เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:01



กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:01
 สืบเนื่องจาก http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=18&Pid=48366

รำเพย     ขอโทษทีมงานด้วยค่ะ

รำเพยไม่ได้ตั้งกระทู้ให้มาทะเลาะกันนะคะ แค่ตั้งกระทู้เพราะคิดถึงท้าวมหาพรหมแค่นั้นเอง เพราะที่นี่ไม่ใช่เรื่องหัวข้อการเมืองนี่นะ  

ความเห็นของรำเพยมีแค่ว่า จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ที่เอาเรื่องนี้ไปโยงเข้ากับเรื่องการเมืองจนได้ พฤติกรรมแบบนี้ไม่ควรมีเลยจริงๆ
***************

ถึงคุณนิลกังขา

ผู้ป่วยทางจิตที่เราชอบคิดกันว่าเค้าไม่มีเหตุผลน่ะ จริงๆแล้วเค้ามีเหตุผลในการกระทำแต่ละอย่างของเค้านะคะ เพียงแต่ว่ามันก็เป็นจริงอย่างที่คุณนิลกังขาเขียนนั่นแหละค่ะ ว่า เราจะยอมรับได้หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ....

ของที่มี ที่สร้างขึ้นได้ ก็ถูกทำลายได้ และก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ ความเสียดายส่วนตัวเราย่อมมี เพราะเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นอยู่ทุกวันๆ แต่ชีวิตคนสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้นะคะ คนนะไม่ใช่ดอลลี่ (แกะ)

ส่วนเรื่องศาลทำไมไม่เป็นศาลพระอินทร์นั้น รำเพยก็คิดเช่นเดียวกันกับคุณนิลกังขาค่ะ การจะตั้งศาลก็ต้องดูว่าตั้งตามความเชื่อใด ในศาสนาพราหมณ์เราท่านก็ทราบๆกันอยู่ดีแล้วว่าพระพรหมนั้นถือว่าเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ลิขิตสรรพชีวิตทุกอย่างในโลก  ส่วนพระอินทร์นั้นตามความเชื่อทางลัทธิศาสนาฮินดูจะเชื่อแตกต่างจากความเชื่อในศาสนาพุทธ คือทางฮินดูจะเชื่อว่าพระอินทร์นั้นเป็น 1 ในท้าวจตุโลกบาล คือเป็นโลกบาลประจำทิศตะวันออก* (แต่ทางศาสนาพุทธนั้นโลกบาลทิศตะวันออกคือ ท้าวธตรฐ)  ถัดจากจาตุมหาราชิกภูมิก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพระสิเนรุราชบรรพต ซึ่งคนไทยก็คงรู้กันดีว่าเป็นที่อยู่ของพระอินทร์  อ่านมาถึงตรงนี้รำเพยก็ถามตัวเองว่า ทำไมพระอินทร์อยู่ทั่วไปหมดอย่างนี้ล่ะ อยู่ทั้งชั้นจาตุมหาราชิก และ ดาวดึงส์ แต่พอคิดให้ดีๆ ถ้าเป็นฮินดูก็จะเชื่อว่าพระอินทร์เป็น 1 ในท้าวจตุโลกบาลนี่นะ นอกจากนั้นทางฮินดูหลังจากสมัยพระเวทแล้วก็ถูกลดความสำคัญลงไป ต้องเป็นรองลงมาจากพระเป็นเจ้าทั้งสาม  คือ พระวิษณุ พระศิวะ และ พระพรหม แถมยังมีการ  degrade พระอินทร์โดยกล่าวว่าพระอินทร์ประพฤติตัวไม่เหมาะสมผิดเมียของฤษี จนโดนสาปให้มีอวัยวะเพศหญิงขึ้นทั้งตัว ซึ่งภายหลังจากฤษีหายโมโหแล้วก็เปลี่ยนให้เป็นรูปดวงตาไปซะ ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออีกชื่อหนึ่งของพระอินทร์ว่า ท้าวสหัสนัยน์นั่นเอง

ทีนี้เราก็ต้องมาว่ากันด้วยเรื่องของช้าง เรื่องนี้รำเพยก็สงสัยมานานแล้วค่ะว่าทำไมมีช้างอยู่บนสวรรค์ด้วยล่ะ ในเมื่อสัตว์ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ไม่ใช่หรือ อ่านไปอ่านมาก็เลยพบว่าช้างเอราวัณไม่ใช่ช้างสักหน่อย แต่เป็นเทวดาที่ชื่อว่า ไอยราวัณเทพบุตร ซึ่งจะนิมิตร่างให้เป็นช้างเมื่อพระอินทร์จะเสด็จไปไหนๆ   สรุปว่า ช้างก็ไม่ใช่ช้างแฮะ ช้างก็เป็นเทวดานี่เอง

ในเมื่อทางฮินดูลดความสำคัญของพระอินทร์ลงกลายเป็นเทพนิสัยไม่ค่อยจะดี ช้างก็เป็นเทพบุตรแปลงร่าง และถือว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง  ขืนเอาพระอินทร์มาเดี๋ยวพระอินทร์เกิดนึกแผลงมาประพฤติตัวไม่ดีอีก จะเดือดร้อนกันไปหมด แล้วพระอินทร์ในทางความเชื่อฮินดูนี่น่ะตายก็ไม่ตาย เป็นแล้วก็เป็นเลย (ซึ่งต่างกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่พระอินทร์เป็นแค่ตำแหน่ง ใครทำดีก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ได้) อย่ากระนั้นเลย เชิญพระพรหมนี่แหละ  ซึ่งท่านก็เป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้ทำลาย ประพฤติดี และเมื่อสร้างทุกอย่างขึ้นมาก็น่าจะดูแลทุกอย่างได้ ดูแล้วก็น่าจะเป็นเหตุเป็นผลดีที่จะอัญเชิญพระพรหมลงมาคุมไอยราวัณเทพบุตรเสียเลยหมดเรื่องหมดราวไป

*อ้างอิงจาก "เล่าเรื่องในไตรภูมิ" บทที่ 7 สวรรคภูมิ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:05
 ปล. ถ้าเขียนผิดขอความกรุณาช่วยแก้ไขให้ด้วยนะคะ เพราะว่ารำเพยแค่สนใจเรื่องพวกนี้เฉยๆ ไม่ได้ร่ำเรียนมาแต่ประการใด ชอบอ่าน ชอบเขียนแค่นั้น


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:14
 อีกเหตุหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็เพราะว่า ตามความเชื่อทางฮินดูนั้น พระพรหม เป็นผู้สร้าง และผู้ลิขิตชะตาชีวิตมนุษย์ (ไม่ใช่ผู้ทำลาย อย่างพระศิวะ หรือ ผู้รักษาอย่างพระนารายณ์) ก็น่าจะเป็นสาเหตุให้คนอัญเชิญพระพรหมลงมา เพราะว่าทรงเป็นเทพที่มีความเกี่ยวเนื่องกับดวงชะตา ความเป็นอยู่ของตัวเราด้วยนั่นเอง


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 06, 09:24
 ดิฉันก็ยังเสียดายหัวข้อเรื่องศาลพระพรหมและช้างเอราวัณอยู่ค่ะ  
แต่ที่ปิดกระทู้ล่างไปเพราะเห็นว่าความคิดเห็นชักจะแยกซอยออกไปสู่ถนนการเมือง   ทำให้กระทู้ร้อนระอุ
เมื่อคุณรำเพยจูงกลับมาเรื่องเดิม   ดิฉันก็จะมาต่อในกระทู้นี้  ถ้าหากว่าจะแยกซอยไปอีกก็ไปเป็นซอยสวรรค์หรือซอยเทพชั้นต่างๆ  ให้ความรู้กันดีกว่า

คำตอบข้างบนนี้ของคุณรำเพย  นับว่าน่าฟัง   ถ้าคุณนกข.ว่างคงจะเข้ามาออกความเห็นเพิ่มเติมอีกละค่ะ

เรื่องช้างเอราวัณของพระอินทร์ แท้จริงคือเทพบุตร   นับเป็นการหาทางออกของพราหมณ์แต่โบราณกาลได้ดี ต่อคำถามที่ว่าสัตว์อยู่บนสวรรค์ได้ยังไง
แต่ดิฉันก็ยังมีข้อสงสัยเล่นๆ อยู่จนบัดนี้ว่า ในเรื่องรามเกียรติ์   มีตุ๊กแกอยู่บนวิมานของพระอิศวร ให้วิรุฬหกเอาสังวาลย์ฟาดจนเขาพระไกรลาสเอียงกะเท่เร่
แสดงว่าตุ๊กแกตัวนั้นอยู่บนวิมานเทวดาได้?  หรือถือว่าเป็นยอดเขาไกรลาสไม่ใช่สวรรค์?


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 09:29
 ต๊กกะใจ เห็นชื่อผมเป็นหัวข้อกระทู้

เข้ามารับทราบครับผม

เรื่องจตุโลกบาล น่าจะคุยกันได้เป็นอีกกระทู้ยาวๆ เลย เรื่องมีแยะ ดูเหมือนคุณติบอก็สนใจอยู่ เห็นพูดถึงจตุโลกบาลจีนไว้ในกระทู้ "ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ" ของคุณครูนิรันดร์

จตุโลกบาลมีหลายตำรา ฮินดูก็มี พุทธก็มี พุทธมหายานทางจีนก็มี ตำราหนึ่งอย่างคุณรำเพยว่า ให้พระอินทร์เป็นหนึ่งในสี่จตุโลกบาล (แต่ตำราอื่นก็ไม่นับ)

ประตูวังหลวงของไทยเราเองผมจำชื่อได้ 4 ประตู ชื่อคล้องจองกัน คือ ประตูพระอินทร์อยู่ชม ประตูพระยมอยู่คุ้น ประตูพระวรุณอยู่เจน ประตูพระกุเวรอยู่เฝ้า ผมไม่แน่ใจนักว่า เป็นการตั้งตามจตุโลกบาลตำราใดตำราหนึ่งหรือเปล่า


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:35
 เอ..... ถ้าจำไม่ผิด ตุ๊กแกไม่ใช่ตุ๊กแกนี่คะ   เดี๋ยวไปเปิดตำราก่อนดีกว่าชักอยากรู้เหมือนกัน

ส่วนเรื่องประตูวังหลวง รำเพยคิดเอาเองว่าน่าจะถือความเชื่อพราหมณ์นะคะ เพราะว่าทางฮินดูนี่ก็ ตะวันออกพระอินทร์, ใต้พระยม, ตะวันตกพระวรุณ, และ เหนือพระกุเวร ตรงตามนั้นเลยล่ะค่ะ

ไปคุ้ยๆหาเรื่องตุ๊กแกต่อละค่ะ :)


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 09:35
 ถ้าผมจำนิทานพุทธเรื่องมฆะมานพได้ไม่ผิด (คือเรื่องชาติก่อนของท้าวมัฆวาน หรือพระอินทร์ แต่เป็นพระอินทร์พุทธไม่ใช่พระอินทร์ฮินดู) เทพเจ้าเอราวัณนั้นนัยว่าชาติก่อนเป็นช้างของมฆะมานพ ช่วยนายทำบุญสร้างกุศล จึงตามขึ้นมาเกิด (เป็นเทพบุตร) บนสวรรค์ด้วยเมื่อมฆะมานพมาเกิดเป็นพระอินทร์ เวลาพระอินทร์จะไปไหนก็จำแลงตัวเป็นช้างให้พระอินทร์ขี่

ส่วนตุ๊กแกตัวนั้นที่จริงเป็นเทพองค์ไหน จนด้วยเกล้าครับ สงสัยว่าน่าจะเป็นเขาไกรลาสไทยจึงมีตุ๊กแก เพราะบ้านคนไทยเผอิญมีตุ๊กแกอยู่เป็นปกติ เขาไกรลาสฉบับฮินดูดั้งเดิมน่าจะไม่มีตุ๊กแก เพราะพราหมณ์แกไม่น่าจะคุ้นเคยกับตุ๊กแกเท่าคนไทย


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 09:41
 สงสัยต่อว่า เทพพาหนะของสามมหาเทพของพราหมณ์ก็เป็นสัตว์ทั้งนั้นนี่นา เช่นโคอุสุภราชหรือว่าพระนนทิ วัวของพระอิศวร (ใช่เปล่า?) หงส์ของพระพรหม (ซึ่งผมไม่รู้จักชื่อ รู้แต่ว่าเป็นหงส์) และพญาครุฑและพญานาคราชของพระวิษณุ เอาละอาจจะยกครุฑกับนาคไว้เพราะอาจจะถือว่าไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ทิพย์ประเภทหนึ่ง เอ๊ย สองประเภท แต่วัวกับหงส์น่ะมันสัตว์แหงๆ นี่ครับ?


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 09:45
   รามเกียรติ์หาย    (ท่าทางแม่จะปาทิ้งไปตอนเราไปอยู่เมืองนอก เห็นบ่นๆว่าปลวกขึ้นบ้าน)

แล้วจะหาตุ๊กแกเจอได้ยังไงเนี่ย


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มี.ค. 06, 10:16
 ตอนนี้ ชาวเรือนไทยกำลังหาสัญชาติและทะเบียนบ้านพาหนะของเทพเจ้ากันให้วุ่น
โคนนทิของพระอิศวร   เป็นเทพบุตรค่ะ   อยู่บนสวรรค์เป็นเทพ ไปไหนมาไหนก็จำแลงร่างเป็นวัว
คุณนิลกังขาหาบทความ เรือนพระนนทิการอ่านดูสิคะ
นับว่าพราหมณ์หาทางออกให้ได้สวยงามตามเคย

ส่วนครุฑ ทะเบียนบ้านในเรื่องกากี ระบุว่าอยู่ที่ป่าฉิมพลี    ต้องข้ามสีทันดรไป  ก็เท่ากับอยู่ในโลกมนุษย์  ไม่ได้อยู่บนสวรรค์
นาค ที่ชื่ออนันตนาคราช มีทะเบียนบ้านอยู่ที่เกษียรสมุทร หนึ่งในสี่ของทะเลที่คั่นทวีปทั้งสี่    เกษียรสมุทรเป็นรีสอร์ทของพระนารายณ์
แต่นาคที่เหลือมีสำมะโนครัวอยู่ใต้พิภพ  เป็นบริวารของหนึ่งในสี่ของท้าวจตุรบาล จำไม่ได้ว่าท้าวกุเวรหรือองค์ไหน

โอ๋ คุณรำเพยใจเย็นๆ    จะเอารามเกียรติ์เล่มไหนล่ะคะ  ดิฉันมีอยู่บนชั้นหนังสือ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 10:28
 คุณ นกข. เรื่องหงส์ตอบยังไม่ได้ค่ะ แต่ว่าเรื่องวัวตอบได้ละ

วัวของพระอิศวรนี่ก็คล้ายกับช้างของพระอินทร์เลยค่ะ คือ วัวที่ไม่ใช่วัว

มีที่มา 3 ตำราก็ว่าต่างกันไปเช่นนี้

ความเชื่อที่ 1

โคนนทิ หรือ โคอุศุภราช ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพ่อโค แม่โคเหมือนกับโคอื่น ๆ แต่ว่าเป็นลูกของมหาเทพกับนางโคสุรภี นางโคสุรภีนี้ก็เป็นของวิเศษที่จุติขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรนั่นเอง เพราะฉะนั้นโคนนทิก็ไม่ใช่วัวปกติๆนะคะ ลูกเทพเจ้าเชียวนะ

ความเชื่อที่ 2

เชื่อว่าเป็นเทพบุตรนามว่า นนทิ มีหน้าที่ดูแลสัตว์สี่เท้าที่อยู่ในป่าใกล้ๆกับเขาไกรลาส เทพนนทิมักจะนิมิตองค์กลายเป็นโคเผือกให้พระศิวะประทับเป็นเสมือนพาหนะประจำพระองค์

ความเชื่อที่ 3

เพิ่มเติมจากความเชื่อที่ 2 ออกไปอีกว่า เทพนนทินั้นนอกจากเป็นพาหนะคู่ใจของพระศิวะแล้วก็ยังมีหน้าที่ตีตะโพนให้จังหวะในขณะที่พระศิวะร่ายรำ จึงมีความสำคัญมากกว่าเป็นเพียงแค่พาหนะธรรมดาๆเท่านั้น คนจึงนิยมบวงสรวงโคนนทิร่วมกันไปด้วย

ส่วนเรื่องหงส์...รำเพยยังจนปัญญาอยู่ค่ะ หาทางอธิบายไม่ได้จริงๆ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 10:32
 อ้าว รำเพยมัวแต่พิมพ์ กว่าจะพิมพ์เสร็จ อาจารย์เทาชมพูอธิบายไปเรียบร้อยแล้ว แหะ แหะ

อิอิ ขำ ทะเบียนบ้านของพาหนะเทพเจ้า

เรื่องรามเกียรติ์ ไม่เป็นไรค่ะ ไว้มีงานสัปดาห์หนังสือค่อยไปซื้อเอาใหม่ ท่าทางว่าเล่มเก่ามันคงพรุนจนแม่เก็บไว้ไม่ไหวแล้วแน่ๆเลย


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 23 มี.ค. 06, 13:15
รับทราบครับผม ผมไม่ได้คาดคิดว่าการเข้ามาเตือนของผมจะทำให้เข้าใจผิดกันใหญ่โต ต้องขออภัยทุกๆท่านด้วยที่มีส่วนทำให้กระทู้เดิมสะดุดไป ขอเชิญคุยกันเรื่องพระพรหมต่อได้ตามสะดวกครับ  


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 16:14
 เรื่องพญาหงส์ หรือขุนห่าน พาหนะของพระพรหมนะครับ (โองการแช่งน้ำเรียกเป็น "ขุนห่าน" - โอมไชยะชัย ไขโสฬสพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง พระผยองเหนือขุนห่าน... แล้วยังไงต่อก็จำไม่ได้)

ผมคิดเล่นๆ ต่อไปว่า อย่างที่ผมบอกแล้วในกระทู้โน้น พระพรหมธาดาเป็นหนึ่งในสามมหาเทพก็จริง แต่ได้รับความสนใจจากมนุษย์ชาวฮินดูน้อยที่สุดในสามองค์ก็ว่าได้ เพราะมัวแต่เกทับบลั๊ฟแหลกกันว่า พระอิศวรหรือพระนารายณ์ใครกันแน่ที่ใหญ่ที่สุดในสามมหาเทพ มีการแต่งตำนานเกทับกันไปกันมา แต่จะตำนานไหนก็ตาม น่าสงสารพระพรหมอยู่อย่างคือ พระพรหมก็ดูเหมือนจะทรงฤทธิ์น้อยที่สุดไปทุกตำนานทุกเรื่อง

ในเมื่อเช่นนั้น เกร็ดฝอยต่างๆ ของพระพรหมในฐานะปัจเจกบุคคล เอ๊ยปัจเจกเทพองค์หนึ่ง ก็อาจจะมีผู้แต่งเรื่องถวายเพิ่มรายละเอียดน้อยกว่าอีกสองมหาเทพ พญาหงส์ตัวนั้นก็เลยไม่มีชื่อ เป็นไปได้มั้ยครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 16:22
แต่ก็ขอตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันว่า ศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็มีความสุขุมลุ่มลึกหลายระดับ ทั้งระดับเทพเจ้าที่เป็นเรื่องนิยายตื่นเต้นมีสีสันสนุกสนานเอาไว้หลอกเด็ก เอ๊ย เอาไว้ปลอบประโลมใจศาสนิกในระดับหนึ่ง และในระดับปรัชญาอันล้ำลึกลึกซึ้งก็มีเหมือนกัน สำหรับตอบสนองความต้องการทางปัญญาของศาสนิกอีกระดับหนึ่ง

ในบางระดับที่ว่านี่ "พรหม" นั้นเป็นภาวะอันสูงสุดหรือปรมาตมัน ที่แผ่ซ่านทั่วสากล ครอบคลุมทั่วสากล ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลจักรวาล แต่ "พรหม" หรือ "ปรมาตมัน" นั้นจะว่าเป็นสิ่งเดียวกับท่านท้าวมหาพรหมที่มีสี่หน้าหรือไม่ก็อาจจะไม่ใช่ พระพรหมธาดาในนิยายฮินดูนันเป็นเทพองค์หนึ่ง มีพระภาวะเป็นบุคคล ถึงจะเถียงว่าท่านเป็นการแสดงตัวรูปหนึ่งของ "พรหม" อันเป็นสภาวะสูงสุดก็คงได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันร้อยเปอร์เซ็นต์กับพรหมในความหมายหลังนี้อยู่ดี กล่าวอีกทีก็คือ สภาวะ "พรหม" ครอบคลุมพระพรหมที่เป็นบุคคลด้วย (และถ้าว่าตามความเชื่อฮินดู ครอบคลุมถึงทุกสิ่ง) แต่พระพรหมที่เป็นบุคคลเป็นเทพ ไม่ครอบคลุมไปถึงพรหมสภาวะทั้งหมด ถ้าพูดถึงพรหมในความหมายที่เป็นสภาวะ ก็คงไม่มีหงส์เป็นพาหนะแน่ครับ เพราะท่านก็คือหงส์ หงส์คือท่าน และท่านก็เป็นทุกอย่างที่ไม่ใช่หงส์ด้วยในทางศาสนาฮินดูในระดับการอธิบายระดับนี้ ก็ถือว่า การเข้าถึงพรหม นั้น คือการเข้าสู่สภาวะสูงสุดที่จะเป็นไปได้ หรือเรียกว่าการที่อาตมันเข้ารวมเป็นหนึ่งกับปรมาตมัน ซึ่งเทียบได้คล้ายๆ (แต่ไม่ตรงกันทีเดียวนัก) กับพระนิพพาน ของทางพุทธครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 23 มี.ค. 06, 16:34
 พระพรหม คือ ผู้สร้าง
พระนารายณ์ คือ ผู้รักษา
พระอิศวร คือ ผู้ทำลาย

น่าคิดว่าธรรมชาติของมนุษย์เอาใจผู้รักษา และเกรงใจผู้ทำลาย

ส่วนผู้สร้าง สร้างแล้วก็แล้วกันไป

พระพรหมจึงเป็นมหาเทพที่ถูกลืมเช่นนี้แล

ส่วนเมืองไทยบ้านเรา ผู้สร้างโดนทำลายไปแล้วครับ

ฮาาาาาาาา (ไม่ออก)


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 มี.ค. 06, 17:03
 อ้อ
ว่าด้วยตุ๊กแก (ธรรมดา ไม่ใช่ตุ๊กแกสวรรค์)

เชิญท่านผู้สนใจไปดูกระทู้ที่ห้องวิทย์ทั่วไปครับ มีกระทู้ถามว่า (ตีน) ตุ๊กแกสามารถเกาะเทฟล่อนได้หรือไม่? ซึ่งนับว่าสร้างสรรค์มาก คำถามนี้ เพราะสิ่งหนึ่งได้รับการออกแบบมาให้สามารถเกาะติดได้ทุกพื้นผิว อีกสิ่งหนึ่งได้รับการออกแบบมาให้เป็นพื้นผิวที่ไม่มีอะไรเกาะติดอยู่ได้เลย...

เมื่อได้คำตอบแล้ว ว่าตุ๊กแกเกาะติดหรือไม่ติด (ผมไม่เฉลยครับ เชิญไปดูกระทู้โน้นเอง) ก็น่าจะถามต่อไปว่า พื้นผิวผนังวิมานไกรลาสของพระศุลีนั้น มีคุณสมบัติเป็นพื้นผิวแบบไหน???????


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 23 มี.ค. 06, 20:42
 รำเพยจำได้ว่าเคยอ่านมาก่อนแล้วนา...(น่าจะในพันทิป) ว่าเกาะไม่ติด เพราะว่าเท้าน้องตุ๊กแกมันยึดเกาะกับผิวของเทฟล่อนไม่ได้เพราะสารที่เคลือบอยู่บนกระทะนั่นแล

เอาไว้ว่างๆ เดี๋ยวรำเพยจับตุ๊กแกบนหน้าต่างข้างเตียงนอนไปลงกระทะดูดีกว่า    ฮี่ๆๆ

กลับมาเรื่องรถยนต์ส่วนตัว เอ๊ย พาหนะส่วนตัวของเทพเจ้าต่างๆ คิดไปคิดมาน่าจะรวบรวมทำทะเบียนบ้านเหมือนกันนะนี่ มีใครเคยเขียนหรือยังคะ? ช่วงนี้รำเพยไม่ค่อยมีอะไรทำเพราะหมอสั่งให้นอนเฉยๆบนเตียง หาอะไรมาเขียนเล่นดีกว่า    


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 23 มี.ค. 06, 21:06
อืมมมมมม
ต้องขออภัยด้วยเหมือนกันที่มีส่วนทำลายบรรยากาศ
ในกระทู้โน้น
ถ้าไม่ใช่อาจารย์เทาชมพูอันเป็นที่รักของกระผมไม่มาออกหน้าผมไม่ยอมหรอกนะ อิอิอิอิ
คิดไปคิดมา ก็เออ จะเถียงไปทำไมถ้าคนเขาไม่อยากถกเถียงกัน บางครั้งพอเลือดมันร้อน มันก็ขาดความเยือกเย็นแบบพี่   นกข.ไป

ตอนนี้ไม่ต้องเถียงกันก็ดี เพราะวันนี้มีข่าวดีมากๆ (23 มีค.49)เกิดขึ้น ก็คงเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร (เอ๊ะยังอยู่ในประเด็นการเมืองหรือป่าวหว่า)

จากกระทู้พระพรหมแล้ว
ผมว่าเรื่องไสยศาสตร์ก็น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังนะครับเพราะเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดของสังคมไทยเหมือนกัน


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 23 มี.ค. 06, 21:13
 ลืมถามไปเรื่องพระพรหม

มีท่านใดทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างถาวรวัตถุที่อยู่ตรงข้ามกับพระพรหมในแนวทแยงมุงของ 4 แยกบ้างมั้ยครับ เพราะเชื่อกันว่าการมีพระพรหม อยุ่ตรงนั้นทำให้กิจการของห้างตรงข้ามนั้นไม่รุ่งเรืองเท่าที่ควร เห็นว่ามีการแก้เคล็ด เปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูกกันน่าดูเลย เคยได้ยินมาแต่จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 24 มี.ค. 06, 01:35
ดิฉันขอใช้สิทธิ์ที่คุณ paganini พาดพิง ดิฉันจะโพสต์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายค่ะ
เพื่อไม่ให้เกิดความร้าวฉานต่อเพื่อนสมาชิก อยากเก็บความรู้สึกดีๆ ที่เหลือไว้ให้คิดถึงกันดีกว่า

สมัยเป็นวัยรุ่นขึ้นศาลทั้งหมด 5 ครั้ง เป็นทั้งโจทก์และจำเลย ทั้งใน small claim court,
และ university court ถามว่าทำไมไม่ตั้งมั่นในความสงบ คำตอบคือไม่ชอบคำขู่
ใครท้า...ใครขู่....เอา...เดี๋ยวพบกัน  บังเอิญชนะคดีทุกครั้ง
เพราะทราบว่าตัวเองมีสิทธิ์แค่ไหน และจะต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิผู้อื่น

ในกระทู้พระพรหม
ค.ห. 13 เป็นเรื่องของกฎหมาย  และ ค.ห. 15 เป็นเรื่อง superstition
กลับไปอ่านใหม่ มันไม่ใช่การเมือง และไม่ได้โชว์เค้าลางของการโต้เถียง
มันอาจจะแตะการเมืองอ้อมเท่านั้น ไม่มี impact อะไร เพราะระวังตัวอยู่แล้ว

ดิฉันไม่อยากทำผิดกติกา เพราะรู้สึกไม่ดีมากๆที่ vTeam “ตั้งท่า” ยัดข้อหาที่ไม่เคยมีอยู่ในหัว  
ขออภัยที่เบรกแตก  warning+threatening, one after another สะสมอยู่ จึงออกอาการ
ขอบคุณสำหรับไมตรีจิต และสิ่งดีๆที่เคยร่วมสนุกกันมาค่ะ
***********
Q: ผมเห็นพี่โพสต์ในกระทู้มีตติ้งอย่างเมามัน เลยต้องขอเวลานอกหน่อย
กติกามีอยู่ว่าพี่ห้ามบอก หรือใบ้ว่าอาจารย์เป็นใครนะครับ
ไม่งั้นผมอาจจะต้องปิดกระทู้นั้น เพราะอาจารย์คงยังไม่อยากให้
คนรู้จักตัวจริงมากเกินไป ..........โดยเฉพาะในโลกอินเทอร์เน็ต
อาจมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาป่วนได้ หวังว่าพี่คงเข้าใจกติกานะครับ

A: ทราบดีค่ะ ทำไมถึงคิดว่าจะบอกล่ะ ช่วยปกปิดให้สุดๆ……

Q: ไม่ได้คิดว่าพี่มีเจตนาจะบอกหรอกครับ แต่กระทู้มันอาจจะพาไป
เดี๋ยวมีคนถามเยอะเดากันมามากๆอาจจะเกิดปัญหาได้ ผมเห็นพี่กำลังสนุก
กลัวจะเผลอแล้วจะเกิดปัญหามาที่หลัง เลยต้องกันไว้ก่อนนะครับ
ผมก็กำลังดูกระทู้อยู่ ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาถึงขั้นต้องปิดครับ
******
ขออภัยคุณรำเพยด้วยค่ะ ที่รบกวนเนื้อที่


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 24 มี.ค. 06, 09:52
 All's well that ends well อีกทีครับ  



ผมก็พยายามจะทำใจให้เย็น แต่ถ้าอ่านกระทู้เก่าๆ จะรู้ว่าบางทีผมก็เคยใจร้อนวู่วามได้ไม่น้อยเลยครับ อิอิ



เรื่องทแยงมุม คุณ Paganini ลองอ่านบทความที่คุณจ้อทำลิ๊งก์ให้ในกระทู้พระพรหมเดิม จะพบว่า ตรงนั้นเป็นชุมนุมเทพเจ้าจริงๆ แต่ละองค์ทรงแผ่รัศมีรังสีฤทธิ์ปะทะกันสนุกไปหมด


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 29 มี.ค. 06, 13:40
 ขออนุญาตเข้าห้องครับ คุณพระนิล(นกข.),คุณรำเพย,อ.เทาชมพู,คุณจ้อ,คุณpaganini และคุณCrazyHOrse
ผมเห็น อ. นิรันดร์ โพสต์ในกระทู้  ของฝากครูฟิสิกส์  ครับ ที่ความเห็น 550-551
"เขาเอาของในรูปข้างบนมาเรียง ๆ กันเป็นจอภาพขนาดใหญ่
ถ้าอยากเห็นของจริง พรุ่งนี้ ไปสยามพารากอน ก็แวะเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์เสียหน่อย
เงยหน้าสักนิด
อยู่บนถนนราชดำริ เยื้อง ๆ ท้าวมหาพรหมที่เพิ่งมีข่าวถูกทุบไป

น่าสนใจว่า เมืองไทยของเราสามารถผสานผสมกลมกลืนความเชื่อถือทางไสยศาสตร์กับไฮเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

จอ Super LED ในภาพข้างบนจะอยู่ตรงกลางระหว่าง
พระตรีมูรติซึ่งเป็นตนรวมของ 3 เทพเจ้าฮินดู มีพระอิศวร
พระนารายณ์ และพระพรหม
(ตรงข้ามโรงแรมเอราวันพอดี)
กับพระพิคเนศวร์ เทพเจ้าที่มีเศียรเป็นช้าง และเป็นลูกพระอิศวร (ตรงหน้า ISATON ใกล้ประตูน้ำ)
"

ป.ล. ตุ๊กแกเกาะเกาะติดเทฟล่อน ดูได้ที่กระทู้นี้ครับ
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=101&Pid=47863  


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 12:15
 ข้อมูลใหม่ครับ ที่จริงเก่า แต่ผมเพิ่งเห็น

มีบทความหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบอกว่า คุณหลวงสุวิชาน์ฯ เมื่อท่านตั้งพิธีเชิญเทพลงมานั้น ไม่ได้ตั้งใจเชิญพระพรหมฮินดู แต่เชิญพรหมทางพุทธครับ เป็นท่านท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ไม่ใช่พระธาดาพรหมผู้สร้างโลก

ทางพุทธศาสนาก็มีพรหม แต่ไม่ได้ถือว่าเป็นมหาเทพ ถือว่าเป็น "สิ่งมีชีวิต" ประเภทหนึ่งเท่านั้น คือประเภทที่สูงกว่าเทวดาธรรมดา และไม่ได้มีองค์เดียว มีมากมายหลายองค์ สวรรค์ชั้นพรหมอยู่เหนือสวรรค์ของเทวดาขึ้นไปอีก รู้สึกจะมี 16 ชั้นฟ้าที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นโสฬส ("โส - ลด" ครับ แปลว่า 16)

ถ้าผมจำไม่ผิด ผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตจนได้ฌาน ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม มีความสุขที่ละเอียดประเสริฐกว่าสุขของเทวดา


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 04 เม.ย. 06, 12:26
 สวัสดีครับ คุณพระนิลกังขา(นกข.)
จากความเห็นล่าสุด
"ผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตจนได้ฌาน ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม มีความสุขที่ละเอียดประเสริฐกว่าสุขของเทวดา"

น่าจะตรงกับชั้นอรูปพรหมครับ
ส่วนพรหม 16 ชั้นฟ้า เรียกว่า รูปพรหม ครับ
ตอนนี้ รอให้ผู้รู้มาตอบดีกว่าครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:10
 อ่านเกี่ยวกับพรหมภูมิ  หรือที่อยู่ของพระพรหม ทางพุทธศาสนา( ไม่ใช่ฮินดู) ได้ที่นี่ค่ะ

 http://www.geocities.com/tanakorn_world/prom.htm

พ ร ห ม ภู มิ

-พรหมอุบัติ-

ท่านผู้มีความเพียรกล้า ทรงไว้ซึ่งปัญญาเกินสามัญญชน ปรารถนาจะพ้นจากกิเลสานุสัย เพราะเห็นว่ามีโทษพาให้ ยุ่งนัก ใคร่จักห้ามจิตมิให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงสู้ อุตสาหะพยายามบำเพ็ญสมถภาวนา ตามที่ท่านบุรพา จารย์สั่งสอนกันสืบๆ มา บางพวกเป็นชีป่าดาบส บางพวก ทรงพรตเป็นโยคี ฤาษี ในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ในโลก บางพวกก็เป็นพระภิกษุสามเณร ต่างบำเพ็ญ สมถภาวนา จนได้สำเร็จฌาน ครั้นถึงกาลกิริยาตายจาก มนุษย์โลก ก็ตรงไปอุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก ตามอำนาจแห่งฌานที่ตนได้บรรลุ เป็นพระพรหมผู้วิเศษ
ล้วนแต่บุรุษเพศทั้งสิ้น ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตว์ในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่มชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌาน สมาบัติเป็นอาหาร
จึงไม่ต้องมีการถ่ายคูตรมูถคืออุจจาระ ปัสสาวะอันลามกเหม็นร้ายเลย

สรีระร่างกายหน้าตาแห่งบรรดาพระพรหมนั้น มีสัณฐาน กลมเกลี้ยงสวยงามนัก มีรัศมีออกจากกายตัวเลื่อม ประภัสสรรุ่งเรืองกว่ารัศมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ หลายพันเท่า
เพียงแต่หัตถ์หนึ่งเล่าอันพระพรหมทั้งหลาย เหยียดยื่นออกไปหวังจะให้ส่องรัศมีไปทั่วห้วงจักรวาล ก็ย่อมจักทำได้
อวัยวะร่างกายที่ต่อกัน คือหัวเข่าก็ดี แขนก็ดี มีสัณฐานกลมเกลี้ยงเรียบงามนัก จักได้เห็นที่ ต่อกันนั้นหามิได้ เกศเกล้าแห่งองค์พระพรหมเจ้าทั้งหลาย นั้นงามนัก
ปรากฏโดยมากมีศีรษะประดับด้วยชฎา เช่นเดียวกับชีป่าและโยคีฤาษีสิทธิ์ผู้มีฤทธิ์ สถิตย์เสวยสุข พรหมสมบัติอยู่ ณ พรหมโลกที่ตนอุบัติบังเกิดตราบจน กว่าจะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:12
 -ประเภทของพระพรหม-

รูปพรหม

๑. พรหมปาริสัชชาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหมซึ่งสถิตย์อยู่ชั้นมหาพรหมาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรกคือชั้นต่ำที่สุด
แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบน สูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากมนุษยโลกนักหนา ไม่สามารถ นับได้

พระพรหมแต่ละองค์ ณ พรหมพิมานแห่งตนในที่นี้ล้วนแต่ มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้งสิ้น
เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย

๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่าน มหาพรหม

ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า
ทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น

๓. มหาพรหมาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๓ มหาพรหมาภูมิ = ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้น ไปอีก
ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

พรหมโลก ๓ ชั้นแรกนี้ ตั้งอยู่ ณ ระดับพื้นที่ระดับเดียวกันแต่แยกเป็น ๓ เขต

๔. ปริตตาภาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๔ ปริตตาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน
ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น

๕. อัปปมาณาภาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้
ล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น

๖. อาภัสราภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๖ อาภัสสราภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสง ล้วนมีคุณวิเศษ
โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

อนึ่งพรหมโลกชั้นที่ ๔ - ๖ นี้ทั้งสามชั้น ความจริงตั้งอยู่
ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:19
 ๗. ปริตตสุภาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๗ ปริตตสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง
ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น

๘. อัปปมาณสุภาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๘ อัปปมาณสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มีประมาณ
สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณ ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ
โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น

๙. สุภกิณหาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๙ สุภกิณหาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์
ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนานักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ
โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

พรหมโลกชั้นที่ ๗ ชั้นที่ ๘ และชั้นที่ ๙ นี้ ความจริงตั้งอยู่
ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต

๑๐. เวหัปผลาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์

อนึ่ง ผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ๙ ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่ามีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้
ก. เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟ นั้น ๔ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
ข. เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำ นั้น ๖ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
ค.เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลม นั้น ทั้ง ๙ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วยไม่มีเหลือเลย

๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ
พรหมโลกชั้นที่ ๑๑ อสัญญีสัตตาภูมิ = ที่อยู่ของ พระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา พระพรหมไม่มีสัญญาทั้งหลาย ผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจ แห่งสัญญาวิราคภาวนาและสถิตย์อยู่ในพรหมโลกชั้นนี้
ย่อมมีแต่รูป ไม่มีนามคือจิตและเจตสิก เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา ล้วนแต่มีคุณวิเศษยิ่งนัก
โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จ จตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุด มาแล้วทั้งสิ้น

ทรงเพศเป็นพระพรหมผู้วิเศษ สถิตย์อยู่ในปราสาท แก้วพรหมวิมานอันมโหฬารกว้างขวางนักหนา
มีบุปผชาติ ดอกไม้ประดับประดาเรียบเรียงเป็นระเบียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว โรยรา โดยรอบ
ผู้ที่ไปอุบัติเกิดในพรหมภูมิชั้นนี้ มี มากมายนักหนาจนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่มีหน้าตาเนื้อตัว สวยสง่ามีอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี ใหม่ งามซึ้งตรึงใจสุดพรรณนา
แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไม่ไหวติง
จักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เฉยเสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาลนานนักแล

อนึ่ง เวหัปผลาภูมิและอสัญญีสัตตาภูมินี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะ ห่างไกลกันมาก


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:20
 สุทธาวาสภูมิ
เป็นพรหมโลกอีกชนิดหนึ่ง ต่างจากทั้ง ๑๑ ชั้นแรก ภูมินี้ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมอริยบุคคลในบวรพุทธศาสนา ชั้นพระพรหมอนาคามีริยบุคคล ผู้มีความบริสุทธิ์ เท่านั้น
ส่วนท่านที่ทรงคุณวิเศษอื่นๆ แม้จะได้สำเร็จฌานวิเศษเพียงใด ก็ไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสภูมินี้ไม่ได้ อย่างเด็ดขาด
สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ ๕ ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิ หาได้ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันไม่

๑๒. อวิหาสุทธาวาสภูมิ
สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อวิหาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิอันเป็นที่อยู่อัน บริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติของตน

พระพรหมในพรหมโลกชั้นนี้ ย่อมไม่ละทิ้งสมบัติ กล่าวคือ สถานที่ของตนโดยเวลาเพียงเล็กน้อย
เพราะว่าพระพรหม ที่อุบัติเกิดและสถิตย์อยู่ ณ ที่นี้ ท่านย่อมไม่จักจุติเสียก่อน จนกว่าจะสถิตย์อยู่นานถึงมีอายุครบกำหนด
ซึ่งแปลก ออกไปจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก ๔ ภูมิ คือพระพรหมในอีก ๔ สุทธาวาสภูมินั้นอาจไม่ได้อยู่ ครบกำหนดอายุก็มีการจุติหรือนิพพานเสียก่อน

พระพรหมในอวิหาสุทธาวาสภูมินี้ แต่ละองค์นั้น ล้วนแต่ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดาน น้อยนักหนา
โดยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน
จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล มาแล้ว


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:21
 ๑๓. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี
อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อน หมายความว่า ท่านเหล่านี้ย่อมไม่มีความเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ
นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจิตใจของ ท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็น
ท่านเหล่านี้เคยเป็น พระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนา กรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน
ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี
อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความแจ่มใส คือท่านเหล่านี้ ย่อมมีความเห็นอย่างชัดแจ้งแจ่มใส สามารถเห็น สภาวธรรมได้โดยแจ้งชัด
เพราะเป็นพระพรหมที่บริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน จิตใจสงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน
ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า
คือนอกจากธัมมจักษุที่มีกำลังเท่ากับพระพรหมในขั้น สุทัสสาสุทธาวาสภูมิแล้ว พระพรหมในสุทัสสีพรหมโลกนี้ ประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ
ทั้ง ๓ นี้มีกำลังแก่กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง
ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล
และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ
สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความ เป็นรองกัน

เบื้องอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์ สำคัญ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่ เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์

เหล่าพรหมทั้งปวงในที่นี้ ย่อมเป็นผู้ทรงคุณวิเศษโดย ไม่มีการเป็นรองกัน คือไม่ต่ำกว่ากันทั้งในด้านความ สุขและความรู้ ทั้งนี้เพราะทรงล้วนแต่เป็นผู้มีวาสนาบารมี
ในจิตสันดานมีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนา โดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน

ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดใน อกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า
บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้ง สุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้วด้วยก็เทียบไม่ได้


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:23
 พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง ๔ หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานแล้ว
ครั้นสิ้นพรหมายุขัย ก็จำต้องจุติจาก สุทธาวาสพรหมโลกที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติเกิดใน อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้
เมื่อมาอุบัติเกิดในที่นี้แล้วย่อมจะ ไม่ไปอุบัติเกิดเป็นอะไรและในที่ใดภูมิใดอีกเลย
เพราะจะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานอยู่ในพรหมโลกชั้นอกนิฏฐพรหมโลก นี่เอง

จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ เป็นพรหมโลกที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ
อย่างประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้

พรหมโลกตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๖
เป็น รูปพรหม คือพรหมที่มีรูปแต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น

อรูปพรหม

อรูปพรหม แปลว่า พระพรหมที่ไม่มีรูปร่าง เพราะเหตุที่จะ อรูปพรหม = พรหมไม่มีรูป เป็นพระพรหมผู้วิเศษ เพราะเหตุอุบัติขึ้นด้วยอำนาจ แห่งรูปวิราคภาวนา

๑๗. อากาสานัญจายตนภูมิ

สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนานั้น บรรดาโยคีฤาษีสิทธิ์ตลอดจนชีไพรดาบส ที่ประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา ครั้นเขาผู้มีอำนาจฌานสูงรำพึงอยู่ดังนี้ ว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย มิได้อาลัยในสรีระร่าง พลางออกจากจตุตถฌานแล้วก็มีใจผ่องแผ้ว ปรารถนา อยู่แต่ในความไม่มีรูป
อุตส่าห์เจริญสมถกรรมฐาน ต่อไปจนได้สำเร็จ อรูปฌาน ครั้นถึงกาลกิริยา ตายแล้วก็ตรงแน่วมาอุบัติเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ นาม อรูปพรหม
จิตใจนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหัวหูตาตีนมือ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มีเลย เสวยสุขอยู่ด้วยภาวะไม่มีรูป ตามจิตปรารถนา อากาสานัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติซึ่ง ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:23
 ๑๘. วิญญาณัญจายตนภูมิ

พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป ซึ่งอุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตน วิบากจิต

๑๙. อากิญจัญญายตนภูมิ
พ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อากิญจัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์
พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตน วิบากจิต

๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญา ยตนวิบากจิต มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ ๔ มาแล้วทั้งสิ้น

-ปฏิปทาให้ถึงพรหมโลกและอายุแห่งพรหม-
ปฏิปทาให้เกิดในพรหมโลก มิใช่เพราะอานิสงส์ แห่งบุญกุศลอย่างสามัญธรรมดา คืออานิสงส์แห่งทาน และศีลแต่เป็นอานิสงส์แห่งภาวนา

อายุแห่งพรหม

๑. พรหมปาริสัชชาพรหมภูมิ อายุประมาณส่วนที่ ๓ แห่งมหากัป (๑ ใน ๓ แห่งมหากัป)
๒. พรหมปุโรหิตาพรหมภูมิ อายุประมาณครึ่งมหากัป
๓. มหาพรหมาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑ มหากัป
๔. ปริตตาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒ มหากัป
๕.  อัปปมาณาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔ มหากัป
๖.  อาภัสราพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘ มหากัป
๗. ปริตตสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖ มหากัป
๘. อัปปมาณสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๓๒ มหากัป
๙.  สุภกิณหาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๔ มหากัป
๑๐. เวหัปผลาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป
๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป
๑๒. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิอายุประมาณ ๑๐๐๐ มหากัป
๑๓. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐ มหากัป
๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐ มหากัป
๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๐๐๐ มหากัป
๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖๐๐๐ มหากัป
๑๗. อากาสานัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐๐ มหากัป
๑๘. วิญญาณัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐๐ มหากัป
๑๙. อากิญจัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๐๐๐๐ มหากัป
๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๔๐๐๐ มหากัป

จาก "ภูมิวิลาสินี" โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 13:26
 แค่ copy&paste ยังตาลาย
เชิญอ่านกันตามอัธยาศัย   ส่วนดิฉันถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวมากๆค่ะ

สังเกตว่า สวรรค์ชั้นพรหมนั้นเป็นเขตปลอดผู้หญิง
พระพรหมทั้งหลายเป็นบุรุษเพศ   ไม่มีเพศหญิง  ผู้หญิงตายแล้วไปเกิดได้อย่างมากขั้นฉกามาพจร


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 16:06
 โอ้โฮ ความเห็นงอกพุ่งพรวด

ขอบคุณทุกท่านครับ
พรหมในวรรณคดีพุทธศาสนามีหลายท่าน หรือหลายองค์ เช่น ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้อาราธนาเชิญให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก ไม่เสด็จสู่มหาปรินิพานเสียตั้งแต่ตรัสรู้ใหม่ๆ ชื่อพระพรหมองค์นี้ยังปรากฏอยู่ในบทอาราธนาธรรมที่เราสวดกันอยู่เดี๋ยวนี้ (มีผู้ตีความใหม่ว่า ถ้า "พรหม" นั้นมุ่งเอาธรรมะคือพรหมวิหาร 4 แล้ว ที่กล่าวกันว่าท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งมาเชิญให้พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา ก็อาจจะเป็นเพียงคำกล่าวเชิงสัญลักษณ์ ที่จริงก็คือพระเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าในพระทัยของพระองค์เอง ทำให้ทรงประกาศศาสนาโปรดโลกทั้งหลาย)

มีพรหมอีกองค์หนึ่ง ชื่อพกาพรหม มีชื่อปรากฏในพุทธชัยมงคลคาถา หรือคาถาพาหุง อันว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้า 8 ประการ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 16:16
 ขออนุญาตคุณครูเทาชมพู ติงนิดเดียวครับ

ผมเข้าใจว่า มนุษย์ผู้อบรมจิตได้ถึงขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าตายไป ได้ไปเกิดเป็นพรหมทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เพียงแต่ในภพภูมิใหม่ที่ไปเกิดนั้น ตำราภูมิวิลาสินีท่านว่า ไปเกิดเป็นบุรุษทั้งหมด เท่านั้น (ที่ต้องบอกว่าตำราท่านว่า ก็เพราะว่าผมเองไม่มีความรู้เรื่องนี้ ต้องขอนมัสการพระเดชพระคุณพระอาจารย์ผู้รจนา ฟังท่านไปพลางๆ ก่อน) คือผมหมายความว่า มนุษย์ผู้หญิงก็สามารถตายไปเกิดเป็นพรหมได้ แต่เมื่อไปเป็นพรหมแล้ว ตามธรรมดาธรรมชาติของพรหมโลก ตำราท่านว่ามีแต่เพศชาย วิญญาณหญิงนั้นก็กลายรูปเป็นพรหมชายเท่านั้นเอง (ไม่ใช่ชายพรม)

แต่ผมยังนึกอยู่ว่า พรหมระดับสูงๆๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งจะเรียกว่าอรูปพรหมหรืออะไรก็ไม่แน่ใจนั้น ดูจะไม่มีเพศเอาเลยด้วยซ้ำ คือไม่เป็นทั้งหญิงทั้งชาย ช่างเขียนไทยโบราณวาดเป็นลูกกลมๆ กลิ้งโค่โล่อยู่ในวิมาน ไม่มีหัวแขนขาอวัยวะใด และเรียกกันติดปากมาว่า พรหมลูกฟัก ในเมื่อสิ่งมีชีวิตหรือ being ประเภทนี้เสวยความสุขทางจิตที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นทิพย์ ประณีตกว่าของมนุษย์ หรือของเทวดามาก  ไม่ต้องกินอะไร ไม่ต้องดื่มอะไร ไม่ต้องเสพกาม ความเป็นเพศ จะเพศชายหรือหญิงก็ตาม ก็ออกจะไม่จำเป็นจริงๆ ด้วย ก็รูปร่างกายตาหูจมูกปากยังไม่จำเป็นเลยนี่ครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 16:27
 พระคุณเจ้าข้างบนท่านว่า จะไปเกิดเป็นพรหมได้ ไม่ใช่แค่ให้ทาน รักษาศีล (บุญแค่นั้นส่งได้ถึงแค่สวรรค์ของเทวดาเท่านั้น) จะไปเกิดในพรหมโลกได้ต้องเจริญภาวนา คือ ปฏิบัติทางจิต

พรหมโลกชั้นรูปพรหม 16 ชั้น ไม่มีเพศหญิงมีแต่ชาย กับพรหมโลก ชั้นอรูปพรหม 4 ชั้น นั้นไม่มีรูปเอาเลยทีเดียว ผมตีความเอาเองว่า พรหมโลกทั้งหมดไม่ต้องอาศัยหรือข้องเกี่ยวกับความสุขทางเพศแล้ว เพราะอยู่เหนือพ้นไปจากสวรรค์ชั้นกามาพจรแล้ว (กามาพจรแปลว่ายังท่องเที่ยวอยู่ในกามอยู่) ใน 16 ชั้นแรก มีแต่ชาย ถึงจะเคยเกิดเป็นหญิงหรือเป็นอะไรอื่นมาก่อนเมื่อขึ้นมาแล้วก็ทรงรูปเป็นชาย ไม่ต้องมีคู่ ใน 4 ชั้นหลัง ไม่มีรูปร่างเอาเลยแหละ

ทำให้นึกไปถึงมนุษย์ที่มีความประพฤติ แบบไม่ให้ความสำคัญกับการติดในเพศรสหรือกามกิจ หรือเมถุนกรรม ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ จะเป็นชายก็ตามหญิงก็ตาม พระบาลีท่านเรียกว่า เป็นบุคคลที่ประพฤติตนอย่างพรหม หรือเรียกเป็นศัพท์ว่า ผู้ประพฤติ "พรหมจรรย์" นั่นเอง


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 16:36
 ศีลข้อกาเมสุมิจฉาฯ ในศีลห้านั้น สำหรับฆราวาสที่ยังต้องเสพกามอยู่ พระท่านก็บอกว่า ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่ามีเซ็กซ์ในทางที่ไม่ชอบธรรมก็แล้วกัน เช่นผิดลูกเขาเมียใคร

แต่พอขยับขึ้นศีลแปดหรืออุโบสถศีล (และสูงกว่านั้นขึ้นไป) ศีลข้อเดียวกันนี้ในพระบาลีเปลี่ยนคำเรียก เพราะศีลระดับศีลแปดนั้นงดเว้นการประกอบเมถุนกรรมเลยโดยสิ้นเชิง ไม่ยอมมีอะไรแม้แต่กับสามีหรือภริยาของตัวเอง ก็เรียกว่า อพรหมจริยา.. คือ งดเว้นจากการประพฤติในสิ่งที่มิใช่พรหม ก็คือ ถือพรหมจรรย์ บุคคลผู้ถือพรหมจรรย์หรือประพฤติแบบพรหมนั้น เรียกว่า พรหมจารี หรือพรหมจาริณี

แต่เดี๋ยวนี้ความหมายกลายไปซะแล้ว พรหมจารีกลายเป็นแปลว่า virgin สาวบริสุทธิ์ไม่เคยชาย ไปเสียนี่


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 16:56
 ขอบคุณค่ะคุณนิลกังขาที่มาชี้แจงเพิ่มเติมให้ทราบ
ดิฉันคิดอย่างที่โพสต์ไปข้างบนนี้   เพราะเห็นว่าพระไตรปิฏกถือว่าเพศหญิงต่ำกว่าเพศชาย   สังเกตได้จากพระวินัยเรื่องภิกษุกับภิกษุณี เป็นตัวอย่าง

ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงสวรรค์  ก็เป็นธรรมดาอยู่เองว่า เพศชายเท่านั้นถึงจะบรรลุสู่สภาวะขั้นสูงๆได้
คุณนกข.บอกว่า มนุษย์เพศหญิงบำเพ็ญธรรมจนสามารถบรรลุภพภูมิชั้นพรหมได้   แต่พอขึ้นไปแล้ว เพศต้องกลายเป็นชาย
ส่วนดิฉันเห็นว่า  ยังงั้น เพศหญิงก็มีได้แต่ในฉกามาพจรเท่านั้นน่ะสิ   ถ้าสูงกว่านั้น สภาวะเดิมก็หมดไป จากนางฟ้า ก. กลายเป็นพระพรหม ข.  เพศเดียวกับพระพรหม ค. จะเรียกว่านางฟ้าก.ขึ้นไปอยู่ชั้นพรหมโลกไม่ได้แล้ว

คำตอบของคุณนกข. ถ้าถูกต้อง  ทำให้ดิฉันรู้สึกตะขิดตะขวงกับทัศนะนี้อยู่ดี
เพราะดิฉันไม่เคยเห็นว่าผู้หญิงนั้นต่ำกว่าผู้ชายในแง่ของการเรียนรู้หรือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของการบรรลุธรรม

แต่ก็เอาเถอะ  ดิฉันไม่ถือว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   ก็ไม่มาประท้วงละ
เอาเป็นว่ายังพอใจกับความเป็นเพศหญิงที่ยังตะเกียกตะกายอยู่ในชั้นล่างๆแค่โลกมนุษย์
ไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นไปถึงไหน ก็ไม่ว่ากัน  ดิฉันยังหาที่นั่งสบายๆตามประสาเพศหญิง อยู่ในชั้นล่างๆได้เสมอ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: UP ที่ 04 เม.ย. 06, 16:57
 จะว่าไป "กบิลพรหม" ที่ต้องตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ตามตำนานนางสงกรานต์ ท่านหมดพรหมายุขัยด้วยวิธีแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แต่เดิมท่านอยู่บนพรหมภูมิหรือไม่ก็ไม่ทราบ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 17:17
 กบิลพรหม มีแฟมิลี่ประกอบด้วยลูกสาวตั้งหลายคน    คงไม่ได้อยู่บนโน้นมั้งคะ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: UP ที่ 04 เม.ย. 06, 17:33
 นึกเล่นๆ ต่อไป ถ้ากบิลพรหมอยู่บนพรหมภูมิจริง ลูกสาว ๗ คนก็คงไม่ได้อยู่บนโน้นด้วยเหมือนกัน เพราะลูกๆ บางคนก็กินเลือดกินเนื้อเป็นอาหาร ถือปืนผาหน้าไม้บ้าง ถือขรรค์บ้าง เล่นพิณพิฆาตบ้าง ออกจะบู๊เหลือเกิน ไม่ใช่วิสัยของพรหม

กลายเป็นครอบครัวที่ลูกๆ ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อ

โถ...

แต่ตามตำนานแล้ว ผมว่ากบิลพรหมไม่ได้อยู่บนพรหมโลกอย่างที่คุณเทาชมพูสันนิษฐาน เพราะจริยวัตรของท่านไม่ค่อยเป็นพรหมในอุดมคติสักเท่าไหร่


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 19:20
มีความรู้สึกว่ากบิลพรหมจะลอยไปลอยมารอบๆ เขาพระสุเมรุ ไม่ได้อยู่บนพรหมโลกเหมือนกันครับ จนถูกตัดเศียรแล้วก็ยังถูกเชิญเวียนไปเวียนมารอบเขาพระสุเมรุอยู่นั่นเอง

ขออนุญาตคุณครูอีกทีครับ ข้อแรก ผมเห็นด้วย (ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่เฟมินิสต์) ว่าเราสามารถพูดได้ว่าฐานะของสตรีในวรรณคดีพุทธศาสนานั้นต่ำกว่าชาย ซึ่งสะท้อนสังคมอินเดียสมัยนั้น เป็นต้นเรื่องวินัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับภิกษุณี และตัวอย่างอื่นๆ อีก รวมทั้งกำหนดให้ หรือจินตนาการให้พรหมทุกองค์ในพรหมโลก เป็นผู้ชายหมด (แต่ไม่ใช่ว่าผู้ชายมนุษย์ขึ้นมาเป็นพรหมกันหมด)

อย่างไรก็ตาม ผมยังถืออยู่ดีว่า ไม่ว่าแขกอินเดียสมัยนั้นจะลำเอียงอย่างไร ก็มีความเสมอภาคอยู่เล็กๆ ตามกฏแห่งกรรมอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทำอะไรไว้ถึงจุดหนึ่งเมื่อกรรมจะให้ผล ก้ได้ผลนั้น เช่นอานิสงส์การทำจิตภาวนาส่งให้ไปเกิดเป็นพรหม ก็ต้องได้เป็นพรหม ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จริงอยู่ดีว่าสภาวะแห่งพรหมนั้นเป็นอย่างไร ท่านมีเพศจริงหรือเปล่า (จะมีไปทำไมก้ไม่รู้ ในเมื่อท่านถือพรหมจรรย์?) เพียงแต่ท่านผู้รจนาคัมภีร์พุทธศาสนาบางเล่ม  ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่งว่าพรหมเป็นชายเท่านั้น

แต่ว่าถ้าเราเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ก็เป็นไปได้ที่ชายจะเกิดมาเป็นหญิง และหญิงจะเกิดมาเป็นชาย สลับเพศกันก้ได้ สมมติว่าชาติที่แล้ว นกข. เคยเป็นมนุษย์ผู้หญิง ชาตินี้มาเป็นคนและเป็นบุรุษ ชาติหน้าผมอาจจะไปเกิดเป็นคนผู้ชายอีก หรือคนผู้หญิง หรือยีราฟตัวเมียก็ได้ แล้วแต่กรรม ที่นี้ นกข. ที่เคยเป็นหญิง แล้วมาเป็นชาย แล้วกลายไปเกิดเป็นยีราฟตัวเมีย หรือกระทั่งว่าขึ้นไปเกิดเป็นพรหม (ซึ่งพระอาจารย์ท่านว่าไว้ว่ามีแต่ชาย) นั้น เป็น นกข. เดียวกันหรือเปล่าล่ะครับ?

ถ้าว่าตามหลักฮินดู อาตมัน นกข. นั้นดับจากการเป็นมนุษย์สาว มาเกิดเป็นผู้ชายสติเฟื่องในชาตินี้แล้วต่อไปจะไปเกิดเป็นยีราฟตัวเมีย ย่อมเป็นอาตมันเดียวทั้งสิ้นไม่ว่าอยู่ในรูปกายไหน แล้วเมื่อเวียนว่ายตายเกิดกี่แสนล้านๆ ครั้งแล้วก็จะเข้ารวมกับปรมาตมัน คือพรหม (ฮินดู) ซึ่งตรงนั้นดูเหมือนไม่มีเพศ

แต่ถ้าว่าตามหลักพุทธโดยเฉพาะธรรมะข้ออนัตตา ไม่มีอะไรเป็นตัวตนแท้จริง นกข. ในชาติที่แล้ว ชาตินี้ และชาติหน้านั้น ไม่ได้เป็นตัวตนเดียวกันตายไปเกิด แต่มีบางสิ่งบางอย่าง "เนื่อง" กันเท่านั้น ดังนั้นนางฟ้า ก. ไปเกิดเป็นพรหม ข. ก็มีอะไรบางอย่างสืบต่อเนื่องกันอยู่ แต่ที่จริงแท้โดยปรมัตถ์ ไม่มีตัวตนอะไรที่จะถือได้ว่าเป็นตัวเดียวกัน

มิลินทปัญหาตอบไว้ลึกซึ้งมาก ว่าเหมือนดวงไฟ จุดจากเทียนเล่มหนึ่งไปต่อกับอีกเล่ม เป็นดวงเดียวกันไหม? จะว่าใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ เพราะเป็นดวงไฟสองดวงที่สืบเนื่องจากกัน


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 เม.ย. 06, 19:34
 แหม คุณนกข.  ถ้าเล่นตอบกันถึงมิลินทปัญหา    ยังงี้ดิฉันจะเอาอะไรไปตอบล่ะคะ    เพราะถ้าลองพูดกันถึงขั้นนั้น  ก็จะไม่มีทั้งนางฟ้าก. พระพรหม ข. หรือพระพรหม ค.  ทุกอย่างล้วนเป็นสมมุติทั้งสิ้น   เป็นอนัตตา  ยึดถือไม่ได้
แต่ที่เราเริ่มขึ้นบันไดขั้นแรกมา  ยังไต่อยู่ระดับมีตัวมีตน มีชายหญิงอยู่นี่คะ

ที่จริงถ้าลองถึงขั้นพรหมโลกที่เหนือว่าความสุขทางกามแล้วละก็   ความเป็นเพศชายของพระพรหมก็ดูจะไม่จำเป็น  กลายเป็นส่วนเกินเสียด้วยซ้ำ   ตั้งแต่รูปพรหมขึ้นไปทีเดียว
แต่ดิฉันก็สงสัยอย่างคุณนกข.บอกมาน่ะแหละว่าท่านผู้รจนาท่านเป็นชาย  ท่านก็เลยระบุ "รูป"ของพระพรหมออกมาในเพศชาย   ในสมัยโน้น อ่านแล้วก็คงจะสง่างามกว่าบอกว่าไม่มีเพศ หรือบอกว่าเป็นเพศหญิงซึ่งสังคมอินเดียไม่ได้ยกย่องเท่าเพศชาย

ทำให้นึกเลยไปถึงชาติต่างๆของพระพุทธเจ้า   ในชาดก  ไม่ว่าเสวยพระชาติเป็นพญาลิง พญาช้าง  หรือคนในวรรณะใดก็ตาม  
ไม่เคยอ่านพบเลยว่าเคยเสวยพระชาติเป็นเพศหญิง  
ผู้ที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีได้แต่เพศชายเท่านั้น


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 19:38
 ตะกายลงมาจากขั้นปรมัตถ์ มาว่าด้วยสังคมวิทยา

ผมเห็นด้วยกับคุณครูว่า ในสายตาของพระคันถรจนาจารย์ทางพุทธหลายท่าน ดูเหมือนท่านให้ค่าหญิงไว้ต่ำกว่าชายจริงๆ ด้วยสิ เพราะดูเหมือนในความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดที่ว่านั่น (ยกเรื่องระดับปรมัตถ์ไว้ก่อน) ถ้าชายจะไปเกิดเป็นหญิง ก็ดูจะถือว่าเพราะทำกรรมไว้ จึงต้องไปเกิดในเพศที่ต่ำกว่า ส่วนหญิงถ้าจะได้มาเกิดเป็นชาย ก็ดูจะเชื่อว่าเป็นรางวัล เพราะทำดี จึงมาเกิดเป็นเพศที่สูงกว่า ผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นหลักอยู่ในพระไตรปิฎกหรือไม่ อยู่ตรงไหน แต่ว่าผมเคยได้ยินคำสอนของอาจารย์บางท่านทางพุทธท่านว่าไว้ยังงั้นแน่ๆ ครับ

ทำให้สงสัยถามต่อไปได้อีกว่า เอ้า สมมติว่าเราได้เกิดมาเป็นหญิงที่เป็นนิสัยบัณฑิต ครอบครัวดี มีความสมบูรณ์ด้านอื่นๆ เพียงแต่เป็นหญิงเท่านั้น กับให้เกิดมาเป็นทุคตะเข็ญใจ นิสัยทราม เป็นพาลชน ปัญญามืดบอดโง่ แต่เผอิญแค่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรจะถือว่าดีกว่ากัน ???????????

สัตว์นรกมีเพศไหม? ตามในรูปเขียนกะทะทองแดงต้นงิ้วมีเพศ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ไม่รู้จะมีไปทำไม เมื่อการต้องไปเกิดในนรกนั้นก็เพื่อใช้โทษบาปกรรม รับการทรมานตลอดชั่วนาตาปีทั้งชาติ ไม่มีโรมานซ์แน่ๆ  ไม่มีโอกาสได้ใช้ความเป็นเพศที่ต่างกันให้เป็นอะไรขึ้นมาได้ จะเป็นสัตว์นรกหญิงหรือชายก็แป้ะเอี้ย ผมยังคิดว่าสัตว์นรกน่าจะไม่มีเพศ

ดูเหมือนภพภูมิที่ความเป็นเพศยังจะมีความหมายอยู่ น่าจะเป็นมนุสสภูมิและดิรัจฉานภูมิ ซึ่งยังมีการสืบพันธุ์ สัตว์ในภพภูมิกึ่งๆ ทิพย์อย่างสัตว์หิมพานต์ทั้งหลาย น่าจะยังมีตัวผู้ตัวเมีย อย่างน้อยคนธรรพ์ ฤษีนักสิทธิ์วิทยาธรก็ยังกลัดมันไปปล้ำนางมัคลีผลอยู่  เทวดานั้นถึงจะมีนางฟ้าอยู่ก็จริง แต่ผมนึกภาพฉากรักติดเรทของเทวดากับนางฟ้าไม่ค่อยออก อุตส่าห์เป็นตั้งเทวบุตรเทวธิดาแล้ว ยังจะมามีสุขแบบ "บ้านๆ" เหมือนไอ้เจ้าพวกคนอีกหรือ? ส่วนพรหมก็ดูจะไม่มีเรื่องนี้แน่ๆ  

หลุดเรื่องพรหมไปซะแล้วครับ แต่เรื่องนี้สนุกดี น่าจะถกกันได้อีกกระทู้ ถ้ามหาบาเรียนทั้งหลายท่านไม่ว่า


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 04 เม.ย. 06, 19:39
 อ้าว  เพิ่งเห็น คห. 42 ของคุณครูเทาชมพูครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 06 เม.ย. 06, 21:51
 ผมไม่เคยได้ยินพระท่านสอนว่าผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชายนะครับ แต่อาจจะเป็นเพราะผมเองก็ไม่ได้เข้าวัดเข้าวาเท่าไหร่    ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้คือได้ฟังจากพี่คนนึงที่ธรรมะธรรมโมหน่อย ที่น่าแปลกใจคือพี่คนนี้เป็นผู้หญิง ปกติแล้วเรียกได้ว่า้เป็นเฟมินิสต์เลยล่ะครับ แต่กลับยอมรับคำสอนนี้    ตัวผมเองเป็นผู้ชายยังไม่เชื่อเลยครับ

เรื่องพรหมเป็นชายนี่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องคล้ายๆกันในศาสนาคริสต์ว่า Is God Male? ถ้านึกถึงพระเจ้า คนส่วนมากคงนึกถึงภาพชายแก่ผมขาวเคราขาวใส่ผ้าคลุมกายสีแดงเหมือนที่ไมเคิลแองเจโลวาดไว้มั้งครับ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 06 เม.ย. 06, 23:42
 ที่จริงเกิดมาเป็นหญิงก็ดูจะหนักจะเหนื่อยกว่าชายเยอะนะครับ
โดยเฉพาะเกิดเป็นคน หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย ท่าทางจะมากกว่าชายอยู่หลายเท่า



วกกลับเข้าเรื่องเทพดีกว่าครับ
ผมเข้าใจว่าพระเจ้าในศาสนาคริสต์ไม่มีเพศซะอีกแหนะครับ คุณHotChoc เหมือนที่ในบัญญัติ 10 ประการในพระคัมภีร์เก่าห้ามทำรูปเคารพน่ะครับ

แต่ที่มิคลันเจโลจำเป็นต้องวาดภาพชายชราหนวดขาว (หน้าตาพอจะอนุมานได้ซะว่าเป็นพ่อพระเยซู - ตอนแก่) เอาไว้
เพื่อแสดงว่ามี "พระเจ้า" อยู่ในภาพเขียนด้วยมากกว่ามั้งครับ

ลองคิดดูดีๆสิครับ ว่าถ้าภาพนั้นไม่มีภาพชายชราอยู่
แล้วมิคลันเจโล มาอ้างเหตุผลอธิบายภาพเขาว่า "เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน" ความขลังของจิตรกรรมจะลดลงไปมากขนาดไหน

แต่นี่ พอคุณเงยหน้าขึ้นไปบนเพดาน ในทุกห้องภาพมีชายชราหนวดขาว (หน้าตาเป็นพ่อพระเยซู) ติดตามคุณอยู่ตลอด...
ทุกคนทราบได้ทันทีนะครับ ว่าพระเจ้ากำลังติดตามดูคนของท่านอยู่ตลอดนะครับ อิอิ

ที่จริงจะว่าไป ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่จิตรกรรมไทย เล่าเรื่องชาดก "แขก" แต่จับตัวละครทั้งหลายมา มีหน้าตาหรือเครื่องทรงเป็น "ไทย" นะครับ
พอย้ายไปอยู่ล้านนาก็หน้ากลมเป็นล้านนา แต่งพม่าบ้าง ยวนบ้าง ลื้อบ้าง ตามที่ผู้วาดคุ้นเคย
จนกลายเป็นว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่าเนื้อเรื่องของภาพวาดพวกนี้ คือวิถีชีวิตในสมัยที่ภาพถูกเขียนขึ้น ซึ่งผู้วาดแทรกเอาไว้ในภาพไงครับ



อ่า.... เบี่ยงเบนประเด็นไปมากแล้วนะครับเนี่ยะ กลับไปเป็นผู้อ่านเหมือนเดิมดีกว่าแฮะ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 08 เม.ย. 06, 20:20
 ถ้าจะว่ากันตามหลักแล้วพระเจ้าก็ไม่มีเพศล่ะครับ ไม่มีรูปด้วยซ้ำไป (เป็น spirit) อาจจะคล้ายๆอรูปพรหมก็ได้ แต่ในไบเบิลจะใช้สรรพนามเรียกว่า He, Him เสมอ ก็อาจอลุ้มอล่วยให้ได้ว่าเพราะผู้ชายเขียน ทีนี้ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้ามีใครเรียกพระเจ้าด้วยสรรพนาม She/Her บ้างทางชาวคริสต์จะรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือเปล่า

ทางอิสลามนั้นไม่มีการวาดภาพคนเลยนะครับเพราะถือว่าเป็นรูปเคารพ เขาตบแต่งอาคารด้วยรูปเรขาคณิตกับอักษรอารบิกเท่านั้น ทางคริสต์ตีความอีกอย่างมั้งครับเพราะมีทั้งภาพวาด ทั้งรูปสัญลักษณ์ (ไม้กางเขน ทางคาธอลิกจะมีรูปพระเยซูถูกตรึงอยู่ด้วย) รูปเคารพ (icon) ส่วนสิ่งที่บัญญัติ 10 ประการห้ามคือ idol ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าต่างกับที่กล่าวๆมายังไง


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 เม.ย. 06, 20:38
 ดิฉันน่ะเข้าใจที่คุณ HOtChoc อธิบายและเห็นด้วย  แต่ก็เห็นว่าการกำหนดให้คริสตศาสนิกชนเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเพศชาย มีมานานหลายร้อยปีแล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆ
Holy Trinity หรือพระตรีเอกานุภาพของคาทอลิค   ประกอบด้วย The Father , the Son and the Holy Ghost  ที่ไทยเรียกว่า พระบิดา พระบุตร และพระจิต
The Father ไม่ใช่ The Parent หรือ The Guardian ที่ไม่ระบุเพศ


สิ่งที่บัญญัติ ๑๐ ประการห้ามคือรูปเคารพที่เป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของเทพเจ้าหรือศาสดาในศาสนาอื่นค่ะ


กระทู้: ถึงคุณนิลกังขา กับ ทีมงานวิชาการ
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 09 เม.ย. 06, 12:53
 พอคุณเทาชมพูพูดขึ้นมาผมก็นึกได้นะครับว่า God ภาค The Father ก็ต้องเป็นผู้ชายแน่นอน ถ้าเป็น The Mother ก็ต้องเป็น Mary, Mother of God ซึ่งทางคาธอลิกนับถือกันมาก แต่ก็ไม่ใช่พระภาคนึงของพระเจ้า สงสัยเรื่อง God เป็นอรูปนี่อาจจะเป็นการคิดขึ้นภายหลังหรือตีความใหม่ก็เป็นได้