NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 135 เมื่อ 05 พ.ย. 16, 09:47
|
|
วิธีการของท่านเจ้าคุณสาที่แม่นำมาปฏิบัติที่โรงเรียนสวนเด็กก็คือ เมื่อพักหลังอาหารกลางวันก่อนจะถึงเวลาการเรียนคาบบ่าย โรงเรียนจะจัดให้เด็กระดับประถมเข้านั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องประชุม แล้วจึงเปิดวิทยุ (ซึ่งภายหลังการออกอากาศแล้ว ได้เปลี่ยนเป็นเปิดเทปบันทึกเสียง) เด็กจะถูกฝึกให้นั่งในท่าทำสมาธิ หลับตาและตั้งใจฟัง “นิทาน” พระพุทธประวัติที่แม่บันทึกเสียงด้วยตนเองอย่างนุ่มนวล เคล้าคลอด้วยเสียงระนาดฝีมือ ครูเมธา หมู่เย็น ผู้มีฉายาว่าเพชรน้ำเอกแห่งวงการดนตรีไทย กับเสียงสบายหูของศิลปินนักร้องของกรมศิลปากรที่ผลัดเวียนกันมา เด็กจึงนั่งนิ่งเงียบฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่เป็นเวลา ๑๐ นาที ซึ่งนานเท่าที่เด็กประถมจะดำรงสมาธิอยู่ได้
วิธีการนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการเริ่มต้นฝึกเด็กให้มีสมาธิ การหลับตานั่งแล้วตั้งจิตตั้งใจติดตามเสียง และสาระของ “นิทาน” ที่เด็กชอบและยอมรับปฏิบัติ จะได้สมถกรรมฐานอันมีพลังอานิสงส์แก่เด็กเองสำหรับกระทำอานาปานสติในกาลข้างหน้า ซึ่งการเล่านิทานผ่านสื่ออื่นเช่นโทรทัศน์ไม่สามารถสร้างสมาธิที่สงบแน่วแน่ ดังเช่นวิธีที่ใช้เสียงรับอารมณ์เพียงอย่างเดียวได้ ดังนั้น หลังจากปฏิบัติเช่นนี้ได้ระยะหนึ่งจึงมีผู้ปกครองหลายรายได้มาคุยกับแม่อย่างปลาบปลื้ม เมื่อสังเกตเห็นลูกนั่งทำสมาธิเองที่บ้านบ้าง ขณะรถติดบ้าง โดยทึ่งว่าโรงเรียนใช้วิธีการฝึกสอนอย่างไร นักเรียนเก่าสวนเด็กหลายคนกล่าวกับผมว่า ทุกวันนี้ยังได้ปฏิบัติอยู่ ต่อยอดจากกรรมฐานที่อาจารย์คุณหญิงได้เริ่มต้นปลูกฝังไว้
รายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็กประสบความสำเร็จมาก ออกอากาศติดต่อกันถึงสองปีจึงหมดชุด และสถานีวิทยุ อ.ส. ได้ออกอากาศรายการของแม่ซ้ำอยู่ร่วมสามสิบกว่าปีติดต่อกัน ผลงานของแม่นี้ถือเป็นชิ้นเอกที่ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระราชทานตราจุลจอมเกล้าฯฝ่ายแก่แม่ ทำให้แม่มีคำนำหน้านามเป็นคุณหญิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 136 เมื่อ 05 พ.ย. 16, 09:50
|
|
ต่อมาวันหนึ่งแม่บอกผมว่าแม่ปรารภกับคุณขวัญแก้ว อยากจะทูลเกล้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งคุณขวัญแก้วจะจัดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างที่เสด็จมาทรงดนตรีนี่แหละ เพราะเป็นวันที่ทรงสบายพระอารมณ์ จึงชวนให้ผมกับลูกสะใภ้ไปร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
แล้ววันนั้น เป็นวันที่ผมได้ประจักษ์อีกภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 137 เมื่อ 06 พ.ย. 16, 09:14
|
|
ในห้องที่จะทรงดนตรีออกอากาศของสถานีนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องแล้ว ก็มีเราสามคนและคณะบุคคลอื่นเล็กๆ ที่มาขอเข้าเฝ้าถวายเงินเพื่อร่วมพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยเช่นกัน แต่รวมแล้วก็ไม่กี่คน นั่งรอไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก พระพุทธเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์เสื้อไหมไทยสีน้ำตาลอ่อนเสด็จเข้ามาประทับบนพระเก้าอี้ เมื่อทรงพร้อมแล้วผมก็นำสิ่งที่เตรียมมาขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในนามของแม่ เสร็จแล้วจึงตามด้วยคณะอื่นๆ ไม่กี่นาทีก็หมดคิว
พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงยืดพระองค์ขึ้นพิงพนักพระเก้าอี้ตามสบาย ทรงยิ้มนิดๆและกวาดสายพระเนตรมองเราก่อนจะมาหยุดที่ผม ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่แถวหน้าริมสุด ทรงกล่าวพระราชทานพรทุกคน แต่พรของพระองค์นั้น เป็นธรรมะเนื้อๆ เช่นเดียวกับที่พระสงฆ์ระดับครูบาอาจารย์เทศนาให้สานุศิษย์สดับ
ในสภาพจิตใจที่ตื่นเต้นขนาดหนักในช่วงนาทีเหล่านั้น ผมเชื่อว่าไม่มีใครจะจำสิ่งที่พระองค์ตรัสได้ทุกประโยค สำหรับผมก็เพียงแต่ปล่อยให้พระราชกระแสนั้น ไหลลื่นผ่านอายตนะตาหูลง เข้าไปสู่ใจ สิ่งที่เข้าใจในครั้งนั้น คือทรงกล่าวถึงหลักของคุณธรรม เริ่มด้วยการคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ก่อนจะพูดจะทำสิ่งไร จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อน เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งมั่น
มีท่อนนี้ที่จำได้แม่นยำ ทรงกล่าวว่า “ ให้สติเป็นเสมือนยามเฝ้าประตู คอยดูว่า มีความชั่วร้ายตัวใดพยายามจะผ่านมาสู่จิตใจของเราบ้าง หากสติเห็นแล้วเราก็หยุดมันเสียที่หน้าประตู กิเลศมันก็เข้ามาครอบงำจิตใจของเราไม่ได้ เราก็จะไม่ทำสิ่งผิดเป็นการก่อกรรมใดๆ” ทรงกล่าวต่อว่า เมื่อฝึกหัดการมีสติจนคุ้นเคยชำนาญแล้ว จะกระทำได้คล่องแคล่ว ช่วยให้สามารถแสดงความรู้ ความคิด และกระทำการต่างๆไม่ผิดทั้งหลักวิชาทั้งหลักคุณธรรม
ในสภาพการณ์จริงของวันนั้น พระธรรมเทศนาทั้งกัณฑ์ที่ทรงแสดงนานมากกว่าเนื้อความข้างบนมาก ผมนั่งจ้องพระองค์ตาแทบจะไม่กระพริบ พอสายพระเนตรทอดมาที่ผมทีไร ผมก็ค้อมศีรษะยกมือที่พนมอยู่ขึ้นไปจรดหน้าผาก แล้วขานรับว่า “พระพุทธเจ้าค่ะ”ค่อยๆเพียงให้ถึงพระกรรณ เลยทรงมองผมบ่อย จนสุดท้ายก็เหมือนดังว่าทรงเทศนาโปรดผมคนเดียว คนอื่นเพียงแต่ร่วมฟังอยู่ อันนี้ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตนเอง เพราะเมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้วหลายคนมาเอ่ยกับผมเช่นนั้น
สติของผม ที่พระองค์ท่านพระราชทานคำสอนให้เริ่มปลูกในวันนั้น บัดนี้ยังคงมั่นคงในจิตใจ และได้รับการฝึกฝนต่อทุกวันทุกคืนให้มันเกิดรวดเร็วขึ้นในการตรวจจับกิเลศ เวลานี้ไอ้ตัวโลภะโทษะหยาบๆ คิดว่าไม่มีทางผ่านเข้ามาครอบงำจิตของผมแล้ว แต่ตัวโมหะและโลภะโทษะที่ละเอียดๆยังหลุดเข้ามาได้อยู่เป็นพักๆ ก่อนที่สติจะตรวจพบแล้วนำออกไป แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตามที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 138 เมื่อ 06 พ.ย. 16, 10:05
|
|
ครูบาอาจารย์ต่อยอดให้ผมว่า สตินั้น ต้องฝึกให้เกิดขึ้น ไม่ใช่บังคับให้เกิด เพราะสติเป็นอนัตตา แปลว่าบังคับไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามเหตุ โดยเหตุใกล้ของสติคือ ถิรสัญญา คือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น
“ถิร” หรือ เสถียร แปลว่ามั่นคงแน่วแน่ รู้อย่างถิรสัญญาหมายถึงว่า รู้อยู่ถี่ๆ รู้อยู่บ่อยๆ รู้จนจิตจำสภาวะได้แม่น เช่นจำได้ว่าโลภเป็นยังไง โกรธเป็นไง หลงเป็นไง ดังนั้น ยกตัวอย่างตัวหยาบที่สุด เช่นต่อมาพอความโกรธเกิด จิตจำความโกรธได้แม่น ถิรสัญญาจะทำให้สติเกิดขึ้นเองว่าความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เราก็จะไม่ปล่อยให้ตัวตนไปก่อกรรมอันเนื่องมาจากความโกรธนั้นๆต่อ ดังนั้นหน้าที่ของผู้ฝึกตนเองให้มีสติก็คือ หัดรู้สภาวธรรมให้มาก เช่น จิตใจในนาทีนี้ เราเกิดรักเกิดเกลียด ชอบไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ โกรธไม่โกรธ พอใจไม่พอใจ ฯลฯ ฯลฯ ให้รู้สึกตัว ถิรสัญญาที่สะสมมากเข้าๆจนวันหนึ่งจะเกิดสติอัตโนมัติเร็วขึ้นๆ เห็นสภาวธรรมดังกล่าวทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลว่องไวละเอียดขึ้นๆ
ผู้ปฏิบัติได้ดังนี้ พอถึงระดับหนึ่ง จะก้าวเข้าสู่ธรรมะขั้นโลกุตตระต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
walai
มัจฉานุ
ตอบ: 64
|
ความคิดเห็นที่ 139 เมื่อ 06 พ.ย. 16, 10:16
|
|
......สาธุ.......ติดตามมาตลอด ชอบมากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 140 เมื่อ 06 พ.ย. 16, 10:23
|
|
ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ผู้ล่วงลับ เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเล่าว่า
"ผมเคยนั่งอยู่หลังในหลวงมาเป็นเวลา ๕ ปี ในหลวงเนี่ยมาพระราชทานปริญญา ในหลวงเนี่ยมาแจกรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ ผมเคยเฝ้าแหนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ผมเห็นว่าพระองค์เป็นคนเดียวเท่านั้นที่นั่งนิ่งอยู่ ๓ ชั่วโมง ไม่เคยกระดิกกระเดี้ยเนื้อตัวเลย เหมือนสุวรรณประติมาตั้งอยู่บนเรือทอง นิ่งสง่างาม ท่านจะไม่หลุกหลิก จะไม่ก้มลงไปกินน้ำ คุยกับข้าราชบริภาร ท่านจะนั่งนิ่งสง่างามอยู่อย่างนั้น ๓ ชั่วโมงถึงจะลุกไป
อันนั้นทำให้ผมเรียนรู้ว่า ขันติคืออะไร ขันติคือความอดทน ขณะเดียวกันผมรู้ว่าเสงี่ยมงามหรือโสรัจจะนั้นคืออะไร ไม่ใช่ขันติ นั่งหน้าบึ้ง แต่ขันติ นั่งอดทน เสงี่ยมงาม คือมีทั้งขันติ และมีทั้งโสรัจจะ มีทั้งหิริมีทั้งโอตัปปะ คือมองเห็นความสง่างามในองค์มหาราช ซึ่งไม่ไหวหวั่น รู้ว่านั่ง นอน ยืน เดิน หายใจเข้าหายใจออก นั่นคือเริ่มต้นของสิ่งที่เราเรียกว่า กายานุปสสนาสติปฏฐาน เมื่อรู้กายานุปสสนาสติปฏฐาน รู้ว่านั่ง นอน ยืนเดิน หายใจ เมื่อนั้นจึงรู้ว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้นเป็นอย่างไร และจากเวทนาจะขึ้นสู่จิตตานุปัสนาสติปัฏฐานขึ้นไปสู่ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน เรียกว่ามหาสติปัฏฐานสี่ ซึ่งองค์มหาราชท่านมีมหาสติปัฏฐานสี่ครบถ้วนบริบูรณ์"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 141 เมื่อ 06 พ.ย. 16, 10:26
|
|
บุญญาธิการระดับพระโพธิสัตว์นั้น ผมได้เล่าไปบ้างแล้วในตอนต้นๆ แต่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดต่อหน้าต่อตาตนนั้น ผมกำลังจะเล่าในลำดับต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Onsiri C.
อสุรผัด
ตอบ: 8
|
ความคิดเห็นที่ 142 เมื่อ 07 พ.ย. 16, 14:37
|
|
ไม่ทราบว่าจะเป็นการสมควรหรือไม่คะถ้าจะกราบขออนุญาตอ.นวรัตน น้อมนำพระบรมราโชวาทเรื่องสติ ที่พระองค์ท่านได้ให้อาจารย์ไว้ ไปเผยแพร่ให้ลูกศิษย์ได้รับทราบ เพราะช่างเหมาะเจาะกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้เหลือเกินค่ะ (มินิสีเหลือง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อ 07 พ.ย. 16, 16:46
|
|
ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ธรรมะของพระพุทธองค์ที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลพระราชทานให้ผมก็ในฐานะที่ผมเป็นราษฎรภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งคนไทยทุกคนเป็นเช่นผมมิได้มากน้อยกว่ากัน ใครจะน้อมนำไปใช้ในการดำรงชีวิตก็ย่อมเป็นประโยชน์สุขของบุคคลผู้นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Onsiri C.
อสุรผัด
ตอบ: 8
|
ความคิดเห็นที่ 144 เมื่อ 07 พ.ย. 16, 22:44
|
|
ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
Everywhere I look, I see His Grace
_/\_
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธสาคร
|
ความคิดเห็นที่ 145 เมื่อ 08 พ.ย. 16, 00:24
|
|
ผมสนใจใคร่ลองฟัง รายการบริหารทางจิตสำหรับเด็กเล็ก (พุทธประวัติ) หากเคยบันทึกไว้ในสื่ออินทรเนตร รบกวนคุณ navarat ช่วยชี้ช่องให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 146 เมื่อ 08 พ.ย. 16, 09:00
|
|
ผมขอผลัดเรื่องข้างบนออกไปก่อนนะครับ บัดนี้จะของเล่าถึงบุญญาภินิหารอันได้แจ้งประจักษ์ ซึ่งเกิดในปีที่บ้านเมืองมีงานฉลองกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ด้วยกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม เมื่อวันที่ ๗ พ.ย. ๒๕๓๗ โดยจะทรงประทับเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งกองทัพเรือสร้างถวายเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้
ผมไปรอดูขบวนเสด็จอยู่บนตึกสูงริมแม่น้ำ ทิวทัศน์ในห้องนั้น ด้านหนึ่งสามารถมองย้อนขึ้นเหนือ เห็นท่าวาสึกรีอยู่ลิบๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งเห็นสะพานพระปิ่นเกล้าอยู่เบื้องล่าง ไกลออกไปตามสายแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นพระปรางค์วัดอรุณอย่างชัดเจน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 147 เมื่อ 08 พ.ย. 16, 09:01
|
|
ถาพนี้ถ่ายในขณะมีการซ้อมใหญ่ครับ จึงออกไปยืนถ่ายภาพบนระเบียงได้ แต่วันจริงนั้น ทางราชการได้ขอความร่วมมือมาให้อยู่แต่ให้ห้อง ห้ามออกไปยืนนอกระเบียงเป็นอันขาด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 148 เมื่อ 08 พ.ย. 16, 09:11
|
|
ครั้นถึงวันเสด็จพระราชดำเนิน บรรยากาศช่วงฝนทิ้งฤดูก็เหมือนกับที่เวียนมาบรรจบในวันที่เขียนกระทู้นี้แหละครับ ก่อนเวลาที่จะเสด็จเล็กน้อย พายุฝนที่ตั้งเค้าดำทมึนก็แสดงท่าทีว่าจะอั้นไม่อยู่แน่ ผมเริ่มภาวนา ไม่อยากให้ฝนมาทำเสียพระราชพิธีเลย พอเริ่มตกโปรยปรายแถวท่าเตียน ลมกระโชกแรงมาทางที่ผมเฝ้าดูอยู่ก็เรื่มใจระทึก นึกถึงพระบุญญาธิการที่เทวดาจะหยุดฟ้าห้ามฝนมิให้ต้องพระองค์ แต่คราวนี้ชักจะไม่ไว้ใจเทวดาเอาเสียเลย พอสายฝนโปรยมาถึงสะพานพระปิ่นเกล้า ผมซึ่งขณะนั้นก็ดูถ่ายทอดสดทางทีวีอยู่ในห้องไปด้วย เห็นที่ท่าวาสุกรีแดดยังแจ่มอยู่ พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงตรงเวลาแล้วลงสู่เรือพระที่นั่ง พอประทับเรียบร้อยเรือพระที่นั่งออกมาตั้งลำกลางแม่น้ำได้เท่านั้น ทั้งพายุทั้งฝนก็โหมกระหน่ำแบบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ภาพในทีวีและเสียงพากษ์หากท่านผู้ใดดูอยู่ คงจำได้ว่าทำให้เกิดอาการระทึกหัวใจเพียงไร แต่คงจะไม่เท่ากับการได้เห็นภาพจริงๆดังเช่นที่ผมมองจากที่สูง
ในม่านฝนนั้น ผมเห็นขบวนเรือพระราชพิธีโดนพายุกระหน่ำเสียแทบไม่เป็นกระบวน โดยเฉพาะลำเล็กลำน้อยทั้งหลาย ที่ฝีพายต้องแบ่งกันคอยวิดน้ำออกจากเรือด้วย ในทีวีภาพเช่นนี้ต้องถูกตัดออกไปอยู่แล้ว คนที่ดูอยู่ทางบ้านก็คงไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น สาหัสสากรรจ์เพียงใด ที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดคือตอนที่เรือพระที่นั่งอยูกลางคุ้งแถวถนนพระอาทิตย์ จะต้องลอดสพานพระปิ่นเกล้า ทั้งเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ เรืออนันตนาคราช และเรือสุพรรณหงส์ ยังคงรำพายท่าหงส์ร่อนอยู่เฉิบๆ ซวนเซเป๋ไปตามแรงพายุ หัวเรือเฉียงแนวน้ำไหลอยู่กลางแม่น้ำ น่าประหวั่นว่าจะไม่พ้นตอม่อเสาสะพานไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อเห็นท่าจะไม่ดี เรือดิงกี้(เรือยางที่ติดเครื่องท้าย)ของทหารเรือที่ตั้งกองระวังเหตุอยู่ใต้สะพานทางฝั่งพระนครก็ปราดออกไป ช่วยกันดันคัดท้ายเรือให้เข้าแนวน้ำ และประกบเรือพระที่นั่งจนพ้นสะพานได้อย่างปลอดภัย
ช่วงนี้ผมพยายามถ่ายรูปไว้เหมือนกัน แต่ใช่ไม่ได้เลยเพราะฝนหนาแน่นมาก และผมต้องถ่ายผ่านหน้าต่างกระจกที่ปิดฟิมล์กรองแสงด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 149 เมื่อ 08 พ.ย. 16, 09:14
|
|
ที่ยังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งอยู่ก็คือเรือสุพรรณหงส์ ซึ่งวันนั้นถูกลดตำแหน่งหน้าที่เป็นแค่เรือพระที่นั่งสำรอง เหลือเป็นเรือใหญ่ลำเดียวที่ห้อยท้ายขบวนเรือพระที่นั่ง ไหลล่องลงมาผิดแนวน้ำที่เชี่ยวกรากมาก ไม่มีเรือดิงกี้เหลือมาดูแลเลย แต่ฝีพายก็ยังทำเหมือนใจเย็น ใช้จังหวะพายแบบคลาสสิกไปเรื่อยๆในท่ารำเฉิบ ……เฉิบ……เฉิบ ในท่ามกลางพายุฝนแบบทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้เรือไหลตามกระแสแบบขวางลำเข้าหาสะพาน ผมอยู่ที่สูงคาดเดาได้ชัดเจนว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลั้นลมหายใจ มโนภาพว่าถ้าเรือสุพรรณหงส์ไปติดตอม่อสะพานแบบขวางลำแล้วค้างอยู่ตรงนั้น น้ำต้องทะลักเข้าเรือแน่นอน ต่อจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นไม่กล้าที่จะคิดแล้ว
เรือดิงกี้ที่ประจำตีนสะพานฝั่งธนบุรียังเหลืออยู่ลำหนึ่ง แต่กว่าจะคิดกว่าจะทำก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะออกเรือมาถึงเรือสุพรรณหงส์ก็กระแทกกราบเรือเข้ากับมุมต่อม่ออย่างจังจนเรือตะแคงวูบ แต่โชคดีได้ดิงกี้ลำนั้นมาช่วยดันให้หลุดไปได้ ผมเห็นเหตุการณ์นี้ตลอดทุกวินาทีจนแทบจะสิ้นประดาตาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|