เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: จ้อ ที่ 17 ม.ค. 01, 20:50



กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 17 ม.ค. 01, 20:50
จากกระทู้เหล้าข้างล่าง เกิดนึกถึงสิ่งเสพติดโบราณอีกอย่างหนึ่ง ก็คือฝิ่นนั่นเอง
เคยเรียนประวัติศาสตร์แบบหลับๆตื่นๆ เขาว่าอังกฤษเอาฝิ่นไปมอมเมาจีน
เนื่องจากว่าขายผ้าไม่ออก ตอนหลังรู้สึกขายดีก็เลยขายเรื่อยๆ
ผมสงสัยว่าโรงฝิ่นในไทยนั้น ไม่ทราบว่ามีอยู่ก่อนแล้ว หรือเพราะอังกฤษ
เอาเข้ามาขาย?  เพราะรู้สึกว่าชาวเขาทางเหนือก็สูบฝิ่นเหมือนกัน

อีกอย่างหนึ่งที่ผมสงสัย ในอังกฤษเองสมัยวิกตอเรียมีโรงฝิ่นหรือเปล่า?
ขายเขาไปทั่ว แต่ไม่ขายพวกตัวเองนี่ยังไงอยู่นะครับ

เพื่อนผมบอกว่าน่าจะมี เพราะเชอร์ล็อกโฮมนักสืบคนดังชอบไปโรงฝิ่น
( ผมไม่เคยอ่านเอง เลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก )


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 17 ม.ค. 01, 08:16
ก็ฝรั่งมอมเมาเขาไงครับ
ไทยเองก็ไม่มีวัฒนธรรมการสูบฝิ่นมาก่อน น่าจะเป็นชาวจีนที่เป็นคนเอาเข้ามาครับ (ติดเอง แล้วเอามาสูบต่อเมื่ออพยพเข้ามา)
เชอร์ล็อก โฮล์มไม่ได้ติดฝิ่น รู้สึกจะเป็นโคเคนหรือมอร์ฟีนนี่ล่ะครับ ไม่แน่ใจ ก็เป็นด้านมืดของนักสืบคนดังคนนี้ล่ะครับ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 01, 09:42
ขอตอบเรื่องเชอร์ล็อคโฮล์มส์ก่อนนะคะ ในฐานะแฟนเก่าแก่ของเขา
อย่างที่คุณ CrazyHOrse ว่า เขาติดโคเคนค่ะ  อ่านพบว่าโคเคนในสมัยปลายวิกตอเรียนไม่ถือว่าเป็นยาเสพย์ติด  คงจะเหมือนบุหรี่ในสมัยนี้
เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ยอมให้นักสืบเอกติดโคเคนเพื่อคลายเครียด  และเพื่อบรรเทาความเลิศลอยอัจฉริยะในตัวเขาลงบ้าง จะได้ดูสมจริงขึ้น  แต่ก็ไม่เห็นมีผลอะไรกับสุขภาพ   โฮล์มส์ก็อยู่ไปจนแก่แล้วรีไทร์ไปเลี้ยงผึ้งที่ซัสเซกส์ดาวน์เหมือนคนชราทั่วไป

โรงฝิ่นในปลายศตวรรษที่ ๑๙ มีอยู่ในลอนดอน อยู่ในเชอร์ล็อคโฮล์มส์ ตอน Man with the Twisted Lips ค่ะ
ฝิ่นในประวัติศาสตร์ไทย ไปหาอ่านก่อนนะคะ ดูเหมือนจะปราบกันในสมัยรัชกาลที่ ๓ ค่ะ
แต่ต้นรัตนโกสินทร์ โรงฝิ่นมีอย่างถูกต้องเปิดเผย  คนจีนติดกันมาก คนไทยก็ติดงอมแงม


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 01, 14:50
ในรัชกาลที่ ๓ ฝิ่นเป็นของต้องห้าม จึงมีความปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า
" ครั้น ณ วันเดือน ๖ ข้างขึ้น (พ.ศ. ๒๓๘๒) โปรดให้จมื่นราชามาตย์ จมื่นรักษพิมาน หลวงนางเสน่หรักษา ไปชำระฝิ่นหัวเมืองฝ่ายตะวันตกตั้งแต่เมืองปราณตลอดไปถึงเมืองระนอง  ฝ่ายฟากตะวันตกตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าตลอดไปถึงเมืองถลาง ได้ฝิ่นดิบ ๓,๗๐๐ เศษ ฝิ่นสุก ๒ หาบเศษ  ส่งเข้ามาเผาเสียที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๓๘๗ ก็มีการจับจีนขายฝิ่นที่ปากน้ำบางปะกง  คือจีนเผียวกับจีนก้วนที่อยู่ในป่าแสม ขายฝิ่นก้อน  โปรดเกล้าฯให้จมื่นราชามาตย์กับพวกทหารปืนปากน้ำไปจับ  ทางฝ่ายจีนยิงต่อสู้  แต่ทหารลุยเลนไปถึงฆ่าฟันจับตัวมาได้พร้อมฝิ่น ๓๐ ก้อน


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: กัลยาวิน ที่ 17 ม.ค. 01, 15:16
เรื่องฝิ่นเป็นเรื่องใหญ่  มีปรากฏในประวัติศาสตร์มาเนิ่นนานนับพันปี  กล่าวกันว่ากำเนิดของต้นฝิ่นนั้นงอกขึ้นมาจากหลุมศพทหาร (คงด้วยเหตุนี้กระมังทหารผ่านศึกถึงมีดอกฝิ่นเป็นสัญลักษณ์)

ฝิ่นในเมืองไทยเข้ามากับจีน  และจีนเองก็ได้รับฝิ่นจากอังกฤษ ซึ่งปลูกกันแถบอินเดียถ้าจำไม่ผิด  ส่งไปมอมเมาขายดิบขายดี แต่ทำเองชาวจีนทั้งระดับบนระดับล่างติดฝิ่นงอมแงม

ราชสำนักกรุงเทพตระหนักดีถึงพิษภัยของฝิ่น จึงมีการปราบปรามอย่างที่คุณเทาชมพูกล่าวถึง  และรัชกาลที่ 3 ยังโปรดเกล้าฯจ้างให้หมอบรัดเลย์ตีพิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่น  นับว่าเป็นประกาศทางราชการฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้น  (บ้านเรายังหาไม่ได้สักฉบับ แต่ไปมีอยู่ที่ห้องสมุดเมืองนอก  ต้องไปขอถ่ายสำเนาเขามาอีกที)

กลักฝิ่นที่ถูกเผาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้หล่อเป็นพระพุทธรูปปัจจุบันอยู่ที่วัดสุทัศน์


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 17 ม.ค. 01, 17:48
ที่ว่างอกจากหลุมศพทหารก็เคยฟังมาแต่ไม่แน่ใจ
แต่ที่แน่ๆคือมีตํานานว่างอกจากหลุมศพของแฟนฉ้อปาอ๋อง

**สงสัยฝิ่นจะชอบปุ๋ยศพคน


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 17 ม.ค. 01, 18:43
ผมก็เคยได้ยินตำนานจีนว่า ฝิ่นงอกขึ้นมาจากศพของนางหงอกี๋ สนมรักของฌ้อปาอ๋อง แต่ว่าในทางประวัติศาสตร์ฝิ่นน่าจะไม่มีในเมืองจีมาก่อนครับ เพิ่งมีตอนฝรั่งอังกฤษเอาฝิ่น (จากอินเดีย) เข้าไปมอมเมาขายคนจีน

ตำนานจีนมีอะไรน่าขนลุกหลายเรื่อง เช่น ใบชา ว่ากันว่าถือกำเนิดจากหนังตาของท่านโพธิธรรม ภิกษุชาวอินเดีย ที่จีนเรียก ต๋าหมอ หรือตักม้อโจ้วซือของวัดเสียวลิ้ม และญี่ปุ่นเรียก ดะรูมา กลายเป็นตุ๊กตาตาโปนโตอยู่ที่ญี่ปุ่น
ท่านโพธิธรรมเป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนานิกานเซนในจีน นับถือกันว่าเป็นมหาสังฆปริณายกองค์ที่ 1 ของทางเซน (เริ่มนับใหม่เมื่อท่านเข้ามาเมืองจีน เซนเขาว่าก่อนท่านโพธิธรรม ในอินเดียมีสังฆปริณายกของนิกายเซนมาแล้วยี่สิบแปดรูป เขาอ้างว่า ตั้งแต่พระมหากัสสปครั้งพุทธกาลเป็นสังฆปริณานายกรูปแรก)
ตำนานว่า ครั้งหนึ่งท่านโพธิธรรมนั่งสมาธิแล้วเกิดง่วง มีมารคือ ถีนมิทธะเข้าครอบงำ ท่านโมโหขึ้นมา เลยตัดหนังตาของท่านเองโยนทิ้ง พอหนังตากระทบดินก็เกิดเป็นต้นชา ตำนานว่า เพราะยังงั้น คนรุ่นหลังดื่มชาจึงตาแข็ง ไม่ง่วง เพราะว่า - บรื๋อว์ - ดื่มเอาน้ำต้มหนังตาท่านตักม้อเข้าไป...

เชอร์ล็อค โฮล์มสใช้โคเคนจริงครับ สมัยนั้นยังไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ถือว่าเป็น brain tonic บำรุงสมองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยซ้ำ แต่เมื่อเซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ตายแล้ว มีนักเขียนรุ่นหลังเอาเรื่องโฮล์มสมาแต่งเติมใหม่หลายคน หนึ่งในจำนวนนั้น เขียนให้โฮล์มสติดยาอย่างหนักจนเกิดอาการทางจิต ประสาทหลอน จำเป็นต้องได้รับการรักษา ในยุคโน้นวิชาจิตเวชศาสตร์ยังเพิ่งเริ่มได้เตาะแตะเท่านั้น เขาก็แต่งให้นักสืบของเราไปรับการรักษาจากจิตแพทย์ที่มีตัวจริงอยู่ร่วมสมัยกับโฮล์มส คือ ดร. ซิกมุนด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งวิชาจิตเวชแผนใหม่ จนตอนหลังโฮล์มสหายขาดจากการติดโคเคนได้ครับ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ต้นฉบับเดิมของเซ่อร์อาเธอร์
ผมเข้าใจว่าโรงยาฝิ่นที่อังกฤษมีสมัยนั้น จะอยู่แถวย่านเมืองจีน ไชน่าทาวน์ สำหรับคนจีนที่ติดฝิ่นหรือไม่ก็ท่าเรือ สำหรับบริการกุลีจีนท่าเรือหรือกะลาสีฝรั่งที่เคยไปเมืองจีนและไปติดฝิ่นมา เท่านั้น ในสังคมอังกฤษ คนอังกฤษแท้ๆ ไม่ยอมรับและรังเกียจฝิ่นครับ (โดยไม่ตระหนักว่าตามประวัติศาสตร์ อังกฤษนั่นแหละเป็นคนเอาฝิ่นเข้าไปมอมจีน)


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ม.ค. 01, 19:51
เชอร์ล็อคโฮล์มส์ตอนพิเศษที่เจอฟรอยด์  คนเขียนเป็นชาวอเมริกัน อ้างว่าเป็นต้นฉบับบันทึกที่ไม่ได้รับการเปิดเผยของหมอวัตสัน (มีการอ้างทำนองนี้กันอีกมาก)
จำชื่อได้ส่วนหนึ่งว่า" ึSeven-Percent Solution"สารละลายเจ็ดเปอร์เซ็นต์  หมายถึงโคเคน  คุณอ.สายสุวรรณแปลเป็นไทย ขายดิบขายดีเป็น Bestseller ของอเมริกา

ตอนนี้ก็มีการแต่งการผจญภัยตอนใหม่ๆของนักสืบเอก ออกมาเป็นตั้งๆเลยละค่ะ   เหมือนสำนักพิมพ์หัวไวประกาศรับมือใหม่อยากแต่งแล้วแต่งออกมาง่ายๆให้เยาวชนอ่าน

กลุ่มแฟนเรียกว่า Sherlockian ติดตามความเป็นไปอย่างเหนียวแน่น   ดิฉันก็เคยติดตามดูในเว็บอย่างเพลิดเพลินอยู่พักใหญ่  ก่อนจะถอยกลับมาติดตามเพชรพระอุมาดีกว่า


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: Oatmeal ที่ 17 ม.ค. 01, 23:20
สวัสดีครับ
ขอฝากเนื้อฝากตัวในฐานะสมาชิกใหม่ด้วยครับ  
เรื่องของฝิ่น หรือ Opium ทางการแพทย์ของเราถือเป็น ยาที่มีคุณประโยชน์มากมายมหาศาลเลยครับ  มียาระงับปวดมากมายที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น  ปัจจุบันนี้การจ่ายยาที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น เช่น Morphine นั้นอยู่ในการควบคุมอย่างเข้มข้นของ อย. หรือองค์การอาหารและยาครับ  ไม่สามารถหาซื้อได้โดยเสรี  พอดีเห็นว่าคุณJor พูดเรื่อง ฝิ่น ๆ เลยขอเสริมเรื่องอนุพันธ์ฝิ่นมาตรงนี้ครับ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: โสกัน ที่ 18 ม.ค. 01, 01:19
ฝิ่น (Poppies) นี่คงมีหลายพันธ์ เหมือนมะม่วงที่มีนานาชนิด รสหวานมันเปรี้ยวต่างๆ กันไป นั่นนะครับ และPoppies พันธ์ที่ปลูกทางเอเซียเท่านั้นที่มีอนุพันธ์ของฝิ่น
แต่ดอกPoppies ทีเราเอามาเป็นอนุสรณ์สำหรับทหารที่วายชีพในสมรภูมินั้นเป็น Corn Poppies (ที่ผมpost
เข้ามาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความไม่เป็นประสา ภาพไปโผล่เป็นกระทู้ใหม่ วานVicharkarn Team เอาออกด้วยครับผม) ที่ว่า Poppies จะขึ้นและบานสะพรั่งในสมรภูมินั้น เห็นจะจริง เพราะ มีปรากฎในสมัยสงครามนโปเลียน ต้นคริสตศตวรรษที่ 19 สมรภูมิที่แต่ก่อนว่างเปล่า กลับมีต้นพืชออกดอกแดงฉานเหมือนสีเลือด เต็มทุ่ง  มีปรากฎการณ์อย่างเดียวกัน หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ว่ากันว่า
ผลจากการถล่มกันในสงคราม ทำให้ดินมีสาร Lime ที่ทำให้ต้นPoppies งอกงามดีนั่นเอง (มีนายทหารเสนารักษ์คนหนึ่งเขียนโคลงถึงดอกPoppies ขอแตะโป้งไว้ก่อนนะครับ ถ้ามีใครอยากอ่านจริงๆ ผมจะหาเวลาไปค้นหามาให้) ทำให้คนทั่วไปเริ่มโยงดอก Poppies เข้ากับทหารที่สละชีพเพื่อชาติ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: วิชาการ ที่ 18 ม.ค. 01, 01:33
เอามาแปะไว้ให้ตรงนี้ครับ




California Poppy






กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: โสกัน ที่ 18 ม.ค. 01, 02:10
ขอบคุณ ทีมวิชาการที่ย้ายเอารูปมาแปะไว้ในรั้วกระทู้ครับ

ขอถามคุณกัลยาวิน กับ คุณเทาชมพู ต่อนะครับ ที่ว่า
มีประกาศห้ามสูบฝิ่นตั้งแต่รัชกาลที่สาม

แต่ผมจำได้ว่า สมัยผมเป็นเด็ก (สมัยจอมพล ป. หรือจอมพลผิน นี่แหละ) ที่โคราชยังมีโรงยาฝิ่น อยู่ถนนจอมพลเยื้องอนุสาวรีย์ย่าโมไปหน่อยเดียว ผมจำได้แม่นเพราะเพราะป้าข้างบ้านใช้ให้ผมไปตามสามีแกที่นั่นบ่อย ๆ ครับ

แสดงว่าได้มีการอนุญาตให้คนไทยกลับไปสูบฝิ่นกันอีกในช่วงนั้น หรือไงครับ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: ภูนิ ที่ 18 ม.ค. 01, 04:29
นั้นนะซิครับ   ผมก็รู้สึกว่าในนิยายสามเกลอมีช่วงหนึ่งสูบฝินได้
มาสักพักก็สูบไม่ได้ มีการเล่นมุกกับเรื่องจับฝิ่นนี่เหมือนกัน


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: โสกัน ที่ 18 ม.ค. 01, 05:56
ถ้าจำไม่ผิดเป็นสามเกลอตอน "สามเกลอค้าฝิ่น" ใช่ไหมครับ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 18 ม.ค. 01, 06:04
ในเรื่องพลนิกรกิมหงวน เป็น ฝิ่น หรือ กัญชา? หรือทั้งสองอย่าง? เจ้าแห้วสูบกัญชานะครับ แต่ดูเหมือนเจ้าสัวกิมเบ๊หรือเจ้าสัวกิมไซจะติดฝิ่น
ผมเข้าใจว่า หลังรัชสมัย ร.3 มาแล้ว แต่เป็นสมัยไหนไม่ทราบ มีการอนุญาตให้สูบฝิ่นได้อีกครั้งนะครับ แต่ว่ารัฐควบคุม ไม่ได้ส่งเสริมให้สูบโดยเสรี ดูเหมือนเปิดประมูลให้สัมปทานเจ้าอากรฝิ่นด้วย
ฝิ่นที่รัฐบาลสยามอนุญาตให้สูบ เก็บภาษีเข้ารัฐด้วย แต่ฝิ่นที่ไม่ได้เก็บภาษี ก็มีการแอบลักลอบค้ากัน เรียกว่าค้าฝิ่นเถื่อน จำได้ว่าในสมัย ร.6 ตัวผู้ร้ายในละครพระราชนิพนธ์เรื่องหนึ่งค้าฝิ่นเถื่อน (จึงเป็นผู้ร้าย ถ้าขออนุญาตค้าขอประมูลเป็นนายอากรฝิ่นอย่างถูกต้อง ก็ไม่ผิดกฏหมายสมัยนั้น)
ผมเข้าใจว่าโรงยาฝิ่นมาเลิกกันอีกทีในสมัยใหม่นี้ ตอนยุคจอมพลสฤษฎิ์นี่เอง


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 18 ม.ค. 01, 06:10
เสียดาย ลิเกเลิก ท่านเถรขวาดก็กลับวิกเพื่อนดีไปเสียแล้ว ไม่งั้นจะได้ถาม
ในวรรณคดีไทย จำได้ว่าเอ่ยถึงฝิ่นไว้ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงสร้อยฟ้า แล้วถูกพลายชุมพลวางอุบายจะจับ โดยพลายชุมพลปลอมเป็นแขกเอาฝิ่นไปถวาย มอมเถรขวาดจนเมา เผลอพูดออกมา เสภาตอนนี้แต่งเมื่อไรไม่ทราบ แต่แปลว่าฝิ่นมีมาตั้งแต่สมัยโน้น


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ม.ค. 01, 06:40
แหะๆ ลิเกเลิกก็เล่นใหม่ได้นิคะ คุณ นกข



คิดว่า poppy ที่เป็นดอกไม้นี่มีสองสายใหญ่ๆนะคะ  มี california poppy(Eschscholzia californica) ที่ว่านี้  เป็นคนละสายตระกูลกับ corn poppy ที่เพลงพูดถึงค่ะ



Corn Poppy หรือ oriental poppy(Papaver rhoeas) ที่ Georgia O'Kieffe เอามาวาดจนเป็นที่รู้จัก ยังมี Iceland poppies(Papaver nudicaule)  ไมทราบเหมือนกันว่าไปเกี่ยวกับประเทศไอ๊ซ์แลนด์หรือเปล่า  แต่พวกนี้เป็น Perenials คือมันมีหน่อหรือหัวก็ไม่ทราบ  ที่ออกดอกต่อปีต่อไปได้  ต้นไม่ตาย  แต่ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ  เพราะที่เคยปลูกๆมาก็ตายทุกปีเลยค่ะ  เหอๆๆ  ไม่รู้เป็นเพราะสีมือคนปลูกรึเปล่า  แต่ตระกูลนี้หละค่ะ  ที่เกี่ยวดองกับฝิ่น  ที่โคนดอกมันมีกะเปาะเหมือนกะเปาะฝิ่นนั่นแหละค่ะ  แต่ที่เค้าปลูกเอาดอกนี่ดอกมันใหญ่  แต่ไม่มียางที่เอามากรีดทำฝิ่น  เคยไปเห็นไร่ฝิ่นของชาวม้ง  ก็ดูดอกไม่โตและไม่สวยเท่าพวก orientel poppy ที่เค้าเอามาปลูกดูดอกกัน



แต่ California Poppy เป็น annuals ค่ะ คือออกดอกออกเมล็ด แล้วก็ตาย  ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด  ตรงโคนดอกไม่มีกะอปาะกลม  แต่จะเป็นฝักเรียวๆยาว  เมล็ดแก่แล้วก็เป็นเมล็ดละเอียดสีดำเล็กๆ  แต่เค้าไม่ทานกัน



พวก corn poppy หรือ orientel poppy นี่  เมล็ดมันทานได้  เค้าเอามาแปะขนมปังหรือเบเกิ้ล  เรียก poppyseed bread  ว่ากันว่า  มีสารฝิ่นอ่อนๆอยู่ด้วย  แต่น้องกว่ากันมาก  เคยมีนักกี:า(จะโอลิมปิคหรือไม่ก็ไม่ทราบ) กินขนมปังพวกนี้เข้าไป  แล้วไปตรวจปัสสาวะ  เลยซวยไปเลยค่ะ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ม.ค. 01, 06:41
รูป Orientel Poppy ค่ะ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ม.ค. 01, 06:42
Orientel Poppy อีกรูปนะคะ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ม.ค. 01, 06:42
อันนี้ Iceland poppy นะคะ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 18 ม.ค. 01, 06:43
Iceland poppy อีกรูปค่ะ ไม่ให้น้อยหน้ากัน


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 18 ม.ค. 01, 08:22
สามเกลอค้าฝิ่น หาอ่านได้ที่ samgler.org ครับ
เรื่องโคเคนกับเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ผมยังติดใจอยู่ที่ว่าการเสพโคเคนเป็นเรื่องถูกต้องสมัยนั้น เพราะจำได้ว่าหมอวัตสัน ก็เคยปรามอยู่บ่อยๆ (แต่ก็หาให้ในที่สุด) บังเอิญว่าก็ไม่ได้หยิบจับมากว่าสิบปีแล้ว ใครมีใกล้มือวานยืนยันหน่อยครับ


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ม.ค. 01, 08:47
ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ คุณoatmeal ค่ะ

ไปถามเถรขวาดแล้วค่ะคุณนกข.  แกฟ้องว่าถูกเล่ห์กลของพลายชุมพล ปลอมเป็นแขก หลอกให้สูบทั้งกัญชาและฝิ่นให้เมาหมดแรงเสียก่อนแล้วจึงจับตัวเอาง่ายๆ

สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง.................เถรชักคอก่งไม่ทนได้
แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป.....กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา
สองแขกรับตุ้งก่าเอามาไว้.............เอากล้องฝิ่นส่งให้หัวเราะร่า
เถรขวาดแลเขม็งเพ่งตา...............ร้องว่านั่นอะไรส่งให้กู
จุดไฟใส่ดูดเสียงดังเผลาะ.............เลียปากเจาะเจาะว่าขมอยู่
ลุกขึ้นวุ่นวายน้ำลายพรู..................แลดูนั่นไหอะไรวา

การปราบปรามฝิ่นในรัชกาลที่ ๓ เข้าใจว่าเป็นเพราะเห็นปัญหานี้มาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์    แต่พอมาถึงรัชกาลที่ ๕  คิดว่าปล่อยให้สูบได้แต่ควบคุมนะคะ ( ยังหาหลักฐานไม่เจอ  จำแบบตกๆหล่นๆ)
แล้วก็สูบกันมาเรื่อย มีโรงยาฝิ่นให้เห็นกันในกรุง   จนมาปราบกันอีกครั้งสมัยจอมพลสฤษดิ์   ขนฝิ่นมาเผากันที่สนามหลวง ยุคฝิ่นก็หมดไปจากสังคมไทย  
ยุคที่เข้ามาแทนที่คือยุคเฮโรอีน
หลังจากปราบเฮโรอีนกันอย่างหนัก   เราก็ได้ยุคยาบ้าในปัจจุบันนี้ละค่ะ

จบกระทู้เรื่องเหล้า  มาถึงฝิ่น  จบเรื่องฝิ่นแล้วจะไปที่ตราสิงโตคู่เหยียบโลกหรือเปล่าคะ คุณ Jor   : )


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: กัลยาวิน ที่ 18 ม.ค. 01, 08:48
แม้ว่าในขุนช้างขุนแผนที่มีเรื่องสูบฝิ่น จะเป็นเรื่องราวสมัยอยุธยา  แต่เสภาตอนนี้แต่งสมัยต้นรัตนโกสินทร์นะคะ  กวีจับเหตุการณ์ใกล้ตัวใส่ไว้ด้วย  

อยากให้มีหลักฐานที่เป็นของยุคสมัยก่อนรัตนโกสินทร์จริง ๆ ที่ระบุว่าฝิ่นเข้ามาในเมืองไทยแล้ว  ก็ไม่แน่นะคะยังมีเอกสารให้เราค้นพบได้อีกเรื่อย ๆ

สำหรับเรื่องประกาศห้ามสูบฝิ่นสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งบ่งบอกถึงความกังวลของราชสำนักเรื่องการสูบฝิ่นของคนไทยนั้น   ก็ต้องยอมรับว่าการลักลอบสูบฝิ่นยังคงมีอยู่  และในสมัยต่อมาก็ไม่ได้ลดลง  ซ้ำร้ายแทนที่รัฐจะได้ผลประโยชน์ในรูปภาษีอากร ก็ไม่ได้ด้วย  ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องยอมให้มีการสูบฝิ่น  และตั้งนายอากรฝิ่น   ยังไม่มีเวลาค้น แต่ที่แน่ ๆ สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีการตั้งโรงยาฝิ่นหลายแห่ง  ตามหัวเมือง เช่น นครสวรรค์ ก็มี

ในหนังสือ เด็กบ้านสวน ของ พ. เนตรรังสี กล่าวถึงฝิ่น ที่ให้เด็กกินเพราะเลี้ยงยาก  ทราบหรือไม่ว่า  ยาน้ำ "ไกร์บวอเตอร์" (ไม่ทราบสะกดถูกหรือเปล่า") ที่เด็กทารก สมัยก่อนได้กินกันนั้น  มีฝิ่นผสมด้วย  ก็เพื่อให้หลับสบาย ไม่กวนไม่งอแง  

ในตำรายาเมื่อร้อยปีก่อน มีสูตรยาหลายขนานผสมฝิ่น  บางขนานแก้ท้องเสีย  ดูเหมือนจะชื่อยา ทิงเจอร์ฝิ่นการะบูน  บางขนานหายไปจากวงการแล้ว   แต่บางอย่างก็ยังอยู่  เช่น มอร์ฟีน

การสูบฝิ่นในเมืองไทยยั่งยืนมาจนถึงสมัยจอมพลสฤษดิ์ ถึงมีการออกกฎหมายห้ามเด็ดขาด  ทำเอาคนลงแดงไปตาม ๆ กัน  และเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการค้ายาเสพย์ติดที่ก่อปัญหาเรื้อรังให้กับสังคมจนถึงทุกวันนี้


กระทู้: หมดเรื่องเหล้าแล้วมาถามเรื่องฝิ่นต่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ม.ค. 01, 08:50
คุณ CrazyHOrseคะ  โคเคนในสมัยเชอร์ล็อคโฮล์มส์ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ก็เหมือนบุหรี่สมัยนี้ละค่ะ  ส่วนหมอวัตสันไม่อยากให้เพื่อนเสพ  คอยห้ามปราม ก็เหมือนเราห้ามเพื่อนสูบบุหรี่เพราะรู้ว่ามันไม่ดีน่ะค่ะ