แม้ตั้งใจจะดูเพลินๆ ก็ยังมีข้อสะดุดใจที่หวังว่าผู้สร้างจะนำไปแก้ไขได้ในภาคที่ 2 คือการดำเนินเรื่องที่ยืดยาด เนิบช้าและซ้ำซากโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างมีเยอะ แต่จะยกมาอย่างเดียวก่อนค่ะ คือตอนเจ้าฟ้าสุทัศน์และพระพิมานปลอมตัวเป็นสามัญชนไปเที่ยวดูความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งสองเผลอพูดราชาศัพท์กันออกมารวมแล้วหลายสิบประโยค แล้วก็ต่างคนต่างแก้ให้อีกฝ่าย ซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายฉากด้วยกัน
ความจริงถ้าจะรวบ ให้เผลอพูดผิดสัก 2-3 ครั้งก็น่าจะกระชับและเป็นที่เข้าใจ ว่าคนมันไม่เคย และเผลอกันได้ นี่อะไรเผลอกันทุกประโยค ต่อเนื่องกันหลายฉาก ทำให้เนื้อหาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ซ้ำซาก ไม่เดินหน้าไปไหน
ในสองตอนนี้ ตัวบุคคลสำคัญทั้งสองท่านออกจากอยุธยาไปต่างจังหวัดแล้วหายไปเลย คือพระยาตากและหลวงยกกระบัตรราชบุรี ทั้งๆวีรกรรมของท่านน่าจะเป็นหัวใจของเรื่องนี้ แต่ก็กลายเป็นตัวประกอบไปทั้งสองท่าน บุคคลที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง คือพระเจ้าเอกทัศ ถูกนำเสนอในฐานะพระเจ้าแผ่นดินที่อ่อนโยน ธรรมธัมโม ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้มีความสุขกายสบายใจกันถ้วนหน้า สะท้อนจากแม่ค้าขนมครก (ที่ป้าออกเสียงว่า ขนมคก ทุกคำ) มีความรักและปรองดองกับน้องชายคือพระเจ้าอุทุมพร เป็นอันดี
ทั้งๆประวัติศาสตร์ ก็มีหลักฐานถึงการคอรัปชั่นในสมัยนี้ จนราษฎรทนไม่ไหว ต้องร้องเรียนถวายเรื่องกันตามประสาชาวบ้าน อย่างกรณีภาษีผักบุ้ง ที่นายสังพี่ชายพระสนมเอกกำหนดขึ้นมากดขี่รีดไถจากราษฎร
หาอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1064455470284589:0 ที่จริง ถ้าผู้เขียนบทตั้งใจจะสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระเจ้าเอกทัศ ก็สามารถดำเนินเรื่องไปตามหลักฐานข้างบนนี้ จนถึงพระเจ้าเอกทัศกริ้วและลงโทษผู้กระทำผิด ก็น่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายได้โดยไม่ต้องมีบทฝืนๆว่าแม่ค้าขนมครกเล่าให้ลูกค้าฟังว่าแสนจะสุขยังไงกับชีวิตบนแผ่นดินนี้ มันขัดกับธรรมชาติของคนหาเช้ากินค่ำ เพราะต่อให้ทำมาหากินได้ไม่ผืดเคือง พวกเขาก็แค่พอรอดไปวันๆเท่านั้น