ทีนี้ พอทหารฝ่ายกรุงศรีฯ ได้เห็นสัญญาณ ก็เริ่มโจมตีด้วยการ ยิงธนู ปืนไฟ และปืนใหญ่ ข้ามแม่น้ำลพบุรี หรือไม่ก็คลองขื่อหน้า เข้าใส่กัน ซึ่งทางพม่าเอง ก็ปักหลักยิงส่วนออกมาอย่างดุเดือด แต่เอิ่ม ท่านครับ ถ้าคิดจะทำเช่นนี้ เหตุใดจึงตั้งค่ายหลวงในระยะปืนใหญ่ของอีกฝ่ายหละครับ แถมเอาผู้บัญชาการสูงสุดคือพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นจอมทัพ มายืนล่อเป้าเสียด้วย (จริงๆแล้ว ในครั้งนั้น ค่ายหลวงของพระเจ้าอลองพญา อยู่ที่ไหนหรือครับ)
ผมไม่มีความรู้ด้านการสงครามอะไรมากมายนั้น แต่การตั้งฐานในระยะปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้ามนี่ ยังไงก็ผิดแน่ๆครับ
สุดท้าย การรบจบลงที่ ปืนใหญ่ของฝ่ายกรุงศรี ยิงแม่นยำกว่า ยิงไปโดน.... เอ่อ โดนตรงไหนก็ไม่แน่ใจครับ ระหว่าง นอกกำแพงค่าย หรือตกลงในค่าย (ในละคร มีการระเบิดขึ้นสองครั้งครับ) จนถึงตรงนี้ ทัพใหญ่ 3 ทัพ และทัพโอบล้อม 14 ทัพก็ไม่ปรากฎตัวออกมา คงมีแต่กองโจรคนโขนของพระยาพิชัยชาญฤทธิ์ เท่านั้น ที่ออกมารบพุ่งกับทหารพม่า แต่อย่างไรก็ดี แม่ทัพรองคนหนึ่งมารายงานมังฆ้องนรธาว่า ทัพอโยธยาโอบล้อมเราไว้ทุกทิศ เราต้องกับดักแล้ว มังฆ้องนรธา จึงสั่งถอนทัพ โดยมิได้ปรึกษาเจ้าฟ้ามังระ แต่อย่างใด
จบการรบที่รอลุ้นมาหลายสัปดาห์เพียงเท่านี้
สำหรับเรื่องกระสุนปืนใหญ่ระเบิดได้ ก็อย่างที่ท่านอาจารย์ SILA ว่าอ่ะครับ ลูกปืนใหญ่สมัยนั้น ก็ลูกเปตองนี่แหละครับ มันระเบิดไม่ได้หรอกครับ ตกลงไปตรงไหนมันก็กลิ้งหลุนๆไปด้วยความแรงจากดินปืน ฟาดเข้าที่ใดก็ทำที่นั่นหักพังเสียหายไปด้วยแรงนั้น ถ้าอยากยิงลูกปรายแบบลูกซอง เขาก็เอาลูกเหล็กหลายๆลูกใส่กระป๋องเหล็กแล้วยิงออกไป เรียกว่า Grape Shot
ถ้าอยากเพิ่มความอันตรายก็เอาลูกเหล็กไปเผาไฟให้ร้อนแดงเสียก่อน ยิงไปตกตรงไหนก็จะก่อให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่นั่น แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ระเบิดแน่นอนครับ