เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: นิลกังขา ที่ 12 ม.ค. 01, 09:36



กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 12 ม.ค. 01, 09:36
ผมรู้สึกว่า พักหลังๆ นี้ มีกระทู้ของผู้หลงใหลในเสน่ห์ตัวอักษรหลายกระทู้

ผมอยากให้คุณโสกัน ป้านวล และใครต่อใครอื่นๆ พาผมเที่ยวเมืองอังกฤษในนิยาย คือไปดูสถานที่ที่ทึกทักว่ามีความเกี่ยวพันกับตัวละคร ที่ว่าไปแล้วก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงแท้ๆ  แต่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา จนคนอ่านเคลิ้มไปตาม

ทั้งตรอกต้นเชอร์รี่ของแมรีป๊อปปิ้นส์ ร้านขายของเก่าของชาร์ลส์ ดิกเก้นส์ บ้านเลขที่ 221 บี เบเกอร์สตรีทของโฮล์มส ชานชาลาที่ 9 3/4 ของแฮรี่ พอตเตอร์ สโมสรปฏิรูปของ ฟิเลียส ฟอกก์ บ้านของศาสตราจารย์ เฮนรี่ ฮิกกินส์...
มันเป็นความหลงใหลที่เฉียดเข้าขั้นเพี้ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเป็นความเพี้ยนที่ไม่มีพิษภัย และสร้างเสริมจินตนาการด้วย

ผมอยากให้เด็กไทยสมัยนี้หลงใหลตัวละครในวรรณกรรมที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างบรรจง (ถ้าหลงในตัวละครที่สร้างขึ้นมาห่วยๆ ก็แย่หน่อย) ในเมืองไทยหรือเมืองนอกก็ได้ แต่ในเมืองไทยก็น่าจะดี แฟนพันธุ์แท้กลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบ พล นิกร กิมหงวน เหลือเกิน เคยลงทุนทำแผนที่บ้านพัชราภรณ์ บ้านการุณวงศ์ บ้านสี่สหาย ฯลฯ แต่นอกจากนั้น ผมยังนึกไม่ออกว่ามีแฟนหนังสือไทย "คลั่ง" ตัวละครในนิยายอื่น ถึงขนาดนั้นอีกหรือไม่

จะแปลในทางดีก็คงได้ว่า นักอ่านบ้านเราแยกความจริงกับความคิดฝัน (ประโลมโลก) ออก มากกว่าฝรั่ง ละมั้งครับ แต่ความจริงกับความฝันแยกกันได้จริงๆ หรือ?

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวละครในนิยายหลุดออกมาในโลกของความจริง? ... (เช่นในเรื่อง "ปลายเทียน" - หรือเรื่องอื่นๆ ของฝรั่งก็มี)

ประเด็นนั้นยกไว้ พลังอำนาจของภาษาอีกด้านหนึ่ง ที่สร้างภาพให้เกิดขึ้นในใจคนและนำไปสู่การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโลกจริงๆ ปรากฏในทางการเมืองด้วย ผมไม่ได้ไปที่บริติช มิวเซียม คราวนี้ เพราะเขาปิด แต่ถ้าได้ไปก็อาจจะได้ไปนึกเห็นภาพคาร์ล มารกซ์ อ่านหนังสืออยู่ที่มุมประจำของแกในห้องสมุด (เก่า) บริติชมิวเซียม
ภาพฝันในอุดมการณ์ของมาร์กซ์ ที่เขียนที้งไว้ มีผลสะเทือนโลกต่อมานานหลังแกตาย
ที่ห้องประชุม ครม. ใต้ดินสมัยสงครามโลกครั้งที่สองของเชอร์ชิล ผมได้เห็นหลักฐานของพลังอำนาจของภาษาอีกครั้งหนึ่ง (ถ้าผมได้มีโอกาสไปเบอร์ลินก็อาจจะได้เห็นพลานุภาพของภาษาอีกด้าน- ถ้าเขายังเก็บงานโฆษณาชวนเชื่อของเกิบเบิลส์ไว้ในพิพิธภัณฑ์) ประธานาธิบดีเคนเนดี้เป็นผู้ยกย่องเชอร์ชิลไว้ (หลังสงคราม) ว่าเชอร์ชิลเป็นผู้ที่สามารถใช้อำนาจของภาษามารับใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตยเสรีนิยมได้เป็นอย่างดี ในการต่อสู้กับลัทธินาซี และความจริงก็เป็นเช่นนั้น คำปราศรัยของเชอร์ชิลหลายชิ้น เป็นงานที่เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นคำปราศรัยที่บ่งเจตนารมณ์อันแน่วแน่ว่า อังกฤษจะสู้ทุกหนทุกแห่ง บนชายหาด ในป่า ในเมือง จะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด หรือคำกล่าวสดุดีกองทัพอากาศที่ว่า ไม่มีครั้งใดเลยที่คนจำนวนมากขนาดนี้ คือประชาชนอังกฤษทั้งหมด เป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงขนาดนี้ต่อคนจำนวนน้อยเช่นนี้ คือนักบินผู้กล้าหาญทั้งหลาย และยังมีคำปลุกเร้าใจให้ประชาชนอังกฤษและพันธมิตรร่วมมือร่วมใจกัน และเชื่อมั่นในเสรีภาพของมนุษย์ ที่จะกลับคืนมาหลังการต่อสู้อันยาวนานได้ผ่านพ้นไป และในที่สุดเผด็จการจะต้องพ่ายแพ้ ... อีกมากมายหลายชิ้น
ผมเกือบจะหลงใหลได้ปลื้มไปกับมนต์ขลังของอำนาจแห่งภาษาของเชอร์ชิล จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ถึงถ้อยคำสั้นๆ ในโทรเลขฉบับหนึ่ง ในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่ไม่ค่อยมีคนสนใจนัก เป็นโทรเลขจากรัฐบาลอังกฤษถึงรัฐบาลประเทศเล็กๆ ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ว่า (ทำนองคล้ายๆ ยังงี้ครับ - จำไม่ได้แม่น) Defend yourself sorry we cannot help you.
ก็แน่ละสิ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไกลจากหัวใจอังกฤษเหลือเกินนี่-
แล้วถ้าผมจำประวัติศาสตร์ไม่ผิด เชอร์ชิลในฐานะผู้แทนราษฎรพรรคอนุรักษ์นิยม ไม่เห็นด้วยเลยในการที่จักรวรรดิบริติชจะปล่อยให้ชมพูทวีปเป็นอิสรภาพ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าท่านมหาตมะคานธีมาเดินดูนิทรรศการอยู่กับผมด้วยกัน ท่านจะว่าอย่างไรเมื่อได้ยินเชอร์ชิลพูดถึงเสรีภาพของมวลมนุษย์ เสรี แปลว่า เป็นอิสระจากลัทธินาซี แต่ถ้าตกอยู่ภายใต้แอกอาณานิคมของอังกฤษเองก็ไม่เป็นไร ????
มหาตมะคานธีท่านคงไม่คิดเหมือนผมหรอก อย่างมากท่านก็คงจะยิ้มเย็นๆ ตามแบบของท่านเท่านั้น...
แต่วูบหนึ่ง ผมก็เผลอหลงนึกว่าเชอร์ชิลเป็นวีรบุรุษผู้บูชาเสรีภาพไปแล้วจริงๆ ตามที่ถ้อยคำที่ล้อมตัวผมสร้างภาพไปทางนั้น ผมต้องบอกตัวเองว่า ผมไม่ปฏิเสธ ว่าเชอร์ชิลเป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ และใช้ถ้อยคำได้เก่งจริงๆ...
ไม่เกี่ยวกับเรือนไทยเท่าไหร่เลยครับ เพียงแต่อยากเล่า...


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 07:03
กลับมาเรื่องของคนรักนิยายต่อ
อาจจะเป็นได้ว่า คนไทยแยกเรื่องนิยายได้จากเรื่องจริง จริงๆ จึงไม่ถึงกับ "อิน"  มากขนาดเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า ตัวละครตัวนี้อยู่บ้านเลขนี้อย่างฝรั่ง แต่นึกอีกที เวลาคนไทย "อิน" กับนิยายก็มีวิธี "อิน" ของเราเองที่ไม่เหมือนฝรั่ง "อิน" เช่น แฟนที่ติดนิยายสี่แผ่นดินงอมแงมส่งมะม่วงเปรี้ยวมาให้แม่พลอยที่โรงพิมพ์สยามรัฐ เมื่ออ่านพบว่าแม่พลอยแพ้ท้องเป็นต้น
ดังนั้นคงเป็นไปได้ว่า นักอ่านไทย (ยกเว้นกรณีแฟนพลนิกรกิมหงวนที่เขียนแผนที่บ้านตัวละคร) อาจจะไม่ถึงกับลุกขึ้นมาเดินหาบ้านเลขที่ 221 บี ไปตามถนนเบเกอร์ก็จริง แต่ก็สามารถจะ "อิน" กับเรื่องไทยๆ ได้เท่าๆ กัน ในวิธีที่แตกต่างจากนักอ่านฝรั่งกับเรื่องฝรั่ง
ยาขอบเคยเล่าว่า ตอนที่ท่านจะแต่งเรื่องผู้ชนะสิบทิศตอนจะเด็ดสยุมพรกับกุสุมา ผู้อ่านแฟนตะละแม่จันทราเคยโวยวายจนกระทั่งท่านต้องแก้พล็อตย่อยบางจุด หาทางออกให้ทั้งจันทราและกุสุมาสามารถรับซึ่งกันและกันได้ โดยแต่งเรื่องแทรกให้กุสุมายอมลงให้จันทรา ตามความต้องการของผู้อ่าน
คนอ่านฝรั่งเองก็เคยโวยวายเอากับเซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ตอนที่เซอร์อาเธอร์เบื่อเชอร์ล็อก โฮลมส์เต็มทนจนแต่งให้โฮล์มสตกหน้าผาน้ำตกไรเค่นบัค (มีจริง อยู่ในสวิสนี่เองครับ ผมว่าจะไปเที่ยวสักที) ตายไปพร้อมกับผู้ร้ายตัวฉกาจคือ ศ. มอริอาร์ตี้ แต่แล้วโฮล์มสก็ไม่สามารถตายไปได้จนแล้วจนรอด เพราะคนอ่านไม่ยอม ต้องคืนชีพมาจนได้  
อาจจะเป็นได้อีกอย่างด้วย ว่า นิยายบางส่วนของไทยไม่ได้ให้รายละเอียดมากพอที่จะนึกตามไปได้ในโลกจริงๆ คือเป็นนิยายที่ดี สมจริง คนอ่านชอบ หลงใหล แต่ไม่ได้บอก (ซึ่งที่จริง ในการเป็นนิยายที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องบอก) ว่าพระเอกอยู่บ้านเลขที่นี้ ถนนนี้... เหตุการณ์ในเรื่องอาจเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง ในกรุงเทพฯ... ในเมืองไทย .. หรือบางที ในเมืองสมมติไปเลย
แต่ถึงจะมีนิยายไทยหลายเรื่องที่ระบุรายละเอียดชัดเจนลงไปถึงขนาดนั้นจริงๆ ผมก้ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า คนไทยสนใจ ผมยังคิดว่าเรา "อิน" คนละอย่างกับฝรั่ง ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน
ผมเองอยากมีรายการทัวร์แฟนนิยายบางเรื่อง ที่ระบุสถานที่ได้จริงๆ นะครับ ไม่ทราบว่ามีทัวร์แบบนี้แล้วหรือยัง ถ้ามีก็อยากไปร่วมด้วย เช่น ทัวร์ "สี่แผ่นดิน" ตามรอย "ร่มฉัตร" เที่ยวคลอง "สองฝั่งคลอง"  ชมอยุธยาของ "ไม้ เมืองเดิม"  หรือย้อนรอย "รัตนโกสินทร์" ... ซึ่งเป็นทัวร์ที่อาจจะมีเป้าหมายจำกัดกลุ่มสักหน่อย เพราะคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเรื่องเหล่านี้ก็คงจะไม่เห็นสนุกไปด้วย
ไม่นานมานี้เคยมีหนังสารคดีชุดตามรอยพระบาท ร.5 ที่ทรงบรรยายยุโรปในเรื่อง ไกลบ้าน ผมยังดูไม่ตลอด แต่ชอบอะไรทำนองนั้น ถ้ามีอีกเยอะๆ ก็คงจะดีนะครับ
อยากไปทัวร์ตามรอยสุนทรภู่ ไปตามที่นิราศต่างๆ ด้วย
เข้าใจว่าเคยมีการจัดทัวร์ไปสุพรรณ ไปเมืองกาญจน์ ตามรอยขุนช้างขุนแผนกันแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสักที
เขียนไปเขียนมา คงต้องถอนคำพูดตัวเองครับ นักอ่านไทยก็อินได้ เท่าๆ กับนักอ่านฝรั่งเลย แต่อาจจะมีวิธีอินคนละแบบเท่านั้น


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 09 ม.ค. 01, 07:37
ผมก็เคยคิดอยากไปเท่ียวป่ากับ น้อย อินทนินท์ หรือ กับ พนมเทียน เหมือนกัน
อยากเจอตัวอะไรแปลกๆบ้าง แต่ก็กลัวถูกกิน  :-)

ตอนอยู่มัธยมเคยทํารายงานตามรอยนิราศเมืองเเกลง
ไปเปิดแผนที่ทางหลวง แล้วก้อบแผนที่ออกมา เดาว่าท่านผ่านไปทางไหน


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 09 ม.ค. 01, 10:06
ฟังคุณนิลกังขา เล่าแล้วก็อยากไปทัวร์ด้วย ถ้ามีการจัดกลุ่มกันช่วงผมอยู่เมืองไทยก็ดีสินะครับผม จะได้ติดไปด้วย


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 10:56
นี่กำลังจะมั่วครับ นักวรรณคดีตัวจริงกรุณาอย่าหัวเราะเยาะเลย แต่โปรดแก้ไขเพิ่มเติมด้วย
ผมขอมั่วว่า ที่คนไทยมีวิธี "อิน" กับเรื่องนิยายนิทานไม่เหมือนฝรั่ง เพราะขนบในการหาความบันเทิงโดยการดูมหรสพ ฟังเรื่องแต่งประโลมโลก ฯลฯ เหล่านี้ของเรา แต่เดิมมา แยกออกชัดว่าเป็นเรื่องแต่งเพื่อความบันเทิง ไม่ใช่ความจริง วรรณกรรมสมจริงไม่มีในขนบเดิมของเรา มีแต่เรื่อง จักรๆ วงศ์ๆ ที่ฟังดูก็น่าจะรู้ได้ ว่าแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง  
อย่างพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ตอนจบว่า เรื่องรามเกียรติ์นี้ "...พากเพียรตามเรื่องนิยายไสย..."  และ "...ใครฟังอย่าได้ใหลหลง จงปลงอนิจจังสังขาร์ ..."
ซึ่งผมรู้สึกว่า ทำให้คนไทยอ่านนิยายด้วยความรู้สึกเช่นนี้มานาน (อาจจะยกเว้นเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่คนไทยบางส่วนเชื่อว่าจริง - และที่จริงก็อาจจะมีเค้าจากเรื่องจริงคนจริงจริงๆ ด้วย)
ถ้าจำไม่ผิด เมื่อ "สนุกนิ์นึก" เรื่องสั้นสมัยใหม่เรื่องแรกของไทยปรากฏขึ้นสมัย ร.5 เป็นเรื่องแต่งแบบสมจริง มีคำพูดจาของตัวละคร (ซึ่งเป็นพระในวัดบวรฯ) ที่เป็นคำพูดธรรมดาๆ ไม่ใช่กลอน เรื่องก็เป็นเรื่องของคนธรรมดา ไม่ใช่ยักษ์ เทวดา ผี กษัตริย์พลัดเมือง ฯลฯ นั้น คนไทยรับกันไม่ค่อยได้ว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อให้ความบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่ง คือเป็นโนเวลแบบฝรั่ง เพราะมันสมจริงเกินไป จนถึงกับว่าองค์อธิบดีสงฆ์วัดบวรฯ ขณะนั้น (จะใช่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ หรือไม่ผมไม่แน่ใจ) ทรงพระโทมนัสมาก นึกว่าท่านผู้แต่ง (ซึ่งเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง) เอาเรื่องจริงของพระวัดบวรฯ ไปเขียนแฉ หรือมิฉะนั้นก็เขียนใส่ความวัดบวรฯ โดยไม่มีมูล คือไม่ได้ทรงถือว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายเท่านั้น นึกว่าเป็นทำนองบัตรสนเท่ห์
ต่อมา เมื่อปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เรื่องนิยายสมัยใหม่ (คือที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน) ก็กลายเป็นรูปแบบความบันเทิงอีกอย่างของไทย แต่ผมว่า คนไทยยังคงขีดเส้นแบ่งโลกจริง กับโลกนิยาย ได้อยู่พอสมควร จึงทำให้ไม่มีคนไทยหลงเชื่อเอาจริงๆ ว่าโฮล์มสมีตัวจริง เหมือนที่ฝรั่งบางคนเชื่อ หรือบางคนถึงจะรู้ทั้งรู้แต่ก็อยากจะเชื่อ เพราะชอบนักสืบคนนี้เหลือเกิน
แต่มาสมัยใหม่มากๆ นี่ ผมชักไม่แน่ใจวิจารณญาณหรือการขีดเส้นแบ่งที่ว่า ของคนไทยผู้รับสารรุ่นใหม่แล้วครับ เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกเศร้า คือข่าวเด็กเป็นใบ้หูหนวกฆ่าตัวตายตามตัวละครที่หมิว ลลิตา เล่นในทีวี (เผอิญผมไม่ได้ดูละครเรื่องนั้นเสียด้วย)
อีกเรื่อง เมื่อเร็วๆ นี้ ผมอ่านบทความในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของไทยฉบับหนึ่ง พูดถึงเรื่อง Phantom of the Opera ซึ่งคนแต่ง (กัสตอง เลอรูซ์) ใช้วิธีการเขียนสมจริงมาก ราวกับเป็นรายงานข่าวแบบเจาะลึกไม่ใช่นิยาย (เลอรูซ์เองเป็นนักข่าวอยู่ด้วย) ผมอ่านบทความนั้นแล้ว เกิดรู้สึกว่าคนไทยผู้เขียนบทความถูกเลอรูซ์หลอกเอาอย่างสนิทใจแล้วหรือไร คือคนเขียนบทความเชื่อว่าเรื่อง Phantom นี้เป็นเรื่องจริง นับว่าเลอรูซ์ประสบความสำเร็จมาก ตามบทความนั้นว่า มีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี เจอศพของเอริก ปีศาจโรงละครตัวจริงด้วย แล้วก็มีการสืบสาวสอบประวัติของเอริกได้จริงๆ ด้วย (แต่ประวัติเอริกที่บทความให้ ไม่ต่างจากที่บรรยายในเรื่องนิยายของเลอรูซ์เลย ซึ่งถ้ามีการสืบเสาะประวัติได้จริงทั้งที น่าจะมีรายละเอียดแปลกๆ ใหม่ ๆ บ้าง)
เอ- - หรือว่าปีศาจโรงละครจะมีตัวจริงจริงๆ แต่ผมไม่รู้เอง...?


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ม.ค. 01, 11:00
ขอทักคุณพระนายค่ะ  ตั้งแต่ลิเกจบเรื่องก็หายไปเลย ว่าจะประกาศหาอยู่พอดี
 ออกเวรในวังหลวงของพระเจ้าเอกทัศแล้วหรือคะ  

รายการทัวร์ของคุณนกข. ถ้าจะทำได้ก็เห็นมีแต่ทัวร์สี่แผ่นดิน เพราะในพระบรมมหาราชวังยังมีเต๊งและตำหนักต่างๆ  คงจะหาโอกาสเล็ดลอดเข้าไปได้ถ้ามีญาติอยู่ในนั้น
ส่วนเรื่องอื่น บ้านเมืองพัฒนาจนไม่ทิ้งร่องรอยไว้แล้วค่ะ  คลองกลายเป็นคู    บ้านกลายเป็นตึกแถวกับสถานที่ราชการ
หลานเหลนของหมอบรัดเลย์มาเที่ยวเมืองไทยตามหารอยคุณทวด  เจอแต่หลุมฝังศพ  บ้านช่องถูกรื้อหมดไปนานเกือบร้อยปี  ไม่มีเค้าสถานที่เดิม

เชอรี่เลนนี่ก็เถอะ ถ้าอยู่ในกรุงเทพป่านนี้คงเป็นศูนย์การค้าแล้วก็ได้

(ต่อเรื่อง อิน)
คนอ่านไทยที่ "อิน" กับอักษรานุภาพก็มีเหมือนกันนะคะ  แต่นิยายเรื่องนั้นต้องดังจริงๆ
เท่าที่นึกออก  เรื่องที่สร้าง "ปรากฏการณ์" ขั้น "อิน" มีไม่กี่เรื่อง
ก.สุรางคนางค์ เจ้าของ" บ้านทรายทอง"เคยเขียนถึง "สี่แผ่นดิน" ไว้ว่า
" เนื่องจากข้าพเจ้าเกิดที่คลองบางหลวง   จบ"สี่แผ่นดิน" ไปสองแผ่นดิน เก็บเข้าตู้แล้ว  แต่ใจยังอดคิดไม่ได้ทั้งๆที่ไม่ควรคิด เพราะรู้ว่าเป็นนวนิยายว่า "บ้านไหนหนอที่น่าจะเป็นบ้านเจ้าคุณพ่อของแม่พลอย   เราเกิดโตได้ทันเห็นหรือเปล่า หรือว่า…"แต่แล้วก็อดขำไม่ได้"

คงจะเป็นเพราะคนไทยสมัยก่อนตีความเรื่องแต่งว่าเป็นเพียง"เรื่องประโลมโลก" หรือ "นิทานขี้ปดสยดสยอน" อย่างที่คุณพุ่มเรียก "พระอภัยมณี" จึงไม่ยอมที่จะ "อิน" ตามแบบฝรั่ง   ใจเตือนเสมอว่าเป็นเรื่องไม่จริงก็ไม่รู้จะค้นความจริงไปทำไม
ถ้าจะอินก็ต้องเรื่องดังจริงๆ ชักจูงให้เคลิ้มไปได้แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสมมุติ

จำได้ว่าคุณสมัคร สุนทรเวชเคยเขียนเล่าไว้ว่า ไปหัวหินกับญาติพี่น้องตอนเด็กๆ เป็นช่วงที่นิยายบ้านทรายทองกำลังฮิททั่วเมือง  ลงถึงบทที่ชายน้อยตาย พี่สาวน้องสาวคุณสมัครถึงกับไปหาผ้าดำมาตัดเสื้อ ใส่ไว้ทุกข์ชายน้อย
คงจะแบบเดียวกับเจ้าจอมอาบส่งมะม่วงดิบมาที่โรงพิมพ์สยามรัฐ เมื่อสี่แผ่นดินลงถึงตอนที่แม่พลอยแพ้ท้องอยากกินมะม่วงดิบ

บ้านของสามเกลออยู่ถนนไหนกันบ้างในกรุงเทพ  คนที่รวบรวมไว้คือดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร์  ท่านเป็นแฟนหนังสือสามเกลอ ระดับบิ๊ก ค่ะ  
หาอ่านได้ใน www.samgler.org  ประชาสัมพันธ์ให้เสียเลย เพราะเห็นความตั้งใจของผู้ทำแล้วน่าเข้าไปอ่านมาก

นิยายเรื่องอื่นๆยังนึกไม่ออกว่าจะมีใคร" อิน" ทำนองนี้     ใครจำได้ช่วยเล่าสู่กันฟังหน่อยค่ะ   เช่นตอนโกโบริตาย  แฟนๆเข้าไอซียูกันไปกี่คน


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ม.ค. 01, 11:18
ละครเรื่องที่หมิวเล่น ได้รับรางวัลของหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการไปแล้วค่ะ เป็นรางวัลตั้งขึ้นใหม่ มอบให้สื่อ
เพราะเห็นว่ามีคุณค่าชักจูงให้คนทำดีหนีชั่ว
ส่วนเรื่องเด็กคนนั้นก็ยังไม่มีการยืนยันว่ามีความคับแค้นอื่นด้วยหรือเปล่า   ถ้าแกอินเพราะเรื่องนี้ก็น่าหดหู่ใจ
เหมือนนักร้องวัยรุ่นญี่ปุ่นตายเมื่อหลายปีก่อนแล้วแฟนวัยรุ่นฆ่าตัวตายตามกันหลายคน

เรื่องสนุกนึก(ขี้เกียจสะกดแบบโบราณ อย่างคุณนกข.สะกด) เป็นพระนิพนธ์กรมหลวงพิชิตปรีชากร พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕
ความที่ท่านเขียนโนเวลเรื่องนี้ได้แนบเนียนสมจริงเกินไป   เล่าถึงพระหนุ่มๆ ๔ รูปในวัดบวรนิเวศที่คุยกันว่าสึกแล้วจะไปทำอะไร  แต่ละรูปก็ดูไม่ค่อยจะเป็นพระที่ดีงามเท่าไรเลย  โดยเฉพาะหนึ่งในจำนวนนั้นที่ไม่อยากสึกเพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร  บวชดีกว่าเพราะยังไงก็ไม่อดตาย
ร้อนถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯกรมพระยาวชิรญาณ ฯเดือดร้อนโทมนัส เพราะทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรฯอยู่เอง
เรื่องเลยไปกันใหญ่จนพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงออกมาตำหนิกรมหลวงพิชิตปรีชากร    เรื่องก็จบ แบบสนุกนึกค้างเติ่งไม่มีตอนต่อ   เล่าอยู่ต้นเรื่องแล้วสะดุดไว้แค่นั้น

เรื่อง Phantom ไม่ได้อ่านแต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแต่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  เคยทำเป็นหนังขาวดำ สมัยคุณปู่  เล่ากันว่าลอน ชานีย์ เล่นได้น่ากลัวมาก  ตอนเปิดหน้าให้ดู มีผู้หญิงในโรงเป็นลมกันไปทุกรอบ
แต่ก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นเรื่องจริง  เรื่องที่มาตื่นเต้นว่าจริงคงจะเป็นการประชาสัมพันธ์หนังจากฮอลลีวู้ด
แบบเดียวกับ Blair WItch Project ในเมืองไทยก็เห็นประชาสัมพันธ์ตื่นเต้นกันในตอนแรกว่าเป็นเรื่องจริง  แต่ถ้าอ่านทางเน็ตจะพบว่าผู้สร้างเขาแถลงว่าแต่งขึ้นทั้งเพ


จำได้แต่ว่า โอม มณี ปัทเม หุม หรือ The Third Eye ก็หลอกฝรั่งไปหลายล้าน(หรือหลายสิบล้านคน) ว่าเป็นเรื่องจริงของล็อบซัง รัมปา  ลามะธิเบต   ที่จริงคนเขียนเป็นชาวอังกฤษไม่เคยไปธิเบตเลย
ขนาดเสกสรรค์ ประเสริฐกุลเคยเข้าใจผิดมาแล้ว แต่ก็แก้บทความได้ทันในครั้งต่อมา
ยังไม่ทราบว่าทุกวันนี้ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่อีกหรือเปล่าค่ะ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ม.ค. 01, 15:50
ในโลกไซเบอร์ พบว่ามีคน"อิน" กับเพชรพระอุมา  จนกระทั่งสร้างขึ้นมาได้อีกหลายภาคในถนนนักเขียน
มีหลายคนเข้าไปสวมวิญญาณรพินทร์ ไพรวัลย์ มันตรัย ดาริน เชษฐา อนุชา  ไชยยันต์  บุญคำ  ผจญภัยกันอยู่ไม่เลิกจนบัดนี้
แม้แต่แม่มดวาชิกา ก็เกิดใหม่มาโฉบๆอยู่แถวโรงลิเกในเรือนไทย
อย่างนี้ ดิฉันถือว่าเป็นความ" อิน" ที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก  จะชนะพวกที่แกะรอยตามเชอร์ล็อคโฮล์มส์ด้วยนะคะ เพราะทุ่มตัวเองลงไปสุดตัวในหนังสือ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 11 ม.ค. 01, 17:49
นึกถึงหนังสือนิยายผีอีกเรื่อง ที่พยายามสร้างความสมจริงในสไตล์การเขียนเหมือนกับ แฟนธ่อม ออฟ ดิ โอเปร่า คือเรื่องแดรคูล่าผีดูดเลือด ซึ่งแบรม สโตเกอร์แต่งไว้
กัสตอง เลอรูซ์ พยายามจะเขียนนิยายของเขาไม่ให้เป็นนิยาย โดยทำเป็นว่าเป็นบทคัดมาจากบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์บ้าง เป็นข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง เป็นรายงานของตำรวจก็มี
สโตเกอร์ก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน โดยทำเป็นว่าคนอ่านกำลังอ่านบันทึกประจำวันของโจนาธาน ฮาร์เกอร์ บ้าง จดหมายโต้ตอบไปมาระหว่างตัวละครต่างๆ บ้าง บันทึกแพทย์เวรของโรงพยาบาลของหมอซีเวิร์ดบ้าง
ผมว่าเป็นความพยายามหลอกคนอ่าน ให้ดูสมจริง ก่อนที่จะมีหนังเรื่อ Blair Witch Project ครับ
ของไทยมีใครแต่งนิยายในรูปนั้นหรือไม่ ที่นึกออก เห็นนิยายมาในรูปจดหมายหลายเรื่องเหมือนกัน เช่น จดหมายจากเมืองไทย ที่คุณ โบตั๋น เขียนเปิดเรื่องไว้เป็นทำนองว่า เป็นสำเนาของจดหมายจำนวน 100 ฉบับ ที่ตำรวจ ตม. ไทยยึดได้จาก... จากใครก็ลืมไปแล้ว
รัตนาวดี ก็เดินเรื่องโดยทำเป็นรูปจดหมาย โทรเลข กับบันทึกอนุทินเหมือนกัน
เรื่อง นิกกับพิม ก็ใช่ แต่แปลกที่เป็นจดหมายระหว่างหมา ไม่ใช่ระหว่างคน (ส่วนนิกกับเต้ไม่ปรากฏว่ามีจดหมายถึงกันครับ - ผมเป็นแฟนนิกด้วยเหมือนกันนะครับ แต่เป็นนิกที่เป็นหมา ไม่ใช่นิกที่เป็นคน เพราะยังไม่ได้มีโอกาสอ่านเรื่องที่นิกเป็นคน)


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 11 ม.ค. 01, 17:56
สงสัยครับ
ขนบธรรมเนียมการเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิงในรูป "นว"นิยาย นี้ ถึงจะเป็นของใหม่สำหรับไทยเมื่อเทียบกับฝรั่ง แต่ในชั้นเดิมจริงๆ ก็ต้องถือว่าเป็นของใหม่สำหรับฝรั่งโบราณเหมือนกัน ใช่ไหมครับ เพราะฝรั่งเองยังเรียกงานเขียนแบบนี้ว่า โนเว็ล (=ใหม่) อยู่เลย ทั้งๆ ที่เขียนนิยายกันมาเป็นร้อยปีแล้ว


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นนทิรา ที่ 11 ม.ค. 01, 18:41
นวนิยายสมัยใหม่ ที่ผู้เขียนพยายามเขียนเหมือนเขียนเรื่องจริง (non-fiction) อีกเรื่องหนึ่งคือ Memoirs of a geisha ไงคะ  ดิฉันยังมีเพื่อนบางคนที่อ่านจนจบแล้ว ก็ยังทึกทักเอาว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ดี ดิฉันบังเอิญได้ไปฟังคนเขียนเรื่องพูดถึงเรื่องการเก็บเกี่ยวข้อมูลเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนยังเล่าให้ฟังว่ามีคนอ่านหลายคน อ่านจบแล้วก็พาลโกรธคนเขียน เพราะรู้สึกเหมือนถูกหลอก

อาจจะไม่เข้ากับหัวข้อกระทู้นัก แต่พอดีคุณนกข.พูดถึง แฟนธ่อม กับ Dracula และ Blair Witch Project ในด้านความสมจริง ดิฉันเลยนึกถึงเรื่องเกอิชาขึ้นมา  
พูดถึงเรื่อง Blair Witch Project รู้สึกว่าตอนนี้มี Blair Witch Project II ออกมาแล้ว หรือกำลังจะออกใช่ไหมคะ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 01, 19:54
เรื่องที่คุณนนทิรายกมา  ก็คือfiction ในรูปหนึ่งน่ะค่ะ   ถ้าเป็นสารคดีจะต้องระบุชื่อจริงของบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องออกมา (ส่วนจะบิดเบือนหรือไม่ค่อยไปว่ากันอีกที)
ไม่ใช่ว่าอ้างเป็นเรื่องของเจ้าหญิงในประเทศอาหรับที่ไม่เปิดเผยนาม  เกอิชาไม่เปิดเผยนาม   แล้วเล่าเรื่องลี้ลับซุกซ่อน (โดยมากจะเกี่ยวกับชีวิตทางเพศ) ให้คนฮือฮากันว่า...อ้อ..มีงี้ด้วยเหรอ
ยังงี้โดยมากหลอกกัน
Blair Witch II มีค่ะ แต่เป็นคนละเรื่องไม่ต่อกับตอนแรก ไม่คิดจะดู   ดูตอนแรกยังเครียดไม่หาย แถมมึนอีกต่างหาก

Novel มาจาก novella ภาษาอิตาเลียนค่ะ ที่ว่าใหม่เพราะมันใหม่กว่ารูปแบบอื่นของวรรณกรรม   ก่อนหน้า novel งานจะเขียนเป็นบทกวี บทละคร หรือนิทาน  พอมีรูปแบบใหม่ของเรื่องเล่าออกมา เลียนแบบเรื่องจริง ก็เลยตั้งชื่อกันว่า "ใหม่"
แต่ใหม่ของเขา ก็เก่าว่ากรุงรัตนโกสินทร์นะคะ

นวนิยายไทยเล่าในรูปแบบให้คนอ่านนึกว่าจริง-ค่ะ ก็อย่างจดหมายจากเมืองไทย เรื่องนี้เห็นชัด  
คนที่เชื่อว่า พ.ต.อ. สละ สินธูธวัชยึดจดหมายของตันส่วงอู๋มาแปลเป็นไทยให้คนอ่านได้อ่านกัน  ก็มีตัวตนอยู่ไม่น้อยในยุคนั้น
อ้อ มีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของคุณปกรณ์ ปิ่นเฉลียว เป็นเรื่องผี  
เล่าสมจริงเกี่ยวกับตัวละครที่ไปรักษาอาการปวดมือจากการชี้เงาผี     ไปรักษาที่รพ.  แต่พอเงาผีถูกทำลายไปอาการก็หายเป็นปลิดทิ้ง
 คุณปกรณ์ระบุชื่อรพ.ไว้ด้วย  คนอ่านเชื่อเขียนมาถามว่าเรื่องจริงหรือ  ร้อนถึงผอ.รพ. ทำจดหมายชี้แจงมาถึงนิตยสารที่ลง ว่าไม่มีคนไข้ชื่อนั้น และอาการนั้นมารักษา
เรียกว่าเรื่องนี้จัดเข้าประเภทอักษรานุภาพได้แน่นอน
น่าเสียดายคุณปกรณ์วางมือไปจากเรื่องสั้น  ไปทำต่วยตูน  ดิฉันเลยไม่ได้อ่านของท่านอีก   หลังๆได้เรื่องสั้นคุณสรจักร  ศิริบริรักษ์มาแทนก็ค่อยหายคิดถึง


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 11 ม.ค. 01, 21:40
คุณปกรณ์เป็นอะไรกับคุณวาทินและคุณจินตนา ปิ่นเฉลียว ครับ?
ผมยังไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องฝีมือคุณปกรณ์เลย แต่อย่างน้อยผู้ร่วมสกุล ปิ่นเฉลียว คนหนึ่งละที่เขียนเรื่องผีๆ เก่ง คุณจินตนาหรือ "จินตวีร์ วิวัธน์" ไงครับ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 01, 22:27
คุณปกรณ์เป็นพี่ชายคุณจินตนาค่ะ
คุณจินตนาเมื่อครั้งเรียนที่อักษรฯ เล่ากันว่าแต่งกลอนเก่งมาก
กลอนของเธอค่อนข้างห้าว มีแนวคิด  ไม่หวานแหววเหมือนที่คิดว่าสาวอักษรน่าจะแต่ง
แต่พอมาเขียนนิยาย กลับกลายเป็นเรื่องผี ตื่นเต้นระทึกขวัญแทนค่ะ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: สุรัชน์ ที่ 12 ม.ค. 01, 15:14
ไม่อยากจะไปตั้งกระทู้ถามใหม่ เห็นว่ากระทู้นี้ละพอจะถามได้ ต้องขอผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ อยากทราบว่างานเขียน บทละคร เรื่อง Vilai chooses her mate  วิไลเลือกคู่ ของร.6 จะหาอ่านศึกษาจากที่ไหนบ้างครับ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 12 ม.ค. 01, 19:59
กำปั้นทุบดินที่สุด ก็ขอเดาว่า ที่หอสมุดวชิราวุธานุสรณ์ ในหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ น่าจะต้องมีครับ ถ้าไม่มีก็แย่แล้ว


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: สุรัชน์ ที่ 12 ม.ค. 01, 21:36
ขอบคุณครับ จะหาเวลาไปค้นดูอาทิตย์นี้เลยครับ ถ้าได้ความประการใดจะมาเล่ากันฟังครับ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 21 ธ.ค. 05, 23:56
 เห็นด้วยกับคุณ นกข ค่ะ (ซึ่งเดี๋ยวนี้ไปอยู่หนใดแล้ว???) ว่า เชอร์ชิล
มีความสามารถทางการใช้ภาษาที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะการใช้ภาษา
ในการปลุกพลังมวลชนให้ผนึกกำลังต่อสู้ศัตรู
เช่น ที่ว่าไม่มีครั้งใดเลยที่คนจำนวนมากขนาดนี้ คือประชาชนอังกฤษทั้งหมด
เป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงขนาดนี้ต่อคนจำนวนน้อยเช่นนี้
คือนักบินผู้กล้าหาญทั้งหลาย มาจาก “Never in the field of human
conflict was so much owed by so many to so few.”

ใช่แต่เท่านี้ เชอร์ชิลมีมุก (ก หรือ ข สะกดล่ะนี่) อื่นๆ
บางครั้งออกมาพูดดตลกหน้าตาย คนฟังขำกลิ้ง
If I was your wife Sir, I"d poison you!
Madam, if you were my wife, I"d let you!
ผู้หญิง: ถ้าฉันเป็นภรรยาคุณ ฉันวางยาคุณตายแล้ว
เชอร์ชิล: ถ้าคุณเป็นภรรยาผมจริงๆละก็ ผมจะรีบตายเลย

บางอันฟังดูกวนๆค่ะ แต่ก็มีความหมายซ่อนอยู่
If you"re going through hell, keep going.
ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังgfbนฝ่านรก ก็จงเดินต่อไป (ไม่ใช่หยุดเดินนะ แต่ต้องรีบเดินต่อไป
ให้พ้นนรกเร็วๆ เพราะสวรรค์อาจอยู่เบื้องหน้า) นับว่าเป็นประโยคที่มีแรงดลใจ
แฝงอยู่นั่นเอง (inspirational statement)


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 22 ธ.ค. 05, 00:02
 ในย่านประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรานี้ ผู้นำคนอื่นที่สามารถใช้อำนาจของภาษามาโน้มน้าว
กล่อมให้คนในประเทศหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้ คือประธานาธิบดีซูการ์โน ของอินโดนีเซีย
เมื่อหลายปีก่อน ดิฉันเคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนติวชื่อดัง ย่านเสาชิงช้า

ถึงคำว่า rhetoric = skill in the effective use of speech
อาจารย์หัวหน้าสำนักก็ให้ตัวอย่างคำศัพท์ที่มีรากจากกลุ่มนี้ว่า rhetocracy
(rhetoric  +  cracy (การปกครอง)) ให้ความหมายว่าเป็นการปกครอง
โดยใช้สุนทรพจน์ พูดง่ายๆว่า “ปกครองด้วยปาก”

ต่อมา พอต้องเขียนเรียงความเรื่องทำนองนี้ ดิฉันจึงขุดคำนี้ขึ้นมาใช้
อาจารย์สอนเรียงความ กลับบอกว่าแม้จะเดาความหมายออก
แต่ศัพท์คำนี้ยังไม่ได้บัญญัติ ไม่มีในดิกชันนารี เมื่อดิฉันกลับไปดูสมุดโน้ตเก่า
ก็ไม่เข้าใจว่าอาจารย์กวดวิชาให้ศัพท์คำนี้เรามาได้อย่างไร หรือว่าท่านบัญญัติเอง!

ต้องยกคำพุทธมาเตือนค่ะว่า....อย่าด่วนเชื่อเพราะว่าเขาเป็นครู
นักเรียนที่เรียนภาษา ควรหาดิกชันนารีดีๆไว้ใช้ ลงทุนซื้ออังกฤษ-อังกฤษ ไว้สักเล่มหนึ่ง
เริ่มจากเล่มง่ายๆก่อนค่ะ สำหรับ ESL เช่น Longman’s ซึ่งมีตัวอย่างการใช้พร้อม
เลิกใช้ดิกชันนารี ไทย-อังกฤษ เถิดค่ะ ต่อให้เล่มดีที่สุดที่เคยเขียนมาในประเทศไทยก็ตาม
มันใช้ไม่ได้ เมื่อจะฝึกการเขียน เว้นแต่จะใช้แบบฉาบฉวยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ  


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Traveller ที่ 22 ธ.ค. 05, 09:34
 ความรู้สึก "อิน" ในนวนิยายของไทย กับของฝรั่งต่างกัน น่าจะเป็นเพราะ วิธีการเขียนของฝรั่งมักจะอ้างอิงกับสถานที่และเวลาเอาไว้อย่างละเอียดจนเหมือนกับเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ มากกว่านวนิยายของไทยค่ะ

อย่างเรื่อง Phantom of the opera ก็ใช้ the opera house ที่อยู่ในปารีสเป็นฉาก คนที่เคยดูเรื่องนี้แล้วได้ไปที่ปารีสก็มักจะไปเยี่ยมชมสถานที่ อย่างที่ opera house นี่ สถานที่จริงๆ ก็ลึกลับซับซ้อน มีชั้นใต้ดิน มีน้ำไหลผ่านข้างใต้ จนน่าเชื่อว่าหากมีคนหลบอาศัยอยู่ในนั้นเป็นปีๆ ก็น่าจะเป็นไปได้เหมือนกัน และอีกเรื่องที่รู้สึกว่าน่าจะเอามายกตัวอย่างได้ก็เรื่อง Davinci Code ของ Dan Brown ที่เขียนโดยมีหลักฐานอ้างอิง จนมีหนังสือ Decoded ตีความออกมาอีกหลายเล่ม คนที่รู้จักหลายคนอ่านแล้วเชื่อไปเลยว่าข้อสรุปเกี่ยวกับ holy Grail ในเรื่องเป็นเรื่องจริง ขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดนะคะ เผื่อมีใครนึกอยากจะไปอ่าน ได้รู้สึกลุ้นไปถึงจบเรื่อง) แล้วยังมีทัวร์สถานที่ตามท้องเรื่อง davinci code อีกด้วย (สก๊อตแลนด์ ลอนดอน ปารีส)  

สำหรับนวนิยายของไทยบางเรื่องก็ทำได้ขั้นนั้นเหมือนกัน จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องรากนคราของคุณปิยะพร ศักดิ์เกษม เป็นนวนิยายสมัยใหม่แต่ตกอยู่ในหมวดนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ คุณปิยะพรบรรยายฉากและเหตุการณ์ในเรื่อง ซึ่งมีต้นเค้ามาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ตอนอ่านเรื่องนี้รู้สึกประทับใจค่ะ ยิ่งพอมีคนมาทำเป็นละคร บรู๊ค กับ นุ่น เล่นเป็นตัวเอกก็ยิ่งประทับใจ อย่างในฉากที่นางเอกตาย ตอนที่อ่านก็รู้สึกไม่สมจริงเท่าไหร่ เป็นไปได้อย่างไรที่คนถูกฟันด้วยดาบจะไม่ส่งเสียงออกมาให้อีกฝ่ายรู้เลยว่าเป็นผู้หญิง แต่พอมาเห็นที่ละครเค้าแสดงก็ถึงบางอ้อเลย จำได้ว่าตัวละครเอามืออุดปากเอาไว้ตอนโดนฟัน

เคยได้ยินว่ามีงานวิจัยว่าโครงสร้างและวิธีการเขียนในภาษาไทย และภาษาตะวันตกที่อ้างถึงเรื่องเวลาและสถานที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้ผู้เขียนภาษาตะวันตกสามารถเขียนโดยมี sense of time มากกว่า ซึ่งอาจจะทำให้ดูสมจริงมากขึ้นก็เป็นได้ค่ะ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 23 ธ.ค. 05, 20:57
 เรื่องนิกกับพิมผมอ่านเป็นหนังสือนอกเวลาตอนเด็กๆ ยังจำได้แม่นเลยว่าน่ารักดี คนแต่งเขียนในทำนองว่าสุนัขเขียนจดหมายถึงกัน พอไปคุยกับเพื่อน เพื่อนดันบอกว่าเลอะเทอะ คนสองคนใช้น้องหมาบังหน้าเขียนจดหมายจีบกันต่างหาก - -' ผมนี่หมดมู้ดเลย

นิยายที่ว่าสมจริงอีกเรื่องก็คือ War of the Worlds ของ H.G. Wells ครับ เขาว่าตอนอ่านออกอากาศทางวิทยุครั้งแรก คนตกอกตกใจกันนึกว่ามนุษย์ดาวอังคารมาบุกโลกจริงๆ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ธ.ค. 05, 17:23
 คุณนกกางเขน นกข. ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาถามตอบในเรือนไทยแล้วละค่ะ    งานประจำยุ่งมาก  อีกอย่างดิฉันเดาว่าบรรดาแก๊งค์เดียวกันหายไปหมดทั้งคุณแจ้งและแม่หญิงเรไร    คุณนกข.ก็คงเหงาถ้าจะออกโรงอยู่คนเดียว

นิยายไทยเขียนรายละเอียดให้สมจริงอย่างฝรั่งได้ยาก  เพราะวัฒนธรรมและวิธีคิดไม่เหมือนกัน
ฝรั่งฮอลลีวู้ดทำหนัง ให้ตัวเอกทำเรื่องไม่ดีไม่งามอยู่ในองค์การที่มีจริงๆ หรือสถาบันการศึกษาที่มีชื่อจริงๆได้  ไม่มีใครว่ากัน
นิยายฝรั่งก็เหมือนกัน
ตัวโกงจะไล่ฆ่าใครอยู่ในทำเนียบขาว  หรือองค์การนาซ่าก็ได้   ฮาร์วาร์ด จะมีครูอาจารย์ที่มีปัญหาทางจิต หรือเกิดฆาตกรรมลึกลับซับซ้อนก็ได้ ในนิยายของเขา

ลองเอานิยายไทยมาเขียนให้เกิดฉากฆาตกรรมโหด ครูข่มขืนเด็ก  หรือโกงกินกันบ้าเลือด ระบุชื่อสถาบันการศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งที่มีอยู่จริง
ลองดูสิ  นักเขียนไม่ถูกกระหน่ำยับเยินไปค่อยมาต่อว่ากัน ดีไม่ดีอาจโดนข้อหาหมิ่นประมาท  ผู้บริหารฟ้องเอง
จะเขียนถึงได้ก็แต่ในทางดีเท่านั้น ถึงจะปลอดภัย

ดาวินชี โค้ดมีเสียงต่อต้านจากผู้นับถือศาสนาบ้าง แต่ก็แค่ออกมาเขียนตอบโต้ ไม่เอาเป็นเอาตาย
ลองเปลี่ยนพล็อตจากศาสดาในเรื่อง มาเป็นในศาสดาในศาสนาอื่นที่คนไทยจำนวนมากนับถือดูบ้าง    นิยายก็จะถูกมองว่าเป็นเรื่องลบหลู่เสียหายร้ายแรง   "อิน" กันแบบนี้ยิ่งกว่าฝรั่งอินหลายเท่าค่ะ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Its me ที่ 27 ธ.ค. 05, 02:29
 I happen to know Khun Pakorn Pinchaleaw personally.
You might be surprised to learn that he went to Faculty of Arts at Chula.
My father and Khun Ar Pakorn were close friends. He went to Arts School, my father went to Engineering School. They enrolled in a special military training for young men during the WW 2. They were offered a choice to go back to school or work for government after the war. Both Khun Ar Pakorn and my father were temple boys and did not have resources to go back to school. They both excepted police officer jobs.
Khun Ar Pakorn liked to read. He had a lot of time at the police station in E-Sarn. He read a lot of short stories by western authors. He also had a gift of telling stories.
Khun Ar Pakorn went to Arts School and became a police officer.
His brother Khun Watin went to Architectural School and became Tuy Toon editor.
His sister Khun Jintana went to Arts School and is a good poet and short stories wrier too.


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 27 ธ.ค. 05, 04:13
 ค.ห. 7
อาจารย์เทาชมพู ก็พลอยใช้ศัพท์ "อิน" ไปกับเขาด้วยหรือคะ 55555. แรกๆดิฉันได้ยินแล้ว
เป็นเง็งอยู่นานสองนาน แต่ว่าคำนี้ฝังรากลึกมากใน vocab ไทยๆไปซะแล้ว

อีกคำหนึ่งที่พยายามทำใจยอมรับอย่างยาก คือ คำว่า "เสีย self"


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 06 ก.พ. 06, 21:18
 ขอขอบพระคุณ ที่ยังระลึกถึงผมครับ (แม้จะห่างหายไปนาน...)

เรื่องอินไม่อินนี่ ชักเห็นด้วยกับอาจารย์เทาชมพูว่า บางเรื่อง นักอ่านไทยอินยิ่งกว่านักอ่านฝรั่งอีก

จำได้ว่า ดูเหมือนมีเรื่องโวยวายกัน ตอนที่มีการตีความองคุลีมาลใหม่เป็นหนังไทย และมีเรื่องโวยวายตอนที่ฝรั่งทำหนังพุทธประวัติจากมุมมองของเขา เข้ามาฉายเมืองไทย

ปล. คำว่า "อิน" อินเทรนด์ รู้สึก "in" เข้าไปในเรื่องในละครในหนังสือ เข้าไปในกระแส นี่ความหมายหนึ่งที่ใช้กันในภาษาไทยพูดเล่นเดี๋ยวนี้ แต่ผมเข้าใจว่า สมัยสัก ร. 5 คำนี้เป็นศัพท์แสลงสมัยโน้น ดูเหมือนจะเปลว่า เชย ครับ...

ถ้าจะไม่อิน ดูเหมือนสมัยนั้นคุณทวดท่านให้เป็น "โซ้ด" แปลว่าหัวสมัยใหม่แบบฝรั่ง

อนิจจังไม่เที่ยงหนอ


กระทู้: อักษรานุภาพ (แปลว่าอำนาจของตัวหนังสือ ไม่ใช่อำนาจของสาวคณะอักษร..)
เริ่มกระทู้โดย: Peking Man ที่ 07 ก.พ. 06, 09:48
 อืม.. เกี่ยวกับเรื่องความ "อิน" ตัวผมคงไม่อินเทรนด์ และคงเป็นคนที่หลายคนมองว่าชอบของที่ไม่ทันสมัย แต่ผมว่าชอบของที่ไม่ "อิน" ก็ดีนะครับ ผมเสียดายและสงสาร สิ่งของที่เคยมีผู้คนชื่นชอบ แล้วอยู่มาวันหนึ่งต้องกลับกลายเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครเหลียวแล...

เอ... คิดอย่างงี้หรือเปล่าหว่า ที่เป็นสาเหตุที่หาแฟนไม่ได้ซักที

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับการ "อิน" กับวรรณคดี จำได้ว่า หนังสือที่อ่านแล้วร้องไห้คือ "อยู่กับก๋ง" ตอนอายุ สิบ ขวบ ส่วนหนังสือที่ไม่ว่าอ่านทีไรก็ยังต้องร้องไห้ ก็คือ Les Miserables ตอน อายุ สิบสาม หรือ สิบสี่  มังกรหยกภาคแรก (ฉบับภาษาจีน) น่าจะซัก สิบแปด หัวเจอะ (เรื่องที่ต่อมาถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ชื่อภาษาอังกฤษว่า  To Live) รู้สึกว่าจะ ประมาณ สิบแปด สิบเก้า สำหรับหนังสือภาษาไทยต้องขอสารภาพว่าไม่ค่อยได้อ่านซักเท่าใดนัก

แต่ตอนนี้มีหนังสือที่ผมว่าอ่านแล้ว "อิน" มาก ๆ ก็คือ นิยายเกี่ยวกับ สามมหากษัตริย์ราชวงศ์ชิง คังซี ยงเจิ้น เฉียนหลง ที่เขียนโดย เอ้อเยว่เหอ แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่า เวอร์ชั่นละครเข้ามาเมืองไทยแล้ว แต่ว่ายังไม่มีฉบับหนังสือ

นอกจากนั้นแล้วหนังสือที่หลายคนน่าจะอ่านแล้ว "อิน" ก็คือหนังสือที่สุดฮิตในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว Densha Otoko ที่ตอนนี้มีทั้งเวอร์ชั่นหนัง หนังสือ ละคร และการ์ตูน น่ารักดีครับ