เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: จ้อ ที่ 30 ส.ค. 01, 11:41



กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 30 ส.ค. 01, 11:41
เปลี่ยนมาคุยเรื่องอียิปต์กันมากดีกว่าครับ ...
/>
พึ่งจะดูสารคดีไปเมื่อไม่นานมานี้
เกี่ยวกับเรื่องการล่มสลายของอณาจักร์โบราณ

หนึ่งในนั้นก็คือ
อาณาจักร์โบราณของอียิปต์ ที่เรียกกันว่า Old Kingdom  ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่าง
2575 ถึง 2150 ปีก่อนคริสต์ศักราช



ในช่วง Old Kingdom
นี่เองที่ชาวอียิปต์เริ่มสร้าง ปีรามิด ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ ปิรามิตที่ใหญ่
กีซา ของฟาโรห์ Khufu  ก็เริ่มสร้างในสมัยนี้เช่นกัน  
ปิรามิดของคูฟูนั้นครองแชมป์สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก คือ 481 ฟุต
จนถึงศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว (อาจจะเป็นหอไอเฟลที่โค่นแชมป์)
เรียกว่าครองแชมป์เป็นพันๆปีเลยทีเดียว



แต่แล้วจู่ๆ อณาจักร
และ อำนาจที่เข้มเข็งของฟาร์โรห์ ก็เสื่อมถอยลง
อารยาธรรมที่กำลังอยู่ในช่วงสูงสุด กลับล่มสลายลงอย่างน่าพิศวง
ทิ้งให้อิยิปต์ตกอยู่ในยุคมือเป็นเวลาร้อยกว่าปี ยุคมืดนี้เรียกกันว่าช่วง  the
first Intermediat Period  ซึ่งอยู่ระหว่าง 2150  ปีถึง 2040 ปีก่อน ค.ศ.
/>


เดิมนั้นนักวิชาการอียิปต์ทั้งหลายเชื่อว่า ความล่มสลายของ Old
Kingdom อาจเกิดจากความไม่เสถียรทางการเมือง ซึ่งคาดเดาว่าเกิดจากการที่
ฟาร์โรห์ Pepi II ซึ่งเป็นฟาโรห์ในราชวงค์ที่6 (Dynasty 6) ครองราชย์นานเกินไป
ทำให้อำนาจฟาร์โรห์เสื่อมถอย เข้าใจว่า Pepi II ซึ่งมีอายุระหว่าง 2246 ถึง
2152 ปีก่อน ค.ศ. นั้น อาจจะครองราชตั้งแต่อายุสิบกว่าๆ
จนกระทั้งอายุเก้าสิบกว่าๆ ช่วงที่แก่มากๆนี่เองอาจจะทำให้ขุนนาง
และหัวเมืองต่างๆแข็งข้อ
แต่ข้อสันนิฐานดังกล่าวดูจะไม่ค่อยได้รับการเชื่อถือเท่าไหร่นัก
เพราะเหตุว่าดูเหมือนทุกๆหัวเมือง และรัฐบาลกลาง จะพากันหมดอำนาจพร้อมๆกัน
เกิดความวุ่นว่ายอย่างมากในอณาจักร์ ซึ่งน่าจะมีเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่า
และรุนแรงกว่าความไม่มั่นคงทางการเมือง บางสิ่งบางอย่างที่มีผลรุนแรง
พอที่จะส่งอียิปต์สู่ยุคมืดนานถึงร้อยปี


/>
อันนี้คือปีรามิดที่กีซาครับ
src='http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW745x000.jpg'>


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 27 ส.ค. 01, 05:32
เมื่อราวๆปี 1971 นักโบราณคดีได้พบหลักฐานชิ้นแรกของการล่มสลายของอณาจักร์ มันซ่อนอยู่ในสุสาน

ไม่ใช่สุสานของกษัตร์ย์แต่เป็น เจ้าเมืองทางตอนใต้ของอียิปต์ ที่บังเอิญมีชีวิตอยู่ในช่วงหลังจากการล่มสลายของ

Old Kingdom  ไม่นานนัก



ในสุสานได้บันทึกถึงความอดอยากรุนแรงทั่วอณาจักร์ อดอยากถึงขนาดที่ผู้ใหญ่หิวโซจนต้องกินเด็กๆ ลูกหลานของตัวเอง



ความจริงความอดอยากขนาดนี้เคยเกิดขึ้นในอียิปต์ (และอาจจะที่อื่นๆ ในโลก) หลายครั้งแล้ว เมื่อราวๆ คริสตศตรวรรษที่ 12 แพทย์ชาวอาหรับก็เคยบันทึกความอดอยากในอียิปต์เช่นกัน และได้บันทึกไว้ว่า



All Upper Egypt was dying of hunger,

to such an extent that everyone has come to eating his children ...

The entire country  had become starved like a starved grasshopper,

wyth people going  to north and to the south ( in search of grain )

[ Al-Baghdadi, a physician/ scholar from Baghad ]



ข้างล่างนี่เป็นภาพที่พบในสุสานแห่งหนึ่งในช่วง the first Intermediat Period  (แต่เป็นคนละแห่งกับที่กล่าวถึงนะครับ ... แฮ่ๆ)





ความแห้งแล้งที่แพทย์อาหรับ Al-Baghdadi พบเห็นนั้นนับว่าโหดมากแล้ว

แต่ภัยความแห้งแล้งที่ชาวอียิปต์โบราณในช่วง Old Kingdom ล่มสลายนั้น โหดร้ายกว่านั้นมาก

แห้งแล้งขนาดไหนกัน ?  



นักธรณีวิทยาได้ทำการสำรวจทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่งในอียิปต์ ซึ่งรับน้ำโดยตรงจากแม่น้ำไนล์

ที่เป็นสายเลือดของชาวอียิปต์ สิ่งที่พวกเขาพบคือ เมื่อ 4200 ปีที่แล้วนั้น ทะเลสาบนี้

แห้งสนิด เป็นช่วงเดียวในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมอียิปต์ที่ทะเลสาบนี้แห้งหายไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าทะเลสาบนี้แห้ง แม้นำไนล์จะแห้งขอดแค่ไหน



ปัญหาคืออะไรทำให้เกิดความแห้งแล้งขนาดนี้ได้


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: ริน ที่ 27 ส.ค. 01, 05:39
น่าสนใจมากค่ะ เคยสงสัยมานานแล้วว่าอารยธรรมระดับนี้ทำไมจบสิ้นไปเงียบๆ

คนอียิปต์ทุกวันนี้คือคนที่สืบสายมาจากยุคนั้นหรือเปล่าคะ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 27 ส.ค. 01, 05:45
ความแห้งแล้งขนาดไหนนั้น ถ้าจะให้มองเห็นภาพ ลองดูจากแผนทีนี้ดูครับ

จะเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ในแผ่นที่ (มีเครื่องหมายกากาบาท) ทะเลสาบนั้นใหญ่มาก

และอยู่คู่อารยธรรมอียิปต์มาตลอด นับตั้งแต่เริ่มสร้างอารยธรรมก่อนยุค Old Kingdom เสียอีก

แต่ในช่วงล่มสลายของอณาจักรนั้น ทะเลสาบทั้งทะเลสาบแห้งหายไปจากแผนที่

ลองคิดดูแล้วกันครับ ว่าแม่น้ำไนล์จะต้องแห้งขนาดไหน


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 27 ส.ค. 01, 06:05
สำหรับสาเหตุของความแห้งแล้งขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้ นักธรณีวิทยา และนักโบราณคดีได้พยายามหาสาเหตุเป็นเวลานาน

หลักฐานแรกทางธรณีวิทยานั้นขุดพบในถ้ำของประเทศเพื่อนบ้านคือ อิสราเอล
นักธรณีวิทยาสามารถที่จะประมาณปริมาณน้ำฝนที่ตกในปีต่างๆ จากหินงอกหินย้อยภายในถ้ำนั้น
พวกเขาพบว่า ในช่วง  first Intermediat Period  นั้นปริมาณน้ำฝนในอิสราเอลก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
แต่หลักฐานเพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะสรุปได้ว่า ความแห้งแล้งในอียิปต์จะเกี่ยวข้องกับในอิสราเอล
เพราะระบบอากาศของอียิปต์กับอิสราเอลนั้นแตกต่างกัน ถ้าความแห้งแล้งในอียิปต์จะกระทบอิสราเอลด้วย
ปรากฎการณ์นี้น่าจะใหญ่มาก อาจจะเป็นปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงของอากาศทั้งโลก

ในที่สุดนักธรณีวิทยาก็ได้ค้นพบหลักฐานสำคัญ ไม่ใช่ในทะเลทรายแต่ได้มาจากภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่บริเวณกรีนแลนด์
พวกเขาพบว่าในช่วงเวลาที่อียิปต์ล่มสลายนั้น เกือบทั่วทวีปยุโรปปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เรียกว่าเป็นยุคน้ำแข็งย่อยเลยก็ได้
นอกจากนั้นนักธรณีวิทยายังได้พบหลักฐานสภาพอากาศที่แปรปวนในช่วงนั้นจากที่ต่างๆทั่วโลก...

ปรากฎการณ์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั่วโลก ความหนาวเย็นในยุโรป และความแห้งแล้งในอียิปต์
ในสังคมเกษตรกรรมอย่างอียิปต์ ที่พึ่งดินฟ้าอากาศอย่างมากนั้น แค่ความแห้งแล้งไม่กี่ปีก็เพียงพอที่จะทำให้
เกิดความระส่ำละสายแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าความแห้งแล้งจากปรากฎการณ์ที่ใหญ่ขนาดนี้จะนำความหายนะได้ขนาดใหน


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 27 ส.ค. 01, 06:13
ข้อมูลเพิ่มเติม จากเว็ปข้างล่างนี้ครับ

http://www.bbc.co.uk/history/ancient/egyptians/apocalypse_egypt1.shtml

http://www.ancientegypt.co.uk/

http://www.geocities.com/~amenhotep/index.html

ช่วง first Intermediat Period อ่านได้จากเว็ปนี้ครับ

http://www.geocities.com/~amenhotep/history/07_11/index.html



แต่ถ้าอยากสำรวจภายในปีรามิดเชิญที่ลิงก์นี้เลยครับ

http://www.ancientegypt.co.uk/pyramids/explore/exp_main.html


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นักสำรวจน้อย ที่ 27 ส.ค. 01, 12:44
ผมเข้าไปสำรวจข้างในปิรามิดตะกี้นี้เกือบออกมาไม่ได้ครัยพี่มันซับซ้อนเหลือเกิน
  สงสัยเหลือเกินที่บอกว่าอยู่ในช่วงระหว่าง 2575ถึง2510ทำไม
ไม่เป็นจาก2510ถึง2575 และบรรทัดล่างๆอีกครับ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่าครับพี่


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 27 ส.ค. 01, 15:46
2575 ก่อน คศ.? - 2510 ก่อน คศ.?
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถูกแล้วครับ เลขมากยิ่งแปลว่าย้อนกลับไปไกลมาก มาก่อนเลขน้อยครับ (ระบบนี้ยึดพระเยซูหรือคริสตกาลเป็นจุดตั้งต้น ขอให้นึกถึงเส้นจำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ เทียบ 0 กับจุดเริ่มต้น ค.ศ. ปีที่เราเห็นเดี๋ยวนี้ 2000 2001 เป็นปี ค.ศ. เหมือนกับจำนวนบวกบนเส้นจำนวน ที่มาหลัง 0 แต่B.C หรือปีก่อน คศ. เหมือนจำนวนลบอีกข้างของศูนย์บนเส่นจำนวน -3 มาก่อน -2 และมาก่อน -1 เข้าใจไหมครับ)


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: Linmou ที่ 27 ส.ค. 01, 20:50
ยุคที่อิยิปต์เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ คงไม่ใช่ช่วงที่จีนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่หรอกนะ

ราชวงศ์เซี่ยเริ่มต้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ ๒๒ ก่อน ค.ศ. ปฐมกษัตริย์คือ อวี่ ในสามราชันย์ หยาวซุ่นอวี่ ที่ครองราชย์สืบต่อกันตามลำดับ
ในยุคของหยาวกับซุ่น ได้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ขึ้น น้ำท่วมได้ดำเนินติดต่อกันเป็นเวลานานถึงหลายสิบปี

เวลาดูจะเหลื่อมกัน ๒๐๐ - ๓๐๐ ปีนะคะ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 27 ส.ค. 01, 23:51
ตามข้อมูลของคุณ Linmou ผมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในจีนนั้น
จะเกี่ยวข้องกันโดยตรงหรือเปล่าแต่คิดว่าช่วงเวลานั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกัน

จากข้อมูลที่ผมมีนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนี้เรียกว่า Mini Ice Age
หลักฐานทางธรณีวิทยาจากการศึกษาภูเขาน้ำแข็ง ในแถบกรีนแลนด์พบว่า
ความแปรปรวนของสภาพอากาศนี้เกิดขึ้นเป็นคาบค่อนข้างคงที่ คือประมาณทุกๆ 1500 ปี
ซึ่งจะยาวนานถึง 100 หรือ 200 ปี บางครั้งรุนแรงมากบางครั้งรุนแรงน้อย
และหนึ่งในคาบของ Mini Ice Age นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4200 ปีมาแล้ว

นักธรณีวิทยาจาก Lamount-Donerty Earth Observatory ได้ศึกษาปรากฎการณ์ดังกล่าว
จากตัวอย่างทางธรณีวิทยาทั่วโลก และพวกเขาพบว่าปรากฎการณ์แปรปรวนของสภาพอากาศ
ที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในหลายๆที่ในโลก เช่นในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน
บริเวณ แอตแลนติกเหนือ กรีนแลนด์ ทั่วแอฟริกาเหนือ สหรัฐอเมริกาและแคนนาดา
และล่าสุดที่ยืนยันคือบริเวณประเทศอินโดนีเซีย (ซึ่งจะว่าไปก็ใกล่้กับจีนมากๆ)
ผลการค้นพบนี้บอกใด้ถึงขนาดความกว้างของปรากฎการณ์ครั้งนี้

ถ้าตามเวลาที่คุณ Linmou กล่าวถึงคือ ศตวรรษที่ ๒๒ ก่อน ค.ศ. ก็น่าจะอยู่ในช่วงเดียวกันนี้
ผมคิดว่าถ้าจะบอกให้แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ควรจะต้องมีหลักฐานทางธรณีวิทยา
มาช่วยยืนยันด้วย คิดว่าในช่วงเวลาเดียวกันก็น่าจะเกิดความหนาวเย็นในไซบีเรีย
และในมองโกลเลีย รวมทั้งตอนเหนือของจีนด้วย ผมว่าถ้ามีหลักฐานทางโบราณคดี
ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประเภทนี้ หรือถ้าจะให้แน่หลักฐานทางธรณีวิทยา
ก็จะช่วยยืนยันได้ครับ ....

ส่วนตัวผมว่าน่าจะเป็นไปได้นะ เพราะถ้าน้ำท่วมนานเป็นสิบๆปี ดูจะไม่ค่อยธรรมดานัก


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 28 ส.ค. 01, 00:01
ส่วนที่คุณรินสงสัยว่าคนอียิปต์ยุคนี้สืบเชื้อสายมาจากยุคนั้นหรือเปล่า?
อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับเพราะไม่ใช่ผู้เชียวชาญ
และที่สำคัญคือ อียิปต์ในยุคหลังๆนั้น ถูกคนหลายเผ่าเข้ายึดครอง เริ่มตั้งแต่เปอร์เซีย
กรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ โรมันสมัยคลีโอพัตรา แล้วเรื่อยลงมาถึงมุสลิม

ยิ่งเมื่อสมัยศตวรรษที่ 10-11นั้น อารยธรรมอิสลามแผ่ไปทั่งตั้งแต่อินเดียถึงสเปน
รู้สึกว่ากรุงไคโรของอียิปต์เคยเป็นเมืองที่รุ่งเรื่องที่สุดในอณาจักร์มุสลิม แต่จำไม่ได้ว่าศตวรรษไหนแน่ครับ
ผมคิดว่าผสมปนเปกันไปหมดแล้วละครับ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 28 ส.ค. 01, 00:17
ผมเข้าใจว่าคนอียิปต์ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นเผ่าอาหรับครับ จะยังมีสายเลือดของคนอียิปต์รุ่นฟาโรห์หลงเหลือปนอยู่บ้างหรือไม่ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน

แม้แต่อียิปต์โบราณเอง สมัยหลังๆ ลงมาก็ถูกปนถูกผสมไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงประชาชนธรรมดา ขนาดองค์ฟาห์โรห์เองราชวงศ์ท้ายๆ ก็กลายเป็นลูกหลานโรมัน อย่างที่คุณจ้อพูดถึงพระนางคลีโอพัตรา (...ซึ่งไม่เกี่ยวกับสถานประกอบการแห่งหนึ่งที่เมืองไทยแต่อย่างใด และพนักงานผู้ประกอบการในสถานที่แห่งนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ชาวไอยคุปต์โบราณด้วย ส่วนจะเป็นชาวไหนแน่นั้นคงต้องถามผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณจ้อ เพราะผมไม่ชำนาญเรื่องคลีโอพัตราที่เมืองไทยครับ)


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 28 ส.ค. 01, 00:19
ความจริงแล้วเพียงแค่ระดับน้ำในแม่น้ำไนล์ต่ำกว่าปกติเมตร หรือ สองเมตร
ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความอดอยากและความระส่ำระสายได้แล้ว
ตามประวัติศาสตร์นั้น ในราวปี ค.ศ. 1791 ถึง 1792 ระดับน้ำในแม่น้ำไนล์ลดลงไปเพียง 1-2เมตร
ความอดอยากเกิดขึ้นในอียิปต์ อำนาจรัฐบาลกลางปั่นป่วน
นโปเลียน นักยุทธศาสตร์ของโลก มองเห็นโอกาสทองจึงเคลื่อนพลเข้ายึดอียิปต์

จากบันทึกตั้งแต่สมัยอาหรับยึดครองอียิปต์  ความแห้งแล้งเนื่องจากระดับน้ำไนล์
ลดลงกว่าระดับปกตินั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง บางครั้งยาวนานเกือบสิบปี
แต่ความแห้งแล้งในช่วงล่มสลายของ Old Kingdom นั้นกินเวลายาวนานไม่ใช่สิบ
แต่เป็นร้อยปี ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้นส่งผลรุนแรงต่อชีวิตมนุษย์
จนผู้คนในอียิปต์สมัยนั้นไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร ส่งผลให้อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันหนึ่ง
ล่มสลายลง


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 28 ส.ค. 01, 00:21
อ่ะ... คุณ นกข. ไหงโยนเผือกร้อนให้ผมอีกแย้ววว
เดี๋ยววันหลังไม่พาไปทัศนศึกษานะเอ้อ!


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 28 ส.ค. 01, 00:26
สงสัยจังว่าความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่คุณจ้อว่า จะเป็นสาเหตุของตำนานโบราณเรื่องน้ำท่วมโลกที่มีตรงกันหลายชาติภาษาได้ไหม?

จีนก็มีบันทึกเรื่องน้ำท่วมอย่างที่แม่นางหลินว่า (อันนั้นเป็นเหตุการณ์สมัยประวัติศาสตร์ ถึงจะเป็นยุคประวัติศาสตร์กึ่งนิทานก็ยังพอถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์อยู่บ้าง แต่ถ้าจะเอาย้อนไปยุคตำนานจริงๆ เห็นจะเป็นตอนที่ฟ้าถล่มไปหน่อยทำให้เกิดน้ำท่วมและภัยพิบัติ จนเทพมารดาหนี่ว วา ต้องซ่อมแซมฟ้าที่ถล่มลงมาโน่นกระมัง) ในไบเบิลก็มีเรื่องเรือโนอาห์กับน้ำท่วมใหญ่ที่ภาษาคริสตังไทยสมัยก่อนท่านเรียกว่า "น้ำวินาศ"  ทางอินเดียก็มีเรื่องของพระมนู ราชาที่ได้รับเทวโองการจากพระวิษณุให้ช่วยชีวิตมนุษย์จากน้ำท่วมโลก โดยองค์พระวิษณูเป็นเจ้าทรงอวตารมาเป็นปลา อยู่ในนารายณ์สิบปางตอนมัตสยาวตาร น่าจะเป็นไปได้ว่าต้นเค้าของนิทานเหล่านี้คือน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่มีจริงๆ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 28 ส.ค. 01, 00:54
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าตำนานเกี่ยวกับหายะต่างๆของคนโบราณบางส่วนอาจเป็นเรื่องจริง

นอกจากนั้นผมเชื่อว่ายังอาจจะอธิบายได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์อีกด้วยครับ



เมื่อไม่นานมานี้ผมจะพึ่งดูสารคดีเกี่ยวกับตำนานในคำภีร์ไบเบิล ฺBook of Genesis ซึ่งพูดถึงอารยธรรมโบราณที่ชื่อ Soldom and Gomarrah ตามไบเบิลว่าไว้ว่า

ชาว Soldom เป็นคนบาปหนักทำผิดกับพระเจ้า พระเจ้าเลยลงโทษซะ ทุ่มก้อนหินลงมาจากฟ้า พระเจ้าบรรดาลให้พื้นดินเต็มไปด้วยควันไฟ ในไบเบิลบันทึกตามคำบอกเล่าของ Abraham ว่า ...

"He looked down toward Sodom and Gomorrah, toward all the land of the plain, and he saw

dense smoke rising from the land, like smoke from a furnace"

ไม่ทราบเหมือนกันว่า Abraham เป็นใครกันแน่ แต่นักธรณีวิทยาปัจจุบันพบหลักฐานหลายอย่าง ที่ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ทำนองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่จากพระเจ้าแต่อธิบายได้ด้วยวิชาธรณีวิทยาครับ เพราะแถวๆ Dead Seaนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่ไม่เสถียร อยู่ระหว่างแผ่นทวีปเอเชียกับแผ่นทวีปแอฟริกา เป็นไปได้ว่าแผ่นดินใหวใหญ่ๆ สามารถที่จะกวาดเมืองทั้งเมือง ลงทะเลไปได้สบายๆ รวมทั้งควันไฟ ที่ในตำนานกล่าวว่า พุ่งจากพื้นดิน ควันนั้นอาจเกิดจากก็าซมีเทนที่อยูใต้ดิน เมื่อเกิดแผ่นดินใหวอาจทำปฎิกริยาเกิดควันไฟได้ หรืออะไรทำนองนั้น

พอเวลาผ่านไป 2000 ปี คนเขียนไบเบิลก็คงบันทึกเหตุการณ์ลงไป ตามคำบอกเล่า แล้วก็เพิ่มเนื้อเรื่องลงไปก็เป็นได้ครับ



สนใจอ่านได้จากลิงก์นี้ครับ ...

http://www.bbc.co.uk/history/ancient/apocalypse_gomorrah1.shtml

http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a007.html


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 28 ส.ค. 01, 05:57
Modern day Egyptians are not the same as ancient Egyptian ka.  Even Arabic people today can't understand a lot of ancient Arabic ka.  I have an Egyptian friend I used to aske her to confirm the translation of star names, she told me she can't understand it ka.  I think it's similar to modern day Cambodian can't understand Khmer na ka.



I just got back to work today ka.  Still tired from all the travelling and cleaning then have a pile of work waiting for me, sigh.


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นักสำรวจน้อย ที่ 28 ส.ค. 01, 08:18
ขอขคุณมากครับคุณนกข ที่อธิบายให้ผมฟังอย่างกระจ่างในครั้งนี้


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: Linmou ที่ 28 ส.ค. 01, 10:31
แถมตำนานจีนอีกหน่อยค่ะ
ในตำนานจีนบอกว่า ในยุคของหยาว(หยาว ซุ่น อวี่ เจ้าเก่า)ได้เกิดภัยแล้งอย่างหนัก เพราะโอรสสวรรค์ทั้ง ๑๐ ซึ่งต่างก็เป็นพระอาทิตย์ ได้ลอบออกมาเที่ยว และฉายแสงพร้อมกัน หยาวซึ่งบนบานสวรรคืให้ส่งคนมาช่วยยุคเข็น เทพสวรรค์จึงส่งเทพขมังธนูโฮ้วอู(อี้)ลงมายิงพระอาทิตย์ตกไป  ๙ ดวง นายโฮ้วอูก็คือสามีของแม่สาวฉางเอ๋อที่ขโมยกินยาอายุวัฒนของสามี จนต้องลองไปติกแหงกอยู่บนดวงจันทร์ ลงมาไม่ได้ และให้คนได้ไปกราบไหว้ ได้กินขนมไหว้พระจันทร์กันน่ะค่ะ

ยกเรื่องตำนานไว้ก่อน ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในยุคของหยาว มีทั้งภัยแล้ง และน้ำท่วมหนักชนิดเป็นประวัติการณ์ทั้งคู่
ภัยแล้งนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงมากเท่าอุทกภัย คงเพราะอุทกภัยส่งผลต่อประวัติศาสตร์มากกว่า โดยที่ อุทกภัยได้ดำเนินจากยุคของหยาว ไปจนถึงยุคของซุ่น จึงแก้ไขได้ โดยที่ ผู้ที่สามารถพิชิตปัญหาอุทกภัยได้สำเร็จ คืออวี่เอง ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นกษัตริย์สืบต่อจากซุ่น และได้สร้างราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์แรกของจีนขึ้น(ตำนานจีนไม่ยักกะมีใครสร้างเรือมาช่วยพาคนหนีน้ำนะ เขาใช้วิธีขุดคลองระบายน้ำแก้ปัญหา)

อาจเป็นได้ว่า ในยุคต้นของการปกครองของหยาว จะเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่(หยาวคงจะปกครองอยู่นานหลายสิบปี) แล้วช่วงกลางถึงช่วงท้าย ก็กลายเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ ยาวไปจนถึงยุคการปกครองของซุ่นก็ได้ เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดภัยแล้งกับน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน
ก็แค่เดาเอาล่ะค่ะ

ส่วนนายโฮ้วอูนั่น ตัวจริงเขาเป็นคนรุ่นลูกหรือหลานของอวี่โน่น ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการช่วยภัยแล้งค่ะ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 28 ส.ค. 01, 13:07
คำถามครับ เรื่องโมเสส กับ ฟาร์โรห์ รามิเซท นี่เรื่องจริงใช่หรือเปล่าครับ หรือว่าเป็นตำนาน


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 28 ส.ค. 01, 16:02
ยินดีต้อนรับคุณพวงร้อยกลับมาครับ อย่าลืมสแกนรูปถ่ายมาแบ่งกันดูบ้างนะครับ

โมเสสกับฟาโรห์รามเสสเป็นเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า จะว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาในสายตาชาวยิวก็ได้ ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ หรือชาวยิว คุณอาจจะมีแนวโน้มจะเห็นว่าเรื่องต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง (คนที่เขาเคร่งศาสนามากๆ เขาถือว่าเรื่องในพระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาลใจจากองค์พระเจ้าเองด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยละว่าจะจริงหรือไม่)

แต่นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาพระคัมภีร์อย่างเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง เขาก็พยายามจะศึกษาอย่างเป็นกลางนะครับ โดยตัดความรู้สึกทางศาสนาออกไป เขาพบว่าหลายเรื่องในพระคัมภีร์มีหลักฐานอื่นยืนยันสนับสนุนอยู่ แต่ก็เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่ คน เขียนขึ้น (เว้นแต่คุณจะเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าเขียนไม่ใช่คนเขียน) คนก็ต้องมีมุมมอง มีความรู้สึกรักพวกพ้อง มีอคติ ตามประสาคน เหมือนเราเปิดประวัติศาสตร์ไทยกับพม่าหรือไทยกับลาว เรื่องเดียวกันจารึกไว้ไม่เหมือนกันเป๊ะ ตามแต่มุมมองของใคร อันนี้เป็นเรื่องธรรมดามากของประวัติศาสตร์  เรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคเก่า พูดได้ง่ายๆ ว่าเป็นการมองโลกจากสายตาคนยิว ยิวจึงเป็นพระเอก หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวละครเอก  อย่างเรื่องโมเสสเห็นชัดเลยว่าเป็นพระเอกแหงๆ และฟาโรห์อียิปต์เป็นผู้ร้ายแหงๆ เหมือนกัน อันนี้ยิวบอก (บอกไปถึงขั้นว่าพระเจ้าอยู่ข้างยิวด้วย) ถ้าไปดูบันทึกประวัติศาสตร์ของทางฝ่ายอียิปต์อาจจะบอกไว้ไม่เหมือนกันหรือไม่มีเรื่องนี้เลยก็ได้ หรืออาจมีคำอธิบายอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ และไม่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าของยิวลงโทษทำลายพวกอียิปต์ก็ได้ (คุณจ้อหรือใครก็ได้ กรุณาค้นเรื่องของฟาโรห์รามเสสของฝั่งอียิปต์มาให้อ่านหน่อยสิครับ)

ขออภัยท่านผู้เป็นคริสตศาสนิกทุกท่านด้วย แต่เรื่องพระเจ้าเลือกที่รักมักที่ชังกับเผ่าหนึ่งเป็นพิเศษนี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับพระคัมภีร์เก่า ผมว่าผมเลยชอบพระคัมภีร์ใหม่มากกว่าในจุดนี้

ดูเหมือนใน "เทศนาเสือป่า"  ในหลวง ร.6 ท่านทรงตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันตรงนี้ว่า ตอนที่โมเสสพาพวกอิสราเอลแยกน้ำข้ามทะเลแดงไปนั้น พระเจ้าโปรดให้รอด แต่พอฟาโรห์พาพลพวกอิยิปต์ไล่ตามไปพระเจ้าก็บันดาลให้น้ำทะเลแดงท่วมกองทัพอิยิปต์ตายหมด ท่านทรงถามว่า พระเจ้าสากลน่ะเป็นพระเจ้าของคนยิวเหมือนๆ กับที่เป็นพระเจ้าของคนอียิปต์ใช่ไหม แล้วทำไมปล่อยพวกหนึ่งทำลายพวกหนึ่งล่ะ จำรายละเอียดไม่ได้แล้วครับแต่เป็นทำนองนั้น แต่ก็อีกแหละ นี่ก็เป็นเพียงมุมมองจากคนที่เป็นพุทธ (ทั้งพระองค์ท่านและผม) ซึ่งคนที่เป็นคริสตศาสนิกอาจไม่เห็นด้วยก็ได้

มีบางคนไม่เห็นว่าเรื่องในพระคัมภีร์เก่าตั้งใจจะให้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือพงศาวดาร แต่ถือว่ามีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า (ในลักษณะนี้ผมว่าอาจจะคล้ายกับนิทานชาดกของทางพุทธ) คือไม่ต้องไปสนใจว่าบุคคลในเรื่องมีจริงหรือไม่ อยู่ในช่วงไหนของประวัติศาสตร์จริง มีเหตุการณ์อย่างนั้นจริงหรือ สำคัญแต่ว่าอ่านแล้วคุณได้สาระอะไรจากเรื่องดังกล่าว อย่างเรื่องโมเสส แก่นของเรื่องตามที่หนังการ์ตูนเรื่องหนึ่งตีความคือการต่อสู้ระหว่างจิตวิญญานเสรีกับการกดขี่ของทรราช และในที่สุดทรราชแพ้ ฝ่ายที่รักเสรีภาพชนะ โดยมีศรัทธาในศาสนาประคับประคองช่วยเหลืออยู่ เป็นเรื่องหรือนิทานที่งดงาม และถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นก็พอแล้ว เหมือนได้เสพวรรณกรรมดีๆ สักเรื่อง (แม้วรรณกรรมนั้นจะเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริงก็ไม่สำคัญ)


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 28 ส.ค. 01, 22:11
กำลังจะติดเรทครับ

เมืองคนบาปโสดอมและกอมมอราห์ที่มัวเมาในบาปจนถูกพระเจ้าลงโทษให้เมืองถล่มไปทั้ง 2 เมืองนั้น ชาวเมืองคงจะทำบาปหลายอย่างหลายชนิด แต่บาปผิดประการหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องต่ำช้าลามกที่คนเมืองโสดอมหมกมุ่นอยู่กับมันเสียจนพระเจ้าทนไม่ไหว คือการ .... เอ้อ... การ "เข้าประตูหลัง"  ครับ การมีความสัมพันธ์ทางเพศกันทางก้น ยังเป็นคำติดอยู่ในภาษาอังกฤษจนเดี๋ยวนี้ว่า sodomy sodomize มาจากชื่อเมือง Sodom

เมืองปอมเปอีของโรมันที่ถูกภูเขาไฟวิสุเวียสถล่มไปนั้น ก็ว่าเป็นเมืองบาปที่หมกมุ่นกะเรื่องเพศมากจนพระเจ้าทนไม่ไหวส่งไฟภูเขาไฟมาล้าง (คาว?) เหมือนกัน แต่ปอมเปอีไม่ได้มีชื่ออยู่ในไบเบิล

เรื่องความผิดบาปของชาวเมืองที่ทำให้เทพพิโรธ จนทำให้เมืองทั้งเมืองถล่มหายไปนั้น คงเป็นคำอธิบายที่คนสมัยก่อนพยายามคิดหาเหตุผลให้กับปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาเช่น แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในทางไทยก็มี ตำนานหนองหานก็ว่า ลูกชายพญานาคแปลงเป็นกระอกเผือกขึ้นมาเที่ยวเมืองมนุษย์ ถูกยิงตายกลายเป็นกระรอกยักษ์ ชาวเมืองตั้งแต่พระราชาลงมาจนถึงประชาชนทั่วไปมากินเนื้อกะรอกเผือกกันทั้งเมือง พญานาคผู้พ่อโกรธเลยถล่มเมืองทั้งเมือง กลายเป็นหนองน้ำไป นี่ก็คล้ายๆ กัน


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 29 ส.ค. 01, 01:41
โหะๆๆ บาปหนักจริงครับ เมืองโสดอมและกอมมอราห์ นี่ โหะๆๆ



เรื่องโมเสสกับฟาร์โรห์รามเสสที่ว่า โมเสสแยกมหาสมุทรข้ามทะเลแดงนี่ผมยังค้นไม่เจอครับ

แต่รู้สึกว่า ฟาร์โรห์รามเสสในตำนานคือคนเดียวกันกับฟาร์โรห์รามเสสที่สอง (Rameses II )

หรือที่เรียกว่า The Great Rameses เป็นฟาร์โรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งของอิยิปต์อยู่ในราชวงค์ที่ 19

รามเสสนั้นยกพลลงไปผนวกดินแดนทางใต้ที่เรียกว่า Nubia ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นประเทศซูดานในปัจจุบัน (อาจรวมไปถึงบางส่วนของประเทศเอธิโอเปีย?)

เท่าที่ค้นเรื่องของโมเสสคร่าวๆ พบว่าใบเบิลบอกว่าโมเสสร่วมรบในสงครามกับพวกเอธิโอเปียไว้ด้วย

ดังนั้นจึงน่าจะเป็นหนึ่งในแม่ทัพของรามเสส



ความจริงน่าจะย้อนกลับไปช่วงที่พวกฮิปบรู หรือ ยิว เริ่มเข้ามาในอียิปต์ก่อนดีกว่าครับ

ตามตำนานว่า จาคอบและครอบครัวพาชาวยิวอพยบจากเอเชียเข้ามาในอียิปต์ และฟาร์โรห์แห่งอียิปต์

ยกดินแดนให้ครอบครองที่เรียกว่า Goshen แปลว่า Best of Land  (หรือบางทีก็เรียกว่า The land of Rameses

ซึ่งก็เป็น Rameses  เดียวกันกับรามเสสที่สองแหละครับ แต่ชื่อนี้ได้มาครั้งหลัง) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไคโร

( http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a027.html )



ถ้าเทียบตามประวัติศาสตร์ของอียิปต์แล้ว จาคอปและพวกยิวน่าจะเข้ามาในช่วงที่เรียกว่า Second Intermediat Period ซึ่งอยู่ละหว่างปี 1640 ถึง 1540 ก่อน ค.ศ. ช่วง  Second Intermediat Period นี้เกิดหลังจากที่ ราชวงค์ที่ 13 ของอียิปต์ เริ่มเสื่อมอำนาจลง และมีชนอีกเผ่าหนึ่งที่เรียกว่า พวก Hyksos ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากทวีปเอเชียแถวๆปาเลสไตน์

พวก Hyksos ได้ครอบครองดินแดนแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทั้งหมดไว้ได้ คาดว่าคนอียิปต์คงไม่ค่อยชอบ Hyksos

เท่าไหร่นัก สังเกตุได้จากคำแปลของคำว่า Hyksos ในภาษาอียิปต์ที่แปลว่า The rulers of the foreign countries บอกชัดเจนว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน  พวก Hyksos น่าจะชำนาณใจการรบ เพราะมีหลักฐานว่าเป็นพวกแรกที่ใช้รถศึก ที่เรียกว่า  chariot

ในช่วงนี้เองที่พวกยิวเริ่มอพยบเข้ามา ซึ่งคาดว่าฟาร์โรห์ที่ให้ที่กับพวกยิวก็คือ ฟาร์โรห์ Apopi (หรือ Apepi) ซึ่งเป็นฟาร์โรห์ของพวก Hyksos นี่เอง



พอปลายช่วง Second Intermediat Period พวกอียิปต์ก็สามารถขับไล่พวก Hyksos ออกไปได้

แล้วตั้งราชวงค์ที่  18 ขึ้น ( ราชวงค์เดียวกับฟาร์โรห์ดังๆ เช่น ฟาร์โรห์ TUTANKHAMUN  กับ QUEENS NEFERTITI

และฟาร์โรห์ AKHENATEN เป็นต้น ) ระหว่างนี้พวกยิวก็ยังคงอยู่ในดินแดนของอียิปต์ต่อไป แต่เดาว่าคงเริ่มไม่ค่อยสบายใจเท่าใหร่นัก ผมว่าชาวอียิปต์ช่วงนั้นก็คงไม่ค่อยชอบยิวเท่าไหร่นัก เพราะน่าจะมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับ พวกHyksos ซึ่งเข้ามายึดดินแดนของอียิปต์ แต่ยิวมาโดนทารุณมากๆ ก็ตอนราชวงคืที่ 19 ตามข้อมูลว่าน่าจะเป็นสมัยฟาร์โรห์ Seti ที่เชื่อว่าเป็นฟาร์โรห์ในตำนานของยิว ที่เป็นคนสั่งสังหารเด็กชายชาวยิวทั้งหมด จนเป็นเหตุให้มีคนจับโมเสสใส่ตระกร้าลอยแม่น้ำ และเริ่มต้นตำนานเกี่ยวกับตัวเขา ชื่อของโมเสสนั้นก็แปลว่า Saved from the water เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ชาวยิว อพยบเข้ามาในอียิปต์แล้วประมาณ 350 ปี



หลังจากที่ Seti  สวรรคตแล้วก็เป็น รามเสสที่สอง ที่ขึ้นเป็นฟาร์โรห์ ตามประวัติศาสตร์น่าจะเป็นยุคที่เกียงไกรที่สุดยุคหนึ่งของอียิปต์ ในไบเบิลนั้นกล่าวว่า โมเสสร่วมรบกับรามเสสด้วย และเป็นนายพลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งทีเดียว แต่ชาวอียิปต์ก็ยังไม่ลืมว่าโมเสสนั้นมีเชื้อสายยิว ด้วยเหตุนี้โมเสสเลยต้องหนีจากอียิปต์ แล้วก็เริ่มเรื่องราวมหัศจรรย์ในตำนาน



ยังคนไม่เจอเรื่องของโมเสสในเว็ปประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณครับ โดยความเห็นส่วนตัวนั้นผมว่าตำนานโมเสสนั้น น่าจะถูกแต่งเติมเข้าไปมาก เป็นไปได้ว่าโมเสสอาจจะเป็นนักรบที่เก่งมาก เพราะถ้าไม่เก่งคงไม่รอดมือรามเสสมาได้ ความเก่งของโมเสสอาจทำให้ลูกหลาน ชื่นชมในวีรกรรม จนยกย่องว่าเป็นความเก่งที่ได้มาจากพระเจ้า แล้วเมื่อเวลาผ่านไปหลายพันปี เลยดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อไป อันนี้ผมเดาล้วนๆนะครับ



รูปข้างล่างเป็นรูปรามเสสออกรบ นั่งอยู่บน chariot

ส่วนเรื่องของโมเสสอ่านเพิ่มได้จากเว็ปนี้ครับ http://www.christiananswers.net/dictionary/moses.html


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: วรณัย ที่ 29 ส.ค. 01, 13:58
สนุกมากครับ
กระผมเป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบอารยธรรมโบราณทั่วโลก
โดยเฉพาะที่อียิปต์นี่ ดูจะสนุก ตื่นเต้นและเร้าใจกว่าอารยธรรมอื่น ๆ
......
การเริ่มต้นและล่มสลายของอียิปต์ที่หลาย ๆ คนมักจะมองแต่เงื่อนไขทางการปกครอง สังคมและวัฒนธรรมเป็นหลักสำคัญ
ทำให้เรามองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่หลาย ๆแห่งสบสูญไป
ในความเห็นของผม เรามักจะมองข้ามปัจจัยที่สำคัญ..นั่นคือสภาพความอุดมสมบูรณ์ในการตั้งถิ่นฐาน หรือที่เรียกกันว่า สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เอื่อต่อการคงอยู่ของวัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ในทางมานุษยวิทยาเราอาจจะเรียกกันว่า  "นิเวศวัฒนธรรม"
สภาพที่อียิปต์ในยุคอาณาจักรเก่าเผชิญ ก็คือปัญหาจากสภาพแวดล้อมมากกว่าปัญหาทางการเมืองและสงคราม
สภาพของแม่น้ำไนล์ก็เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดไม่ว่าจะแห้ง - ไหลเปลี่ยนเส้นทาง - หรือสารพิษโรคระบาดปนเปื้อนในน้ำ
สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แปรปวน
เช่นฝนตกหนัก หนาวจัดและร้อนจัด
เหตุผลทางนิเวศวัฒนธรรมจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมของมนุษย์ เกิดและล่มสลาย
ตัวอย่างของการเกิด มีอารยธรรมมากมาย สนธิขึ้นตามลุ่มแม่น้ำและสภาพภูมิประเทศและอากาศเอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐาน
ส่วนตัวอย่างการล่มสลายของอารยธรรมกลับมีมากกว่า ดังเช่น
ตำนานน้ำท่วมโลก - เรือโนอา -แอสแลนตีส
แยงซีเกียง - ฮวงโห  - น้ำท่วม - โคลนถล่ม
ภูเขาไฟ - ปอมเปอี - ก๊าซพิษ(กำมะถัน)
แผ่นดินไหว   - แผ่นดินทรุด - แผ่นดินจม - แผ่นดินแยก - แผ่นดินยกตัว
พายุ - ฝน
ความแห้งแล้ง - แม่น้ำเปลี่ยนเส้นทางเดิน
แมลงศัตรูพืช - โรคระบาด
สารพิษ  
สภาวะอากาศ หนาวจัด  ร้อนจัด ชื้นจัด
และอีกมากมาย

อาณาจักรเก่าจึงเป็นตัวอย่างอันดีในการศึกษาเรื่องสภาพแวดล้อมและบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติ
เพื่อตอบตัวเองในปัจจุบันว่า เตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างถูกต้อง สมดุลหรือยัง


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 30 ส.ค. 01, 08:24
ขอบคุณครับคุณวรณัย

อ่านเรื่องตำนานหนองหานที่ว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำ
ทำให้นึกถึงปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า Liquefaction ครับ
เป็นปรากฎการณืที่แผ่นดินเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวได้เมื่อเกิดแผ่นดินใหวใหญ่ๆ
ซึ่งจะเกิดขึ้นในที่ๆตั้งอยู่บนพื้นดินที่ค่อนข้างพรุน และมีน้ำขังอยู่ตามรูพรุนนั้นเยอะๆ
พอเกิดแผ่นดินใหวขึ้น ดินที่เคยพรุนๆก็ถูกอัดลงไปข้างล่าง น้ำทีอยู่ในดินก็ทะลักขึ้นมา
ลองนึกภาพถึงทรายตามชายทะเลที่ชุ่มน้ำ พอเรากดเท้าลงไปย่ำบนพื้นทรายมันก็บุ๋มลงไป
เป็นทรายเละๆ คล้ายเจลลี่ แล้วน้ำก็ทะลักขึ้นมา
ปรากฎการณ์Liquefaction พบเห็นบ่อยในแผ่นดินใหวคร้ังใหญ่ๆ 5-6 ริตเตอร์ก็เกิดได้
นักโบราณคดีก็สันนิฐานว่าเมืองคุณตุ๋ย...เอ้ยไม่ใช่ครับ เมืองคนบาปโสดอมและกอมมอราห์
ก็ถล่มลงทะเลสาบโดยปรากฎการณ์นี้เช่นกัน
ดังนั้นที่ว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำก็ไม่เหลือเชื่อนักครับ


กระทู้: The End of The Nile
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 30 ส.ค. 01, 23:41
ขอเสริมคร่าวๆนะคะ  เพราะโอกาสที่จะพิมพ์ภาษาไทยได้จำกัดมากเลยค่ะ เดี๋ยวนี้

ภูมิภาคแถบนั้นเคยมีความชุ่มชื้นมากมาก่อนแบบเป็นเขต tropical  น่ะค่ะ  ร่วมหมื่นปีก่อนได้มั้ง  แล้วภูมิอากาศของโลกแปรปรวนทำให้มันกลายเป็นทะเลทรายไปประมาณหกเจ็ดพันปีก่อน (ขออภัยตัวเลขอาจไม่ถูกต้องดีนักไม่ได้เช็คค่ะ)  แม้ที่บริเวณนั้นจะเป็นทัเลทราย  แต่ก็มีแหล่งน้ำใต้ดินอยู่  แหล่งอารยธรรมต่างๆที่คนเจริญรุ่งเรืองมาก่อน  ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง  ต้องขุดน้ำมาใช้  หลายๆเมืองที่มีประวัติว่าถล่มทลายลงไป  ก็มีสาเหตุมาจากการกลายเป็น  sink hole น่ัะค่ะ  ไม่ใช่จากแผ่นดินไหว

การเกิด  sink hole  ก็เพราะเมื่อน้ำบาดาลถูกเอามาใช้มากๆไปนานๆ  ก็เกิดเป็นโพรงว่างๆไป  ไม่มีน้ำมารองรับน้ำหนักจากสิ่งก่อนสร้างเบื้องบน  เมื่อระดับน้ำลดลงไปเรื่อยๆ  นานๆไปเข้า่  แรงดึงดูดของโลกเอาชนะแรงดันจากเปลือกโลก(ซึ่งลดลงไปจากน้ำที่ลดลง)  ก็ทำให้แผ่นดินทรุดยวบตัวลงอย่างฉับพลัน  คล้ายๆอย่างที่บางท่านอาจจะเคยเห็นเค้าระเบิดทำลายตึกเก่าด้วยการเอาไดนาไม้ท์ไปวางตามเสาที่รับน้ำหนัก  แล้วให้แรงดึงดูดของโลกดึงมันลงมาเอง  ชั่วพริบตาก็ทลายลงมาหมด

ตัวอย่างที่มีหลักฐานค้นพบมาแล้วก็คือเมือง  Ubar(อูบาร์) ในประเทศเยเมนปัจจุบัน  ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน  และจู่ๆก็ทลายลงไป  ตามตำนานเก่าๆแถวนั้นก็ว่าถูกพระเจ้าสาบ  เพราะทำบาปกันมาก  นักโบราณคดีบางท่านก็สันนิศฐานว่า  อาจจะเป็นเค้าต้นเรื่องให้ผูกเป็นตานานเมืองโซดอม-กอมมอร่าห์ก็ได้ค่ะ  ประมาณว่า  เมืองอูบาร์ทลายตัวลงไปประมาห้าหกพันปีมาแล้ว  ซึ่งก็เท่ากับอายุของโลกตามคัมภีร์ไบเบิ้ลน่ะค่ะ(ไม่ใช่อายุของโลกตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นะคะ)