลกระหม่อมเล็กเป็นฝ่ายหา ก็ทรงร้องโวยวายขึ้นมาว่า “ใครนี่...ใครที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่หน่อยซิ” พวกมหาดเล็กก็วิ่งกันเข้าไปด้วยความแปลกใจ ทรงรับสั่งอย่างไม่พอพระทัยว่า “พิลึกแท้ๆ ซุ่มซ่ามเข้ามาได้ยังไง...เร็วไปจับตัวมาให้ฉัน” ทรงชี้พระหัตถ์ไปทางห้องมุขตะวันออกที่เป็นห้องรับรองแขกเมือง “ใคร รูปร่างเป็นยังไงพระเจ้าข้า” มหาดเล็กคนหนึ่งทูลถาม “อ้วนๆ ตัวใหญ่” ทรงยกพระหัตถ์ทำกิริยาประกอบ “แก่แล้ว นุ่งผ้าแดงแปร๊ดเลย เดินหายเข้าไปทางนี้แหละ” มหาดเล็กได้ฟังก็สังหรณ์ใจกันแล้ว และ เมื่อเดินค้นหาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ถามยามรักษาการณ์ทั้ง ๒ ด้านก็ว่าไม่เห็นใครผ่านเข้าไป แต่เมื่อทูลกระหม่อมเล็กทรงพระดำเนินไปถึงพระบรมรูปรัชกาลต่างๆ ทรงหยุดเพ่งพินิจพระบรมรูปรัชกาลที่ ๓ อยู่ชั่วครู่ ก็ทรงชี้พระหัตถ์ไปที่พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งอย่างเด็กๆ ที่ยังไร้เดียงสาว่า “นี่แหละ...นี่แหละ...อีตาคนนี้นี่แหละ” เท่านั้นเอง เหล่ามหาดเล็กก็ขนลุกซู่ รีบอุ้มทูลกระหม่อมเล็กกลับไปส่งให้ฝ่ายในทันที เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระพันปีหลวงทรงทราบ จึงทรงรำพึงว่า พวกเด็กๆไปวิ่งเล่นกันอึกทึกครึกโครมเป็นที่รบกวนพระราชหฤทัย หรือทรงระลึกถึงลูกๆหลานๆ จึงปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรงจัดพวงมาลัยและธูปเทียนให้ข้าหลวงไปขอพระราชทานอภัยอย่างเงียบๆ โดยไม่แพร่งพรายให้เอิกเกริก พร้อมรับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “หากอีคนไหนนำเรื่องนี้ไปพูด จะถูกเฆี่ยนหลังขาดเชียว” เรื่องนี้จึงถูกปกปิดเป็นเรื่องลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีคนซุบซิบ นานๆเข้าก็ซุบซิบดังขึ้น จนกาลเวลาผ่านไปหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เล่ากันอย่างเปิดเผยของทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับผีและวิญญาณ ถ้าจะพูดกันอย่างสำนวนทุกวันนี้ ก็ต้องบอกว่า “ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ละกัน” https://mgronline.com/onlinesection/detail/9580000075001 |