เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:42



กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:42
 ต่อจากกระทู้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=46045&PHPSESSID=0e6f65fb5008866c85cf0111b133cbe3
แล้วย้อนกลับมา ติดตามสำนวนแซ่บๆของคุณวิวันดา ต่อได้ที่นี่ค่ะ
*********************
งานนี้..ชาวสก๊อตทุกคนแสดงอาการผิดหวังและพากันแอบตำหนิอย่างไม่ขาดสาย เพราะเหมือนกับเป็นการไม่ให้เกียรติกัน
พวกกรมวังเสนาบดีต่างต้องวิ่งแก้ขอโทษขอโพยและปิดข่าวกันอย่างวุ่นวาย
ทั้งๆที่พวกเขาต่างก็มีงานล้นมือในตอนนั้น
ไหนจะต้องกำกับทางด้านเจ้าชายพระสวามีในเรื่องการตรัสอย่างโผงผางของพระองค์ ไหนจะต้องดูแลสมเด็จพระราชินี
ไหนจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต กับ กัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ อดีตนักบินผู้กล้าหาญในยุทธภูมิน่านฟ้าบริเตนในสงครามโลกที่ผ่านมานั่นอีกเล่า..

หลังจากปลดประจำการ ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดเป็นองค์รักษ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้ายอร์จที่หก และเป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของทุกคนที่ได้พบเห็น นอกเหนือไปจากการที่มีหน้าตาหล่อเหลาแล้ว..ความเป็นวีรบุรุษนักบินเสี่ยงตายของเขานั้นได้สร้างรัศมีให้เจิดจ้าขึ้นไปอีก

ปีเตอร์ได้มักคุ้นกับเจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กมาตั้งแต่เมื่อทรงมีพระชนมายุได้เพียงสิบห้าชันษา และได้ถูกจองตัวให้เป็นคู่เต้นรำของพระองค์เสมอๆ

รวมไปถึงการนำเสด็จไปยังงานต่างๆ จนเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงเริ่มเป็นสาวสะพรั่ง มีพระชนมายุได้ 21 ชันษา
พระองค์ก็พบว่า..ทรงตกหลุมรักปีเตอร์คนนี้อย่างหมดพระทัย และ
ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะบอกความนัยให้เขาทราบ..
แต่ปีเตอร์ยังคงทำแชเชือน เพราะ..เขาคือชายที่มีเจ้าของแล้ว..
เจ้าฟ้าหญิงก็หาได้ลดละไม่..ยามที่เขาจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว..พระองค์ทรงขวางกั้นโดยการออกคำสั่งให้อยู่เป็นเพื่อนบ้าง
หรือไม่ก็ ต้องให้ตามเสด็จออกงาน
จนในที่สุด..เขาต้องหย่ากับภรรยา..เพราะเธอได้ทิ้งไปมีชู้ เขาได้เป็นผู้ดูแลลูกทั้งสองคน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:44
 "การหย่าร้าง" นี่คือสิ่งที่เลวร้ายกว่าอะไรทั้งหมดในความเชื่อถือของคนในราชสำนักยุคนั้น..
นับตั้งแต่ ปี 1936 ที่นางซิมปสันได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อราชวงค์วินด์เซอร์ คำว่า หย่าร้าง นั้น ถือว่าเป็นอัปมงคลอย่างที่สุด จนได้มีกฏระเบียบวังออกมาว่า..
ใครก็ตาม..ที่ได้มีการหย่าร้าง..ไม่มีสิทธิได้เข้าในพระราชวัง และไม่มีสิทธิได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์
ทุกครั้งที่มีพระราชพิธี..ฝ่ายกรมวัง ต้องทำหน้าที่สอบสืบกันอย่างละเอียดยิบว่า..เบื้องหลังใครเป็นอย่างไร
ขนาด ลอเร้นซ์ โอลิวิเยร์ นักแสดงชื่อก้องฟ้าชาวอังกฤษยังโดนการงดบัตรเชิญด้วย เพราะเนื่องจากการหย่าร้าง..
ฉะนั้น..ในปี 1953 ที่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต..ลำดับสามในการสืบสันตติวงค์ได้ทรงหลงรักชายที่ผ่านการหย่าร้างอย่างปีเตอร์..แถมยังเป็นคนธรรมดาสามัญ
วงการอังกฤษเป็นช๊อค..
และยิ่งฝ่ายชายได้สารภาพกับท่านเสนาบดี ราชเลขาส่วนพระองค์ ท่านลอร์ด อลัน ลาเซลเลส ว่า ตัวเองก็หลงรักในเจ้าฟ้าหญิงเช่นกัน
ทางฝ่ายเสนาบดีถึงกับสติกระเจิง...รีบรายงานไปยังท่านายกเชอร์ชิลล์ พร้อมทั้งว่า
"จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว.."
ท่านนายกเองก็โวยไม่แพ้กัน ท่านว่า
"ต้องหาทางแยกกันให้เร็วที่สุด จำหน่ายกัปตันทาวน์เซนด์ออกไปด่วน.."
ไม่ทันขาดคำ..คำสั่งก็พิมพ์รัวอย่างเร็วด่วนว่า..
กัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ต้องมีภาระกิจออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กรุงบรัสเซลในฐานะผู้ช่วยทูตทหารอากาศ..
การที่ฝ่ายรัฐบาลต้องทำเช่นนี้เพราะ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม และเป็นการซื้อเวลาทำใจ
เนื่องจากตามกฏหมายแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสามารถที่จะทรงอภิเษกโดยที่ไม่ต้องขอพระบรมราชานุญาตเมื่อมีพระชนมายุครบ 25 ชันษาบริบูรณ์

สำหรับปีเตอร์..แผนงานที่เขากำลังจะได้ตามเสด็จควีนมัมและเจ้าหญิงในดวงใจประพาสต่างประเทศก็ต้องเป็นอันว่าพับฐานไป
ระยะการเตรียมตัวในการเดินทางนั้นก็กระชั้นเสียจน เขาแทบไม่มีเวลาส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำที่เค้นท์..
ทันที่ที่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงขึ้นไปเอ็ดอึงกับสมเด็จพระราชินีอย่างไม่เกรงพระทัย
และขอให้พระองค์ได้ยกเลิกคำสั่งนั่น..ซึ่ง ไม่มีผลใดๆ พระเชษฐภคินีทรงปฏิเสธการช่วยเหลือทั้งหมด
ทำให้เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงออกพระอาการกริ้วถึงขนาดขังพระองค์เองอยู่ในห้องถึงสามวัน  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:45
 เจ้าฟ้าหญิงทรงใช้ยานอนหลับช่วยระงับความเสียพระทัยในตลอดสามวันนั้น พอยามที่ตื่นขึ้นมา พระองค์ได้ทรงกระหน่ำคีย์เปียโนแบบแสดงพระอารมณ์อย่างดุดัน
ซึ่งพระองค์ได้เล่าประทานให้กับคริสโตเฟอร์ วาริค นักเขียนชีวประวัติ (ของพระองค์) ในหลายปีต่อมาว่า..
"ฉันใช้อารมณ์แห่งความสูญเสียมาใช้กับเปียโนได้ดีเท่าๆกับการบรรเลงเชียวนะ...เพราะรู้ดีว่าความรักของเรานั้น..ไม่มีทางลงเอย เพราะมันเป็นไปไม่ได้"

เรื่องที่คิดจะหวังพึ่งพระมารดานั้น..หมดสิทธิ เพราะเมื่อเกิดการหน้าสิ่วหน้าขวานกันนั้น พระองค์ได้ทรงเลี่ยงหาทางออกด้วยการแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักนอกเมืองทันที
ปีเตอร์ได้จากไปยังกรุงบรัสเซลอย่างเงียบๆ หลังจากที่ได้เข้ากราบบังคมทูลลา..สมเด็จฯและท่านดยุค ผู้ที่เขาได้มาเขียนถึงในบันทึกชีวประวัติของเขาเองว่า..
"เมื่อตอนที่เรากำลังจะจากไปในปี 1953 นั้น หลังจากที่ได้เข้าไปบังคมลา..ท่านดยุคมิได้เดินมาส่ง หรือเอ่ยคำอำลาแม้แต่เพียงคำเดียว พระองค์เป็นเยอรมันอย่างแท้จริงจากภายใน
เป็นคนที่หลักแหลมอย่างที่ไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน..และรู้จักการใช้อารมณ์ขันและถ้อยคำเสียดสีเข้ามาแทนการตำหนิใครแบบตรงๆ"
แต่อย่างไรก็ตาม..ทั้งปีเตอร์และเจ้าฟ้าหญิงได้มีการลอบพบกันแบบลับๆสองสามครั้งที่บ้านของพระสหายสนิท.. ก่อนที่จะมีพระชนมายุได้ ยี่สิบห้าชันษา

ปี 1955 สองอาทิตย์หลังจากวันเฉลิมพระชนม์พรรษาผ่านไป เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้เสด็จขึ้นเฝ้าสมเด็จฯถึงบนพระที่นั่ง เพื่อที่จะถามถึงเรื่องของพระองค์และปีเตอร์
และคำตอบก็คือว่า..เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งท่านนายกรัฐมนตรี นาย
แอนโธนี อีเดน (คนใหม่ ต่อจากท่านเชอร์ชิลล์) และ พระสังฆราช ต่อต้านอย่างสุดกำลัง
เจ้าชายฟิลิปรีบช่วยเสริมว่า..
"เพราะว่าพระองค์คือ รัชทายาทอันดับสามในพระราชบัลลังค์"
เจ้าฟ้าหญิงทรงหันมาตวาดแว๊ดว่า..
"ตัวเองไม่ต้องมาเจ๋อ..ฉันนับเองเป็น"

เจ้าชายฟิลิปเลยต้องรีบอ้างการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ไทม์ ที่มีประเด็นร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า..สถาบันกษัตริย์แห่งอังกฤษกำลังร้อนเป็นไฟ หากว่าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะทรงอภิเษกกับ
ชายที่ผ่านการหย่าร้างมา..อันผิดกฏมณเฑียรบาลซึ่งมีสมเด็จพระราชินีต้องเป็นผู้ดูแลให้ทุกอย่างอยู่ในเงื่อนไข
นอกเสียจากว่า เจ้าฟ้าหญิงจะทรงสละฐานันดร ออกมาเป็นประชาชนคนธรรมดา
สมเด็จฯจึงช่วยเสริมการอธิบายให้กระจ่างว่า..
"ถ้าน้องยังดื้อดึงที่จะแต่งงานกับปีเตอร์ละก้อ..ได้ซิจ๊ะ แต่ต้องออกไปอยู่ที่ต่างประเทศกันนะ และเตรียมตัวกัดก้อนเกลือกินกันได้เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายงบประมาณ เบี้ยหวัดรายปี ทุกอย่างจะงดหมด"
และนั่นคือ คำตอบสุดท้าย ที่เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงซึมซับอย่างแน่นอนว่า ทุกอย่างนั้นได้จบสิ้นสำหรับความรักของพระองค์
ปีเตอร์ได้ตัดสินใจ..ขอเดินไปตามทางของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียมาถึงสถาบันสูงสุด..
และด้วยเลือดแห่งขัตติยะมานะ...เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงร่างคำประกาศออกอากาศสถานีวิทยุบีบีซี..ว่า
"ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบโดยทั่วกันว่า..ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานกับกัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ เพราะเพื่อความถูกต้องแห่งกฏของพระศาสนา
และด้วยภาระหน้าที่ที่ข้าพเจ้ามีต่อสหราชอาณาจักรที่ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด"
ลงพระนามว่า..มาร์กาเร็ต

ภาพ ....ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:31
 ท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ได้ข่าวนี้ด้วยความสะใจเล็กๆ และได้ส่งข้อความไปหาดัชเชส หม่อมวอลลิส ว่า
"เห็นม๊ะ...มัน (หมายถึงทั้งสังฆราช และ กรมวัง) ทำสำเร็จอีกแล้ว..มันบังคับให้หลานหญิงให้เดินไปตามทางที่มันวางเส้นไว้จนได้ ดูซิดู..มันก็ทำได้แต่กับพวกเชื่องๆพวกนั้นเท่านั้น กับฉัน..มันไม่มีทางทำได้หรอก เพราะฉันฉลาดกว่ามัน ตอนนี้ไอ้พวกนี้ยิ่งเหิมเกริมกันใหญ่ เดี๋ยวนี้น่ะ พวกมันมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลอีก เธอรู้ไหม?"

ปีเตอร์ได้ไปอยู่ที่กรุงบรัสเซล จากนั้นไม่นานเขาได้ขอลาออกจากชีวิตข้าราชการในกองทัพอากาศ แต่งงานใหม่ในไม่กี่ปีต่อมา ย้ายตัวเองไปอยู่เงียบๆที่ Rambouillet เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
และเขาได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ขอกลับไปเหยียบแผ่นดินอังกฤษอีก

ในหนังสือชีวประวัติของเขาได้เขียนว่า..
"เมื่อตายไป ก็ขอให้โรยเถ้าไว้ในฝรั่งเศสนี่..และหรือถ้าลมจะพัดพาให้มันฟุ้งกระจายไปถึงฝั่งอังกฤษ ก็ช่างมัน เพราะตอนนั้นเราคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว.."

แต่..สามสิบเจ็ดปีต่อมา..เขาออดแอดด้วยโรคมะเร็งในช่องท้อง คำสาบานนั้นได้ถูกเพิกถอนไป เพราะเขาได้กลับไปอังกฤษอีกครั้งและได้ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกับเจ้าฟ้าหญิงในดวงใจเป็นครั้งสุดท้ายที่พระราชวังเคนซิงตัน..
หลังจากนั้น..ปีเตอร์ได้เสียชีวิตในสามปีต่อมา ด้วยอายุ เจ็ดสิบเจ็ดปี..

ขอเล่าขยายนิดหนึ่งว่า ต่อมาไม่นานนักกฏข้อห้ามในเรื่องของคนหย่าร้างในพระราชวังนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อธิบดีกรมวัง ต้องรีบแก้ไขยกเลิกโดยด่วน
เพราะ มิฉะนั้นแล้ว..สมเด็จพระราชินีจะไม่มีโอกาสได้พบกับ พระญาติที่มีการหย่าร้างแทบทุกพระองค์ อย่างเช่น เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต (กับลอร์ด สโนว์ดอน)
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระธิดา (กับมาร์ค ฟิลลิป)
เจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรส (กับซาร่าห์ เฟอร์กุสัน) และที่สุดของที่สุดคือ เจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมาร (กับเจ้าหญิงไดอะน่า)

ภาพ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:34
 เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว..สมเด็จพระราชินีและเจ้าชายฟิลิปพระสวามีต้องออกเดินทางการเสด็จเยือนอาณาประเทศราชที่ต้องใช้เวลาทั้งหมดถึงหกเดือนด้วยกัน
อันเป็นสิ่งที่ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ไหนในอังกฤษได้ทรงกระทำมาก่อน
อีกทั้งพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ประชาชนภายใต้ร่มธงยูเนี่ยนแจ๊คได้ประจักษ์ทั่วกันว่า
พระองค์ทรงทำหน้าที่ประมุขอย่างเต็มที่ มิใช่สวมไว้แต่หัวโขน
ดังที่ได้ทรงมีพระราชดำรัสในวันคริสต์มาสจากประเทศนิวซีแลนด์ว่า..
"ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะให้พวกท่านได้ทราบว่า..
มหามงกุฏแห่งบริเตนนั้น ไม่ใช่สิ่งอันเป็นเพียงนามสมมุติ หากแต่..เป็นที่รวมใจให้ทั้งข้าพเจ้าและพวกท่านให้เป็นหนึ่งเดียวกัน"
นาย เกวน รอบินส์ นักข่าวพระราชสำนักที่ได้ร่วมทเดินทางไปในครั้งนั้น ได้บันทึกไว้ว่า..
"ทริปนั้น ช่างโหดมหาโหดโดยแท้..ผมเฝ้าติดตามพระองค์แทบทุกวัน ทุกชั่วโมง และขอบอกได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลืออย่างแข็งขันของเจ้าชายฟิลิปพระสวามีแล้วละก้อเห็นทีจะพระราชินีของผมจะไม่รอดเป็นแน่แท้"
จริงอยู่ว่า..สมเด็จทรงเป็นหญิงแกร่งที่หาตัวจับได้ยาก ไม่ว่าจะทรงสามารถประทับยืนตรงได้นานนับชั่วโมงๆ หรือ สามารถทรงม้าแบบประทับข้างได้เป็นระยะทางไกลๆ
แต่เรื่องการที่ต้องทรงมีพระปฏิสันถารกับผู้คนหลากหลาย เนื่องจากความที่ไม่มักคุ้นกับผู้คน..ที่ต้องใช้การสนทนาที่เต้มไปทั้งศาสตร์และศิลปของหัวเรื่องต่างๆนั้นคือปัญหาใหญ่..
แต่อัศวินม้าขาวในคราวนี้คือ เจ้าชายฟิลิป พระสวามี ที่ทรงคล่องไปหมด ไม่ว่าใครจะมารูปไหน..

หรือในบางครั้งที่สมเด็จทรงเหนื่อยอ่อน ล้าจนแทบไม่ไหว  พระสวามีก็ได้ทรงช่วยในการทำเรื่องให้เป็นที่ขบขัน เช่น ยามที่นักข่าวเข้ารุมล้อมที่มอลต้า..เจ้าชายได้ทรงตรัสดังๆว่า..
"มาแล้ว..พวกแร้งลง"
เท่านั้นไม่พอ ยังแกล้งโยนถั่วให้ ประหนึ่งกำลังป้อนนกให้กับกลุ่มนักข่าวอีกต่างหาก
สมเด็จก็ทรงพระสรวลออกมาได้..

ที่ออสเตรเลีย..อากาศร้อนถึงร้อยองศา สมเด็จทรงเพลียต่อการต้อนรับที่ไม่มีวันหยุดหย่อนนั้น พระพักต์เริ่มขมวดมุ่น..
เจ้าชายพระสวามี..ได้แอบเข้ามากระซิบว่า..

"นี่..คุณนายไส้กรอกสุก..มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า.."

ที่นิวซีแลนด์..พวกเด็กๆชาวเมารีได้ทำการแสดงถวาย โดยการกระโดดจากหน้าผาลงน้ำ..แต่สมเด็จไม่ทันหันไปทอดพระเนตร ทรงพระดำเนินลิ่วไปยังรถพระที่นั่ง
เจ้าชายฟิลิปได้รีบเข้าชี้ชวนและตรัสว่า..
"เบธ.. (ย่อมาจากลิลิเบธ) ดูซิ..เด็กๆน่ารักจังนะ"
สมเด็จจึงได้หยุดและทรงหันไปทางนั้น..

ยามที่นักข่าวเข้ามาแน่นประดังเป็นกลุ่ม เจ้าชายฟิลิปจะทรงกางกั้น..และหันไปตะคอกนักข่าวอย่างไม่มีการเกรงใจว่า

"อย่ากลุ้มรุม สมเด็จพระราชินีจะได้มั๊ยยย?"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:37


   ซึ่งเมื่อเจ้าชายได้ปกป้องสมเด็จมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่น่าเบื่อสำหรับคนอื่นมากเท่านั้น..

อย่างในกรณีที่ตอนใต้ของออสเตรเลีย..ที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง

นายกเทศมนตรีชราได้แต่งตัวเต็มยศของชาวท้องถิ่นที่มีเสื้อคลุมประดับประดาไปด้วยขนกระต่าย เข้ามาถวายกล่องของขวัญขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง และเขาพูดว่า



"ในเวลาเดียวกันนี้..ตัวแทนของเราจากสถานทูตในอังกฤษก็กำลังมอบของขวัญแบบเดียวกันนี้ให้กับผู้แทนของพระองค์พระเจ้าค่า"



เจ้าชายฟิลิปอดรนทนไม่ได้ จนต้องแย้งออกไปว่า..

"ไม่ไหวละม้างงง..ท่านนายก เวลาของเราต่างกันตั้งสิบชั่วโมงครึ่ง..ท่าทางท่านทูตของเท่านจะทำงานล่วงเวลา ไม่ขยันไปหน่อยหรือ"



ท่านนายกเทศมนตรีผู้น่าสงสารได้แต่ยืนงกๆเงิ่นๆเพราะไม่รู้ว่าจะพูดจาตอบโต้อย่างไร..

แต่ใครหลายคนในที่นั้น ต่างก็ไม่ลืมความ"พระโอษฐ์เสีย" ของเจ้าชายฟิลิปไปชั่วนานเท่านาน



ส่วนเรื่องการเขียนเรื่องราวการเสด็จประพาสของนักข่าวก็มักประสบปัญหากับกรมวังเสนาบดี ที่พยายามอย่างเหลือเกินที่จะให้ข่าวออกมาให้สมเด็จเลิศเลอเกินมนุษย์ซึ่งออกจะเกินความจริงไป

นักข่าวย่อมต้องมีจรรยาบรรณ และวินิจฉัยในความเห็นอันสมควร

ฉะนั้น เรื่องการงัดข้อจึงมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ...



อย่างเช่นตอนที่เสด็จปาปัว นิวกินี ชาวป่าพื้นเมืองได้มาเต้นระบำถวาย..พวกเขาแต่งชุดกระโปรงที่ถักด้วยหญ้า ช่วงบนลำตัวเปลือยเปล่า มีเครื่องประดับเป็นสร้อยคอที่ห้อยไปด้วยเหรียญโลหะกับกระดูกสัตว์ต่างๆ

สมเด็จฯจังหันไปทางองครักษ์ และตรัสว่า

"พวกเขาน่าจะห้อยเหรียญของเราที่มีรูปฉันนะ..ใครมีเหรียญบ้าง ขอหน่อย"

พวกองครักษ์และนักข่าวที่ตามเสด็จจึงช่วยกันเทกระเป๋าหาเศษเหรียญเพื่อส่งให้กับพระองค์



พอตกค่ำ..พวกองครักษ์คงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ต่างรีบไปเคาะประตูห้องนักข่าวพร้อมทั้งออกคำสั่งว่า..



"ข่าวเรื่องสมเด็จทรงขอเศษเหรียญนี่..เอาไปเขียนไม่ได้นะ"

"ทำไมล่ะ"

"เพราะมันจะทำให้พระองค์ดูยากจนน่ะซิ"

"จะบ้าหรือยังไง..ใครเขาจะคิดอย่างนั้น อย่างสมเด็จพระราชินีใครๆก็ต้องรู้ว่าคงไม่เสด็จไปไหนแล้วพกเศษสตังส์ไปด้วยหรอก"



นักข่าวเถียงได้ แต่เขียนไม่ได้ วันวันได้แต่รอข่าวที่กรองถ้อยคำแล้วจากกรมวังที่จะส่งข้อความเชยๆให้

เช่น..วันนี้ สมเด็จพระราชินีได้ทรงฉลองพระองค์สีเขียวหม่น..เป็นต้น



แต่..กับพวกนักข่าวอเมริกัน..พวกนี้จะเขียนอะไรก็ได้ตามใจเห็นชอบ เพราะใครก็ไปห้ามพวกเขาไม่ได้ แม้กระทั่งเรื่องที่สมเด็จทรงใช้ไวยากรณ์อังกฤษแบบผิดๆทั้งๆที่เป็นเจ้าของภาษาแท้ๆ



เช่น..ที่นิวซีแลนด์ พระองค์ทรงได้ยินเด็กสองคนกำลังเถียงกันว่า ใช่พระองค์ หรือ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต

"I tell you, it's Princess Margaret."

"Is not. Is not. It's the Queen"

เมื่อสมเด็จฯได้ทรงสดับดังนั้น จึงย่อพระองค์ไปตอบว่า...

"No, it's me."



นักข่าวอเมริกันเลยถือเป็นข่าวอันโอชะไป...  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:38
 เมื่อยามที่เสด็จกลับโดยเรือพระที่นั่ง บริแทนเนีย..ประชาชนได้เฝ้ารอรับเสด็จเต็มสองฝั่งของแม่น้ำเทมส์
เสียงโห่ร้องรับอย่างอื้ออึงเมื่อทุกคนได้เห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ประทานอย่างช้าๆ..
ประชาชนทุกคนได้ประจักษ์ว่า พระราชินีพระองค์นี้ได้มุ่งมั่นทรงงานอย่างหนักเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระบิดา และด้วยพระกิริยาที่ต่างกับพระมารดาในทุกประการ เพราะ
ควีนมัมนั้น ทรงฉาบไปด้วยความอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ดังที่มีคำเปรียบเทียบว่า เหมือนเหล็กวิลาสที่หุ้มไปด้วยขนมน้ำตาลนุ่ม..
แต่ที่ทั้งสองเหมือนกันมาก นั่นคือ การที่มีกำลังใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มสติกำลังจากคู่คิดคู่เคียง
สมเด็จเคยกล่าวไว้กับพระสหายสนิทว่า
"ถ้าไม่ได้ฟิลิปคอยช่วยเหลือละก้อ..ฉันคงแย่.."

ความสัมพันธ์ในครอบครัวของสมเด็จพระราชินีดังที่ได้เล่ามาแล้วว่า ค่อนข้างห่างหาย และห่างเหินในวัยเยาว์
และตั้งแต่มีพระชนมายุได้สิบชันษา พระองค์ก็ได้แต่รับฟังในเรื่องที่จะต้องมาครองบัลลังค์ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดข้างหน้า เพียงแต่พระองค์ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้
เพียงพระชนมายุที่เพิ่งย่างเข้ายี่สิบหกชันษา และเพิ่งจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองหมาดซึ่งก่อนที่จะมาครองบัลลังค์
พระองค์ได้ทรงเตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นแม่บ้านที่น่ารักของพระสวามี และ พระมารดาที่ดีแก่พระโอรสและพระธิดา พระองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า อยากจะมีลูกสี่คน และเป็นแม่บ้านเต็มตัว
แต่เมื่อมีพระโอรสเข้าจริงๆ หน้าที่ของภริยาและแม่ของพระองค์ไม่ค่อยจะสัมพันธกันนัก พระองค์จึงเลือกหน้าที่ภริยา..เป็นอันดับแรก เพราะพระสวามีต้องมาก่อนใครเพื่อน
และได้ตรัสแก้เกี้ยวว่า.."ฉันเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ใช่ต้องมาทำหน้าที่นางพยาบาลไปด้วย.."

พระองค์จากพระโอรสไปประทับอยู่ที่มอลต้า....ไม่มาร่วมในงานวันเกิดปีแรกของเจ้าชายชารลส์ ปล่อยให้พระโอรสอยู่ในความดูแลของพระอัยยิกาและพระมาตาหัยยิกา (ทวด คือ พระนางแมรี่)
พระองค์ไม่ได้มีโอกาสทอดพระเนตรการย่างพระบาทได้ในก้าวแรกของพระโอรส รวมทั้ง..ไม่ได้ยินว่า คำแรกที่ทรงตรัสออกมาได้นั้นคือ "Nana" อันหมายถึงพระพี่เลี้ยง (nanny) แทนที่จะเป็น
"Mama" ดังเช่นเด็กอื่นๆ

ซึ่งความจริงสำหรับสมเด็จเองพระองค์ก็ไม่ได้เห็นว่าจะผิดอะไรที่ตรงไหน เพราะพระองค์ก็ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเดียวกัน นั่นคือ ควีนมัม และพระเจ้ายอร์จที่หก ก็ได้เสด็จประพาสออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
เป็นเวลานานถึงหกเดือน ในขณะที่พระองค์ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระพี่เลี้ยงเช่นกัน
แม้แต่พระธิดา...เจ้าหญิงแอนน์ ที่เพิ่งมีพระชนมายุได้สามเดือน ก็ถูกทิ้งให้เลี้ยงโดยพระพี่เลี้ยงในขณะที่สมเด็จได้ทรงเสด็จต่างประเทศกับพระสวามี
หรือยามที่เจ้าหญิงแอนน์ทรงพระประชวร ต้องไปนอนที่โรงพยาบาลนั้น พระพี่เลี้ยงก็ต้องไปนอนเฝ้า
ส่วนพระมารดากลับบรรทมหลับสบายที่พระราชวังวินด์เซอร์
หรือในยามที่เจ้าชายชารลส์ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดด่วนด้วยอาการใส้ติ่งอักเสบกลางดึก สมเด็จพระมารดาก็มิได้เสด็จไปด้วยแต่อย่างใด

ประชาชนเริ่มจับตามองอย่างไม่ชอบใจนัก..
นายจอห์น กอร์ดอน แห่งหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซเพรส ได้เขียนไว้ว่า..
"พวกเจ้าพวกนายนั้นมีลูกเหมือนมีคอกปสุสัตว์ เลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ ตามมีตามเกิด"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:41


   จวบจนที่พระองค์ได้เข้ามาครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีในปี 1952 เข้าจริงๆ คราวนี้เรื่องการดูแลครอบครัวอย่างที่เคยตรัสไว้..เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

และเรื่องที่ทรงเคยคาดหวังไว้ว่าจะมีลูกถึงสี่องค์นั้น ต้องเลื่อนโครงการออกไป เพราะงานของพระองค์ในฐานะพระราชินีย่อมมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด

ดังที่เล่ามาแล้วว่า สมเด็จทรงเป็นคนเจ้าระเบียบ เคร่งครัดมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์นั้น..ในยามที่เป็นพระราชินี พระองค์ได้ทรงเข้มงวด และมุ่งมั่นในภาระและพระราชกิจอย่างเอาจริงเอาจังกว่าครั้งกระโน้น..

ไม่ว่าจะเรื่องคำปราศรัย พระราชหัตถเลขาโต้ตอบ หรือ กล่องแดงรายงานจากรัฐบาล..ที่พระองค์ได้ทรงถือเป็นหน้าที่ที่ต้องใส่พระทัยทรงงานทุกวัน..

แต่ก็มีอดีตเสนาบดี..แอบแย้งว่า

"พระองค์อาจถือเป็นสาเหตที่ไม่ต้องมาปวดพระเศียรกับเรื่องครอบครัวต่างหากกระมัง.."



เพราะในภาพโดยรวมที่ออกมาสู่สายตาประชาชนนั้น ครอบครัว

วินด์เซอร์ ถือว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบสุดๆ มีพระราชินี เจ้าชายพระสวามีที่สง่างาม พระโอรสที่งดงาม พระธิดาที่น่ารัก

ภาพต่างๆเหล่านี้มักปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์เสมอๆ สมเด็จได้ทรงเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาภาพถ่ายนี้มาจากควีนมัม ผู้ซึ่งใช้กลยุทธนี้ชนะใจประชาชนตั้งแต่ครั้งยังเป็นดัชเชส ออฟ ยอร์ค

ที่ได้ออกให้สัมภาษณ์กับนิตยสารถึงเรื่องความอบอุ่นในครอบครัว..และในต่อมาเมื่อเป็นพระราชินี ก็มีการออกหนังสือเกี่ยวกับพระจริยาวัตรของพระองค์และเจ้าหญิงน้อยๆสองพระองค์พี่น้อง

(The family Life of Queen Elizabeth)

และผู้ที่ช่วยสนับสนุนในเรื่องการออกข่าวภ่ายภาพครอบครัวนี้คือ เจ้าชายฟิลิป ที่มักตรัสว่า

"ถ้าอยากให้สถาบันกษัตริย์มั่นคงแล้วละก้อ.สถาบันต้องเป็นครอบครัวตัวอย่างที่สมบูรณ์ด้วยความรักและความอบอุ่นในสายตาของประชาชน"

ถึงแม้ว่า..ภาระและหน้าที่คือตัวเลือกอันดับต้นของสมเด็จ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงทิ้งความเป็นแม่เสียเลยทีเดียว..ดังที่ทรงตรัสกับนายกรัฐมนตรีว่า

"เห็นทีฉันจะต้องให้เวลากับครอบครัวบ้างนะ"

โดยที่พระองค์ทรงเลื่อนเวลาราชการพบกับท่านนายกออกไป เนื่องจาก พระองค์ได้ปฏิรูปเวลาการพบกับพระโอรสและพระธิดาใหม่

คือ เวลาเย็นก่อนที่ทั้งสองจะเข้านอน กับ ให้พี่เลี้ยงนำมาพบที่ห้องพระบรรทมในยามเช้า เก้านาฬิกา ทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง..เพราะ เก้าโมงครึ่งคือเวลาที่สมเด็จเริ่มทรงงาน



เจ้าฟ้าหญิงแอนน์มักโยเยไม่ยอมกลับออกจากห้อง เพราะอยากจะเล่นกับพระมารดา แต่ พระเชษฐา

เจ้าฟ้าชายชารลส์ต้องจูงออกไป และสอนน้องว่า

"อย่ากวนพระทัยเลยน่ะ แม่กำลังยุ่ง..เห็นหรือเปล่าว่า..

She's queening"



(ไม่ได้แปลให้นะคะ เห็นว่า ประโยคนี้น่ารักดี..วิวันดา)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:46
 ยามเย็นเวลา ห้าโมง คือเวลาที่พระพี่เลี้ยงจะต้องนำทั้งสองrระองค์ขึ้นไปเฝ้าพระมารดา ก่อนที่จะพากลับไป
(มหาดเล็กได้เล่าว่า..ในเวลานี้ สมเด็จได้ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกคุณสุนัขคอร์กิ มากกว่าพระโอรสและพระธิดา เพราะพระองค์จะต้องทรงป้อนอาหารให้พวกคุณๆพวกนี้ที่แต่ละตัวมีการกินที่ไม่เหมือนกัน
พวกคุณพนักงานจะนำถาดอาหารขึ้นมาให้ ในถาดจะมีกาละมังเฉพาะของใครของมันตามชื่อ สมเด็จจะทรงคลุกเคล้าให้ใหม่ด้วยช้อนส้อมเงิน ก่อนที่จะวางกาละมังแต่ละใบลงบนแผ่นรองพลาสติค)

เด็กๆได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับพระพี่เลี้ยงและนางพยาบาล ..พระโอรสมีพระชนมายุ สี่ ชันษา พระธิดา สอง ชันษา ที่ต้องรับการดูแลใกล้ชิดทั้งเรื่องการสรงน้ำ และการเข้าบรรทมที่พระพี่เลี้ยงต้องนอนอยู่ในห้องเดียวกัน..

ในยามต่อมา..เมื่อเติบใหญ่ เจ้าฟ้าชายชารลส์เคยประทานสัมภาษณ์ในหนังสือชีวประวัติของพระองค์ว่า..
"เป็นความจำที่โหดร้ายอย่างไม่มีวันรู้ลืม.."

พระองค์ได้โทษทำนองว่า พ่อแม่รังแกฉัน แต่หนักไปทางพระบิดา ที่พระองค์ว่า..ไม่เคยส่งของขวัญวันเกิดในห้าปีแรก อย่างดีก็ได้แต่ส่งข้อความอวยพรมาเท่านั้น..

ท่านปู่น้อย ลอร์ด เมาท์แบตเทน ได้แก้ตัวแทนหลานชายว่า.
"เรื่องความว่าเหว่น่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของลูกเจ้าลูกนายที่ต้องรู้จักจักทน แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ต้องทำใจ"

ส่วนคุณหญิงนักประพันธ์ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ ได้ออกมาแก้ตัวแทนสมเด็จว่า..
"ก็เจ้าฟ้าชายได้ทรงประสูติในขณะที่พระมารดายังทรงพระเยาว์อยู่ ย่อมไม่ใคร่มีเวลาให้มากนัก"

ฝ่ายควีนมัม..ก็หันมาโทษพระธิดาทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด..ว่า..
"หนังสือพิมพ์ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า..ฟิลิปน่ะดุจนเกินไป แต่ถ้าใครรู้ความจริงนะ ก็จะรู้ว่า..ลิลิเบทต่างหากที่เข้มงวดซะจนลูกๆหงอหมด..ฟิลิปซะอีก..ที่พยายามจะทำให้ทุกอย่างให้ง่ายขึ้น"

เรื่องเฮี้ยบของสมเด็จกับลูกๆนั้น เป็นความจริง..พระองค์ได้เปลี่ยนให้ทุกคนในวังเรียกขานพระโอรสและพระธิดาใหม่ตามแบบสากล นั่นคือ มิใช่ เซอร์ และ มาดาม อย่างแต่ก่อน
แต่กลายมาเป็นชื่อแรกตามสะดวกปาก นั่นคือ ชารลส์ และ แอนน์
พวกคุณพนักงาน มหาดเล็ก ต่างไม่ต้องทำความเคารพเด็กทั้งสองอีกต่อไป..คงทำความเคารพแค่พระองค์และควีนมัม
ส่วนพระโอรสและพระธิดา ต้องทำความเคารพแก่พระองค์ และ พระอัยยิกาก่อนลาออกจากห้องทุกครั้ง..

พระองค์เคยเล่าให้พระสหายฟังว่า
"เสด็จยายบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่งั้นไม่ได้ขนมกินน่ะซิ"
"ทำไมเธอต้องโค้งคำนับให้ยายเธอด้วยล่ะ"
"นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องทำ"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เพราะ พ่อสั่งน่ะซิ"

ดังที่พระพี่เลี้ยงบอกให้เจ้าชายทรงสนับเพลาสั้นลายทาร์ทานข้างใน ยามที่ต้องทรงชุดกระโปรงสก๊อตพื้นเมืองที่ต้องทรงทุกครั้ง ในเวลาที่อยู่ในพระตำหนักบัลมอรัล
แต่เจ้าชายน้อยกับไม่ยอม ทรงตรัสว่า..
"ทีเสด็จพ่อยังไม่ใส่เลย.."
ในยามนั้น..พระบิดาคือแบบฉบับของทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้าชายพระโอรส..ไม่ว่าจะโดนเอ็ดบ้าง โดนตีบ้าง..เจ้าชายก็ยังถือว่าพระบิดาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทรงดำเนินรอยตาม
แม้กระทั่งการเดินที่เดินแบบค้อมศรีษะนิดๆ และเอามือทั้งสองไพล่ไปข้างหลัง..ก็เหมือนกันยังกับแกะ.

จนกระทั่ง..การก้าวเดินตามรอยของเจ้าชายฟิลิปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ..ความรักที่เคยมีต่อพระบิดาเริ่มห่างหายไปตามอายุที่เจริญวัยขึ้น กลายมาเป็นการกล่าวโทษอย่างซึ่งหน้า
เช่น..พระองค์ได้เคยตรัสกับพระสหายว่า
"มีพ่ออยู่สองชนิดนะ..ชนิดแรกคือ พ่อที่ช่วยให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง โดยการให้ความเชื่อถือและวางใจ ยามเมื่อลูกก้าวเดินพลาด พ่อก็จะไม่ดุด่าและไม่ซ้ำเติม ส่วนพ่ออีกประเภทหนึ่ง คือ ดยุค ออฟ เอดินเบอร์ค "

(แต่กับพระธิดา เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายฟิลิปถือว่าได้ดังใจไปในทุกเรื่อง เพราะนิสัยห้าวหาญ พูดจาตรงไปตรงมา..ท่าทางออกนักเลงนิดๆนั้น..ถอดแบบมาจากพระองค์เป๊ะ..)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มี.ค. 06, 11:50

กับพระมารดา..เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเกรงกรัว..ยิ่งกว่าหงอ..
เพราะเนื่องจากความห่างเหินมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์และมิหนำซ้ำ ยามที่พระองค์ต้องการจะแสดงความรักต่อพระมารดากลับถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย..
ครั้งหนึ่ง ในยามที่สมเด็จได้เสด็จกลับจากการประพาสต่างประเทศ เจ้าชายไม่ได้พบกับพระมารดานานหลายเดือน สู้อุตส่าห์ปีนขึ้นไปรับเสด็จถึงบนเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย เตรียมพระองค์ไปประทับที่แถวรับเสด็จ หมายพระทัยจะจุมพิตพระหัตถ์พระมารดาให้หายคิดถึง
แต่..เมื่อสมเด็จทรงหันมาเห็นพระโอรส..พระองค์กลับตรัสว่า
"ไม่เอาน่า..อย่าซนซิ"
ไม่ทรงกอด หรือ จุมพิตพระโอรสเลยแม้แต่นิด เสด็จเดินผ่านไปเหมือนอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
เมื่อพระสหายของสมเด็จได้ถามถึงเรื่องนี้ พระองค์ตรัสตอบสั้นๆว่า
"ฉันได้รับการฝึกหัดมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น..โดยเฉพาะต่อหน้าฝูงชน"
ซึ่งกิริยาแห่งการระงับอารมณ์ให้ราบเรียบนั้น แม้แต่เจ้าชายฟิลิปก็เป็นเช่นกัน..พระองค์เป็นได้ราวกับคนที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่าง พระสหายสนิท นาย ไมเคิล ปาร์คเกอร์ได้เล่าว่า
"ผมละอยากจะเห็นภาพถ่ายของเจ้าชายที่แสดงความรักกับพระราชินี อย่างน้อยๆก็วางมือลงบนพระอังสะอย่างสนิทสนม หรือกิริยาที่ว่ารักและเทิดทูนพระองค์อย่างเหลือเกินนั้น ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเลยจนบัดนี้
เคยนะ..ผมเคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าชายหลายครั้ง..แต่ทุกครั้งพระองค์ทรงหันมามองหน้าผม..แบบว่า ไอ้นี่พิลึกจริง..พูดอะไรบ้าๆ"
เจ้าฟ้าชายชารลส์จึงสนิทสนม และ สนิทสนมรักใคร่กับพระอัยยิกาและพระพี่เลี้ยงมากกว่าพระบิดาและพระมารดา


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 02 มี.ค. 06, 04:32
 อ้าว กว่าจะรู้ตัวก็เช้าซะแล้ว

ไม่ได้เข้ามานาน อ่านเพลินตั้งแต่กระทู้ที่แล้ว รวดเดียวเลย
ผู้เขียนเขียนได้น่าติดตาม มั่กๆครับ(ขอใช้ภาษาอินเตอร์เนตหน่อย) เล่าเรื่องที่มีตัวเอกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างแนบเนียน ไร้ร่องรอย
ขอบคุณครับ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:26
 รีบเข้ามาแปะต่อโดยไว
********************
เรื่องความเฮี้ยบของเจ้าชายฟิลิปกับเจ้าฟ้าชายชารลส์นั้น มันมีสาเหตุ..
เนื่องจากว่า พระองค์ทรงปริวิตกในเรื่องของความเป็นลูกผู้ชายแบบแมนๆ ของพระโอรส
เพราะว่า ในแวดวงของกลุ่มผุ้เลี้ยงดูให้พระอภิบาลก็ล้วนแต่เป็นผู้หญิง เช่นพระพี่เลี้ยง นางพยาบาล และที่สำคัญคือ กลุ่มคุณพนักงาน มหาดเล็กที่เป็นกระเทยก็มีไม่น้อย
ครั้งหนึ่ง..เกิดมีกรณีของคุณพนักงานชาย-หญิงคู่หนึ่งได้เกิดมีสัมพันธสวาทกัน อันถือเป็นความผิดที่ต้องลงโทษคือการไล่ออก
เนื่องจากมีกฎระเบียบของวินด์เซอร์ในเรื่องข้อห้ามของการจับคู่กันเองในหมู่พนักงาน***
ซึ่งเรื่องนี้เจ้าชายได้พยายามช่วยเข้าข้างผู้ผิดอย่างถึงที่สุด เพราะพระองค์ว่า..
"น่าจะให้รางวัลมันซะด้วยซ้ำ.."

เจ้าชายฟิลิปจึงพยายามหนักหนาในการที่ทรงเคี่ยวเข็ญพระโอรสแบบสุดๆ เช่น เรื่องการกีฬา ที่ต้องทรงได้ทั้งโปโลม้า คริกเก็ต ล่าสัตว์ ซึ่งผลนั้นค่อนข้างไม่ได้ดังใจ
เนื่องจากอุปนิสัยที่ค่อนข้างติ๋มๆ ขี้กลัว รวมไปถึงสุขภาพของร่างกายที่ถูกคุกคามของโรคหอบหืด แข้งเข่าออกน๊อคนีย์แบบเดียวกับพระอัยยิกา (พระเจ้ายอร์จที่หก)
ฝ่าพระบาทแบนราบจนทำให้ต้องออกแบบรองเท้าเพื่อสุขภาพเท้าให้ทรงสวม..
นี่คือสิ่งที่พระองค์จึงไม่ยอมออกอาการ"โอ๋" พระโอรสเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว..
และอย่าว่าแต่ "โอ๋" ..ถึงขนาดที่ว่า เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พี่น้อง เช่นเจ้าฟ้าชายชอบที่จะดึงพระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ หรือแกล้งเล่นเจ็บๆ
การถวายผางได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด..และ..การทำโทษทุกครั้งนั้น เจ้าฟ้าชายจะต้องได้รับแบบลูกผู้ชาย...ที่ห้ามกรรแสงอย่างเด็ดขาด..

(*** คุณพนักงานคนแรกที่ได้รับการยกเว้นในต่อมา คือ นาย พอล เบอเรลล์ มหาดเล็กต้นห้องของเจ้าหญิงไดอะน่า อดีต...คือมหาดเล็กรับใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี ที่มีคู่รัก นามว่า มาเรีย..เป็นช่างฝ่ายฉลองพระองค์ และทั้งคู่ได้รับการจัดงานแต่งงานให้จากองค์สมเด็จ อีกทั้งได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นในข้อห้ามนั้นด้วย.......วิวันดา)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:28
 ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่จะเข้าโรงเรียน เจ้าชายต้องทรงต่อสู้อย่างหนักกับพิธีการเดิมๆ ของวินด์เซอร์ ในเรื่องการศึกษาของอนาคตกษัตริย์แห่งอังกฤษ ที่มีกระแสการขัดแย้งอย่างมากมาย ในเรื่องสถานที่เรียน
พระองค์ต้องการให้พระโอรสได้ไปเรียนแบบเดียวกับเด็กอื่นๆ แต่สมเด็จฯไม่ทรงเห็นด้วย ทรงอยากให้เรียนอยู่แต่ในพระราชฐาน
การโต้แย้งนี้ ..เป็นข่าวจนได้ ข่าวได้ไปถึงหนังสือพิมพ์ที่ออกมาพาดหัวว่า.
"ทำไมเจ้าฟ้าชายชารลส์จะไปโรงเรียนเยี่ยงเด็กอื่นๆ ไม่ได้ ทำไมต้องให้ครูต้องเข้าไปสอนจนถึงในวัง.." หรือ
"ทำไมต้องปิดกั้นการเรียนรู้ของพระองค์กันตั้งแต่บัดนี้เล่า.."

ในที่สุด..สมเด็จได้ทรงอ่อนตามให้ เจ้าฟ้าชายได้มีโอกาสเข้าไปเรียนในชั้นอนุบาลที่ Hill House ที่เสด็จมาเรียนในเสื้อโค๊ตอย่างเต็มยศ มิได้ทรงชุดนักเรียนเช่นเด็กอื่นๆ

ในปีต่อมา..ก็มีการโต้แย้งกันอีกแล้ว..เพราะเจ้าชาย
ฟิลิปทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนโรงเรียนใหม่..สมเด็จฯมิได้ทรงเห็นด้วย
เพราะโรงเรียนที่พระสวามีว่านั้นคือ โรงเรียน Cheam โรงเรียนกินนอนสถาบันเก่าของพระสวามีนั่นเอง  ซึ่งมีเด็กร่วมชั้นเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา
แต่เจ้าชายได้ตอบว่า..ยิ่งดีใหญ่ ชารลส์จะได้รู้จักซะบ้าง...ว่าชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างไร ห้องหนึ่งอยู่กันเก้าคน เตียงก็เป็นเตียงไม้แข็งๆ และการสอนที่มุ่งหนักในการเชื่อฟังในวินัย..
ในที่สุด เจ้าชายน้อยก็ต้องไปเรียนที่ Cheam ตามคำสั่งของพระบิดา..
ส่วนสมเด็จได้เพียงแต่ตรัสกับอาจารย์ใหญ่ว่า.. ขอให้สอนและกระทำกับพระโอรสเยี่ยงเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แต่..อย่างไรก็ขอให้เรียกพระโอรสว่า เจ้าชายชารลส์

วันแรกที่เสด็จไปโรงเรียน เจ้าชายน้อยเตรียมกล่องอาหารจากวังไปเอง เพราะด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับการแบ่งปันอาหารกับใครๆ
ทันที่ที่พระพี่เลี้ยงหันกลับ..พระองค์ก็ทรงสะอื้นออกฮักๆ ด้วยความที่ไม่เคยต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้า

จากเด็กที่แต่งองค์ด้วยผ้าไหมอย่างดี เสื้อผูกโบว์ รองพระบาทเงาวับ มีข้าทาสบริวารใช้สอยเนืองแน่น..กลายมาเป็นเด็กนักเรียนประจำที่ถูกเพื่อนๆ เรียกว่า "ชารลส์"
หรือไม่ก็อีกสมญาหนึ่ง คือ "ไอ้อ้วน" (Fatty)
และต้องมาเจอกับไม้เรียวแขนงไผ่ชนิดของแท้และดั้งเดิมจากฝีมือบรรเลงของอาจารย์ใหญ่
พระองค์ได้ทรงเล่าประทานในทีหลังว่า..
"ความจริง ฉันก็โดนเตือนให้ระวังตัวไว้นะ ว่ายังไงก็ต้องโดนจนได้ แต่หลังจากที่โดนตีเพราะวิ่งเล่นไล่จับกันในห้องนอนแล้ว..ฉันก็ไม่เคยโดนอีก เพราะจากนั้นมาก็เลิกเล่นซุกซนไปเลย"

เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ทรงเล่าว่า..
"พี่ชายเขียนจดหมายถึงพระพี่เลี้ยงทุกวัน บอกว่า คิดถึงจนร้องไห้ "
และพระองค์ได้ทรงจดหมายมาถึงพระบิดาว่า
"กราบทูลเสด็จพ่อที่รักยิ่ง.. ชายรอวันที่พ่อจะพาไปเล่นเรือใบออกทะเล"
ในจดหมายนั้น พระองค์ได้วาดภาพเรือใบชนิดเดียวกับที่เจ้าชาย
ฟิลิปได้เคยใช้ในการแข่งเรือใบที่ Cowes
(อันเป็นที่แข่งเรือนัดสำคัญๆ ของโลก)
เรื่องการวาดภาพนั้น เจ้าชายองค์น้อย เพียงหกชันษาได้ทรงมีพระปรีชาเกินหน้าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน
เช่นครั้งหนึ่ง พระองค์ได้วาดคริสมาสต์การ์ดให้กับพระบิดาด้วยความมีพระอารมณ์ขันแบบเด็กๆ
คือเป็นภาพผู้ชายที่หมายถึงท่านดยุคกำลังยืนอยู่  ข้างๆมีขวดที่มีฉลากเขียนให้เห็นชัดๆ ว่า น้ำยาปลูกผม
เนื่องจากในตอนนั้น ท่านดยุคกำลังทรงมีปัญหาในเรื่องพระเกศาเริ่มร่วงมากขึ้นทุกที..

หลังจากที่ได้เริ่มเรียนไปได้สักพัก ทางโรงเรียนได้มีรายงานมาว่า..เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงผรุสวาทถ้อยคำที่ไม่น่าฟังออกมา..
ท่านดยุค พระบิดา ถึงกับต้องกลับไปคิดใหม่ ว่า พระโอรสไปได้ยินมาจากไหน จากคนงาน
จนในที่สุด....พระองค์ได้สารภาพมาอ่อยๆ ว่า
"คง..อาจจะได้ยินมาจากฉันกระมัง"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:32


   ห้าปีครึ่ง..ของการใช้ชีวิตอยู่ใน Cheam เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้สอบตกในวิชาคำนวนทั้งหมด ประวัติศาสตร์ก็ทุลักทุเลเต็มทีกว่าจะผ่าน***

เจ้าฟ้าชายได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะไปเรียนในโรงเรียนเก่าของพระบิดาอีกโรงเรียนหนึ่งมากกว่า

นั่นคือ กอร์ดอนสตัน ที่หนักไปในทางฝึกความแข็งแกร่ง วิ่งทน..ฝึกหนักราวกับทหาร



เรื่องนี้ ท่านดยุคได้นำไปปรึกษากับกลุ่มเพื่อนวันพฤหัส ที่มักมีชุมนุมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่ Wheeler's Tavern ในย่าน Soho ดังที่ แลร์รี่ แอดเล่อร์ พระสหายคนหนึ่งได้เล่าว่า

"ผมได้ทูลท่านว่าโรงเรียยแบบเนี้ยะ..มันก็ไม่ต่างอะไรกับโรงผลิตกระเทยหรอกนะ..แต่พอ เจมส์ (เจมส์ โรเบิร์ตสัน จัสตีช นักแสดงชาวสก็อตที่มีชื่อเสียง) ได้ยินเข้า ก็รีบชิงเถียงว่า..

"ไม่จริงม้างงง..ทีผมน่ะ เข้าเรียนที่ Eton โรงเรียนไปรเวทแท้ๆ อาทิตย์แรกก็โดนเปิดบริสุทธิ์ไปแล้ว..แต่ไม่เห็นจะเป็นกระเทยอย่างที่ว่าสักนิด.."



แต่ท่านดยุคเริ่มเห็นดีกับการที่จะส่งพระโอรสไปที่กอร์ดอนสตัน, สก็อตแลนด์ เพราะด้วยหลายสาเหตุ

ที่สำคัญสุดคือ..อยู่ห่างไกลจากนักข่าวที่เฝ้าติดตาม ต่างจากโรงเรียน

อีตันที่อยู่ในสายตาของเหล่าสื่อทุกชนิด

เจ้าฟ้าชายก็ทรงตื่นเต้นไม่แพ้กันที่จะได้ไปศึกษาต่อในโรงเรียนของพระบิดา..แต่..ได้มาบ่นราวหมีกินผึ้งในทีหลังของการตัดสินใจครั้งนั้นว่า

"มันเป็นนรกชัดๆ ฉันสอบวิชาคำนวนตกสามครั้งซ้อน เกือบตกในวิชาภาษาเยอรมัน วิทยาศาสตร์ก็ร่อแร่"

พระองค์ได้ทรงเขียนจดหมายตัดพ้อ บ่นพึมมาถึงพระพี่เลี้ยงทุกวันเช่นเคย..

"ฉันไม่ได้หลับได้นอนเลยนะ มันแกล้งขว้างรองเท้าแตะไปมาข้ามเตียงฉัน หรือไม่ก็แกล้งเอาหมอนมาตี..บางทีนะ มันวิ่งเข้ามาตีฉันแรงๆ เลยละ"



ซึ่งหลายปีต่อมา..เจ้าฟ้าชายได้โทษว่าการไปโรงเรียนนรกในครั้งนั้น เป็นความผิดพลาดของพระบิดา ซึ่งความจริงในตอนนั้น ท่านดยุคก็หาได้สบายพระทัยไม่ ที่ต้องปล่อยให้พระโอรสไปอยู่ในโรงเรียนที่

พระองค์ทรงทราบดีว่า โหดมหาโหด..

ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งพระโอรสไปโรงเรียนแล้ว..ทั้งสมเด็จและท่านดยุคได้เสด็จไปรอดูทีท่าอยู่ที่พระราชวังบัลมอรัล..

ซึ่งพระสหายคือ เดวิด กับ ไมร่า บัตเตอร์ ได้สังเกตเห็นได้ชัดว่า คนที่กระวนกระวายพระทัยเป็นห่วงพระโอรสจนประทับไม่ติดที่นั้น คือ ท่านดยุค

ไมร่าเล่าว่า..

"เจ้าชายฟิลิปเสด็จเข้ามาในห้องนั่งเล่น พระพักต์ไม่สู้ดี พระองค์ทรงเดินกลับไปมา..บางทีก็หยุดรินเหล้าดื่ม..ซึ่งผิดไปจากปรกติ เรารู้ดีว่า ทรงเป็นกังวลในเรื่องพระโอรส จนหลายปีต่อมาที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้คุยกับเราถึงความรู้สึกในการที่จะส่งพระโอรส (เจ้าชายวิลเลี่ยม) ไปโรงเรียน..เราก็ตอบไปว่า เราเข้าใจ และรู้สึกใจหายๆ อย่างเดียวกัน พระองค์รีบสวนกลับมาว่า

"ใช่ซิ..เพราะเธอรักและเป็นห่วงวิลเลี่ยมไง..แต่ทีกับฉัน..ไม่เห็นมีใครมาเป็นห่วงเป็นใย.."

ในที่สุด ฉันเลยเล่าเรื่องท่านดยุคให้ฟัง เจ้าฟ้าชายชารลส์ถึงกับตกตะลึงอย่างไม่เชื่อพระกรรณ ว่าพระบิดาทรงกลัดกลุ้มพระทัยเพียงใดในการที่พระองค์ได้จากไปอยู่ในโรงเรียนประจำนั่น"



*** เรื่องการเรียนวิชาประวัติศาสตร์นี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงสร้างความตื่นตะลึงให้กับโรงเรียนอย่างเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ กล่าวคือ ไม่เคยทรงรู้มาก่อนว่า.

ครั้งหนึ่งของบัลลังค์วินเซอร์ได้มี ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ที่ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด และได้สละราชสมบัติ จนมาเป็น ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ...  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:34
 ในปี 1956 นั่นเอง ที่การขัดแย้งหลายๆ ประการของการศึกษาของพระโอรส ที่ท่านดยุคต้องมาต่อสู้กับความเห็นนานาประการของเหล่ากรมวัง รวมทั้งกับสมเด็จฯที่แทบไม่มีเวลาได้คุยกัน
เพราะเรื่องงานราชการทั้งหลาย เหล่าเสนาบดีเท่านั้นที่ร่วมในการประชุม ท่านดยุคพระสวามี ไม่มีส่วนร่วมใดๆ
อีกทั้งความสัมพันธระหว่างท่านดยุคกับเหล่ากรมวังเสนาบดีนั้นเข้าขั้นไม้เบื่อไม้เมา..
พวกเขาได้นิยามพระสวามีไว้ว่า..
"นิสัยเยอรมันแท้ๆ ถ่อย ชั้นต่ำ ลามก สมกับเป็นพวกเลือดเนื้อเมาท์แบตเทนแท้ๆ เชียว"

สาเหตุที่พวกเขาลงความเห็นเช่นนั้น เพราะ ท่านลุง ลอร์ด เมาท์แบตเทน ครั้งหนึ่งได้ถ่ายภาพคู่กับ แครี่ แกร้นท์ (Cary Grant ดาราฮอลลีวู๊ดชื่อดัง) พร้อมกับเหล่านางระบำในลาส เวกัส นางระบำพวกนั้นมีพัดขนนกฟู่ฟ่าปิดข้างบนและข้างล่างอยู่ ในการถ่ายด้านหน้า
และภาพที่สองต่อไป คือ สองชายและนางระบำเหล่านั้น ต่างหันหลังให้กล้อง คราวนี้ไม่มีพัดขนนกปิด จึงเห็น บรรดาก้นกอยอันเปลือยเปล่าของพวกหล่อนออกมาโล่งโจ้ง..
ท่านลอร์ดเห็นภาพนี้เป็นเรื่องสุดขำขัน โปรดปรานถึงขนาดนำไปติดในเรือยอช ตรงเส้นทางที่ใครต่อใครขึ้นไปก็ต้องพบ รวมทั้งสมเด็จพระราชินี   ถึงมีคนเตือนก็ไม่ยอมปลดลง..
พวกเสนาบดี เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดที่จะต่ำช้า..ถือโอกาสด่าไปถึงเชื้อชาติเข้านั่น..

เจ้าชายพระสวามีทรงเกิดความเหนื่อยหน่ายพระทัยอย่างถึงที่สุด พระองค์เริ่มใช้เวลาอยู่กับพระสหายมากขึ้น โดยเฉพาะ กับ
นาย ริชาร์ด ทอดด์, นาย แจ๊ค เฮดลีย์ สองดารานักแสดงที่มีอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงลอนดอน ที่ถือเป็นที่พาดาราสาวๆ มาร่วมเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ
เจ้าชายฟิลิปได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมสนุกสนานนี้ด้วยบ่อยๆ ถึงกับทรงตั้งชื่อกลุ่มไว้ว่า..
"The Three Cocketeers" เลียนแบบเลียนชื่อของสามอัศวิน The Three Musketeers
(แต่..ช่างคิดนะคะ ชื่อ The Three Cocketeers นี้ จะแปลว่า สามหนุ่มคึกคะนอง สามพ่อไก่แจ้ หรือจะแปลว่า สามจู๋อัศวิน ก็ยังได้ แล้วแต่อารมณ์ไหนจะพาไป...วิวันดา)

นาย แจ๊ค เฮดลี่ย์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ในปี 1993 ว่า..
"เรื่องในอพาร์ทเม้นต์น่ะเหรอ พูดม่ะต้ายยย...เป็นเรื่องลับเฉพาะ แหม...เรื่องตั้งสี่สิบกว่าปีมาแล้วมาถามทำไมกัน"

นอกจากนั้น เจ้าชายฟิลิปยังทรงใช้ที่พักขององค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่ถนน South Street ซึ่งที่นี่คือที่สำราญโดยแท้ มีการจัดปาร์ตี้ระดับไฮโซบ่อยๆ อริสโตเติ้ล โอนาซิส และนางบำเรอนักร้องโอเปร่าชื่อก้องโลกมาเรีย คัลลัส ก็เคยบินมาร่วมในงาน
หรือ เจ้าชาย เบอร์นารด์ (Prince Bernhard) พระสวามีของ
พระนางจูเลียน่า แห่ง เนเธอแลนด์ ก็เคยเสด็จมาร่วมสังสรร
นาย แลร์รี่ แอดเล่อร์ ได้เล่าให้ฟังถึงครั้งนั้นว่า..
"ตอนที่เจ้าชายเบอร์นารด์เสด็จมาร่วมนั้น ทำให้พวกเราได้รู้สึกถึงความไม่สบายพระทัยในการเป็นพระสวามีอย่างมาก เพราะ ท่านดยุคได้สัพยอกทีเล่นทีจริงกับเจ้าชายเบอร์นารด์ว่า
"แหม ฉันละอิจฉาเธอจริง ไปไหนก็ได้ไม่มีใครรู้จัก จะมีแฟนกี่คนก็ได้อีกต่างหาก ไม่มีตำรวจหรือนักข่าวคอยมาสาระแน"
ตอนที่เจ้าชายจะต้องเสด็จกลับ ก่อนที่สนามบินจะปิด ท่านดยุครีบลุกขึ้นทำท่าถวายความเคารพแบบล้อๆ และตรัสว่า...
"ฝากไปถวายบังคมพระราชินี (จูเลียน่า) ด้วยนะ .."
จากนั้นในฐานะเจ้าชายพระสวามีด้วยกันทั้งคู่ ก็มีการกล่าวแลกผรุสวาทกันสองสามคำก่อนการอำลา...ตามประสาเกลอเก่า


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:49
 ในช่วงนั้น เจ้าชายพระสวามีทรงหันรีหันขวางไม่ถูก   ไม่รู้ว่าจะต้องทำองค์อย่างไร   สมเด็จพระราชินีก็ทรงงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้
พระโอรสก็อยู่ในโรงเรียนประจำ  พระธิดาก็ยังเด็กเกินไป
พระองค์จึงตัดสินพระทัยรับการเชื้อเชิญเสด็จเยี่ยมออสเตรเลีย ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่เมลเบิร์น ซึ่งการเสด็จครั้งนี้จะเป็นเวลาระยะยาว เพราะจะมีการประพาสเรื่อยเปื่อยไปยัง The Gambia, the Seychelles, Malaya, New Guinea, New Zealand, Antarctica, the Falklands, Galapagos Islands, และฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาด้วย
การเสด็จครั้งนี้จะกินเวลาถึงสี่เดือน และจะเสด็จโดยลำพังกับพระสหายสนิทและเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ด้วย   เขาคือ ไมเคิล ปาร์คเกอร์
ทั้งคู่เคยเป็นทหารร่วมเรือลำเดียวกัน เป็นเพื่อนในทีมคริกเก็ตเดียวกัน และที่สำคัญคือต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน

ไมเคิลเพิ่งจะหย่าขาดจากภรรยา ส่วนท่านดยุค ไม่ได้หย่า แต่อยากแยกตัวออกมาใช้เวลาตามลำพัง
เลยพอเหมาะพอเจาะ ทั้งสองต่างวาดแผนการเดินทางครั้งนี้ ที่จะเป็นแบบการผจญภัยของสองชายหนุ่มที่ไปไหนไปกัน..หัวหกก้นขวิด
สมเด็จพระราชินี เมื่อทรงทราบเรื่อง พระองค์ได้ตรัสว่า
"ฟิลิปน่ะ เกิดมาในดวงชีพจรลงเท้าอย่างแท้จริง อยู่ไหนไม่ติดที่หรอก ห้ามไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ตามใจเขา"

ท่านดยุคจึงได้จัดการเตรียมการล่องเรือในครั้งนี้ โดยที่ทรงเรียกว่า ล่องเรือสัมพันธฉันท์ทูต... (Diplomatic Mission) โดยการที่พระองค์จะทรงบินไปเคนย่า ในวันที่ 15 ตุลาคม 1956
เพื่อไปขึ้นเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่จะไปจอดรอรับพร้อมทั้งกับ
ไมเคิล และพระสหาย นาย บารอน (เป็นช่างภาพประจำพระองค์) ตามกำหนดการเดิม
แต่ก่อนที่จะเดินทางเพียงไม่กี่อาทิตย์ นายบารอน วัย สี่สิบเก้า ต้องการที่จะเข้ารับการรักษาโรคไขข้ออักเสบให้เรียบร้อย จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด..
หลังจากผ่าเสร็จได้สองวัน..เขาได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว..
คู่หมั้นดาราของเขา แซลลี่ แอนน์ ฮาวส์ ผู้ซึ่งห้ามแล้วห้ามอีกในเรื่องของการที่จะเข้าผ่าตัดของเขาในครั้งนั้น ถึงกับโกรธเจ้าชายฟิลิปอย่างไม่มีวันให้อภัย..
แลร์รี่ แอดเล่อร์ได้เล่าว่า..
"บารอนเป็นคนดี ฉลาดเฉลียว ร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ เป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มวันพฤหัสของเรา เขาเป็นคนจัดงานฉลองทิ้งความเป็นโสดให้กับเจ้าชายฟิลิป และเป็นช่างภาพประจำสำนักพระราชวัง   รับผิดชอบในงานพระราชพิธีสำคัญๆ อย่างวันอภิเษก และ วันราชาภิเษก และนี่ถ้าไม่ติดตรงทมี่ว่าเขามีเชื้อสายยิวอยู่ในตัวละก้อ เขาอาจจีบเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไปแล้ว..
ความดีของบารอนเนี่ยนะ สามารถขอรับการสถาปนาให้เป็นชั้นอัศวินได้เลย แต่ที่ไม่ได้..ก็เพราะว่า สมเด็จฯไม่ทรงโปรด... เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันชอบหาสาวๆ ให้กับเจ้าชายพระสวามีน่ะซิ"

ซึ่งข้อความนี้ก็ไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก หนุ่มรูปหล่อ พระชนมายุแค่ สามสิบห้าอย่างท่านดยุค ไม่จำเป็นต้องมีใครมาหาหญิงให้ ทรงหาเองได้
หากแต่..หาได้แล้วไม่รู้จะไปที่ไหนละก้อ ว่าไม่ถูก..
ฉะนั้น เรื่องการเดินเรือไปในทะเลอย่างโดดเดี่ยวในการเสด็จประพาสครั้งนี้คือ คำตอบ..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:51
 การเสด็จเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ในครั้งนั้นมีความลับดำมืดมากมายที่นักข่าวพยายามสาวไปให้ได้ ถึงเรื่องของโรงแรมชายท่าที่ซิดนีย์ ที่มีเจ้าของคือ เลดี้ แมรี่ เอลเลน บาร์ตัน...
ข่าวที่ว่านี่คือที่พำนักของท่านดยุคและสาวๆ นางบำเรอที่มีเข้ามาเปลี่ยนโฉมบ่อยๆ ในนามของเหล่าเลขานุการิณีบ้าง พนักงานพิมพ์ดีดบ้าง..
ทางสิงคโปร์...มีข่าวว่า มีพนักงานหญิงสั่งตรงเข้าห้องไปเลย...แต่ละคนไม่มีทีท่าว่าจะพิมพ์ดีดเป็น..

ข่าวก็คือข่าว..โดยเฉพาะข่าวที่จะทำความเสื่อมเสียพระเกียรติของสมเด็จก็ได้แต่วนอยู่ในชายเขตของออสเตรเลีย สิงคโปร์ แค่นั้น หาได้ล่วงไปสู่เกาะอังกฤษไม่

เมื่อจากอังกฤษมาไกลข้ามทวีป ท่านดยุคเริ่มมีพระอารมณ์รื่นขึ้น
ถึงกับทรงคุยเรื่องของสถานภาพของพระองค์แบบขำๆ ได้ อย่างที่ออสเตรเลีย ที่ได้มีการพบปะกับนายและ ด๊อกเตอร์ รอบินสัน
ท่านดยุคถึงกับเลิกพระขนงด้วยความแปลกพระทัย..ว่าทำไมไม่เป็น มิสเตอร์และมิสซิส
ฝ่ายชายได้ทูลตอบว่า...เพราะภรรยาคือ ด๊อคเตอร์ทางอาชญวิทยา ที่มีความสำคัญในหน้าที่การงานมากกว่า
ท่านดยุค..ถึงกับร้องอ๋อ..พร้อมกับตอบว่า
"งั้นเรา..ก้อ..หัวอกเดียวกัน"

ในการเดินทางล่องเรือครั้งนี้ ท่านดยุคและไมเคิล ต่างก็แข่งขันกันว่า หนวดเคราใครจะยาวกว่ากัน ชีวิตเดินเรือของคนทั้งสองที่วันๆ หมดไปกับการยิงจรเข้บ้าง นอนผึ่งพุงอยู่ที่ดาดฟ้าเรือบ้าง  กางผ้าใบวาดรูปพร้อมจิบยินโทนิคบ้าง
พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้การเรือแท้ๆ ที่เต็มไปด้วยวินัย..
ทหารลูกเรือทุกคนต้องทำงานอย่างมีระเบียบ ขนาดการจัดโต๊ะเสวยต้องใช้แถบเทปวัดระยะการวางจาน ช้อนส่อมให้เท่ากันเด๊ะ..
อีกทั้งต้องสวมรองเท้าแตะผ้านุ่มในยามเดินจะได้ไม่มีการส่งเสียงดัง..

ข่าวมาถึงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ลงโจมตีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองของท่านดยุคครั้งนี้อย่างไม่มีความเกรงพระทัยสมเด็จฯ ว่า
"ผลาญไปกว่าสองล้านปอนด์ กับการเดินทางที่มิได้ก่อประโยชน์ใดๆ ไหนจะต้องนำรถโรลลส์-รอยซ์ไปรับยามที่ขึ้นท่าอีก ใครจ่ายกันล่ะ?"
แต่ยังไง ยังไง หนังสือพิมพ์ก็จิกไปได้แค่เรื่องงบประมาณเท่านั้น ไม่มีฉบับไหนกล้าแอะถึงเรื่องข่าวลือของบรรดาเหล่าสาวๆ ที่วนเวียนขึ้นลงเรือเป็นว่าเล่นนั่น...
และท่านดยุคเองก็ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างที่สุด ไมเคิลได้เล่าว่า
"ท่านได้ตรัสกับผมในวันแรกของการเข้าทำงานว่า..งานของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ หรือในอนาคตข้างหน้า มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือการป้องกันพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินียิ่งกว่าชีวิต"

แต่กระนั้น..ในการเดินทางระยะยาวครั้งนี้ของท่านดยุค ก็ทำให้พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมในงานครบรอบแปดชันษาของเจ้าฟ้าชายพระโอรส..งานครอบรอบอภิเษกครบเก้าปีของพระองค์เอง
และงานวันคริสต์มาสรอบปีที่สิบของครอบครัว..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:53
 การเดินทางครั้งนี้ได้สัมฤทธิผลในด้านการเจริญสัมพันธไมตรี ผู้คนในประเทศราชต่างๆ รู้จักเจ้าชายฟิลิปมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน..พระองค์มิได้รู้สึกถึงข่าวคราวของสงครามที่กำลังคุกรุ่นขึ้นจางๆ ตอนนั้นได้เสด็จไปถึงซีลอน (ตอนนี้คือ ศรีลังกา) จึงได้ทราบว่า
ตอนที่เรือบริแทนเนียจะออกจากท่าเรืออังกฤษนั้น ได้มีการยื้อยักไว้ถึงเก้าวัน..เนื่องจาก เผื่อสถานะการณ์ฉุกเฉิน
เพราะเมื่อเดือน กรกฏาคม เรื่องการขู่ปิดคลองสุเอซของอียิปต์กำลังฮึ่มๆ อยู่
เนื่องจากสหรัฐได้ล้มเลิกสัญญาที่จะให้กู้เงินสร้างเขื่อนอัสวาน (Aswan Dam)
นายกทักษ..เอ๊ย..ประธานาธิบดีอียิปต์ นาย คามาล อับเดล นัสเซอร์ ได้ออกอาการกร้าวว่า..
"งั้นก็ปิดมันซะเลย..ไมสนหรอกกะอีเงินดอลล่าร์เนี่ย..คลองสุเอซได้สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่าร้อยล้าน สร้างเองก็ได้ (วะ) แล้วคอยดูไปนะ ว่า ชาวอียิปต์จะบริหารอย่างไร.."

การขู่ปิดคลองสุเอซนั้น เท่ากับว่า การเดินเรือของชาวตะวันตกต้องพบกับความหายนะลูกเดียว..เรือเดินสมุทรขนน้ำมันต้องผ่านทางลัดทางนี้วันละสองล้านกว่าบาร์เรล..
โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสที่จะเสียหายมากที่สุด...ทั้งสองประเทศจึงเข้าร่วมภาคีกับอิสราเอลในการที่จะเปิดศึกกับอียิปต์..

ในวันที่ 2 ตุลาคม 1956 รถถังพร้อมอาวุธของอิสราเอลได้เคลื่อนทัพข้ามซิไน บุกเข้าโจมตีอียิปต์อย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม..
สงครามได้เปิดฉากขึ้น พร้อมทั้งการสั่งให้อียิปต์ถอยกำลังออกจากปากคลอง..
อียิปต์..บอกว่า ตายเป็นตาย..ถึงไหนถึงกัน..

วันที่ 31 ตุลาคม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างระดมส่งระเบิดไปกำนัลก่อน
ห้าวันต่อมา พลร่มห้าหมื่นกว่านาย..โรยตัวลงสู่ ปากทางของ
คลองสุเอซ ที่ Port Said
เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกสงครามด้วย กล่าวคือ สามารถใช้เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำได้อย่างทันที
อุปกรณ์พร้อม..ถูกเรียกมาทางวิทยุให้ติดต่อกลับไปที่พระราชวัง..
ทำให้ท่านดยุคได้ทราบข่าวว่า..ตอนนี้ทั่วโลกกำลังต่อต้านอังกฤษ ฝรั่งเศสในการหักพร้าด้วยเข่าครั้งนี้..
แม้แต่..ยูเอ็น ก็ไม่เห็นด้วยต่อสงครามย่อยๆ ครั้งนี้ ถึงกับสั่งให้มีการหยุดยิงโดยด่วน..

อเมริกาซึ่งเคยเป็นมหามิตรของอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร..ถึงกับเดือดดาลต่อการกระทำที่ลุแก่อำนาจครั้งนี้ และประกาศว่า ขอประนาม...ต่อด้วยว่า ถ้ายังไม่หยุด เราก็จะขาดไมตรีจากกัน
นี่คือไม้ตาย..ที่ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล..หันมาเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้..หยุดการรุกรานทันที..เพราะขืนไม่หยุด รัสเซียที่กำลังฮึ่มๆ จะเล่นงานอยู่..เป็นได้ฤกษ์ลงมือแน่ๆ ..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 10:56
 เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างขาดการไตร่ตรองครั้งนี้ เป็นเพราะความอ่อนหัดของนายกรัฐมนตรีทักษิ..เอ๊ย..ไม่ช่าย..นายกฯ แอนโทนี่ อีเดนของอังกฤษ ที่อดีตคือรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของท่านเชอร์ชิลลก็ทำงานดีอยู่

แต่เมื่อมาเป็นนายกเข้า..ทำงานที่มีจนล้นมือ มีเวลานอนเพียงแค่วันละสองสามชั่วโมง นอกนั้นต้องใช้ยากระตุ้นเอมเฟตามีน..จนทำให้สมองเบลอคิดอ่านอะไรผิดๆ พลาดๆ
ในยามที่ตัดสินใจจะทำสงคราม นายอีเดนได้ส่งข้อราชการเรียกหน่วยทหารกองหนุนเข้าประจำการไปถวายให้สมเด็จฯทรงลงพระปรมาภิไธย
ซึ่ง ก็ทรงเซ็นไปขณะที่กำลังทอดพระเนตรการแข่งม้า..

พระองค์เองก็ยังใหม่ต่อการเป็นพระราชินี อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ จึงขาดประสบการณ์ในเรื่องการต่อรอง..จึงไม่สามารถอ่านได้ว่า
สองสามอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่กองทัพอังกฤษต้องถอยออกจาก
คลองสุเอซนั้น..ได้สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านั้นหันเข้าหาไมตรีที่รัสเซียได้กำลังหยิบยื่นให้..
แถมยังสร้างความไม่พอใจให้กับมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่งยวด
(ขนาดอเมริกายังไม่กล้าแอะสักคำกับการปิดคลอง แต่..อังกฤษดันเปิดฉากทำสงคราม..)
นับว่า มีแต่เสียกับเสีย..

นายอีเดน รู้ตัวดีว่าได้สร้างความเสียหายไว้กับประเทศมากมาย..ถึงกับล้มป่วยต้องบินไปรักษาตัวที่จาไมก้า..ในเดือนธันวาคม
เขากลับมาสู่อังกฤษในสามอาทิตย์ต่อมา พบว่าประเทศกำลังโกลาหลเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน..
เขาไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากต้องลาออกจากตำแหน่งไป
ผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาแทน..นั่นคือ นาย ฮาโรล แมคมิลแลน (Harold Macmillan)

มาถึงตอนนี้..หนังสือพิมพ์ต่างโจมตีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายนะครั้งนี้อย่างไม่เลี้ยง..ขนาดเจ้าชายฟิลิปที่ทรงอยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ยังโดนหางเลขไปว่า..
"มัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ในขณะที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ"

แต่สมเด็จจกลับทรงเห็นว่า..
"โชคดีเท่าไหร่แล้ว...ที่ฟิลิปไม่อยู่...ไม่งั้นละก้อ ตัวใครตัวมัน.."

หลังจากการจากไปถึงสี่เดือนของพระสวามี
เรือบริแทนเนียจะเข้าเทียบท่าที่ท่าลิสบอน เพื่อรอรับเสด็จสมเด็จฯพระราชินีที่จะเสด็จไปด้วยในการเยี่ยมเยือนประเทศโปรตุเกส
แต่ก่อนที่จะไปท่าลิสบอน..ท่านดยุคต้องส่งไมเคิลขึ้นที่ยิบรอลต้าพร้อมกับเซย์ กู๊ดบายก่อน..เพื่อไมเคิลจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสมเด็จฯ  เนื่องจาก เขาเป็นคนที่มีการหย่าร้างที่ค่อนข่างอื้อฉาว
ไอลีน ภรรยาของเขานั้นได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่า ไมเคิลนอกใจ มีหญิงอื่น..(ซึ่งทำให้เขาต้องขอลาออกจากการเป็นราชองครักษ์ในที่สุด )
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอพระทับกับท่านดยุคเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พระองค์ต้องเสียพระสหายที่วางพระทัยได้ไป อีกทั้งช่างเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างที่สุด เพราะทีกับนายอีเดนอดีตนายกนั่น..หย่ามาแล้วถึงสองครั้ง..ทำไมจึงมีข้อยกเว้น..พบกับสมเด็จได้ทุกวัน..

แต่นี่คือคำสั่งจากกรมวัง..ที่แถลงรายงานมาว่า ต้องไม่มีไมเคิลต่อหน้าพระพักต์
แต่กระนั้น ท่านดยุคยังสู่อุตส่าห์เสด็จไปส่งพระสหายรักจนถึงเครื่องบินที่สนามบินยิบรอลต้า และตรัสว่า
"ยังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ"
ที่ลิสบอน..เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินีต้องบินวนกว่าครึ่งชั่วโมง ยังจอดลงไม่ได้ เพราะพระสวามียังไม่เสด็จมา..
แต่คณะข้าราชบริพารทั้งหมดกว่ายี่สิบห้าคน ที่มีท่านปลัดกระทรวงต่างประเทศ เชลวิน ลอยด์ และฝ่ายพวกผู้ชายได้ติดหนวดเคราปลอมๆ กันอย่างสนุกสนาน ตามพระบัญชาของสมเด็จฯ ที่ตั้งพระทัยจะให้เป็นการล้อเลียนพระสวามี
จากภาพถ่ายที่ส่งมาให้ทอดพระเนตรครั้งล่าสุด ที่ทรงไว้หนวดเครายุ่มย่าม...
นางพระกำนัลต่างเห็นขัน..หัวเราะกันคิกคัก..

ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างที่ว่า...อีกด้านหนึ่งของยุโรปคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส ต่างประโคมข่าวกันอึงคนึงว่า..ชีวิตการอภิเษกเห็นท่าจะล่มกันคราวนี้..
ในเนื้อข่าวได้ลงถึงขนาดว่า เจ้าชายพระสวามีทรงสั่งซื้อที่บรรทมใหม่ เป็นแบบเตียงเดี่ยว..
และข่าวอื่นๆ ที่ไม่เป็นสิริมงคลก็ตามมาโดยหนังสือพิมพ์ของอเมริกาที่คิดจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ
ข่าวนี้เล่นเอาพวกเสนาบดีในวังวิ่งกันปั่นป่วน..เพราะสมเด็จทรงกริ้วที่ทรงทราบว่า ชีวิตส่วนพระองค์นั้นได้กลายเป็นอาหารอันโอชะข้ามทวีป..
พวกนักข่าวอังกฤษได้มองอย่างสะใจ เพราะ หมั่นไส้มานาน..พวกเขาว่า
"ดี..จะได้รู้สึกเสียบ้างว่า ต้องหยิบหัวมันร้อนๆ เนี่ย..มีความรู้สึกอย่างไร"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 11:01
 วันต่อมา..สมเด็จจึงต้องทรงออกโรงเอง..โดยการออกข่าวว่า ทรงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก และเป็นไปไม่ได้ ..

แต่การเสด็จลิสบอนเพื่อที่จะพบกับพระสวามีนั้น เล่นเอานักข่าวแห่แหนไปรุมล้อมอย่างมากมายในประวัติการณ์ ท่านดยุคที่น่าสงสารได้ถูกขยันนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของพระนางวิคตอเรีย  ที่ว่า เจ้าชายอัลเบิร์ต (เยอรมันเหมือนกัน) ยังได้รับเกียรติให้ว่าราชการร่วมกับพระราชินี..ทั้งยังได้รับสิทธิในการอ่านข้อราชการในทุกเรื่อง..
ช่างแตกต่างกันนักกับเจ้าชายพระสวามีองค์นี้ ที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย
แรกๆ ท่านดยุคพยายามทำให้เป็นเรื่องขำขัน โดยการแสร้งตรัสว่า..ก็..ฉันมันไม่มีตัวตนน่ะซิ..

ในยามที่ท่านดยุคได้มารับเสด็จที่สนามบินลิสบอน และต้องมาเจอกับนักข่าวมากหน้าหลายตานั้น พระองค์เกิดอาการกริ้วขึ้นมาทันที ทรงตรัสว่า
"ไอ้พวกปั้นน้ำเป็นตัว..ชอบสร้างข่าวความเสียหายเพียงแค่อยากหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น..เกลียดน้ำหน้านัก"
ว่าแล้ว..พระองค์ก็ทรงรีบสาวพระบาทข้ามขั้นบันไดขึ้นไปรับเสด็จบนเครื่องบินพระที่นั่ง..ทีละหลายๆ ขั้น เนื่องจากการมาที่ล่าช้า..
ฉลองพระองค์ในวันนั้นคือ ทรงสูทผูกไท พระพักต์เกรียมแดด แต่คางขาวสะอาดเพราะเพิ่งโกนหนวดเคราทิ้งไป..

ชั่วโมงหนึ่งต่อมา..สมเด็จจึงเสด็จลงมาจากเครื่องบิน โดยมีพระสวามีเสด็จดำเนินตามหลังสองสามก้าว ด้วยพระพักต์ที่มีรอยเปื้อนลิปสติค

ทั้งสองพระองค์ได้ใช้เวลาประทับอยู่ด้วยกันในเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย มีการเสด็จลงเรือเล็กเลียบคลองซาโด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของสมเด็จที่ไม่เคยมาก่อน เพราะนอกจากเรือเดินสมุทรพระที่นั่งแล้วไม่เคยเสด็จลงเรือลำใด ทรงเกรงการเมาเรือ..
แต่ในคราวนี้ ทรงโอนอ่อนเพราะอยากตามพระทัยพระสวามี

หลังจากสี่วันที่ประทับและเสด็จเยือนปอร์ตุเกสด้วยกันนั้น..เมื่อกลับถึงอังกฤษ สมเด็จได้ทรงมีประกาศและพระดำรัส ต่อประชาชนว่า..
พระองค์ได้ทรงทำการยกสถานะฐานันดร และมอบตำแหน่งเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักร และ ไอร์แลนด์เหนือ ให้กับ ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค**** และมีสิทธิทุกอย่างในการช่วยว่าราชการบริหารบ้านเมือง(ยกเว้นการประชุมกับรัฐบาล และกล่องแดง) สามารถเป็นผู้แทนพระองค์ในงานพระราชพิธีต่างๆ ได้รวมทั้งได้รับการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ มิใช่ฉบับย่ออย่างแต่ก่อน..

(**** ตำแหน่งเจ้าชายที่เรียกมาในตอนก่อนๆ นั้น ความจริงแล้ว..พระองค์ยังไม่ได้เป็นเจ้าชาย ถึงแม้จะเป็นเจ้าชายกรีกก็ตาม แต่ได้สละคืนฐานันดรไปตั้งแต่ก่อนทรงหมั้น เพื่อที่จะเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นอังกฤษ
ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นแค่ เรือตรี ฟิลิป เมาท์แบตเตน มาเป็น ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค ตามตำแหน่งของพระสวามี แต่ยังไม่ใช่เจ้าชาย..มาได้เป็นจริงๆ ก็ตอนที่สมเด็จพระราชินีทรงประทานให้ในคราวนี้ คือ ปี 1957 นี่)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มี.ค. 06, 11:04
 เจ้าชายฟิลิปได้ทรงออกแถลงรายงานแก้เกี้ยวว่า ตลอดเวลาสี่เดือนที่ทรงรอนแรมออกทะเลจากครอบครัวไปยังประเทศต่างๆ นั้น เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศราชต่างๆ จนได้รับผลสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชม
เพราะ พระองค์ได้มีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญๆ กว่าหนึ่งพันสี่ร้อยคนจากอาณาประเทศ
และโซ่สัมพันธอันแน่นหนานั้น จะทำให้แสนยานุภาพของอังกฤษกว้างไกลไปอีกนานเท่านาน

แต่..อย่าลืมว่า ถึงแม้แสนยานุภาพที่ว่านี่จะกว้างไกลแค่ไหน..รอยด่างในสัมพันธภาพกับประเทศในตะวันออกกลางยังไม่มีวันลบเลือน
รัฐบาลจึงต้องรีบหาทางประสานโดยด่วน โดยการต้องขอร้องให้พระองค์เสด็จเยือนโปรตุเกส ฝรั่งเศส เดนมาร์ค แคนาดา ในปีนั้น..
และท่านนายกฯ ได้ขอให้เสด็จเยือนมหามิตรอเมริกาต่อโดยด่วนเพื่อเป็นการสมานฉันท์ในรอยร้าว..
นายฮาโรลด์ได้กล่าวว่า
"การเสด็จของพระองค์นั้นจะได้ผลกว่าการส่งทูตไปนับร้อยพะยะค่ะ"

สมเด็จฯทรงเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางจนไม่อยากเสด็จไปไหนอีก แต่ต้องมาเปลี่ยนพระทัยเพราะการ์ตูนภาพล้อในหนังสือพิมพ์ของอเมริกา ที่มีภาพประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวร์ กำลังนั่งกุมศรีษะอยู่ในทำเนียบ
และมีตัวอักษรว่า.."Great Britain Is No Longer Great"

เพียงทอดพระเนตรการ์ตูนนั้น พระองค์ได้ตัดสินพระทัยเสด็จเยือนอเมริกาพร้อมพระสวามีในหมายกำหนดการห้าวัน ทันที..

สมเด็จและพระสวามีได้เสด็จถึงอเมริกาในวันโคลัมบัส พร้อมกับขบวนนักข่าวที่ติดตามทำข่าวกว่าสองพันคน พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการอนุญาตในการที่จะมีการสนทนาหรือสัมภาษณ์ทั้งสองพระองค์
และทางราชสำนักได้ออกจดหมายเวียนไปให้ทราบทั่วกันถึงการแต่งกาย ว่า ฝ่ายหญิงต้องไม่มีการสวมชุดดำ ต้องสวมถุงมือ และควรรู้จักวิธีการถอนสายบัวฝ่ายชาย ต้องผูกไท รู้จักการคารวะโดยการคำนับ..
ข่าวที่จะลงได้..ต้องมาจากสำนักพระราชวังเท่านั้น

เจ้าชายฟิลิปได้ถามกับนักข่าวว่า
"เวลาที่ท่านประธานาธิบดีมีการประชุมนักข่าวนั้น ไปกันทีละกี่คน"
คำตอบคือ "สามร้อยคงจะได้พะยะค่ะ"
เจ้าชายถึงกับทรงพระสรวล..ตรัสว่า
"ถ้าเราทำบ้างนะ อย่างมากคงไปกันแค่สองคน"
(เพราะข่าวจากภายในวังนั้น ถูกควบคุมเสียจนเกินเหตุ จนนักข่าวอังกฤษต่างเอือมระอา ที่มีเขียนไปวันๆ ล้วนมาจากข่าวจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และอเมริกา)

นายวาร์เรน โรเจอรส์ นายกสมาคมนักข่าวอเมริกันได้รับหนังสือจากสถานทูตอังกฤษที่มีข้อห้ามมากมาย เกี่ยวกับการทำข่าวขององค์ประมุข จนเขาออกเห็นเป็นเรื่องขำ..
ที่มิใช่ทางสำนักพระราชวังจะห้ามแต่กับพวกเขาเท่านั้น  ยังมีหนังสือไปห้ามเจ้าชายฟิลิปด้วยว่า
ห้ามถามท่านประธานาธิบดีในเรื่องการส่งยานอวกาศ เพราะตอนนั้น  อเมริกากำลังเสียหน้าให้รัสเซียที่ส่งยานสปุทนิคอันเป็นสถานีอวกาศก่อนหน้าชาติไหนๆ ...

จนเขารู้สึกสงสารในความเป็นพระสวามีของเจ้าชายเป็นกำลัง..และรู้สึก"ทึ่ง" ในความสามารถของการเป็นพระราชินีของสมเด็จที่ได้ทรงพระราชดำเนินลงมาจากสภากรุงวอชิงตันที่มีบันไดหินแกรนิตนับร้อยๆ ขั้น โดยมิได้ทรงทอดพระเนตรลงดูขั้นบันไดเลย
ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงมาอย่างสง่าราวกับนางพญาหงส์
อีกทั้งมีการโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนอีกด้วย
จนเขาถึงกับเขียนไว้ว่า..
"พระองค์คงเรียนการเดินลงบันไดมาจากโรงเรียนที่สอนคนให้เป็นพระราชินีกระมัง.."

นายโรเจอรส์ได้เขียนไว้ต่อไป ตามประสาคนที่มีวิญญาณแห่งนักข่าว..ว่า..
"สมเด็จพระราชินีได้ทรงตัดชุดชั้นในจากช่างเดียวกันกับดาราภาพยนตร์ จิน่า ลอลโลบริจิด้า ทั้งสองเหมือนกันตรงที่ว่า ขนาดไล่เลี่ยกัน ต่างกันตรงที่ว่า ของจิน่า ช่างต้องทำให้ออกมาดูใหญ่ที่สุด
แต่ของสมเด็จฯ ช่างต้องตัดออกมาให้ดูเล็กที่สุด นี่คือความแตกต่างของดารากับเจ้า.."
เรื่องข่าวนี้ เขาได้ถูกเล่นงานและการตำหนิจากจากสำนักระราชวังอย่างมากมาย.. ที่เขาไม่เข้าใจว่า..มันผิดตรงไหนในการนำเสนอ..
(เพราะ ชาวอเมริกันไม่รู้ว่า..ว่า เรื่องนมๆ ต้มๆ ของเจ้านายนั้น..เขียนไม่ได้ ขนาดตอนที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ประสูติใหม่ๆ พระองค์ทรงให้พระกษิรธาราเอง หนังสือพิมพ์อังกฤษยังออกเป็นข่าวไม่ได้เลย...วิวันดา )

ภาพ ดาราภาพยนตร์  จินา  ลอลโลบริจิดา  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:24
 ในปี 1959 สมเด็จได้ทรงครรภ์อีกครั้ง และประสูติกาลมีกำหนดแทบจะตรงกันกับวันประกาศหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับ
นายแอนโธนี่ อาร์มสตรอง โจนส์
และในการประสูติกาลของพระหน่อองค์ที่สามที่ห่างจากเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ถึงสิบปีนั้น สมเด็จได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงพระนาม (สกุล) ของพระองค์ จากวินด์เซอร์ มาเป็น เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศให้กับพระสวามี เจ้าชายฟิลิป

ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องนี้เข้าสู่สภาทันที..
ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง คัดค้านกันเต็มกำลัง..
จนท่านนายกแมคมิแลนและพระสังฆราชต้องช่วยแย้งว่า

"ก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ในประเทศ..เวลาแต่งงานก็ต้องใช้นามสกุลของสามี แล้วองค์สมเด็จทรงอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง ผิดอะไรตรงไหน?"
ผู้นำฝ่ายจารีตนิยมก็เถียงฉอดๆ ว่า
"ผิดซิ..ผิดตรงไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์คที่คอยยุยงอยู่เบื้องหลังนี่แหละ ใครๆ ก็รู้ว่า ที่จริงแล้วทุกอย่างนี่คือความคิดของใคร?"
(ไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์ค ที่เขาว่า..คือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ท่านลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานจนเกินเหตุ)

ท่านนายกจึงรีบนำการโต้แย้งในสภาไปกราบบังคมทูลให้สมเด็จทรงทราบทันที พระองค์ได้ตอบว่า..
ความจริงพระสวามีเองก็ยังไม่ทราบข่าวนี้ด้วยซ้ำ พระองค์ทรงเป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเอง
เรื่องนี้จึงถูกนำกลับไปประชุมหารือกันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง โดยปรกติเอกสารทั้งหลายแหล่จะถูกปิดบันทึกโดยไม่มีการเปิดเผยออกสู่สาธารณะเป็นเวลาถึงสามสิบปี (จนถึง 1990)
และ ในฐานะที่มีหัวข้อว่าด้วย"เรื่องส่วนพระองค์" เอกสารทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองให้เป็นความลับต่อไปอีก ยี่สิบปี

การประชุมกินเวลาเป็นเดือนๆ ในที่สุด ทุกคนก็ยอมคล้อยตามพระประสงค์
สิบเอ็ดวันก่อนที่จะมีประสูติกาล วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1960 สมเด็จได้ทรงประกาศต่อประชาชนว่า

"ต่อไปนี้ ในสายพระโอรสและพระธิดาของข้าพเจ้า จะใช้นามสกุลต่อท้ายว่า เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์"

สิ้นเสียงพระราชดำรัส..ความเห็นของประชาชนก็แตกออกไปเป็นหลายกระแส คนเก่าๆ ที่ขมขื่นจากสงครามต่างพากันว่า

"แค่สิบห้าปีเองที่เราได้ฟาดฟันเอาเป็นเอาตายกับพวกเยอรมัน หนอย..ตอนนี้ มันกลายมาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ของวินด์เซอร์ไปอย่างหน้าตาเฉย"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:29
 ท่านลอร์ดบีเวอร์สต๊อค (เจ้าของหนังสือพิมพ์ เดลี่เอกซเปรส, ซันเดย์ เอกซเปรส, อีฟเวนนิ่ง สแตนดาร์ด) ฟันธงลงไปเลยว่า เป็นเพราะท่านลอร์ด เมาท์แบตเทนคนเดียว ที่เป็นผู้วางแผนการทั้งหมดนี่ เพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ท่านลอร์ดคนนี้อยากจะมีบทบาทต่อสถาบันกษัตริย์มากมายแค่ไหน
เขาถึงกับเขียนข้อความต่อว่า (สมเด็จ) ไว้ว่า
"สมเด็จพระราชินีมิได้ทรงทราบเลยมังว่า.. พระนามวินด์เซอร์นี้..ถูกตั้งมาโดยพระอัยกาของพระองค์เอง แต่บัดนี้ได้ถูกทำลายไปเพียงเพื่อจะเอาพระทัยพระสวามีหรืออีกนัยหนึ่งคือท่านลุงลอร์ดของพระสวามี"

และจริงๆ ก็เป็นอย่างที่คาดเดา นั่นคือ มันเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของเหล่าสมาชิกในตระกูลเมาท์แบตเทน ดังที่ท่านลอร์ดได้เขียนจดหมายไปถึงเพื่อนสนิทว่า
"คราวนี้แหละ พวกลูกหลานพระราชินีแห่งเครือจักรภพ จะต้องมาใช้นามสกุลของเรา เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์"
ว่าแล้ว..ท่านลอร์ดก็ได้วางแผนจัดงานแต่งงานให้กับธิดาคนเล็ก เลดี้ พาเมล่า กับนักออกแบบตกแต่งภายใน นายเดวิด ไนท์เทนเกล ฮิคส์ (ในเดือน ธันวาคม 1960) ท่านลอร์ดได้กำหนดงานขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในการที่จะเชิญพระราชวงค์ทั้งหมดในยุโรปให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน
เพราะ ท่านลอร์ดถือว่า ลูกสาวของท่านก็เปรียบว่า"เกือบจะ"เป็นพระราชวงค์คนหนึ่งทีเดียว...

ในภายหลังต่อมา นาย เดวิด ลูกเขยของท่านลอร์ดแท้ๆ ได้มาเล่าว่า..
"คุณพ่อท่านเป็นคนเก่ง มีความสามารถสารพัด หากแต่ท่านค่อนข้างสับสนในสถานะของตัวเอง ทั้งๆ ที่ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านมีเลือดเจ้าแท้ๆ แต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงการเจ้านายของอังกฤษ จะให้ท่านไปรวมกลุ่มกับพวกเศรษฐีหรือกับพวกผู้ลากมากดีก็ไม่ได้ ก็ต้องเห็นใจท่าน"

ความจริงนายเดวิด คนนี้ จู่ๆ โผล่มาแต่งงานกับธิดาของท่านลอร์ด ก็ได้สร้างความฉงนฉงายให้กับบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว
เพราะนายนี่คือคนธรรมดาสามัญแท้ๆ อาชีพนักออกแบบตกแต่งนี่ก็ยังเป็นอาชีพใหม่..ไม่มีใครคุ้นหู
ขนาดท่านผู้หญิงเอดวินน่า ถึงกับถามว่า..ไอ้นักออกแบบนี่มันทำอะไรกัน?
แน่นอน คนที่มีมรดกพกห่อ อีกทั้ง ปราสาท คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนโบราณชั้นดีที่มีอยู่อย่างมากมายอย่างท่านผู้หญิง ที่ไม่เคยต้องใช้ช่างมาช่วยตกแต่ง..ย่อมไม่รู้จักว่าอาชีพนี้คืออะไร..
********************
โชคดีจังค่ะคุณวิวันดา  ดิฉันเจอรูปเลดี้พาเมล่าในชุดแต่งงาน พร้อมนายเดวิดเจ้าบ่าว  เลยเอามาลงประกอบให้เห็นกัน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:31
 ท่านลอร์ดรู้สึกผิดหวังกับว่าที่ลูกเขยเล็กคนนี้ยิ่งนักที่ช่างต่างฐานันดรกับลูกเขยคนใหญ่ (สามี เลดี้ แพตตริเชีย) ที่เป็นถึงเอิร์ล
เท่านั้นไม่พอ นายเดวิด..ยังมีประวัติของการเป็นคนรักร่วมเพศอีกด้วย
แต่ตอนนั้น เลดี้ พาเมล่า อายุอานามก็ร่วมสามสิบเข้าไปแล้ว  จะไปขัดขืนได้อย่างไร จึงต้องปล่อยเลยตามเลย

ส่วนเลดี้ พาเมล่า นั้น ตลอดชีวิตมาไม่เคยมีใครขอแต่งงาน นอกจากนายนี่เป็นคนแรก ทั้งๆ ที่ เขาเองไม่เคยปกปิดความ"ชอบชาย"ของเขาเลยแม้แต่นิด
อีกทั้งไม่ว่าเขาจะไปไหนมาไหน มักหนีบชายคนรักให้อยู่เคียงข้างเสมอ
หากแต่..เลดี้ พาเมล่า เธอว่า..เธอยอมรับได้..

สัมพันธภาพของทั้งสองได้เกิดขึ้น ในขณะที่ นายเดวิดได้ไปปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า ตัวเองกำลังลำบากในเรื่องการเงิน และอยู่ในข่ายที่กำลังจะล้มละลาย
เพื่อนคนนั้นได้แนะนำว่า หาผู้หญิงรวยๆ แต่งงานซะคนซิ..รับรองว่าปัญหานี้หมดไปอย่างแน่นอน
แต่ตอนนั้น นายเดวิดไม่รู้จักกับผู้หญิงรวยๆ และโสดสดคนไหน เพื่อนจึงพาไปแนะนำให้รู้จักกับ เลดี้ พาเมล่า ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ได้สานต่อถึงเส้นทางสู่สูตรสำเร็จ เขากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า

"พอเธอเดินเข้ามานะ เราเห็นอสังหาริมทรัพย์กว่าห้าล้านปอนด์ลอยเด่นขึ้นมาเลย..แม้ว่าเธอจะสวมรองเท้าเปิดหัวแบบเชยๆ สีขาว หรือ กระเป๋าถือนั่นก็ล้าสมัยเต็มที  เราก็ต้องทำใจมองข้ามๆ ตรงนั้นไป แต่แน่นอนคือเราพาเธอออกไปเต้นรำเพลงแล้วเพลงเล่า ก่อนลาจาก เราได้กระซิบถามข้างหูเธอว่า
"วางแผนไว้บ้างไหมขอรับ ว่าอยากจะมีลูกสักกี่คน?"

คำถามนั้น ช่างโดนใจสาว (แก่) อย่างเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..
กว่าจะรู้ตัว เธอก็หลงเสน่ห์ชายคนนี้เข้าไปเต็มรัก ถึงกับกลับมาเล่าให้ท่านผู้หญิงเอดวินน่า ผู้เป็นมารดาฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง..

เพื่อนสนิทคนนั้น คือ นางสาว รอบินส์ ที่ได้นำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือโดยการยินยอมของเดวิด ก่อนที่หนังสือจะออก ท่านลอร์ดได้ขอพบเธอเพื่อการเจรจาขอซื้อเทปบันทึกเสียงสัมภาษณ์เหล่าบรรดาคู่ขาเกย์ของเดวิด
หากแต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเธอไม่ยอม
ต่อมาท่านลอร์ดจึงส่งทนายความเจรจาและเป้าหมายคือการที่จะฟ้องร้องขออำนาจศาล ซึ่งคราวนี้ เธอตกลง..โดยการมอบเทปเหล่านั้นให้ไปเผาทิ้ง
แต่นาย เดวิด ได้รอจนกระทั่ง ท่านลอร์ดได้ล่วงลับไป จึงได้ไปติดต่อหาคนเขียนหนังสือชีวประวัติให้ใหม่ คราวนี้คือ จูน ลูคัส ที่นายเดวิดได้กล่าวไว้ในปี 1995 ว่า
"จูนได้อำนาจสิทธิขาดจากผม จะเอาไปเขียนยังไงก็ได้ ผมไม่แคร์.."

ส่วนเลดี้ พาเมล่า ยามที่มีคนถามในภายหลังถึงเรื่องการมีสามีที่ผิดแผกแหวกแนวอย่างนั้น คิดได้ไง?
เธอได้ตอบว่า..ไม่เห็นจะยากเลย ลองพวกคุณมามีพ่อแม่แบบของฉันซิ..อะไรที่แหวกแนวขนาดไหนมา..รับได้ทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งนะ เดวิดเป็นพ่อที่ดี และเขาก็ดีกับฉันมาก ดูแลบ้านช่อง คอยจัดเก็บเสื้อผ้าของฉันให้เข้าที่ จะไปหาอย่างนั้นที่ไหนได้อีกล่ะ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:34
 งานแต่งงานได้จัดอย่างอลังการ เหล่าเชื้อพระวงค์ได้มากันครบหมด ยกเว้นสมเด็จฯ เพราะเนื่องจากใกล้ประสูติกาล
แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ท่านลอร์ดได้เตรียมงานในวันที่เชื่อแน่ว่า ทุกคนไม่ติดภาระกิจอะไร ทั้งๆ ที่เป็นฤดูที่มีอากาศเย็นจนหิมะแทบจะตก
เพื่อเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของเมาท์แบตเทนให้เกริกไกร โดยการรวมญาติทั้งสองฝั่ง อังกฤษ-เยอรมัน ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน
ต่อให้หนาวแค่ไหน..ท่านลอร์ดก็ไม่แคร์

ในสมัยนั้น ต่อให้เจ้าบ่าวเป็นตุ๋ย หรือเป็นตุ๊ด  แต่ถ้าสามารถผลิตทายาทสืบสกุล ได้ละก้อ ไม่มีใครใส่ใจเอาเรื่องนัก
ซึ่งจำนวนของชายอย่างนายเดวิดในวงการผู้ดีอังกฤษแล้ว นับว่ามีไม่น้อยจนเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะคนพวกนี้มีหน้าที่ที่ต้องถือปฏิบัติคือ การที่ต้องมีทายาท รับช่วงมรดก พกห่อ รวมทั้งการถ่ายทอดตำแหน่งฐานันดรต่อไป
ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เหล่าโฮโมผู้ดีนั้นมีมากมาย และต่างก็สามารถแต่งงาน มีลูกหลานเหลนโหลนได้เป็นแถวๆ
ส่วนเรื่องจะไปนอนกับใครนั้น มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว..

ที่เล่าฉลุยมาถึงเรื่องนี้ เพราะว่า กำลังจะเล่าต่อถึงเรื่องการหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่มีสคริปต์ที่คล้ายคลึงกับเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..

กล่าวคือ..หลังจากที่ควีนมัมได้ทรงประกาศถึงข่าวหมั้นของพระธิดาองค์เล็ก ที่มีพระชนมายุได้ถึง 29 ชันษาแล้ว
ชาวประชาที่อยู่วงนอกต่างโล่งใจกันไปตามๆ กัน เพราะตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานั้น เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ได้ทรงปาร์ตี้เสียเหลือเกิน
และการที่จะทรงอภิเษกกับบุคคลธรรมดานั้น จะทำให้เหมือนกับว่ากำแพงแห่งศักดินาได้ถูกลดลง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นเริ่มค่อยเลือนหายไป
แต่สำหรับคนวงในแล้ว..ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด เพราะ
นายแอนโธนี่ มิใช่ช่างภาพที่มีเชื้อสายโบฮีเมียนอย่างธรรมดา
หากแต่ยังมีแม่เป็นชาวยิว..และทั้งพ่อทั้งแม่ต่างหย่าร้างกันวุ่นวาย
ใครต่อใครมองไม่เห็นว่า เจ้าฟ้าหญิงที่อยู่ในการสืบสันตติวงค์อันดับสี่..จะตกไปเป็นภริยาของคนอย่างนายนั่นได้อย่างไร..??  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:38
 นายรอนัล อาร์มสตรอง-โจนส์ บิดาของว่าที่พระคู่หมั้น ถึงกับตกใจที่ได้รับข่าวนี้ เขาว่า
"ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเลย..รับรองว่าอยู่ด้วยกันยาก เพราะโทนี่เป็นคนหัวรั้น ใครมาจูงจมูกไม่ได้ง่ายๆ แล้วเรื่องที่จะต้องมาเดินตามหลังเมียสองสามก้าวในทุกที่เนี่ยะ ลืมไปได้เลย"
หนังสือพิมพ์ไทม์ได้จำกัดความไว้ว่า
"นี่คือครั้งแรกสำหรับคนอยู่ใกล้กับพระราชบัลลังค์ที่สุดจะอภิเษกกับสามัญชนชั้นธรรมดาที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน"

หนังสือพิมพ์อื่นๆ ได้ต่างกระทุ้งว่า..น่าจะเลือกเฟ้นกันซะหน่อย เพียงแค่สองสามปีนี้เองที่กฏพระราชวังได้เริ่มหย่อนยาน ทั้งๆ ที่ในอดีตที่ผ่านมา  เรื่องแบบนี้ไม่มีทางได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน..

ใครต่อใครต่างพากันลืมว่า ควีนมัมเอง ทรงเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นศรีสะใภ้ในพระราชวงค์  
พระองค์ได้พยายามยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือเห็นอกเห็นใจนายแอนโธนี่ด้วยว่าเคยมีหัวอกเดียวกัน พระองค์ถึงกับจะเสนอตำแหน่งขุนนางให้

หากแต่..นายแอนโธนี่ได้ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี  แต่มารับในปีต่อมา ยามที่เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงครรภ์ เพราะเพื่อที่ลูกๆ จะได้รับฐานันดร..
เขาได้ถูกตั้งให้เป็น เอิร์ล สโนว์ดอน และ ไวส์เค้านท์ลินเลย์ ออฟ นิมมันส์

หลายๆ คนที่ใกล้ชิดต่างเข้าใจดีว่า การอภิเษกคราวนี้ คือการประชดชีวิตของพระองค์ที่ผิดหวังจากความรักที่มีต่อกัปตัน ทาวน์เซนด์
เพราะในวันที่ทรงตัดสินพระทัยรับการเสนอขอจากนายแอนโธนี่ คือวันเดียวกันกับที่พระองค์ทรงได้รับจดหมายจากกัปตันในวันที่ 9 ตุลาคม 1959 ว่า
เขากำลังจะแต่งงานใหม่กับสาวน้อยวัยยี่สิบชาวเบลเยี่ยม ทายาทเจ้าของกิจการยาสูบ ที่เขาพบและรู้จักที่กรุงบรัสเซล ในตอนที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารครั้งนั้น
พระองค์ทรงทราบข่าว พร้อมทั้งยักพระอังสะอย่างไม่แคร์ ทรงตรัสว่า
"ยัยนั่นอาจจะรวย แต่ก็ไม่ใช่เจ้า.."
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยอภิเษก  ทรงได้เล่าประทานสัมภาษณ์ในหลายปีต่อมาว่า..
"จริง ที่ฉันได้รับจดหมายจากปีเตอร์ในเช้าวันนั้น และจริง..ที่ตกเย็นมาฉันก็ตัดสินใจแต่งงาน ฉันก็ยังไม่อยากแต่งหรอกนะ..
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่านายนี่เขามาขอแต่งงานน่ะซิ ตอนนั้นเขาก็จัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง มักเป็นกำลังใจให้เสมอ และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับโลกภายนอกกับเขาบ้าง..ความจริงเขาก็ขอมาหลายเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว..แต่ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะว่า ไม่มีใครเชื่อว่า โทนี่เขาจะรู้จักชอบผู้หญิงจริงๆ น่ะซิ"

คำจำกัดความในการเป็นตัวตนของแอนโธนี่ ชายผู้กำลังจะโชคดีวัยสามสิบสอง ตามสำนวนของนักข่าว คือ
"เจ้าบทบาท" และ "ศิลปินเอก"
เขาคนนี้คือ บุตรชายคนเดียวของทนายความ นายรอนัล อาร์สตรอง-โจนส์ ที่หลังจากเลิกราไปกับภรรยา  เขาก็ไปแต่งงานใหม่กับดาราสาว ที่ภายหลังก็เลิกร้างไปจากกันอีก จนในที่สุดเขาได้อยู่กินกับแฟนสาวที่เป็นแอร์โฮสเตรส อายุอานามก็อ่อนกว่ากันถึงสามสิบปี
แต่พอทันทีที่ลูกชายประกาศหมั้นกับเจ้าฟ้าหญิง  นายรอนัลก็รีบจัดการแต่งงานกับแฟนสาวทันทีเพื่อไม่ให้มีการลักหลั่นในเรื่องของสถาบันครอบครัว

ส่วนมารดาของเขานั้น หลังจากที่หย่าขาดไปจากบิดา (นายรอนัล) เธอได้ไปสมรสใหม่กับขุนนางชาวไอริช ที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเคานท์ แห่ง รอสเซ่ ซึ่งทำให้เธอคือ เคาน์เตส ซึ่งศักดินาตรงนี้ของเธอได้เข้ามาช่วยบุตรชายให้ดูดี เป็นเชื้อสายขุนน้ำขุนนางกะเขาขึ้นมาหน่อย  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:41
 การศึกษาของนายแอนโธนี่ มิใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ เขาคือศิษย์เก่าของอีตันคนหนึ่ง และมีความตั้งใจที่จะเป็นสถาปนิก โดยการเข้าเศึกษาต่อที่เคมบริดจ์ ที่ถูกรีไทร์ออกมาหลังจากการสอบตกในปีแรก..
เมื่ออายุได้สิบหก เขาป่วยเพราะมีอาการของการติดเชื้อโปลิโอ หลังจากที่ต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายเดือน เขาสู้อตส่าห์ทำกายภาพบำบัดให้กับตัวเองอย่างชาญฉลาด  โดยการทำเครื่องออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาที่คล้ายกับการเดินบนสกี จนกระทั่งสามารถเดินได้ แม้จะไม่ดีนักแต่ก็ไม่เป็นที่สังเกต

การเข้ามาในรั้วในวังของเขา ก็คือการที่ได้มีโอกาสเข้ามาถ่ายภาพให้กับท่านดยุค ออฟ เค้นท์ จากนั้นก็ถ่ายภาพให้กับเหล่าบรรดาลูกหลานข้าราชบริพาร
ต่อมาสมเด็จได้ทรงให้เขามาถ่ายภาพให้กับ เจ้าฟ้าชาย
ชารลส์ และ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์  ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ซึ่งทั้งสองมีนิสัยที่เข้ากันได้ด้วยดี ในเรื่องของความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี  อีกทั้งคารมที่คมคายไม่แพ้กัน สูบบุหรี่จัดเท่าๆ กัน  ที่สำคัญทั้งคู่โปรดปรานการดูหนังโป๊เป็นชีวิตจิตใจ..

ส่วนประวัติของฝ่ายชาย ตั้งแต่เล็กๆ นั้นชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของเด็กหญิง เมื่อครั้งที่มีมารดาเลี้ยงเป็นดารา เขาเคยแต่งกายในชุดสาวใชและออกไปเสริฟอาหารมื้อค่ำให้กับพ่อและปู่
ขนาดสองปีก่อนการหมั้น..เขาเคยไปปรากฏตัวในงานกระเทยโดยแต่งกายเป็นหญิง

เท่านั้นไม่พอ..ขนาดในยามที่เขากำลังเดทกับเจ้าฟ้าหญิง เขาได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่ามหาดเล็กโดยปรากฏตัวเป็นหญิง
ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกลับเห็นเป็นเรื่องขำ ทรงสรวลออกมาก๊ากใหญ่ ที่ได้เห็นช่วงขาของเขาที่โผล่ออกมาจากกระโปรงพลีทสีแดงเข้ม (ของพระองค์)

มหาดเล็กคนนั้นคือ นาย เดวิด จอห์น เพย์น หรือที่ถูกเรียกว่า จอห์น ที่ได้นำมาเขียนในหนังสือและถูกควีนมัมฟ้องร้องให้ระงับการจำหน่าย  ซึ่งนายเดวิดไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ขายในอังกฤษไม่ได้ ก็นำมาพิมพ์ขายในฝรั่งเศส (France Dimanche)

เขาได้ลาออกจากการเป็นมหาดเล็กก่อนพิธีอภิเษกเพียงไม่กี่วัน ข้อความตอนหนึ่ง เขาเล่าว่า
...ขณะที่ผมได้ถวายงานช่วยคัดเลือกแผ่นเสียงอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าฟ้าหญิงนั้น ผมได้ลุกขึ้นก่อน ส่วนเจ้าฟ้าหญิงยังทรงประทับอยู่ที่พื้นที่มีโซฟาบังพระองค์อยู่
โทนี่ได้เดินเข้ามา เห็นผมเข้า จึงเรียกเชื้อเชิญด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า
"จอห์น..แหม..กำลังตามหาอยู่ทีเดียว มานั่งคุยกันก่อนซิ
ที่รัก"
หัวใจผมแทบหยุดเต้น เพราะโทนี่ไม่สังเกตเห็นว่าเจ้านายท่านนั่งอยู่บนพื้นข้างหลัง และทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียงที่ทรงลุกขึ้นมากราดเกรี้ยวว่า..
"หนอย..จอห์น มานั่งซิที่รัก หมายความว่าไงยะ เธอกำลังเรียกใครหา..???"
โทนี่เริ่มอึกอัก และรีบเปลี่ยนท่าทีแทบไม่ทัน..เขาแก้ตัวว่า
"โถ..มาดามคะ..กระผมไม่ทราบเลยว่าทรงอยู่ที่นั่น กระผมกำลังตามหาจอห์นพอดีเลยค่ะ"
"แล้วไอ้ ที่รัก น่ะ มันหมายความว่าไงล่ะ?"
"เป็นคำเรียกกันเองแบบธรรมดาของพวกนักแสดงละครน่ะค่ะ .."
เจ้าฟ้าหญิงไม่ทรงเชื่อนัก แต่หันมาทางผมและทรงตรัสว่า..
"ไปไหนก็ไปเถอะ.."
ผมกลับออกมาจากห้องด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั้งตัวด้วยความตกใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:44
 เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงนึกสนุกอะไรก็ไม่ทราบกับการมีคู่รักที่มีอาการแปลกๆ เท่านั้นไม่พอ พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นมาแต่งองค์เป็นชาย
คือใส่สูท ผูกไท หรือไม่ก็ชุดแท็กซิโด โพสต์ท่าถ่ายรูปกันอย่างเอิกเกริก  ส่วนฝ่ายชายก็แต่งกายเป็นเด็กบ้าง สาวบ้าง แล้วแต่อารมณ์จะพาไป
สถานะทางสังคมของเขาตามที่มีมารดาเป็นเคาน์เตสส์ ทำให้พอจะอิงได้ว่ามีอันดับขึ้นทำเนียบกับเขาบ้างตามสายตาของคนภายนอก  
หากแต่ชาวไฮโซจริงๆ แล้ว กลับมองเขาเป็นเหมือนกับใส้เดือนกิ้งกือ

สองสามอาทิตย์ก่อนการอภิเษก นายโทนี่ได้ส่งชื่อของเพื่อน คือ Jeremy Fry ที่จะมาเพื่อนเจ้าบ่าวให้กับกรมวังฝ่ายพิธีการ
ทันทีที่ชื่อนี้ได้ปรากฏขึ้นมา เล่นเอาฝูงเสนาบดีแตกฮือ เพราะว่า เพื่อนที่เขาเลือกมานั้น เป็นคนที่แต่งงานแล้ว แต่เคยมีประวัติฉาวโฉ่ในเรื่องของการเป็นตุ๊ดไปเที่ยวตุ๋ยชาวบ้านเมื่อแปดปีที่แล้ว
เป็นอันว่า..ทางรายนายคนนี้ เป็นอันว่า ไม่ผ่าน..
เขาจึงต้องไปคัดสรรมาใหม่ คราวนี้ได้มาคือ นาย Thorpe แต่สก๊อตแลนด์ยาร์ดรีบส่งรายงานเบรคกันตัวโก่ง..โดยสาวประวัติมาว่า นาย Thorpe นั้น คืออดีตชาวสีม่วงเช่นเดียวกัน

ในที่สุด เจ้าชายฟิลิปต้องทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามา โดยจัดการหาเพื่อนเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์ศรีมาช่วยประดับบารมีให้ เขาคือ Dr. Roger Gilliatt ผู้ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคือ บุตรชายของแพทย์ประจำพระองค์ฯ
ซึ่งคุณหมอกิลเลียตเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเจ้าบ่าวเลย เคยพบกันเพียงสองสามครั้งเท่านั้น

บัตรเชิญในงานอภิเษกครั้งนี้ได้จั่วหัวที่อ่านแล้วค่อนข้างสับสนว่า..
ท่านอภิเสนาบดีในพระราชชนนี (ควีนมัม) ได้รับสนองพระบัญชาจากพระองค์ ในการขอเรียนเชิญ.....
และบัตรเชิญนี้ได้ออกมาถึงสองพันใบ..แต่จะเชิญใครบ้างนั้น รายชื่อถูกปิดเป็นความลับ
เนื่องจากทางพระราชวังเกรงว่าเหล่านักข่าวจะไปขุดคุ้ยประวัติของบรรดาแขกเหรื่อ ว่า มีใครที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้วบ้าง..
เพราะที่แน่ๆ คือ ทั้งบิดาและมารดาของเจ้าบ่าว ต่างถือว่ามีตำหนิทั้งคู่ ทางบิดานั่น ก็หย่ามาถึงสองครั้ง..

ญาติที่ใกล้ชิดทางสายเลือดของเจ้าสาวที่ไม่ได้รับเชิญ  ก็คือ ท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ และหม่อมภริยา..
หม่อมวอลลิส..มองเห็นเป็นเรื่องขำขัน เธอได้บอกว่า..
"อ้าว..งั้นฉันกับนายโจนส์ก็พอสูสีกันละซิ"
(เพราะหย่ามาสองครั้งเหมือนกัน)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 11:47

ในพิธีอภิเษกที่ได้เล่าไว้แล้วว่าสุดเลิศหรูอลังการ์ตามสไตล์เจ้าหญิงแห่งเครือจักรภพ ที่ต้องมีทั้งมงกุฏเพชรและราชรถเทียมม้า..
มลังมเลือง
เจ้าฟ้าชายชารลส์องค์น้อยได้ทรงชุดเต็มยศของชาวสก๊อต น่ารักน่าเอ็นดู
แต่ชาวสก๊อตยังค่อนขอดว่า ไม่เข้าท่า และยังไม่ใช่ชุดเต็มยศจริงๆ

ต่อมาหลังจากพิธีอภิเษกแล้ว โทนี่หรือ ลอร์ดสโนว์ดอนได้ไปเยือนสก๊อตแลนด์ในชุดกางเกง ไม่ได้แต่งชุดกระโปรงสก๊อตตามแบบแผน เล่นเอาพวกผู้ดีชาวสก๊อตถึงกับเหล่กันจนตาคว่ำ ความขัดเคืองในเรื่องเก่าๆ ครั้งที่สมเด็จเสด็จไปรับมงกุฏยังไม่ทันหาย..

หลังจากพิธีอภิษกสมรสได้ผ่านไป ทางสำนักพระราชวังได้เพิ่มเบี้ยหวัดให้กับเจ้าฟ้าหญิง จาก 18,000 ปอนด์ มาเป็น 45,000 ปอนด์
สี่สิบสี่วันของการฮันนีมูนโดยเรือยอชพระที่นั่งบริแทนเนียนั้นได้เปลืองงบประมาณไปถึง วันละ 30,000 ปอนด์
พระตำหนักห้องหอที่ประทับที่ต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ ก็ใช้ไปกว่า 180,000 ปอนด์
ค่าใช้จ่ายในพิธีก็ปาเข้าไปอีก 78,000 ปอนด์

เมื่องบบานปลาย..สมเด็จพระราชินี..เริ่มอึดอัดพระทัย..แต่ควีนมัมได้รีบตัดบทว่า.
"มา...จะช่วยจ่ายให้ อย่าขี้เหนียวนักเลย อยากให้ประชาชนเขาว่านักเหรอว่า งานอภิเษกอะไรกัน..อะไรกระจอกสิ้นดี"

พระองค์ก็เลยต้องใช้วิธีนิ่ง เพราะว่าในยามนั้น..ดูเหมือนว่าจะไม่ทรงมีพรรคพวกเลย ใครต่อใครต่างพากันตื่นเต้นต่องานสำคัญครั้งนี้
เพราะเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร๊ต พระขนิษฐาทรงมีพระสิริโฉมสมดังกับเจ้าหญิงในจินตนาการของชาวโลกจริงๆ
และงานอภิเษกเล่าก็งดงามราวกับเนื้อเรื่องในเทพนิยาย..

แต่ใครเล่าจะรู้ว่า..จุดเริ่มต้นของความยุ่งยากทั้งหลายในราชวงค์วินด์เซอร์กำลังจะเริ่มตั้งเค้าในกาลต่อมา...


งานใหญ่ต่อมาคือการเยี่ยมเยือนของอาคันตุกะจากสหรัฐอเมริกา ท่านประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ และท่านผู้หญิง จ๊าคเกอลีน
ซึ่งก่อนเดินทางมายังอังกฤษ ท่านผู้หญิงต้องเอามือกุมขมับในเรื่องระเบียบแบบแผนที่ตึงเปรี๊ยะของฝ่ายราชสำนัก
เพราะแปลนในงานพระราชทานเลี้ยงรับรอง คืนวันที่ 5 มิถุนายน 1961นั้น รายชื่อของแขกในส่วนของเคนเนดี้ที่ส่งไป
ปรากฏว่า น้องสาวแท้ๆ และน้องเขยของท่านผู้หญิงได้ถูกขีดฆ่าออกโดยฝ่ายพิธีการของสำนักพระราชวัง..
สาเหตุคือ Lee Radziwill หรือที่พวกเราอาจเคยเห็นในหนังสือบางเล่มเรียกว่า เจ้าหญิง ลี เรดซิวิลล์ เพราะว่า สามีของเธอคือ
เจ้าชาย สตานิสลาส เรดซิวิลล์เป็นเจ้าชายลี้ภัย (นาซี) จากโปแลนด์ มาและขอเปลี่ยนเป็นสัญชาติอังกฤษ
ทั้งคู่ได้ผ่านการหย่าร้างกันมาอย่างช่ำชอง  ของเธอหนึ่งครั้ง ของเขาสองครั้ง..

แต่สาเหตุที่ปธน. เคนเนดี้และท่านผู้หญิงมาเยือนลอนดอนครั้งนี้ เพราะว่าจะต้องมาร่วมในพิธีล้างบาปของหลานสาว (ธิดาของลีและเจ้าชาย)  โดยที่ท่านปธน.จะรับเป็นพ่อทูนหัว
ทางสำนักพระราชวังเลยถือเป็นโอกาสทอง เชิญขึ้นร่วมโต๊ะเสวยเสียในคราวเดียวกัน เพราะ อเมริกาก็ถือว่าเป็นมหามิตรกับอังกฤษ
แต่เรื่องการที่ไม่เชิญน้องสาวของท่านผู้หญิงนั้น..เป็นเรื่องสุดที่จะทน..
เสียงโทรศัพท์ข้ามทวีปดังระงมระหว่างอังกฤษอเมริกา ฝ่ายโปรโตคอล วิ่งกันวุ่น..

ทางท่านผู้หญิงเคยคิดว่า น้องสาว (มเหสีของเจ้าชาย) ของตัวเองนั้นเจ๋งสุด แถมยังมีการเสนอไปว่า ตัวเองอยากจะมีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต
ส่วนท่านปธน. อยากจะเข้าเฝ้า เจ้าหญิงมารีน่า แห่ง เค้นท์ เพราะเคยเป็นศิษย์เก่าจากออกซ์ฟอร์ดด้วยกัน
สมเด็จฯ..ทรงเมินในข้อเสนอเชิงเรียกร้องทั้งหมด  แถม..ที่เจ๋งสุด คือ รายชื่อของน้องสาวและน้องเขย..ถูกสลัดออกไปอย่างไม่ใยดี


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 12:06
 ท่านผู้หญิงได้โทรไปยังสถานทูตอเมริกาในอังกฤษให้ดำเนินเรื่องนี้โดยด่วน..ซึ่งทางอังกฤษได้รายงานให้ทราบถึงระเบียบแบบเเผนในเรื่องการหย่าร้าง
ซึ่ง..จ๊าคเกอลีนได้พ้อว่า
"แต่เขาคือน้องสาวแท้ๆ ของฉันนะ"

ทางสำนักพระราชวังได้บอกต่อไปว่า..มีทางแก้ใขคือถ้าคนทั้งสองอยู่ในรายชื่อของคณะรัฐบาลที่เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ก็อาจมีข้อยกเว้น
ซึ่งเธอได้รีบโทรติดต่อไปยังท่านปธน.ถึงในทำเนียบทันที ..
คำตอบจากสามีได้ตอบกลับมาว่า

"งั้นก็อย่าไปยุ่งเลย งานเลี้ยงนี้สมเด็จพระราชินีเป็นเจ้าภาพ  พระองค์ทรงเห็นสมควรจะเชิญใครก็เป็นเรื่องของท่าน "

ในที่สุด จากที่ทางฝ่ายการทูตของสองประเทศต้องวิ่งติดต่อกันอย่างหูดับตับไหม้นั้น..สมเด็จฯก็ทรงอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาเป็นแขกได้
อีกทั้งยังให้เกียรติลิสต์รายชื่อในกลุ่มของเจ้านายว่าเป็น "เจ้าหญิง" และ"เจ้าชาย" ด้วย.. เล่นเอาสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น.. (แต่หารู้ไม่..)

ที่ว่าสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น เพราะ ในฐานะเจ้าชายลี้ภัยจากประเทศเล็กๆ เมื่อมาอยู่ในอังกฤษ..ก็จะต้องทิ้งยศที่มีมาแต่ครั้งเก่าจนหมด
จะเหลือคำนำหน้าว่า เป็น นาย เท่านั้น.. (ผู้ที่จะมีสิทธิใช้ความเป็นเจ้าได้ คือราชวงค์วินด์เซอร์ เท่านั้น)
แต่..สตานิสลาส เรดซิวิลล์ ยังมักใช้คำนำหน้าตัวเองว่า เจ้าชายเสมอๆ จนเป็นที่ขวางพระกรรณ ขวางพระเนตร ออกบ่อยๆ
ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องหย่าที่อ้างมานั้น ไม่ใช่สาเหตุใหญ่ในการที่ไม่ทรงเชิญแต่ทีแรก
เมื่อได้เข้ามาร่วมโต๊ะเสวยเข้าจริงๆ สมเด็จทรงตรัสสนทนากับสามีภริยาคู่นี้ ด้วยคำนำหน้าที่ทรงเรียกคือ มิสเตอร์ และ มิสซิส ในทุกประโยค..
ซึ่งทุกคนที่ได้ฟัง ถือว่า นี่คือการ"เฉือนคม"อย่างมีชั้นเชิงระดับยอดวิทยายุทธที่แท้จริง...

ภาพนี้คือลีและจ๊าคเกอลีนในวัยสาวค่ะ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 06, 12:28
 ในการร่วมโต๊ะเสวยในคืนวันนั้น ท่านผู้หญิงทราบได้ทันที ว่า พระองค์ไม่ทรงโปรดในตัวเธอเท่าไหร่นัก ด้วยการดูออกจากท่าทางที่เย็นชา และ ห่างเหิน
สาเหตุ..นั้นคือ ทรงหมั่นไส้ในความดังของจ๊าคเกอลีน ที่ไม่ว่าจะย่างก้าวไปทางไหนผู้คนช่างชื่นชมสรรเสริญ ว่า งามพร้อม แต่งตัวเหมาะเจาะ  เก่งกล้าสารพัด พูดได้หลายภาษาอีกต่างหาก

ขนาดก่อนมาถึงอังกฤษ มีการแวะที่ฝรั่งเศส ชาวปารีเชียงต่างพากันมารอรับแบบแน่นถนน นายกเทศมนตรีกรุงปารีสได้มอบนาฬิกาข้อมือเรือนหรูราคากว่าสี่พันเหรียญให้เป็นของขวัญ แถมหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวการเยือนของเธอครั้งนี้ว่า ยิ่งใหญ่พอกันกับการเสด็จเยือนของพระราชินีอลิซาเบธเมื่อสี่ปีก่อนทีเดียว

ท่านประธานาธิบดีเองยังตกใจต่อกระแสความดังของภริยาในครั้งนี้ด้วยว่าไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน ถึงกับต้องกล่าวแก้ขวยว่า
"ผม..ผม..คือ คนที่ติดสอยห้อยตามท่านผู้หญิงจ๊าคเกอลีน เคนเนดี้มาเที่ยวฝรั่งเศสขอรับ"

เมื่อมาถึงยังลอนดอน ผู้คนก็ตากันตื่นกระแสคลั่งแจ๊คกี้ ถึงกับมาเฝ้ารอที่สองข้างถนนกันอย่างหนาตา ราวกับการรอรับเสด็จของพระราชินี
หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวเรียกเธอว่า "พระราชินีจากสหรัฐอเมริกา"
มีการ์ตูนวาดภาพล้อ เป็นรูปเทพีแห่งสันติภาพ ที่มีใบหน้าเป็นแจ๊คกี้ ในมือข้างหนึ่งชูคบเพลิง อีกข้างหนึ่งกอดนิตยสารโว๊คเอาไว้
ไม่ว่าข่าวไหนๆ ก็พากันสรรเสริญจนเลิศลอย

อันทั้งนี้ทั้งนั้น..ทุกอย่างที่เล่ามาคือการขัดต่อความเป็นพระราชินีอลิซาเบธในทุกๆ ด้าน..พระองค์ไม่ชอบการแสดงออกไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ
ไม่โปรดหนังฮอลลีวู๊ด ไม่โปรดการคบค้ากับดารา หรือพวกไฮโซคนดัง
ขนาดเมื่องานอภิเษกของเจ้าชายเรเนียร์แห่งโมนาโค กับดาราสาวสวย เกรซ เคลลี่ (เจ้าหญิงเกรซ แห่ง โมนาโค) ในปี 1956  พระองค์ก็มิได้เสด็จไปร่วมในงาน ทรงตรัสว่า
"ไม่อยากเจอพวกดารา"
ยามที่ผู้อำนวยการสำนักบีบีซี ได้ถวายคำแนะนำว่าอยากได้ภาพที่ทรงเป็นอิริยาบทสบายๆ บ้าง ทรงตอบว่า
"ฉันไม่ใช่ดารา"
และด้วยเหตุผลเดียวกันที่ทรงเลิกการใช้เสื้อคลุมขนมิงค์ เพราะทรงตรัสว่า
"เดี๋ยวจะไปเหมือนพวกดารา.."

เรื่องนี้ไม่ใช่แต่พระองค์ที่ทรงเป็น แม้แต่เจ้าชายฟิลิปก็เหมือนกันยังกับแกะ..ในยามที่เสด็จไปเปิดงานมหกรรมภาพยนตร์ของอังกฤษ    มีคนตะโกนไปว่า..
"เล่าเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ฟังหน่อยซิ"
เจ้าชายทรงตรัสตอบไปทันควันว่า
"อยากฟังเรื่องสนุกๆ ก็ไปจ้างตลกมาดิ"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:19
 ในยามนั้น ทั้งท่านดยุคและสมเด็จต่างก็ไม่เข้าพระทัยถึงในจิตใจประชาชนที่ต้องการเห็นความแจ่มใส ความมีชีวิตชีวาของเจ้านายที่ตัวเองรักและบูชา มากกว่าเพียงแต่การโบกพระหัตถ์หวอยๆ
จากพระราชรถเทียมม้าที่แสนโอ่อ่านั่น
พวกเขาจึงกระหายที่จะได้เห็นความเป็นกันเอง รอยยิ้มกระจ่างด้วยไมตรีของท่านผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกากันอย่างขนัดแน่น
ทั้งสมเด็จและจ๊าคเกอลีนมีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่อย่างนึง นั่นคือการมีสามีที่แสนเนื้อหอมอยู่เคียงข้าง และ ชายสองคนที่ว่านี้ก็มีส่วนเหมือนกันด้วยคือ "ชอบดารา" และ "รู้รักษาตัวรอด" ไม่ยอมติดบ่วงสวาท
ใครง่ายๆ (ตอนนั้น..ท่านปธน. เคนเนดี้ กำลังมีข่าวกับสาวสวย ดาราดัง มาริลีน มอนโร)

สมเด็จไม่ได้ประทับใจในตัวปธน.สักเท่าใดนัก ขนาดพูดจามีสำเนียงของชาวไอริชติดอยู่ก็เถอะ..
เพราะอะไรน่ะเหรอ..ก็เพราะพระองค์ยังทรงจำได้ดีไงล่ะ..ว่า..
นายโจเซฟ อดีตทูตอเมริกาประจำอังกฤษ
ผู้บิดาของนายจอห์นนั้น เคยทำแสบไว้ขชนาดไหน (เล่ามาแล้วนะคะ ในเรื่องที่ว่า นายโจเซฟได้คัดค้านทุกวิถีทางที่จะไม่ให้อเมริกามาร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเชื่อมั่นว่า เยอรมันจะต้องชนะ)
ฉะนั้น..มาถึงรุ่นลูก..พระองค์จึงทำพระทัยให้ปลื้มด้วยยาก...

อ้อ..ขอเล่าแถมอีกนิดด้วยว่า ยามที่มีการชิงชัย ตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง เคนเนดี้กับนิกสัน นั้น พระองค์ทรงเชียร์นิกสันอีกต่างหาก
ดังที่..เจ้าชายฟิลิปได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาปี 1960 ในการเปิดงานนิทรรศการที่มหานครนิวยอร์ค ช่างภาพได้มาขอถ่ายรูปของพระองค์คู่กับนายกเทศมนตรี นาย เนลสัน ร๊อคกี้เฟลเล่อร์
เจ้าชายได้ตรัสว่า...ได้ซิ..แต่ต้องมีคุณนิกสันมายืนคู่กับเราด้วยนะ..

หากแต่เมื่อฝ่ายเคนเนดี้ได้รับชัยชนะ ทางฝั่งอังกฤษก็สามารถเก็บอาการได้เป็นอย่างดี และสามารถทำองค์ได้แบบตามน้ำ คือ ยิ้มแย้มต้อนรับไปด้วยอัธยาศัยไมตรี
หลายคนอาจแปลกใจว่าที่เล่ามานี้ สมเด็จพระราชินีไปทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเรื่องต่างประเทศได้อย่างไร..
นี่แหละ..ขอบอกตรงนี้ว่า เรื่องการเมืองต่างประเทศอะไรก็ตามที่จะมาเกี่ยวพันกับความมั่นคงกับเครือจักรภพของพระองค์ละก้อ ไม่ทรงเฉยนิ่งอย่างแน่นอน
แม้ว่า..ตามหลักแล้วสถาบันกษัตริย์ต้องไม่ลงมาพัวพัน..แต่..นั่นมันก็แค่ตัวอักษรเท่านั้น
ในเชิงปฏิบัติแล้ว..ตรงกันข้าม

อย่างในการเลือกตั้งที่อาร์เจนติน่า ปี 1962 ...
ผู้นำรัฐบาล นายอาร์ทูโร ฟรอนดิซิ กำลังว้าวุ่นด้วยเกรงว่า..ฝ่ายคณะประชาชนที่สนับสนุนนายฮวน เปรอง (สามีของเอวิตา เปรอง) ที่ลี้ภัยออกไปจากประเทศแล้วนั้นจะลุกฮือขึ้นมาโหวตต่อต้าน..
เขาได้ไปถึงอังกฤษ และเข้ากราบบังคมทูลปรับทุกข์กับสมเด็จถึงในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมด้วยลักษณะที่เป็นกังวล..เขาว่า
"กระหม่อมอยู่บนหลังเสือ..หาทางลงไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
สมเด็จทรงเล็งเห็นถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของอังกฤษได้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่า รัฐบาลของนายอาร์ทูโรเกิดถูกโค่นล้มไปจริงๆ และอาร์เจนติน่าเกิดมีผู้นำคนใหม่ขึ้นมา
การลงทุนของชาวอัวกฤษกลุ่มใหญ่ก้ต้องโดนผลกระทบไปด้วย
(อาร์เจนติน่าเป็นที่อยู่และทำมาหากินของชาวอังกฤษใหญ่เป็นที่สองรองลงมาจากสหรัฐอเมริกา)
ฉะนั้น..การเดินทางไปอาร์เจนติน่าของเจ้าชายฟิลิปจึงต้องรีบกระทำโดยด่วน..และเป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปีที่มีเจ้านายจากอังกฤษได้เสด็จไปเยือนประเทศนี้

หลังจากที่ได้เสด็จไปถึงและมีการไปอภิปรายถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองประเทศที่ บวยโนส ไอเรส เสร็จสรรพ
วันรุ่งขึ้น..เจ้าชายฟิลิปได้ถูกกระหน่ำขว้างด้วยใข่และมะเขือเทศเละๆ จากกลุ่มวัยรุ่นที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตำรวจเข้าสกัดม๊อบ..จับกุมตัว
เจ้าชายฟิลิปทรงเข้าพระทัยดีถึงชั้นเชิงการทูต รีบตรัสออกไปว่า
"อย่า..ปล่อยพวกเขาไป..อ้อ..เตือนไว้หน่อยก็ดี ว่าอย่าริทำอีก..เพราะฉันเอาเสื้อผ้าติดตัวมาไม่กี่ชุด"

แต่ในที่สุด..ฝ่ายปฏิวัติก็ได้ทำการสำเร็จ รถถังวิ่งเข้ามาเต็มเมือง เจ้าชายฟิลิปถูกฝ่ายรักษาความปลอดภัยรีบพาพระองค์เสด็จออกจาก บวยโนส ไอเรส เป็นอย่างด่วน..ต้องไปประทับอยู่กับมหาเศรษฐีเจ้าของสนามโปโลที่มีคฤหาสน์อยู่ห่างไปจากจุดวิกฤติถึงเก้าสิบไมล์..
งานนี้ รัฐบาลอังกฤษของนายแมคมิลแลนเสียหน้ายับเยิน..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:20
 จากการที่เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระสหายชาวอาร์เจนติเนี่ยนจำนวนไม่น้อยนั้น ทำให้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องหญิงๆ ขึ้นมาอีกอย่างไม่ขาดระยะ
อย่างการให้สัมภาษณ์ของสาวไฮโซชาวโมร็อคกัน
ที่ได้เล่าว่า หล่อนได้รู้จักกับ ฟีลิกซ์ โทโพลสกี้ ช่างภาพพระสหายสนิทของเจ้าชายฟิลิป ที่ตอนนั้นกำลังมีพระชนมายุได้สี่สิบชันษา (กำลังหล่อจัด..ประมาณนั้น)
สาวเจ้านี้ก็ได้เปรยกับนายฟีลิกซ์ว่า..แหม..อยากมีโอกาสได้พบกับเจ้าชายเสียจริง..

สองสามอาทิตย์ต่อมา..นายฟีลิกซ์ได้มาส่งข่าวว่า..นัดให้แล้วนะ ไปพบพระองค์ได้ที่แฟลต เวลา สี่ทุ่มครึ่ง วันนี้พระองค์ทรงว่างพอดี ซึ่งเธอได้บอกปฏิเสธไปในที่สุด
เนื่องจากในตอนนั้น..กระแสเรื่องคาวๆ ในกลุ่มนักการเมืองกำลังดังอื้ออึงด้วยข่าวของนาย จอห์น โปรฟุโม รัฐมนตรีฝ่ายการสงคราม กระทรวงกลาโหม
(และเป็นอัศวินคนหนึ่งที่ได้รับการสถาปนาโดยสมเด็จพระราชินี..) ที่ได้ไปมีอะไร อะไร กับดารานางแบบสาวสวย นามว่า
คริสทีน คีลเลอร์ ..ซึ่ง หล่อนคนนี้ก็เป็นอีหนูลับๆ ของทูตทหารรัสเซียประจำประเทศอังกฤษอยู่ด้วย..
พอเรื่องแดงขึ้นมา...ท่านรมต. ก็ปฏิเสธเสียงหลง สาบถ สาบาน ว่าไม่เค๊ยย..ไม่เคยยย..

แต่ในที่สุด ก็หนีความจริงไปไม่พ้น..เรื่องแดงออกมา..เขาจึงต้องลาออกไปด้วยความอับอาย
(เรื่องนี้มีรายละเอียด และผู้เกี่ยวข้องอีกเยอะค่ะ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก่อนการขึ้นศาลเชียว)

ชาวอังกฤษได้หมดความเลื่อมใสในกลุ่มพวกผู้ดี และนักการเมืองไปทีละน้อยๆ จนถึงกับมีการเขียนการ์ตูนล้อกันเป็นเรื่องสนุก
แม้กระทั่งสถาบันสูงสุดก็โดนกระทบกระแทกเข้าอย่างจัง..และนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่สมเด็จพระราชินีได้รับการโห่.. เมื่อพระองค์ได้ทรงเป็นเจ้าภาพรับรอง
พระเจ้า พอล และ พระราชินี เฟรเดอริก้า แห่ง กรีซ (ตามสายสกุลแล้วก็คือพระญาติแท้ๆ ) จากชาวกรีกฝ่ายสังคมนิยมที่อยู่ในลอนดอน ที่ถือว่าผ่ายเหนือหัวนั้นคือฝ่ายเผด็จการนิยม เพราะ จากประวัติแล้วพระราชินีเฟรเดอริก้าเคยประทับอยู่ในเยอรมัน อีกทั้งเคยร่วมเข้าฝึกเป็นยุวชนฮิตเล่อร์
และการที่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธทรงมาให้การรับรอง นั่นถือว่า ย่อมเป็นพวกฝักใฝ่เผด็จการเหมือนกัน..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:22
 พระราชินีเฟรเดอริก้า จริงๆ แล้วก็เป็นเจ้าหญิงสายสกุล
Hannover นับไปนับมาก็เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อังกฤษ
พระองค์ทรงเป็นพระมารดาของพระราชินี
โซเฟียของสเปนปัจจุบัน ราชวงศ์ในยุโรปมีความเกี่ยวดอง
กันหมด
Queen Friederike
(Friederike Luise Thyra, Princess of Hannover  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:29
 ไม่ว่าจะมีกระแสข่าวฉาวของนักการเมืองหรือข่าวซุบซิบในแวดวงสถาบันกษัตริย์มากน้อยแค่ไหน นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสภาพเศรษฐกิจที่มีส่วนผลกระทบเนื่องมาจากผลพวงของสงครามโลก ที่อังกฤษได้มีส่วนร่วมด้วยถึงสองครั้งในระยะติดๆ กัน (ครั้งที่หนึ่ง 1914-1919 และครั้งที่สอง 1939-1945)
ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพปรักหักพัง
และ นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นว่าความสุขสบายนั้นได้ตกไปอยู่ในความครอบครองของคนเพียงกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนั้นหาใช่ใครที่ไหนนอกจากพวกที่มียศถาบรรดาศักดิ์นั่นเอง
สมเด็จพระราชินีจะทรงทราบหรือไม่ก็ตาม หากแต่ยังทรงทำเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ถูกโห่ใส่พระพักต์ในครั้งนั้น..
และยังทรงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกด้วยว่า

สภาพความปลอดภัยโดยรวมของพระองค์นั้น กำลังเป็นที่กังวลใจของคณะรัฐบาล (เนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้เพิ่งถูกลอบสังหารไปหมาดๆ)
หมายกำหนดการที่จะเสด็จเยือนประเทศแคนาดาในปี 1964 กำลังเป็นปัญหาถกเถียงกันในสภา..ว่า..สมควรยกเลิกหรือปล่อยเลยตามเลย..
ทางโตรอนโต...ส่งโทรเลขเตือนมาว่า..
"อย่าให้มีการเสด็จ เพราะท่าทางไม่ค่อยดี"
ทางหนังสือไทม์ ลอนดอน เขียนข้อความเป็นนัยๆ ว่า..
"เป็นการเสี่ยงจนเกินไป"
หนังสือเดลี่ มิเรอร์ ได้ยกบทความของการที่จะเสด็จในครั้งนี้ว่า..อาจจะเป็นอย่าง "ดัลลัสวิปโยค" ก็เป็นได้ เพราะ ที่ควิเบค ชนกลุ่มน้อยฝรั่งเศสกำลังมีปัญหาขัดแย้งชาวอังกฤษ (ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นที่ออตตาวา..)

แต่..คนที่ตัดสินใจในปัญหานี้ คือ สมเด็จ..ที่ได้มีพระบัญชามาว่า พระองค์และพระสวามีจะเสด็จ..อย่างไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น..ด้วยเหตุผลว่า แคนาดาคือแหล่งรวมกลุ่มของใต้ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ที่มากที่สุดในเครือจักรภพ และ การเยี่ยมเยือนของพระองค์ครั้งนี้ต้องเป็นไปอย่างสมฐานะของนางกษัตริย์
ว่าแล้ว... พระองค์ก็จัดแจงเลือก นายเฟรเดอริค ฟ๊อกซ์ ช่างออกแบบฉลองพระองค์ นาย ฮาร์ดี้ อะมีส์ นักออกแบบพระมาลา ที่เริ่มลงมือปฏิบัติการ
นายฟ๊อกซ์ ได้วิ่งเข้าวิ่งออกภายในพระราชวังนับตั้งแต่เรื่องการคัดเลือกวัสดุ เนื้อผ้า มุกและเลื่อมลายปักประดับประดา จนถึงการออกแบบที่เหมาะสมกับวาระต่างๆ ..
หลังจากการตัดเย็บได้เริ่มลงมือไปจนเกือบเสร็จ.. สมเด็จได้รับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงกดกริ่งเรียก....มหาดเล็กได้อัญเชิญกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เข้ามาให้
เมื่อพระองค์ได้เปิดมันขึ้นมา..สิ่งที่ทรงหยิบยื่นให้เขานั้น คือ เข็มกลัดไพลินสีม่วงขนาดใหญ่เท่ากับจานข้าว อีกทั้ง เพชรเม็ดยักษ์ๆ ขนาดเท่าถ้วยซุบอีกหลายเม็ด เพื่อที่จะให้เขานำไปประดับเพิ่มเติมบนฉลองพระองค์ ที่เขาได้ออกแบบไป..

นายฟ๊อกซ์ถึงกับต้องเอามือตบลงที่หน้าผากของตัวเอง เพราะ ..นี่มันช่างเชยสนิท..ไหนจะมุก จะเลื่อม จะโบ จะเข็มขัดที่บรรเลงลงไปเยอะแล้ว.. แล้วจะมายัดเยียดเพชรให้อีกเนี่ยนะ..ไร้รสนิยมสิ้นดี
(เขาคิดในใจ แต่ไม่ได้พูด)
สมเด็จพอทอดพระเนตรอาการออก..พระองค์ทรงตรัสว่า..
นี่คือ...สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นนักหนาเชียวนะ..
นายฟ๊อกซ์ได้ที จึงรีบบังคมทูลว่า..แล้วรสนิยมล่ะพะยะค่ะ พวกเขาไม่อยากจะเห็นกันมั่งหรือ?
สมเด็จทรงตอบอย่างเรียบๆ ว่า.."มีเพชรโปะให้หนาเข้าไว้..รสนิยมค่อยว่ากันทีหลัง"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:32

การเสด็จเยือน ควิเบค แคนาดา ทั้งสมเด็จและพระสวามี อยู่ในความอารักขาที่หนาหนัก
การเสด็จทางรถยนตร์พระที่นั่งแบบกันกระสุน.. อีกทั้งแวดล้อมไปด้วยหน่วยสวาท สารวัตรทหาร ตำรวจ  ซึ่งคนที่ขัดอกขัดใจนั้นไม่ใช่คนอื่น เขาคือ เจ้าชายฟิลิป จอมโวยหน้าเก่านั่นเอง..พระองค์ทรงกระแนะกระแหนกับคณะรัฐบาลถึงเรื่องนี้อย่างไม่ขาดระยะ

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้อธิบายให้ทรงทราบว่า เพราะหลังจากที่เกิดการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น สถานะการณ์ของความไม่สงบได้เริ่มส่อเค้าไปในทางหนักขึ้นทุกที่..
เจ้าชายจึงต้องทรงประชดไปว่า..
"ก็เพราะป้องกันกันอย่างหายใจหายคอไม่ออกอย่างเนี้ย.. คนมันเลยหมั่นใส้ ยิงให้ตายไปซะเลยน่ะซิ"

แต่..การถวายอารักขายังเป็นไปอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเสด็จทางเรือ นักประดาน้ำก็ต้องลงไปเช็คถึงใต้ท้องเรืออย่างถี่ถ้วนว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่..

การปราศัยของพระองค์ที่ทรงตรัสเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่ควิเบค หรือ ภาษาอังกฤษที่ออตตาวา ก็ตาม.. การถูกโห่ใส่ ก็ยังมีเป็นระยะ.. ซึ่ง พระองค์ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้..ทำเป็นไม่ทรงได้ยิน..

หลังจากที่ได้เสด็จกลับไปยังอังกฤษแล้ว..ทางสถานีโทรทัศน์แคนาดาได้ทำการออกข่าวถึงการเสด็จเยือนโดยรวมทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
คนอ่านและวิเคราะห์ข่าวได้ทิ้งท้ายให้ประชาชนได้ใช้สมองคิดตามไปว่า..
"คำถามคือ..การเสด็จในครั้งนี้ พระราชภารกิจที่ได้ไปทรงเปิดอาคารที่โน่นที่นี่ และ ได้ทรงกล่าวคำปราศรัยด้วยถ้อยคำหรูตรงนั้น ตรงนี้..แต่ในขณะเดียวกันกับกระแสต่อต้านก็ยังมี..จนพวกเราต้องมาถวายการอารักขาอย่างหนาแน่น
อีกทั้งไหนหมู่ประชาชนที่มีการโห่รับอย่างที่เห็นกันนี่..สับสนอลหม่านสิ้นดี...มันคุ้มไหมการการที่ทรงเสียเวลามาถึงที่นี่..ลองกลับไปคิดกันดู....ราตรีสวัสดิ์"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:37
 ในอดีต..เสียงปลุกระดมเรียกขวัญกำลังใจของท่านวินสตัน เชอร์ชิลล์ ช่างมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้คนถึงกับลืมตาย ลุกขึ้นมาสู้กับการรุกรานของเยอรมันอย่างแข็งขัน จนทำให้ประเทศชาติได้รับชัยชนะไปในที่สุด
แต่..ในปีหลังๆ มานี่..เสียงปลุกระดมที่ทรงเคยทรงพลังได้แผ่วหายไป..หายไปจากความทรงจำของใครต่อใคร..
อีกทั้ง..ตัวเจ้าของเสียงเองก็กำลังเจ็บป่วยอยุ่ในอาการโคม่า ในเดือนมกราคม ปี 1965 และได้ถึงแก่อสัญกรรมในเก้าวันต่อมา คือ ยี่สิบสี่ มกราคม ..
นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับราชวงค์วินด์เซอร์เลยก็ว่าได้  เพราะ วินสตัน เชอร์ชิลล์ เปรียบได้ราวกับเสาหลักที่ค้ำบัลลังค์ให้อย่างมั่นคง..
(ภาพนี้คือเชอร์ชิลล์ กับพระเจ้าจอร์ช พระราชินี เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต)

สมเด็จพระราชินีได้จัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขาราวกับเป็นพระราชวงค์คนหนึ่ง..ตามที่เขาเคยกราบบังคมทูลว่า..อยากให้มีทหารเยอะๆ และวงค์ดุริยางค์วงใหญ่
เขาได้ทุกอย่างตามนั้น..และมากกว่านั้น.. คือ..ศพของเขาได้ไปประดิษฐานที่พระวิหารเวสต์มินสเตอร์สามวันสามคืน เพื่อรอรับการสักการะจากประชาชนที่มายืนรอเข้าแถวแบบมืดเฟ้ามัวดิน
ทั้งสมเด็จและพระสวามีได้ทรงเสด็จเข้ามาให้ความเคารพศพพร้อมๆ กับฝูงชน
และ นี่คือครั้งแรกในการเถลิงราชย์..ที่พระองค์มิได้รับการเป็นจุดสนใจสูงสุด..เพราะในจิตใจของทุกๆ คนมีแต่ความเศร้าสร้อยต่อการจากไปของรัฐบุรุษคนสำคัญยิ่ง

หนังสือไทม์ได้ลงพาดหัวว่า..
"ต่อหน้าโลงศพของท่านวินสตัน..ฐานันดรแทบไม่มีความหมายใดๆ "

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า..เมื่อสิ้นเสียงของท่านเชอร์ชิลล์ ก็เหมือนสิ้นสั่ง..เสียงปลุกขวัญระดมกำลังใจได้เลือนหายไปพร้อมกับร่างที่สิ้นวิญญาณ..สถานะการณ์โลกกำลังตึงเครียดด้วย"สงครามเย็น"ที่มีรัสเซีย (คอมมิวนิสต์) หนุนหลังอย่างเปิดเผย..

และ..ด้วยเหตุนี้เอง เพียงสี่เดือนหลังจากการอสัญกรรมของท่านเชอร์ชิลล์ อังกฤษต้องรีบปรับตัว..หันมาเป็นญาติดีกับเยอรมัน ศัตรูเก่า..
หมายกำหนดการเสด็จเยือนเยอรมันเป็นครั้งแรกของสมเด็จได้ถูกจัดขึ้นอย่างทันที..ส่วนพระสวามีนั้น เคยเสด็จไปเยี่ยมเยือนพระญาติแบบไปรเวทหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งนั้น..ต้องก็บเป็นความลับอย่างสูงสุด
เนื่องจากจิตใจของประชาชนที่ยังเกลียดชังเยอรมันยังมีอยู่ไม่น้อย..
สมเด็จเองก็เคยอยากที่จะเสด็จเยือนพร้อมกับพระสวามี แต่ทุกครั้งที่ทรงขอ คณะรัฐบาลที่นำโดยพรรคจารีตนิยมไม่สนับสนุนในญัตติ..
แต่ในคราวนี้...รัฐบาลได้นำโดยพรรคกรรมกร..ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะเสด็จเยอรมันสักครั้ง
และพระองค์จะเป็นประมุขในพระราชวงค์วินด์เซอร์พระองค์แรกที่จะเริ่มการสมานฉันท์ของสองประเทศ
(ครั้งสุดท้ายนั่น คือปี 1913 โดยพระเจ้ายอร์จที่ห้า..ที่ทรงเสด็จเยี่ยมพระญาติ)

หมายกำหนดการได้เริ่มขึ้น ในเดือน พฤษภาคม 1965
ทางเยอรมันเองก็แสนที่จะตื่นเต้นยินดีในการที่จะเสด็จในครั้งนี้..หนังสือพิมพ์ได้ออกข่าวไปให้ทราบทั่วกันว่า
"อย่าวิตกไปเลย..เรื่องนาซีน่ะ สูญพันธ์ไปหมดแล้ว.."
มีการออกข่าวบอกให้ประชาชนและทหารควรที่จะต้องโบกธงยูเนี่ยนแจ๊คถวายความเคารพ..
ยามที่ทรงตรวจแถวทหาร ห้ามเผลอหลุดคำว่า..ซิค ไฮล์(Sieg heil !) ออกมาล่ะ..
และ ควรหัดขานพระนามให้ถูกต้อง

การเสด็จเยือนครั้งนี้ ฝ่ายเยอรมันได้ถือเป็นโอกาสที่จะทำการตีพิมพ์ป่าวร้องให้ทุกคนทราบถึงสายเลือดและความสัมพันธใกล้ชิดแต่ครั้งบรรพบุรุษกันใหม่..
สายสาแหรกถูกแจกแจงโดยละเอียด..ว่า ใครเป็นพ่อใคร..ใครเป็นลูกหลานใคร...รวมทั้งใครที่ยังอยู่ ..ซึ่งต่างก็เตรียมนำเครื่องทรงมาปัดฝุ่น นำเหรียญตรามาขัดให้ดูวาววับ พร้อมต่อการรับเสด็จ

เจ้าหน้าที่ในมิวนิคได้กล่าวอย่างติดตลกว่า..
"ไหนๆ ราชวงค์บาเวเรียนของเราก็ไม่มีเหลือแล้ว..ขอยืมราชวงค์วินด์เซอร์มานับถือหน่อยจะเป็นไรไป.."
อีกคนหนึ่งก็กล่าวเสริมว่า..
"จะว่าไปแล้ว..ก็เหมือนกันแหละ เพราะญาติๆ กันทั้งน้านนน.."

ที่ชาวเยอรมันต่างปลาบปลื้มอย่างมากมายในการเสด็จเยือนของสมเด็จพระราชินีครั้งนี้ เพราะ มันมีความหมายมากกว่าการเยี่ยมเยือนอย่างธรรมดา
สำหรับพวกเขาแล้ว..เปรียบเสมือนว่า นี่คือการให้อภัยของอังกฤษต่อเรื่องร้ายๆ ที่เคยบาดหมางกันมาแต่เก่าก่อน  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:40
 สมเด็จได้เสด็จไปดูรั้วลวดหนามที่ขดกั้นขึงอยู่กำแพงเบอร์ลินด้วยความเศร้าพระทัย..ทรงกล่าวคำปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ ที่มีการแปลไปเป็นเยอรมันว่า
"เรื่องร้ายๆ ในยี่สิบกว่าปีที่แล้วมา..ขอให้ผ่านไป..เหลือไว้แต่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่เราต้องช่วยกันปกป้องรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมและช่วยกันนำมาซึ่งความสันติสุข"
เสียงประชาชนชาวเยอรมันต่างพากันเรียกพระนามกันอย่างกึกก้อง.. (แบบสไตล์นาซี..)
"Eee-liz-a-bet, Eee-liz-a-bet !!"
แต่สมเด็จทรงมีพระพักต์ที่สงบนิ่ง ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ทรงแสดงอาการใดๆ ท่านรมต. ต่างประเทศของอังกฤษได้กล่าวแก้ว่า
"ทรงไม่คาดคิดกระมังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองเช่นนี้..เลยปรับพระองค์ไม่ทัน"

ด้วยพระมานะขัตติยะ สมเด็จได้ทรงเสด็จเยี่ยมเมืองต่างๆ ในเยอรมันถึงสิบเมืองในเวลาสิบเอ็ดวัน.. นับว่า..การเสด็จครั้งนี้ได้ผลทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างสูงสุด
จนหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของอเมริกาต่างพากันยกนิ้วให้ว่า..เก่งกล้าสามารถเหลือเกิน..พระราชินีองค์นี้..

หากแต่..ในอังกฤษเองแล้ว...สถาบันเจ้านายกำลังสะท้านสะเทือนเต็มที..นับตั้งแต่ปี 1957 เป็นต้นมา (จากเรื่องปากท้องของประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข)
มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่เกรงพระทัย..นักหนังสือพิมพ์เองก็เริ่มมีปากมีเสียง โต้แย้ง ในเรื่องพระราชกรณียกิจ
สภามหาวิทยาลัยได้มีการถกแถลงในเรื่องสถาบันสูงสุด ฝ่ายหนึ่งถึงกับกล่าวว่า
"ควรล้มเลิกระบบกษัตริย์ไปได้แล้ว..พระราชวังก็ควรนำมาทำให้เป็นที่อยู่ของคนยากไร้ พวกคุณหมาๆ คอร์กินั่นก็ควรที่จะนำมาฝึกงานให้เป็นประโยชน์ซะมั่ง"

ฝ่ายที่ยืนค้ำบัลลังค์อย่างเต็มที่ คือ หนังสือพิมพ์สองฉบับ เดลี่ เทเลกราฟ กับ ไทม์ ที่ได้รับการอนุญาตให้ตีพิมพ์ปฏิทินพระราชกรณียกิจและ ข่าวในพระราชสำนัก ที่จะมีคนเดินสาสน์นำมาส่งรายวัน

แต่มาวันหนึ่ง..ในปี 1966 ข่าวจากคนเดินสาส์นได้ขาดหายไป.. ทางบรรณาธิการ เดลี่ เทเลกราฟ ได้ถูกเรียกไปให้รับรู้ถึงสาเหตุและได้รับการตำหนิว่า..
"ที่ไม่ส่งข่าวให้ เพราะว่า คุณไม่ได้ให้เกียรติต่อเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตตามพระเกียรติที่พระองค์จะต้องได้รับ"
"แล้วกระผมไม่ได้ให้พระเกียรติที่ตรงไหนกันล่ะขอรับ?"
"ยังจะมาทำไขสือ..คุณไม่รู้หรือไรว่า เจ้าฟ้าหญิงทรงเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์แท้ๆ คุณต้องใส่ "the"นำหน้าพระนามทุกครั้ง.."
ท่านบก. ก็ต้องรีบรับคำมาจดจำใส่เกล้าเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เขียนให้ผิดพระราชประสงค์อีก...แต่ก็เริ่มเหนื่อยใจเป็นกำลังกับความมากเรื่องของเจ้านาย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:43


  ในช่วงขาลงของพระราชวงค์ในตอนนั้น..หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ ได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มอาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรงของมหาวิทยาลัยเคมเบริดจ์ได้เขียนถึงบุคคลสำคัญทั้งชายและหญิงของอังกฤษ



เริ่มจากองค์ประมุข..ที่พวกเขาได้เขียนถึงอย่างไม่เกรงพระทัยว่า

"พระองค์เปรียบเสมือนสินค้าที่เป็นผลิตผลของนักออกแบบที่มีชื่อเสียง..มีการโฆษณาดี หีบห่อสวยงาม คุณภาพพอเชื่อถือได้..แต่ราคาแพง.."

เล่นเอาเหล่าเสนาบดีแทบเป็นลมต่อการวิจารณ์ในครั้งนี้ และพวกเขาได้เริ่มรู้ตัวว่า ช่องว่างระหว่างชนชั้นเริ่มฉีกออกห่างกันไปทุกที..

ทางที่จะประสานได้นั้นคือ การที่ต้องรีบจัดการต่อเติมช่องว่างให้เต็ม โดยการเสนอให้เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ให้กับกลุ่มนักดนตรีขวัญใจวัยรุ่นทั้งโลก เดอะ บีทเติ้ลส์..

เล่นเอา นายจอห์น เลนนอน ถึงกับตกอกตกใจยามที่ได้ทราบถึงข่าวดี เขาอุทานว่า

"ให้ตายห่..ซิ เรานึกว่าคนที่จะได้รับเครื่องราชย์นี่ ต้องเก่งเรื่องยิงปืน กับขับรถถังเท่านั้นซะอีก"



แต่พวกที่เก่งยิงปืน และ ขับรถถังที่ได้รับเครื่องราชย์ตัวจริงๆ แล้ว..กลับไม่ชอบใจและคัดค้านในเรื่องการที่พวกฮิปปี้บ้ากัญชาพวกนี้จะได้เครื่องราชย์เทียบเท่า

พวกเขาเหล่านั้น ต่างพากันพร้อมใจต่อต้าน โดยการขอถวายคืนเหรียญตราที่ได้รับมา..

และนี่คือครั้งแรกของการต่อต้านมีการถวายคืนเครื่องราชย์ที่เป็นข่าวเอิกเกริก จนนาย จอห์น เลนนอน ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นแบบโผงผางว่า

"ทำไมล่ะ..พวกท่านได้รับเหรียญตราจากการประหัตประหาร ฆ่าคนตายเป็นผักเป็นปลา แต่พวกเราได้เพราะการที่ได้สร้างความสุขให้กับคนฟัง..ซึ่งน่าจะได้รับขั้นสูงสุดซะด้วยซ้ำไป"

เครื่องราชย์ที่ว่ามานี้ คือ the Order of the British Empire อันจัดได้ว่า เป็นเครื่องราชย์ชั้นเด่ะ เด่ะ..



ซึ่งนาย พอล แมคคาร์ทนี่ ได้ให้สัมภาษณ์ในสามสิบปีต่อมา ว่า เป็นเครื่องราชย์ที่ใครต่อใครก็ได้รับแจก แม้แต่คนส่งนมในพระราชวัง ไม่ได้ให้ฐานันดรทางสังคมมากมายอะไร ไม่เหมือนกับตำแหน่งเซอร์ ที่ใครต่อใครพากันฝันถึง..

(และความฝันนั้นก็ได้เป็นความจริง พอล ได้รับพระราชทานเครื่องราชย์สูงสุด เป็นอัศวิน ที่ต้องใครต่อใครต้องเรียกว่า ท่านเซอร์ นำหน้าชื่อ ในปี 1997 ที่เขาได้กล่าว

ในวันนั้นว่า..It's been a hard day's knighthood)



ในสี่ปีต่อมา..พวกเขาได้พร้อมใจกัน..ขอถวายคืนเครื่องราชย์ที่ได้รับมา เนื่องจากอังกฤษได้เข้าไปร่วมในสงครามเวียดนาม และ สงครามกลางเมืองของไนจีเรีย

นายจอห์น ได้บอกตรงๆ จากหัวใจว่า..

ผมรู้สึกเหมือนกับถูกหักหลังอย่างไงไม่รุ..



จะขอเล่าถึงเรื่องวันที่ชาวบีตเทิลส์บ้านนอกจากลิเวอร์พูลสี่คนนี้จะเข้าไปรับเครื่องราชย์ในปี 1965 หน่อยนะคะ โกลาหลพอสมควร เพราะบรรดาแฟนๆ มากรี๊ดรอรับ

กันเต็มหน้าพระราชวัง..ฝ่ายอารักขารีบพาตัวเข้าไปข้างใน นักหนังสือพิมพ์มาเขียนรายงานว่า ทั้งสี่รีบผลุดเข้าไปในห้องน้ำก่อนอื่นใด ไปพี้กัญชาเพื่อให้ผ่อนคลาย

หายเกร็งจากความตื่นเต้น..

พอลได้เล่าว่า.."ไปเล่นที่ Cow Palace ในซาน ฟราน

ซิสโก ยังไม่สั่นเท่านี้เลย.."

ผู้สื่อข่าวถามว่า "สมเด็จทรงเป็นอย่างไรบ้าง"

เขาตอบว่า.."ทรงพระทัยดี อบอุ่น แต่ตรัสน้อยมาก"



กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 11:50
 แล้วใครเล่าจะเชื่อได้บ้างว่า..ในปีต่อมา..สมเด็จทรงล้ำกฏเหล็กแห่งวินด์เซอร์ไปหลายขุม เช่น ทรงประทานตำแหน่งอัศวินให้กับผู้คนสารพัดชนิด อย่าง ชาวโรมันคาธอลิค ชาวผิวดำ  หรือแม้กระทั่ง รับไบ..
แม้แต่พระญาติที่ไม่ค่อยจะทรงโปรดอย่างท่านเอิร์ล แห่ง แฮร์วูด (พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงแมรี่ ที่เป็นพระขนิษฐาของพระเจ้ายอร์จที่หก เท่ากับว่า ท่านเอิร์ล คือ ลูกของอา) ที่ผ่านการหย่าร้างหมาดๆ มาขอพระบรมราชานุญาตทำการสมรสใหม่กับอีหนูของท่านที่เผอิญเกิดการ"เบนโล" ขึ้นมา.. พระองค์ก็ต้องจำพระทัยทรงยอมตามนั้น
มิฉะนั้น เด็กก็จะเกิดมาอย่างไม่มีพ่อ..และที่ท่านเอิร์ลต้องมาทูลขออนุญาตก็เพราะว่า ตามกฏมณเฑียรบาลได้ว่าไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธิในการลำดับสืบสันตติวงค์ต้องมีการสมรสเป็นที่ยอมรับจากพระมหากษัตริย์ จึงจะไม่หลุดจากโผ.. ตัวท่านเอิร์ลเองก็อยู่ในลำดับที่สิบเจ็ด
ในเมื่อสมเด็จต้องยอมตามแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงทำทุกอย่างที่จะให้ท่านเอิร์ลได้รับบทเรียนที่แสบสันที่สุด นั่นคือ..
การตัดญาติแบบกลายๆ ไม่เป็นที่ต้อนรับ..เช่น ไม่ได้รับเชิญไปในงานอภิเษกของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ (พระนัดดา) ไม่ได้รับการเชิญให้ไปร่วมในงานพระศพของท่านดยุค แห่ง วินด์เซอร์ (พระมาตุลา)
และ ท่านเอิร์ลยังได้ถูกบีบบังคับจนต้องลาออกไปจากตำแหน่งอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัย ยอร์ค และ ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลปของเทศกาลเอดินเบอร์ค ก่อนเวลาอันสมควรอีกด้วย..

ดังนั้น..สมเด็จมักทรงได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความร้ายๆ อย่างเสมอมา..จากพวกเดียวกัน
ในปี 1964 นั่นคือปีที่พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง.. (เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด)
(โปรดดูพระรูปข้างบน คือสมเด็จฯกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์และเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด)
ที่เจ้าชายฟิลิป พระสวามีพยายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่าย ในลักษณะของครอบครัวธรรมดาที่กอร์ปไปด้วย พ่อแม่และลูกอีกสี่คน
พระองค์ได้ทรงให้ประทานสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า..
"เรื่องความพิธีการหรูๆ อะไรที่เคยๆ ทำมานั่น ก็เห็นท่าจะหมดไปได้แล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยสนใจ บางคนก็อาจเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อีกทั้งตอนนี้ทั้งพระราชินี เรา และลูกๆ ก็อยู่กันอย่างเรียบง่าย"

แต่ในความเป็นจริงแล้ว..เจ้าชายฟิลิปได้ทรงเล็งเห็นการณ์ไกล โดยการเริ่มต้นโปรโมทสถาบันแบบมืออาชีพ นั่นคือ พระองค์ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทมีเดียนามกระเดื่อง Rogers & Cowan แห่ง นครลอแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา มาช่วยในการยกระดับของพระราชวงค์ให้เป็นที่ถูกใจของชนทุกชั้น..และทุกประเทศ
( Rogers & Cowan คือบริษัทที่เป็นตัวแทนในการโปรโมทดาราแห่งฟากฟ้าฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงมาก เช่น แฟร้งค์ ซิเนตรา, ริต้า เฮย์เวิร์ธ)

ในการพบปะหรือการที่เจ้าชายฟิลิปได้รู้จักมักจี่กับบริษัทตัวแทนดารานี้ เพราะ เนื่องจากการที่พระองค์ได้เตรียมเสด็จอเมริกาในการเปิดงานการกุศลต่างในปี 1966
พระองค์ได้เห็นว่า การทำงานต่างๆ ของระบบในอเมริกามักประสบความสำเร็จเนื่องจากการรู้จักใช้คนทำงานที่มีประสบการณ์ที่ช่ำชอง
ดังนั้น การว่าจ้างบริษัท Rogers & Cowan จึงเริ่มปรึกษาหารือกันอย่างเป็นภายในทันที  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:02
 นายเฮนรี่ โรเจอร์ส หนึ่งในเจ้าของบริษัทตื่นเต้นจนเหลือจะกล่าว ที่จู่ๆ มีเจ้านายมาว่าจ้าง เขาเล่าว่า..
"ผมถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่ได้รับความไว้วางพระทัยให้ทำงานนี้ และขอบอกตรงๆ ว่า ผมละตื่นเต้นจนสั่นไปหมด ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้าของเราต่างก็เป็นดาราดังคับฟ้าทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่เคยมีลูกค้าที่เป็นเจ้าเลย..นี่คือครั้งแรกจริงๆ "

และแน่นอนว่าก่อนที่จะมีการเจรจาในขั้นตอนอื่นๆ  นายโรเจอร์สได้บินไปเข้าเฝ้าถึงที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม เพื่อที่จะเสนอไอเดียกับนายจ้าง..

ในการสนทนา นานโรเจอร์สได้ถวายคำแนะนำว่า เจ้าชายฟิลิปควรที่จะทำการประชุมผู้สื่อข่าว (ทุกครั้ง) ในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเสด็จย่างพระบาทไปไหน
เจ้าชายทรงรีบตัดบทด้วยว่า..
"ให้ตายเถอะ คุณเฮนรี่ พวกเราไม่เคยมีการประชุมผู้สื่อข่าวมาก่อนเลย..ไม่เค๊ย ไม่เคย..แต่ถ้าคุณว่าเราสมควรที่จะต้องทำ ก็จะลองดู แม้ว่ามันจะขัดๆ อยู่กับกฏระเบียบวังอยู่สักหน่อยนะ เอาเป็นว่า..มันต้องมีข้อแม้อยู่สองสามข้อ คุณต้องไปบอกกับพวกนักข่าวให้เข้าใจก่อน"

ข้อแม้สองสามข้อที่พระองค์ว่านั่นคือ.. พวกนักข่าว (อเมริกัน) ต้องเข้าใจก่อนว่า..
หนึ่ง..พระองค์ คือพระสวามีของสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ มิใช่นักการเมือง หรือตัวแทนของรัฐบาลที่จะมาตอบปัญหาเรื่องการบริหารบ้านเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ หรือการไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคจารีตนิยม และพรรคกรรมกร
สอง..พระองค์ไม่มีหน้าที่ต้องมาตอบในปัญหาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี
พระองค์ทรงย้ำว่า..
"แค่เนี้ยยย..เข้าใจไหม....ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสองข้อข้างบน..ถามมาได้เลย รับรองว่าตอบหมด"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:04
 นายโรเจอร์สรีบรับปากกับพระองค์ทันทีว่า เรื่องแค่นี้..หมูๆ เพราะนักข่าวส่วนใหญ่มักจะถามเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระอยู่แล้ว..เขาว่า..
เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ นายโรเจอร์สจึงได้เห็นพระปรีชาของเจ้าชายพระสวามีว่า..ปราดเปรียว และ ปราดเปรื่องนัก
นักข่าวจากไมอามี่..ถามว่า.."วงดุริยางค์ของลอนดอนเป็นอย่างไรบ้างพระเจ้าค่ะ"
"ก็เล่นเพลงเพราะดีนี่"
"พระองค์ทรงคิดที่จะส่งพระโอรสและพระธิดาให้มาศึกษาในอเมริกาบ้างไหมพระเจ้าค่ะ?"
"ถ้าจะให้ตอบตอนนี้เลย..ก็เห็นท่าจะไม่นะ แต่พอคุณพูดเสนอความคิดขึ้นมา..เราก็จะกลับไปลองคิดดูใหม่"
"พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับความสำเร็จอย่างมากมายของวง เดอะ บีตเทิลส์ และรายได้ที่พวกเขาได้สร้างกันอย่างมหาศาลให้กับประเทศอังกฤษพระเจ้าค่ะ?"
"ก็งั้นๆ นะ..ไม่ได้มากมายอะไรอย่างที่คิดกัน"
(เจ้าชายฟิลิปไม่เคยทรงโปรด และให้ความสนใจกับบรรดาเพลงร๊อคทั้งหลาย อย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงมีโอกาสได้ไปทอดพระเนตรการแสดงของ ทอม โจนส์ เมื่อตอนที่ส่งเสด็จ พระองค์ได้ตรัสถามทอม โจนส์ ว่า..
"ถามจริงเถอะ..คุณใช้อะไรกลั้วคอตอนเช้าๆ น่ะ..เมล็ดกรวดหรือไง สุ้มเสียงถึงได้แหบอย่างนั้น?

พอวันต่อมา..ที่พระองค์ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าในการประชุมนักธุรกิจว่า..แทบทำพระทัยเชื่อได้ยากว่า นายทอมคนนี้ ที่มีอายุเพียง ยี่สิบห้าปี มีค่าตัวถึงสามล้านเหรียญ โดยการร้องเพลงที่สุดห่วยจนทนฟังแทบไม่ได้

"ทำไมวันเฉลิมพระชนม์ของสมเด็จจึง...............?????"
"อย่าให้ตอบเรื่องนี้ได้ไหม..ว่าทำไมจึงมาฉลองวันเฉลิมฯ ในเดือนมิถุนายน (พิธี Trooping the Colour) ทั้งๆ ที่ทรงประสูติในเดือนเมษายน มันเป็นปัญหาโลกแตกน่ะ อย่างทำไมเราจึงเรียกเงินว่า ปอนด์ หรือ ชิลลิ่ง หรือกฏประหลาดๆ ของอังกฤษที่มักไม่มีคำตอบที่แน่นอนน่ะ"

ไม่ว่าการพบปะกับนักข่าวในครั้งไหนหรือที่ไหน เจ้าชาย
ฟิลิปได้ทรงสร้างความพอใจให้กับนักข่าวอย่างเอกอุ ด้วยการแทรกพระอารมณ์ขันลงไปบ้างประปราย..
และผลสำเร็จคือ พระองค์ได้ทรงสามารถระดมกองทุนบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ได้นับล้านๆ เหรียญ
เมื่อเสด็จกลับไปยังลอนดอน พระองค์ได้นำเสนอเรื่องให้พิจารณาการว่าจ้างบริษัทมีเดียให้กับสถาบันพระราชวงค์วินด์เซอร์ หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในคำว่า..The Firm ทันที
(คำว่า..The Firm นั้น เปรียบได้ดังที่ว่าคือ สถาบันพระราชวงค์ ที่ประกอบไปด้วย สมเด็จ และครอบครัว..จากนั้นคือ เหล่าเสนาบดีที่มีการถวายงานอยุ่ในทุกสาขา ที่เปรียบได้ราวกับองค์กรใหญ่ๆ องค์กรหนึ่งทีเดียว)

(***จะตอบให้ว่า ทำไมวันเฉลิมจึงเลื่อนมาฉลองในเดือนมิถุนายน ก็เพราะว่าในเดือนเมษายนนั้น ดินฟ้าอากาศของอังกฤษยังไม่เป็นใจในการที่จะทำการพาเหรด หรือจัดงานสำคัญที่จะเรียกนักท่องเที่ยวให้แห่แหนกันมาน่ะซิคะ
วันเฉลิม หรือ Trooping the Colour นั้น เป็นงานใหญ่ระดับชาติ ที่สมเด็จทรงประทับในรถม้าพระที่นั่ง และเรียงตามมาด้วยสมาชิกในพระราชวงค์ทั้งหมด กองดุริยางค์โอ่อ่าตระการตา..
เม็ดเงินสะพัดนับร้อยๆ ล้านปอนด์ ขืนไปจัดในวันเฉลิมจริงๆ ในเดือนเมษายน คนดูอาจต้องวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น..วิวันดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:08
 สมเด็จพระราชินีแทบไม่เชื่อพระกรรณในเรื่องของการที่จะว่าจ้างบริษัทให้มาช่วยโปรโมทพระองค์ หรือ ให้กับ เดอะ เฟิร์ม ทรงแย้งว่า
"พ่อฉันไม่เคยต้องใช้ให้ใครมาช่วยโฆษณาให้เลยนะ"
"ก็พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องใช้ไงล่ะ ก็มีทั้งท่านนายกวินสตัน เชอร์ชิลล์ อีกทั้งสงครามโลกครั้งที่สองเป็นแบ๊คกราวนด์อยู่ แค่นี้ก็ดังจนไม่รู้ดังยังไงแล้ว"

เจ้าชายพระสวามีก็ไม่ทรงยอมอ่อนข้อ เถียงพระศอเป็นเอ็นเช่นกัน
อีกทั้งพระองค์พยายามชี้แนะให้สมเด็จได้ทรงเล็งเห็นว่า..การที่เดอะ เฟิร์มจะอยู่ได้ต่อนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานอย่างขนานใหญ่
หรือ อยากจะเป็นอย่างพวกบรอนโทเซารัส (ไดโนเสาร์พันธ์หนึ่ง) ที่ไม่มีการปรับตัว จนในที่สุดก็ต้องถูกนำกระดูกไปแขวนให้คนดูในพิพิธภัณฑ์ อยากจะเห็นชาววินด์เซอร์เป็นอย่างนั้นหรือ?
และไม่ว่าจะทรงยกตัวอย่างอะไรออกมาก็ตาม..สมเด็จทรงปฏิเสธหมด เพราะไม่ทรงเห็นด้วยด้วยประการทั้งปวง

จนในเช้าวันหนึ่ง ที่พระสวามีทรงถือหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ เทเลกราฟ เข้ามาให้ทอดพระเนตรถึงในห้องบรรทม..หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ยี่ห้อนี้ คือ หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระบอกเสียงให้กับพระราชวงค์อย่างแน่นแฟ้นมาแต่ไหนแต่ไร..
แต่คราวนี้..กลับเขียนบทความ..หัวข้อว่า
" ท่าทีของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์"
เนื้อความมีว่า
"คนรุ่นใหม่ๆ ในยุคนี้ ไม่ค่อยสนใจหรือเลื่อมใสในสถาบันกษัตริย์มากนัก พวกเขามองเห็นสมเด็จพระราชินีมีค่าเป็นเพียงอนุสาวรีย์ประจำชาติชิ้นหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งเมื่อมีการพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ พวกเขาก็มีท่าทีสนใจ และไม่ขัดแย้ง..จนสามารถคาดเดากันได้ว่า พระราชวงค์อังกฤษอาจจะไม่ล่มสลายไปเพราะกระแสความจงชังจากประชาชนอย่างแน่นอน
แต่ถ้าจะละลายหายไปเพราะประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายในความล้าหลัง คร่ำครึจะก้อ..อาจเป็นไปได้ทีเดียว"

สมเด็จทรงอ่านข้อความทวนไปทวนมา อีกทั้งขยับฉลองพระเนตรขึ้นลง ราวกับแทบไม่เชื่อในตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพระพักต์ว่า นี่คือ ความจริง..ที่มีคนกล้าเขียน..

ดังนั้น เพียงสองสามอาทิตย์ต่อมา..ราชเลขานุการในพระองค์
นาย วิลเลี่ยม เฮเซลไทน์ ได้รับสนองพระบัญชามาถึงเรื่องการที่พระองค์จะต้องทรงปรับเปลี่ยนภาพพจน์ต่อผู้สื่อข่าวใหม่
จากเมื่อก่อน ที่พระราชินีต้องไม่มีข่าวให้ระคายเคืองในหน้าคอลัมน์ซุบซิบ บัดนี้..สามารถกระทำได้ (ในขอบเขตของความจริง)
และ การใช้ประโยชน์ของสื่อโทรทัศน์เพื่อการแพร่ภาพพระราชอิริยาบท และพระราชกรณียกิจต่างๆ ต่อสายตาของประชาชน  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:09
 งานแรกของนายเฮเซลไทน์ที่ได้รับมอบหมายนั้น คืองานสมโภชเจ้าฟ้าชายชารลส์ให้เป็น ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ตามตำแหน่งพระยศของพระโอรสองค์ใหญ่อันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาช้านาน
สมเด็จได้ทรงเคยสัญญาว่า จะจัดงานนี้ให้ประชาชนเป็นสักขีพยานในปราสาท แคนาฟอน เมื่อเจ้าฟ้าชายจะมีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดชันษา และพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์อย่างใกล้ชิด

ทางบีบีซี พอเห็นได้คืบก็จะเอาศอก ทูลขอทำพระประวัติของเจ้าฟ้าชายเสียในคราวเดียวกันแบบมินิซีรีย์ สมเด็จและพระสวามีรีบปฏิเสธอย่างทันที
เนื่องจากทั้งสองพระองค์ไม่ทรงแน่ใจว่า
เจ้าฟ้าชายทรงพร้อมที่จะออกเผชิญกับสื่อมากน้อยแค่ไหน..
บีบีซี..ก็ไม่ยอมแพ้..ทูลขอว่า..
"ถ้างั้นก็ขอทำการถ่ายทอดพระจริยาวัตรของสมเด็จและพระสวามีแทนก็แล้วกัน ประชาชนสนใจอยากจะทราบชีวิตในรั้วในวังเหลือเกิน ใครต่อใครพากันว่า พระองค์ทรงเหมือนกับไม่มีชีวิตจิตใจ ดูอย่างท่านลอร์ดเมาท์แบตเทนยังยอมให้โทรทัศน์ได้ทำชีวประวัติของพระองค์ยาวถึงแปดตอน ใครต่อใครพากันชอบใจ
ทรงเรียกคะแนนนิยมมาได้มากเชียวพระเจ้าค่า"
สมเด็จยังทรงทำพระทัยไม่ได้ ตอบไปอย่างเด็ดขาดว่า
"ฉันไม่ใช่ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ และที่วังนี่ก็ไม่ใช่ทำเนียบขาวนะ.."
(พระองค์ทรง"เสวยดัน"เล็กๆ เพราะ ท่านผู้หญิงแจ๊คกี้เคยพานักข่าวเยี่ยมชมที่พำนักในทำเนียบ และ ออกทีวีด้วย เพราะอย่างที่เล่ามาแล้วว่า ไม่ทรงโปรดการแสดงออกทุกชนิด)
แต่..ไหนเลยบีบีซีจะยอมแพ้ง่ายๆ ...คงจะอ่านเกมส์ออกกันแล้วว่า..การที่ทรงโอนอ่อนมาถึงขนาดนี้แล้วทุกอย่างต่อไปก็ไม่น่ายากเกินความพยายาม..

ความพยายามที่ว่านี่ ใช้เวลาถึงสามเดือนในขั้นตอนของการโน้มน้าวพระทัย เจ้าชายฟิลิปทรงมีปัญหาได้ในทุกเรื่องเช่นเคย..พระองค์คอยขัดคอฝ่ายบีบีซีว่า
"พวกนักข่าวเนี่ย..ตัวดีนัก ชอบคอยหาโอกาสเจาะภาพเหมาะๆ ออกไปขาย เช่นตอนที่พวกเรากำลังแคะจมูกหรืออะไรอย่างเงี้ยะ"
"พวกกระหม่อมไม่ใช่นักข่าว..พระเจ้าค่ะ" ประธานบีบีซีรีบตอบโต้
กว่าจะลงตัวได้ก็ต้องตามพระทัยในข้อเสนอของสมเด็จที่ว่า
หนึ่ง....พระองค์มีสิทธิเต็มที่ในการแก้ใข หรือ ตัดทิ้งตอนที่ไม่เหมาะสม
สอง....พระองค์จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในลิขสิทธิ์ในฟิล์ม
(ที่จะมีชื่อว่า Royal Family) นั้นแต่พระองค์เดียว
สาม....ถ้ามีการจัดจำหน่ายนอกประเทศ ต้องถวายรายได้ครึ่งหนึ่งให้กับพระองค์

ทุกอย่างตกลงตามเงื่อนไข..พระองค์จึงทรงอนุญาตให้ช่างภาพมาบันทึกภาพในห้องประชุมงานกับคณะรัฐมนตรีในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้ ทั้งๆ ที่ การประชุมราชการนี้ค่อนข้างเป็นความลับแม้แต่เจ้าชายพระสวามีก็ไม่เคยทรงอนุญาตให้มีส่วนรู้เห็น
จากนั้นก็ทรงอนุญาตให้คณะถ่ายทำได้ติดตามไปยังพระราชวัง
บัลมอรัล ทำการบันทึกภาพความเป็นอยู่ในครอบครัวแบบสบายๆ สไตล์ชนบท
และทรงให้คำแนะนำอีกด้วยว่า ถ้าจะนำไปจัดจำหน่ายในอเมริกาก็ควรที่จะแทรกข่าวการเยือนอังกฤษของประธานาธิบดีนิกสัน
รวมทั้งตอนที่ นาย วอลเตอร์ แอนเนนเบอร์คเข้าพิธีรับตำแหน่งทูตสหรัฐอเมริกาประจำสำนักเซนต์ เจมส์ ไปด้วย
พระองค์ทรงตรัสว่า.."นี่ละ พิเศษสุดทีเดียว"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:16
 ทีนี้มาถึงพระจริยาวัตรในแต่ละวัน ที่เจ้าหน้าที่ของบีบีซีได้เสนอว่า อยากได้ภาพของพระองค์ที่กำลังทรงพระสำราญกับคุณหมาตัวโปรด
พระองค์ทรงเรียกมาทั้งหมด สิบสี่ตัว..
เล่นเอาเจ้าชายพระสวามีถึงกับโวยลั่น..ว่า
"นี่..คุณนายยยยยย.... เขาต้องการไอ้หมาเวรนั่นเพียงตัวเดียว ไม่ใช่ทั้งหมดสิบสี่ตัว..ยั้วเยี้ยไปหมด"

สรุปว่า..ในช่วงนั้นของฟิล์มได้ปรากฏภาพของคุณหมาๆ ทั้งหมดตามพระราชประสงค์ แต่ที่ขาดหายไปคือ เจ้าชายพระสวามี..

คณะถ่ายทำได้ปักหลักอยู่ในที่พำนักในพระราชวังเพื่อติดตามบันทึกภาพถึงเจ็ดสิบห้าวัน และพวกเขาได้รับพระบรมราชานุญาตให้ติดตามต่อไปในการเสด็จเยือนชิลีด้วย
ค่าถ่ายทำทั้งหมดตกแล้ว ประมาณ สามแสนห้าหมื่นปอนด์ ความยาว หนึ่งร้อยห้านาที ในชื่อว่า Royal Family (หรือที่พวกล้อเลียนนำมาตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Corgis and Beth) ออกฉายปรากฏสู่สายตาของไพร่ฟ้าชาวอังกฤษ ในเดือน มิถุนายน ปี 1969 และมีการเรียกร้องให้กลับมาฉายอีกครั้งในเดือน ธันวาคม

สมเด็จเองก็ทรงเอียนกับข่าวของพระองค์เต็มที ทรงยกเลิกการให้พระบรมราโชวาทในวันสิ้นปีเพราะเหตุว่า..เดี๋ยวจะเลี่ยนจนเกินไป..
แต่ประชาชนต่างก็พากันส่งจดหมายกราบบังคมทูลขอให้กลับมาให้พระบรมราโชวาทดังเดิม..

ภาพบนแผ่นฟิล์มนั้นได้ประทับใจประชาชนชาวอังกฤษอย่างมิรู้ลืม ที่พวกเขาได้มีโอกาสเห็นสมเด็จและเจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงช่วยกันจัดสลัด พระสวามีและเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ทรงช่วยกันย่างใส้กรอกและเนื้อสเต๊ค
สมเด็จทรงใช้พระดรรชนีจิ้มลงไปในน้ำสลัดและทดลองชิม ทรงทำพระพักต์แปลกก่อนที่จะตรัสว่า..ใส่น้ำมันเยอะไป
จากนั้น พระองค์ก็ทรงหยิบน้ำส้มรินเติมลงไป..และตรัสว่า..เอาละใช้ได้แล้ว
เจ้าชายฟิลิปได้ทรงตรัสออกมาดังๆ ว่า..
"โชคดีของคนดู...ที่ไม่ต้องมาชิม"

อีกฉากหนึ่ง..คือภาพที่พระองค์ได้โชว์เครื่องเพชร ทรงชี้ไปที่กล่องที่โชว์สร้อยพระศอทับทิม และทรงตรัสว่า เป็นเส้นโปรดที่ทรงได้รับพระราชทานตกทอดมาจากสมเด็จพระนางวิคตอเรีย (อันเป็นของกำนัลจาก จักรพรรดิ์แห่งเปอร์เซีย)
จากนั้นพระองค์ได้ทรงหันไปถามนางพระกำนัลว่า
"เอ๊ะ เส้นนี้ฉันเคยใส่หรือยังนะ?"

มีฉากที่สมเด็จทรงพาเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปซื้อขนมหวาน และ พระองค์ทรงจ่ายเงินค่าขนมแบบต้องค้นหาเศษสตังค์ ที่เกือบมีไม่พอจ่าย..
ภาพในการถ่ายทำชีวิตครอบครัวทั้งหมดแทบไม่ต้องมีอะไรต้องตัดทิ้งไปเลย..ยกเว้นฉากที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงขึ้นสายเครื่องดนตรีเซลโล และ ขึงสาย A ตึงไปจนสายขาด ดีดไปต้องเอาพระปรางของเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระอนุชาจนเป็นเส้นแดงห้อเลือด ทรงกรรแสงจ้า..
เจ้าชายฟิลิปทรงเกรงว่าจะเป็นเรื่องการเล่นแรงๆ ของพี่น้อง ที่ไม่น่าจะเอาออกอากาศ จึงเสนอให้ตัดช่วงนี้ทิ้งไป
สมเด็จทรงตรัสว่า..
"ไม่เห็นจะเป็นไรเลย...เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับใครทั้งนั้น"

งานนี้ นับว่าได้ประสบความสำเร็จอย่างเกินคาด ประชาชนกลับมาสนใจรักใคร่เอ็นดูในครอบครัวน้อยๆ ของเหนือหัวกันอย่างล้นหลาม..นับว่าเป็นการทำงานแบบมืออาชีพอย่างจริงจัง สมควรต่อการปรบมือให้..

ชาวคณะเดอะ เฟิร์ม..ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า..สื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์มีความสำคัญในการผดุงภาพพจน์ดีๆ ขององค์กรให้อยู่คู่ไปกับจิตใจประชาชนสืบต่อไปนานเท่านาน...

เพียงแต่..ทุกคนไม่เคยสังหรณ์ใจเลยว่า..สื่อที่ว่านี้..คือดาบสองคมที่สามารถให้ทั้งผลดีอย่างสุดขั้วและผลร้ายอย่างสุดโต่งได้ในขณะเดียวกัน..   !  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:19
 การเลี้ยงดูพระโอรสของสมเด็จหรือก็แทบจะเรียกว่าได้ดังใจ
ยามที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงเจริญชันษาขึ้นมา  พระองค์จึงแตกต่างไปจากหนุ่มในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง..
ในขณะที่เหล่านักศึกษาเคมบริดจ์ทั้งหลายกำลังตื่นตัวต่อต้านสงครามเวียดนาม เจ้าฟ้าชายชารลส์ ทรงโปรดปรานกีฬาโปโล
ขณะที่พวกเขาคลั่งไคล้บุบผาชน เจ้าฟ้าชายทรงว่า ไอ้พวกนี้มันบ้าๆ บอๆ
ขณะที่พวกเขาต่างพากันไปชุมนุมตามบาร์เหล้า เหล่สาวๆ เจ้าฟ้าชายกลับโปรดที่จะจิบเหล้าเชอร์รี่บรั่นดี
ขณะที่พวกเขาต่างเดทสาว และพากันมาร่วมหลับนอน  เจ้าฟ้าชายโปรดที่จะรักษาพรหมจรรย์ให้อยู่กับองค์ให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถ
และยังเที่ยวบอกกับใครต่อใครว่า จะไม่ทรงอภิเษกจนกว่าจะถึงสามสิบชันษา
ทั้งหมดนี้คือความเชื่อถือและภาคภูมิใจในความเป็นหัวโบราณ ของพระองค์อย่างที่สุด

จนพระชนมายุได้สิบแปด เจ้าฟ้าชายพระองค์นี้ก็ยังมิเคยได้ออก
เดทกับสาวนางไหน ทั้งๆ ที่ในยามนั้น พระองค์คือหนุ่มวัยรุ่นที่จัดว่าร่ำรวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง ทรงมีรายได้จากการปันผลกำไรจากกองทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์ (Duchy of Cornwell properties) ปีละ ห้าแสนปอนด์ และรายได้จากเบี้ยหวัดในฐานะ ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ อีกปีละ หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพัน ปอนด์

จนกระทั่งมามีพระชนมายุได้ยี่สิบเอ็ด พระองค์ก็เริ่มมีคนโน้นคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง..
สาวแรกที่เข้ามาพัวพัน ก็คือ เพื่อนนักศึกษาที่มาจากอเมริกาใต้
แต่ไม่ว่าจะเป็นสาวคนไหนก็ตาม ทุกคนจะต้องแอดเดรสพระองค์ให้ถูกต้อง จะต้องเรียกพระองค์ว่า "sir"แม้กระทั่งยามที่ร่วมรักบนเตียง..

บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ นักเขียนนิยายโรแมนติคชื่อดังได้เคยกล่าวถึงเจ้าฟ้าชายไว้ว่า
"พระองค์น่ารักมาก มีสเน่ห์เหมือนกับพระอัยกาน้อย ท่านลอร์ด เมาท์แบตเทนเหลือเกิน จะว่ากันจริงๆ แล้ว
ท่านลอร์ดท่านก็รักและหวงของท่านจะตายไป ปู่หลานคู่นี้น่ะ แม้แต่คฤหาสน์ที่บอร์ดแลนด์ของท่าน ท่านยังจัดให้เป็นที่สำเริงสำราญของพระนัดดา ไม่ว่าจะพาสาวหน้าไหนมาก็ได้ ทุกอย่างจะเป็นความลับ ไม่มีทางเล็ดลอดไปถึงหูของนักข่าวได้เลย"
ทุกอย่างที่บาร์บาร่าได้กล่าวมานั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด ปู่หลานคู่นี้สนิทสนมแนบแน่นกันมาก
เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงรักใคร่ชื่นชมบูชาท่านลอร์ดราวกับเทพเจ้า
ส่วนฝ่ายผู้สูงวัยก็เข้าใจในธรรมชาติของชายหนุ่มอย่างพระนัดดา จนยอมตามพระทัยทุกอย่าง..
นาย จอห์ บาร์เร็ตต์ เลขาธิการส่วนตัวของท่านลอร์ดได้เล่าให้ฟังว่า..
"ในวันหยุดนั้น เราจะต้องจัดบ้านรับรองเจ้าฟ้าชายและเพื่อนสาวๆ ที่ผลัดกันเปลี่ยนหน้ามา อย่าง เลดี้เจน เวลเลสลี่ย์ หลานท่านลอร์ด เวลลิงตัน  หรือ ลูเซีย ซานตา ครูซ ธิดาของท่านทูตสเปน
หรือ คามิลลา แชนด์ หลานทวดของหม่อม อลิซ เคปเปล พระสนมในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด ซึ่งต่อมา คามิลล่าได้ไปสมรสกับ
ผู้พัน แอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ โบว์ลส์

ความจริงคามิลล่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่ารัก เปิดเผยดี เพียงแต่ในยามนั้น เจ้าฟ้าชายยังอ่อนประสบการณ์ในเรื่องของความรักจนเกินไป เลยไม่ทรงทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเธอนั้นจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่า รักแท้"

.****คามิลล่าได้เคยเล่าให้น้องสามี ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ โบว์ลส์ ฟังว่า..เธอคือหญิงคนแรกที่สอนเรื่อง"อย่างว่า" ให้กับเจ้าฟ้าชาย (ปี 1971)
ตอนนั้นพระองค์ทรงเงอะงะมาก ทำอะไรไม่ถูก  ในที่สุด เธอได้ทูลผสมหัวเราะไปว่า..ไม่เห็นจะยากเลย..ก็นึกว่าหม่อมฉันเป็นม้าโยกซิเพคะ....

(ภาพนี้คือเดม บาร์บารา คาร์ทแลนด์ค่ะ )


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มี.ค. 06, 19:23
 สาวอีกนางหนึ่งที่ท่านลอร์ด หลุยส์พยามยามลุ้นอย่างตัวโก่ง นั่นคือ สาวน้อยวัยสิบห้า หลานสาวของท่านเอง
อาแมนด้า นัทชบูล ซึ่งเป็นธิดาคนที่สองของ ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น ที่มีอายุต่างกับเจ้าฟ้าชายถึงเก้าปี

***เดี๋ยวจะงง  ขออธิบายแทรกนิดค่ะว่า..ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น คือ ลูกเขย และ ลูกสาวคนโต ของท่านลอร์ด เธอมีนามเดิมคือ แพตตริเซีย เมาท์แบตเทน ที่ได้ไปแต่งงานกับ จอห์น นัทชบูล ซึ่งต่อมา จอห์นได้รับการถ่ายทอดบรรดาศักดิ์ลอร์ด บราเบิร์น จากบิดาที่ล่วงลับไป
แพตริเซีย จึงกลายมาเป็น เลดี้ บราเบิร์น

ต่อมาไม่นานจากนั้น ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ได้ทูลขอต่อสมเด็จในการที่จะยกฐานะลูกสาวคนโตให้ใช้ตามบรรดาศักดิ์ของตัวเอง เพราะว่าไม่มีลูกชายที่จะสืบสกุล.. แพตตริเซีย หรือ เลดี้ บราเบิร์น จึงได้กลายมาเป็น เคาน์เตสส์ เมาท์แบตเทน ออฟ เบอร์มา (Countess Mountbatten of Burma) ซึ่งเธอสามารถจะถ่ายเทบรรดาศักดิ์นี้ยังบุตรชายคนโตได้ต่อไป เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว..

อาแมนด้า คือ ความหวังอันสูงสุดของท่านลอร์ดที่จะเห็นหลานสาวของตัวเองขึ้นนั่งบัลลังค์อังกฤษในฐานะพระราชินีองค์ต่อไป
ดังนี้..การพบปะของคนทั้งสองมักมีขึ้นอยู่อย่างไม่ขาดระยะ โดยฝีมือของ"ท่านลอร์ดดัน"
หลังจากการที่ไปเที่ยวด้วยกันตามประสาพี่น้อง ที่บาฮามัส เจ้าฟ้าชายได้ทรงจดหมายมาเล่าว่า...
"หลานเพิ่งสังเกตุว่า น้องอาแมนด้าโตขึ้นมาก และที่น่าเป็นห่วงคือ เธอออกแววว่าเป็นสาวงามจัดทีเดียว"
เจ้าชายฟิลิปพอทรงทราบเรื่องเข้า รู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงตรัสว่า.."โล่งอกไปที...เป็นคนใกล้ตัวอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย"

ระหว่างที่ทุกคนเฝ้ารอให้อาแมนด้าประสีประสาขึ้นมาอีกสักหน่อยนั้น ท่านลอร์ดก็ได้จัดคู่ชกให้กับเจ้าฟ้าชายไปพลางๆ พร้อมทั้งกำกับใกล้ชิด โดยการสั่งสอนเตือนสติเสมอว่า....
หญิงคู่นอนน่ะ จะไปหาที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องที่จะเอามาเป็นคู่ครองจริงๆ นั้น ต้องเลือกเฟ้นราวกับการคัดเพชรน้ำเอกทีเดียวนะ...

เรื่องการหนุนหลังให้กับเจ้าฟ้าชาย ท่านลอร์ดถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติทีเดียว
และหวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงยังไม่ลืมนะคะว่า เด็กสร้างคนแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามนั่นก็มิใช่ใครอื่นไกล..เจ้าชายฟิลิป หลานแท้ๆ ของท่านลอร์ดนั่นเอง คราวนี้ต่อมาถึงรุ่นของเจ้าฟ้าชาย ที่ปู่น้อยอย่างท่านลอร์ดจะเฉยอยู่ได้อย่างไรกัน
แม้แต่การให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทม์ ท่านลอร์ดยังไม่วายชมเชยหลานของตัวเองว่า หล่อกว่าวาร์เรน เบ๊ตตี้ (ดาราหนุ่มรูปหล่อ น้องชายของดาราน่องทองเชอร์รี่ แมคเลน เกิดทันไหมเอ่ย??)
ท่านว่า หลานท่านน่ะ มีหญิงติดเยอะ ..

แต่ในเรื่องความหนักใจจริงๆ ที่ท่านลอร์ดไม่อยากบอกใคร..นั่นก็คือ หลานเจ้าฟ้าของท่านนั้น หลงรักคนง่าย..

บรรดานักข่าวต่างๆ จึงพากันรุมตอมเจ้าฟ้าชายอย่างตามติด ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน แม้กระทั่งไปทรงสกีที่เทือกเขาแอลป์ก็ยังไม่พ้นหูพ้นตา ขนาดในที่สุดลับเฉพาะ..
ที่เจ้าฟ้าชายพาแฟนสาว แอนนา วอลเลส ไปพร่ำพรอดรักที่ชายหาดของฝั่งแม่น้ำดี อยู่ในเขตพระราชฐานของพระราชวังบัลมอรัล ก็ยังไม่รอดพ้น
นายเจมส์ วิทเทเคอร์ นักข่าวคนหนึ่งได้เล่าว่า..
"ผมเเฝ้าซุ่มดูพระองค์และแอนนา โดยการหลบตัวอยู่ในพุ่มไม้ตั้งนาน..พอทุกอย่างกำลังเข้าไคล..พระองค์เกิดหันมาเห็นเราที่กำลังขยับกล้องส่องทางไกลอยู่..
ท่าวน้านแหละ ทรงกระโจนแผลวไปหลบอยู่หลังต้นไม้ทันที ทรงปล่อยให้แอนนารีบตาลีตาเหลือกคว้าผ้าผ่อนมาคลุมตัวอยู่คนเดียว..ช่างไม่แมนเอาซะเลย..ผมละรู้สึกอายแทน แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นข่าวหรอกนะ
เพราะอย่างไรเสีย พระองค์ก็คือกษัตริย์ของเราองค์ต่อไป"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:33
 ฉะนั้น ในทางภาพพจน์ที่ปรากฏตามหน้าสื่อแล้ว เจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมารแห่งสหราชอาราจักร
คือชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยประการทั้งปวง
หากแต่ในความเป็นจริง พระองค์ได้ถูกเปรียบไว้ว่าเป็นชายที่มีคนให้เกียรติยกย่อง ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุด
หากเพียง..แค่กล่าวขวัญถึงเท่านั้น แต่ไม่มีใครอยากคบค้าด้วย
เพราะ พระองค์ช่างเคร่งเครียด ไร้อารมณ์ขัน แก่มารยาทไปจนเกินเหตุ
เจ้าฟ้าชายเอง ก็ยังเคยกล่าวให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
"เราไม่ใช่คนที่มีสามัญสำนึกอย่างธรรมดาๆ ถึงอยากจะเป็น เราก็เป็นไม่ได้ ทุกอย่างสำหรับเราคือระเบียบและวินัยที่ถูกฝึกมาให้รู้จักคำว่าภาระและหน้าที่ที่ต้องพึงปฏิบัติต่อราชบัลลังค์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
นี่คือข้อแตกต่างที่ทำให้เราไม่เหมือนกับคนอื่นๆ "

ความแตกต่างที่ว่านี้ ทำให้เพื่อนนักศึกษาที่เคมบริดจ์มักจะถากถางพระองค์เป็นประจำไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง..เช่นเรื่องการเรียน ที่พวกนักศึกษาที่เก่งๆ มักจะเลือกสอบสี่วิชาที่จะผ่าน A-level
พวกปานกลางก็สอบสามวิชา พวกหางแถวได้รับอนุญาตให้สอบแค่สองวิชา..เจ้าฟ้าชายคือพวกอันดับหลัง..
หรือ เรื่องที่ทรงฉลองพระองค์ด้วยสูทสีขรึมเข้าชั้นเรียนทุกครั้งนั้น พวกนักศึกษาร่วมชั้นก็จะค่อนขอดเสมอว่า..
ช่างโบราณได้อารมณ์จริง จริ๊งงง...
ที่สำคัญของการล้อเลียนอย่างสุดๆ นั้น คือ ใบพระกรรณที่กางโก่งออกมาอย่างผิดปรกติ
ซึ่งลักษณะที่ว่าผิดปรกตินั้น ทรงถูกล้อเลียนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนแม้แต่ตัวพระองค์เองก็ยังขาดความมั่นพระทัย ดูได้จากการที่มักจะทรงหมุนพระธำมรงค์ตราประจำเวลส์ที่ทรงสวมอยู่ไปมาเสมอ

เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตเคยทูลแนะนำสมเด็จให้เจ้าฟ้าชายได้เข้ารับการศัลยกรรม ปรับปรุงพระกรรณให้เป็นที่เป็นทางขึ้น
แต่..ไม่ได้ผลอันใด
ส่วนเดวิด พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต พอมีพระชนมายุได้สามชันษา ก็มีแววว่า "หูกาง" ออกมาบานเบิกเช่นกัน เจ้าฟ้าหญิงจึงมิได้รอช้า ส่งเข้าโรงพยาบาลเด็ก เกรท ออสมอนด์ สตรีท
เพื่อเข้าทำการผ่าตัดเก็บแนบทันที..
เจ้าฟ้าหญิงทรงตรัสติดตลกว่า..นี่คือสำเนาของหูวินด์เซอร์ที่ถูกต้อง...
แม้แต่ท่านลอร์ดเองก็ยังพยายามที่จะทูลสมเด็จถึงเรื่องนี้ ถึงกับทูลแรงๆ ว่า..
"เราจะมีกษัตริย์ที่มีพระกรรณใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?"
นายนอร์แมน พาร์คินสัน จิตรกรวาดพระสาทิสสลักษณ์ด้วยสีน้ำมัน ทนไม่ได้ในยามที่จะต้องวาดเจ้าฟ้าชาย เขาถึงกับต้องจัดการนำ
เทบกาวสองด้านมาติดที่หลังพระกรรณให้..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:35
 ข้าราชบริพารเก่าแก่มักจะแก้ข้อสงสัยให้ในยามที่มีคนสงสัยเสมอ ว่า เจ้าฟ้าชายนั้นทรงเติบโตมาอย่างไร?
คำตอบที่ออกมาเหมือนๆ กันก็คือ
"พระองค์ทรงเคร่งในวินัย เคร่งมารยาท แค่ติดขรึมๆ เหมือนสมเด็จพระราชินี ไม่ค่อยซน ไม่เหมือนกับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ที่เก่งกล้า คล่องแคล่วสารพัด เหมือนกับเจ้าชายฟิลิปพระบิดา จนสององค์นี่น่าจะสลับเพศกัน จะเหมาะมาก"
ส่วนเจ้าฟ้าชายก็ขยันให้สัมภาษณ์พอประมาณ ดังที่ยามนักข่าวถามถึงเรื่องคู่ครอง..ว่าจะทรงเลือกพระราชินีอย่างไร?
เพราะเท่าที่ติดตามกันมา เห็นว่า สาวๆ ส่วนใหญ่ที่ทรงเดทมักจะมีอะไรที่คล้ายๆ กัน คือ สูง เพรียว ผมสีบลอนด์ เข้าข่ายลักษณะของเหล่านางฟ้าชาร์ลี
คำตอบคือ..
"ฉันกลัวเรื่องนี้ที่สุด เรื่องการแต่งงานเนี่ย..เพราะสำหรับฉันแล้วจะเป็นการที่ตัดสินใจพลาดไม่ได้เลย การหย่าร้างนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสถานะของคนอย่างฉัน ฉะนั้น จึงต้องค่อยๆ เลือก ค่อยๆ คิดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง"
และ
"ถ้าฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนยาวนานถึงห้าสิบปีละก้อ แน่นอนว่า ต้องใช้สมองคิดมากกว่าความปรารถนาของหัวใจ เพราะ แค่เพียงหลงรักใครสักคนหนึ่งนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการตัดสินใจ"

ที่เจ้าฟ้าชายได้ทรงให้สัมภาษณ์อย่างเปิดพระอุระขนาดนั้น เนื่องจากในตอนนั้น ข่าวการแตกแยกของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับลอร์ดสโนว์ดอนกำลังร้อนระอุ และ หนังสือพิมพ์ต่างก็กำลังเบิกบานกับเสรีภาพของการเขียนเรื่องซุบซิบภายในพระราชวัง..
ทุกอย่างจึงออกมาด้วยภาพที่มีสีสันกว่าการเบาะแว้งของคู่ไหนๆ ในประวัติศาสตร์แห่ง เดอะ เฟิร์ม...วินด์เซอร์


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:37
 นิตยสารอิตาเลี่ยน ได้พาดหัวข่าวว่า.."ปาร์ตี้ที่เร้าใจ และ ร้อนเร่า " ที่มีข่าวของลอร์ด สโนว์ดอน กำลังเริงรื่นไปกับการสะสมภาพโป๊ๆ สารพัด
รายการโชว์ สปิตติ้ง อิมเมจ ได้ทำข่าวลอร์ด สโนว์ดอน และ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรอย่างไม่มีใครเหมือน
นิตยสารเอสไควร์ ได้ทำข่าว ใจความว่า สองสโนว์ดอนทำตัวไม่น่านับถือ แม้แต่เพื่อนสนิทยังหมดความเคารพ..

ยามที่เจ้าฟ้าหญิงได้โทรศัพท์ไปต่อว่า...ในเรื่องของข่าวที่เรียกพระนามโดยไม่มีพระอิสสริยศนำ
บรรณาธิการ คือ พระสหายเก่าแก่ของเจ้าฟ้าหญิงตั้งแต่เล็กแต่น้อย สวนกลับคืนไปว่า..
"ก็ทีพระองค์ยังเรียกใครต่อใครด้วยชื่อแรก ทำไมเราจะเรียกพระองค์ว่า มาร์กาเร็ต (เฉยๆ ) บ้างไม่ได้ล่ะ?"
"เธอจะมาเรียกฉันอย่างนั้นไม่ได้..จำเอาไว้....."
ทรงขู่ฟ่อกลับมา พร้อมการตัดสัมพันธ์

ใครต่อใครต่างก็รู้และต้องทำใจว่า..เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ ทรงเอาแต่พระทัย และทรงเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นที่สุด พระองค์โปรดที่จะให้เรียกขานว่า
มาดาม..หรือ มาดามดาร์ลิ่งค์ และต้องลงท้ายด้วยว่า Her Royal Highness อีกทั้งทรงโปรดการถวายความเคารพ ทั้งการถอนสายบัว และ การโค้งคำนับ
ยามเมื่อเสด็จเข้ามาในห้อง หมายถึงว่า ไม่มีใครกล้าบังอาจขอตัวกลับก่อนได้
หรือถ้าทรงโปรดที่จะลีลาศจนถึงสว่าง ทุกคนก็จะต้องร่วมลีลาศจนถึงเช้าด้วยเช่นกัน
หรือถ้าจะทรงร้องเพลง ทุกคนต้องนิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง..

(ภาพนี้คือเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ทรงฉายพร้อมพระสวามีและโอรสธิดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:39
 เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและพระสวามีถึงคราวที่เรียกว่า ต่างคนต่างไป...พระองค์ได้ไปทรงสร้างบ้านพักแบบไปรเวทที่เกาะมัสตีค คาริบเบียน ซึ่งลอร์ดสโนว์ดอนไม่เคยได้ย่างกรายไปเหยียบ
เพราะตัวเองก็มีเรือนหลังเล็กที่อยู่อย่างสันโดษในแขวง ซัสเซกค์ ที่เจ้าฟ้าหญิงก็มิเคยได้เสด็จไปเช่นกัน..
ทั้งคู่ต่างมี"คนรัก"ของตัวแนบข้าง ของใครของมัน ..

ของเธอ คือ ไม่เฉพาะเจาะจงลงไป ตามแต่จะพอพระทัย..ในกลุ่มพระสหายที่เข้ามาวนเวียนนั้น คือ ดาวร๊อคชื่อดัง มิค แจ๊กเกอร์, ดาราชื่อก้อง ปีเตอร์ เซลเล่อร์, นักเขียนลูกขุนนาง นาย รอบิน ดักลาส-โฮม,
ช่างภาพมือหนึ่ง นายแพทริค ลิชฟิลด์ (คนนี้คือพระญาติแท้ๆ เพราะมารดาของนายแพทริค คือ แอนน์
โบลส์-ลีออง ลูกสาวของน้องชาย ควีนมัม)

ของเขาคือ เลดี้ จาคเกอลีน รัฟฟัส-ไอแสคส์ ที่มีอายุเพียง ยี่สิบปี

ข่าวของการเดทอย่างหวานแหววระหว่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับนาย รอบิน ดักลาส-โฮม นักเขียนหลานชายอดีตรัฐมนตรี เซอร์ อเล๊ค ดักลาส-โฮม ได้กระพือไปถึงหูของท่านลอร์ด สโนว์ดอน
ในขณะที่เขาได้ออกไปทำงานถ่ายภาพไซด์ไลน์ ให้กับหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ ว่า ทั้งสองเดทกันเฉยๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ หากแต่..เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงพาชายอื่นไปเริงรื่นในบ้านน้อยๆ ของเขาในซัสเซกค์นี่ต่างหาก
ที่มันสุดจะทน..
เขาจึงกลับมาอาละวาดแบบไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ซึ่งอันเป็นสาเหตุให้เจ้าฟ้าหญิงต้องเขียนจดหมายอำลากับ"กิ๊ก"ทันที..
ในจดหมาย พระองค์ว่า..
"สุดที่รัก..ฉันไม่รู้จริงๆ ว่า เขาจะอาละวาดต่อไปอีกถึงขนาดไหน ยามที่เขาโมโหถึงขนาดนี้ เดาใจกันยาก และนี่เขายังไม่รู้เรื่องของเราทั้งหมดด้วยนะ..ระวังตัวกันไว้หน่อยก็ดี ทั้งทางฉันและทางเธอ
สัญญานะ..ว่าเรายังจะไม่ลืมกัน เราจะยังเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจเสมอใช่ไหมจ๊ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้ฉันด้วย สักวันหนึ่ง..ฉันจะกลับมาหาเธออีก แต่ในขณะนี้..ฉันยังไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น
หวังว่าเธอคงเข้าใจ.."

ถึงแม้เจ้าฟ้าหญิงจะทรงยอมสลัดกิ๊ก แค่รอยร้าวฉานนั้นมันได้แตกแยกเป็นทางยาวจนไม่อาจสมานได้เสียแล้ว..
ในเมื่อทั้งคู่ต่างต้องจำใจ"ทนอยู่" เพราะสถานะภาพทางสังคมที่ค้ำคอ
ดังนั้น..การทะเลาะเบาะแว้ง จิกกัด ประชดประชัด กระแนะกระแหนจึงตามมาในทุกโอกาสที่มี..
ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงปล่อยพระองค์ตามสบาย อย่างไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น การทรงพระโอสถมวนได้เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างน่าตกใจ การเสวยน้ำจันก็หนักขึ้นถึงขนาดจิบยินโทนิคพร้อมกับพระกระยาหารเช้า
เมื่อทรงเกิดมีอาการของโรคประจำพระองค์ขึ้นมา คือ ไมเกรน ก็ทรงเสวยยานอนหลับเป็นการผ่อนคลาย โปรดการพบจิตแพทย์ ยามที่ทรงกลัดกลุ้มพระทัย
ฝ่ายท่านลอร์ด พระสวามี ก็แยกตัวไปอยู่ตามลำพัง ครั้งละนานๆ เป็นอาทิตย์ เขาได้ประกาศให้ทรงทราบเสมอ ว่า อยากจะหย่าอย่างเต็มทน...
แต่ฝ่ายหญิง..ไม่ยินยอมพร้อมพระทัยในเรื่องของการหย่าร้าง เพราะทรงทราบดีว่า เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ของเดอะ เฟิร์ม อีกทั้งต้องทรงคิดถึงพระโอรส เดวิด และพระธิดา ซาร่าห์ ที่ยังเล็กอยู่มากแค่ หกขวบ กับสามขวบ..
จนในที่สุด..ลอร์ด สโนว์ดอน ...ขอเข้ากราบบังคมทูลต่อสมเเด็จเอง ในการที่จะขอแยกตัวออกไปให้พ้นๆ เพราะทนต่อการเป็น"เขยเจ้า" ไม่ไหวแล้ว..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:42
 สมเด็จทรงปฏิเสธที่จะรับฟังในเรื่องปัญหาครอบครัว เรื่องของผัวๆ เมียๆ
จนกระทั่ง ข่าวได้พาดหัวในหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซ์เปรส ถึงเรื่องการร้าวฉานของครอบครัวสโนว์ดอน เรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนที่สนใจไปทั่วประเทศ...
พระองค์จึงต้องเรียกเจ้าปัญหาทั้งคู่มาพบ ที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ในคืนของวันที่ 18 ธันวาคม 1967 พร้อมกับ เจ้าชายฟิลิป และ ควีนมัม ที่ต้องมาร่วมรับฟัง
เจ้าชายฟิลิป ทรงเห็นว่า น่าจะมีการแยกกันอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องกระโตกกระตากบอกใครต่อใคร..
ควีนมัมก็ได้แต่ทรงกรรแสง มิยอมตรัสอะไรทั้งสิ้น
สมเด็จ..ทรงโดดเดี่ยวเกินไป...ต่อการที่จะตัดสินพระทัยด้วยองค์เองให้เด็ดขาด
ลอร์ดสโนว์ดอน..นั่งกระสับกระส่ายรอฟังคำวินิจฉัย และ ขยับ"หลักฐาน" คือจดหมายรักสองสามฉบับของนายรอบิน ดักลาส-โฮม ที่เตรียมมาในกระเป๋า พร้อมที่จะนำออกมาแฉต่อหน้าพระพักต์
แต่..สมเด็จได้ทรงตรัสออกมาว่า..รอไปหน่อยนะ ขอฉันได้ไปปรึกษากับฝ่ายเสนาบดีก่อน
เขาจึงลุกขึ้น ถวายคำนับและเดินออกไปเงียบๆ
ส่วนเจ้าฟ้าหญิงได้ออกมาเล่าให้พระสหายฟังว่า สมเด็จได้แอบเอ็ดเอาว่า..
"ทำไมจะแยกกันทั้งที ต้องให้มันวุ่นวายคนอื่นด้วยนะ ทำให้มันเงียบๆ ไม่ได้หรือไง?"

ส่วนลอร์ดสโนว์ดอน ..ออกมาแล้วก็ให้รู้จึกอึดอัดใจยิ่งนัก เพราะเท่ากับว่า ต้องทนอยู่คาราคาซังไปอย่างนี้ โดยไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใด..กว่าจะทรงอนุญาต
ดังนั้น สงครามอารมณ์ และ สงครามปาก จึงได้เกิดขึ้น...ไม่ว่าลับหลัง หรือ ต่อหน้าชาวประชา..
ดังตอนที่ ทั้งสองจำใจต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันที่ คอร์ฟู, ประเทศ กรีซ หลังจากการเสวยพระกระยาหารกลางวันได้ผ่านไป.เจ้าฟ้าหญิงทรงเสด็จกลับไปห้องบรรทมเพื่อการนอนพักผ่อนก่อนที่จะถึงเวลาดินเนอร์
ต่อมาไม่นาน ทรงพยายามที่จะติดต่อกับท่านลอร์ด พระสวามี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทรงโทรเรียกที่ห้องเท่าไหร่ ก็ไม่รับสาย..
ในที่สุด พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากพระที่ เสด็จไปกดกริ่งเรียกที่หน้าห้องด้วยองค์เอง ในชุดบรรทม รองพระบาทแตะ พระเกศายุ่งเหยิง
ปรากฏว่า..ผู้ที่ออกมารับหน้า... คือกลุ่มๆ เพื่อนของท่านลอร์ดที่ได้เชิญมาทานน้ำชากำลังปาร์ตี้กันในห้องอย่างสนุกสนาน
ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดที่เห็น "เจ้าหญิงแร้งทึ้ง" ยืนเด่นเป็นสง่าที่หน้าประตู...
เจ้าฟ้าหญิงแทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต..เพราะ เสียรู้ในแผนการฉีกพระพักต์ให้อับอายครั้งนี้ของท่านลอร์ด...


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:45
 จากนั้น..คือ การเปิดฉากฟาดฟันครั้งใหญ่ ที่..ไม่ว่าจะเป็นการทำกาแฟหกรดราดบนแผ่นฟิล์มงานของลอร์ดสโนว์ดอน ที่จะมีพระสุรเสียงเล็กแหลม ตามมาว่า
"อุ๊ยตาย โทษที ไม่ทันเห็น"
...หรือ...
ในงานดินเนอร์สันนิบาตที่มหานครนิวยอร์ค ที่มี แม่งานคือธิดาอดีตท่านทูตอเมริกาประจำอังกฤษ นาง ชาร์มาน ดักลัส ผู้ซึ่งต้องเดินไปมาสังสรรค์กับแขกเหรื่อวีไอพีต่างๆ
ท่านลอร์ด สโนว์ดอน ยืนคุยกับกลุ่มเพื่อนๆ อยู่มุมหนึ่ง  เจ้าฟ้าหญิง ก็ประทับอยุ่อีกมุมหนึ่ง..
นางชาร์มาน ได้เข้ามาถวายความเคารพและถามถึงโดยมารยาทระดับอินเตอร์ว่า
"Queen ทรงพระเกษมสำราญดีหรือเพคะ?"
เจ้าฟ้าหญิงทรงกรีดพระสุรเสียงขึ้นอย่างไม่เบานัก...ว่า..
"คุณหมายถึง ควีนคนไหนล่ะ..ควีน.แม่ฉัน..ควีนพี่สาวฉัน หรือ อีควีนผัวฉัน...????"
สิ้นประโยค..เล่นเอาทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

พองานเลิก..เจ้าฟ้าหญิงทรงมีพระประสงค์ที่จะเสด็จไปขอบใจเหล่าพนักงานฝ่ายบริการอาหาร ถึงในครัว.. จึงส่งมหาดเล็กให้ไปเชิญท่านลอร์ด พระสวามีให้ไปด้วยกัน..
มหาดเล็กจึงไปตามพระบัญชา..และเรียนให้ทราบตามนั้น  ท่านลอร์ด ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้..ไม่ได้ยิน....
จนมหาดเล็กจึงต้องพยายามใหม่ พูดให้ดังกว่าเก่า..ว่า
"ท่านครับ..เจ้าฟ้าหญิงทรงให้กระผมมมาเรียนว่า พระองค์พร้อมที่จะเสด็จไปในครัวแล้วขอรับ"
เสียงตอบกลับมาก็ดังไม่แพ้กันว่า...
"งั้นเหรอ..แล้วจะเสด็จไปทำไมล่ะ ในครัวนั่นน่ะ จะไปทรงเจียวใข่หรือไง???"

อาทิตย์หนึ่งต่อมา..ทั้งเจ้าฟ้าหญิง และพระสวามี ต้อง (จำใจ) ไปในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ เจ้าภาพต้องกลับมาเล่าด้วยความอับอายว่า
อาหารคอร์สแรกได้ผ่านไป ท่านลอร์ดได้นำถุงกระดาษขึ้นมาสวมหัว..ทุกคนแปลกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
เจ้าฟ้าหญิงทรงอดรนทนไม่ได้ ตรัสขึ้นมาว่า..
"จะบ้าหรือไง..ทำไมต้องเอาถุงมาคลุมหัวฮะ..??"
"ไม่อยากจะมองหน้าเธอน่ะซิ"
เท่านั้นไม่พอ..ทุกโอกาสที่มี ท่านลอร์ดมักจะติเตียนเรื่องฉลองพระองค์ และฉลองพระบาท แบบไม่มีการไว้พระพักต์ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใคร..
อย่างฉลองพระองค์ ที่บานพริ้วผ้าชีฟอง สีเจิดจ้า เขาจะพูดขึ้นมาว่า...
"คุณนาย..นั่นเสื้อผ้าหรือนั่น..นึกว่าเป็นร่มนักบินซะอีก"
ฉลองพระบาท..ก็ไม่วายโดนว่า
"โอ้...ให้ตายเถอะ ที่มันโบราณ รุ่นหลังสงครามเลยนะเนี่ย"
(เนื่องจาก เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดรองเท้าแบบรองพื้นหนาๆ เพื่อที่จะหนุนให้ดูสูงขึ้น)

และแน่นอน เมื่อข่าวของการร้าวฉานได้แพร่ออกไปทีไร
คนที่โดนยำเละ นั่นคือ ท่านลอร์ด ชาวดินที่หาญกล้าโน้มดอกฟ้าลงมาและไม่รู้จักรักษา ทนุถนอม นี่คือเสียงที่สะท้อนกลับมา..
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจุมพิตทักทายแนบประกบปากกับรูดอล์ฟ นูริเยฟ ดาราบัลเล่ต์ชายชื่อก้องโลก
หรือการไปปรากฏตัวที่งานด้วยใบหน้าที่ครบเครื่องไปด้วยเครื่องสำอาง..
ความจริงแล้ว..ในอดีต ท่านลอร์ดสโนว์ดอน ได้เคยช่วยงานในพระราชกรณียกิจอย่างแข็งขัน จนสมเด็จพระราชินีโปรดปรานและพอพระทัยต่อชายสามัญชนคนนี้ไม่น้อย..
อย่างครั้งหนึ่ง ที่ได้เสด็จไปในงานเลี้ยงฉลองรางวัลออสการ์ของนักถ่ายภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ที่พระองค์ได้ทรงถามกับเจ้าของรางวัลว่า
"ในการทำภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนี่..คุณได้ทำหน้าที่อะไรบ้าง?"
"กระหม่อมทำหน้าที่เป็นช่างภาพพะยะค่ะ"
"เหรอ..น่าสนใจจัง ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะฉันเองก็มีน้องเขยเป็นช่างภาพเหมือนกัน.."
"นั่นซิ..ช่างบังเอิญจริงๆ พะยะค่ะ เพราะกระหม่อมก็มีน้องเขยเป็น"ควีน" เช่นกัน"
สมเด็จทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป แบบว่า ไม่ทรงได้ยิน..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:54
 มาถึงปี 1972 คือปีที่แสนบังเอิญ..ที่สมเด็จได้ทรงประพาสประ
เทศฝรั่งเศสห้าวันตามคำเชิญของรัฐบาล
และในโอกาสเดียวกันนั้น คืออาการร่อแร่ของท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ วัย เจ็ดสิบเจ็ด
ที่ทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จเข้าเยี่ยมเยียน พระปิตุลา เนื่องจากว่า แพทย์ประจำตัวของท่านดยุค ได้ส่งรายงานไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า
"คราวนี้ เห็นทีจะไม่รอดพะยะค่ะ"
ซึ่งวันต่อมา..ท่านทูตอังกฤษ นาย นิโคลาส โซเมส รีบติดต่อแพทย์เจ้าของรายงานด่วนว่า..
"ฟังนะ คุณหมอ คุณจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของคุณ แต่..ท่านดยุคจะต้องตายก่อน หรือ ตายหลังจากที่ได้เสด็จเยือนฝรั่งเศสแล้ว..ไม่ใช่ในช่วงระหว่าง..เข้าใจไหม?"

นักข่าวต่างพากันกระหายที่จะทำข่าวนี้กันมากที่สุด เพราะ ทุกคนอยากที่จะรู้ว่า หลังจากที่มีการตัดญาติขาดมิตรกันมานาน คราวนี้จะมีการพบกันจริงๆ หรือไม่ ?
ท่านราชเลขาส่วนพระองค์ฯ ได้บอกตัดบทสั้นๆ กับนักข่าวว่า
"คุณก็รู้ว่าท่านดยุคเจ็บหนัก ผมก็รู้ว่าท่านก็ร่อแร่...แต่.."บางคน" ที่ ไม่รู้ และไม่ชี้ ก็มีนี่นา..."

การเสด็จฝรั่งเศสครั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้โดยเสด็จไปด้วย และได้เข้าทำความเคารพต่อพระอัยกา ถึงที่บ้านพักตำบล บาส์ เดอ บูลองน์ (Bois de Boulogne) ชานกรุงปารีส
ที่นั่น พระองค์ได้ทรงพบกับพระญาติที่มิเคยได้ทรงรู้จักมาก่อน เขาคือชายชราที่มีสภาพทรุดโทรมไปด้วยอาการของมะเร็งในปอดระยะสุดท้าย
ชายชราคนนั้นพยายามยันกายลุกขึ้นเพื่อมายืนถวายความเคารพ..ก่อนที่จะสิ้นใจไปในเวลาไม่กี่วันต่อมา..
ภาพที่ทรงเห็น..ทำให้เจ้าฟ้าชายถึงกับสงสารพระอัยกาผู้อาภัพคนนี้นักหนา..
หม่อมวอลลิส สะใภ้จงชังของวินด์เซอร์ขนานแท้และดั้งเดิมนั้น ได้รู้สึกตัวทันทีว่า สมเด็จพระราชินีนั้น ทรงชาเย็นอย่างเหลือเชื่อ และ พอเข้าใจในการเสด็จเยี่ยมในครั้งนี้ว่าเป็นการเมืองมากกว่าการมีแก่ใจที่จะอยากเสด็จมาเอง..

เจ้าฟ้าชายชารลส์ ก็รู้สึกสงสารหม่อมสุดหัวใจเช่นกัน ที่ต้องโดนการกีดกันสารพัดมาตลอดชีวิต ถึงกับเสนอว่า จะทรงไปรับที่สนามบินยามที่หม่อมไปร่วมในพิธีพระศพของท่านดยุค
แต่..ข้อเสนอนี้"ไม่ผ่าน"ความเห็นชอบจากรัฐสภา ที่ลงมติว่า เป็นการไม่สมควรที่เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมารจะต้องเสด็จไปรับหญิงม่ายสามัญชน..
และมตินี้..เจ้าฟ้าชายทรงทรงทราบซึ้งในพระทัยเป็นอย่างดีว่า...มาจากใคร ถ้าไม่ใช่จากควีนมัม พระอัยยิกาเจ้า..

ผู้ที่ต้องเสนอตัวไปรับแทน..นั่นคือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน
และในพิธีพระศพครั้งนี้ หม่อมวอลลิส ได้รับการอนุญาตให้พำนักในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้ แต่..แค่เฉพาะระหว่างวันงานพิธีเท่านั้น..
ทันทีที่หม่อมวอลลิสได้มาถึง..เข้าพำนักตามที่ได้จัดให้ คณะเดอะ เฟิร์ม ทั้งหมดได้ต่างพากันผันผายไปอยุ่กันในพระราชวังวินเซอร์จนหมด ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวอย่างอ้างว้างในบั๊คกิ้งแฮมนั่นเอง

(ภาพนี้คือดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ในวันสมรส)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มี.ค. 06, 08:57
 ท่ามกลางกลิ่นควันของการเบาะแว้งของครอบครัวสโนว์ดอน
ท่ามกลางความรักที่ไม่สมดุลย์ของท่านดยุค ออฟวินด์เซอร์และหม่อม
ยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างกระแสกดดันให้กับเจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่ต้องทรงเคร่งครัดรักษากฎมณเฑียรบาลสองข้อสำคัญ เกี่ยวกับการอภิเษกคือ
ข้อ 1701 ที่ห้ามมิให้ผู้สืบสันตะติวงค์ทำการสมรสกับชาวโรมัน คาธอลิค
ข้อ 1772 ที่มีว่า..ผู้ที่อยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังค์ ถ้าจะมีการอภิเษกก่อนมีพระชนมายุ ยี่สิบห้า ชันษา ต้องทูลขอพระบรมราชานุญาต
ถ้าเกินไปกว่านั้น ต้องประกาศความตั้งใจให้เป็นทางการ และรอให้ได้รับอนุญาตจากรัฐสภาเสียก่อน จึงจะทำการอภิเษกได้
ซึ่งประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะเห็นว่า..นางผู้ใดกัน...ที่จะมาเป็นพระราชินีของพระองค์ จะงามเหมาะเจาะ และ มีความเหมาะสมสักแค่ไหน..
(การเฝ้ารออย่างออกหน้าออกตาของใครต่อใครนั้น เริ่มมาตั้งแต่เจ้าฟ้าชายทรงมีพระชนมายุได้เพียงสามชันษาได้มัง..)

ไหนจะยังงานครบรอบอภิเษกครบยี่สิบห้าปีของสมเด็จและเจ้าชายฟิลิป ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นงานพระราชพิธีครั้งใหญ่ ในเดือน พฤศจิกายน ปี 1972 นี่อีก
ที่ชาวประชาต่างพากันสรรเสริญและร่วมกันฉลองอย่างครึกครื้นไปทั่วประเทศ ถึงการถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร..

สมเด็จได้ทรงเชิญคู่แต่งงานที่เป็นชาวบ้านธรรมดามาร่วมในงานเลี้ยงด้วยถึง หนึ่งร้อยคู่ เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ทำการสมรสในวันเดียวและปีเดียวกันกับพระองค์
ผู้คนต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาในกรุงลอนดอนกันอย่างแน่นขนัด เพื่อที่จะได้ชื่นชมในพระบารมี อีกทั้งมีการถ่ายทอดโทรทัศน์
ท่านนายกเทศมนตรีได้กล่าวถวายพระพร พร้อมทั้งแสดงปลาบปลื้มในพระกรุณามหาธิคุณที่ได้ทรงเปิดพระวโรกาสให้คนที่อยู่ห่างไกลมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด

จากนั้น ท่านรัฐมนตรีปากจัด นาย วิลลี่ แฮมมิงตัน ได้ขึ้นถวายพระพรและร่วมถวายความยินดี ซึ่งผู้คนต่างพากันไม่เชื่อหูว่าจะได้ฟัง เพราะนายคนนี้เป็นคนหนึ่งที่มักจะกล่าวถึงพระราชวงค์แบบติเตียนเสมอ แต่เขาได้กล่าวคำถวายพระพรไปไม่กี่คำ
เสียงเคาะจานโลหะ ด้วยช้อนส้อมได้กังระรัวขึ้นเป็นจังหวะ จากกลุ่มหัวเอียงซ้าย..ที่ได้พากันประท้วงว่า..
"นี่คือการหากินของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยใช้ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง"

ต่อมา นายวิลลี่ ได้นำข้อความจากคนกลุ่มนี้ มาเสนอต่อรัฐสภา ถึงเรื่องของเดอะ เฟิร์ม นี่ว่า..
เรื่องรายได้ในการจัดงานต่างๆ เหล่านี้ น่าจะมีการผลักเข้ากองการกุศลสงเคราะห์แม่และเด็กบ้าง.. ทุกคนต่างทำเป็นไม่ได้ยิน....ในสิ่งที่เขาได้ร้องขอ
เขามาเล่าว่า...
"ในตอนนั้นน่ะ ทุกคนมองเห็นผมเป็นไอ้บ้า เพ้อเจ้อ แต่อีกยี่สิบปีต่อมา การแข่งกันหาเงินเข้าการกุศลของ เดอะ เฟิร์มกลายเป็นแฟชั่นสุดฮิต"

สมเด็จได้ทรงกล่าวคำปราศรัยที่จับจิตคนฟัง ว่าด้วยเรื่องของการครองเรือน ที่หมายถึงการรวมชีวิตของคนทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียวนั้น ยังไม่เพียงพอ
เพราะครอบครัวที่ดีต้องมีพร้อมทั้งความรักของเหล่าญาติ ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้น้อย เช่น ปู่ย่าตายาย ลุงอาหลานที่ต่างต้องสมานสามัคคีกันเข้าไว้...
สิ้นเสียงตรัส ผู้คนต่างพากันเพิ่มความรัก เทิดทูนบูชาพระราชินีของเขากันอย่างหมดใจ
เพราะนี่คือ สภาพส่วนใหญ่ของครอบครัวชาวอังกฤษ ที่ถือเป็นมาตรฐานในการรักษารากฐานของขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้น  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:10
 หลังจากที่ผลสำเร็จของการจัดงานฉลองวันครบรอบอภิเษกผ่านไปเพียงไม่เท่าไร สมเด็จได้ทรงจัดส่ง"ข้อความสำคัญ"ให้กับคณะรัฐบาล
ว่าด้วยเรื่องการขอขึ้นเงินเบี้ยหวัดรายปีให้กับเดอะ เฟิร์ม ในขณะที่ตอนนั้นคนว่างงานในอังกฤษมีถึงหลักล้าน

แต่คณะรัฐบาลต่างพากันเห็นด้วยเกือบทั้งหมด ในการที่จะถวายเงินเพิ่ม ยกเว้นอยู่คนเดียวที่ยกมือขึ้นคัดค้าน..
เขาคือ นายวิลลี่ แฮมมิงตัน เจ้าเก่า..ที่เขาลุกขึ้นแถลงว่า
"ทำไมพระองค์ต้องมีเงินรายได้เพิ่มขึ้นเป็นล้านปอนด์ ในเมื่อคนจนยังต้องนอนหนาวกันกลางถนน แล้วดูรายการนี่ซิ ...รายการค่าใช้จ่ายของควีนมัมที่มีพระกำนัลสายในถึง สามสิบสามคน
ไม่นับนางสนองพระโอษฐ์ดูแลในห้องอีก ห้า ดูแลนอกห้องอีก สิบเอ็ด ห้องอะไรจะใหญ่โตขนาดนั้น
จริงอยู่... พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว แต่คนแก่ที่ไหนจะใช้จ่ายสิ้นเปลืองเท่านี้ จะว่าพระองค์ทรงน่ารัก สรวลง่าย.. ป๊าดธ่อ...ถ้าลองยายผมได้รับเงินมากขนาดนี้ต่อปีละก้อ รับรองว่าท่านก็หัวเราะเอิ้กอ้าก..ยิ้มไม่หุบเช่นกัน.."
ไม่ว่าเสียงทัดทานจะอื้ออึงจากฝ่ายจารีตนิยมมากเท่าใด เขายังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น ต่อด้วยว่า..
"แล้วเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่แสนไม่เอาไหนนั่น เลิกเลี้ยงกันซะที..ไม่ได้ทำตัวให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาสักนิด"
หรือไม่เว้นกระทั่ง..
"งานของสมเด็จน่ะ ที่ว่ายากๆ กระผมเชื่อว่า ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของหญิงชาวอังกฤษคนไหนหรอก"

นายวิลลี่ ได้มาเล่าให้ฟังในปี 1993 ว่า ในครั้งนั้น เขาได้เสนอให้มีการตรวจสอบฐานะทางการเงินของเดอะ เฟิร์ม ด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่ากี่ครั้งกี่ครั้งที่ทางสำนักพระราชวังของเงินเพิ่มมา ไม่เคยมีใครขัดข้อง ต่างพากันถวายแต่โดยดี..

พอเขาได้เสนอความคิดเห็นเรื่องขอตรวจสอบบัญชีค่าใช้จ่ายไป..มีคนโกรธแค้นถึงกับขู่ฆ่าเอาชีวิต
เจ้าชายฟิลิปเรียกเขาว่า ไอ้คอมมิวนิสต์
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตเรียกเขาว่า ไอ้ไพร่ชาวสก๊อต..
คำว่า"ไพร่" นั้น มักจะทรงใช้อย่างติดพระโอษฐ์เป็นประจำ ไม่ว่าจะทรงเรียกใครต่อใคร แม้กับพระอัยยิกาเจ้า

พระนางแมรี่ ที่ไม่ต้องด้วยอุปนิสัยของพระนัดดาอย่างเจ้าฟ้าหญิง
มาร์กาเร็ตนัก จึงมีการไม่ลงรอยกันอย่างบ่อยครั้ง  เจ้าฟ้าหญิงเคยตรัสให้ใครต่อใครได้ยินเสมอว่า
"ก็เพราะสมเด็จย่าทรงมีปมด้อยน่ะซิ..ที่ไม่ได้ทรงเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างเรา"

(หมายเหตุ พระนาง แมรี่ ฐานันดรดั้งเดิมเป็นเจ้าหญิงก็จริงค่ะ แต่เป็นเจ้าที่ในอังกฤษถือว่าต่ำศักดิ์ที่สุด เนื่องจากพระบิดาของพระนางแมรี่ เป็นบุตรที่เกิดจากเจ้าชายพระบิดากับมารดาที่เป็นสามัญชน และไม่ได้เป็นเมียแต่งออกหน้าออกตา)

(พระรูปพระนางแมรี่ค่ะ -เทาชมพู)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:14
 เรื่องเทียบชั้นฐานันดรนั้น มิใช่แต่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะทรงใช้อย่างติดพระโอษฐ์เลย  สมเด็จเองก็ทรงใช้ออกบ่อยด้วยความเคยชิน
อย่างเช่นเมื่อครั้งที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ชุดโทรทัศน์ออกอากาศ เรื่อง  Edward VIII and Mrs. Simpson ดาราที่มาแสดงเป็นพระเจ้ายอร์จที่หก คือ Adrew Ray ที่สมเด็จไม่ทรงชอบพระทัยเลยสักนิด พระองค์ว่า
"นายคนนี้ดูยังไงก็"สามัญ"เกินกว่าที่จะมาแสดงป็นพ่อของฉัน"

ในฐานะที่เป็นเจ้า เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไม่เคยต้องพกเงินสด ไม่เคยต้องทรงจ่ายบิลค่าอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งเครดิตการ์ด ทุกอย่างจะถูกตามจ่ายให้โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของ เดอะ เฟิร์ม
จากเงินเบี้ยหวัดตามที่รัฐบาลได้จ่ายให้ ที่พระองค์มักบ่นเสมอว่า ช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน ไม่คุ้มค่า..

เรื่องทรงสุดเเหนียวนี้..เล่าขานกันเอิกเกริก อย่างรายของนายวิลเลี่ยม ซี บริวเออร์ เจ้าของคนหนึ่งของบริษัทค้าเครื่องหอม Crabtree & Evelyn ที่ได้เล่าว่า
เมื่อช่วงคริสต์มาสปีหนึ่ง มีลูกค้าคนหนึ่งมาสั่งกระเช้าพิเศษเครื่องหอมรวมนานาชนิด ที่มีทั้งครีมอาบน้ำ น้ำหอม โลชั่น ขนาดใหญ่ ชนิดที่ต้องใช้คนสองคนช่วยกันหิ้ว
แต่พอหลังจากวันหยุดผ่านไป  ร้านที่สาขาเคนซิงตัน ก็มีโอกาสได้ถวายการต้อนรับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและตามหลังด้วยนางพระกำนัลที่ช่วยกันยกกระเช้า"พิเศษ"ใบนั้นเข้ามา..เขาเล่าว่า
"ผมเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นใบเดียวกัน คือว่า มีคนเอาไปถวายท่านน่ะ พระองค์ทรงนำมาคืน และขอขึ้นเป็นเงินสด ความจริงทางร้านของเราจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าจะนำของมาคืน เราจะให้เป็นเครดิตที่จะแลกเป็นของอย่างอื่น แต่พระองค์ทรงมีพระบัญชามาว่า เครดิตไม่รับ จะรับเป็นเงินสดเท่านั้น  ผมก็เลยตามพระทัย..ให้คืนไปเป็นเงิน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเจ้าฟ้าหญิง"

เรื่องการรับของกำนัลนี้..ทรงถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทรงคาดหวังเสมอว่า ใครต่อใครต้องดูแลพระองค์ และ ไม่ว่าสมเด็จหรือควีนมัม ต่างก็ทรงคิดเหมือนกัน
อย่างเรื่องที่จะเสด็จไปเยี่ยมเยือนบ้านของพระสหายคนไหน นางพระกำนัลจะต้องไปตรวจตราสถานที่ก่อน ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป
ถ้าขาด.. ก็ต้องหามาเติม อย่างครั้งหนึ่งที่จะเสด็จบ้านของรัฐมนตรียุติธรรม นาย ไมเคิล แพรทท์ ที่มีหมายรายการยาวเหยียดนำร่องมาก่อน ว่า
-ห้ามมีเด็กเล็ก
-ต้องมีเหล้ายิน และ น้ำโทนิคเตรียมพร้อมไว้ในห้องรับรอง
-ในห้องน้ำ..ต้องมีกระดาษฟางพับเตรียมไว้ให้ทรงใช้ชำระ..
กระดาษฟาง หรือ ที่เรียกว่า Bronco paper นั้น มีใช้กันอย่างแพร่หลายในยามสงครามที่กระดาษขาดตลาด ผู้คนต้องนำมาใช้เป็นกระดาษชำระ ต่อมาเมื่อมีทิชชูนิ่ม กระดาษฟางจึงนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรม
หรือ สำหรับทำความสะอาดคอกม้า...แต่ เดอะ เฟิร์ม ยังถนัดใช้กระดาษฟางแทนกระดาษทิชชูอยู่ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับท่านเจ้าของคฤหาสน์สุดกำลัง อีกทั้งต้องไปสั่งมาให้เป็นพิเศษ เนื่องจากมันใกล้สูญพันธ์เต็มที่

เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตนี่คือบุคคลสำคัญ ที่ไม่ว่าจะเสด็จไปเป็นอาคันตุกะบ้านใคร ถือว่าบ้านนั้นโชคร้ายเต็มที่ เพราะข้อมูลจะแจงเข้ามาละเอียดยิบ เช่น
-ต้องปรับคีย์เปียโนใหม่
-ต้องหาแผ่นเสียงของ เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์ เตรียมไว้เยอะๆ
-ต้องไปหาพวกหนุ่มที่มีความสามารถทั้งร้องและเต้นมาสำรองเอาไว้
ที่สำคัญสุด คือ เหล้ายินขนาดแรง แปดสิบดีกรี เอาไว้ให้พร้อมทั้งวัน ส่วนกลางคืนคือ เหล้าสก๊อต
ส่วนเวลาน้ำชา ต้องเตรียม Jammy dodgers ไว้ให้เสวยเป็นเครื่องว่าง

*** Jammy dodgers คือ แซนวิชขนมปังแผ่นที่มีราสพ์เบอรรี่ แยม เป็นไส้ทาตรงกลาง แล้วตัดขอบขนมปังออก หั่นเป็นคำๆ และแยมนั้นต้องเป็นชนิดที่ไม่มีเมล็ด เพราะจะไปติดในพระทนต์ ซึ่งเจ้าภาพต้องสั่งมาเป็นพิเศษจากต่างประเทศอีกเช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าการแปรพระราชฐานไปพักผ่อนยังที่ใด หรือ กับใคร
ล้วนแต่เป็นเรื่องฝันร้ายของเจ้าบ้านแทบทั้งสิ้น

ถ้าเป็นสมเด็จ...เจ้าบ้านต้องเก็บแมวทั้งหมด ถ้ามี เพราะทรงเกลียดแมว และต้องเตรียมน้ำข้าวบาร์ลี่ย์ไว้ให้ทรงใช้ล้างพระพักตร์
(barley water เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ทำมาจากข้าว
บาร์ลี่ย์)

อย่างลอร์ด ดักลาส แห่ง ไนด์พัธ ได้เล่าว่า
"พอมีจดหมายมาจากราชเลขาฯ ว่า เดอะ เฟิร์ม จะเสด็จมาร่วมรับน้ำชาด้วยนะ แม่ผมลมจับก่อนทุกครั้ง.."


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:18
 แต่ต่อมา พวกเหล่าผู้ดีเหล่านั้นไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป เพราะพระสหายใหม่ๆ ของเจ้าฟ้าหญิงล้วนแล้วแต่เป็นอภิมหาเศรษฐี เช่น อะกา ข่าน, อีเมลดา มากอส ที่มีพร้อมให้การรับรอง
ไม่ว่าจะเป็นวิลลาหรูๆ หรือเรือยอชโก้ๆ ถ้าจะเดินทางออกนอกประเทศอย่าง อิตาลี ..ก็ พระสหายอย่าง นายแฮโรลด์ อาคตอน หรือ นายกอร์ ไวดัล ที่มีพร้อมไว้คอยถวายการต้อนรับทุกอย่าง

เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดการที่จะเป็น"ผู้รับ"เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากพวกมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่ทุ่มไม่อั้น ซึ่งกลายมาเป็นเหตุบาดหมางกันไปในที่สุด คือ
ทั้งพระองค์และลอร์ด สโนว์ดอน ได้รับเชิญให้ไปเป็นแขก วีไอพี ในงานการกุศลที่นครนิวยอร์ค (จากปากคำของนักข่าว นาย สตีเฟ่น เบอร์มิงแฮม หนึ่งในกรรมการจัดงาน)
หลังจากงาน เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงเรียกค่า"ออกงาน" กับเจ้าภาพเป็นเงินจำนวน สามหมื่นเหรียญ
ซึ่งทุกคนต่างพากันประหลาดใจ และไม่มีใครมีปัญญาจ่าย เนื่องจากเป็นงานการกุศลที่มีรายได้จากการขายบัตร ซึ่งรวมกันแล้วยังมีไม่พอจ่ายตามทีทรงเรียกด้วยซ้ำ
จากนั้น..สัมพันธภาพของพระองค์กับกลุ่มไฮโซนี้ก็ขาดจากกัน  ด้วยเรื่องของเงินสามหมื่นเหรียญ

จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่คุ้มกันเลย ต่อการที่ต้องถูกเปิดโปงแบบไม่มีการเกรงพระทัย เพราะข้อความได้ออกมาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ชอบเล่นละครตบตาชาวบ้านนัก กับพระสหายที่แสนสนิทมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ไม่ว่าจะไปเที่ยวพำนักด้วยกันในพระตำหนักที่มัสตีค หรือ ร่วมวงร้องเพลงด้วยกันทั้งวันทั้งคืน เพราะ พระองค์ทรงโปรดเรื่องนี้เป็นที่สุด และทรงเชื่อว่า แม้แต่ บาร์บร่า สตรัยแซนด์ ก็ยังร้องไม่ดีเท่ากับพระองค์
แต่พอมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาปุ๊บ...ขนาดเจอกันในงานแบบจังๆ หน้า เจ้าฟ้าหญิงทรงทำเมินเฉยราวกับเห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอ

ไม่ใช่แต่กับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสายตรงเท่านั้น ที่ชอบเรื่องของฟรี แม้แต่เจ้าหญิง ไมเคิล แห่ง เค้นท์ (เรียกตามพระยศของพระสวามี ที่เป็นพระญาติของสมเด็จ) ที่ครั้งหนึ่งเจ้าหญิงได้ไปเดินในย่าน โบชอมป์ กรุง ลอนดอน ที่มีร้านจิวเวลรี่หลายๆ ร้านตั้งอยู่เรียงราย ทรงผ่านมาที่หน้าร้าน โมซาฟาเรียน สายพระเนตรก็สะดุดเข้าที่ งาช้างสลักเป็นรูปตุ๊กตาหมีเล็กๆ ราคาหนึ่งพันปอนด์
เจ้าหญิงอิดออด เพราะความที่ต้องพระทัย   เจ้าของร้านจึงสั่งลูกสาวให้ห่อถวาย
ต่อมาเลขานุการของพระองค์ได้นำจดหมายตอบขอบใจมาให้
เจ้าของร้านได้นำไปใส่กรอบทองประดับเด่นที่หน้าร้าน..
หรือแม้แต่เจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่ไม่ทรงยอมจับจ่ายใช้สอยอะไรเลย เพราะทรงตรัสว่าแพงไปหมด
นาย สตีเฟ่น แบร์รี่ อดีตราชองค์รักษ์ได้เล่าว่า..
"ถี่ถ้วนเหมือนพระมารดาไม่มีผิด ขนาดไหนน่ะเหรอ ขนาดนับชิ้นไก่แช่แข็งในตู้เย็นในทุกพระราชวังแหละ..เมื่อเสวยเหลือ ต้องนำไปแช่เก็บ นำมาอุ่นเสวยในมื้อต่อไป
หลอดยาสีพระทนต์นั้นรีดจนแบนแต๊ดแต๋ แถมหลอดก็ไม่ยอมทิ้งขยะ ทรงสั่งให้เอาไปใส่ในถังสำหรับการรีไซเคิล.."
นาย จอห์น แบร์เร็ต เลขานุการเก่าแก่ประจำตัวท่านลอร์ด หลุยส์ ได้เล่าว่า
"มัธยัสถ์ทั้งก๊ก เริ่มมาจากองค์สมเด็จมาเลยเชียว เงินเดือนคุณพนักงานนั้น ..จ่ายแค่ปีละ หมื่นกว่าปอนด์ พร้อมที่พัก (นับว่าน้อยมาก) เพราะทรงคิดว่า ได้เลือกมารับใช้ใกล้ชิดก็บุญโข ของขวัญก็มีให้เฉพาะตอนคริสต์มาสเท่านั้น แถมแต่ละอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่า ทรงคิดได้ไง...อย่างคนทำความสะอาดฉลองพระองค์ ทรงประทานถุงใส่ผ้าพร้อมไม้หนีบแถบหนึ่ง..
อย่างช่างเย็บฉลองพระองค์ ทรงให้เกือกม้าแม่เหล็ก สำหรับเอาไว้ดูดเข็มที่ตกๆ หล่นๆ ขึ้นมาเก็บ
แต่กับพระสหายแล้ว..มักจะประทานของดีหน่อย เช่น นายโนเอล โคเวิร์ดทรงประทานตลับใส่บุหรี่ ที่มีตรามงกุฏบนกล่องให้
แต่ นายโนเอลเป็นคนที่ต่อต่านการสูบบุหรี่
ส่วนรายอื่นๆ มักจะได้กรอบรูปเงินที่ใส่พระบรมฉายาลักษณ์คู่กับเจ้าชายฟิลิป

แต่ถ้าเป็นของขวัญจากเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตละก้อ..ต้องทำใจ อย่างนางพระกำนัลคนเก่าแก่ พระองค์ประทานแปรงขัดห้องน้ำให้ ทรงว่า..ทรงเห็นว่าไม่มี เพราะเคยไปใช้ห้องน้ำในห้องของนางพระกำนัลคนนั้น"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:20
 สมเด็จนั้น เป็นที่ทราบกันว่าไม่เคยทิ้งข้าวของ อย่างฉลองพระองค์ เมื่อไม่ใช้แล้ว ก็นำไปส่งต่อให้กับพระขนิษฐา หรือพระธิดา

ครั้งหนึ่งที่พระราชวัง บัลมอรัล คุณหมาๆ ของพระองค์ได้รุมกัดกระต่ายจนตาย เลือดออกมานองตัว แดงฉาน

พระองค์ได้ทรงนำกระต่ายนั้นไปให้พ่อครัว รับสั่งว่า

"เอาไปทำอะไรกินกันได้ เอาไปซิ"

หรือ ทรงประทานไม้ดอกพร้อมกระถางให้กับข้าราชบริพาร แต่มีข้อความกำกับมาว่า..

"โปรดนำกระถางไปคืนที่สวนหลวง เมื่อต้นไม้หาชีวิตไม่แล้ว..."

หรือ ทรงสั่งให้คุณพนักงานไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ข้างที่บรรทม จากสี่สิบวัตต์มาเป็นหกสิบวัตต์ แต่คุณพนักงานต้องรอจนกว่า..หลอดเก่าได้ขาดไปแล้ว



เมื่อในช่วงของปี 1970's ที่เกิดวิกฤติภาวะแล้งน้ำ พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมรับมือ โดยการสั่งให้ทำป้ายไปแขวนไว้ในห้องน้ำทุกห้องในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม..ว่า

"Don't pull for pee"

(เรื่องที่ทรงใช้คำว่า pee ในป้ายนั้น นักประวัติศาสตร์ต่างกลุ้มรุมตำหนิกันร้อนฉ่า เพราะมันขัดกันกับสมัยของพระนางเจ้า อลิซาเบ็ธ ที่หนึ่ง ที่แม้แต่จะให้ตราพระราชทานกับบริษัทจัดจำหน่ายส้วม หรือที่เรียกว่า WC = Water Closet ยังไม่ทรงยอม เพราะทรงเกรงไปว่าจะไม่เหมาะสม)

หรือ ขนาดที่ท่านเชอร์ชิลล์ได้นอนประแหงบๆ ใกล้ที่จะลาโลกเต็มทีนั้น พระองค์อุตส่าห์ส่งแชมเปญไปให้ถึงเตียง ตั้งหกขวด แต่มันเป็นพวกแชมเปญราคาถูกๆ หรือที่เรียกว่า non-vintage

ทั้งๆ ที่พระองค์นั้น ได้พระนามว่าเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก..

(ท่านวินสตัน เชอร์ชิลล์ โปรดการดื่มแชมเปญมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ดื่มวันละหกขวด แต่ต้องเป็นยี่ห้อชั้นหนึ่งของโลก คือ Pol Roger Cuvee' ราคาในปัจจุบันขวดละ ร้อยกว่ายูโร)



สมเด็จทรงสื่อสารในด้านเอกสารได้ดีกว่าอย่างอื่น เช่น เมื่อทรงได้รับฏีกาจากพวกประชาชนที่ต่อต้านการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ของนักสร้างชาวเดนิช ในเรื่อง The Love Life of Jesus Christ

พระองค์ทรงเข้าพระทัยและเห็นด้วยทันที การระงับการสร้างจึงได้เกิดขึ้น

หรือเมื่อกลุ่มผู้สื่อข่าวได้คิดจะทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ ยอร์คเชียร์ ริปเปอร์ ฆาตกรตัวร้ายที่สร้างความสะเทือนขวัญให้กับตอนเหนือของอังกฤษมานานถึงห้าปี

มารดาของเหยื่อคนหนึ่งได้ถวายฏีกาต่อต้าน เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องของโศกนาฏกรรมแห่งชาติมากกว่าที่จะเอาไปทำให้เป็นธุรกิจเกิดผลกำรี้กำไรขึ้นมา

พระองค์ทรงสั่งระงับไปเช่นกัน..

ประชาชนจึงต่างภูมิใจที่มีนางกษัตริย์เจ้าแผ่นดินที่มีพระปรีชาสามารถ เข้าอกเข้าใจในจิตใจของประชาชนเป็นอย่างดี

จนลืมไปว่า..พระองค์และครอบครัวร่ำรวยอย่างล้นฟ้า ได้รับเบี้ยหวัดจากภาษีอากรของราษฏรครอบครองเกือบทุกอย่างในพระราชอาณาจักร



แต่คนที่ไม่ลืมก็ยังมี อย่างนาย วิลลี่ แฮมมิงตัน และพรรคพวกที่คอยตอกย้ำเตือนออกบ่อยๆ

ในปี 1972 รัฐสภาได้มีการโหวตที่จะไม่เก็บภาษีในรายได้ที่ได้ทรงขอเพิ่มมาในรายการดังนี้ ของพระองค์เอง สามล้านปอนด์, ควีนมัม สองแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์,

เจ้าชายฟิลิป หนึ่งแสนหกหมื่นสองพันห้าร้อยปอนด์ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต สามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์

ส่วนเจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงมีรายได้จากกองทุนส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยหวัด

ซึ่งเป็นประเด็นถกกันร้อนแรงพอสมควร..

จนท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ส่งจดหมายไปหาเจ้าชาย ฟิลิป เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

"หลานควรจะต้องติดต่อสื่อใหญ่ๆ อย่างหนังสือไทม์ และอธิบายให้เขาเข้าใจด้วยว่า..จริงอยู่..ที่สมเด็จร่ำรวยติดอันดับโลก แต่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดคืออสังหาริมทรัพย์ที่มีทั้งพระราชวัง เพชรนิลจินดา และ ภาพวาดเก่าแก่ ที่ตีราคาออกมาเป็นตัวเลขลอยๆ เท่านั้น หาใช่เงินสดพกเข้าห่อเสียที่ไหน จะไปขายให้ใครก็ไม่ได้ อีกทั้งทรัพย์สมบัติเหล่านี้มิได้สร้างผลประโยชน์ให้งอกเงยขึ้นมา

รีบจัดการซะ เชื่อลุงเถิด โปรดอย่าไปฟังความเห็นของพวกเสนาบดีพวกนั้นเลย ก่อนที่ภาพลักษณ์ของพระราชวงค์กำลังจะมัวหมองมากไปกว่านี้"

แต่การร้องขอในจดหมายของท่านลอร์ดไม่ได้รับการปฏิบัติตามแต่อย่างไร...ทุกคนต่างพากันนิ่งเฉย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:25
 ปีต่อมา คือ 1973 กระแสกดดันในเรื่องการหาคู่ของเจ้าฟ้าชายชารลส์ได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะว่า เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระขนิษฐาได้ทรงรับหมั้น ร้อยเอก มาร์ค ฟิลลิป
ซึ่งกำหนดวันอภิเษกนั้น ตรงกับวันคล้ายวันประสูติครบ ยี่สิบห้าชันษาของพระเชษฐาพอดี คือ วันที่ 14 พฤศจิกายน 1973
หากแต่เจ้าฟ้าชายไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นเรื่องที่น่าดีพระทัยตรงไหน อีกทั้งรู้สึกพระหัยหายๆ ไปอีกต่างหาก
เนื่องจากทั้งพระองค์และเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด สนิทสนมรักใคร่
ครั้นเมื่อจะมีการแยกจากกัน พระองค์ย่อมรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยวเป็นเรื่องธรรมดา
ตอนที่ทราบข่าว พระองค์ทรงอยู่ในเรือรบหลวง HMS Minerva และได้ทรงจดหมายมากราบทูลเจ้าชายฟิลิปว่า..
"ลูกรู้สึกตกใจ..และ ใจหายๆ อย่างไรไม่รู้ ที่น้องหญิงจะออกเรือนไป"

การเติบโตมาด้วยกันของคนทั้งคู่นั้น ค่อนข้างใกล้ชิด และมาสนิทสนมกันมากขึ้น ก็เมื่อที่ทั้งสองต้องเดินทางไปด้วยกันยังประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้แทนพระองค์
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ แตกต่างไปจาก พระเชษฐาอย่างมากมาย ในเรื่องของอุปนิสัยใจคอ ที่ทรงห้าวหาญ ไม่ชอบการเสแสร้ง ไม่ปกปิดอาการ ชอบเอาแต่พระทัย รู้สึกอย่างไรทรงแสดงอย่างนั้น
ซึ่งในบางครั้งออกจะผิดด้วยมารยาท แต่ก็ทรงไม่แคร์ใครทั้งสิ้น

เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้ว ทำให้เจ้าฟ้าชายทรงดูดีขึ้นมาอย่างทันที เพราะมีลักษณะของการนุ่มนวล โอนอ่อน ประนีประนอม
แต่ไม่ทรงเฉลียวฉลาดเอาซะเลย..อย่างเช่น ทรงถามท่านทูตอเมริกันว่า
"ที่อเมริกานี่ พวกคาธอลิคกับพวกโปแตสแต้นท์ชอบทะเลาะกันเหมือนอย่างที่อังกฤษไหม?"
(ไม่ทรงรู้ หรือลืมก็ไม่ทราบ ว่าเรื่องศาสนานี่เขาไม่นำมาถกกัน)

ยามเมื่อมีคนถามเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ว่า "ทรงรู้สึกอย่างไรที่มีบ้านส่วนตัวเป็นถึงพระราชวัง?"
พระองค์สะบัดเสียงตอบว่า..
"ไม่รู้ซิ เพราะที่นั่นไม่ใช่ที่ส่วนตัว แต่เป็นทรัพย์สินของพระราชบัลลังค์"

เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ทรงทำพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อใครๆ โดยเฉพาะกับเหล่าผู้สื่อข่าวว่า ทรงไร้เสน่ห์ อย่างโดยสิ้นเชิง นึกเบื่อขึ้นมา อยากจะหาวก็หาว
ไม่อยากตอบคำถามของ...ก็ไม่ตอบซะงั้น..
หลายๆ คนพร้อมใจกันลงความเห็นว่า ช่างเหมือนพระบิดาราวกับถอดแบบออกมาเป๊ะ..ที่ครั้งหนึ่งเจ้าชายฟิลิป ได้ทรงตรัสดังๆ ว่า
"นักข่าวที่ดี คือนักข่าวที่ตายไปแล้ว"

เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ก็เช่นกัน ที่มองเห็นคนกลุ่มนี้ราวกับใส้เดือนกิ้งกือ ไม่ได้ส่วนของความหวานหยดย้อยมาจากควีนมัมเลยแม้แต่นิด
ผิดกับเจ้าฟ้าชายชารลส์ที่ทรงเป็นหลานรักของพระอัยยิกา..

เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ คือ หลานคนโปรดของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ที่ชื่นชมกันนัก พระองค์ว่า
"แอนน์โชคดีกว่าฉันเยอะ ที่กล้าแสดงออก ทั้งๆ ที่เราเป็นลูกคนที่สองเหมือนกัน ถูกเลี้ยงมาคล้ายๆ กัน แต่ แอนน์มีโอกาสดีกว่า เพราะได้เรียนหนังสือ"

ภาพนี้เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ กับร้อยเอกมาร์ค ฟิลลิปส์ เจ้าบ่าวคนแรกค่ะ- เทาชมพู  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มี.ค. 06, 09:34
 มาถึงตอนนั้น เจ้าฟ้าชายชารลส์เริ่มพระทัยไม่ดี เพราะเพื่อนฝูงที่รู้จักต่างก็แยกออกไปแต่งงานกันทีละคน สองคน จนบางครั้งทรงตรัสบ่นกับคนใกล้ชิดว่า..
"อีกหน่อย..ก็จะเหลือฉันค้างอยู่บนหิ้งอยู่คนเดียว"
ส่วนว่าที่พระน้องเขย กัปตัน มาร์ค ฟิลลิป ที่มีท่าทางแหยๆ นั่น พระองค์ได้ตั้งสมญาให้ว่า "พ่อหมอก = The Fog"เนื่องจากว่า ซื่อบื้อ..ซะเหลือเกิ๊นน..

ส่วนเรื่องการหมั้นนั้น..เป็นเพราะว่า ภาพโรแมนติคที่มีฉากจุมพิตกันระหว่างสองคนนี้ หมายถึง เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับนายทหารม้ารักษาพระองค์ได้หลุดลงไปในหน้าหนังสือพิมพ์...
ทางพระราชวังได้ออกมาปฏิเสธข่าวทั้งหมด อ้างว่า หญิงในภาพนั้นหาใช่เจ้าฟ้าหญิงไม่..
ส่วนในรายละเอียดของเนื้อข่าว ที่ลงไปเรื่องความสัมพันธอื่นๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ มิเรอร์  ทางเดอะ เฟิร์ม ได้เรียกนาย โรเบิร์ต เอดเวิร์ดส์ ตัวบ.ก.ผู้ดูแล เข้ามาทำการอบรมสั่งสอนในการรู้ควรไม่ควร  อีกทั้ง สั่งให้ลงแก้ข่าวด่วน..
ซึ่ง นายเอดเวิร์ดส์ ได้กระทำตาม..ลงข้อความแก้ข่าวให้ทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเข้าใจใหม่ตามนั้น..ว่า..
"ไม่จริ๊ง ไม่จริง..ทั้งคู่มิได้เป็นไปตามข่าวลือดังกล่าว และที่สำคัญคือ ทั้งสองคนมิได้รู้จักมักจี่กันซะด้วยซ้ำ..."

แต่เพียงไม่กี่อาทิตย์ต่อมา..ทางสำนักพระราชวังก็ได้ออกคำแถลงการของการหมั้นระหว่างเจ้าฟ้าหญิง และพ่อหมอก...
นี่คือ..จุดหนึ่ง ที่หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าว เริ่มรู้สึกไม่ชอบใจในการเล่นจำอวดของเดอะ เฟิร์ม อีกทั้งความเชื่อถืออื่นๆ ได้หย่อนยานไปอย่างช่วยไม่ได้

การแต่งงานหรือการอภิเษกของพระราชวงค์นั้น มีจุดหมายใหญ่ๆ คือการที่จะต้องมีทายาทสืบสายสกุล..ก่อนที่จะประกาศหมั้นระหว่างสองคนนี้ได้ นายหมอกได้ถูกเรียกตัวเข้าไปในพระราชวัง
และทางแพทย์หลวงได้ทำการตรวจความแข็งแรงของ semen เพื่อจะให้แน่ใจได้ว่าไม่มีอุปสรรคในการที่จะผลิตทายาท จึงจะเป็นที่ยอมรับ
เพราะในตอนนั้น เจ้าฟ้าชายชารลส์ ยังมิได้ทรงอภิเษก ซ้ำยังไม่มีวี่แวว ส่วนเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ เพิ่งมีพระชนม์พรรษาเพียง สิบสาม เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด แค่ เก้า
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ คือ อันดับสี่ในการสืบราชบัลลังค์ ดังนั้น จึงต้องพิถีพิถันกันให้มากหน่อย

และเมื่อหมั้นแล้ว..สมเด็จจึงได้เตรียมที่จะยกลูกเขย นายหมอกนี่ให้เป็นเจ้านายไปซะ..เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นกาในฝูงหงส์ที่ไล่อันดับกันไม่ลงตัว..
แต่..นายหมอก ยังไงก็คือ นายหมอก..เพราะเขาปฏิเสธ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ลอยมาตรงหน้าอย่างไม่ไยดี เขาทูลไปว่า เขาอยากไปอยู่เงียบๆ กับครอบครัวนอกเมือง
สมเด็จจึงได้ทุ่มทุนกว่าสองล้านปอนด์ซื้อพระตำหนักบ้านไร่ ที่กอสเตอร์เชียร์ ที่มีเนื้อที่กว่า ห้าร้อย เอเคอร์ ให้เป็นของขวัญ
ที่นายหมอกได้รู้สึกถึงในพระกรุณามหาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เขาพอใจในของขวัญชิ้นนี้เป็นอย่างมาก..

ส่วนนายปากร้าย วิลลี่ แฮมมิลตัน เจ้าเก่า ก็ไม่หยุดกระแหนะกระแหนถึงการใช้จ่ายในครั้งนี้ของพระองค์ โดยหาว่า นายหมอกนี่..เป็นแค่ผู้ชายปีกทองธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 09 มี.ค. 06, 03:49
 อ้างจาก คหพ ที่ ๖๑ ค่ะ
ส่วนว่าที่พระพี่เขย กัปตัน มาร์ค ฟิลลิป ที่มีท่าทางแหยๆ นั่น
...
อาจารย์เทาชมพูคะ
จากที่อ่านมาตั้งแต่ต้น
อิฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า
เจ้าฟ้าชายชาร์ลท่านประสูติก่อนเจ้าฟ้าหญิงแอนน์
ท่านจึงเป็นพระเชษฐา ไม่ใช่พระอนุชา
และเมื่อเจ้าฟ้าหญิงแอนน์เป็นพระกนิษฐา
ทำไมพระสวามีของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ จึงเป็น"พระพี่เขย" แทนที่จะเป็น"น้องเขย"ล่ะคะ
หรือว่า
อิฉันจะจำผิด
งงจังค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 07:48
 คุณชื่นใจถูกค่ะ   น้องเขยไม่ใช่พี่เชย
คุณวิวันดาคงเผลอไป   ดิฉันก็ลอกมาโดยไม่ทันนึกเหมือนกัน
ดิฉันจะไปแก้เดี๋ยวนี้ละค่ะ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:21
 สี่เดือนต่อมา..เจ้าฟ้าหญิงแอนน์และพระสวามีนายหมอกได้สร้างวีรกรรมให้ชาวอังกฤษได้ภูมิใจในพระปรีชาของพระองค์อย่างหนักหนา กล่าวคือ
ได้ทรงต่อสู้กับผู้ร้ายที่มีปืนด้วยมือเปล่าอย่างไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
เรื่องมีอยู่ว่า..
พระองค์และพระสวามีได้กำลังเสด็จกลับพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ซึ่งในรถยนตร์พระที่นั่งนั้น ได้มีเครื่องหมายคือไฟสีน้ำเงินเปิดอยู่เหนือกระจกหน้ารถ อันเป็นที่ทราบกันว่า เจ้านายได้ประทับอยู่ข้างใน..
ขณะนั้น ก็ได้มีรถยนตร์ ยี่ห้อ ฟอร์ดได้ขับเข้ามาชนรถพระที่นั่งเพื่อให้หยุด..
คนขับรถฟอร์ดได้กระโดดออกมาพร้อมทั้งสาดกระสุนไปยังทิศทางของคนขับ และ ทางรถตำรวจที่แล่นติดตามมา..และ ทางประชาชน
ก่อนที่เขาไปพุ่งตัวไปทางประตูรถพระที่นั่ง หมายใจว่าจะกระชากเปิดออกและเข้าทำร้ายเจ้าฟ้าหญิง

แต่..นายนั่นก็ได้แต่เยื้อชักเย่อกับประตูอยู่นั่นแล้ว..เปิดไม่ออก เพราะทางข้างใน... เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ทรงออกแรงยึดบานประตูไว้อย่างแน่นเหนียวเช่นกัน..
จนกระทั่ง ประชาชนได้กรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จับตัวคนร้ายได้ไว้..

นั่นคือครั้งแรกของการก่อเหตุของผู้ก่อการร้ายในอังกฤษ..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เหล่าตำรวจติดตามนั้น ไม่มีใครพกปืนสักคน ไม่เคยพกกันมาในประวัติศาสตร์
จะมีก็เพียงครั้งเดียวที่ตำรวจอังกฤษได้รับอนุญาตให้พกปืนพร้อมกระสุน นั่นคือ คืนวันที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด ทรงประกาศสละราชบัลลังค์ ปี 1936 ซึ่งทางรัฐบาลเกรงว่าประชาชนจะก่อเหตุจลาจล เพราะยังมีคนส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจ..
จากนั้นมาถึง 1974 ที่เกิดเหตุนี่..ตำรวจไม่เคยพกปืน...

พอหลังจากหายอกสั่นขวัญแขวนกันไปแล้ว..ใครต่อใครจึงพากันยกย่องเจ้าฟ้าหญิงแอนน์กันทั่วทั้งเกาะ ที่สมเป็นขัตติยนารีเอาซะจริงๆ ..
หนังสือพิมพ์พากันลงข่าวถึงความเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่..ข้อพระกรแข็งแรงราวกับเหล็กวิลาส.. (จากการให้สัมภาษณ์ของคนขับแท๊กซี่ที่เห็นเหตุการณ์)
ข้อความที่ว่ามานั้น เจ้าชายฟิลิป พระบิดา ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง..พระองค์ทราบข่าวจากโทรศัพท์ทางไกลที่เจ้าฟ้าหญิงได้โทรไปทูลถึงในประเทศอินโดนีเซีย
ขณะที่พระองค์และสมเด็จกำลังประพาสเอเซียในช่วงนั้นพอดี
เจ้าฟ้าหญิงมิได้ทูลให้สมเด็จทรงทราบ เกรงว่าจะตกพระทัย แต่..ในฐานะที่เป็นลูกรักของพ่อ พระองค์จึงสะดวกพระทัยที่จะคุยเรื่องนี้กับเจ้าฟิลิปมากกว่า..
หลังจากที่มีการสืบสวนคนร้าย ได้ใจความว่า ต้องการจะลักพาเจ้าฟ้าหญิงด้วยเหตุผลทางการเมือง

เจ้าชายฟิลิปถึงกับโล่งพระทัย..ทรงตรัสว่า
"โล่งใจแทนไอ้หมอนั่น..ขืนมันจับตัวแอนน์ไปได้ละก้อ..มันนั่นแหละจะซวย.. เพราะรับรองได้เลยว่า แม่อาละวาดสุดฤทธิ์"

เมื่อตอนที่เสด็จกลับถึงลอนดอน สมเด็จได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับพลเมืองดีสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือเจ้าฟ้าหญิง
ส่วนเจ้าชายฟิลิป ได้ทรงลูบหลังลูบไหล่พระธิดา และชมเชยว่า..
"เก่งเหลือเกินลูก และ ขอบใจที่ช่วยรักษาหน้าพวกเราไว้ได้เป็นอย่างดี"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:26
 จากข้อความข้างบนที่คุณวิวันดาเก็บมาเล่า     สงสัยว่าพระสวามีน่าจะช่วยยึดบานประตูด้วยนะคะ   ทำไมไม่เห็นมีใครชมเขาเลยเชียว-เทาชมพู)

จากจุดนั้นมา..เสียงคัดง้างในเรื่องของการเพิ่มเงินเบี้ยหวัดรายปีที่เถียงกันมานาน ก็ลงตัว..
ทุกคนยินยอมให้เพิ่มตามที่มีพระราชประสงค์

จนกระทั่ง..เรื่องฉาวโฉ่ของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ประทุขึ้นมาอีกครั้ง..คราวนี้มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้
นั่นคือ..
ทรงมีสัมพันธสวาทกับหนุ่มน้อยชาวเกย์ที่มีอายุอ่อนกว่ากันถึงสิบเจ็ดปี เขาคนนั้นมีนามว่า..รัดดี้ หรือ Roderic Llewellynn บุตรชายคนที่สองของ Sir Henry Llewellynn
เมื่อมีคนไปสัมภาษณ์ที่ท่านเซอร์ ถึงเรื่องเพื่อนคู่ใจคนใหม่ของรัดดี้ ท่านเซอร์ทำหน้าขำๆ ตอบว่า..
"อ๋อ..รู้แล้วละว่าหมายถึงใคร..แต่ฉันยังไม่หายประหลาดใจนะ เพราะปรกติแล้ว รัดดี้มักจะมั่วอยู่กับพวกบรรดาหนุ่มเสริฟอิตาเลี่ยน..แต่คราวนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนรสนิยมไปก็ไม่รู้ซิ?"

เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงว่า นายรัดดี้ฮิปปี้ผมยาว ชาวเวลส์คนนี้ มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกับท่านลอร์ดสโนว์ดอนตอนหนุ่มๆ ครั้งที่ยังเคยรัก อ่อนหงาน และเอาพระทัยพระองค์
แรกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ต่างเก็บเป็นความลับสนิท รู้กันในหมู่พระสหายไม่กี่คน ไม่มีการออกงานด้วยกันแต่อย่างใด..
ส่วนท่านลอร์ดสโนว์ดอนที่ฮึ่มๆ อยากจะหย่าขาดอย่างเต็มที่นั้น
โชคก็ได้เข้าข้างเขาจนได้
เพราะถ้าเหตุนี้ไม่เกิด การหย่าก็จะหาสาเหตุที่เหมาะสมไม่ได้ นั่นคือ
การที่เจ้าฟ้าหญิงได้พาไอ้หนูรัดดี้ไปเริงรักถึงในพระตำหนักที่เกาะ
มัสตีค..และ..มีภาพหลุดไปลงบนหน้าหนังสือพิมพ์..
ที่ทั้งสองกำลังนั่งแนบชิดกันบนเก้าอี้ริมสระน้ำ ฝ่ายหญิงทรงชุดว่ายน้ำ ฝ่ายชายกำลังลูบไล้ทาครีมกันแดดให้บนพระอังสะ
ข่าวได้ลงพาดหัวว่า.."ภาพช็อตเด็ดที่ไม่มีสามีคนไหนจะทนดูได้"

แต่ไม่ใช่แต่กับสามีเท่านั้นที่จะสามารถทนได้ ประชาชนก็ไม่"ทน"ต่อไปเช่นกัน..เพราะ ในอดีตที่มีเรื่องฉาวๆ ของพระองค์นั้น ใครต่อใครพากันอภัยให้ เพราะเห็นพระทัยในความรักที่ไม่สมหวัง (กับ ปีเตอร์ ทาวน์เซ่นด์)
และ ต่างก็เห็นว่า ทรงเป็นเจ้าหญิงที่อาภัพนัก..
แต่สำหรับเรื่องทิ้งลูกๆ ออกไปเริงรักกับฮิปปี้ที่มีภาพออกมาเห็นตำตานี่แล้ว......ความรักและความสงสารที่ประชาชนเคยมีให้นั้น เหือดแห้งหายไปสิ้น
ทุกคนลงความเห็นพ้องต้องกันว่า..ถ้าทำตัวอย่างนี้..เงินเบี้ยหวัดที่ได้ไปจากภาษีของประชาชนปีละเจ็ดหมื่นนั้น..อย่าหวังเลยว่าจะให้ต่อไป
คราวนี้..ชาวรัฐสภาต่างเห็นพ้องต้องกันในมติ

ลอร์ดสโนว์ดอน เริ่มตีปีกพั่บๆ ..พร้อมที่ดำเนินการในเรื่องหย่าร้างทันที แต่..ไม่ทันที่เขาจะคิดอ่านทำอะไร เขาก็ถูกเรียกตัวให้หา โดยสมเด็จ..
การเจรจาได้เกิดขึ้น จะมีข้อแม้อะไรนั้นไม่มีใครทราบได้ แต่ ถ้าจะเดาในสถานะการณ์ที่เกิด ก็พอจะเดาได้ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนที่น่าจะคุ้มค่า เพราะ
สมเด็จได้ทรงเรียกตัวเจ้าฟ้าหญิงพระชนิษฐากลับมาอังกฤษด่วน (เพียงพระองค์เดียว ฮิปปี้ไม่ได้มาด้วย)
ท่านลอร์ดพระสวามีไปรับเสด็จที่สนามบิน ถึงเครื่องพระที่นั่ง และ มีการจุมพิตทักทายพร้อมกับนำเสื้อโค๊ทขนสัตว์ไปคลุมพระองค์ให้ ต่อหน้านักข่าว  ราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..

แต่สองเดือนต่อมา..ข่าวจากพระราชวังเคนซิงตันได้มีแถลงการณ์ออกมาว่า
"เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและพระสวามี ลอร์ด สโนว์ดอน จะแยกกันอยู่อย่างเป็นทางการ โดยที่เจ้าฟ้าหญิงจะทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่อไปเพียงพระองค์เดียว
ส่วนการหย่าร้างนั้นจะยังไม่เกิดขึ้น.."

(หารูปนายรัดดี้มาให้ดูค่ะ   เขาผันตัวไปเป็นนักร้องเพลงป๊อป  ในรูป พูดอยู่กับเพทูล่า คล้าค)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:28
 รัดดี้กับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:30

เจ้าฟ้าหญิงแสนสวยในรูปบนๆของกระทู้
ตอนนี้ก็พระชนม์มากขึ้น เข้าสู่วัยนี้แล้ว


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:34
 กฏหมายการหย่าร้างของอังกฤษคือ ถ้าทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกันที่จะหย่าขาด นั่นคือ ต้องรอสองปี แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหาเรียกร้องเรื่องลูกหรือการแบ่งทรัพย์สิน
นั่นหมายถึงต้องคอยไปถึงห้าปี
เจ้าฟ้าหญิงทรงอิดออด..ไม่อยากหย่า แต่ว่า ทางท่านลอร์ด พระสวามีพร้อมที่จะหย่าในแทบทุกนาที ทำให้พระองค์ทรงโทมนัสพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกว่าไม่มีใครรักและต้องการในตัวพระองค์

ดังนั้น จึงมีการประชดชีวิตแบบแปลกๆตามออกมาเป็นกระบวน เช่นการออกเฮฮาปาร์ตี้ในที่สาธารณะจนถึงย่ำรุ่ง (สถานที่โปรดคือ บับเบิ้ลส์คลับ ครั้งหนึ่งเมืองไทยก็มีกะเขาเหมือนกัน บับเบิ้ลส์คลับ เนี่ยย..)
สมเด็จได้แต่ทรงเหนื่อยอ่อนในพระทัยต่อการพระทำของพระขนิษฐา ถึงกับไม่ยอมตรัสด้วยนานเป็นหลายอาทิตย์ ประหนึ่งว่า ได้ตัดเชือกตัดสายใยในน้องสุดที่รักคนนี้อย่างหมดสิ้น
ทีนี้ก็เข้าทำนอง "ผีบ้านไม่ดี ผีป่าเข้าสิง" กล่าวคือ ประชาชนและผู้สื่อข่าวอื่นๆต่างพากันหมดความเคารพ และ สิ้นความเกรงพระทัย

ในตอนนั้นโจ๊กที่ออกมาขายดิบขายดี เรียกเสียงเฮฮาได้ตามผับ
ล้วนแต่เป็นโจ๊กที่ส่วนพัวพันกับเรื่องข่าวคาวๆของเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ที่ดังมากในยุคนั้น ถึงกับมีการเลียนล้อเป็นรายการทอล์คโชว์...มีว่าดังนี้ว่า

(เรื่องโจ๊ก....สมเด็จพระราชินีได้เสด็จไปยังพระตำหนักนอกเมืองโดยรถยนตร์พระที่นั่ง โรลล์ รอยซ์ อย่างไปรเวทกับนางพระกำนัล พอไปได้ครึ่งทางก็ปรากฏว่ามีโจรเข้ามาดักปล้น
ทันที่ที่เห็นว่า ผู้ใดที่อยู่ในรถ... เจ้าโจรจึงได้จัดแจงเรียกร้องขอเครื่องเพชร และ เงินทอง แต่ทว่า..เมื่อได้กระชากกระเป๋าถือออกมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่า..มิมีทรัพย์สินอะไรเลย
โจรจึงได้บังคับให้พระองค์และนางพระกำนัลลงไปจากรถ..แล้วมันก็ขับรถพระที่นั่งนั่นไป..

ขณะที่สมเด็จทรงปัดฉลองพระองค์ให้เข้ารูป นางพระกำนัลได้ทูลถามขึ้นมาว่า
"พระธำมรงค์ล่ะเพคะ ทรงซ่อนไว้ที่ไหน?"
"ในที่ลับในตัวฉันนี่แหละ....อ้อ แล้วมงกุฏเพขรล่ะ เธอเอามันไปซุกที่ไหน?"
"แหม..อ้า.อ้า..ก็เป็นที่ลับในตัวของหม่อมฉันเช่นกันเพคะ"
สมเด็จทรงถอนพระทัยก่อนที่จะตรัสว่า..
"แหม..เสียดายที่มาร์กาเร็ตไม่ได้มาด้วย ไม่งั้นเราก็จะไม่เสียโรลล์รอยซ์...")

ฉาวโฉ่ออกขนาดนั้น หาใช่ว่าเจ้าฟ้าหญิงจะทรงเลิกติดต่อกับนายฮิปปี้นั่นซะที่ไหน ป๊าวว...
กลับทรงหันมาโอ๋ ทนุถนอมเจ้านั่นอย่างออกนอกพระพักต์ ทรงว่า
"เพราะไม่มีสักคนที่เข้าใจในฉันเลย นอกจากรัดดี้คนดีนี้คนเดียว"
ประชาชนต่างร้องขอให้ทรงคิดใหม่ ทำใหม่....แต่...ไม่เป็นผลสำเร็จ
นาย วิลลี่ เฮมมิลตัน นักการเมืองปากร้ายนั่น ก็ไม่หยุดการโจมตีที่มีขึ้นรายวันในรัฐสภา เขาว่า
"เรื่องการพบปะ คบหากับคนที่มีอายุอ่อนกว่านั่น อาจจะเป็นเรื่องของสังคมสมัยใหม่ แต่กับสมาชิกในพระราชวงค์อย่างเจ้าฟ้าหญิง มันช่าง..บัดซบ..สิ้นดี"

ทางฝ่ายพรรคจารีตนิยมที่เคยเถียงและค้านคอเป็นเอ็น.. ตอนนี้ถึงกับจุกพูดไม่ออก ต่างพากันกลอกหน้า จำนนต่อหลักฐาน..
คนที่ออกมาเถียงนายวิลลี่ มีอยู่คนเดียวคือ รัดดี้ ฮิปปี้หนุ่มน้อย ที่เขาออกมาให้ข่าวว่า
"คนที่ด่าว่าพระองค์ หรือ อย่างนายวิลลี่นั่นน่ะ ผมอยากจะท้านัก ว่าถ้าลองให้มาทำงานแบบเจ้าฟ้าหญิง จะมีความสามารถทำได้เหมือนพระองค์ไหมล่ะ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:37
 (ภาพลอร์ดสโนว์ดอน วัยแก่ ค่ะ  -เทาชมพู)
แต่ตอนนั้น ประชาชนกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ได้ต่างหันหลังให้กับเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ไปอย่างเรียบร้อย
ต่างเห็นว่า เป็นความมัวหมองและน่าอับอายอย่างที่สุดของเดอะ เฟิร์ม
สมเด็จจึงต้องรีบเข้าดำเนินการจัดการด่วน โดยมีพระราชบัญชาให้เจ้าฟ้าหญิงพระขนิษฐาให้หา พร้อมกับทรงให้โอกาสเลือกเอา ว่าจะ เลิกกับฮิปปี้ หรือ จะอยู่ทรงงานแบบเจ้าแบบนายต่อไป
ซึ่งทำเอาเจ้าฟ้าหญิงได้ทรงออกพระอาการอาละวาดอยู่นานพอสมควร ทรงก่นด่าพวกที่ไม่หวังดี ต่อต้านในความความรักของพระองค์ รวมไปถึงเหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวทั้งมีเดีย และ มีเดียม ทั้งหมด

แต่ในที่สุด ก็ทรงยอมรับปากว่าจะเลิกคบหากับหนุ่มฮิปปี้ และจะกลับเข้าปฏิบัติพระกรณียกิจเช่นเดิม..
ซึ่งก็ทรงทำไปอย่างตามแกน เพราะทรงปรากฏตัวในงานล่าช้าบ่อยๆ
แถมเมื่อเสด็จถึง ทุกคนพออ่านพระอาการได้ว่า เสด็จแบบไม่เต็มพระทัย อีกทั้งมักเสด็จกลับก่อนที่งานจะเลิก..ด้วยอาการของคนที่อ่อนระโหยโรยแรง..
แพทย์ประจำพระองค์ได้ทูลเตือนไว้เสมอว่า ขอให้ทรงเพลาพระโอสถมวนและการเสวยน้ำจัณฑ์ลงเสียบ้าง
(ทรงสูบบุหรี่ที่ไม่มีก้นกรอง แต่ทรงใช้ก้านต่อ วันละ หกสิบมวน)
หากแต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบ
จนในที่สุด พระองค์ก็ทรงทรุดฮวบ เข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน..ด้วยพระอาการของโรคกระเพาะ และ ตับอักเสบ เท่านั้นไม่พอ ยังมีอาการทางประสาทหลอนอีกด้วย
ก่อนถึงวันประกาศการหย่าร้างเข้ามาไม่กี่วัน..ทรงตรัสบ่อยๆว่า...เบื่อชีวิต อยากจะปลงพระชนม์ชีพด้วยองค์เอง..

ก่อนหน้าที่จะมีการขอหย่าจริงๆนั้น พระองค์ไม่เคยทรงเชื่อว่า มันจะเป็นเรื่องจริง นอกจากคำขู่ของพระสวามี เนื่องจากพระองค์นั้นได้อยู่เหนือกว่าทุกทาง ใครจะกล้าขอหย่า
เมื่อทรงเห็นทีท่าว่าท่านลอร์ดเอาจริง  พระองค์ได้เคยรับสั่งถามว่า อยากหย่าเพื่อแต่งงานใหม่หรือเปล่า..?
ท่านลอร์ดได้ตอบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า..ไม่มีแผนการที่จะมีคู่ใหม่
แต่พอหลังจากที่การหย่าร้างได้ประกาศมีผลอย่างสมบูรณ์ไปเพียงแค่เจ็ดเดือน..เขาก็แต่งงานใหม่กับแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องพอดี

เจ้าฟ้าหญิงได้รับทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์.. ทรงพ้อว่า..ใจดำเหลือเกิน..ไม่มาบอกกันสักคำ และ ไม่ได้บอกลูกๆด้วย
นี่คือการหย่าร้างเป็นครั้งแรกในเดอะ เฟิร์ม..วินด์เซอร์
(และเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ รองจากเมื่อพระเจ้า
เฮนรี่ที่แปด ที่ได้ทรงหย่ากับ แอนน์ แห่ง เคลอเวอะส์ ในปี1533)

เจ้าฟ้าชายชารลส์ที่กำลังจะครบรอบสามสิบชันษา ถึงกับทรงหนาวๆร้อนๆ เพราะตอนนี้หนังสือพิมพ์ต่างพากันหันมาสนใจข่าวเรื่องว่าที่คู่ครองของพระองค์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
เพราะใครๆต่างก็คิดว่า..สามสิบแล้ว..น่าจะทรงเลือกคู่อภิเษกได้เสียที..
ข่าวที่พาดหัวจึงมีแต่ข่าวของสตรีที่น่าจะอยู่ในข่าย"เข้าขั้น" หรือไม่ก็ ต่างพากันพนันขันต่อว่า ปีนี้ จะใช่เป็นปีสุดท้ายแห่งความเป็นโสดของพระองค์หรือไม่?
เจ้าชายฟิลิป พระบิดา ได้ทรงเย้าพระโอรสว่า...
"รีบหาเข้าหน่อยนะ เพราะบรรดาหญิงๆจะพากันตกรุ่นกันไปหมดแล้ว"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:42
 งานวันคล้ายวันประสูติของเจ้าฟ้าชายได้จัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1978 ที่ห้องบอลล์รูมในพระราชวังบั๊คกิ้งเแฮม ที่มี่แขกเชิญมากว่าสี่ร้อยคน
แต่ละคนย่อมไม่ธรรมดา ล้วนแต่เป็นเจ้านาย  ขุนน้ำขุนนาง และ เหล่าไฮโซของแท้
ในบัตรเชิญ..ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า..งดศิราภรณ์... (หมายถึงงานที่สุภาพสตรีไม่ต้องแต่งกายแบบเต็มยศ เพราะไม่ใช่งานพิธีการของพระราชวัง)
คู่เดทของพระองค์ในคืนนั้น คือ ซูซาน จอร์จ หากแต่ทรงเต้นรำบ่อยๆกับ "คังก้า" และ คามิลล่า ปาร์คเกอร์ โบวลส์ ภริยาของพระสหาย
ใครๆก็รู้ดีว่า เจ้าฟ้าชายทรงโปรดที่จะคบหา สนิทสนมอยู่กับเหล่าสตรีที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว เพราะ ทรงรู้สึกวางใจว่า พวกหล่อนย่อมมิได้หวังอะไรจากพระองค์อย่างแน่นอน
พวกหล่อนย่อมช่วยเป็นหูเป็นตาต่อการที่จะเป็นข่าว เพราะมันย่อมหมายถึงชื่อเสียงของตัวเองด้วย..
อีกทั้งเหล่าบรรดาผู้สามีของคุณธอเหล่านั้น ต่างถือเป็นเกียรติอีกต่างหาก ถ้าหากว่า ภรรยาของตัวจะมีดี จนถึงกับมี"อะไรๆ" กับปริ้นซ์  ออฟ เวลส์
(นี่คือเรื่องธรรมดาของสังคมชั้นสูงในอังกฤษ)
หลายคนได้กล่าวเหมือนๆกันว่า.. เจ้าฟ้าชายที่น่าสงสาร ทรงรู้สึกสบายพระทัย และทรงโปรดที่จะเป็นลูกไล่ของพวกบรรดาไก่แก่ แม่ปลาช่อนทั้งหลายนั่น...มากกว่าที่จะอยู่ในวงล้อมของสาวๆวัยเดียวกันกับพระองค์

(นี่คือภาพคามิลล่าในวัยสาวค่ะ -เทาชมพู)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:46
 (ภาพนี้คือลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเทน ค่ะ -เทาชมพู)

ต่อมาคือ การเกิดโศกนาฏกรรมที่ถือว่าเป็นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ นั่นคือ การจากไปของท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน พระอัยกาน้อยที่ทรงรักหนักหนา
ข่าวแห่งการสูญเสียได้มาถึง ในขณะที่ทรงประพาสประเทศ
ไอซ์แลนด์ ในวันที่ 2 สิงหาคม 1979 ผู้ส่งข่าวคือท่านทูตอังกฤษที่ได้ละล่ำละลัก กราบบังคมทูลว่า
"ขอเดชะ..ข่าวร้ายพะยะค่ะ...ท่านลอร์ด....ท่านลอร์ด ..ท่านเอิร์ล เมาท์แบตเทน ออฟ เบอร์ม่า ได้สิ้นพระชนม์แล้วพะยะค่ะ"

เจ้าฟ้าชาย..ตกพระทัยจนทรงทำอะไรไม่ถูก..รีบถามกับท่านทูตไปว่า อะไรได้เกิดขึ้น
ทางผู้ตอบก็ได้แต่บอกว่า
"กระหม่อมทราบตามที่ข่าวของบีบีซีที่ได้ออกมาเท่านั้น พะยะค่ะ"

เจ้าฟ้าชายจึงรีบติดต่อกลับไปทางพระราชวังวินด์เซอร ์ ทูลถามรายละเอียดกับสมเด็จ ซึ่งได้ทรงตอบมาว่า
"ท่านปู่ดิคกี้ได้ไปเที่ยวที่ไอร์แลนด์ในวันหยุด..และได้ถูกลอบวางระเบิดโดยขบวนการ IRA สิ้นชีวิตแล้วลูก"

ข่าวโดยละเอียดคือ ท่านลอร์ด วัย เจ็ดสิบเก้า ได้ออกเดินทางทางเรือ (ส่วนตัว) ไปพักผ่อนพร้อมครอบครัวที่มี ลูกสาว แพตตริเซีย
ลูกเขย ลอร์ด จอห์น บราเบิร์น  พร้อมกับลูกชายฝาแฝด นิโคลาส , ทิโมธี และ มารดาของท่านลอร์ดลูกเขย
ทั้งหมดหมายใจจะไปพักผ่อนตกกุ้งลอบสเตอร์ให้สนุกที่ ท่า
มัลลาห์มอร์ (Mullaghmore) และที่นั่นเอง คือ ที่เกิดการวางระเบิดในเรือ ..

ท่านลอร์ด หลุยส์ ,นิโคลาส หลานชาย, ลูกเรือชาวไอริช
หนึ่งคนได้เสียชีวิตทันที
แพตตริเซียและสามี อาการร่อแร่ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด และ อยู่ในเครื่องช่วยหายใจนานนับอาทิตย์
มารดาผู้ชราของท่านลอร์ด จอห์น ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในวันต่อมา..
ทิโมธี บาดเจ็บแต่ไม่สาหัส..

เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเสียพระทัยอย่างที่สุด ถึงกับทรงตรัสกับนักข่าวว่า
"นี่คือความสูญเสียครั้งที่ใหญ่ยิ่ง..ฉันได้เสียคนที่รักและหวังดีที่สุดไป และ ชีวิตข้างหน้าที่ต้องปราศจากพระอัยกาคอยดูแลจะเป็นอย่างไร ฉันไม่อยากคิดเลย.."

ไม่กี่วันต่อมา ที่เจ้าฟ้าชายต้องเข้าร่วมเสวยพระพระยาหารกลางวันกับสมเด็จ และพระบิดาที่พระตำหนัก บอร์ดแลนด์ของท่านลอร์ด หลุยส์ ผู้ล่วงลับ เพื่อที่จะวางแผนงานในเรื่องจัดการพระศพ
เจ้าฟ้าชายได้ทรงสารภาพตรงๆว่า..พระองค์ไม่สามารถที่จะเก็บความรู้สึกไม่ให้กรรแสงออกมากลางงานได้อย่างแน่นอน
เจ้าชายฟิลิปต้องปลอบพระทัยว่า..อย่างไรเสียก็ต้องทำใจ เพราะท่านลอร์ดได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว..
แค่นั้นเอง เจ้าฟ้าชายก็ทรงกรรแสงออกมาจนต้องขอพระองค์ลุกขึ้น
สมเด็จ..เป็นพระองค์เดียวที่ทรงวางเฉย..และทรงเสวยต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น..มีการป้อนคุณหมาๆที่นั่งสลอนกันอย่างประปรายที่ใต้โต๊ะ มิได้ตรัสอะไรสักคำกับอาการของพระโอรส

ในที่สุด เจ้าชายฟิลิปทรงทนไม่ไหว ถึงกับตรัสเครียดๆว่า
"เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า..ชารลส์จะไม่ไปปล่อยโฮกลางพิธีฝังศพ ช่วยกันคิดหน่อยซิ?"
สมเด็จก็ยังทรงเฉย เหมือนกับมิได้รับรู้รับเห็น..
นาย จอห์น แบร์เร็ต เลขาคนสนิทของท่านลอร์ด หลุยส์ ได้มาเล่าว่า..
"ช่างน่าสงสารเจ้าฟ้าชายเสียจริงๆ ขาดพระอัยกาเสียคนก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ขนาดเจ้าชายพระบิดาขอความเห็นในเรื่องการที่จะทำให้พระองค์ทรงเข้มแข็ง พระมารดายังมิให้ความร่วมมือเล๊ยย..
แต่กับพระอัยกาที่จากไป.. ทั้งสองสนิทกันมาก คุยกันทุกวัน เท่านั้นไม่พอยังเขียนจดหมายหากันอีกบ่อยๆ พระองค์ถือเสมอว่า พระอัยกาเป็นทั้งปู่ เป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งพระอาจารย์ และเป็นทั้งเพื่อนที่ทรงไว้วางพระทัยอย่างที่สุด"

ทุกอย่างก็เป็นจริงอย่างที่นายจอห์นได้บรรยายมา...การเสียชีวิตของท่านลอร์ด ได้สร้างความเสียพระทัยอย่างสุดซึ้ง และมิมีวันที่พระองค์จะอภัยให้กับพวกไออาร์เอเลย..
อย่าง...ในสองปีหลังจากเกิดเหตุ เจ้าฟ้าชายได้โดยเสด็จประพาสออสเตรเลียกับสมเด็จ..ที่มีกลุ่มของพวกที่สนับสนุนขบวนการไออาร์เอได้รวมตัวกันต่อต้านการเสด็จมายืนรออยู่
สมเด็จทรงทำไม่รู้ไม่ชี้..ทรงพระดำเนินผ่านไป
เจ้าฟ้าชายทรงแกล้งยกพระหัตถ์ขึ้นโบก แต่...มีการแอบ"ยกนิ้ว"แถมให้ในที่สุด...  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:50
 ในวันพิธีศพของท่านลอร์ด..ที่พระวิหารหลวงเวสต์มินสเตอร์ ที่เจ้าฟ้าชายจะต้องเสด็จขึ้นมายืนในที่ปราศรัยถึงรายละเอียดต่างๆ
ในฉลองพระองค์ชุดทหารเรือเต็มยศ อีกทั้งที่พระอุระ ได้ทรงเหรียญตราทั้งหมดทุกชนิด และได้ตรัสกับมหาดเล็กคนสนิทว่า

"ถ้าพวกไออาร์เอมันจะยิงฉันเข้าที่กลางหัวใจละก้อ..รับรองว่าทะลุเข้ายาก.."

หากแต่..ยามที่ได้เสด็จขึ้นไปยังโพเดี่ยม..เพื่อที่จะตรัสกล่าวคำไว้อาลัย...เพียงเริ่มไปไม่กี่ประโยค พระองค์เริ่มตรัสตะกุกตะกัก พระสุรเสียงเจือไปด้วยก้อนสะอื้น.. ในที่สุด ก็ต้องป้ายน้ำพระอัสสุชลป้อยๆ....
พระอาการของพระองค์นั้น ช่างแตกต่างกับพระมารดาที่นั่งห่างไปเพียงไม่กี่ฟุตอย่างถนัดใจ..
สมเด็จทรงประทับตัวตรง ด้วยท่าทางสง่างามเรียบเฉยราวกับรูปปั้น..พระพักต์ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ข่าวในพระราชสำนักได้ออกมาว่าทรงรู้สึกช๊อคและเสียใจอย่างสุดซึ้งในการจากไปแบบกระทันหันของท่านลอร์ด...
เท่านั้นไม่พอ..มิได้ทรงส่งสาสน์แสดงความเสียพระทัยให้กับครอบครัวของท่านลอร์ด ที่เปรียบได้คือพระญาติแท้ๆ...อีกทั้ง..มิได้ประกาศงดการแปรพระราชฐานในการพักผ่อนปิคนิคครอบครัวที่พระราชวังบัลมอรัลที่จะมีขึ้นในวันต่อมาแต่อย่างใด

ภาพของพระองค์ที่ทรงพาคุณหมาๆคอร์กิเดินเล่น หรือภาพที่ทรงหยอกล้อกับพระนัดดา พระสรวลร่วน...ออกมาปรากฏหราบนหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ
นักข่าวต่างก็อึ้งไปตามๆกัน..เพราะไม่เข้าใจว่าจะทรงวางเฉยต่อการเสียชีวิตของท่านลอร์ดที่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญของครอบครัวได้ถึงขนาดนี้

ความจริง สมเด็จและท่านลอร์ดโดยทั่วๆไปแล้ว ต่างก็มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน แต่..มาหมางกันก็เมื่อคราวที่ สมเด็จได้เชิญพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต ให้มาเยือนอังกฤษในฐานะแขกเมือง เมื่อปี 1971
เท่านั้นไม่พอ..พระองค์ได้เตรียมถวายเครื่องราชย์ชั้นสูงสุดคืนให้ (เมื่อก่อนพระจักรพรรดิ์เคยได้รับไปทีหนึ่งแล้ว มาถอดถอนกันก็เมื่อ ปี 1941 ที่ญี่ปุ่นโจนเข้ามาร่วมในสงคราม บุกโจมตี เพิร์ล ฮาร์เบอร์)
แค่นี้ ท่านลอร์ด หลุยส์ ก็แทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต ด้วยความโกรธแค้นเป็นกำลัง เพราะท่านลอร์ดเองคือผู้บัญชาการรบภาคพื้นเอเซียอาคเนย์ ที่ต้องรบพุ่งกับกองทัพญี่ปุ่นอย่างสุดความสามารถ
และท่านลอร์ด ไม่เคยให้อภัยต่อความโหดร้ายและโหดเหี้ยมของกองทัพอาทิตย์อุทัยที่มีให้กับเพื่อนร่วมโลก อย่าง นานกิง และ เกาหลี   ยังพยายามกลืนกินเข้ามาทั้งในอินโดนีเซีย กับ ไทยด้วย..
(ยุคนั้น ก็ ยุคคู่กรรมของคุณหญิงทมเขางัย...)

แถม..สมเด็จได้ทรงมีแผนการที่จะเสด็จเยือนญี่ปุ่นตามคำเชิญตอบแทน ในปี 1975 อีกด้วย
ท่านลอร์ด ถึงกับกระแทกอารมณ์ใส่กับสมเด็จว่า..
"ถ้าอยากจะไปนัก ก็รอให้ฉันตายไปก่อนไม่ได้หรือไง.."
สมเด็จทรงตอบว่า..
"อย่าไปถือเป็นอารมณ์นักเลยท่านอา..ตอนนี้สมเด็จพระจักรพรรดิก็ทรงชรามากแล้ว."
"หนอย..ชรา..พวกไม้หลักปักขี้ควายผุๆน่ะซิ.. แต่..ยังไงถึงจะแก่..มันก็คือ จอมเผด็จการติดอันดับโลกคนหนึ่งละ"  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มี.ค. 06, 08:59
 แม้ว่าเวลาได้ผ่านไปหลายเดือน เจ้าฟ้าชายชารลส์ยังทรงระทมทุกข์ต่อการจากไปของท่านลอร์ดอย่างไม่เว้นวาย..พระองค์ทรงหันเข้าหากลุ่มเพื่อนสนิทของท่านลอร์ดในการขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาในด้านราชการงานเมืองและด้านส่วนตัวอื่นๆ
คนหนึ่งในนั้น ที่พระองค์ได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างมากคือ นาย ลอเรนส์ แวน เดอ โพสต์ ( Laurens Van der Post) นักเขียน และเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือในราชการของท่านลอร์ด เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช แห่ง อินเดีย

จากลู่ทางและแวดวงของนายลอเรนส์...ที่เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ได้ชักจูงมาให้เจ้าฟ้าชายได้มักคุ้นด้วย คือ นาย คาร์ล ยัง (Carl Jung) ที่เป็นนักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดชาวสวิส ที่ได้ถวายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และพลังลึกลับของอำนาจจิตอื่นๆ ที่เขาเชื่อว่ามีจริงอยู่ในโลกให้กับเจ้าฟ้าชายได้ทรงรับทราบ
ซึ่ง..มันได้ผล เจ้าฟ้าชายทรงสนใจและเริ่มศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขนาดเสด็จไปยังทะเลทราย คาลาฮารี ประเทศอาฟริกา พร้อมกับนายคาร์ล เพื่อที่จะหาทางติดต่อกับเหล่าวิญญาณต่างๆ
เพื่อเป็นการทดลองก่อนที่พระองค์จะพยายามติดต่อกับวิญญาณของท่านลอร์ด พระอัยกาที่รัก

นาย จอห์น แบร์เร็ตได้เล่าว่า
"เจ้าฟ้าชายทรงเล่นกระดานผีถ้วยแก้ว เรียกหาวิญญาณของท่านลอร์ดให้เข้ามาบ่อยๆ แต่พอข่าวรั่วไปถึงหูนักข่าว ทางสำนักพระราชวังรีบออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน เพราะ ไม่งั้นผู้คนจะพากันนึกว่าเจ้าฟ้าชายทรงมีพระสติฟั่นเฟือนไปแล้ว"

ในช่วงนี้เอง ที่เจ้าฟ้าชายได้ทรงรู้จักและมีความสัมพันธ์กับ โซ ซัลลิส (Zoe Sallis) ดาราสาวสวย เชื้อชาติอินเดีย เป็นอนุน้อยๆของผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังแห่งฮอลลีวู๊ด นาย จอห์น ฮิวสตัน
เธอได้มีลูกชายกับจอห์น (ในปี 1962) และ นับถือพุทธศาสนา เป็นลูกศิษย์เอกของท่านสวามิส แถมยังแก่กว่าเจ้าฟ้าชายถึงสิบปี..
แต่อายุเป็นเพียงตัวเลขที่ใช้เขียนเท่านั้น เจ้าฟ้าชายทรงหลงไหลและเชื่อในทุกอย่างที่โซได้พยายามถ่ายทอดให้..เช่นเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ หรือ เรื่องสวรรค์ และนรก

หนังสือที่เธอได้ถวายให้อ่านนั้นคือ เรื่อง The Path of the Masters
และทูลให้ทรงทราบด้วยว่า สวรรค์ได้ส่งเธอมาเพื่อโน้มน้าวพระทัยให้เชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม
ซึ่งจะว่าไปแล้ว..เธอได้ทำสำเร็จเสียด้วย เพราะในระยะนั้น เจ้าฟ้าชายได้ทรงคุยแต่ทรอปิคของเรื่องจิต วิญญาณ และ พยายามค้นหาว่า ถ้าท่านลอร์ดจะกลับคืนสู่ภพอีกครั้ง จะมาในลักษณะใด
และ..ทุกอย่างนั้นได้ขัดกับความเชื่อของชาวคริสต์ นิกาย เชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์ แบบสุดกู่..

คนที่เริ่มจะทนไม่ได้ คือ ฝ่ายราชเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายเอง เอ็ดเวิร์ด อะดีน (ผู้ซึ่งมีบิดาคือ ท่านเซอร์ ไมเคิล อะดีน ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ในสมเด็จพระราชินี) เขาได้เริ่มโน้มน้าวพระทัยให้กลับมาสนใจศาสนาของพระองค์เอง  แต่..พระองค์หาได้ทรงฟังไม่ ยังเชื่อในเรื่องของ"นิพพาน"อย่างหมดพระทัย..

โซ ซัลลิส ได้มีอิทธิพลต่อพระองค์มาก ถึงขนาดที่ว่า ทรงกลายมาเป็นมังสะวิรัติ และ เลิกการล่า และฆ่าสัตว์ ทรงตรัสว่า
"ฉันต้องการที่จะลดล้างบาปลงไปบ้าง และในขณะเดียวกันก็จะพยายามประกอบกรรมดีไปด้วย"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:07
 นายอะดีน..ได้ประกาศกร้าวในที่ประชุมคณะองคมนตรีว่า..
"เห็นทีจะปล่อยให้ฟุ้งซ่านต่อไปไม่ได้แล้ว.."
และ เขาเองที่ต้องเป็นผู้ที่จะอัญเชิญพระกระดิ่งไปผูกที่พระศอของเจ้าฟ้าชายแมว..
โดยการที่เข้ากราบทูลด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังว่า..
"กระหม่อมและคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องของพระองค์กับผู้หญิงคนนั้นเห็นทีจะต้องสิ้นสุดแล้วพะยะค่ะ เพราะยิ่งอื้อฉาวไป ยิ่งเป็นการบั่นทอนในความมั่นคงของพระราชบัลลังค์เข้าไปทุกที
ภาพพจน์ของพระองค์ก็นับวันแต่จะมัวหมอง   ในฐานะของพระองค์คือจะต้องเป็นผู้นำฝ่ายฆราวาสในศาสนาของเรา ไม่ใช่ของศาสนาอื่น"
เจ้าฟ้าชาย..ทรงเมินเฉย ไม่ยอมรับฟังข้อชี้แนะใดๆ
ทรงบอกว่า "ไม่เลิก"
ในที่สุด นายเอ็ดเวิร์ด จึงต้องงัดไม้ตายขึ้นมาว่า..
"งั้นเกล้ากระหม่อมก็มีความจำเป็นที่จะต้องกราบบังคมทูลให้สมเด็จได้ทรงทราบในเรื่องนี้เป็นการด่วนแล้วพะยะค่ะ"

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเจ้าฟ้าชาย จึงรีบรับข้อเสนอโดยด่วน รีบรับพระโอษฐ์ ว่า..
"จะเลิก.."
ในตอนนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระชนมายุถึง สามสิบเอ็ดแล้ว..แต่คำว่า จะฟ้องแม่...ยังถือเป็นอาญาสิทธิขั้นเด็ดขาด..

เจ้าฟ้าชายได้ทรงคว้างในเรื่องหญิงๆไปพักหนึ่ง แต่ในช่วงคว้าง พระองค์ก็ทรงเดทไปเรื่อยๆกับคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ทั้งแบบควงเล่นๆบ้าง และแบบชั่วคราวคืนเดียวบ้าง
สองคนที่พระองค์เคยขอแต่งงานด้วย สาวผมบลอนด์ทั้งคู่ คนหนึ่งคือ เดวิน่า เชฟฟิลด์ ลูกสาวเศรษฐีที่ดิน อีกคนหนึ่ง คือ แอนนา วอลเลซ
แต่ทันทีที่ข่าวรั่วไปถึงหนังสือพิมพ์ สองสาวก็ต้องรีบปฏิเสธข้อเสนอเป็นการด่วน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ประวัติอื่นๆในชีวิตที่เคยฉาวโฉ่มาอย่างไร เป็นได้ถูกนำออกมาตีแผ่ให้ขายหน้ากันก็คราวนี้
จนเจ้าฟ้าชายถึงกับอ่อนพระทัย..บ่นกับพวกนักข่าวว่า..
"ให้ตายซิ..แล้วฉันจะไปหาผู้หญิงดีๆ เลิศลอยฟ้ามาจากไหนกันล่ะ?"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:17
 แต่พระเจ้าดูเหมือนกับจะเชื่อเรื่อง"ดังนรกชัง หรือ สวรรค์แกล้ง.." เพราะ ในปี 1980 พระองค์ได้พบกับเด็กสาววัยสิบเก้าคนหนึ่ง ที่นั่งมาบนกองฟางหลังรถม้า..
เธอชื่อว่า ไดอะน่า สเปนเซ่อร์
ในขณะที่พระองค์ได้เสด็จออกไปเที่ยวบ้านชนบทของพระสหายในช่วงวันหยุด ความจริง พระองค์ได้ทรงรู้จักกับ
ไดอะน่ามาแล้วตั้งแต่เมื่อ สามปีก่อน
สมัยที่พระองค์ยังออกเดทกับเลดี้ ซาร่าห์ พี่สาวคนโตของเธอ และทรงเคยเสด็จไปพักผ่อนที่คฤหาสน์อัลทรอปของครอบครัวสเปนเซอร์ในครั้งนั้นด้วย
หากแต่ ไดอะน่า ตอนนั้นยังมีอายุเพียงสิบหก..ยังไม่เป็นสาวเต็มตัวเหมือนอย่างตอนนี้
พระองค์ถึงกับตื่นตะลึงในความงามที่ผุดผาดจนแทบไม่เชื่อพระเนตร ของสาวน้อย..ทรงตรัสว่า
"ไม่อ้วนเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ.."
"หม่อมฉันสูงขึ้นน่ะเพคะ เลยยืดไขมันให้บางออกไปหน่อย" สาวน้อยตอบอย่างขำๆเขินๆ แต่ก็สามารถทำให้เจ้าฟ้าชายถึงกับสรวลออกมาด้วยความเอ็นดูในความเป็นธรรมชาติของเธอ
จากนั้น คนทั้งสองได้เริ่มมีการสนทนากันอย่างคุ้นเคยในฐานะที่ครอบครัวก็รู้จักกันมาหลายชั้น
(เลดี้ รูธ เฟอร์มอย ยายของไดอะน่า คือ พระสหายสนิทของควีนมัม)
ในช่วงหนึ่ง ที่ไดอะน่าได้กล่าวขึ้นอย่างถูกพระทัยในเรื่องเห็นใจต่อความที่พระองค์ได้สูญเสียท่านลอร์ด หลุยส์ไปอย่างไม่มีวันกลับ..เธอว่า
"หม่อมฉันได้เฝ้าดูรายการถ่ายทอดพิธีพระศพของท่านลอร์ดอยู่เพคะ..เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยมาก ยิ่งตอนที่เสด็จดำเนินนำขบวนเชิญหีบพระศพ  ช่วงนั้นนะ หม่อมฉันถึงกับใจหายแว๊บ เพราะพระพักต์เศร้าสร้อย และ ดูเหงาๆ.. พระองค์คงต้องว้าเหว่ม ากเลยนะเพคะ ขาดท่านลอร์ดไปเสียคนหนึ่ง"

ข้อความนี้...โดนพระทัยอย่างจัง...จนต้องหันพระพักต์กลับมามองหน้าสาวน้อยคนนี้ใหม่ ว่า เธอช่างเข้าอกเข้าใจในความเป็นตัวตนของพระองค์อย่างที่คนอื่นๆไม่เคยมีใครเข้าถึง..
และ ตรงนั้นเอง..คือ ที่มาของความประทับพระทัยอย่างสุดซึ้ง..อย่างที่ไม่เคยทรงรู้สึกกับใครมาก่อน

(เรื่องนี้ เลดี้ไดอะน่าได้นำมาเล่าให้เพื่อนๆร่วมห้องฟังว่า เธอได้คุยกับเจ้าฟ้าชายประหนึ่งว่า พระองค์คือเด็กในความดูแลคนหนึ่งของเธอใน Young England Kindergarten
พอพูดจบ เจ้าฟ้าชายก็เอียงตัวเข้ามาหาเธอเหมือนกับเด็กๆพวกนั้นยามที่ต้องการการปลอบประโลมอย่างไม่มีผิด)

จากนั้น พระองค์ได้เชิญให้ไดอะน่าขึ้นรถกลับไปลอนดอนด้วยกัน เพราะพระองค์จะต้องเสด็จกลับก่อน ซึ่งเธอได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ใยดี ด้วยเหตุผลว่า เกรงใจเจ้าภาพที่เชิญมา..และเป็นการไม่สุภาพ
(เพื่อนร่วมห้องของเธอได้เล่าต่อว่า..ไดอะน่าไม่ต้องการให้ดูเหมือนเป็นการกระโจนคว้าโอกาส อีกทั้ง ต้องรักษากิริยาของลูกผู้ดีให้ดูงดงามเสมอ)

สำหรับไดอะน่า นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสัมพันธภาพที่เธอออกตื่นเต้นจนต้องเล่าสู่เพื่อนๆ ให้รับฟังว่า..
"ถ้าหากฝันเป็นจริงนะ..ฉันจะไม่ทำอะไรบ้าๆแบบพี่สาวฉันหรอกนะ.."
อะไรบ้าๆนั่น คือ เลดี้ ซาร่าห์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ไม่เคยคิดอะไรกับเจ้าฟ้าชาย คบหาแบบฉันท์มิตร ถึงมาขอแต่งงานก็คงไม่รับ เพราะว่าคนอย่างเธอเชื่อในความรัก ถ้าไม่รักก็ไม่แต่ง..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นกุลี หรือ พระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษ
(และจากข่าวนี้เอง ที่เจ้าฟ้าชายได้เลิกติดต่อกับเธอไปโดยปริยาย)
แต่..นักอ่านนิยายโรแมนติคแนวเพ้อฝันเฟื่องอย่าง
ไดอะน่า..เธอเชื่อเสมอว่า การแต่งงานกับเจ้าชายคือความฝันอันสุงสุดที่ผู้หญิงทุกคนต้องใขว่คว้า.....


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:21
 เพื่อนๆของไดอะน่าต่างร่วมด้วยช่วยกันสานฝันให้สหายรักให้เป็นความจริงขึ้นมา อย่างแรกคือการช่วยกันจัดหาเสื้อผ้าที่ดูดีเผื่อว่า อาจมีการออกเดท..
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเธอๆเหล่านั้นไม่เคยมีโอกาสได้พบกับเจ้าฟ้าชายสักที เพราะพระองค์ไม่เคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนถึงอพาร์ทเมนต์ หรือ แม้ยามจะไปไหนด้วยกัน ก็ไม่เคยเสด็จมารับ
จนเพื่อนของเธอได้เล่าเรียงให้ฟังว่า...
"ของขวัญก็แทบไม่มี ..จะมีก็หนังสือเล่มหนึ่งในวันคริสต์มาส   ภาพวาดสีน้ำฝีพระหัตถ์เป็นรูปพระราชวังบัลมอรัล...ดอกไม้ช่อหนึ่งหลังจากวันหมั้นที่มหาดเล็กส่งมาให้ การ์ดพระนามไม่ได้แนบมาด้วย อ้อ..มีกบพลาสติคเขียวๆอีกตัวหนึ่งที่ทรงส่งมาให้
ไดอะน่าเอาไปติดที่หน้ารถ เพราะเคยล้อพระองค์ไว้ว่า..ตอนนี้เธอคงไม่ต้องไปจูบกบเพื่อหาเจ้าชายที่ไหนแล้ว..กลัวแต่ว่าจะจูบเจ้าชายแล้วพระองค์จะกลายเป็นกบนี่ซิ..จะยุ่งกันใหญ่"

การออกเดทกันในตลอดหกเดือนแรกนั้น..เจ้าฟ้าชายไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อมาเองเลย หน้าที่นี้คือหน้าที่ของราชเลขาฯ ที่มักจะโทรมาในเวลาที่จวนเจียน และทุกครั้งไม่ว่าจะนัดกันที่ไหน ไดอะน่าจะต้องหาทางไปเองทั้งสิ้น   ไม่มีใครมารับ..

เรื่องของครอบครัวสเปนเซ่อร์และรายละเอียดในการแต่งงานของเจ้าฟ้าชายชารลส์จะข้ามไปนะคะ เพราะเล่ามาแล้ว ในตอนของรักร้าวฯ...แต่จะเล่าในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ....

เช่นว่า ในยามนั้น บรรดานักข่าวทั้งหลายกำลังเริ่มหาข่าวมาสนองความต้องในความอยากรู้อยากเห็นของประชาชนอังกฤษ (และทั่วโลก) เพราะข่าวเรื่องอะไรหรือใครก็ตามที่จะมาเป็นพระราชินีในอนาคตต่างขายได้เงินเป็นก้อนเป็นกำทั้งนั้น
อีกทั้ง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ถึงสามร้อยปี ว่าจะมี เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมารพระองค์ไหนได้ครองความเป็นโสดมาได้นานถึงขนาดนี้
ยิ่งพอเลดี้ไดอะน่าก้าวเข้ามาในวงจร แบบพกห่อมาด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเกินร้อย ทุกคนจึงต่างต้องรีบกัน"ชิงข่าว" เพื่อที่จะได้นำมาพิมพ์ก่อน ขายก่อน รับทรัพย์ก่อน..

ในยามนั้น ระหว่างที่ว่ากำลังตัดสินพระทัยจะทรงเลือกหรือไม่เลือก เลดี้ ไดอะน่า..
ท่านเอิร์ล สเปนเซ่อร์ ผู้บิดาต้องทำงานอย่างหนัก  ที่จะต้องออกมาปูประวัติของธิดาสาวคนเล็กให้ดูเลิศหรู และปราศจากที่ติทั้งปวง โดยการต้องขอความร่วมมือไปทางแม่ยาย คือ คุณหญิง บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ นักประพันธ์ชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบ ของเหล่าบรรดานักอ่าน ให้ช่วยกัน"โปรโมท" ให้หน่อย
คุณหญิง บาร์บาร่า วัยแปดสิบ..เห็นแก่ลูกเขย..จึงเปิดคฤหาสน์ประชุมบรรดาผู้สื่อข่าวทันที โดยตัวเองนั้น ออกมาให้สัมภาษณ์ในชุดแพรชีฟองสีชมพูหวานแหวว พร้อมประดับขนนกด้วยสีเดียวกันออกแนวหรูหรา
รอบข้างห้อมล้อมรอบตัวไปด้วยสุนัขพูดเดิ้ลถึงห้าตัว..เธอได้จีบปากจีบคอให้ข่าวว่า..
"เจ้าฟ้าชายจำเป็นที่จะต้องเลือกคู่ครองที่เป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ...สำหรับไดอะน่านี่ ฉันรับรองด้วยเกียรติยศเลยนะ ว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อน เธอช่างใสซื่อราวกับนางเอกในนิยายของฉันเปี๊ยบเลย แหม..มันช่างเหมาะเจาะลงตัวอะไรเช่นนั้นก็ไม่รู้ซินะ.."

ทั้งนี้ทั้งนั้น..คือ เบื้องหลังแล้ว ระหว่างฝ่ายทางแม่เลี้ยง และ ทางเด็กๆในตระกูลสเปนเซอร์ ไม่ได้ถูกกันเลย..เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เรนได้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งแม่เลี้ยง..
ส่วนเรนเอง..แม้จะชังหน้าลูกเลี้ยง แต่การที่เลดี้ไดอะน่าจะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่ง ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น ย่อมหมายถึงชื่อเสียงที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์อื่นๆ
ดังนั้น การปรุงแต่งอาการและวาดสีภาพกันใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องทำ  โดยเฉพาะในยามนั้น ข่าวเรื่องภาพ"โป๊" ของเลดี้ไดอะน่าได้หลุดไปอยู่ในมือของช่างภาพชาวเยอรมัน ซึ่ง มันหมายถึง การดับวูบของอนาคตที่คาดหวังไว้ทั้งหมด
(ภาพโป๊ที่ว่านี่ คือภาพที่ไดอะน่าได้ถอดเปลี่ยนบิกินี่ริมสระน้ำเมื่อครั้งไปเรียนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีภาพบางภาพในชุดริมสระน้ำนี่ออกมาปรากฏประปราย แบบว่า เกือบโป๊ แต่ เธอก็ยังเด็กมาก แข้งขายาวเก้งก้าง)
เรนได้ทำหน้าที่แม่เลี้ยงที่ดี ด้วยการติดต่อทนายความ อายัดภาพทั้งหมด (ในฐานะที่เลดี้ไดอะน่ายังถือว่าเป็นผู้เยาว์) และได้ขอความร่วมมือไปทาง ลอร์ด เฟอร์มอย ลุงของไดอะน่าให้ช่วยกันกระพือความดีของหลานสาวให้หนักๆเข้าไว้
ท่านลอร์ด จึงได้ใช้เส้นสายวงในไฮโซ จัดงานพบปะนักข่าว และให้สัมภาษณ์ในฐานะญาติสนิทว่า
"สำหรับไดอะน่า หลานของฉันคนนี้นะ รับรองได้เลยว่า เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสาวของเจ้าฟ้าชายอย่างที่สุด ไม่อื้อฉาวเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ (ที่ทรงเคยควง) นี่ละ คือประเด็นที่สำคัญที่สุด "

ความดีอีกอย่างหนึ่งของเรน (ในยามที่กำลังดีดลูกคิดในรางแก้ว) นั้นคือ เธอได้เก็บความลับให้ลูกเลี้ยงอย่างสนิทแน่น..ในเรื่องของเพื่อนชายที่สนิทสนมกันจนเกินเลยมาก่อนนั้น คือ นาย เจมส์ กิลบี้ (ทายาทเหล้ายินที่โด่งดัง) และ ร้อยโท รอรี่ สก๊อตต์ ที่สนิทสนมรักใคร่กันถึงขนาดตามไปเก็บเสื้อผ้าสกปรกมาซักรีดให้..
เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับไปจนวันตาย..
หากแต่...เมื่อวันที่การเดินทางได้บรรลุไปถึงดวงดาว คือในวันอภิเษกสมรสที่ได้มาเป็นความจริงแล้วนั้น  คุณหญิงบาร์บาร่า กระบอกเสียงตัวช่วยคนสำคัญไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมในงาน
ซึ่ง..เรน..ตัวแม่เลี้ยงเอง ก็เกือบหวุดหวิดหลุดโผไปจากชื่อปรากฏในรายการแขกเชิญนั่นเอาซะด้วย  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:25
 เหล่าบรรดานักข่าวก็พลอยพากันเป็นใจ อยากให้เจ้าฟ้าชายได้ทรงอภิเษกไปเสียที จะได้มีข่าวใหญ่"เล่น" ไปได้อีกนาน..
จะไปขุดคุ้ยอะไรกันกับเด็กสาวคนนี้ให้มากความ   อีกทั้งเธอออกจะมีท่าทางเป็นกันเองกับช่างภาพจะตาย..ขอให้ยืนตรงไหน หันหน้ามุมไหน ก็ได้ทั้งนั้น..
ไม่เหมือนกับคณะเดอะ เฟิร์ม..

ในตอนนั้น คือ ใกล้สิ้นปี 1981 ทั้งหมดกำลังเหม็นเบื่อกับการตามล่าของนักข่าวอย่างสุดประมาณ ไ ม่ว่าจะขยับองค์กันไปทางไหน กองทัพนักข่าวก็กรูติดตามอย่างไม่ลดละ
จนทั้งหมดมีความรู้สึกเหมือนกับถูกจองจำอยู่ในบ้านของตัวเอง
เจ้าชายฟิลิป ทรงมองออกไปที่นอกพระแกล และ ทรงด่าเป็นชุดใส่กองทัพนักข่าวอย่างไม่มีความเกรงใจ
สมเด็จเอง..ถึงกับออกพระโอษฐ์ไล่พวกเขาอย่างทรงรำคาญเต็มที่ เพราะ ทุกคนรู้ว่า พระองค์จะต้องเสด็จออกทรงม้าแทบทุกวัน จึงไปเฝ้ารอคอยเจาะข่าว..
"ไป..ไปให้พ้น..พวกบ้า.." ทรงตรัสไล่..ขณะที่ทรงประทับอยู่บนหลังม้า..
ณ.ที่นั้น มีอยู่นักข่าวด้วยกันสามคน คือ นาย เลส วิลสัน นาย จิมมี่ เกรย์ และ นาย เจมส์ วิตเทเกอร์  ที่ต่างก็หลบทาง..เมื่อทรงเสด็จผ่าน ยังมีการหันมาเอ็ดให้อีกว่า..
"Get away, you bloody......................."
นายเจมส์ได้กระแทกเสียงตอบไปว่า..
"มาดาม..พวกเราก็หลบทางให้อยู่แล้ว..ทรงหงุดหงิดไปหน่อยกระมังพะยะค่ะ..."

วันต่อมาคือ วันขึ้นปีใหม่..ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงประชดประชันให้กับกลุ่มนักข่าวว่า..
"สวัสดีปีใหม่นะ...อ้อ ฝากสวัสดีไปให้พวกบรรณาธิการตัวแสบๆของพวกคุณด้วย..."

เลดี้ไดอะน่าได้เข้ามาในพระราชวังแซนดริงแฮมในสองวันต่อมา..และ กว่าจะฝ่าฝูงนักข่าวและช่างภาพไปได้ก็แทบอ่อนใจ
สมเด็จ..ทรงตรัสเปรยกับพระโอรสว่า..
"ถ้าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ก็เห็นท่าจะไม่ไหวแล้วนะ"
เจ้าชายฟิลิป ได้ทรงขมวดข้อความให้กระชับเข้า..โดยการพูดกันตรงๆอย่างแมนๆว่า
"จะคิดอ่านทำอะไรก็ทำซะ..ควงกันนานไปผู้หญิงเขาจะเสียหาย"

เรื่องการเลือกคู่ครองของเจ้าฟ้าชายนั้น เจ้าชายฟิลิปพระบิดาคอยเฝ้าดูอยู่ตลอด..และ คอยสกัดหญิงที่ไม่เหมาะสมหลายต่อหลายนาง อย่าง สาวนางแบบหน้ากลางของหนังสือเพนท์เฮ้าส์
หรือเรื่องของคามิลล่า พระองค์ก็ทรงทราบดี..
หากแต่ทุกคนต่างคิดว่า อย่างน้อยกับคามิลล่าก็ยังพอหลอกชาวบ้านได้ว่าอยู่ในฐานะเพื่อน เพราะหล่อนก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนทนโท่..
แต่สำหรับผู้หญิงที่จะต้องกลายมาเป็นคู่ตุนาหงัน นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเลือกเฟ้นให้เหมาะเจาะ   เพราะจะต้องเป็นหน้าเป็นตาของเดอะ เฟิร์มอีกต่างหากด้วย..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:30
 ครั้งหนึ่ง ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ออกเดทกับ ซาบริน่า กินเนสส์ (ทายาทสาวของโรงเบียร์ดำ Guinness ที่ขึ้นชื่อ) และพระองค์ได้เชื้อเชิญให้ซาบริน่ามาร่วมโต๊ะดินเน่อร์ในบ้านชนบทของพระสหายสนิทและเป็นข้าราชบริพารชั้นในด้วย
ข่าวการเชิญได้รั่วไปถึงนักข่าว..ดังนั้น พาดหัวในวันต่อมาคือ..
"หรือ..เจ้าฟ้าชายจะทรงมีความรักอีกแล้ว?"

เจ้าชายฟิลิปได้ทรงเดือดดาลในตัวพระโอรสยิ่งนัก ทรงติดต่อไปยังฝ่ายเจ้าภาพให้ยกเลิกบัตรเชิญของสาวคนนั้นเป็นการด่วน..
และเพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีการตบตา พระองค์ได้บอกไปว่า จะเสด็จไปทอดพระเนตรที่นั่นด้วยองค์เอง เวลา ห้าโมงเย็น..
เจ้าภาพต่างอึกอัก..ในที่สุดจึงต้องเบี่ยงประเด็นไปให้กับซาบริน่าได้ทราบว่า..ขอเชิญให้มาร่วมเวลากลางวัน แต่ต้องกลับก่อนห้าโมง เพราะทางเจ้าภาพจะต้องรับเสด็จเจ้าชายฟิลิป..
(เรื่องที่จะยกเลิกบัตรเชิญที่ออกไปแล้ว ในเจตนาว่าไม่ต้อนรับนั้น..เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะฝ่ายครอบครัวตระกูลกินเนสส์นั้น ก็จัดว่า อยู่ในฐานะที่ไม่ด้อยไปกว่าพิณทองแถม หรือ แพรทองทาบ...ไปสักเท่าไร)

ในที่สุด ห้าโมงเป๊ะ เจ้าชายฟิลิปก็เสด็จถึงตามที่ได้ทรงตรัสไว้.. และทรงพบกับซาบริน่า ที่กำลังจะเดินทางกลับพอดี พระองค์ได้เชิญให้หญิงสาวให้เข้าไปสนทนาด้วยในห้องรักแขกด้วยมาดที่ชาเย็น เธอได้เดินตามเข้าไปอย่างหงอยหงิมระคนเกรงกลัว
พระองค์ได้ตรัสตรงๆว่า..ขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้าฟ้าชาย และขอให้เลิกขาด พระองค์ไม่ต้องการเห็นชื่อของเธอห้อยติดอยู่กับพระโอรสอีก..
สาวซาบริน่า..ต้องกลับบ้านไปด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา..

และตอนนั้นคือ ตอนที่เจ้าชายฟิลิปได้เปิดพระอุระพูดกับพระโอรสตรงๆเกี่ยวกับเลดี้ ไดอะน่า สเปนเซ่อร์ ว่า..
"จะแต่งก็แต่งซะ.."
ใครต่อใครก็รู้ว่า ระหว่างสองพ่อลูกนี้...ใครคือผู้ที่ชี้ชะตาในทุกอย่างและทุกเรื่อง และ ใครที่รับถือไปปฏิบัติอย่างไม่มีข้อแม้...
ฉะนั้น ในสี่อาทิตย์ต่อมาของเจ้าฟ้าชาย ที่พระทัยเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ทรงสับสน..จับต้นชนปลายแทบไม่ถูก ทรงเขียนไว้ในสมุดไดอะรี่ว่า..
"คิดไม่ตก กลุ้มใจจริงๆกับเรื่องนี้"
พระองค์ได้ปรึกษากับเพื่อนรัก คามิลล่า ว่าจะทรงทำอย่างไรดี
คามิลล่าได้ตอบว่า..
"ตามพระทัย..หม่อมฉันเห็นดีด้วย"
แต่กับเพื่อนๆของหล่อน คามิลล่าได้เล่าไปในจดหมาย โดยเรียกไดอะน่าว่า..
"นังหนู"
(อ้าว..จริงๆนะ เขาเรียกว่า..The Mouse เลยเชียว)

เจ้าฟ้าชายได้ทรงจดหมายไปบรรยายความรู้สึกกับพระสหายว่า..
"คิดอ่านอะไรก็ตันไปหมด เพราะหนทางข้างหน้านั้นมันช่างแตกออกไปได้หลายสายจริง ใจหนึ่งเราก็อยากจะทำให้ถูกต้อง เพื่อ ชาติและราชบัลลังค์ แต่ อีกใจหนึ่งเราก็กลัวว่า ถ้าผลออกมาในด้านลบ  เราจะต้องทนอยู่กับความผิดพลาดครั้งนี้ไปจนตลอดชีวิต..นี่ซิ ที่เราต้องคิดหนัก"

(ต่อมา ที่ผลออกมาในด้านลบเข้าจริงๆ เจ้าฟ้าชายได้กล่าวโทษให้กับเจ้าชายฟิลิปพระบิดา ที่มีส่วนผลักดันให้พระองค์ต้องรีบผลีผลาม ทำไปทั้งๆที่จิตใจยังไม่พร้อม)

และด้วยกระแสที่เร่งเร้าเข้ามาในทุกด้าน ทำให้เจ้าฟ้าชายได้ตัดสินพระทัย ขอเลดี้ไดอะน่า แต่งงานในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1981 และ ได้ประกาศออกมาเป็นทางการในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ต่อมา
เจ้าฟ้าชายได้ทรงตรัสแก่ผู้สื่อข่าวว่า..
"ฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ประชาชนไม่รัก..ไม่ได้หรอกนะ "
ประชาชนต่างโห่ร้องด้วยความปิติยินดี เพียงแต่..คนเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียน้ำตาในครั้งนี้นานถึงหกอาทิตย์ คนนั้นคือ นาย ฟรานเซส ชานด์ คีดด์ เพราะ เธอเข้าใจดีว่า ไดอะน่าจะต้องไปอยู่ในฐานะเช่นไร   และ ประสบการณ์ที่แสนน้อยนิดอย่างเธอ จะไปรอดได้นานแค่ไหน..

(ประวัติของนางฟรานเซส ได้เขียนไว้ให้อ่านแล้วนะคะ ในรักร้าว..จะทราบกันดีว่า ขนาดเป็นแต่เมียท่านเอิร์ลกว่าจะมีลูกชายออกมาให้ได้ก็ต้องเสียน้ำตาไปเป็นปี๊บ อีกทั้งแทบจะเสียสติ เพราะถูกคนในสังคมนินทาตลอดว่า..คลอดออกมาทีไรก็เป็นผู้หญิง เธอจึงต้องทนท้องแล้วท้องอีก..กว่าจะได้สมใจก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:47
 หลังจากการหมั้นผ่านพ้นไปไม่นาน...ทุกคนต้องพากันประหลาดใจที่เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่  
จากเลดี้ไดอะน่า สาวน้อยที่แสนสวยใส ท่าทางติ๋มๆ มาเป็นสาวสะพรั่ง ใจถึง กล้าโชว์ส่วนสัดอย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในคนของเดอะ เฟิร์ม
นั่นคือ การปรากฏตัวที่งานการจัดมหาอุปรากรการกุศลของ บีบีซี ที่ทุกคนต้องมองมาที่เธอจนลูกตาแทบถลน..
ในชุดราตรีไร้สายสีดำสนิท  ส่วนหน้าอกนั้นตัดต่ำจนเห็นเนื้อนวลนูนเด่น.. จนเจ้าหน้าที่ของบีบีซีถึงกับอุทานว่า..
"ให้ตายซิ..นี่มันคือ เต้าที่สร้างมาเพื่อให้โลกละเมอ เลยนะเนี่ย.."
อีกคนหนึ่งก็เสริมว่า
"พระมาเห็นชุดเด็ดนี่เข้าละก้อ วิ่งกลับวัดไปสึกแทบไม่ทัน.."

สาเหตุที่เลดี้ไดอะน่า ต้องการที่จะเป็นจุดเด่นสุดๆในงานนี้ เพราะว่า เธอจะต้องพบและต้องดินเนอร์กับดาราค้างฟ้า เจ้าหญิง เกรซ แห่ง โมนาโค ที่ใครต่อใครว่ากันว่า ทรงงามอย่างหยาดฟ้ามาดิน..ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมหลังจากการแสดงจบ..
เลดี้ไดอะน่า อาจจะไม่ทราบว่า สาเหตุที่เจ้าหญิงเกรซได้รับเชิญมาในงานนี้ เพราะว่าเป็นการจัดงานแบบการกุศลที่พระองค์ได้มีส่วนร่วมด้วย เพราะจริงๆ ดังที่เล่ามาให้ทราบแล้วว่าเดอะ เฟิร์ม ไม่ได้โปรดปรานอะไรกับเจ้านายแห่งโมนาโคหนักหนา
อีกทั้งแทบจะไม่ได้นับว่าเป็นเจ้าเสียด้วยซ้ำ แถมยังเป็นอดีตดาราฮอลลีวู๊ดเข้าไปอีก ยิ่งเหมือนกับโดนดูถูกสองเด้ง..

ทั้งๆที่จะว่ากันตามจริงแล้ว..เจ้าชายเรเนียร์ ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์มานานที่สุดในยุโรป
(สถิติตอนนั้น คือ ปี 1996 มีกษัตริย์สองพระองค์ในโลกที่ครองราชย์นานกว่าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ  นั่นคือ เจ้าชายเรเนียร์ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ของเรา)

ในงานนั้น เลดี้ไดอะน่าได้เข้าร่วมวงสนทนากับนักข่าวอย่างสนิทสนม และ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ถ่ายรูปอย่างเต็มที่ด้วยอาการที่เป็นกันเองอย่างธรรมชาติ ไม่มีพิธีรีตองจนน่าอึดอัด
ในงานหนึ่งที่เธอได้ทำไวน์หกลงเปื้อนถุงมือ..เธอขำ..และบอกกับนักข่าวว่า..
"อุ๊ยตาย..นี่ต้องรีบเอามันไปร้านซักแห้งอีกแล้ว"
หรือยามที่คนถามว่า ชีวิตในพระราชวังเป็นอย่างไร...เธอได้ตอบว่า
"ต้องทานอาหารแบบมีพิธีรีตองตลอดเลย เบื่อจัง"
หรือยามที่มีชายคนหนึ่ง เข้ามาบอกว่า
"ขอได้มีโอกาสจุมพิตมือของพระราชินีในอนาคตหน่อยได้ไหม?"
ไดอะน่าได้ส่งมือให้ด้วยความยินดี และตอบว่า..
"จูบซิ..และเชื่อเลยนะ ว่าคุณจะไม่มีวันลืมวินาทีนี้ไปจนตลอดชั่วชีวิต"
นักข่าวทั้งหลายต่างชอบใจ นึกศรัทธาจะนิยมชมชื่นเด็กสาวคนนี้อย่างหมดใจ.. นับแต่วินาทีนั้นมา


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 09:59
 ในคืนเดียวกันนั้น เราต้องไม่ลืมว่า เลดี้ไดอะน่ามิได้ไปงานแต่เพียงคนเดียว เจ้าฟ้าชายพระคู่หมั้นได้เสด็จไปด้วย..
หลังจากที่เลดี้ไดอะน่าได้กำลังเป็นจุดสนใจท่ามกลางวงล้อมของนักข่าวนั้น
เจ้าฟ้าชายได้แยกพระองค์ออกมาเพื่อจะได้ไปสนทนากับกลุ่มคนอื่นๆ หากแต่พระองค์ได้ออกมาอย่างโดดเดี่ยว และเป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นมกุฏราชกุมาร ที่ไม่มีนักข่าวคนไหนสนใจที่จะตามมา..
ทุกคนกำลังแห่แหนชื่นชมอยู่กับสาวหน้าใส ว่าที่พระชายา...
วันต่อมา..แน่นอนว่า ข่าวของเธอปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ไม่ว่าจะออกมามุมไหน ท่าไหน ก็สวยไปหมด
ในเนื้อข่าวบางคอลัมน์ได้เขียนเย้าด้วยคำว่า "อวบอิ่ม" หรือ "หนั่นเนื้อที่อวบอั๋น"
นี่คือสิ่งที่เลดี้ไดอะน่าได้ประหวั่นพรั่นกลัวเป็นที่สุด แถมภาพที่ออมาทางข่าวโทรทัศน์ ที่ฟ้องต่อสายตาว่า..เธอนั้นอวบไปจริงๆ..
จนถึงกับร้องบ่นออกมากับพระคู่หมั้นว่า..
"ตายแล้ว..ทำไมหม่อมฉันดูอ้วนยังกับแม่วัวอย่างนั้นล่ะ
เพคะ...ตาย ตายจริง..."
เจ้าฟ้าชายก็พอกัน..ไม่ทันได้คิด เพราะพระองค์เองก็ทรงระวังพระวรกายเป็นที่สุด (เนื่องจากสมัยเมื่อยังทรงพระเยาว์ เพื่อนๆที่โรงเรียนเรียกล้อเลียนว่า ไอ้อ้วน)
พระองค์ทรงเสวยแต่อาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ใข่ขาวเจียว ปลาแห้งเส้น สลัดเขียว เครื่องขบเคี้ยวคือ เมล็ดพืชอบแห้ง ลูกพรุนแห้ง ผลไม้แห้งนานาชนิดรวมกัน ที่ทรงจัดใส่ถุงเล็กๆสะดวกต่อการพกพา
ทรงออกกำลังกายติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เครื่องดื่มที่ทรงโปรดคือ น้ำมะนาวเจือเกลือนิดๆ..
ที่ไดอะน่ามักล้อเลียนทำหน้าเหยเก ว่า.."น่าคลื่นใส้ละไม่ว่า"

แต่เจ้าฟ้าชายทรงว่า...นี่คือสูตรสำเร็จที่ทรงคิดขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกสบายในการขับถ่าย..
พระองค์มักทรงล้อเลียนพระคู่หมั้นเสมอ ในเรื่องของความอั๋น..โดยการเรียกชื่อว่า แม่ฟักทอง บ้าง..หรือ แกล้งสั่งงดของหวานบ้าง..
นี่คือที่มาและแรงผลักดันให้ไดอะน่าได้ก้าวกลับไปพึ่งสูตรสำเร็จของการลดความอ้วน สไตล์ สเปนเซ่อร์ อีกครั้งตามอย่างพี่สาว... เลดี้ เจน...ที่เคยมีอาการของโรค อะโนเรคเซีย.. ที่มีพื้นเพมาจากสภาพทางจิตที่ไม่ปรกติ ของเด็กที่อยู่ในสภาพของการที่มีครอบครัวแตกแยก..เลดี้เจนได้อดอาหารจนซูบโซ ถึงขนาดที่ต้องส่งไปบำบัดก่อนที่ร่างกายจะเกิดการปฏิเสธอาหารจนถึงกับช๊อค
(จะอาจทำให้เสียชีวิตในที่สุด ดังที่ได้เกิดขึ้นกับนักร้องหญิงของเดอะ คาร์เพนเตอร์)

ในกรณีของไดอะน่าก็เช่นกัน เธอเคยอดอาหารจนหิวทนไม่ไหว ต้องสวาปามทุกอย่างที่ขวางหน้า..
จากนั้น พออิ่มจนเต็มกระเพาะ ทางสภาพจิตใจและความคิดจะเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ..จึงต้องหาทางระบาย
ด้วยการล้วงคอให้ขย้อนคายทุกอย่างออกมา..
อันนี้ เราเรียกว่า..โรคบูลิเมีย
(ซึ่งทางการแพทย์ ถือว่าเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง...ที่ต้องได้รับการบำบัด ผู้ป่วยด้วยโรคนี้มักจะมีจิตใจไม่ปรกติ เดี๋ยวดีใจหาย หรือ อาจมีอารมณ์ร้ายจนเข้าขั้นอาละวาด เพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 10:04

นี่คือไดอะน่าในชุดราตรีสีดำที่ลือลั่นไปทั้งงานค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 10:07
 การย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมก่อนการอภิเษกสองสามเดือนนั้น   เจ้าฟ้าชายชารลส์มิได้ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา  เนื่องจากต้องเสด็จประพาสนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นเวลาถึงห้าอาทิตย์
และตอนนี้เองที่เหล่ามหาดเล็ก และคุณพนักงานรับใช้พระคู่หมั้นต้องวิ่งกันวุ่น เนื่องจาก อาหารจำพวกซีเรียลกล่องๆ และอาหารอื่นๆนั้นหายไปจำนวนมาก จนเกือบตั้งมีการไต่สวนหาตัวการที่บังอาจโขมย..
เลดี้ไดอะน่าได้ออกมารับว่า เอาไปกินเอง ชาววังถึงกับตกใจ ว่าจะกินอะไรเข้าไปได้มากมายขนาดนั้น.. หรือ อาจจะทำความดีออกมาช่วยปกป้องคนผิดกันแน่
แต่คุณพนักงานทำความสะอาดได้คอนเฟิร์มอย่างแน่นอนว่า..พระคู่หมั้นอ้วกได้อ้วกดีในห้องน้ำ..

ใครต่อใครต่างพากันไม่เชื่อหู ว่าสาวสวย สาวมั่นอย่างเลดี้ไดอะน่าที่แสนจะงามสง่าในราชรถเทียมม้า..จะมานั่งซบกอด"คอห่าน" ให้บัดสีบัดเถลิงได้อย่างไร..
ไม่เชื๊อ ..ไม่เชื่อ...
ทุกคนต่างทำใจไม่ยอมรับ และพร้อมที่จะลืมเรื่องนี้ไปให้สนิท เหมือนกับว่า มันไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เป็นความจริง...

การเดินทางต่างประเทศในครั้งนี้ของเจ้าฟ้าชาย คือการดูลาดเลาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากพระองค์ได้เคยคิดไว้ว่าหลังจากงานอภิเษก พระองค์อยากจะย้ายมาประจำช่วยราชการพร้อมพระชายาในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลอังกฤษ ประจำที่กรุงแคนเบอร่า
ความคิดนี้ได้ทรงกราบบังคมทูลไปยังพระมารดา ซึ่ง สมเด็จได้ทรงนำไปปรึกษาในความเป็นไปได้กับนายกรัฐมนตรีหญิง นางมาร์กาเร็ต แทชเช่อร์
ซึ่งหลังจากผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรีออกมา ผลคือ เป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ในการเสด็จเยือนครั้งนี้..พระองค์ได้ทรงโทรศัพท์มาคุยกับพระคู่หมั้นว่า..
"โชคดีจริง ที่เขาไม่มีตำแหน่งให้ เพราะไม่อยากจะมาแล้ว อีตานายกรัฐมนตรีที่นี่ท่าทางเซ็งจัด ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย"
ตั้งแต่จากไปห้าอาทิตย์ พระองค์ได้โทรศัพท์ไปหาพระคู่หมั้นเพียงสี่ครั้ง กับพระมารดา ครั้งเดียว
และทุกครั้งได้ถูกแอบบันทึกเทปไว้หมด โดยคณะขบวนการต่อต้านอังกฤษในแคนาดา  เทปนี้ได้มีการจัดจำหน่ายในอังกฤษให้กับนักข่าวอิสระที่สนใจที่จะนำไปประจาน...
ซึ่งทางฝ่ายเสนาบดีของเดอะ เฟิร์ม ต้องวิ่งกันวุ่น มีการจัดหาทนายความแก้ต่างว่า  เสียงในเทปทั้งหมดนั่นคือการปรุงแต่ง เลียนเสียงโดยใช้เทคนิคเข้าช่วย   ศาลให้อำนาจสั่งให้งดการแพร่กระจาย..

หากแต่..ข้อความทั้งหมดได้ไปลงในหนังสือพิมพ์ที่เยอรมัน (Die Aktuelle)  ซึ่งได้แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษลงในหนังสือพิมพ์ Irish Independent..เพราะห้ามไม่ทัน

ในข้อความระหว่างเจ้าฟ้าชายและเลดี้ไดอะน่า...มีว่าดังนี้...ว่า สองเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องงานอภิเษกนั้น คือ เรน..แม่เลี้ยง และ ท่านเอิร์ล สเปนเซ่อร์ บิดาของเธอเอง ที่เพิ่งจะหายป่วยแหม็บๆ ได้ออกมายืนเคียงคู่ ให้ข่าวในทีวีด้วยใบหน้ายิ้มหราแป้นแร้น...
ไดอะน่าได้บ่นให้พระคู่หมั้นฟังว่า
"ยัยนั่นได้จัดการเอาพ่อไปถ่ายรูป เซ็นชื่อกำกับ แล้วเอาไปใส่กรอบขายให้พวกนักท่องเที่ยว ใบละครึ่งปอนด์ แถมมีการคิดค่าร่วมดื่มน้ำชากับยายเฒ่าสีชมพูนั่นด้วย (หมายถึง คุณหญิงบาร์บาร่า คาร์ทแลนด์) งานแต่งงานของเราครั้งนี้เห็นทีจะวุ่น ถ้าขืนพระองค์ปล่อยให้ยัยบ้านั่นเข้ามาวุ่นวายเพคะ"
"อย่าเป็นห่วงเลยที่รัก...เอ็ดเวิร์ด (อะดีน) คงรู้หน้าที่ของตัวเองดี ว่าต้องทำอะไรมั่ง หรือไม่ก็พระมารดาท่านคงต้องลงมากำกับเองถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล"
"ก็รู้แล้ววว...แต่นี่มันงานแต่งงานของหม่อมฉันเช่นกัน  หม่อมฉันไม่มีสิทธิออกความเห็นบ้างเลยหรือเพคะ?"
"ก็แน่นอนซิ..ต้องมี...แต่ถ้าจะให้ดี...ลองคุยกับแม่ของเธอดูซิ"
"เพคะ หม่อมฉันจะทำตามนั้น ความจริงก็ไม่อยากบ่นหรอกนะเพคะ แต่ยังไงพรุ่งนี้หม่อมฉันก็จะพบกับแม่ คงจะได้ความคิดอะไรดีๆ เพราะแม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี และมีเหตุผลเป็นที่สุด"

แต่..ความจริง หลังจากที่ข่าวโทรทัศน์ที่ทุกคนได้เห็นความเจ้ากี้เจ้าการของเรนแล้วนั้น หนังสือพิมพ์ The Spectator รู้สึกสงสารเลดี้ไดอะน่าเป็นกำลัง ถึงขนาดออกข่าวพาดหัวว่า
"คุณนาย ชานด์ คีดด์ กรุณากลับบ้านด่วน ประเทศชาติกำลังต้องการคุณ"
ในเนื้อข่าวได้ลงใจความออกความเห็นว่า..น่าจะมีการออกมาต่อต้านการกระทำของสองแม่ลูกคู่นี้บ้าง เพราะ
นับวันยิ่งดูเหมือนกับกำลังจะหากิน ทำมาค้าคล่องกับงานพิธีอภิเษก ซึ่งสมควรจะต้องเป็นงานแห่งชาติ หาใช่อุตสาหกรรมในครัวเรือนของใครไม่..

เลดี้ไดอะน่า..ไม่สามารถตัดเรนออกไปจากแขกรับเชิญในงานได้ เพราะเป็นภริยาของพ่อ  แต่..บาร์บาร่า หรือ ยัยเฒ่าสีชมพูนั้น ลืมไปได้เลย...
ไม่เชิญ   !

ในภาพ คือ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ หรือที่ถูกเรียกว่า ยัยเฒ่าสีชมพู


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 06, 10:12
 ความจริงก็น่าสงสารบาร์บาร่า พอสมควร เพราะจะว่าไปแล้ว เธอได้ทำชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์นิยายโรแมนติคอังกฤษให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้า
ประชาชนต่างก็คลั่งไคล้ใหลหลงในบทประพันธ์ของเธอกันทั่วบ้านทั่วเมือง   จนตัวเองยังพาหลงเข้าใจผิดไปว่า..ใครๆก็ต้องรัก อยากได้เธอมาเป็นดาวประดับเป็นเกียรติกับงาน
แต่..การที่ไม่ได้รับเชิญในงานอภิเษกของเจ้าฟ้าชายชารลส์ เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง ว่าจะพลิกล็อคได้ถึงขนาดนั้น
เพราะตามโผแล้ว..เจ้าบ่าวได้โควต้าให้เชิญแขกได้ สามร้อยคน...
เจ้าสาวเชิญได้ หนึ่งร้อยคน ฝ่ายพ่อแม่เจ้าสาวเชิญได้ ห้าสิบ แต่บัตรเชิญได้พิมพ์ออกมา 2500 ใบ ที่เหลือคือแขกของสมเด็จและของรัฐบาล
เมื่อเลือกได้ว่าจะเชิญใครได้แล้ว คู่บ่าวสาวยังต้องส่งรายชื่อไปให้ฝ่ายกรมวังของสมเด็จได้พิจารณาอีกครั้ง..
บาร์บาร่ามั่นใจหนักหนาว่า ถึงแม้เธออาจจะไม่ได้รับเชิญจากโควต้าของไดอะน่า  แต่..ทางโควต้าของเหนือหัวและของรัฐบาล คนสำคัญอย่างเธอย่อมไม่มีวันหลุดไปจากโผ..
แต่ที่ไหนได้..กลายเป็นว่า..ความปรารถนาของไดอะน่าได้บรรลุผล สมเด็จมิได้ทรงใยดีกับความเป็นนักประพันธ์ของเธอแม้แต่นิด
ในที่สุด ในวันนั้น..เพื่อเป็นการล้างอาย บาร์บาร่าจึงต้องรีบจัดงานหารายได้เข้าการกุศลเป็นการเอิกเกริก จะได้มีข้ออ้างกับนักข่าว..ว่า ฉันกำลังบิซี่

กลับมาเล่าเรื่องการสนทนาทางไกลออสเตรเลียของเจ้าฟ้าชายชารลส์กับพระคู่หมั้นต่อ...
ไดอะน่าได้บ่นพึมถึงเรื่องการที่จะต้องเรียนรู้กฏเกณฑ์และระเบียบพิธีการต่างในระยะเวลาอันสั้น..ว่า
"ตื่นเต้นจังเลย..กลัวว่าถึงเวลาเข้าจริงๆจะทำตัวไม่ถูก...หม่อมฉันคิดถึงพระองค์จัง"
"คิดถึงเธอเช่นกัน...นี่จะต้องไปงานอาจจะต้องช้าหน่อย ไม่เป็นไร..ปล่อยให้เขาคอยกันนิดๆหน่อยๆคงได้ เพราะ วันนี้ทำงานมาทั้งวันแล้ว ขอเวลาคุยกับที่รักหน่อยคงไม่มีใครว่าอะไรกระมัง"
และทรงเล่าต่อว่า..ที่สนามบินมีผู้หญิงหลายคนที่มีหน้าตาคล้ายๆกับพระคู่หมั้นอีกทั้งพยายามแต่งตัวให้เหมือน ในสไตล์ของ Di look-alikes พากันมารับเสด็จในเชิงล้อเลียนแบบน่าเอ็นดู
แต่พระองค์ได้หยอดคำหวานไปว่า...
"ไม่ดีเท่ากับของจริงหรอก.."
เรียกเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างมีความสุขได้จากทางปลายสาย
พระองค์ทรงบ่นต่อไปว่า..
"ไอ้พวกช่างภาพนี่ก็ไม่รู้เป็นอะไรซิ..ชอบตามถ่ายรูปทางด้านหลังเสมอ มันจะเอารูปกระหม่อมช่วงที่มีผมบางๆให้ได้เชียว"
"อ้าว..มีด้วยหรือเพคะ..หม่อมฉันไม่ยักสังเกตว่าพระเศียรเริ่มล้านแล้ว"
"มีซิ..เมื่อก่อนพวกเราก็เคยล้อพ่อในเรื่องที่ทรงเป็นกังวลกับพระเศียร..และเรื่องการหายาปลูกพระเกศา"
"โอย..หม่อมฉันหวังว่าคงไม่เป็นวงใหญ่อย่างของเจ้าชาย
ฟิลิปหรอกนะเพคะ..แต่อย่างไรเสีย พระองค์อยู่ที่นั่นก็ยังสนุกกว่าหม่อมฉันที่ต้องอยู่โยงคนเดียวที่นี่"

จากนั้น..เธอก็ได้พยายามเล่าเรื่องน่ารักๆของควีนมัมให้พระคู่หมั้นทรงสดับเป็นการประจบประแจง เพราะใครๆก็ทราบดีว่า ยายหลานคู่นี้รักกันมากเพียงไร..
ลับหลัง..ไดอะน่าได้มาเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า..ยามที่เธอได้เข้าไปพักอยู่ในพระตำหนัก คลาแร้นซ์ กับควีนมัมเพื่อเตรียมการฝึกการเป็นปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น..เธอว่า ควีนมัมมิได้สนใจใยดีในตัวเธอเลยแม้แต่นิด

ต่อมา เธอก็ได้ย้ายไปอยู่ที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ได้รับมอบสำนักงานเล็กๆใกล้กับที่ทำงานของ นาย โอลิเวอร์
เอฟเวอเร็ตต์ ผู้ช่วยเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ให้เป็นที่ทำการของเธอ (ชั่วคราว)
นายโอลิเวอร์ ถึงกับกลั้นหัวเราะในครั้งแรกที่เลดี้ไดอะน่าโผล่เข้ามาหาในออฟฟิซของเขา..เพราะเธอมาในสภาพชุดรัดรูปแบบที่ใช้ในการเต้นอะโรบิค ที่ศีรษะคาดด้วยวิทยุหูฟัง
ซึ่งเมื่อสอบถามได้ใจความว่า..เธอมีคลาสเรียนเต้นรำประเภท ร็อค แอนด์ โรลล์ อาทิตย์ละหลายวัน และนี่คือสิ่งที่โปรดปรานที่สุด
อีกทั้ง ในช่วงเช้าและกลางคืนเธอมักติดภาระกิจที่ต้องเฝ้าหน้าจอทีวีดูละครน้ำเน่าแบบต่อเนื่อง..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 มี.ค. 06, 01:46
 ขอบพระคุณ คุณวิวันดามากครับ
เรื่องของคุณวิวันดาเป็นเรื่องแรก ที่ผมเริ่มติดตามอ่าน หลังจากสอบปลายภาคการศึกษาเสร็จ
กว่าจะอ่านทันที่ อ.เทา นำมาแปะไว้ ก็กินเวลาเกือบ 3 วัน ได้ (เรียกได้ว่าอ่านอย่างติดงอมแงมเลยครับ)


ต้องขอบพระคุณสำนวนสนุกๆของคุณวิวันดาครับ ที่อ่านรอบที่ 2 แล้วก็อาจจะมีรอบถัดไป
และขอบพระคุณ อ. เทาฯ สำหรับภาพที่นำมาเสริมไว้ในกระทู้ด้วยครับ


วันนี้เข้านอนก่อนล่ะครับ พรุ่งนี้เข้างานแต่เช้า (ปิดเทอมวันสุดท้ายนะเนี่ยะ ผมยังต้องทำงานอีกเหรอ)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 09:20
 ถ้าหากว่าพวกเราอยากอ่านเรื่องควีนวิคตอเรียเต็มแก่  
จะช่วยกันส่งคุณวิวันดาไปอลาสก้าอีกสักทีจะดีไหมเนี่ย    
ตอนนี้เข้าใจว่าคุณวิวันดามีงานประจำรัดตัว
แต่ก็หวังว่าจะพอปลีกตัวมาเล่าเรื่องสนุกๆสู่กันฟังได้นะคะ
เล่าทีละเล็กละน้อยก็ยังดีค่ะ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:30


   รีบเข้ามาแปะต่อค่ะ  ไม่เว้นวันหยุด

เห็นใจแฟนๆที่ติดตาม



ฝ่ายสำนักเลขาธิการจึงต้องรีบสางอุปนิสัยกันใหม่ โดยแจ้งให้ไดอะน่าทราบว่า..ภาระกิจของเธอในรอบปีจะต้องมีการออกงาน 170 ครั้งเป็นอย่างน้อย

โดยผู้ที่เข้ามาช่วยคือ ท่านผู้หญิง ซูซาน ฮัสซี่ นางสนองพระโอษฐ์คนสำคัญใกล้ชิดของสมเด็จ..ว่าด้วยเรื่อง การที่ต้องสวมหมวกในทุกโอกาส การโบกมือโดยใช้กำลังจากข้อศอกและข้อมือ ห้ามใช้ห้องสุขาสาธารณะเป็นอันขาด

จนไดอะน่าได้ไปบ่นกับเพื่อนๆว่า..

"สิ่งที่แย่ที่สุดในการเป็นเจ้าหญิงเนี่ย..คือเรื่องชิ้งฉ่อง.."



นายโอลิเวอร์ ได้เริ่มบทเรียนอันดับแรก..โดยการมอบหนังสือประวัติศาสตร์ยกชุดที่ว่าที่เจ้าหญิงแห่งเวลส์สมควรอ่านให้ซึมซับทราบแบบลึกซึ้ง และทันที่ที่นายโอลิเวอร์ หันหลังกลับ

หนังสือเหล่านั้นก็ถูกโยนโครมไปที่พื้น เธอว่า

"เรื่องอะไรจะอ่าน..ฝันไปเถอะ"



เพราะด้วยความอดอาหารเพื่อให้น้ำหนักลดนั้น อารมณ์ของไดอะน่าจึงบ่จอย  ในสนามโปโลก่อนการอภิเษกไม่เท่าไหร่ ที่เธอได้ปล่อยโฮออกมาต่อหน้านักข่าวและช่างภาพ

ผู้ที่เข้าแก้สถานะการณ์คือนางฟรานเซส มารดา ที่ช่วยพาตัวออกไป ส่วนเจ้าชายพระคู่หมั้น แก้ตัวให้ว่า ไดอะน่ารู้สึกเหนื่อย และกดดันนิดหน่อย ตามประสาคนที่ไม่เคยกับการเป็นข่าว..

ที่สนามเทนนิส ในการแข่งขันวิมเบิลตันรอบสุดท้าย ที่เลดี้ไดอะน่าต้องรีบลุกขึ้นกลับก่อนที่จะรับรู้ว่า จอห์น แมคเอนโร เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ

ที่ต้องรีบกลับก่อนนั้น เพราะว่า  จอห์นได้ตีลูกไป ด่ากรรมการไป อย่างไม่ธรรมดาเพราะเขาเป็นคนที่ชอบสบถหยาบคาย ไม่ได้สนใจสักนิดว่าใครจะอยู่นั่งอยู่ใน royal box

พวกนักข่าวที่ไปทำข่าว ถึงกับถือเป็นเรื่องตลก นำมาล้อเล่นกันว่า..

"สงสัยจะต้องล้มเลิกพิธีอภิเษกซะแล้ว เพราะตอนนี้.... Lady Di's ears are no longer virgin."



ฝ่ายเลขาธิการของเจ้าฟ้าชาย ต่างก็เข้ามาช่วยในการฝึกฝนว่าที่เจ้าหญิง แห่ง เวลส์ โดยการบอกให้ทราบถึงผังงานพระราชพิธีในรอบรายเดือน และ รายปี อีกทั้งการออกนอกเมืองหรือประเทศ  ที่ได้วางไว้ในระยหกเดือนล่วงหน้า..



แต่...ไดอะน่ากลับไม่สนใจในเรื่องงานหรือพิธีอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการทราบ..นั่นคือ ความสัมพันธ์ของพระคู่หมั้นกับหญิงอื่นๆ โดยเฉพาะกับ คามิลล่า..

เพราะเธอได้เคยทูลถามกับเจ้าฟ้าชายโดยตรงมาก่อน แต่พระองค์มิได้ทรงตอบอะไรทั้งสิ้น ไม่รับ และ ไม่ปฏิเสธ

นี่คือ..สิ่งที่คาใจเธออย่างที่สุด

คำถามนี้ได้ถ่ายทอดมาถามกับข้าราชบริพารใกล้ชิด..อย่างนายโอลิเวอร์ ที่เขาก็ได้แต่หลบตาต่ำไปที่พื้น และเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างทันทีทันใด..

จนมาจับได้คาหลังคาเขา เมื่อเธอได้ไปพบกับกำไลข้อมือที่ทีตัวอักษรสลักไว้ว่า G.F. อันหมายถึง Girl Friday ฉายาของคามิลล่า วางบนโต๊ะทำงานของนาย ไมเคิล โคลบอร์น

เลขาธิการส่วนพระองค์ของพระคู่หมั้น ซึ่งเธอได้คาดคั้นจนได้ใจความว่า เป็นของขวัญให้กับคามิลล่า

แน่นอนว่า..ไดอะน่าได้ติดตามไปเอาเรื่องกับพระคู่หมั้นอย่างไม่ลดละ  ..ว่า..ทำไมถึงทำอย่างนี้..??

พระองค์ได้ตอบว่า..ตั้งพระทัยจะให้กับคามิลล่า เพื่อเป็นของขวัญในการลาจากและเป็นการตัดสัมพันธ์กันแต่แค่นี้..



ไดอะน่า..ไม่เชื่อเลยสักนิดในคำตอบเหล่านั้น เธอได้กลับออกมาด้วยใบหน้าที่นองน้ำตา...นำความทั้งหมดไปปรึกษากับพี่สาวทั้งสอง  ซาร่าห์ และ เจน

ซึ่งทั้งสองได้บอกว่า..

"ช้าไปแล้ว..ดัช..ตอนนี้หน้าเธอน่ะ ถูกพิมพ์ไปในผ้าเช็ดจาน ในที่จางแก้ว ในถ้วยกาแฟ ออกขายไปทั่วประเทศโน่นแน่ะ.."

(ดัช..คือชื่อเล่นของไดอะน่าที่เรียกกันในครอบครัว มาจากคำว่า ดัชเชส เนื่องจากทุกคนค่อนข้างมั่นใจว่า สักวันหนึ่งเธอจะได้เป็น ดัชเชส ออฟ ยอร์ค เพราะมีอายุไล่เลี่ยกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์)



วันต่อมา..เธอได้ออกอาละวาดต่อ..ขีดฆ่าชื่อของคามิลล่าออกจากรายการแขกเชิญ..รวมทั้งชื่อของ เลดี้ เดล ไทรอน หรือ "คังก้า" สองแฟนเก่า

หากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะ ทั้งสองสาวพร้อมสามีของพวกเธอคือแขกสายตรงของเจ้าฟ้าชาย



มาถึงตอนนี้ แม้แต่เจ้าชายพระคู่หมั้นเองก็เริ่มสงสัยในอาการเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดีของเธอ อีกทั้งเริ่มไม่เข้าใจในการร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของไดอะน่า..

จนต้องไปปรึกษากับพระขนิษฐา หากแต่ในยามนั้น เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ กำลังทรงครรภ์แปดเดือน ใกล้คลอดเต็มที จึงไม่มีพระอารมณ์ที่จะฟังเรื่องของพระเชษฐา

อีกทั้งตัดบทว่า..

"ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ก็ต้องสานต่อไป "

เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงใช้ประโยคเด็ดที่สมเด็จพระนางวิคตอเรียเคยสั่งสอนกับพระธิดาในยามที่ต้องไปอภิเษกโดยปราศจากความรักว่า

"Just close your eyes and think of England."  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:33
 เมื่อยังไม่ได้ความกระจ่างแก่พระทัย เจ้าฟ้าชายจึงหันไปพึ่งแฟนเก่า โซ ซัลลิส ที่แฟลตที่พักในลอนดอน ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากสถานีตำรวจไปสักเท่าใด ขนาดทรงปลอมพระองค์
ด้วยการสวมหมวกหลุบพระพักต์ ปิดพระนลาฏ แต่ตำรวจเจ้ากรรมก็ยังจำพระองค์ได้ พากันเล่าขำๆว่า
"ก็หูกางซะขนาดนั้น ..จะไปหลอกใครที่ไหนด๊ายยย..???"

นาย โรแลนด์ ฟลามินี่ แห่งหนังสือ ไทม์ ได้มาเล่าในทีหลังว่า โซ ซัลลิส ได้บอกเขาว่า เจ้าฟ้าชายได้มาปรึกษาจริง ในเรื่องของการอภิเษกที่พระองค์ไม่ค่อยมั่นพระทัย แต่ ทรงว่า
"จะต้องทำให้ดีที่สุดเพราะนี่คือหน้าที่"

ห้าวันก่อนการอภิเษก เจ้าฟ้าชายได้ไปพบและเยี่ยมเยียนพระญาติสนิทตระกูล เมาท์แบตเทนถึงที่คฤหาสน์ บอร์ดแลนด์ เพราะพระองค์ทรงเลือกที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับระยะแรกของฮันนีมูน
จอห์น แบร์เร็ต เล่าว่า..
"เจ้าฟ้าชายได้บอกกับผมและท่าน ลอร์ด รอมซี่ย์ ว่า คามิลล่าคือผู้หญิงคนเดียวที่ครองพระทัยของพระองค์แบบหมดจด และพระองค์ไม่ทรงมีความรู้สึกอย่างเดียวกันนี้กับเลดี้ไดอะน่าเลย"
แต่ท่านลอร์ด รอมซี่ย์ ก็เหมือนกับคนอื่นๆที่เชื่อว่า..ความสาว สวยสด และความน่ารัก มีเสน่ห์ของพระชายาจะทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัยได้ไม่ยาก..

.....เดี๋ยวพักก่อน..ก่อนที่จะงงว่า จู่ๆลอร์ด รอมซี่ย์
{Lord Romsey}มาจากไหน ทำไมโผล่มาอยู่ในคฤหาสน์บอร์ดแลนด์ ของ เมาท์แบตเทน คืองี้...
ลอร์ด รอมซี่ย์ คือ ลูกชายคนโตของ แพตริเซีย (ธิดาคนโตของท่านลอร์ด หลุยส์) กับสามี จอห์น นัชบูล ที่มาเป็นท่านเอิร์ล บราเบิร์น ในทีหลังตามการถ่ายทอดบรรดาศักดิ์มาจากบิดา
ทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกันถึง เจ็ดคน คือ
1947 Norton Knatchbull ............ ที่ได้มาเป็น Lord Romsey ใช้ชื่อตามพระวิหาร Romsey เป็นพระวิหารประจำตระกูลของ บราเบิร์น
1950 Michael-John Knatchbull
1955 Joanna Knatchbull
1957 Amanda Knatchbull .... คนนี้คือ คนที่ท่านลอร์ด หลุยส์ ลุ้นอยากให้เป็นคู่ครองของเจ้าฟ้าชายชารลส์
1961 Philip Knatchbull
1964 Timothy Knatchbull... คู่แฝดกับนิโคลาส บาดเจ็บในเรือที่ถูกลอบวางระเบิด
1964 Nicholas Knatchbull ... เสียชีวิต จากวินาศกรรมครั้งนั้น
ส่วนแพตริเซีย นั้น ตามที่ท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ขอกับสมเด็จเป็นกรณีพิเศษด้วยเรื่องขอให้ลูกสาวได้รับถ่ายทอดบรรดาศักดิ์ เพราะตัวเองไม่มีลูกชาย..เธอจึงได้มาเป็น..
2nd Countess Mountbatten of Burma หลังจากที่ท่านลอร์ด หลุยส์ได้ถึงแก่อสัญกรรม
ความจริงเธอต้องมาแทนที่ในอภิสิทธิ์ต่างๆของบิดา เช่น ที่นั่งใน"สภาขุนนาง" หรือเป็นที่รู้จักกันในคำว่า
The House of Lords อันเป็นที่ชุมนุมของเหล่าบรรดาขุนนางถือบรรดาศักดิ์ ซึ่งเมื่อก่อนได้มีสิทธิและเสียงเหนือ The House of Commons สภาสามัญ หรือ รัฐสภา
หากแต่เมื่อปี 1999 นายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคแรงงาน ได้พลิกผันวงการเสียใหม่ เพราะรำคาญพวกขุนนางด้อยพัฒนาเต็มที ที่ไม่ว่าจะเสนออะไรไปก็ขัดขวางแบบไม่ลืมหูลืมตา
จึงเริ่มจำกัดสิทธิ ลดที่นั่ง และออกกฏเกณฑ์ของการเป็นสมาชิกในสภาขุนนางเสียใหม่ โดยเลือกเฟ้นว่า ใครคือขุนนางแท้ และ ใครคือ ขุนนางพวกที่ได้รับถ่ายทอดมา
โดยพิจารณาใหม่จากโหวตว่า ใครดีใครอยู่ ตามความสามารถ

ในที่สุด ในปี 2004 พวกที่ได้ถ่ายทอดมาทางสายเลือดนั้น เหลือติดสภาอยู่แค่เก้าสิบกว่าคน และ ยังจะต้องทำการคัดเลือกต่อไปอีก ว่า..จะเหลือชั้นหัวกระทิจริงๆกี่คน
แต่..แพตริเซีย นั้นหลุดโผไปตั้งแต่รอบแรก..

มาถึงตอนนี้ พวกบรรดาขาประจำนักอ่าน เริ่มมองเห็นภาพหรือยังว่า...บรรดาสะใภ้วินด์เซอร์ที่ไม่ใช่สายเลือดสีน้ำเงินนั้นต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ในยามที่ สภาขุนนางมีอำนาจสูงสุด
แต่ละคน..ช่างมีเล่ห์กล สืบ ค้น ล่า อย่างชนิดที่เจมส์ บอนด์ กลายเป็นเรื่อง ชิลด์ ชิลด์ ไปเลยแหละ...  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:36
 หลังจากพิธีอภิเษก ในวันที่ 29 กรกฏาคม 1981 ที่กว่าจะได้ผ่านพ้นไปได้ผ่านพ้นไป ฝ่ายกรมพิธีการต้องวิ่งทำงานกันอย่างหนัก เพราะ จากบัตรเชิญที่สมเด็จทรงส่งออกไปกว่าสองพันใบนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นประมุขของประเทศที่ต้องมีการหยั่งชั้นเชิงกันมากมาย อย่าง..สหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี รีแกนที่ถูกท้วงติงว่า ไม่สมควรไป เนื่องจากไม่สมฐานะของมหาอำนาจที่จะไปร่วมในงานแต่งงานของ (แค่) รัชทายาท ..
จึงได้ส่ง ท่านผู้หญิงแนนซี่ไปแทน ตามข่าวว่า หอบเสื้อผ้าไปกว่า ยี่สิบหกกระเป๋า พร้อมทั้งขอยื้มตุ้มหูเพชรราคากว่าแปดแสนเหรียญไปจากห้างดัง

ส่วนกษัตริย์ ฮวน คาโลส แห่งสเปน ปฏิเสธ เพราะกำลังมีปัญหา"คาพระทัย" กับอังกฤษในเรื่องพรมแดนไอบีเรียน แถบช่องแคบยิบรอลต้า แถมในการฮันนีมูนของบ่าวสาว จะมีการล่องเรือยอชบริแตนเนีย มาหยามกันถึงในน่านน้ำเมดิเตอเรเนียนซะอีก นี่มันเป็นเรื่องการเมืองชัดๆ...ทรงว่า..
(แต่ตอนหลังก็ดีกัน)

คนทั้งโลกต่างวาดภาพกันไว้ว่า แล้ว..เจ้าชายและเจ้าหญิงก็จะครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต....
แต่ไม่ใช่ในกรณีนี้ ที่ พระชายาก็เป็นโรคจิตกลัวอ้วน กลัวความว้าเหว่ กลัวการถูกทอดทิ้ง เจ้าชายก็เป็นคนที่ไม่เคยกล้าที่จะตัดสินอะไรด้วยตัวเอง
แต่การอภิเษกครั้งนี้ ได้ทำให้เลดี้ ไดอะน่า ปรับฐานันดรจากอันดับล่างๆนับชั้นลงไปได้ว่าคืออันดับที่สามสิบแปด...มาเป็นอันดับสามของประเทศ นั่นคือ รองลงมาจาก สมเด็จ และ ควีนมัม
และจะต้องได้รับการเคารพ เช่นการคำนับและการถอนสายบัวเช่นเดียวกับที่พระสวามีได้รับ
รวมทั้งหมายถึงว่า จากบรรดาเชื้อพระวงค์ฝ่ายหญิงในวินด์เซอร์ เช่น เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต เจ้าฟ้าหญิงแอนน์

นั่นคือ ตัวอักษรที่ลิขิตไว้เท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว..ไม่มีทางที่เจ้าฟ้าหญิงสองพระองค์นั่น จะถวายบังคมให้ใคร..นอกจากสมเด็จและควีนมัม
ยิ่งเจ้าฟ้าหญิงแอนน์..พระบิดาได้เคยตรัสไว้ว่า
"ถ้าลองไม่กินหญ้าแบบม้า ตดไม่เหมือนม้าแล้วละก้อ แอนน์ไม่เคยสนใจให้เปลืองสมอง"

ทางสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ว่า ต่อไปนี้
เลดี้ไดอะน่า คือ ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์
(ไม่ใช่เจ้าหญิงไดอะน่านะคะ เพราะ ไม่ใช่ลูกเจ้า ไม่มีเชื้อเจ้า ทางอังกฤษไม่นับว่าเป็นเจ้าหญิง ..คำว่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ คือ ชื่อของตำแหน่งและนั่นคือเป็น พระยศที่ใช้กำกับชื่อ..แต่คนไทยถนัดปากที่จะเรียกว่า เจ้าหญิง แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ใช้มาผิดๆคือปริ้นเซส ได)

บนเรือยอช บริแตนเนีย ที่ได้ล่องพาคู่ฮันนีมูนไปพนร้อมกับลูกเรือ 256 นาย และ ฝ่ายพนักงานเสริฟที่ต้องสวมรองเท้าพื้นยาง เพื่อไม่ให้เดินเสียงดังรบกวนบ่าวสาว
ทุกคนได้รับการฝึกให้มองไปยังที่อื่นที่ไม่ใช่เจ้านายตรงๆ
และต้องทำตัวเหมือนกับเป็นอากาศธาตุ
แต่ใครเล่าจะละสายตาไปจากเจ้าสาวที่กรุยกรายในชุดนอนบางๆนั่นได้
พนักงานคนหนึ่งได้เล่าว่า
"ผมเห็นว่า พระชายาได้ออกมาจากห้องบรรทมในชุดนอนสีขาวโปร่งเบา ตรงส่วนหน้าอกมีโบว์ผ้าซาตินสีชมพูหลุดลุ่ยอยู่ เธอได้พยายามดึงหนังสือไปจากพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าชาย และทำเสียงเล็กเสียงน้อย ว่า
"ชัลลส์จ๋า...มาทำการบ้านเพื่อประเทศชาติกันเร้วววว" พอเธอหันมาเห็นผมเข้า..เธอหัวเราะออกมากิ๊กกั๊ก และ ไม่อาย..ที่จะชวนพระสวามีเข้าห้องหอทั้งวัน และผมเห็นว่า เจ้าฟ้าชายก็ดูชื่นมื่นดี ไม่มีอะไรผิดปรกติ...

คำว่า "ผิดปรกติ" คือ ในหนังสือพระชีวประวัติที่ทรงอนุญาตให้
นาย โจนาธาน ดิมเบอร์บี้ นำคำให้สัมภาษณ์ไปตีพิมพ์รวมเล่มนั้น (หนังสือเล่มโต ชื่อว่า The Prince of Wales Biography) ทรงเล่าว่า ตลอดในช่วงเวลาของการฮันนีมูน พระองค์จึงได้ทรงทราบเป็นครั้งแรกว่า
ไดอะน่าเป็นโรคบูลิเมีย ที่ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนอย่างไม่มีสาเหตุ นาทีนี้ดีใจหาย นาทีต่อไปก็ร้ายสุดๆ
และเมื่อลงจากเรือ ก็คือการไปร่วมกิจกรรมครอบครัวกับพระราชวงค์ที่พระราชวังบัลมอรัล
ที่อยู่กันพร้อมหน้าทุกพระองค์ ทำให้ไดอะน่ายิ่งเกิดความเครียด ถึงขนาดต้องเสียมารยาทลุกขึ้นระหว่างการร่วมโต๊ะเสวยเพื่อไปอาเจียนในห้องน้ำ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:38
 ภาพวันวิวาห์ ในสายตาประชาชนจากทุกมุมโลก  ดูเหมือนเป็นเทพนิยายที่กลายเป็นจริง   คนนอกไม่คิดเลยว่าเป็นเพียงภาพลวงตา
เอาภาพแต่งงานมาโชว์บ้างค่ะ  แม้ว่าเป็นอดีตไปแล้วก็ยังน่าชมอยู่ดี


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:39
 อีกภาพหนึ่ง ที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:45
 ภาพไดอะน่า เจ้าหญิงเกรซ และเจ้าฟ้าชาย
ชุดดำของเธอเซกซี่กว่าชุดรุ่มร่ามของเจ้าหญิงเกรซหลายเท่า
ดีไซเนอร์ที่ออกแบบให้เป็นจุดเด่นของงาน วางแผนเก่งจริงๆ
ภาพนี้คุณวิวันดาหามาให้ชมค่ะ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:46
 ภาพเมื่อไปฮันนีมูน
เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน..(บรรยายโดยคุณวิวันดา)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 06, 11:47

ชุดเดียวกันค่ะ (-วิวันดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 11 มี.ค. 06, 15:42
 สวัสดีค่ะคุณวิวันดา
ขอบพระคุณมากนะคะที่เรียบเรียงเรื่องราวอย่างนี้ให้อ่านง่ายและมีสีสัน
ว่าแต่ว่าเมื่อไหร่คุณจะไปอลาสก้าอีกคะ พวกเราจะได้อ่านเรื่องอื่นๆ-อื่นๆ-และอื่นๆ อีกมากมาย กันแบบเต็มอิ่มอย่างนี้อีก


ขอบพระคุณอาจารย์เทาชมพูด้วยค่ะ
กำลังนึกเองว่าอาจารย์เหมาะกับดาวเทียมสื่อสาร-พาหนะประจำกายที่มีตอนนี้จังเลยค่ะ
ถ่ายทอดข้อมูลความรู้สู่ทั่วโลก แถมไม่เว้นวันหยุดราชการ
 


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 08:47
 หลังจากที่อาการของพระชายาท่าจะไม่ดีในระยะแรกๆ เจ้าฟ้าชายจึงรีบติดต่อให้เพื่อนสนิทนักจิตวิเคราะห์ (ความจริงคือเพื่อนสูงวัย ที่อดีตคือเกลอของท่านลอร์ด หลุยส์)
นาย ลอเรนส์ แวน เดอ โพสต์ ให้เข้ามาช่วยรักษา

แต่หลังจากที่วินิจฉัยในอาการ นาย ลอเรนส์ได้กราบทูลว่า
ไดอะน่ามีอาการหนักหนามากกว่าที่คิด และสมควรที่จะต้องรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง
เขาได้เสนอชื่อของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้สองสามคน ซึ่งหลังจากที่ได้มีการตกลง แพทย์จึงได้เข้ามาทำการรักษาถึงในพระราชวังทุกวัน ตั้งแต่เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า
โดยใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกับทั้งสองคน คือเจ้าฟ้าชายและไดอะน่า จากนั้นก็อีกครึ่งชั่วโมงกับฝ่ายหญิงคนใข้คนเดียว

เจ้าฟ้าชายได้ให้รายงานกับแพทย์ว่า พระชายามีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตลอดเวลาโดยไม่มีสาเหตุ
ทรงไม่แน่ใจอีกด้วยซ้ำว่านี่คือ อาการของคนบ้า..หรืออะไรกันแน่
เพราะไม่มีคนธรรมดาที่ไหนจะเปลี่ยนอารมณ์ได้แบบสุดโต่งขนาดนี้ เช้าดี สายร้าย..กว่าจะถึงเย็นคนรอบข้างก็ใกล้บ้าไปตามๆ กัน
แพทย์ได้เสนอให้ใช้ยากล่อมประสาท
แต่..พระชายาปฏิเสธในเรื่องที่จะนำยามาช่วยในการบำบัด (ซึ่งเธอได้ทรมานเพราะโรคบูลิเมียต่อไปถึงสิบเอ็ดปี)

เคยให้สัมภาษณ์ว่า
"การที่จะรักษาอาการแบบนี้ต้องรักษามาจากข้างในจิตใจ มันเกิดขึ้นมายามที่เรารู้สึกด้อยค่า หงอยเหงา รู้สึกขาดความรัก
ร่างกายจึงใขว่คว้าหาความสุขจากการกิน กิน และกินจนล้นกระเพาะ เพื่อที่จะมาเติมความรู้สึกที่ขาดหายไป แต่มันก็ได้แค่ชั่วคราวเดี๋ยวด๋าว จากนั้นก็ขย้อนออกมาอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้าเล่า"

การฮันนีมูนที่พระราชวังบัลมอรัลนั้น ฝูงนักข่าวได้ไปกลุ้มรุมเฝ้าออกกันเป็นกองทัพย่อยๆ เพื่อที่จะพยายามได้ภาพเด็ดของคู่รักบันลือโลก เพราะ
คนที่ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายภาพพิธีอภิเษกและการฮันนีมูนบนเรือยอชบริแตนเนียอย่างใกล้ชิดนั้นคือ
ลอร์ด ลิชฟิลด์ หลานชายของควีนมัมแต่เพียงผู้เดียว

แต่ลอร์ด ลิชฟิลด์ ได้นำภาพหลุดๆ บางภาพออกมาตีพิมพ์โดยมิได้รับความเห็นชอบก่อน อย่างเช่นภาพที่ทั้งคู่กำลังนั่งหัวเราะอย่างกว้างขวางบนขั้นบันไดของพระราชวัง
ซึ่งเจ้าฟ้าชายรู้สึกขัดพระทัยต่อการกระทำในครั้งนี้ ทำให้ไม่อยากพบกับนักข่าวหรือช่างภาพคนไหนอีก ทรงบอกว่าพอกันที

หากแต่สี่วันผ่านไปเท่านั้น สมเด็จทรงทนรำคาญต่อไปไม่ได้ ทรงสั่งการไปทางราชเลขาฯให้ทำการตกลงกับนักข่าวให้เป็นกิจจะลักษณะ
คือ จะให้คู่บ่าวสาวออกมาให้สัมภาษณ์และให้ถ่ายภาพอย่างเสรี โดยขอแลกเปลี่ยนกับการเป็นส่วนตัวในชีวิตข้างหน้าต่อไป..
เจ้าฟ้าชายแม้จะไม่ทรงชอบพระทัยนัก แต่ก็ต้องยอม เพราะนี่คือประกาศิต..!!  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 08:52
 ทั้งคู่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตรงเวลาที่นัดหมาย เจ้าชายได้ทรงชุดพื้นเมืองชาวสก๊อต  ที่มี sporran กระเป๋าหนังห้อยตรงกระโปรงคิลท์ จูงมือพระชายาออกมาพบกับนักข่าว..ทรงถามว่า
"จะถ่ายรูปตรงไหนดี"
"ตรงนี้ละพระเจ้าค่า.."
"หวังว่าทุกท่านคงเดินทางอย่างสนุกสนานในทริป (ที่ติดตามฉันถึง) เมดิเตอเรเนียนนะ"
"ก็แพงเอาการพระยะค่ะ"
"งั้นก็..สม (น้ำหน้า) แล้วละ"
"พระผึ้งพระจันทร์นั้นหอมหวานดีหรือพะยะค่ะ?"
"โอ..ยอดเยี่ยม" คราวนี้พระชายาทรงตอบแทน
"แล้วชีวิตในการอภิเษกล่ะ พะยะค่ะ?"
"ดี..ขอแนะนำเลยละ"
"ทรงทำพระกระยาหารเช้าให้พระสวามีบ้างไหมพะยะค่ะ?"
"ฉันไม่รับประทานอาหารเช้า"
เจ้าฟ้าชายทรงเข้ามาเสริมแบบจิกนิดๆ ว่า
"เพราะตอนเช้ามีรายการโทรทัศน์ที่สนุกไงล่ะ"
ก่อนเสด็จกลับ บรรดานักข่าวได้ถวายช่อดอกไม้ให้กับพระชายา..ซึ่งเธอได้กล่าวอย่างติดตลกว่า
"อย่าลืมเอาบิลไปเบิกบริษัทล่ะ"

สองเดือนต่อมา ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1981 ได้มีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังถึงข่าวอันเป็นมงคลว่า
พระชายา ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์ ได้ทรงครรภ์ อันเป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนชาวบริตันอย่างหนักหนา
ไดอะน่าพยายามที่จะปฏิบัติภาระกิจตามที่ได้รับมอบหมายมาล่วงหน้าให้ครบ
หากแต่อาการแพ้ท้องนั้นค่อนข้างหนักหนา ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้ทรงออกมาตรัสขอความเห็นใจจากนักข่าวและประชาชน ในยามที่อาจต้องงดการเสด็จ

ในการเสด็จไปยัง Derbyshire อาการแพ้ท้องได้กำเริบ ถึงกับต้องหยุดพักกลางคัน
เมื่ออาการดีขึ้น เธอถึงกับบ่นกับชาวบ้านที่มารับเสด็จว่า..
"ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะหนักหนาถึงเพียงนี้..แย่จริงๆ "

ภาพของไดอะน่าเมื่อครรภ์แก่ค่ะ  สังเกตว่าหน้าเธอไม่อ้วนเลย -เทาชมพู  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 08:54
 ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฝูงนักข่าวมักติดตามพระชายาไปในทุกที่ ซึ่ง..
ไดอะน่าได้แสดงความเป็นอัจฉริยะในการปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่มีข้อบกพร่อง  ทั้งอ่อนหวาน มีเสน่ห์ แต่งกายงามพอเหมาะ
ที่สำคัญ..เป็นคนที่ "ถ่ายรูปขึ้น" อย่างมหัศจรรย์

แต่การออกงานแต่ละครั้งนั้น ทำให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อน เหนื่อยใจ หงุดหงิด ยามเมื่อกลับมาถึงพระตำหนัก อาการของมันทั้งหมดได้ออกมาทางกราดเกรี้ยวกับทุกอย่างรอบตัว
มหาดเล็กคนหนึ่งได้เล่าว่า ทั้งร้องไห้ ทั้งขว้างปาข้าวของ..มีครบหมด..
เจ้าฟ้าชายทรงทำองค์ไม่ถูก เพราะอยู่ก็อาละวาด ไม่อยู่ก็ยิ่งอาละวาด ทรงหาทางออกด้วยการหนีไปเล่นโปโลคราวละนานๆ ทรงบ่นว่า
"อยู่ไม่ไหว ไม่สามารถต่อสู้กับกระแสไหลเวียนของฮอร์โมนส์ได้เลย..ให้ตายเถอะ"

เมื่อยิ่งพระสวามีไม่อยู่รองรับอารมณ์ ไดอะน่าก็ยิ่งกราดเกรี้ยว กล่าวหาว่า พระองค์หนีไปหาแฟนเก่า คามิลล่า..
คราวนี้ใครๆ ก็ต้านอารมณ์ไม่อยู่แล้ว..

ความขึ้นไปถึงสมเด็จ..ซึ่งแทนที่พระองค์จะโทษพระโอรส กลับทรงกล่าวหาว่า เป็นเพราะนักข่าวที่พยายามกลุ้มรุมกับพระชายาจนเกินไป
จึงได้ทรงเรียกประชุมเหล่าบรรดาบรรณาธิการทั้งหมดของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เรียกว่ามาให้หมดทั้งถนน ฟลีต เลยทีเดียว
ในหัวข้อเรื่องว่า เลิกยุ่งกับพระชายาเสียที..

ผู้ที่ต้องเริ่มการอภิปรายกับเหล่านักข่าวเป็นด่านแรกคือ ราชเลขาธิการฝ่ายข่าว นายไมเคิล เชีย ว่า
"เราทราบดีว่า ประชาชนให้ความรักและชื่นชอบในตัวของพระชายาเป็นอย่างมาก แต่ เราได้ตกลงกันแล้วว่า หลังจากฮันนีมูนพระชายาสมควรที่จะได้รับความเป็นส่วนตัว จึงต้องขอย้ำเตือนในความร่วมมือจากพวกท่าน"

จากนั้น สมเด็จก็ได้เสด็จเข้ามาในห้องประชุม ทรงย้ำเตือนในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เหล่านักข่าวทำตัวไปแอบซ่อนตามสุมทุมพุ่มไม้ พร้อมทั้งกล้องติดเลนซ์ระยะยาว
ที่มีประสิทธิภาพสูง เพียงเพื่อที่จะได้ภาพเด็ด..ทรงว่า ช่างไม่ยุติธรรมเลย และเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด
นักข่าวทั้งหมดยอมถอยให้ เพราะ เห็นแก่สมเด็จที่ทรงอุตส่าห์ออกโรงเองทั้งที..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:00
 หากแต่เพียงหกอาทิตย์ต่อมา..ข่าวก็เล็ดรอดออกมาว่า พระชายาทรงทำร้ายตัวเองประชดพระสวามี..
(ทั้งๆ ที่นักข่าวก็ถอยให้แล้ว..แต่ไฉน?)
เรื่องก็มีว่า..หลังจากเทศกาลคริสต์มาสไปไม่นาน ที่พระราชวัง
แซนดริงแฮม พระชายาได้เตือนเจ้าฟ้าชายด้วยท่าทางเอาจริงว่า ถ้าหนีออกไปทรงม้าอีกละก้อ
จะฆ่าตัวตาย..สิ้นเสียง เจ้าฟ้าชายก็เสด็จออกไปทันที
ไดอะน่าทุ่มตัวลงจากบันไดหกเจ็ดขั้นนั่นทันทีเช่นกัน

ผู้ที่เสด็จมาถึงก่อน นั่นคือ ควีนมัม การเรียกหาแพทย์หลวงได้กระทำอย่างเร่งด่วน
หลังจากการตรวจอาการผ่านพ้นไป ก็พบว่า ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อย พระหน่อในพระครรภ์ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พนักงานรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ก็ขายข่าวนี้ให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ในราคางาม

นายริชาร์ด ดัลตัน ช่างพระเกศาของพระชายา ได้เล่าว่า..
"เธอเกลียดทุกอย่างในแซนดริงแฮมนั่น เธอได้เล่าว่า หนาวจับใจ แถมอาหารค่ำต้องเสริฟให้เสร็จก่อนสามโมงเย็น เพราะทุกคนจะต้องไปนั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ เพื่อที่จะฟังพระบรมราโชวาทในวันคริสต์มาสอย่างทุกปี นั่นคือข้อบังคับเชียวละ "

ควีนมัมได้ทรงเป็นห่วงในอาการของไดอะน่า ถึงกับนำไปปรึกษากับนาย จอห์น โบวล์ ลีออง หลานชาย ว่า
"มันออกประหลาดอยู่นะ เพราะ คนอะไรจะคลั่งจนควบคุมตัวไม่ได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เดี๋ยวเดียวก็หาย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
ที่ควีนมัมได้ตรัสเช่นนี้ เพราะทรงรู้จักกับตระกูล เฟอร์มอย (สายมารดาของไดอะน่า) มาเป็นอย่างดี ว่า คนในตระกูลนี้มีอาการของจิตไม่ปรกติ อย่างท่านลอร์ด เฟอร์มอย ลุงของไดอะน่า ที่เคยออกมาประกาศความดีของหลานสาวอยู่ปาวๆ ในตอนก่อนหมั้น ไม่นานต่อมาก็ฆ่าตัวตายไปซะเฉยๆ
เลยทรงเกรงไปว่า อาการของไดอะน่าอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม

สามปีต่อมา พระชายาได้พยายามหลายต่อหลายครั้งในการทำร้ายตัวเอง ในคำสารภาพของเธอกับนายแพทย์ มัวรีซ ลิปเสดจ์ ว่า
"เพราะไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร อัดอั้นไปหมด การทำร้ายตัวเองเป็นสิ่งเดียวเพื่อที่จะเรียกร้องขอความเห็นใจ..ขอความช่วยเหลือ"

เมื่อสมเด็จทรงเห็นว่า เหตุการณ์ระหว่างครอบครัวเวลส์นี้ชักไม่ชอบมาพากล พระองค์จึงเสนอความคิดให้ทั้งคู่ออกเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน
พระองค์เชื่อว่า นี่คือวิธีที่จะช่วยแก้ใขได้เป็นอย่างดี เพราะ มันเคยได้ผลกับพระองค์มาก่อน ย่อมได้ผลกับพระโอรสและพระสุนิสาเช่นกัน  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 06, 09:18
เชิญอ่านต่อที่กระทู้นี้ค่ะ
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=47818