กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 13 ธ.ค. 00, 01:00 เห็นกระทู้นึงพูดเรื่องชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วก็พูดถึงชูชกมาขอพระกัณหา ชาลี
สำหรับเรื่องพระเวสสันดรนั้นเป็นเรื่องที่ผมติดใจมาจนบัดดนี้ว่า การให้ทานของพระเวสสันดรท่านนั้นถูกหรือผิด อย่างไร การที่ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จนต้องสละซึ่งลูกเมีย ให้เป็นทานเพื่อถือว่าจะตัดกิเลสทั้งหมด ผมมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งหรือเปล่า สำหรับผมรู้สึกว่าน่าจะบาปด้วย ลูกของท่าน ท่านกับไปยกให้คนอื่น ทนเห็นคนอื่นทำร้าย ลูกตัวเอง ไม่ยอมช่วยเหลือ เหมือนตอนประทานช้างคู่บ้านคู่เมืองเช่นกัน เพราะเหมือนจะทำให้บ้านเมืองแล้งไปทันทีทันใด นี่ยังดีที่พระอินทร์ ปลอมมาขอภรรยา ไม่งั้นภรรยาของพระองค์ก็คงต้องไปทรมานกับคนอื่นอีก ผมอาจจะไม่เข้าใจพุทธศาสนาลึกซึ้งพอแต่จากมุมมองของผม ผมไม่เห็นด้วยเลย กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 00, 08:51 เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานมาแล้ว
การเมือง ๑ ศาสนา๑ ลองจุดประเด็นขึ้นมาเมื่อไร เป็นได้พูดกันยาว ถ้าเอาจริงเอาจังมากก็ทะเลาะกันได้ง่าย กลายเป็น คน vs คน ไม่ใช่ คน vs ปัญหา ถ้าเราเอาความรู้สึกของคนต่างยุคไปวัดเหตุการณ์ในอีกยุค ผลออกมาอาจเป็นว่าทำยังไงก็ไม่เข้าใจความคิดของเขา ในสมัยนั้นถือว่าลูกเมียเป็นสมบัติของผู้ชาย-เคยได้ยินมาอย่างนี้ ทำให้พระเวสสันดรบริจาคได้ อีกข้อคือ ในเรื่องบอกว่า ความรักลูกเป็นสิ่งที่ผูกพันพ่อแม่ได้เหนียวแน่นที่สุด จะตัดความยึดเหนี่ยวข้อนี้ให้ได้ก็ต้องสละให้ได้ เหมือนพระเวสสันดรสละกัณหาชาลี ต่อให้ลูกร้องอุทธรณ์ยังไงก็ต้องตัดให้ได้ เป็นทานบารมีขั้นสูง เป็นสิ่งยากเย็นที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงทำ ส่วนตัวนะคะ...ไม่เข้าใจอยู่ข้อเดียว บำเพ็ญทานบารมี ให้ลูกให้เมียเพื่อสละสิ่งที่รักมากได้นี่ก็พอเข้าใจ แต่ทำไมพระเวสสันดรไม่สละขั้นสุดท้าย คือสละตัวเองเป็นทาสของใครสักคนให้เขาทารุณแบบลูกๆโดน เพราะความรักใดจะเสมอรักตัวเองเป็นไม่มี เพราะฉะนั้นการบริจาคตัวเองเพื่อทารบารมีก็น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุด จะว่าไปซ้ำกับอีก ๙ ชาติก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ซ้ำนะ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 29 พ.ย. 00, 09:27 เห็นด้วยกับคุณเทาชมพู ทุกข้อครับ
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ฟังแล้วก็คิดเหมือนกัน ทำไมพระเวสสันดรท่านไม่สละตัวเองแทนลูกเมีย แต่รู้สึกจะมีชาติหนึ่งที่พระองค์ สละชีวิตแล้วเช่นกันครับ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 00, 09:44 เคยมีชาติหนึ่งค่ะ ในทศชาติ แต่จำไม่ได้ว่าชาติไหน
แต่นี่บำเพ็ญทาน คือให้ ไม่ต้องถึงตายค่ะ ให้ตัวเองเป็นทาน เพื่อเป็นทาสคนอื่น เหมือนยกลูกเมียให้เป็นสิทธิ์ของเขา ดิฉันว่าถ้าท่านยกลูกเมียให้เป็นสมบัติคนอื่นตามที่ขอ ยกตัวเองให้ เป็นรายการสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็น่าจะขจัดข้อเคลือบแคลงได้ แต่ไม่มีข้อนี้ เลยทำให้เกิดคำถามค้างคามาเรื่อย กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 29 พ.ย. 00, 12:36 ผมว่าต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในยุคนั้นครับ แล้วจะพบว่าเป็นความชอบธรรมอย่างที่สุด(ที่สมัยนี้ไม่อาจยอมรับได้) ที่พระเวสสันดรทรงบริจาคลูกเมียเป็นทาน เนื่องจากในสมัยนั้น ลูกเมียจะถือว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของสามี (เหมือนที่คุณเทาชมพูได้ชี้แจงไว้) แม้แต่ชีวิตก็สามารถฆ่าได้ ดังจะเห็นได้จาก กฎหมายตราสามดวง ในรัชสมัย ร.๑ ได้บัญญัติไว้ตอนหนึ่งว่า
"ภรรยามีชู้ ให้ส่งหญิงและชายชู้ให้เจ้าผัวฆ่า ถ้าไม่ฆ่าจึงให้ปรับ" แม้ในพุทธศาสนาเอง ก็ยังกำหนดสิทธิหน้าที่ของหญิงไว้ต่ำกว่าชาย เช่น ห้ามสตรีบวชเป็นพระสงฆ์ หรือ ทิศ ๖ ที่กำหนดไว้ว่า สามีพึงอนุเคราะห์ภรรยา ๕ ประการ ภรรยามีหน้าที่บำรุงสามี ๕ ประการ (สามีจะทำหรือไม่ก็ได้ แต่สำหรับภรรยาแล้วให้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปฎิบัติ) การที่พระเวสสันดรบริจาคลูกเมีย จึงถือเป็นเรื่องโดยชอบธรรมในสมัยนั้นครับ.. ส่วนในประเด็นที่ว่าทำไมพระเวลสันดรไม่อุทิศตนเป็นทาน ผมเห็นว่า เป็นการมองต่างมุมกัน ระหว่างการอุทิศตนให้เป็นทาน กับบริจาคลูกเมียให้เป็นทาน ว่าประการใดจะ แสดงให้เห็นถึงความเสียสละอันสูงสุดมากกว่ากัน แต่เราต้องเข้าใจว่าการบริจาคในที่นี้หมายถึงการบริจาคทรัพย์สิน ถ้าพระเวสสันดรบริจาคตนเองก็ไม่ใช่การบริจาคทรัพย์สิน ถือว่าผิดจุดประสงค์ของการบริจาคทาน แต่บุตรภรรยาเป็นทรัพย์สินที่พระเวสสันดรสามารถทำอะไรก็ได้ ดังนั้น ผมขอสรุปสั้นๆ เลยครับว่า การที่พระเวสสันพรได้บริจาคทรัพย์สินเป็นทานนั้น บุตรภรรยาถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของพระเวสสันดรที่จะทรงบริจาคได้ครับ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ย. 00, 13:00 อืมมม น่าฟังและน่าคิด
ถ้าพระเวสสันดรบริจาคตัวเองก็ไม่ใช่การบริจาคทรัพย์สิน ทรัพย์สินมีค่าที่สุดคือลูกเมีย เรียกว่าของนอกกายงั้นมั้งคะ ส่วนกายของเราไม่ใช่ จึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตการบริจาคทาน ถ้าหากว่าเป็นยุคนี้ บุคคลอย่างพระเวสสันดรสามารถจะบำเพ็ญทานบารมีในลักษณะเดียวกันได้รึเปล่านะ ดิฉันว่าไม่ได้ ต่อให้มีจิตใจอย่างพระเวสสันดรก็เถอะ มันน่าจะก่อปัญหาตามมาอีกไม่น้อยเลย ทั้งด้านกฎหมายและศีลธรรม คนที่บริจาคร่างกายเป็นทาน ให้เป็นอาจารย์ใหญ่ น่าจะได้ทานบารมี (มากน้อยอีกเรื่อง)นะคะ คุณๆว่ายังไง กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 29 พ.ย. 00, 13:28 I heard that even you do not donate body but blood or any organ of the body, you make the most merit and virtue ka.
กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ทิด ที่ 29 พ.ย. 00, 18:48 ผมกลับมองว่าที่พระเวสสันดรไม่บริจาคตัวเองเป็นทานเพราะไม่มีใครขอครับ
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่ถ้ามีผู้ร้องขอให้พระเวสสันดรบริจาค "อิสรภาพ" ผมว่าท่านก็คงจะให้เหมือนกัน กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 29 พ.ย. 00, 21:03 เท่าที่จําได้
มีทีเป็นกระต่ายกระโดดเข้ากองไฟ (สละชีพเป็นอาหาร) กับเเล่เนื้อชั่งกับนกพิราบ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 29 พ.ย. 00, 21:57 กระต่ายโพธิสัตว์โดดเข้ากองไฟ เคยได้ยินครับ แต่เชือดเนื้อตัวเองชั่งแลกกับชีวิตสัตว์อีกตัวหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นพระโพธิสัตว์ (พุทธ) ยังกับว่าจะเคยอ่านว่าเป็นนิทานสันสกฤตทางศาสนาฮินดู จะเป็นท้าวอัชบาลในรามเกียรติหรือยังไงนี่แหละ ผมยังจำกลอน (ที่ไม่รู้ใครแต่ง) ได้เลยว่า
- ครั้นสิ้นมังสะในพระองค์ มิอาจดำรงพระกายได้ เสด็จสวรรคคัลไลย ไปยังชั้นฟ้าสวัสดีฯ เรื่องพระเวสสันดร สุดแต่คนจะตีความครับ นานแล้ว ผมเคยอ่านงานของพระสายสวนโมกข์รูปหนึ่ง ดูเหมือนท่านใช้นามปากกาว่า ภิกขุโพธิแสนยานุภาพ ตีความชาดกเรื่องนี้ใหม่หมดว่าเรื่องนี้ทั้งเรื่องเป็นปริศนาธรรม ตัวละครทุกตัวเป็นสัญลักษณ์แทนนามธรรม คือไม่ใช่เจ้าชายชื่อเวสสันดร เจ้าหญิงชื่อมัทรี เด็กสองคนชื่อกัณหากับชาลี ฯลฯ แต่เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในจิตมนุษย์ทั้งหมด ชูชกเป็นกิเลสตัวหนึ่ง มัทรีเป็นสัญลักษณ์อะไรอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ เข้าท่ามากครับ แต่เสียดาย ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ประเด็นก็คือว่า ถ้าไม่มีตัวตนสัตว์บุคคล เสียแล้ว ประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนางมัทรี หรือสองกุมาร ก็จะไม่มี เพราะการที่พระโพธิสัตว์หรือผู้มุ่งในธรรมจะบำเพ็ญเพียรเพื่อสลัดตัดกิเลสตัวใดตัวหนึ่งในจิตใจ มันไม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยขนของบุคคลจริงๆ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 29 พ.ย. 00, 22:15 ใครเคยอ่านนิทานแขกฮินดูเรื่องท้าวหริศจันทร์บ้างครับ เรื่องนั้นเป็นต้นตระกูลหนังอินเดียโศกเศ้าเคล้าน้ำตาที่เราเห็นสมัยนี้เลยแหละ ท้าวหริศจันทร์เป็นกษัตริย์ที่ยึดถือวาจาสัตย์ยิ่งนัก วันหนึ่งเกิดเหตุให้ทำอะไรที่ขัดใจฤษีวิศวามิตร แล้วทรงตกปากรับคำพระมหาฤษี (ซึ่งผมเองไม่ชอบแกเท่าไหร่ เรื่องนี้ แกเป็นผู้ร้าย ไม่ค่อยเหมือนฤาษีเลย) ว่าจะถวายทักษิณาทานให้ ฤษีวิศวามิตรได้ทีก็เรียกร้องราชสมบัติทั้งหมด ให้พระราชาออกจากเมืองของพระองค์เองไป แล้วก็ยังเรียกร้องทักษิณาทานอีก พระราชาไม่มีให้ ก็จำต้องขายพระมเหสีและพระราชบุตเป็นทาสเอาเงินมาทำบุญกับฤษีตามที่ลั่นปากไว้แล้ว (คล้ายๆ วัดไหนก็ไม่รู้สมัยนี้ ...) จนถึงที่สุด ยังไม่หนำใจฤษียังตามมาทวงบุญอีก ก็ขายพระองค์เองลงเป็นทาสให้กับคนวรรณะต่ำสุด คือนายป่าช้า ทนทุกข์ทรมานรับใช้สัปเหรอรายนั้นอยู่ปีหนึ่ง เพราะยึดมั่นวาจาสัตย์ จนทนไม่ไหวก็จะปลงพระชนม์องค์เอง เพราะได้ทรงพบอดีตพระราชินีที่เอาศพเด็ก คือพระกุมาร ซึ่งถูกงูกัดสิ้นพระชนม์ มาเผาที่ป่าช้า พอสองพระองค์พร้อมใจกันจะเสด็จเข้ากองไฟที่เผาพระโอรส ก็ร้อนไปถึงเทวดา ต้องลงมาบอกว่า ทั้งหมดเป็นการลองใจพระองค์ คนที่มาซื้อพระองค์และพระราชวงศ์ไปเป็นทาสก็ล้วนเป็นเทวดาจำแลงมาดูใจทั้งนั้น เห็นใจแล้ว ทั้งพระวิศวามิตรก็หายโกรธแล้ว เชิญเสด็จขึ้นสวรรค์เถิด...
เหมือนหนังแขกไหมครับ แต่เรื่องนี้คุณเทาชมพูคงชอบ เพราะพระราชาหริศจันทร์ในที่สุดก็ขายพระองค์เองเป็นทาสเองด้วย (แต่ขายเมียกับลูกก่อน) กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 30 พ.ย. 00, 13:04 ผมเคยอ่านที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบ
พระเวสสันดรเกิดมาเพื่อบำเพ็ญทานบารมีให้เต็มและเป็นชาติสุดท้ายด้วย จึงมีกำลังใจสูงมากในการบริจาคทาน แม้ปกติท่านยังมีปรารภว่าทำไมไม่มีใครมาขออวัยวะหรือชีวิต ท่านจะยินดีให้ทันที การที่ท่านได้ให้ช้างวิเศษไปก็ด้วยความเมตตาต่อมวลมนุษยชาติโดยไม่แบ่งประเทศ หรือเชื้อชาติ เมื่อประเทศของพระองค์มีความบริบูรณ์แล้ว จึงมอบช้างให้ชาติที่กำลังเดือดร้อนและต้องการจริงๆ เพราะทรัพยากรใดหากเก็บไว้เฉยๆไม่ได้ใช้ แม้จะราคาสูงสักเพียงใดก็ไร้ค่า กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 30 พ.ย. 00, 13:16 หากประชาชนไม่เข้าใจจึงขับไล่ท่านออกจากเมือง
ซึ่งท่านรู้ตัวว่าจะลำบาก ได้ห้ามปรามลูกเมียไม่ให้ตามไป แต่ลูกเมียท่านก็ยังขอติดตามและปฏิญาณมอบชีวิตให้เป็นสิทธิขาดของท่าน การที่ท่านมอบลูกให้ชูชกนั้นก็ด้วย ทั้งไม่ต้องการให้ลูกต้องทนลำบากอยู่ในป่าต่อไปอีก และที่สำคัญท่านทราบว่าชูชกเป็นคนโลภมาก ท่านจึงกำหนดให้ชูชกไว้เสร็จว่าลูกท่านมีราคาต้องไม่น้อยกว่าเท่าไร ซึ่งเงินขนาดนั้นก็มีเพียงกษัตริย์หรือก็คือพระบิดาของท่านเท่านั้นที่จะมีทรัพย์มาไถ่ได้ ฉะนั้นเมื่อชูชกได้ลูกท่านไปแล้ว อย่างไรลูกท่านก็ต้องได้กลับไปอยู่ในวังแน่นอน มิฉะนั้นลูกก็จะไม่ยอมจากท่านไป กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 00, 13:18 รับฟังอย่างตั้งใจทุกเรื่องค่ะ ทุกท่าน
อ้าวคุณนกข. ทำไมเล่นมาเดาใจว่าชอบ เพราะใครขายตัวเองเป็นทาสล่ะคะ อืมม์ ถ้าพระราชาหล่อๆยอมเป็นทาสก็น่าซื้อนะ กลัวอย่างเดียว เอาเข้าจริงกลายมาเป็นนาย เรากลายเป็นนางทาส ...เห็นมาเยอะแล้ว คุณถาวภักดิ์ หายไปพักใหญ่ก่อนserver ล่ม ขอต้อนรับค่ะ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 30 พ.ย. 00, 13:33 ครั้งพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระดาบส เมื่อยังเป็นพระอนิตยโพธิสัตว์ก็เคยกระโดดลงจากหน้าผาให้ร่างกายเป็นทานแก่เสือที่กำลังอดโซมาแล้ว
ขอบคุณคุณเทาชมพูครับที่ให้การต้อนรับอบอุ่นเหมืนเคย ผมไปอยู่บ้านนอกมาเกือบเดือนเลยไม่ค่อยได้เข้ามาครับ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 01 ธ.ค. 00, 07:50 คุณ ถาวภักดิ์ มาแล้วไม่เห็นมานานค่ะ รู้ละเอียดจริงๆ ขอยกย่องค่ะ ติดใจ
ตั้งแต่เขียนเรื่องธรรมะค่ะ แหะๆ ยังไม่ได้เอารูปพระพุทธทาส ตรงคำสอนมา่ โพสต์เลย รูปใหญ่ไป โพสต์ยังไงก็ไม่ได้นอกจากจะตัดให้เล็กลงซึ่งก็จะทำให้เนื้อหา บางอย่างหายไปเลยไม่ทำ เคยดูเรื่องพระเวสสันดร ตอนประถมน่ะค่ะ มาอ่านกระทู้นี้ แล้วเรียกความจำกลับมาเชียวค่ะ ได้ยินมาว่าการบริจาคทานนี่คือการเสียสละจริงๆ เพราะทำให้เราละความโลภไปได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ายังมีใครเหมือนพระเวสสันดรในสังคมปัจจุบันมั้ย ไม่รวมพระที่ท่านตรัสรู้นะคะ เพราะว่าการบริจาคของพระเวสสันดรเท่าที่รู้และอ่านจากกระทู้นี้ช่างมากเกินคำบรรยาย ถ้าในสังคมไทย มีคนคิดทำเพื่อส่วนรวมมากๆ แค่ส่วนหน฿ึ่งใน ๔ ของพระเวสสันดรก็คงจะดีกว่านี้นะคะนี่ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 01 ธ.ค. 00, 08:43 สวัสดีครับ คุณยู้
พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์ชาติสุดท้าย ก่อนจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้บำเพ็ญบารมีในฐานะพระนิตยโพธิสัตว์มาแล้วถึง 4 อสงไขยกับ 1 แสนกัป นับตั้งแต่ครั้งเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบสและได้รับลัทธิพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งนั้น ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นองค์ใด คิดว่าน่าจะเป็นสมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยธรรมชาติของพระโพธิสัตว์ แม้จะบำเพ็ญบารมีมาไม่นานจนถึงขั้นเป็นนิตยโพธิสัตว์ ก็ย่อมต้องมีกำลังใจเข้มแข็งมาก เพราะมีความปราถนาจะช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ จึงจะต้องมีน้ำใจสละได้ทุกอย่าง กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 01 ธ.ค. 00, 08:52 ผู้ที่มีปฏิปทาเหมือนพระโพธิสัตว์อย่างโดดเด่นที่สุด ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นเอง
กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 01 ธ.ค. 00, 09:11 แต่อย่างไรก็ดีพระโพธิสัตว์ก็ยังมีกิเลส ผู้ที่จะมีกิเลสเบาบางเป็นลำดับจนสิ้นกิเลสได้ ก็แต่เฉพาะพระอริยะบุคคลเท่านั้น
พระพุทธเจ้าของเราเมื่อครั้งยังไม่ได้เป็นพระนิตยโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นนายช่างทองประพฤติล่วงละเมิดศีลข้อ 3 ต้องเสียเวลาบำเพ็ญบารมีไปตกนรก ไปเป็นเดรัจฉานอยู่นับชาติไม่ถ้วน กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 01 ธ.ค. 00, 09:17 จึงเห็นได้ว่าการหวังพึ่งผู้อื่นนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พระพุทธองค์จึงตรัสสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
สังคมใดจะดีได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ คนเพียงคนเดียว หรือคณะเดียว หากขึ้นอยู่กับคนทุกคนในสังคมนั้น ที่จะต้องอยากดี ทำดี และช่วยกันกำจัดความชั่วด้วยตัวเอง กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 01 ธ.ค. 00, 18:17 ว้าวคุณ ถาวิภักดิ์ ตอบมาได้ดีมากเลยค่ะ ใช่ในหลวงของเรานี่เอง
่ที่ใครๆ ก็ยกย่องเสียดายยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า เลยค่ะ เมื่อเร็วๆ นี้ทางมหาลัย uc berkeley in CA ก็ประกาศให้ประกาศนียบัตรในหลวงของเรา แบบไม่เคยให้ใคร ในรอบร้อยกว่าปีได้ ค่ะ :) กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 01 ธ.ค. 00, 22:48 ิโอ๋สะกดชื่อคุณ ถาวภักดิ์-ผิดค่ะ มาแก้หน่อยแล้วกัน ว่างๆ ก็เขียนบทความทางพระพุทธศาสนา
มาลงอีกนะคะ คิดว่าท่านอื่นๆ คงอยากอ่านเหมือนกันค่ะ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 04 ธ.ค. 00, 14:09 ขออภัยคุณยู้ครับ ที่เงียบไปไม่ได้ตอบ เนื่องจากไปต่างจังหวัด เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า
ถ้าชอบเรื่องธรรมะ อยากแนะนำให้อ่านจากWeb sites หลายๆแห่ง เช่น smart.in.th/buddhist/link_buddha.html จะเป็น link รวม Web Sites ไว้จำนวนมาก นอกจากนี้ ถ้าชอบแบบกระดานสนทนา ลองดู dharma.school.net.th/cgi-bin/bd_list.pl แต่ถ้าสนใจธรรมะขั้นสูงละก้อ ต้องเรียนจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์แล้วเท่านั้น หากศัทธาท่านพุทธทาสอยู่แล้ว ก็น่าหาหนังสือของท่านมาอ่านเพิ่มเติม ผมเป็นเพียงผู้ใฝ่รู้เท่านั้น ยังไม่ใช่ผู้รู้จริง ธรรมะที่ผ่านผมจึงเป็นเพียงการจดจำมาเล่าต่อ และอาจบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไป ด้วยทิฐิ และความจำอันกระพร่องกระแพร่งส่วนตนได้ แต่อย่างไรก็ขอขอบคุณในคำชมครับ ดังระบุเป็นนัยยะข้างต้นว่ายังเต็มไปด้วยกิเลส เป็นเหตุให้ชอบคำชมที่คุณยู้มอบให้เป็นอย่างยิ่งครับ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 06 ธ.ค. 00, 06:10 ขอบคุณ คุณ ถาวภักดิ์ มากค่ะสำหรับเวบเพจ เข้าไปดูมาแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดมากนักค่ะ
แต่ชอบมากกกกกกกกกค่ะ :) ขอบคุณค่ะ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 07 ธ.ค. 00, 09:11 มีข่าวดีสำหรับผู้ฝักใฝ่ธรรมะครับ
เพื่อนของผมท่านหนึ่งเป็นตัวตั้วตัวตีจัดทำหนังสือรวบรวมธรรมของหลวงปู่มั่น เมื่อได้ยินได้ฟังถึงความวิริยะอุตสาหะของคณะผู้จัดทำแล้ว สำนึกได้ว่าไม่ไช่สิ่งที่จะทำขึ้นได้ง่ายๆ เฉพาะธรรมะของหลวงปู่มั่น ก็เปรียบเหมือนแก้วมณีโชติที่ประเมินค่าไม่ได้ จะเสียดายมากหากตกไปอยู่ในมือวานร ฉะนั้นหากท่านใดคิดว่าจะสามารถใช้ธรรมะของท่านให้เป็นประโยชน์สมคุณค่าได้ ก็โปรดส่งชื่อที่อยู่ให้ผมตาม email ข้างต้น เพื่อนของผมท่านนี้มีความประสงค์จะจัดส่งให้เป็นธรรมทานโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ขอความกรุณาวานรทั้งหลายโปรดอย่าก่อกรรม ตัดรอนความก้าวหน้าทางธรรมของท่านอื่นด้วยการขอหนังสือไปอย่างไม่รู้จักใช้ให้เต็มคุณค่าเลยครับ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 07 ธ.ค. 00, 18:32 อยากได้นะคะ แต่ว่าอยู่ต่างประเทศ ไม่อยากให้เสียตังค์ส่งมาให้ฟรีๆ
เอาเป็นว่า ตอนกลับเมืองไทยไปเอาเองได้มั้ยคะ แต่ต้อง พค ปีหน้านะคะ กลับบ้านแน่ๆ อยากกลับ คริสมาสตร์นี้ด้วยที่จริงแล้ว แต่ว่าต้องส่งใบสมัครต้น มคนี้ ยังไม่เสร็จเลยค่ะ เอาเป็นว่า ถ้าคุณ ถาวภักดิ์ สามารถเก็บไว้ได้จนตอนนั้น ก็จะขอบคุณมากค่ะ ไปเอาเองหรือเสียค่าส่งตอนอยู่เมืองไทยคงจะถูกกว่าค่ะ แค่ไม่เสียเงินค่าหนังสือแบบธรรมะนี่ก็รู้ส฿ึกแย่แล้วค่ะ ยังต้องมาส่งฟรีให้อีก รู้สึกแย่ๆเข้าไปใหญ่ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 08 ธ.ค. 00, 08:13 ขอโมทนาในความใฝ่ในธรรมของคุณยู้ครับ
ถ้ารู้สึกเช่นนั้น ก็ส่งที่อยู่ที่เมืองไทยมาเลยดีกว่าครับ ผมกำลังรวบรวมส่งให้เพื่อนท่านนั้นอยู่ รอไว้ทีหลัง เกรงจะขลุกขลัก กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ยู้ ที่ 08 ธ.ค. 00, 13:19 ไม่ทราบว่าเบอร์อีเมลล์คุณ ถาวภักดิ์ผิดเปล่าคะ ส่งไม่ได้คะได้ข้อความกลับมาค่ะว่าที่อยู่ผิดค่ะ
ขอรบกวนโพสต์อีเมลล์อีกรอบนะคะ ขอบคุณค่ะ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 08 ธ.ค. 00, 17:01 ลอง address นี้ดูนะครับ
กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: เชาว์ ที่ 13 ธ.ค. 00, 13:08 ขอแจมหน่อยครับ พอดีชอบตอนนี้:)
ผมว่า การให้ลูก เมียเป็นทานได้เนี่ยแสดงว่าใจแข็งสุดๆแล้วนะครับ เพราะ ลูกและเมียเป็นบุคคลที่เราย่อมรักสุดๆอยู่แล้วนะครับ และผมว่า ท่านคงมีใจที่พร้อมจะให้ทานที่ยิ่งใหญ่สุด (สละลูกเมีย) ข้อคิดที่น่าจะได้จากชาตินี่น่าจะเป็นเรื่องใจนะครับ การให้ทานน่าจะเริ่มจากใจ ให้ด้วยใจ พอวกกลับไปอ่านของคุณเทาชมพู ก็ดูคล้ายๆกัน แต่ถ้าผมว่าระหว่างให้ตัวเอง กับ ให้ลูกนี่ ให้ตัวเองคงจะง่ายกว่า นะครับ เพราะ การทนเห็นลูกทนทรมาน มันคงบาดใจสุดๆสำหรับพระเวสสันดรแล้ว ขนาดท่านยังเกือบที่จะชักมีดออกมาฟันชูชกเลยแต่ยังมีสติเตือนตัวได้ แต่ถ้าเป็นตัวเองถูกทรมานยังไงก็พอกัดฟันทนได้ กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: bun ที่ 19 ก.ย. 18, 11:19 ผมว่า เวสสันดร ไม่ได้ให้ทานลูก ทานเมีย ให้ใครเลย แต่มีความตั้งใจจริงที่จะทำจิตตนเองให้บริสุทธิ์
กระทู้: มองต่างมุมกับพระเวสสันดร เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 29 ก.ย. 18, 20:55 ผมว่า เวสสันดร ไม่ได้ให้ทานลูก ทานเมีย ให้ใครเลย แต่มีความตั้งใจจริงที่จะทำจิตตนเองให้บริสุทธิ์ ปัญจมหาบริจาคเป็นคุณธรรมสำคัญที่พระโพธิสัตว์จะขาดเสียมิได้ ทานเป็นก้าวแรกแห่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะบำเพ็ญบารมีข้อนี้เป็นพิเศษ โดยท่านแยกประเภทแห่งทานบารมีหรือปัญจมหาบริจาคที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญออกเป็น ๓ ระดับคือ ๑. การสละทรัพย์วัตถุสิ่งของภายนอก เป็นทานบารมี ๒. การสละอวัยวะ เลือด เนื้อ เป็นทานอุปบารมี๓. การสละชีวิต เป็นทานปรมัตถบารมี พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญทานบารมีอันนับเนื่องในปัญจมหาบริจาคมาโดยตลอดทุกภพทุกชาติจวบจนพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระเวสสันดรพระโพธิสัตว์คือผู้มีอุดมการณ์ที่จะบรรลุพระโพธิญาณจะต้องมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ ต้องเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษ มีอุปนิสัยสมบัติที่จะบรรลุมรรคผลได้ ตั้งความปรารถนาในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ ได้เคยบวชเป็นภิกษุหรือดาบส ได้สมาบัติ ๘ และ อภิญญา ๕ อาจสละชีวิตแก่พระพุทธเจ้าได้ มีฉันทะอุตสาหะในการบำเพ็ญพุทธการกธรรม คือบารมี ๑๐ และจะต้องบำเพ็ญปัญจมหาบริจาคให้ครบเพราะเป็นธรรมสำหรับพระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ช้าที่สุด ๑๖ อสงไขย ๑ แสนกัป ถ้ามิเช่นนั้นอาจบรรลุแค่ปัจเจกภูมิหรืออรหันตภูมิเท่านั้นพุทธภูมิคือภูมิธรรมชั้นสูงสุด การที่พระโพธิสัตว์จะได้บรรลุภูมิธรรมนี้ ต้องแลกด้วยความเหนื่อยยากลำบากด้วยการบำเพ็ญปัญจมหาบริจาคเพราะเป็นการบริจาคครั้งยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าการบริจาคทั่วไป จึงเรียกว่า มหาบริจาค เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญจมหาบริจาคได้ครบแล้วและถึงกาลเวลาอันเหมาะสมจึงจะบรรลุพระโพธิญาณได้ เพราะปัญจมหาบริจาคเป็นประดุจ พาหนะนำพาพระโพธิสัตว์ให้ถึงพระโพธิญาณ http://www.mcu.ac.th/site/thesiscontent_desc.php?ct=1&t_id=398 มีงานวิจัยอยู่ครับ สามารถ download บทคัดย่อมาอ่านได้เลย |