ทั้ง Christie's และ Sotheby ต่างก็มีตัวแทนอยู่ในประเทศไทยมานาน
คนไฮโซ ย่อมรู้กันดี
คริสตี้ส์ กล้าเปิดสำนักงานเป็นกิจจะลักษณะ หลังจากประสบความสำเร็จในการประมูลศิลปกรรม ปรส.
ซึ่งสร้างสถิติหลายอย่าง ทั้งทางดีและทางเลว
แต่สำนักงานกรุงเทพ ก็ยังเป็นแค่ลูกไล่ของสำนักสิงค์โปร์ แทนที่จะขึ้นตรงกับฮ่องกง
หรือดีที่สุดคือรายงานตรงถึงลอนดอน
เท่าที่ทราบ มีการประมูลเต็มรูปแบบ 2 ครั้ง รวมกับครั้ง ปรส. ก็เป็น 3 ครั้ง
ครั้งปรส หน้าปกเป็นจิตรกรรมของอาจารย์ทวี นันทขว้าง รูปไม้ใหญ่ต้องลมแรง
(ฮิฮิ....ให้เข้าบรรยากาศการเงิน ตอนนั้น)
ครั้งที่สอง แต่คริสตี้ส์นับเป็นหนึ่ง ปกเป็นรูปของพี่สุเชาวน์
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=1261ครั้งที่สาม ปกเป็นพระบรมรูปสีน้ำมันสมเด็จย่าเมื่อยังสาว ฝีมือพี่จักรพันธ์
ทั้งสามครั้ง ล้วนแต่เป็นการประมูลศิลปกรรม เน้นจิตรกรรมเป็นพื้น
ที่น่าสนใจคือ เมื่อกำลังเตรียมงานครั้งที่สองนั้น มีนักสะสมคนหนึ่งเข้ามาติดต่อ
เขามีหนังสือและรูปถ่ายเกี่ยวกับประเทศไทยมาก ปกติเป็นลูกค้าสำคัญของสำนักนิวยอร์ค
ได้รับคำแนะนำว่า กำลังจะมีสาขาคริสตี้ส์ในกรุงเทพ ก็เลยแวะมา
ทำให้เกิดเป็นการประมูลอีกหนึ่งรายการเพิ่มขึ้นมา ที่ผมเอาปกพื้นดำมาอวด
จะเห็นว่า มีข้อความระบุว่า มาจากนักสะสมเพียงท่านเดียว....อันนี้เป็นเทคนิคการสร้างแคตตะล๊อค
การประมูลครั้งนี้ ประสบความสำเร็จมาก...มากกว่าการประมูลศิลปกรรมที่คาดหวังไว้เสียอีก
หนังสือเก่าสำคัญๆ หลายเล่ม โผล่มาให้เราเห็นเป็นบุญตา บางเล่มทำราคาเหยียบล้าน หรือมากกว่า
รูปโบราณก็ขายได้เกือบหมด
ทำให้มีการจัดประมูลหนังสือและรูปเก่าควบในการประมูลครั้งที่สอง ซึ่งหน้าปกเป็นหนังสือชวนน้ำลายหก
TWENTIETH CENTURY IMPRESSION OF SIAM
http://www.chulabook.com/cgi-bin/main/2007/description.asp?barcode=9789748495002จากราคาเรือนพัน สมัยที่ผมนุ่งขาสั้น มาเป็นครึ่งล้านในการประมูลนี้
ที่คุณกุ้งแห้งกังวลนั้น อย่ากังวลเลยครับ
คนที่เล่นของเก่า เขาไม่คิดจะเผื่อแผ่ความรู้ให้ใครอยู่แล้ว
มหาเศรษฐีหลายคน มีของดีเก็บไว้ ไม่เคยแบ่งใครดู ไม่เคยเผยแพร่เป็นความรู้
และไม่สนใจที่จะศึกษาอะไรออกจากของล้ำค่าพวกนี้
ไอ้คนขาย ก็ขายด้วยแนวทางปั่นราคา หลอกลูกค้า ทำปลอม ซ่อม หรือขโมยออกมา
ทำไงก็ได้ ให้ได้เงินจากทรัพย์สมบัติสาธารณะให้มากที่สุด เป็นพอ
ผมเคยถามผู้ใหญ่ในกรมฯ เขาตอบมีหลักการครับ หนึ่งคือกรมไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า
สองคือ เมื่อเป็นการประมูล ย่อมจะไม่ทราบราคาสุดท้าย แล้วจะไปตั้งเบิกอย่างไร
ความจริง ไม่แต่เพียงงานประมูลดอกครับ แม้แต่ศิลปะร่วมสมัย กรมก็ไม่เคยตั้งงบซื้อ
ราวกับว่าของพวกนี้ เป็นของได้เปล่าทั้งสิ้น.....ฮือๆๆๆๆๆ
ทุกวันนี้ รัฐบาลจีนตั้งงบไล่ประมูล ตามล่าหาซื้อของดีกลับบ้าน
ส่วนสิงค์โปร์ ตั้งบริษัทบริหารศิลปะแห่งชาติ ไล่ซื้องานดีๆ ของเอเชียเข้าเกาะมาก่อนนั้นสิบปี
คนที่เข้ามาก็เป็นหนุ่มสามสิบปลาย ท่าทางคล่องแคล่ว ตัดสินใจซื้อได้ในชั่วอึดใจ
เพียงสองอาทิตย์ก็ได้ใบลิขสิทธิ์กลับบ้าน ของที่ซื้อก็เป็นหลายแสน ครั้งละหลายๆ ชิ้น
ส่วนของชนิดที่เป็นสมบัติโลก จะไม่ผ่านระบบประมูลพวกนี้
คงจำกรณีทับหลังนารายณ์บันทมสินธุ์ได้ ชิ้นนั้นหนักเป็นตัน แต่เปลี่ยนมือกันราวกะกล่องทิชชู่
นั่นเป็นกรณีตัวอย่างของการปล้นทรัพย์ชาวบ้าน....ซึ่งมาซ้ำรอยที่อิรัค
ผู้ใหญ่อีกคนชี้เงื่อนงำของระบบประมูลนี้ให้ฟังอย่างน่าทึ่ง
สมมติว่าผมมีเงินจากการค้าผงสัก 50 ล้านเหรียญ ผมก็เจียดส่วนหนึ่งไปซื้องานมาสักชิ้น
ส่งให้บริษัทประมูลพวกนี้จัดการ....แล้วผมก็ตั้งอีกชื่อหนึ่งประมูลงานนี้ สู้ราคาถึง 50 ล้านเหรียญ
ผม ที่เป็นพ่อค้าผงเจ้าของงาน ก็สามารถบันทึกรายรับ 50 ล้านเหรียญเข้าบัญชี
เงินที่อยู่ใต้ดิน ก็ถูกซักจนสะอาด นอนนิ่งอยู่ในรายการเสียภาษีอย่างเป็นทางการ
บริษัทประมูลก็ได้ส่วนแบ่งจากการขายและการซื้อ 15 % ของ 50 ล้าน สะบายๆ