เรือนไทย

 ภาพสวยมากเลยค่ะคุณเทาชมพู จะแวะมาดูต่อค่ะ

 ผมว่าเสื้อทับในความเห็นเพิ่มเติมที่ 9 สมัยนี้เห็นได้ทั่วไปแถวๆสยามฯ เพียงแต่คนใส่ไม่มีเสื้อคอกระเช้าสวมข้างนอกน่ะครับ คาดว่าเมืองไทยคงจะมีอากาศร้อนขึ้นกว่าแต่ก่อน อิอิ

 ดีจริงๆ เลยครับอจารย์

 ภาพสวยมากๆครับ

 ขอย้อนไปที่ภาพแรก  ที่บรรยายใต้ภาพว่าเป็นขบวนแห่พระบรมศพรัชกาลที่ ๖ นั้นน่าจะเข้าใจผิดครับ  เพราะถึงแม้จะมีพระราชนิยมว่า "ฉันเป็นทหาร  ในวาระที่สุดแห่งชีวิตขอตายอย่างทหาร"  จึงได้มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรมว่าให้เชิญพระบรมโกศพระบรมศพประดิษฐานบนรถปืนใหญ่แห่จากหน้าวัดพระเชตุพนไปท้องสนามหลวงก็ตาม  แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าไม่มเคยมีธรรมเนียม  จึงให้เชิญพระบรมศพประดิษฐานบนราชรถแล้วแห่จากวัดพระเชตุพนมาจนถึงพระเมรุมาศท้องสนามหลวง  และเมื่อจะเวียนพระเมรุมาศจึงอัญเชิญพระบรมโกศขึ้นทรงรถปืนใหญ่  เวียนอุตตาวัฏ ๓ รอบแล้วจึงเชิญพระบรมโกศขึ้นสู่พระเมรุมาศ
แต่ในภาพไม่แน่ใจว่าจะเป็นขบวนเชิญพระศพ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ  จากท่าวาสุกรีไปวังปารุสกวันเมื่อคราวเชิญพระศพกลับมาจากศิงคโปร์โดยทางรถไฟ  ถึงสถานีบางกอกน้อยแล้วเชิญพระโกศลงเรือข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าวาสกุกรี  หรืแก็ตอนที่เชิญพระศพจากวังปารุสกวันไปออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง หรือไม่  ขอตรวจสอบอีกครั้ง

สำหรับภาพที่ ๑๕  โปรดสังเกตเสาธงบนป้อมเผด็จดัสกร  ตรงหัวมุมพระบรมมหาราชวังด้านศาลหลักเมือง  เสาธงนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ใช้สำหรับเชิญธงจุฑาธุชธิปไตยซึ่งเป็นธงประจำแผ่นดินขึ้นสู่ยอดเสาและเชิญลงในตอนเย็นทุกวัน  ถึงรัชกาลที่ ๖ เปลี่ยนเป็นธงมหาไพชนต์ธวัช  คุณเศวต  ธนประดิษฐ์ อดีตที่ปรึกษาสำนักพระราชวังซึ่งเพิ่งถึงแก่กรรมไปด้วยวัย ๙๗ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านเริ่มรับราชการกระทรวงวังในรัชกาลที่ ๖ นั้น  ทุกเช้าท่านจะเห็นทหารรักษาวังเชิญธงมหาไพชยนต์ธวัชซึ่งพับไว้เป็นดอกบัวขึ้นสู่ยอดเสา  พอถึงยอดเสานายทหารที่เชญธงก็จะกระตุกเชือกให้ผืนธงคลี่ออกปลิวสไว  จนถึง ๑๘.๐๐ น. จึงเชิญธงลง  ถ้าจำไม่ผิดธรรมเนียมการเชิญธงขึ้นเสานี้จะมีเฉพาะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในพระนครเท่านั้น  ถ้าแปรพระราชฐานไปต่างจังหวัดจะไม่เชิญธงขึ้นเสา  เสาธงนี้จะรื้อไปเมื่อไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว  และจะไปถามใครก็คงไม่ทราบอีกแล้ว

 ภาพที่ ๒ เป็นกระบวนแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากวัดพระเชตุพนไปท้องสนามหลวงครับ

ภาพที่ ๔๔ เป็นพระตำหนักแพในการพระราชพิธีลงสรงสนานรับพระปรมาภิไธยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙  ในภาพตรงกลางเป็นพระตำหนักแพที่โปรดให้ผูกไว้ที่หน้าพระราชกิจวินิจฉัย  ท่าราชวรดิษฐ เป็นที่สำหรับสมเด็จพระบรมฯ เสด็จลงสรงสนานตามโบราณราชประเพณี

ภาพที่ ๔๕ เป็นการคล้องช้างเพนียด  ใกล้วัดบรมวงศ์อิศรวราราม  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ภาพนี้เข้าใจว่าฉายเมื่อคราวที่รัชกาลที่ ๕ ทรงนำเจ้านายจากยุโรปไปทอดพระเนตรการคล้องช้าง  แต่ขะเป็นปีใดจำไม่ได้ครับ

ภาพที่ ๔๗  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงฉายร่วมกับข้าราชการและนักเรียนไทยในการประชุมอ่านประกาศสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระยุพราช ณ สถานอัครราชทูตสยามกรุงลอนดอน  เมื่อวันที่  
๘  มีนาคม  ๒๔๓๗  ซึ่งในวันนั้นได้มีพระราชดำรัสซึ่งสามัคคีสาร(วารสารของสามัคคีสมาคม) ได้เชิญไปลงพิมพ์ไว้ใน เล่มที่ ๔ ตอนที่ ๒ มีความตอนหนึ่งว่า "The Late King Rama VI, in His student days, mase a memorial speech... in which He saia among other things, that  "He would return to Siam more Siamese than when He left it." These words have left a host of meanings in their wake.  ต่อมาท่านหม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล ได้แปลพระดำรัสนั้นเป็นร้อยกรองภาษาไทยว่า
พระมหาธีรราชประกาศไว้  
ที่อังกฤษสมัยทรงศึกษา
ว่าเมื่อไรได้เสด็จกลับพารา
จะเป็นไทยยิ่งกว่าเมื่อมาเรียนฯ
ในภาพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเครื่องเต็มยศนายร้อยโททหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  นที่ ๕ จากซ้าย คือ พระวิจิตรวรสาสน์ (ปั้น  สุขุม  ภายหลังเป็นเจ้าพระยายมราช) ทางซ้ายที่ประทับ แต่งเครื่องแบบนายทหารชั้นนายพล น่าจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์)  

ภาพที่ ๔๘  จากซ้ายไปขวา
นายพลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร จเรทัพบก (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
นายพันเอก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยทหารบก(จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก)
นายพันตรี พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพชรอัครโยธิน (พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง จเรทหารช่าง)
นายพลโท พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ (จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม)
ภาพนี้เข้าใจว่าทรงฉายราว พ.ศ. ๒๔๔๙

 มารายงานตัวค่ะ คุณเทาชมพู ไม่ได้เข้ามาเสียนานเพราะช่วงนี้ต้องส่งรายงานหลายตัวค่ะ ดีใจและขอบคุณอีกครั้งสำหรับรูปใหม่ ๆ ที่หายากนะคะ ดิฉันเคยไปเพนียดคล้องช้างที่อยุธยาหลายปีมาแล้วค่ะ เปลี่ยนแปลงไปไม่มากจากในรูปที่คุณเทาชมพูมาลงไว้ และก็รู้สึกเสียดายวังบูรพาค่ะ ไม่น่าถูกรื้อเลย

 ขอแจมด้วยคนค่ะ เป็นภาพเก่าจากบางปะอิน

 โอ..ต้องขออภัยส่งรูปไม่ได้ ไฟล์ใหญ่เกิน แปลงให้เล็กลงไม่เป็นด้วยค่ะ      

 เพิ่มเติมคำบรรยายภาพ 60 ค้นมาได้แล้วค่ะ

ภาพถ่ายโดยจิม ทอมสัน ชาวสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นช่างภาพที่เปิดสตูดิโอที่สิงคโปร์ ในปี 2408 จิมเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 กันยายน 2408 และพำนักอยู่นาน 6 เดือน ในระหว่างอยู่ประเทศไทย เขาได้มีโอกาสฉายพระรูปสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระราชกุมารองค์โตในงานพระราชพิธีโสกันต์

สำหรับพระราชพิธีโสกันต์นั้น แอนนาบรรยายว่า เป็นพิธีที่จัดตามแบบลัทธิพราหมณ์ อย่างใหญ่โตหรูหรามาก มีการแสดงประกอบที่ใช้ดรุณีถึง 9,000 คน โดยคงรูปแบบตามที่เคยจัดมาในพระราชพิธีไทยโบราณ และตามแบบอย่างที่ใช้ในพระราชสำนักเขมร ทรงเชิญกษัตริย์ประเทศใกล้เคียงและตัวแทนประเทศต่างๆในสยามมาร่วมเป็นสักขีพยานอย่างพร้อมเพรียง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯจะทรงแต่งพระองค์ในเครื่องทรงพระอิศวร และทรงยืนเพื่อให้พรแก่พระราชกุมารกุมารที่ก้มศรีษะหมอบกราบ พระองค์ทรงยกพระกรข้างหนึ่งขึ้นเหนือศรีษะ อีกข้างหนึ่งแตะศรีษะของพระราชกุมาร และกล่าวให้พรเป็นภาษาบาลี

Afterwards the eldest priest or brahmin took a portion of the rice from
the _baisee_, and, sprinkling it with cocoanut water, gave the lad a
spoonful of it. Then dipping his finger, first in the scented oil and
then in the fragrant flour, he touched the right foot of the prince, at
the same time exhorting him to be manly and strong, and to bear himself
bravely in "the conflict of feeling."

XIX. THE HEIR-APPARENT.--ROYAL HAIR-CUTTING
 http://www.gutenberg.org/dirs/etext05/7egrl10.txt  

 กระทู้นี้มีค่ามากจริงๆ หาชมได้ยาก
ขอบคุณครับ

 คุณ Nuchan มาช่วยหาภาพสวยๆ หายากให้ชมกัน อีกหลายภาพ   ได้ขึ้นกระทู้ 3 แน่ๆ ขอบคุณมากค่ะ

ขอขยายความเพ่มเติมจากภาพ 79  ว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้จัดงานพระเมรุมาศอย่างสมพระเกียรติ ณ ทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง)พระราชทานพระโกศทองใหญ่ ซึ่งเป็นโกศสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน
โปรดเกล้าฯให้มีงานบำเพ็ญพระราชกุศล 100 วัน ถือเป็นต้นแบบประเพณี
การทำบุญพระศพ และงานศพ 50 วัน 100 วันในเวลาต่อมา
และโปรดเกล้าฯให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการหล่อพระนาคปรกทองคำ พระประจำวันประสูติพระนางเจ้าสุนันทาฯ  ประดิษฐานในพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เพื่อบรรจุพระอังคารในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

นายฟรานซิส จิตร ในคห. 80 ที่คุณ Nuchan พูดถึง เป็นคนเดียวกับที่ดิฉันเล่าไว้ในบทความ นักเรียนนอกยุคแรก
 http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=211
นายจิตร อยู่กุฎีจีน เรียนวิชาถ่ายรูปกับบาทหลวงหลุยส์ ลานอดี ชาวฝรั่งเศส และนายทอมสันช่างถ่ายรูปชาวอังกฤษ จนตั้งห้างถ่ายรูปได้ ได้เป็นขุนฉายาทิศลักษณะ และหลวงอัคนีนฤมิตร เจ้ากรมแกสหลวง

 ขอขยายความตามลำดับนะครับ

ภาพที่ ๖๕ พระบาทสมเด็จพระทงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นายกเสือป่า ทรงเครื่องปกตินายพลเสือป่าราบหลวงรักษาพระองค์  ประทับพระเก้าอี้ผ้าใบขณะรอทอดพระเนตรการซ้อมรบเสือป่าที่ทุ่งบ้านไร่  ตำบลคลองตาคต  อำเภอโพธาราม  จังหวัดราชบุรี  เมื่อวันที่  ๑๔  กุมภาพันธ์ ๒๔๖๒  ภาพนี้ทรงฉายประมาณ ๑๗ น.  ด้านหลังที่ประทับมีผู้ตามเสด็จ ๖ ท่าน คือ พระทรงพลราบ (บุญมา หิรัญมาน) ราชองครักษ์เสือป่า พระยาเทพทวาวราวดี (จำเริญ  สวัสดิ์ - ชูโต ภายหลังเป็นพระยานรเทพปรีดา) ราชองครักษ์เสือป่า  สองท่านนี้เป็นกรรมการตัดสินการซ้อมรบเสือป่าในวันนั้น  นายเรือตรี แสวง  โรหิตจันทร์ ร.น.ส.(ย่อมาจาก แห่งราชนาวีเสือป่า)  นายเสือป่ารับใช้ (ภายหลังเป็น หลวงอนงค์ลีลาศ)  พลเสือป่าอั้น  บุนนาค (ภายหลังเป็น เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี) พลเสือป่าเดินข่าวประจำนายกเสือป่า  นายหมู่เอกนักเรียนเสือป่าพรานหลวง หม่อมเจ้าหัชชากร  วรวรรณ และ นายหมู้เอกนักเรียนเสือป่าหลวง หม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล นักเรียนเสือป่สรัชใช้นายกเสือป่า  ในภาพจะเห็นเฉพาะท่านที่ ๓ - ๖  ส่วน ๒ ท่านแรกไม่ปรากฏในภาพนี้  สุนัขที่หมอบอยู่แทนพระบาทไม่แน่ใจว่า จะเป็น นันทา หรือ มากาเร็ต  เวลานั้นย่าเหลถูกยิงเสียชีวิตไปแล้ว

ภาพที่ 75 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายร่วมกับพระสุจริตสุดา พระสนมเอก ในวันที่ทรงราชาภิเษกสมรสกับคุณพระ  นับเป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส

ภาพที่ 76 ทรงฉายร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระสุจริสุดา

พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีนัตน์นั้น  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นไว้ ๓ แห่ง คือ พระราชอุทยานสราญรมย์  สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระราชทานื่อว่า "สุนันทานุสาวรีย์"  และที่พระราชวังบางปะอิน

 ในภาพที่ ๘๗  ท่านที่นั่งทางซ้ายของภาพ ตือ นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม  อินทรโยธิน) ซึ่งร่วมเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

 ขออนุญาตเพิ่มเติมคุณ V_Mee เรื่องพระราชานุสรณ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระราชทานไว้นะครับ ว่ายังมีอีกแห่งคือที่ น้ำตกพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี

ในพุทธศักราช ๒๔๑๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ศิลาแลง  ทรงลังกาพร้อมพระราชทานนามเจดีย์ว่า “อลงกรณเจดีย์”

ต่อมาในพุทธศักราช ๒๔๒๔ ได้ทรงสถาปนาพระอนุสาวรีย์เป็นรูปพีระมิด ก่ออิฐถือปูนอีกองค์หนึ่งเป็นพระราชานุสรณ์ใน สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ภายในบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ไว้ด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกข้อความไว้ว่า

"ที่ระลึกถึงความรัก แห่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
พระบรมราชเทวีอรรคมเหสี ซึ่งเสด็จทิวงคตแล้ว ด้วยเธอได้มาถึงที่นี่ เมื่อจุลศักราช ๑๒๓๖ โดยความยินดีชอบใจ

อนุสาวรีย์นี้ สร้างขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์บรมราช ผู้เป็นพระสวามี อันมีความทุกข์เพราะเธอเป็นอย่างยิ่ง  ในจุลศักราช ๑๒๔๓"

 กรมขุนมรุพงศ์สิริพัตรอยู่ทางด้านขวาหน้าของ รัชกาลี่ 6 ในความเห็นที่ 47 ฤาเปล่าครับ

 ภาพทุกภาพน่าสนุกและน่าติดตามมากเลยค่ะ  ถึงข้อมูลจะไม่ถูกต้องก็เถอะ

 จากภาพ 87 และความเห็นของคุณ V_Mee ในภาพ 88 ดิฉันปะติดปะต่อเอาจากกระทู้นั้นกระทู้นี้ ได้ความดังข้างล่างแต่มีคำถามค่ะ

1. ปี 2482 กรมขุนไชยนาทนเรนทรถูกจับ และสมเด็จพระพันวสา ได้ขอให้นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ซึ่งร่วมเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นนายหน้าติดต่อกับรัฐบาลให้ปล่อยกรมขุนไชยนาทฯในระหว่างไตร่สวน แต่เจ้าคุณกลับมาทูลว่าไม่สำเร็จ อยากทราบว่าใครเป็นผู้แต่งตั้ง คณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และบทบาทของคณะนี้ถูกออกแบบให้ pro รัฐบาลหรือ pro ฝ่ายกษัตริย์กันแน่ค่ะ

2. ปี 2482 เจ็ดปีผ่านไป เมฆหมอกน่าจะจางลง แต่ความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับกษัตริย์ ดูเหมือนยังไม่ดีขึ้นเลย แล้วเหตุใดปี 2489 กรมขุนไชยนาทฯจึงได้ทรงกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ร. 9 ค่ะ

3. ตอนในหลวงองค์ปัจจุบันเสด็จต่างจังหวัด พวกตำรวจเขาพูดกันว่าพยายามจะจัดเส้นทางเสด็จให้ไม่ต้องผ่านรูปปั้นพระยาพหลพลพยุหเสนา จริงเท็จไม่ทราบแน่ค่ะ

หากคร้านจะตอบเพราะยืดยาว ช่วยแนะนำหนังสือให้ก็ได้ที่นำไสู่เหตุการณ์ข้างต้น ดิฉันสนใจเรื่องของไทย แต่ไม่มี Thai collections จึงจะสะสมสักหน่อย

 ที่ถามว่า
1. ปี 2482 กรมขุนไชยนาทนเรนทรถูกจับ และสมเด็จพระพันวสา ได้ขอให้นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ซึ่งร่วมเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นนายหน้าติดต่อกับรัฐบาลให้ปล่อยกรมขุนไชยนาทฯในระหว่างไตร่สวน แต่เจ้าคุณกลับมาทูลว่าไม่สำเร็จ อยากทราบว่าใครเป็นผู้แต่งตั้ง คณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และบทบาทของคณะนี้ถูกออกแบบให้ pro รัฐบาลหรือ pro ฝ่ายกษัตริย์กันแน่ค่ะ
ขอตอบว่า รัฐสภาซึ่งก็คือ คณะราษฎร์ เป็นผู้แต่งตั้งตามที่มีบทบัญญัติไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ ครับ  แต่ที่ว่า Pro รัฐบาลหรือกษัตริย์นั้น คงต้องรบกวนให้พิจารณาจากบทบาทของรัฐบาลในสมัยนั้นว่าเป็นอย่างไร  โดยเปรียบเทียบว่า เหตุใดกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์จึงต้องทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมนะครับ

2. ปี 2482 เจ็ดปีผ่านไป เมฆหมอกน่าจะจางลง แต่ความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับกษัตริย์ ดูเหมือนยังไม่ดีขึ้นเลย แล้วเหตุใดปี 2489 กรมขุนไชยนาทฯจึงได้ทรงกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ร. 9 ค่ะ
ที่เสด็จในกรมชัยนาทฯ ได้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการในชกาลปัจจุบันนั้นดูเหมือนจะเป็น พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว  จึงทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ตามพระราชอัทธยาศัย  ประกอบกับในเวลานั้น "เมฆหมอก" เริ่มจางลงบ้างแล้ว  จนมาถึงสมัยที่จอมพลสฤษดิ์  ธนรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วละครับ "เมฆหมอก" ถึงได้หมดไป

ข้อ ๓. ไม่ทราบคำตอบครับ  รบกวนท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ

 ขอบพระคุณค่ะ สำหรับข้อ 3 คงเข้าใจ..ดิฉันหมายความว่าพระยาพหลพลพยุหเสนาอาจเป็นมาสเตอร์มายนด์สำหรับการใดการหนึ่งหรือเปล่าค่ะ

 ขอรบกวนเรียนถามอ.เทาชมพูเรื่องนิทานทองอินทร์ พระราชนิพนธ์ร้อยแก้วในรัชกาลที่6น่ะค่ะ  ไม่ทราบว่าจะหาอ่านได้อย่างไรคะ ขอบคุณค่ะ

 ...สำหรับ “นิทานทองอินทร์” ที่คุณถามหานั้น คุณ “พงศกร” ได้เคยตอบในช่องหน้าต่าง
“คุยกับเพื่อนดี” ไว้ว่า “นิทานทองอินทร์” จะรวมอยู่ในหนังสือชื่อว่า “ประมวลนิทานรัชกาลที่ ๖”
ซึ่งยังพอหาซื้อได้ที่จตุจักร หรือที่ร้านแพร่วิทยา แถววังบูรพา หรือจะไปค้นคว้าหาได้ที่
หอสมุดวชิรญาณ ที่หอสมุดแห่งชาติ คุณ “พงศกร” ได้ฝากบอกมายังผู้อ่านว่า ขณะนี้ทาง
สำนักพิมพ์รหัสคดี กำลังชำระเรื่อง “นิทานทองอินทร์” และพิมพ์ออกมาใหม่อีกครั้งค่ะ
 http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=3984&stissueid=2648&stcolcatid=12&stauthorid=54%20  

พบกระทู้เก่าเก็บนี้ด้วยความบังเอิญ แต่ยังมีคุณค่าน่าทนุถนอม แม้จะซ้ำกับกระทู้ปัจจุบันบ้าง ถือโอกาสหยิบมาต่ออายุ ...

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสุนัขตัวโปรดของพระองค์ ... ย่าเหล

 ;D    ;D

รอผู้ชำนาญการมาบอกกล่าว ...   :D 

ยินดีที่คุณลุงไก่ไปดึงกระทู้เก่าเรื่องนี้กลับขึ้นมาอีกครั้งค่ะ     
ถ้ามีคนตอบคำถามข้างบนนี้แล้ว   ดิฉันจะเข้ามาโพสต์ภาพเมืองไทยในอดีตอีกสักภาพ
ต่ออายุให้กระทู้อีกครั้ง

รัชกาลที่ ๕ ประทับเป็นแบบให้ Cesare Ferro  (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=haiku&month=01-08-2010&group=20&gblog=4) และจิตรกรชาวไทยวาด ที่พระที่นั่งอภิเษกดุสิต

ผลงานของ Ferro พระบรมสาทิสลักษณ์ สีพาสเทล พ.ศ. ๒๔๔๙

 ;D

ภาพวาดในพระที่นั่งอัมพรสถานฝีมือแฟร์โรภาพนี้   คือ Pan หรือ Satyr  เพื่อนเก่าคุณเพ็ญชมพูจากกระทู้สัตว์ประหลาดหรือเปล่านี่?

เห็นกำลังดื่มไวน์กันอยู่

พยายามมองหา เทพ Dionysus (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA) ไม่เจอ   ;D

ใครจำบ้านหลังนี้ได้บ้างคะ

คำบรรยายภาพ

The British Consulate & Residence of 1895 BKK

 ;D

 :)

จากคุณวีหมี
ความคิดเห็นที่ 41

ผมคิดว่าภาพแรกเป็นขบวนเชิญพระศพสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถจากจากท่าวาสุกรีไปวังปารุสกวัน เมื่อวันพระศพกลับถึงกรุงเทพ โดยทางรถไฟจากสิงคโปร์ถึงสถานีบางกอกน้อย ก่อนเชิญลงเรือข้ามฟากมาที่ท่าวาสุกรี เพราะอีกภาพหนึ่งที่ผมนำมาเปรียบเทียบ คือภาพที่เชิญพระศพจากวังปารุสกวัน ในคราวออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง

ส่วนอีกภาพหนึ่งที่ผมนำมาแสดงเป็นภาพหาดูยากมาก คือเป็นขณะนำพระโกศขึ้นจากเรือเอกไชยเหินหาว ท่าวาสุกรี ฝรั่งถ่ายไว้

(http://)

ที่เดียวกัน มีอีกภาพมาให้ชมค่ะ 

^
รูปข้างบนของคุณกะออมผมไม่เคยเห็นเหมือนกัน ขอบคุณครับ

ส่วนภาพล่าง เป็นขบวนรถไฟที่เชิญพระศพมาครับ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา เสด็จไปรับ

พนักงานเชิญพระโกศ ไปยังท่าน้ำสถานีบางกอกน้อย

สองภาพนี้ทรงฉายเมื่อคราวรับพระศพสมเด็จพระอนุชาธิราช สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

ภาพบนเป็นภาพประทับพลับพลาพิธีท่าวาสุกรี 

ภาพล่างเป็นภาพขณะทรงรอรับพระศพที่สะพานน้ำท่าวาสุกรี

^  มีจุดสังเกตว่า ภาพสะพานท่าน่้ำของคุณ V_Mee ไม่เหมือนสองภาพแรก

สะพานท่าน้ำของคุณ V_Mee มีลักษณะเป็นคอนกรีต มีผ้าดำผูกระบาย
แต่สองภาพแรก เป็นไม้ แล้วไม่มีผ้าดำผูก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นท่าน้ำสถานีรถไฟบางกอกน้อย
เพราะมองเห็นยอดปราสาทอยู่ลิบ ๆ ทางขวามือ จะเป็นยอดปราสาทองค์ใดในพระบรมมหาราชวังหรือไม่

เก็บภาพน้ำท่วมปี 2493 ไว้อีกภาพ  เอามาลงในกระทู้นี้เสียเลย