กระทู้: "มะจาเร่", "ฮัดช่า", "ฮัลเลวังกา" แปลว่าอะไร เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 16 ก.ค. 12, 13:30 มาจากภาษาใด แล้วยี่เก โบราณต่างจากสมัยนี้มากไหม แล้วกลายเป็นการแสดงได้อย่างไร
ต่างจากละครพันทางอย่างไร นอกจากเสื้อผ้า เพราะบทเจรจาเป็นกลอน ไม่ใช่แบบละครเวที แล้วเสื่อมความนิยมแบบงิ้วหรือเปล่า สมัยก่อนช่อง9 จะมีลิเกตอนบ่าย หรือซื้อวิทยุไปฟังลิเก แล้วลูกค้าเอามาคืนเพราะมีแต่ทหารพูดออกวิทยุ เวลาออก " แขก "ของ " ลิเก " บ้านเรา ก็จะมีคนแต่งตัวเหมือนแขก " อินเดีย " ออกมาร้องว่า .............. " ฮัลวังกา เชิญทัศนา ชมลิเก " เป็นมุสลิมอย่างเดียวหรือ อย่างในหนังโหมโรง จะมีอาบังมาออกแขก แล้วไปพูดกระทบ เลยไม่ได้เล่น แสดงว่าในแต่ละวันลีลาออกแขก จะไม่ซ้ำกันใช่หรือไม่ ลิเกของเรามาแล้ว ขอเชิญน้องพี่ เข้ามานั่งสิ ลีลาไม่ทันสมัย ต้องของอภัย ประทานโทษที (จำไม่ได้ แต่กล่าวกระทบท่านผู้นำ) ฮัลเลวังกา...ลิเกไม่มี กระทู้: "มะจาเร่", "ฮัดช่า", "ฮัลเลวังกา" แปลว่าอะไร เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ก.ค. 12, 09:27 ในสมัยช่วง ๒๐ ปีมานี้มารายการโทรทัศน์ของกองทัพบกช่อง ๕ แพร่ภาพออกอากาศ "ลิเก" คณะวิญญู จันทร์เจ้า เพื่อสืบทอดศิลปะการแสดงลิเกไว้
การออกแขกเสมือนหนึ่งการไหว้ครูโขน ครูละคร ต้องมีการออกแขกทุกครั้ง ซึ่งคำว่า "ลิเก" มาจากคำว่า "ดิเกร์" เป็นภาษาเปอร์เซียร์ ดิเกร์ นั้นมีรากศัพท์ดั้งเดิมจากคำว่า "ซิกูร์" ซึ่งมีความหมายว่า เป็นพิธีการสวดอย่างหนึ่งในระหว่างสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่าน ซึ่งการสวดพระคัมภีร์กินเวลานาน มีการสวดอยู่ ๒ แบบคือ สวดแบบออกเสียง และไม่ออกเสียง ซึ่งในสมัยราชวงศ์โมกุล ที่ประเทศอินเดียได้รับวัฒนธรรมมุสลิมเข้าไปผสม จึงเรียกการสวดในลักษณะที่ออกเสียงว่า Dhikir - ดฮิกิร โดยเป็นการสวดพระคัมภีร์ที่โยกตัวไปมา และเปล่งเสียงเพื่อลดความง่วงในระหว่างการสวด พ่อค้าชาวอินเดียเข้ามาค้าขายที่หมู่เกาะสุมาตรา ก็นำเอาหลักศาสนาและวิธีการสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่านติดเข้ามาด้วย และเรียกเพี้ยนกันไปว่า Dikir - ดจิกะระ และยังมีผลเข้ามายังดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยแล้วเรียกเพี้ยนไปอีกทอดหนึ่งว่า Dikay - ดิจเก เมื่อวัฒธรรมนี้เข้ามาในช่วงรัชกาลที่ ๓ - ๕ ชาวสยามก็เรียกกันเลยว่า "ยี่เก" เมื่อดิเกร์ - ลักษณะการสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่าน ผสมผสานกับการร้องลำตัด กลายเป็นศิลปะการแสดงประเภทใหม่ เรียกว่า ดิเกร์ มัลฮาแบร์ - ลิเกฮูลู โดยใช้รำมะนา ประกอบการจังหวะแต่สำหรับชาวสยาม รับยี่เก ในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นการแสดงการร้อง เล่นบนเวที แต่ยังคงไว้ซึ่งเครื่องดนตรีหลักคือ รำมะนา ยี่เก กลายเป็น ลิเกพื้นบ้าน ลิเกป่า ลิเกทรงเครื่อง ลิเกไฮเทค และยังคงพัฒนาต่อมา สัปดาห์ที่แล้วเห็นมีการนำเอาดิจิตัล มาทำการสร้างฉากเสมือนจริง โดยไม่มีการวาดภาพพื้นฉากท้องพระโรง ป่าไม้ แต่เป็นระบบดิจิตอลสร้างภาพฉากท้องพระโรง ป่าไม้ ให้เสมือนจริง เป็นการต่อยอดลิเก ให้ล้ำยุคพัฒนาไปอีกขึ้นหนึ่ง กระทู้: "มะจาเร่", "ฮัดช่า", "ฮัลเลวังกา" แปลว่าอะไร เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ก.ค. 12, 09:42 ลิเก ในสังคมชาวสยามมีอยู่ ๓ ลักษณะ ที่เกิดขึ้นในระวางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
๑. ลิเกบันตน ๒. ลิเกลูกบท ๓. ลิเกทรงเครื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรจะเทียบเท่าลิเกทรงเครื่องของลิเกของพระยาเพชรปราณี ที่คิดเครื่องแต่งตัวอย่างกษัตริย์ พระมเหษี ท้าวพระยา สวมถุงเท้าขาว ใส่กำไลเท้า เล่นเรื่องจักรจักรวงศ์วงศ์ โดยมีการเล่นเรื่องแรกคือ "ลัษณะวงศ์" และเครื่องประดับก็เป็นเงิน ติดเพชรแพรวพราว บ้างสวมพู่ขนนกพองขาวไว้ที่ศีรษะ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของยี่เก |