วันก่อนเจอในเว็ปของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการครับ เป็นภาษาไทยอาจจะอ่านง่ายกว่า
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewnews.asp?newsid=1257417076825' target='_blank'>
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewnews.asp?newsid=1257417076825ลองก็อปมาให้อ่านกัน ... อิอิ
------------------------------------------------------------------------------------------------
คำว่า
ครูเสด หมายถึง สงครามศาสนาที่พวกคริสเตียนได้กระทำต่อมุสลิมีน (มุสลิมีน” เป็นคำพหูพจน์ของ มุสลิม หมายถึงผู้นับถือศาสนาอิสลาม) เป็นเวลานานกว่า 150 ปี เพื่อกู้ศาสนสถานต่าง ๆ ของคริสตจักร โดยเฉพาะที่ในเมืองเบธเลแฮม (บัยตุลละหัม) และเยรูซาเล็ม โดยที่พวกนี้มีเครื่องหมายกางเขนติดไว้ ครูเสดแปลว่า ติดด้วยเครื่องหมายกางเขน ซึ่งต่อมาคำว่าครูเสดนี้ ใช้หมายถึงสงครามทั่ว ๆ ไป ที่พวกคริสต์ต่อต้านพวกนอกศาสนาตามแต่สังฆนายก (Bishop) ของโรมจะบัญชา
อย่างไรก็ตามเมืองเหล่านี้บางเมืองก็เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาของชาวมุสลิมด้วย มุสลิมเชื่อว่านบีมุฮัมมัดได้เดินทางจากมัสยิดอัลอักซอเมืองเยรูซาเล็ม ขึ้นสู่ชั้นฟ้า มัสยิดโดมหินก็ตั้งอยู่ที่นั่น และ
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1766015404462' target='_blank'>เมืองเยรูซาเล็ม ก็มีความสำคัญเป็นอันดับสามของโลกมุสลิมแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใต้การปกครองของพวกคริสเตียน เมื่อนบีมุฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ดินแดนแถบนี้เป็นดินแดนส่วนแรกๆ ที่ถูกมุสลิมยึดครอง แต่เคาะลีฟะฮ. ของมุสลิมก็ยอมให้ชาวคริสเตียนเดินทางมาแสวงบุญยังแผ่นดินเหล่านี้
แต่ใน ค.ศ. 1055 เมื่อพวกเซลจูคเติร์กเข้ามายึดครองเมือง
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1930082482098'' target='_blank'>แบกแดด พวกสุลต่านไม่ได้ปฏิบัติต่อชาว คริสเตียนเหมือนเช่นเคย พวกคริสเตียนในยุโรปจึงโกรธมาก ดังนั้นใน ค.ศ. 1095
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1227547997236'' target='_blank'>โป๊ปเออร์บัน ผู้นำของชาวคริสเตียนจึงได้เรียกร้อง ให้ชาวคริสเตียนร่วมกันยึดแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา การเริ่มรณรงค์ดังกล่าวนี้เอง เป็นที่มาของสงครามศาสนาหรือ
สงครามครูเสดhttp://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1240539330243'' target='_blank'>สงครามครูเสดเพื่อยึดครองแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1096 โดยมีอัศวินประมาณ 50,000 คนเข้าร่วม ส่วนใหญ่มาจากฝรั่งเศส เส้นทางที่ทหารครูเสดจะต้องเดินทางมานั้นมีระยะทาง 2,000 ไมล์ ภายใต้การนำของ
โรเบิร์ต แห่งนอร์มังดี ลูกชายของวิลเลี่ยมผู้พิชิต
ในปี ค.ศ. 1099 ทหารครูเสดได้มาถึงด้านนอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม (ซึ่งพวกทหารครูเสดเรียกว่า ซาราเซ็น) ได้ต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง ทหารครูเสดปิดล้อมเมืองอยู่เดือนกว่าจึงฝ่ากำแพงเข้าไปได้และเมื่อเข้าเมืองได้ ทหารคริสเตียนก็ฆ่ามุสลิมทุกคนที่พวกเขาพบ
" พวกครูเสดได้ใช้เครื่องยิงลูกหินขนาดใหญ่ยิงลูกหินเข้าไปพังกำแพง และสร้างหอคอยที่มีลูกล้อเพื่อเลื่อนเข้าไปชิดกำแพง หนึ่งในหอคอยเหล่านั้นมีรูปไม้แกะสลักเป็นรูปพระเยซูติดตั้งอยู่ด้วย เมื่อพวกครูเสดพังกำแพงไปได้ พวกเขาก็ฆ่าคนที่พบไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงและเด็ก เพราะทหารคริสเตียนถือว่า ชาวมุสลิมทุกคนคือผู้ไม่ศรัทธาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"
(The seige of Jerusalem by the Crusader, by P.W. Gardner and R. Bateman)
หลังจากนั้น พวกครูเสดก็ตั้งอาณาจักรคริสเตียนขึ้นในแผ่นดินที่พวกตนยึดครองได้ และเมืองทริโปลี อันติออคและอีเดสซา ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งเยรูซาเล็ม บางเมืองมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี การเข้ามาอยู่ในดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่โดยรอบทำให้พวกครูเสดและมุสลิมผสมผสานกัน พวกครูเสดประทับใจในศิลปะการตกแต่งของมุสลิม เรียนรู้เรื่องการใช้เสาและคานรูปโค้งแบกรับน้ำหนักจากสิ่งที่ปลูกสร้างของมุสลิม นอกจากนี้แล้วพวกครูเสดยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการป้องกันปราสาท โดยการใช้หอคอยทรงกลม และช่องทางเดินบนกำแพงที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนสามารถยิงธนูหรือโยนหินเข้าใส่ผู้เข้ามาโจมตีได้ ส่วนพวกมุสลินั้นไม่ได้อะไรจากพวกครูเสดมากนักนอกจากการค้าที่เพิ่มขึ้นกับอิตาลีและอาวุธที่ดีขึ้น
ต่อมาใน ค.ศ. 1144 มุสลิมยึดเมืองอีเดสซากลับคืนมาได้
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1568385094403'' target='_blank'>สงครามครูเสดครั้งที่สอง เกิดขึ้นเพราะพวกยุโรปต้องการที่จะยึดเมืองนี้กลับคืนมาแต่ต้องประสบความล้มเหลว
ต่อมาใน ค.ศ. 1187 ผู้นำมุสลิมคนใหม่ คือ เศาะลาฮุดดีน (ซาลาดิน) ได้โจมตีอาณาจักรของคริสเตียน หลังจากนั้นก็เข้าไปยึดเมืองเยรูซาเล็มกลับคืนมาได้ ทหารมุสลิมต้องการที่จะประหารชาวคริสเตียนทั้งหมดที่อยู่ในเมือง แต่เศาะลาฮุดดีนไม่อนุญาต
http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1872280663251'' target='_blank'>สงครามครูเสดครั้งที่สาม เกิดขึ้น เพราะความต้องการที่จะขับไล่เศาะลาฮุดดีออกจากแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในบรรดาแม่ทัพที่นำทหารครูเสดมาในครั้งนั้นคือกษัตริย์ริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษหรือที่รู้จักกันดีว่า ริชาร์ดใจสิงห์” สงครามนองเลือดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ทหารของเศาะลาฮุดดีนเข้มแข็งกว่า
ดังนั้นสิ่งที่กษัตริย์ริชาร์ดทำได้ก็คือ http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1726409691571'' target='_blank'>การทำสัญญากับเศาะลาฮุดดีน ใน ค.ศ. 1192 สัญญานี้ทำให้พวกคริสเตียนอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ได้เช่นเมืองอัครา บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และไปเยี่ยมแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้ หลังจากนั้นอีกหนึ่งศตวรรษ มุสลิมก็สามารถยึดเมืองคริสเตียนต่างๆ กลับคืนมาได้ http://www.manager.co.th/cgi-bin/viewNews.asp?newsid=1107563561201'' target='_blank'>กองทหารครูเสดได้ถูกส่งมาช่วยเมืองเหล่านี้อีกหลายครั้ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ครั้งสุดท้ายมีการเคลื่อนไหวที่จะทำให้เกิดสงครามครูเสดขึ้นมาอีกในช่วงปี ค.ศ. 1460 แต่ในปี ค.ศ. 1464 สงครามครูเสดก็ได้ยุติลง
สงครามครูเสดทำให้เกิดผลลัพธ์ทางอ้อมหลายประการด้วยกันคือ
1. บ้านเมืองของชาวตะวันตกได้รับการทำนุบำรุงจากเงินของพวกเจ้าขุนมูลนาย อัศวินนักรบทั้งหลายที่ไปทำสงครามแล้ว ไม่ได้กลับมา ส่วนพวกที่ไม่ได้เสียชีวิตในการรบ ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อช่วยทำสงคราม ทำให้เสียดุลย์ในการมีทรัพย์ อำนาจของกษัตริย์มีมากขึ้น
2. ชาวตะวันตกได้รับความรู้ใหม่ ๆ หลายอย่างจากชาวมุสลิม เช่นเรื่องโรงสีลม การใช้เข็มทิศเดินเรือ ทำให้อุตสาหกรรมเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนชาวอิสลามเองก็ได้รับความรู้จากพวกคริสต์มากมายเช่นกัน
3. ในการสำรวจพื้นที่เพื่อทำการสงครามที่ต่อเนื่องนั้น ทำให้ชาวเวนิสผู้หนึ่งมีชื่อเสียงขึ้นมา คือมาร์โคโปโล