.
ขออนุญาตนำเสนอบทความนี้ครับ .....
ไทยแลนด์โมเดล..สำเร็จ แต่อย่างเพิ่งหลง?https://www.isranews.org/article/isranews-article/87720-thira.htmlเขียนโดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
เขียนวันศุกร์ ที่ 17 เมษายน 2563 เวลา 15:16 น.
สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และอื่นๆ คือกลุ่มประเทศที่เคยมีประวัติคุมโรคระบาด COVID-19 ได้ดี
แต่สุดท้ายพอเปิดเมือง โดยคุมพฤติกรรมของประชาชนไม่ได้ จำนวนเคสติดเชื้อก็พุ่งพรวดพราดอย่างรวดเร็ว จนคุมยังไม่ได้อีก
เมืองไทยต้องระวังให้ดี
เห็นความกระดี๊กระด๊าของหลายจังหวัด ตั้งท่าจะเปิดเมือง หลังเห็นตัวเลขลดลงจากหลักร้อยมาหลักสิบ แล้วรีบออกคำสั่งกันใหญ่
ออกคำสั่งมาแล้วมาแก้กันตอนหลัง บ่งถึงการไม่ได้ใคร่ครวญให้รอบคอบรอบด้านถึงผลที่จะเกิดขึ้น
และ...ไม่ได้นำความรู้มาชี้นำนโยบาย...
เราทราบกันดีว่า การทำให้คนหยุดนิ่ง ย่อมกระทบต่อการทำมาค้าขาย ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม มีคนเดือดร้อน
แต่สุดท้ายถ้าทำมาค้าขาย จนติดเชื้อกันถ้วนหน้า จะกลายเป็น...เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย...เพราะค่ารักษานั้นสูงกว่าเงินที่ได้จากการค้าขายอย่างมาก
...โรคระบาด COVID-19 นี้เป็นโรคของโลกทุนนิยม เกิดจากการใกล้ชิด สุงสิงกัน
และเกิดจากความประมาท เอาง่ายเอาสบาย เมามายเถลไถล ไร้ระเบียบวินัยครับ...
นี่ไม่ใช่การปรักปรำโรคนี้ แต่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ครับ
โมเดลที่ดีและน่าปฏิบัติตามคือ ไต้หวัน ที่มีความเคร่งครัดและมีระเบียบวินัย จนทำให้เค้ามีคนติดเชื้อแค่หลักร้อย และตายเพียง 6 คน
สำหรับเมืองไทยของเรา วันนี้ติดเชื้อใหม่ 28 คน...รวมแล้วมีคนติดเชื้อสะสมทั้งสิ้น 2,700 คน
น่าดีใจครับเพราะแนวโน้มค่อยๆ ลด แต่ต้องไม่เหลิง ไม่ประมาท
บอกตรงๆ ว่า จะเริ่มลองผ่อนคลายมาตรการ ถ้าเอาแบบเซฟหน่อยตามความเห็นส่วนตัวคือ
การพยายามกดกราฟการระบาดให้แตะเส้น 5% ซึ่งน่าจะประมาณ 15 พฤษภาคม โดยจะมีจำนวนเคส สะสมราว 3,000 กว่าคน
ทั้งนี้ในช่วงเวลา 3-4 สัปดาห์ถัดจากนี้คือ ช่วงที่รัฐบาลและทุกคนในประเทศควรจะต้องเตรียมตัว เตรียมงาน เตรียมสังคม ให้พร้อมกับการผ่อนมาตรการเข้มให้อ่อนลงได้
หนึ่ง...เตรียมระบบการตรวจคัดกรองโรคให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีประสิทธิภาพ ในทุกพื้นที่
หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ในพื้นที่ที่จะทดลองผ่อนคลายมาตรการ ต้องมีระบบนี้เข้มแข็งจริงๆ
สอง...เตรียมอุปกรณ์ป้องกัน หน้ากาก เจล ให้ทุกคนมีเพียงพอ
สาม...ทำให้เกิดกระแสพฤติกรรมที่ทุกคนทำกันเป็นกิจวัตร อยู่ห่างๆ กัน ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากเสมอ
สี่...บังคับใช้กฎหมายจัดการคนที่ทำพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ใช่ว่าจะจับก็ไม่แน่ใจ จับแล้วก็ถูกยกฟ้อง ฯลฯ
ห้า...กำหนดรูปแบบการทำงานอาชีพต่างๆ กิจการต่างๆ ให้ดำเนินการอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยง และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
เตรียมแค่นั้นไม่พอ ต้องตั้งเป้า ประเมินด้วยว่า ผ่อนไปแล้ว ผลเป็นอย่างไร ถ้ามีแนวโน้มเริ่มไม่ดี ก็ต้องรีบจัดการก่อนเหตุการณ์จะบานปลายแบบที่เราเห็นในประเทศอื่นๆ
ไทยแลนด์โมเดล...ที่เราทำมาตั้งแต่ 19 มี.ค. 2563 นั้น ประสบความสำเร็จได้ถึงตอนนี้
เพราะเราทำมาตรการต่างๆ เร็วกว่าประเทศอื่น เราจึงไม่ประสบหายนะอย่างที่ที่อื่นเค้าเจอกัน
ดังนั้น การรับรู้ถึงความเสี่ยง และตัดสินใจทำนโยบายและมาตรการต่างๆ โดยให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในชีวิตคนเป็นอันดับแรก จึงเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือปฏิบัติ
ขืนไปเฮโลตามประเทศอื่นๆ ที่ระบาดหนัก แถมจะเปิดเมืองตามเค้า ก็อาจตกกับดักแบบเดียวกับเค้าได้
เรื่องอดอยาก ตอนนี้หลายฝ่ายก็ร่วมด้วยช่วยกันบรรเทา
ตอนนี้รัฐควรทุ่มสรรพกำลังวางแผนทั้ง 5 นั้นให้ละเอียดในช่วงเวลา 3-4 สัปดาห์ที่มี
ถึงตอนนั้น เราจะมีทางเลือกสำหรับลองปฏิบัติผ่อนคลายมาตรการ ภายใต้ความมั่นใจระดับหนึ่งครับ...
จงมั่นใจในสิ่งที่เราทำมา...
จงใจแข็งที่จะใช้หลักวิชาการมาดูแลประชาชน...
จงจัดการปัญหาที่เกิดจากกิเลสและอารมณ์...
เราจะรอดได้ ถ้าเรามีหลักการ และมีน้ำใจช่วยเหลือแบ่งปันแก่กันและกัน
เป็นกำลังใจให้กับทุกคน...
ขอขอบคุณ :
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
และ สำนักข่าวอิศรา
ญี่ปุ่นไม่เคยปิดเมืองตั้งแต่ต้นครับ และความสามารถทางการแพทย์ของญี่ปุ่นก็มีจำกัดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ถ้าตามอ่านในเพจเกี่ยวกับญี่ปุ่นจะทราบดีว่า ทั่วญี่ปุ่น เน้นนะครับ ทั่วเกาะญี่ปุ่นมีเตียงไว้รองรับผู้ป่วยโควิดไม่เกิน ๒,๐๐๐ เตียงมาตั้งแต่ต้น
และญี่ปุ่นก็ไม่มีชุดตรวจโควิดที่มากพอ ทำให้ญี่ปุ่นใช้วิธีไม่ตรวจให้ ถ้าไม่อาการหนักจริง ๆ
ในช่วงต้นการระบาด รัฐบาลญี่ปุ่นคุมได้ แต่เนื่องจากยังไม่ห้ามคนจีนเข้า จึงเริ่มมีคนติดเชื้อจากจีน และมาเป็นการกระจายมาก ก็ตอนเทศกาลข้าวเกรียบรวยเพื่อนที่ผ่านมานี่เอง
จนในที่สุดต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครับ
ส่วนไต้หวันที่คุมได้ดี เพราะห้ามคนจีนเข้าตั้งแต่แรก แถมยังมีการบริหารจัดการเครื่องอุปกรณ์ป้องกันโรคทุกชนิดให้ได้อย่างดี
และยังเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากให้ได้วันละ ๑๔ ล้านชิ้น!!! (ประเทศไทยยอดรวมทั้งหมด ๑ เดือนได้ประมาณ ๓๐ ล้านเองครับ เท่ากับไต้หวันผลิตราว ๆ ๓ วัน)
ส่วนที่บอกว่าเป็นโรคทุนนิยม ตรงนี้ก็รู้สึกขำกับทัศนคติของผู้เขียนบทความ
เพราะโรคนี้ ไม่ได้เลือกจากการปกครอง หรือเลือกจากสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศใด ๆ
ที่ถูกผู้เขียนควรบอกว่า การระบาดหนัก เกิดมาจากสุขนิสัยของคนในประเทศนั้น และความด้อยประสิทธิภาพของผู้รับผิดชอบทั้งในระดับระหว่างประเทศ(WHO) และในระดับประเทศ(แต่ละรัฐบาล)
ถ้า WHO รีบประกาศให้ทุกประเทศทั่วโลกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และ ออกคำสั่งให้ห้ามเคลื่อนย้ายหรือเดินทางระหว่างประเทศ ตั้งแต่จีนประกาศปิดเมือง ทุกอย่างมันจะไม่เลวร้ายขนาดนี้
แต่ WHO ก็ประเมินผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้ง ๆ ที่ตัวเลขมันก็เริ่มพุ่งขึ้นอย่างมีนัยที่ชัดเจน แบบนี้จะเรียกว่าเป็นโรคของทุนนิยมมันเหมาะหรือครับ ?
ส่วนรัฐบาลอื่น ๆ ก็เชื่อตาม WHO ผลมันถึงเป็นอย่างที่เห็น