มีคุณ samun007 มาร่วมสนทนาอีกท่าน
เรื่องของประชาธิปไตยเองมีขอบเขต จริงอยู่ที่ว่ากฏหมายแต่ละประเภทที่ออกก็ไม่ได้ผ่านประชามติ แต่สิ่งที่แตกต่างจากศาสนาพุทธคือกฏหมายต่างๆ ที่สำคัญ ยกเว้นระดับพวกกฏกระทรวงซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแค่ระเบียบปฏิบัติถูกออกโดยผ่านตัวแทนที่คนส่วนใหญ่เลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนไงครับ เพราะการให้มหาชนลงมติทุกครั้งเป้นเรื่องที่สิ้นเปลืองและเป็นไปไม่ได้ เราจึงมีระบบการเลือกตัวแทน เลือก ส.ส. เลือก ส.ว. ผู้บริหารมีการหมดวาระ
แต่ศาสนาพุทธไม่มีการเลือกตัวแทนโดยณะสงฆ์ พระวินัยทุกข้อพระพุทธองค์ทรงออกเองเมื่อมันมีเหตุให้ต้องมีพระวินัยข้อนั้นๆ ซึ่งถ้าเทียบกับระบบการออกกฏหมายในสังคมประชาธิปไตยแล้วจะเห็นว่าแตกต่างกัน
เรื่องการลงมติมหาชน
ส่วนตัวผมมองว่า เรามักจะไปติดกับคำว่า "เป็นไปไม่ได้" ซึ่งมักจะไปผูกโยงกับคำว่า "งบประมาณ" และ "ตัวแทนของปวงชน"
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้ว เป็นเพราะบรรดาผู้มีอำนาจตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบันต่าง ละเลย และ เมินเฉย ต่อขนบเดิม ๆ ของคนไทย
เราได้ทำลายรากเหง้าของ "สังคมชนบท" เสียเละเทะ แล้วมุ่งทุกอย่างให้ไปเป็น "สังคมเมืองอย่างยุโรป" ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง
ความเป็นสังคมชนบทมันได้ซึมอยู่ใน DNA ของคนไทยจนแยกไม่ออกแล้ว ดังจะเห็นได้จากนิสัยการแสดงออกของคนไทยที่ไม่ได้เกิดในกรุงเทพ แต่อพยพเข้ามาทำงานใน
กรุงเทพนั่นเอง (รวมถึงนิสัยของนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ตลอดจนข้าราชการทั้งหลายโดยส่วนมาก)
ถ้าเรานำข้อดีของความเป็นสังคมชนบทตรงนี้มาใช้ได้ ประชาชนก็จะมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น รู้สึกหวงแหน "อำนาจอธิปไตยของตน" มากขึ้น
ผู้แทนก็จะมีโอกาส "งาบ" น้อยลง , ทหารก็จะไม่มีข้ออ้างออกมาเพ่นพ่านอีก , ข้าราชการที่ไม่ดีก็จะอดอยากปากแห้งกันมากขึ้น ฯลฯ
ตัวอย่างที่ดีที่เห็นได้ว่าสามารถทำได้โดยที่ประชาชนมีส่วนร่วมก็คือ การออกเสียงลงประชามติในการรับร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งมีการลงไปให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ
กับประชาชน ก่อนที่ประชาชนจะลงมติต่อไป แม้ว่าจะมีการบังคับกลาย ๆ จากผู้มีอำนาจอื่น ๆ ให้รับก็ตาม แต่ผมมองว่าก็ดีกว่าปล่อยให้อำนาจทุกอย่างอยู่กับคนที่มักจะอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชน
ทั้งในส่วนของฝ่ายรัฐหรือฝ่ายค้านซึ่งก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรเลย เพราะจะกลายเป็นว่า มันจะไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง ๆ จะกลายเป็น "คณาธิปไตย" แทนครับ
=================================================================
เรื่องของพระพุทธศาสนา
ตามจริงแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบการปกครองแบบใดแบบหนึ่งมากนัก แต่เน้นไปที่เรื่องของ "ธรรมาธิปไตย" ซึ่งประกอบไปด้วยพระธรรมและพระวินัยมากกว่า
ดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงประทาน ทศพิธราชธรรม สำหรับการปกครองแบบราชาธิปไตย , จักรวรรดิวัตร ๑๒ สำหรับการปกครองแบบจักรวรรดิ หรือจะเป็น อปริหานิยธรรม ๗
สำหรับการปกครองในแบบคณาธิปไตย
ซึ่งก็เป็นจริงตามสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ เพราะในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีระบอบการปกครองไหนจะยั่งยืนและดีที่สุด ทุกระบอบมีขึ้นมีลง มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ขึ้นแล้วกับว่าผู้ปกครองในแต่ละระบบจะสามารถประพฤติตัวตามธรรมาธิปไตยที่เหมาะกับรูปแบบการปกครองนั้น ๆ ได้ดีมากน้อยแค่ไหน ถ้ายึดถือและปฏิบัติได้ดีมาก ผู้ปกครอง
ก็จะปกคกรองได้นาน แต่ถ้าเมื่อไรที่ละเลย ก็จะอยู่ได้ไม่นาน จนสุดท้ายก็จะสลายตัวไปในที่สุดครับ