เรือนไทย

General Category => ทันกระแส => ข้อความที่เริ่มโดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 01:56



กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 01:56
กลับมาอีกครั้งครับกับแท็กซี่รมยา  ข่าวแนวนี้ที่มีมาทุกปี คนขับแท็กซี่ผู้มีจุดมุ่งหมายไม่ดี ใช้ยาสลบรมให้ผู้โดยสารหมดสติ แต่เหยื่อใช้ปฏิภาณไหวพริบท่ามกลางความงุนงงและสติสัมปชัญญะที่ริบหรี่ เอาตัวรอดมาได้


วันนี้ข่าวดังนี้กลับมาอีกแล้ว จากเหยื่อพยาบาลสาวสวย ที่ใช้ไหวพริบ ทั้งการ line ทะเบียนรถแท็กซี่ไว้ แกล้งโทรศัพท์บอกเพื่อนว่าขณะนั้นอยู่ไหน จนสุดท้ายลงจากรถได้อย่างปลอดภัย ปล่อยให้คนขับแท็กซี่เจ้าเล่ห์หัวฟัดหัวเหวี่ยงไป  สาวเจ้าเล่าวิธีการเอาตัวรอดไว้ได้อย่างน่าสนใจตามคลิปนี้ครับ

เจาะข่าวเด่น พยาบาลสาว ถูกมอมยาบนแท็กซี่ (12 ก.พ.58) (http://www.youtube.com/watch?v=DLoHgxubfHg#ws)


ในคลิปยังมีอาจารย์ขาประจำคนเดิม  ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ขาประจำ ออกมาให้ข้อมูลว่ายารมให้สลบแบบนั้นมันไม่มี น่าจะเพราะเมารถ เมาแกส หรือแม้แต่เมาคาร์บอนมอนอกไซด์ จนโดนผู้รู้และผู้มีประสบการณ์ตรงที่รอดพ้นจากแท็กซี่รมยาแนวนี้ออกมาก่นด่าทั้งในเว็บและในคลิปจนน่วม โทษฐานบังอาจออกมาแย้งความเชื่อของสังคมไทย ก็คนโดนรมมีมากมายมีข่าวทุกปี ไหงมายืนยันว่ายาสลบแบบนั้นมันไม่มี


ในฐานะที่เป็นศิษย์เรือนไทย  เห็นเหล่าผู้อาวุโสในเรือนไทยแต่ละท่านไม่เพียงมีคุณวุฒิ แต่วัยวุฒิก็มากด้วยเช่นกัน เกิดไปเผลอไผลขึ้นแท็กซี่แล้วโดนรมยา กลัวว่าจะส่ง line ทะเบียนรถ หรือโทรบอกคนที่บ้านไม่ทัน อาจจะตกเป็นเหยื่อแท็กซี่โฉดได้  และนอกจากแท็กซี่รมยาแล้ว  ยังมีเหล่ามิจฉาชีพพร้อมยาป้าย ที่พร้อมจะเอายาป้ายเหยื่อให้หมดเบลอ ถอดสร้อยถอดทอง หรือแม้แต่เดินไปกดเอทีเอ็มยกเงินให้มิจฉาชีพอีก สังคมไทยช่างอันตรายยิ่งนัก


ในเรือนไทยเราก็มีหมอๆ ที่เปิดตัวมาแล้วหลายท่าน  น่าจะให้คำแนะนำวิธีเอาตัวรอดได้  จึงขอเชิญแต่ละท่านมาร่วมให้ความรู้ และร่วมเกาะกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ  


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 02:10
นอกจากข่าวในคลิปแล้ว ยังมีข่าวที่เภสัชกรระดับรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยออกมาเตือนด้วย ว่าอาจจะเป็นสารคลอโรฟอร์มก็ได้  นี่ขนาดผู้มีความรู้ระดับ อย. ยังออกมาเตือน ไม่รู้ว่าอาจารย์เจษฯ แกจะเถียงไปทำไม


อย.เตือนแท็กซี่มอมยาชิงทรัพย์ อาจเป็นสาร “อีเทอร์” หรือ “คลอโรฟอร์ม” ระบุได้รับสารแล้วในระยะสั้นยังไม่ทำให้ถึงกับสลบ แต่จะเกิดอาการวิงเวียน มึนงง ให้รีบเปิดหน้าต่าง แล้วหาทางลงจากรถโดยเร็วที่สุดก่อนตกเป็นเหยื่อ

แท็กซี่มอมยาระบาดอีก! อย.เตือนหากวิงเวียนมึนงง รีบเปิดหน้าต่างด่วน

        ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีข่าวคนขับรถแท็กซี่มอมยาผู้โดยสาร เพื่อชิงทรัพย์และกระทำมิดีมิร้าย โดยทำทีเป็นเปิดวิทยุ หรือเปิดพัดลมแอร์ เพื่อพัดให้สารเคมีไปทางผู้โดยสาร ขณะที่ตัวเองลดหน้าต่างลงเล็กน้อย จนเหยื่อมีอาการใจเต้นแรง มึนงง และสับสน ว่า กรณีนี้สารที่ใช้คาดว่าเป็นสารอีเทอร์ หรือสารคลอโรฟอร์ม ซึ่งเป็นตัวทำละลายที่ใช้ในห้องแล็บ เพื่อสกัดหาสารหรือส่วนประกอบต่างๆ เช่น ยา เป็นต้น โดยสารเคมีตัวนี้จะอยู่ในรูปของน้ำใสๆ มีกลิ่นฉุน หากดมนานๆ จะทำให้เกิดอาการสลบได้ แต่จะใช้ระยะเวลาในการสูดดมค่อนข้างนาน ซึ่งสารตัวนี้ทางการแพทย์ไม่นิยมใช้แล้ว เนื่องจากเป็นอันตรายสูง และควบคุมปริมาณการใช้ได้ยาก ประกอบกับมีสารตัวอื่นที่ดีกว่า
      
       ภก.ประพนธ์ กล่าวอีกว่า หากผู้โดยสารนั่งรถแล้วเห็นแท็กซี่มีการกระทำดังกล่าวคือปล่อยสารระเหย แล้วเกิดอาการวิงเวียน หายใจไม่สะดวก มึน เบลอ ให้รีบเปิดหน้าต่างรถเพื่อระบายสารออกทันที แล้วหาโอกาสลงจากรถให้เร็วที่สุด อย่าตกใจเพราะสารตัวนี้เมื่อได้รับเข้าไปแล้วไม่ทำให้สลบในทันที ยังมีโอกาสในการระบายสารนี้ออกไปนอกรถ เพื่อให้ร่างกายรับสารตัวนี้น้อยที่สุด นอกจากนี้ การใช้สารดังกล่าวยังควบคุมปริมาณการใช้ได้ยาก ปริมาณที่คนขับนำมาใช้ไม่น่าจะทำให้สลบ และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมีอาการ เพราะหากนำใช้สารตัวนี้มาครอบจมูกยังต้องใช้เวลากว่าที่จะสลบ


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000135471 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000135471)


เห็นอย่างนี้แล้วดูท่าหาทางหนีทุนดีกว่า สังคมไทยมันน่ากลัวจริงๆ  ไม่กล้ากลับไปอยู่แล้ว :'(  :'(  :'(  


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 04:25
ใน pantip เคยมีคุณหมอท่านหนึ่ง มาตั้งกระทู้บอกเล่าถึงความเป็นไปได้ ของยาพ่นยาป้ายพวกนี้ไว้ ตั้งแต่ปี 2552  ซึ่งแม้แต่ในกระทู้ที่ตั้งไว้ ก็ยังมีคนที่ใช้ความเชื่ออีกเยอะ  ผ่านไปหกปีกว่า  ความเชื่อเรื่องยาเหล่านี้ก็ยังฝังแน่น และคงจะอยู่คู่สังคมไทยและแท็กซี่ไทยตลอดไป  ;D  ;D   :-\  :-\  :'(  :'(


http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/09/X8342569/X8342569.html (http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/09/X8342569/X8342569.html)


ปล. บางคนอาจเถียงได้ว่า ก็ผ่านไปตั้งหกปีแล้ว แท็กซี่ไทยอาจพัฒนาตัวยาใหม่ที่คุณหมอในกระทู้ไม่รู้จักก็ได้  ;D


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: Kunlamata ที่ 13 ก.พ. 15, 14:07
ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการแท๊กซี่บ่อยๆ ขอบพระคุณอาจารย์ประกอบที่ให้ข้อมูลภัยสังคมกลุ่มนี้
คงจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นค่ะ


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 13 ก.พ. 15, 16:32
ว่าแต่สรุปกันแบบฟันธงให้ทีได้ไหมเจ้าคะคุณประกอบเทพ ในฐานะที่คุณประกอบเทพแอบขับแท็กซี่ตามหารักแท้มาช้านาน(ไม่รู้ว่าเจอรึยัง) ว่าตกลงมันใช่หรือมั่วชัวร์หรือหลอกคะไอ้การรมยา ป้ายยา แบบเขาว่าๆกันมานี่ ใจอิฉันล่ะไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนักหรอกค่ะ เพราะเคยอ่านที่คุณหมอหลายๆท่านอธิบายไว้ แต่ก็นะ กระแสสังคมพาสับสนจริงๆ :-X :-X :'(


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.พ. 15, 16:56
นศ.ของดิฉันเคยโดนเข้ากับตัวเอง  มาเล่าปากคอสั่นให้อาจารย์ฟัง ว่าจู่ๆก็มึนๆเบลอๆ  ไม่เป็นตัวของตัวเอง  แก๊งค์มิจฉาชีพสั่งให้ถอดสร้อยทองออกก็ถอดตามสั่ง   เหมือนไม่มีสติจะต้านทาน
เคยได้ยินว่ายาป้ายคือดอร์มิคุมชนิดน้ำ  มีความเป็นไปได้แค่ไหนคะ คุณหมอในเรือนไทย?


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 17:05
แห่ะๆ เห็นคุณ Kunlamata มาตอบ ก็ชักกลัวว่าจะทำเป็นเล่นมากไป เดี๋ยวใครในเรือนไทยเชื่อเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จะคอยระแวงเวลาขึ้นแท็กซี่ซะหมด  จะขอจับผิดเรื่องราวที่สาวสวยคนนี้เล่ามาให้ฟังด้วยหลักเหตุและผลง่ายๆ ละกันนะครับ

อย่างแรกที่คนสงสัยคือ ไอ้ยาที่พ่นหรือรมให้สลบบน แท็กซี่หนะมันมีจริงมั๊ย


ผมไม่ใช่หมอ แต่เป็นแท็กซี่สมัครเล่น ความรู้ความคิดจำกัด แต่เท่าที่อ่านหรือรับทราบมา ไอ้ยาที่พ่นให้คนสลบได้ในลักษณะนี้ โดยที่ตัวผู้พ่นไม่ต้องระวัง ไม่ต้องใส่หน้ากาก อยู่ในห้องปิดเช่นในห้องโดยสารรถเช่นเดียวกับเหยื่อ แต่ผู้พ่นมีภูมิต้านทานไม่สลบ มันยังไม่มีครับ ถ้ามันมีจริงๆ โลกคงต้องรับรู้แล้วและคงถูกใช้อย่างแพร่หลายกว่านี้มากแน่ๆ  ผมคนหนึ่งหละอาจจะหาไว้ล่าเหยื่อสาวๆ ก็ได้


ยาสลบเป็นยาอันตราย ปัจจุบันต้องเป็นวิสัญญีแพทย์ถึงจะคำนวณปริมาณที่เหมาะสมต่อการใช้ได้  พลาดนิดเดียวหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี  ถ้ามียาประเภทนี้ถูกใช้ในแท็กซี่โดยคนขับที่ไม่ได้มีความรู้เฉพาะทางได้  ป่านนี้น่าจะมีเหยื่อที่ตายด้วยยานี้เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันถามว่าเราได้ข่าวผู้โดยสารตายบนแท็กซี่มากเท่าไหร่กัน หรือผู้โดยสารที่สลบถูกนำไปทิ้งไว้ข้างทาง  แทบไม่มีเลย ผมไม่เคยได้ยินด้วยซว้ำ จากแท็กซี่วิ่งหลายหมื่นคันในกรุงเทพ  ผู้โดยสารนับแสนคนต่อวัน กรณีเหล่านี้แทบไม่เกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่แท็กซี่ไทยไม่ได้มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงเท่าไหร่


เอาเป็นว่ามีแท็กซี่ที่รู้วิธีใช้ยาพ่นแค่ร้อยคันในประเทศจากหลายหมื่น แต่ละคันรับผู้โดยสารวันละ 5 คน วันหนึ่งจะมีว่าที่เหยื่อถึง 500 คน ถ้าอัตราก่ออาชญากรรมแค่ 1% หรือ 5 ราย เราน่าจะได้ยินข่าวพวกนี้ทุกวัน


แถมถ้ายาพวกนี้มีจริง ไฉนจึงถูกใช้แค่ในแท็กซี่ ทั้งที่เป็นยาที่มีศักยภาพในการใช้ก่ออาชญากรรมได้สูง น่าจะถูกใช้ในแวดวงอื่นๆ ด้วย ทั้งสำหรับเสือผู้หญิง ฆาตกรรม ย่องเบา ก่อการร้าย ฯลฯ แต่กรณีเหล่านี้ไม่ได้ยินเลย   แถมตำรวจซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุด ยังไม่เคยออกมายืนยันได้ว่ายาพวกนี้มี หรือมีคดีที่พิสูจน์ได้ว่ามาจากยาพวกนี้เลยซักคดี  น่าแปลกใจไหมครับ ทำไมของที่มีศักยภาพขนาดนี้ ถึงเป็นที่รู้จักและใช้แต่พวกขับแท็กซี่


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 17:11
เดี๋ยวจะมาวิเคราะห์ต่อเรื่องยาป้ายนะครับ  แป๊บนึง

ต่อเรื่องยาพ่น  ข้อสันนิษฐานประการที่ 2 คือพ่นในรถแท็กซี่

การพ่นในแท็กซี่ เป็นระบบปิด อากาศจะหมุนเวียนอยู่ในรถนั่นเอง ยิ่งเปิดแอร์แรง อากาศก็วนแรง  สาวสวยคนนี้นั่งอยู่เบาะหลังซ้าย มีพนักพิงด้านหน้าบังแอร์ให้ชั้นหนึ่งแล้ว ระยะห่างจากแอร์ก็มากกว่าคนขับ ทำไมจึงกลายเป็นคนเดียวที่ได้รับยาโดยคนขับไม่เป็นไร  ยิ่งพ่นแอร์แรง คนขับยิ่งน่าจะได้รับยามาก จะบอกว่าลมแรงพ่นไปด้านหลังหมดก็ไม่ใช่  ยิ่งลมแรง อากาศก็วนไปทั่วแรงหมดนั่นแหละ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เหยื่อจะเป็นคนเดียวที่ได้รับยา ยิ่งห้องโดยสารใหญ่ จะใช้ยาให้เหยื่อสลบได้ต้องมีปริมาณมาก ยิ่งไม่มีทางที่คนขับจะรอดโดยไม่พึ่งไอ้นี่


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 17:22
งั้นแล้วทำไมเหยื่อถึงมึนงง เหมือนจะหมดสติ ทั้งที่ไม่เคยเมารถ ขับรถเองตลอด??


ถ้าดูจากคลิปจะเห็นว่าเหยื่อมี smartphone ซึ่งไม่มีรายละเอียดว่าตั้งแต่ขึ้นรถไปเหยื่อทำอะไร อาจจะมัว line หรือใช้งานโทรศัพท์อยู่ก็ได้  ลองนึกถึงการอ่านหนังสือจอเล็กๆ บนรถที่กำลังเคลื่อนตัวนะครับ โอกาสที่จะเมารถมีมากไหม???   ยังไม่รวมการอ่อนเพลียมึนงงจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีก เช่นเป็นวนนั้นของเดือน เพิ่งไปกินหรือดื่มอะไรมาที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย อย่างเมื่อวานผมรับประทานข้าวขาหมูกับกระเทียมดิบมากไปหน่อย ยังเล่นเอาท้องร้อนทรมานเป็นชั่วโมงจากฤทธิ์กระเทียม   หรืออาการวิตกจริตจนถึงขั้นอุปาทานขึ้นมา จนเชื่อว่าตนโดนรมยาจริงๆ ซึ่งอุปาทานนี่ทำให้คนเราแสดงอาการอะไรได้มากมาย  เช่นพวกที่ไปสักแล้วองค์ลง  ลุกขึ้นร่ายรำตามงานพิธีไสยศาสตร์ หรือเด็กนักเรียนที่โดนผีเข้ากันทีเป็นสิบๆ คนในโรงเรียน ฯลฯ   ผมเชื่อว่าสมองของเราปรุงแต่งเรื่องราวจนส่งผลต่อร่างกายได้มากกว่าที่เราคิดครับ


ผมเชื่อว่าเหยื่อน่าจะเมาจาก 3 เหตุที่บอกไปข้างต้นมากกว่า คือเมารถ เมาแกส หรือเมา CO บวกกับอุปาทาน ทำให้รู้สึกว่าเป็นเยอะ จากเมานิดๆ เลยหมดแรงคลื่นไส้ไร้เรี่ยวแรงไปเลยมากกว่า


เหยื่อบอกว่าพอขอลง คนขับก็กระฟัดกระเฟียด แต่ก็ให้ลง ซึ่งก็เป็นไปได้ครับ  ว่ารถให้ไปส่งที่นึง จู่ๆ ขอลงกลางทาง รถติดรึเปล่าก็ไม่รู้ ผมเป็นคนขับอาจจะเซ็งๆ  ร้องในใจ อารายกันว้าาาาาา  คงไม่ใช่กระฟัดกระเฟียดเพราะเหยื่อไม่ทันสลบหรอก


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 17:39
อีกเรื่องที่เป็นความเชื่อไม่แพ้กันคือยาป้าย ป้ายให้งงแล้วถอดทองให้เลย ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปัจจุบัน


ก็ต้องบอกอีกแหละครับว่า ยาที่มีศักยภาพในการก่ออาชญากรรมสูงขนาดนี้ ไหงถึงถูกเอามาใช้กับอาชญากรรมกระจอกๆ อย่างตกทองหรือหลอกให้กดเอทีเอ็ม  แทนที่จะไปใช้ก่อเหตุที่มันยิ่งใหญ่กว่าเช่นเอาไปป้ายผู้จัดการธนาคาร แล้วเข้าไปหอบเงินสดในตู้นิรภัยไม่ดีกว่ารึ   แถมตำรวจหรือองค์กรอาชญากรรมอื่นไม่เอามาใช้กัน  มันเป็นไปได้ยากครับ


เทคนิคการตกทองที่แท้จริงคือ การเข้าถึงตัวเหยื่อโดยเร็ว  ใช้ความโลภเข้าล่อ  ใส่เรื่องราวชักจูงให้เหยื่องงและคิดตามไม่ทัน  เพิ่มข้อจำกัดด้านเวลาทำให้เหยื่อไม่มีเวลาในการคิดพิจารณาหรือตรึกตรองก่อนตัดสินใจ  เพราะยิ่งให้เวลาเหยื่อคิดตามน้อยแค่ไหน โอกาสสำเร็จยิ่งมาก  แต่ถ้าให้เวลาเหยื่อคิดมาก โอกาสเหลวก็สูง  ดังนั้นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่น่าจะหลอกคนได้ ในบางสถานการณ์สามารถใช้หลอกคนได้ครับ ถ้าคนคนนั้นไม่มีเวลาคิด

เทคนิคพวกนี้ไม่ได้ถูกใช้การพวกตกทองอย่างเดียว แม้แต่ประกัน ขายตรง ขายทัวร์ ขายแพ็กเกจต่างๆ  ต่างก็ใช้เทคนิคนี้  เช่น ซื้อตอนนี้รับฟรีโน่นนี่ ของใกล้จะหมดแล้ว ชิ้นสุดท้าย ซื้อก่อนสี่ทุ่มราคานี้ ฯลฯ  เทคนิคเดียวกันครับ ผมโดนหลอกออกบ่อย ขนาดนึกว่ารู้ทันแล้วยังโดนต้มได้เรื่อยๆ


เหยื่อที่ถูกหลอกลักษณะนี้ เวลาเล่าให้คนอื่นฟัง จะไม่บอกหรอกว่าอ๋อ ก็ตอนนั้นเซ่อเอง แต่อาจจะหาเหตุผลบางอย่างปลอบใจตัวเอง เช่นโดนป้ายยา เปลี่ยนสถานะจากคนโดนหลอกเป็นเหยื่อโดนยา เลยมึนๆ งงๆ  ซึ่งในสายตาคนทั่วไปมันดูน่าสงสารต่างกันมากครับ ผมไม่คิดว่าเหยื่องงเพราะยาป้าย แต่งงเพราะถูกชักจูงและถูกจำกัดเวลาในการคิดครับ


การถูกหลอกไม่ขึ้นกับการศึกษา ดร. หมอ  หรือแม้แต่ระดับรัฐมนตรีก็โดนหลอกได้  เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้ความเชื่อมีอิทธิพลเหนือเหตุผล  ไม่ยอมรับฟังความจริง โอกาสที่จะถูกหลอกก็สูงครับ กรณี GT200 น่าจะทำให้เห็นภาพได้ว่า พลังของอุปาทาน  การขาดความรู้ความเข้าใจรวมทั้งไม่ยอมรู้และเข้าใจ การมีผลประโยชน์แอบแฝง และอัตตาของคน สร้างความเสียหายได้มากเพียงใด


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 ก.พ. 15, 20:53
ยกข้อความและคลิปมาจาก fb ของ อ. เจษฎาครับ

ขอบพระคุณอาจารย์หมอจากวิสัญญีแพทยวิทยาลัย ที่ช่วยยืนยันว่า การเอาตัวยาสลบจริงๆที่ใช้ในการดมยา มาใช้มอมคนในรถแท็กซี่ด้วยจากการให้สูดดมนั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตัวยามีกลิ่นแรง-ผู้โดยสารต้องรู้ตัว และออกฤทธิ์ได้ยากเนื่องจากกระจายไปในอากาศ ต้องใช้ที่ครอบหน้าและให้ดมลึกๆ2-3นาที

คุณหมอยังระบุว่า อาการของผู้เสียหายคนนี้ ไม่น่าจะเป็นการมอมยา อาจเกิดจากการสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ จากท่อไอเสียของรถแท็กซี่ ... เหมือนผมพูดเลยครับ


เรื่องเล่าเช้านี้ วิสัญญีแพทย์ชี้ พยาบาลสาวถูกแท็กซี่มอมยา อาจเมาก๊าซท่อไอเสียรถ (13 ก.พ.58) (http://www.youtube.com/watch?v=95d25QBxUpU#ws)


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: suwat ที่ 14 ก.พ. 15, 19:07
เคยอ่านข่าวเรื่องยาป้ายมาตั้งแต่เด็ก ๆ  หลัง ๆ มานี้กลายเป็นยารมแทน (ห้องแลบของโจรอาจประสบความสำเร็จในการพัฒนายาป้ายตำรับโบราณให้เป็นก๊าซ?)

ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อเรื่องนี้ แถมแอบภาวนาในใจว่าอยากเจอดูซักที (อยากพิสูจน์ด้วยตัวเองตามประสาเด็กสายวิทย์)

ที่ไม่เชื่อก็ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เหมือนที่คุณประกอบวิเคราะห์ในกระทู้นี้ คือ ถ้ามันมีจริง คนขับก็ต้องสูดยาเข้าไปเหมือนเราสิ

แล้ววันหนึ่งก็เจออาการนี้เข้ากับตัวเองจริง ๆ

วันนั้นนั่ง BTS ไปลงที่จตุจักร แล้วต่อรถ taxi กลับบ้าน  พอนั่งไปซักพักก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ คือเวียนหัว หายใจไม่ออก

เอาแล้วไง...

ตอนนั้นรีบสังเกตทั่วรถ  เก็บข้อมูลว่ามีอะไรผิดปรกติบ้าง กะว่าถ้ารอดมา จะได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวละเอียด ๆ หน่อย

...คนขับ สองมือจับพวงมาลัยตามปรกติ
...ช่องแอร์ มีตัวการ์ตูนแบบมีใบพัดติดอยู่หน้าช่องแอร์ หรือว่ายาสลบจะอยู่ที่ตัวการ์ตูนหนอ?!

มองไปมองมารอบคันแล้ว อาการที่ว่าก็ยังไม่หาย เลยโทรไปหาคนที่บ้านซะหน่อย

...บอกว่าอีกไม่เกิน ๑๐ นาทีจะถึงบ้านแล้ว (เผื่อว่าถ้าหายไปนานกว่านี้ จะได้ออกตามหา)
...บอกว่าถ้าเห็น taxi สีชมพูหน้าบ้าน ให้เตรียมมาเปิดประตูให้หน่อย (ความจริงเปิดประตูบ้านเองได้  แต่อยากบอกลักษณะ taxi ให้คนที่บ้านรู้ไว้ กะว่าวางสายแล้วจะส่งทะเบียนรถไปทาง sms - สมัยนั้นยังไม่ใช้ line)

อาการเริ่มหนักขึ้น แถมยังรู้สึกว่าปลายนิ้วชานิด ๆ ด้วยแฮะ 
เหลือบไปมองคนขับ ก็ดูตั้งอกตั้งใจมองถนน ไม่มีอะไรผิดปรกติ
ตอนนั้นใกล้ถึงบ้านเต็มที และถนนก็ไม่เปลี่ยวด้วย  เลยคิดว่าเอาวะ เป็นไงเป็นกัน

และแล้วก็...ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

ลงจากรถมาได้ไม่ถึง ๑ นาที ได้สูดอากาศนอกรถ  อาการที่ว่าก็หายเป็นปรกติซะอย่างนั้น

เลยสรุปว่าน่าจะเมารถนั่นเอง เพราะวันนั้นขึ้น taxi แล้วไม่เจียมสังขาร  เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำงานด้วย  (ตรงกับที่เจ้าของกระทู้วิเคราะห์ไว้เลย)

 :D :D :D :D


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 15 ก.พ. 15, 08:27
โดยมากจะเป็นเมารถ กับที่นึกกันไม่ถึงคือคาร์บอนมอนน๊อกไซด์ครับ เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แล้ว taxi เมืองไทยแต่ละคัน หาสภาพดียากมากๆ ครับ อย่างหลังไม่มีสี ไม่มีกลิ่น บอกไม่ได้ว่ามากน้อยขนาดไหน เมื่อมันแย่งจับกับฮีโมโกบินแทนอ๊อกซิเจน ก็คือขาดอ๊อกซิเจนนั่นเอง


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 16 ก.พ. 15, 11:04
ขอบพระคุณคุณประกอบเทพในการให้ความกระจ่างเจ้าค่ะ ;D ;D


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 16 ก.พ. 15, 15:54
ฮิฮิ เห็นแว่บๆ ท่านอาจารย์ใหญ่ยังไม่เชื่อ แบบนี้ต้องรุกไล่  ;D  ;D


จริงๆ แล้วกรณีแท็กซี่พ่นยารมยา เป็นตำนานคนเมืองที่อยู่คู่สังคมไทยมาพักใหญ่แล้ว น่าจะตั้งแต่แท็กซี่เริ่มติดแอร์นั่นแหละ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีคดีอาชญากรรมคดีไหนเลยที่พิสูจน์ได้ว่าใช้การพ่นยาให้สลบจริง ที่เห็นมีคือการใช้กำลังหรืออาวุธกันทั้งนั้น ทำให้หลักฐานเชิงประจักษณ์ของกรณีแท็กซี่พ่นยาไม่เคยมีเลยแม้แต่กรณีเดียว ไม่ต้องถึงกับคดีสิ้นสุดศาลตัดสิน แม้แค่ระดับพนักงานสอบสวนยังไม่มีให้ได้ยินเลย


หรือถ้ายานี้มีจริง ไม่มีประจักษ์พยานโดยตรง ก็น่าจะมีหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ  เช่น การใช้ยาลักษณะนี้ควบคุมปริมาณยาก นอกจากเหยื่อที่รอด ก็ต้องมีเหยื่อที่ตายด้วยบ้าง ถ้าแท็กซี่ทำงานพลาด มีเหยื่อตาย ต้องมีการกำจัดศพ จะเอาไปทิ้งที่ไหนก็แล้วแต่  ย่อมต้องมีข่าวศพลึกลับที่ตายโดยไม่มีบาดแผล ถูกนำไปทิ้งตามที่ต่างๆ ข้างถนนบ้างป่าบ้าง  และถ้ามีกรณีแบบนี้ ก็พิสูจน์ไม่ยากว่าผู้ตายเพิ่งเลิกงานหรืออะไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายถูกเห็นว่าขึ้นแท็กซี่  แต่กรณีแบบนี้เราก็ไม่ได้ยินอีก มีแต่คนถูกฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุที่ถูกนำไปทิ้ง  และถ้ามีหนทางอื่นกำจัดศพ  เหยื่อแท็กซี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจร แต่มีญาติพี่น้อง จะต้องมีกรณีคนหายที่ญาติิกมาโวยว่าถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายขึ้นแท็กซี่ไปจำนวนมาก


ถ้าไม่ถึงกับตาย เหยื่อแค่หมดสติ  หลังจากแท็กซี่ปลดทรัพย์หรืออะไรก็แล้วแต่ จะจัดการเหยื่ออย่างไร จะไปส่งบ้าน หรือเอาไปทิ้งให้นอนตามริมถนน หรือทิ้งไว้ตามโรงแรม  กรณีแบบนี้ย่อมต้องออกมาให้ข่าวให้ตามจับแท็กซี่ได้อีก แต่นี่ไม่มีอีกนั่นแหละ หรือเหยื่อถึงขนาดเสียความทรงจำด้วย?  ถ้าใช้ยาแบบเดียวกับที่หมอใช้วางยาก่อนผ่าตัด งั้นคนที่ถูกวางยาสลบก่อนเข้าห้องผ่าตัด ทำไมจำช่วงเวลาก่อนวางยาได้ แสดงว่ายานี้ต้องดีกว่ามาก


ยิ่งถ้าเป็นยาพวกที่ท่านอาจารย์ว่ามา การใช้มันยาก ต้องมีการผสมโน่นนี่วุ่นวาย  ที่หมอใช้ต้องให้คนไข้สูดไอระเหยผ่านหน้ากาก หรือไม่ก็ต้องให้กินเข้าไป ไม่ใชแค่สูดดมผ่านแอร์


ยิ่งถ้าเป่าแอร์แรงๆ พ่นไปด้านหลัง  แอร์ที่ถูกพ่นจะไม่ไปด้านหลังทั้งหมด ยิ่งแรงจะยิ่งกระจายเป็นวงกว้าง ไม่ใช่เป่าแรงแล้วไปด้านหลังทั้งหมด แต่มันจะกระจายแรงไปด้านข้างด้วย   และอากาศในรถอุณหภูมิไม่เท่ากันลมเย็นกับร้อนในรถจะทำให้กระแสอากาศหมุนวน ดังนั้นสุดท้ายมันจะกระจายไปทั่วรถ ถ้าใครไม่เชื่อลองพ่นแป้งหรือควันธูปดูน่าจะเห็นได้ว่ากระแสอากาศมันไปทางไหน ไปข้างหลังหมดไหม  หรือง่ายๆ เอาวาเป็กซ์ไปวางหน้าแอร์ก็ได้ ว่าตำแหน่งไหนจะได้กลิ่นมากกว่ากัน   จะลองให้รถวิ่งไป แง้มกระจกฝั่งคนขับไว้ด้วยก็ได้ ดูควันดูกลิ่นดูการหมุนวน ดูว่าคนขับจะรอดได้ไหม ถ้าจะรอดต้องนั่งแบบไหน  การทดลองแบบนี้ลองทำดูเองก็ได้ครับ


ส่วนการใช้ยาจริงเช่นชื่อที่ท่านอาจารย์ว่ามาคงทดลองได้ยากและไม่จำเป็น เพราะมีความอันตรายสูง โดยเฉพาะทดลองในแท็กซี่ที่ควบคุมตัวแปรได้ยาก เพราะอาจเกิดอันตรายกับผู้ถูกทดลองได้ครับ


ดังนั้นด้วยหลักฐานทั้งทางตรงและทางอ้อมที่สนับสนุนความเชื่อนี้มันไม่มี นอกจากคำพูดของคนที่คิดว่าเคยเกือบตกเป็นเหยื่อเท่านั้น ซึ่งก็ไม่เคยมีการดำเนินคดีหรือทำอะไรไปได้ไกลกว่าคำอ้างพวกนี้เลย ทำให้ผมเชื่อไม่ได้ว่าของพวกนี้มันมีจริงครับ 8)


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: POJA ที่ 19 ก.พ. 15, 11:43
ลองเปรียบเทียบกับตัวเองดูค่ะ

เป็นคนขับรถรับส่งลูกทุกวัน เป็นรถรุ่นเล็กที่เข้าใจว่า ระบบปรับอากาศไม่ค่อยดีเท่าไร ลูกจะนั่งด้านหลัง บางทีแอร์ก็กระจายไปไม่ถึง หากคนขับรู้สึกร้อน ก็แอบมองลูกทางกระจกหลังว่าร้อนด้วยหรือเปล่า แล้วเราก็เร่งแอร์ ขยับหน้ากากแอร์ให้ปัดไปด้านหลังบ้าง ปัดมาหาตัวเองบ้าง

อย่างนี้เป็นกิริยาที่เหมือนคนขับแท็กซี่บ้างไหมคะ

แท็กซี่มีคนขึ้นลงทั้งวัน บางทีอากาศในรถอาจจะไม่ดีนัก ต้องเปิดหน้าต่างช่วยบ้าง ส่วนรถของตัวเอง ตอนนี้ก่อนออกรถทุกเช้า จะเลื่อนกระจกรถลงทุกด้าน ให้ fresh air มันเติมเข้ามาบ้าง ไม่งั้นหายใจไม่ออก มีอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมได้ค่ะ



กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 23 ก.พ. 15, 11:42
ยาดีขนาดนี้ น่าจะนำไปใช้กับงานตำรวจ ทหาร ได้นะครับ ผมเห็นในหนัง เวลาคนร้ายจับตัวประกัน จะขอต่อรองโดยขอให้ เจ้าหน้าที่จัดรถให้
เราก็เรียกแท็กซี่ไทยที่สำเร็จวิชารมยานี้ให้ แค่นี้ คนร้ายก็เสร็จเราทุกรายแน่ครับ


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ส.ค. 18, 07:11
ขออนุญาตอัปเดตเรื่องที่คุณประกอบพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง GT 200

การถูกหลอกไม่ขึ้นกับการศึกษา ดร. หมอ  หรือแม้แต่ระดับรัฐมนตรีก็โดนหลอกได้  เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้ความเชื่อมีอิทธิพลเหนือเหตุผล  ไม่ยอมรับฟังความจริง โอกาสที่จะถูกหลอกก็สูงครับ กรณี GT200 น่าจะทำให้เห็นภาพได้ว่า พลังของอุปาทาน  การขาดความรู้ความเข้าใจรวมทั้งไม่ยอมรู้และเข้าใจ การมีผลประโยชน์แอบแฝง และอัตตาของคน สร้างความเสียหายได้มากเพียงใด

บางคนแม้จะรู้ว่าเขาหลอก แต่ก็เต็มใจให้หลอก

เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที ๒๐๐ (GT 200) การวินิจฉัยว่าจะถูกหรือผิดเป็นเรื่องยาก เพราะบางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือนความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง เจ้าหน้าที่ที่นำไปใช้แล้วเขารู้สึกว่าคุ้มค่า

https://www.matichon.co.th/politics/news_1107603

"ไม้ล้างป่าช้า"  อัปเกรด" ขึ้นสู่ระดับ "พระเครื่อง" ได้อย่างน่าอัศจรรย์  :o


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ส.ค. 18, 11:04
อ่านข่าวนี้แล้ว แต่ไม่อยากเชื่อว่าท่านพูดอย่างนี้จริงๆ   อาจเป็นการสรุป เพื่อลงพาดหัวข่าวจากสื่อ
เลยอยากได้ยินคลิป ชัดๆ ว่าท่านพูดจริงๆหรือ
คุณเพ็ญชมพูพอจะหาคลิปมาลงได้ไหมคะ     ดิฉันยังหาไม่เจอ


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ส.ค. 18, 14:06
คลิปสัมภาษณ์เรื่องนี้คงไม่มี คิดว่าตอนที่นักข่าวสัมภาษณ์ท่านกรรมการ ป.ป.ช. คงไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้เหมือนกัน จึงไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะบันทึกภาพและเสียง แต่อาจจะมีการสัมภาษณ์ครั้งต่อไปในรายการข่าวทางทีวีก็เป็นได้ เช่นเดียวกับการสัมภาษณ์คุณหมอท่านหนึ่งโดยคุณสรยุทธเมื่อ ๘ ปีมาแล้ว คุณหมอท่านนั้นยังเชื่อว่า GT 200 ยังมีประโยชน์แม้จะพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิทยาศาสตร์

https://youtu.be/OjEFghFOOpU

แต่คงได้มาตรฐานตามหลักไสยศาสตร์ดังเช่นท่านกรรมการ ป.ป.ช. ว่าไว้

เรื่องของ GT 200 ก็คงแล้วแต่ใครจะยึดมาตรฐานอะไร   ;D


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 30 ส.ค. 18, 20:41
GT200 รู้สึกจะครบ 10 ปีพอดี ตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 31 ส.ค. 18, 08:13
อ่านข่าวนี้แล้ว แต่ไม่อยากเชื่อว่าท่านพูดอย่างนี้จริงๆ   อาจเป็นการสรุป เพื่อลงพาดหัวข่าวจากสื่อ
เลยอยากได้ยินคลิป ชัดๆ ว่าท่านพูดจริงๆหรือ
คุณเพ็ญชมพูพอจะหาคลิปมาลงได้ไหมคะ     ดิฉันยังหาไม่เจอ

ผมเชื่อว่าลุงคนนี้พูดตามข่าวจริงครับ คำพูดอาจจะไม่เป๊ะๆ แต่บริบทของคำพูดคงตามที่เป็นข่าวนั่นแหละ ในฐานะที่เริ่มเคยชินกับระบบราชการบ้างแล้ว ก็เห็นใจองค์กรตรวจสอบต่าง ๆ ของรัฐครับ เพราะแต่ละกรณีเผือกร้อนทั้งนั้น นาฬิกายืมเพื่อนเอย GT200 เอย กระเทือนผู้มีอำนาจทั้งนั้น สังคมไทยต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี แม้แต่คนใน ปปช ก็ถือคตินี้ เลยฮึดฮัดเล่นงานเป็นพวกกุ้งฝอยไส้เดือน  สุดท้ายชาติไทยก็เอวังด้วยประการละฉะนี้เอง.....


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 ส.ค. 18, 08:39
GT200 รู้สึกจะครบ 10 ปีพอดี ตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย

อันที่จริงเรื่องนี้เริ่มเมื่อ ๑๓ ปีมาแล้ว

ข้อมูลจาก The MATTER (https://today.line.me/th/article/พงศาวดาร+GT+200+พกไว้เหมือน+พระเครื่อง+ใช้งานไม่ได้แต่ก็รู้สึกคุ้มค่า-MZPwlD)


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ส.ค. 18, 10:34
ติดตามข่าวนี้อยู่ เพื่อจะมาลงในเรือนไทย
เห็นข่าวเงียบๆไป  ไม่มีคำตอบจากป.ป.ช. ว่าจริงเท็จประการใดที่เครื่องมือตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เปรียบได้กับพระเครื่อง
มีแต่ข่าวอจ.เจษฎา ผู้ค้นพบประสิทธิภาพของ GT200  ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อค่ะ

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/88366

การจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 และอัลฟ่า 6 ที่เบื้องต้นพบว่าอาจมีการทุจริต กระทั่ง สตง.ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อมากรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่งระบุว่า การวินิจฉัยคดีนี้ ค่อนข้างลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่รู้สึกอุ่นใจเหมือนห้อยพระ ทำให้นักวิชาการที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ออกมาระบุว่าการวินิจฉัยควรใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่ความรู้สึก

โดยนายเจษฎาระบุว่า กรรมการ ป.ป.ช.ควรใช้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการวินิจฉัยคดี การที่นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่า การวินิจฉัยว่าใครถูกหรือผิด เป็นเรื่องยาก เพราะไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่องจีที 200 แต่เป็นความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นำไปใช้แล้วรู้สึกคุ้มค่า แต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใช้งาน จะเปลี่ยนความคิด เมื่อรู้ว่าเครื่อง GT 200 ไม่สามารถใช้งานได้จริง และคนที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ออกมาพูดเช่นนี้ ถือเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะการวินิจฉัยต้องใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นรูปธรรม ไม่ใช่วินิจฉัย โดยใช้ความเชื่อ

นายเจษฎาระบุด้วยว่า ขอให้ ป.ป.ช.เร่งไต่สวนสำนวนส่งให้พนักงานอัยการ และชี้แจงต่อสังคมว่ามีหน่วยงานใดบ้างที่มีความผิด หากมีอุปสรรค ก็ขอให้ชี้แจงว่าเกิดจากอะไร เพราะคดีนี้เกือบ 10 ปีแล้ว ถือว่าล่าช้า หากเทียบกับประเทศอังกฤษ ที่ดำเนินคดีกับบริษัทผู้ผลิตเครื่อง GT200 มาแล้วหลายปี ทำให้หลายฝ่ายคิดว่าอาจมีเบื้องหลัง ที่ทำให้กระบวนการไต่สวนล่าช้า

ทีมข่าวสอบถามไปที่เลขาธิการ ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ ไม่ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ และขอไม่แสดงความเห็นประเด็นนี้


กระทู้: มาเตือนให้เหล่าท่านผู้อาวุโสเรือนไทยระวังไว้ แท็กซี่รมยากลับมาแล้ว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ส.ค. 18, 10:38
อ้างถึง
ทีมข่าวสอบถามไปที่เลขาธิการ ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ ไม่ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ และขอไม่แสดงความเห็นประเด็นนี้

คำตอบน่าจะชัดเจนนะคะ
ก็คงจะเหมือนอย่างคุณประกอบว่า   องค์กรตรวจสอบท่านคงตอบไม่ได้มากกว่านี้