เรือนไทย

         หนังบางเรื่อง ช่วงขณะที่รับชมเหมือนดั่งต้องมนต์จนลืมโลก บางครั้งทำให้โศกซึ้งถึงร้องไห้
บางคราวหัวเราะ สุขใจ บางทีก็ตกใจ หวาดกลัว   

           กระทู้นี้รวบรวมเรื่องราว ภาพ ฉากประทับใจ ลืมไม่ลง จากหนังเก่ามากและเก่าน้อย
ทั้งหนังในกระแสและนอกกระแส ครับ

                     คำเตือนก่อนการรับชม   

           เนื่องจากภาพ และ เนื้อหาของกระทู้นี้ เป็นการเปิดเผยเรื่องราวของภาพยนตร์
           ท่านที่ไม่ประสงค์จะรับรู้เรื่องราวของภาพยนตร์ที่ท่านยังไม่ได้ชม โปรดปิดตา ครับ

ตามมาเสิฟผู้เข้าอ่านโดยพลัน

(http://images.taromakikung.multiply.com/image/Cil+86+YRqUArWV741BE+A/photos/1M/300x300/24/f7417af04aa428578eb9ae1c9cd0c09a.jpg?et=TSMNr8ILPXOQzxLFAaoNoQ&nmid=0)

/l\  สวัสดีครับ อาจารย์

ประเดิมด้วย
 
               Gone With The Wind (1939)
 
          หนึ่งในภาพยนตร์อมตะคลาสสิคตลอดกาล อุดมด้วยฉากประทับใจ ไม่ลืมเลือน
สร้างจากบทประพันธ์รางวัลพูลิทเซอร์ของ Margaret Mitchell
          ทำรายได้สูงสุดใน"ยุคทอง"ของฮอลลีวู้ด และได้รับออสการ์ 10 สาขา

            ชีวิตแสนสุขสบายของ Scarlett O'Hara คุณหนูแสนงาม ณ ฝ่ายใต้
สูญสิ้นสลายกลับกลายเพราะไฟสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา  

 

นางเอกหรือนางร้าย - Vivien Leigh สวมบทสการ์เล็ทได้ชนะใจทั้งคนดูและรางวัล

         เมื่อครั้งยังอยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัวอบอุ่นมีกันและกัน พ่อปลุกสำนึกลูกสาวเรื่อง Tara -
แผ่นดินที่รักของเรา

                สำหรับทุกคนที่มีสายเลือดไอริชในตัวตน แผ่นดินคือสิ่งเดียวในโลกนี้ที่มีค่าพอให้เรา
ตรากตรำ, ต่อสู้ หรือ ตายเพื่อ..มาตุภูมิ

Mr. O'HARA   
                   Do you mean to tell me Katie Scarlett O'Hara that
Tara, that land doesn't mean anything to you?
                   Why, land is the only thing in the world worth working for.
Worth fighting for, worth dying for. Because it's the only thing that lasts.

                   It's proud I am that I'm Irish. And don't you be forgetting, Missy,
that you're half-Irish too.
                   And to anyone with a drop of Irish blood in them, why the land
they live on is like their mother.
                  Oh, but there, there, now, you're just a child.
                  It'll come to you, this love of the land. There's no getting away
from it if you're Irish.

The only thing that lasts

                           http://www.youtube.com/watch?v=YSOYTFw0JaA

คุณหนูชุดแดงท่ามกลางทหารบาดเจ็บ(ซึ่งมีทั้งตัวประกอบและหุ่น) จากสงครามกลางเมือง

ไฟสงคราม เผาบ้านเมือง (อาคารที่เผาไหม้นั้นเป็นฉากจากหนังเรื่องเก่าก่อน)

            หลังสงครามกลางเมือง คุณหนูแห่งฝ่ายใต้ - ฝ่ายแพ้สงครามต้องกลายเป็นหญิงสาวยากไร้ แทบไม่มีจะกิน
ซ้ำยังมีปากท้องอื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบ คุณหนูจึงต้องผันตนเป็นหญิงแกร่ง ปฏิบัติภารกิจพลิกฟื้นปิตุภูมิที่รัก - Tara
        
          ฉากสุดท้ายของครึ่งแรก - สการ์เล็ท ผู้หิวโหยโรยแรง เดินไปคุ้ยดินหาหัวผักกินในไร่ (radish)

          พระองค์ทรงเป็นพยาน ลูกจะไม่ยอมแพ้ ลูกจะสู้ให้อยู่รอด จะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ต้องหิวอีก

            
                 As God as my witness....as God as my witness
they're not going to lick me.
              I'm going to live through this and when it's all over,
I'll never be hungry again.
              No, nor any of my folk. If I have to lie, steal, cheat, or kill,
as God as my witness, I'll never be hungry again.

I'll never be hungry again

                        http://www.youtube.com/watch?v=lMmHUnPJ3Is

             แม้จะแต่งตัวด้วยชุดดูดี(ที่ตัดจากผ้าม่าน) วางฟอร์มคุณนาย ร่ำรวยสุขสบาย แต่เธอก็ไม่สามารถ
หลอกชายชาญชีวิตอย่างเขาได้ เมื่อเขาสัมผัส "มือนาง" ที่หยาบกร้านจากงานในไร่ -

RHETT        What have you been doing with your hands?

SCARLETT   It's just that, I went riding last week without my gloves...

RHETT        These don't belong to a lady, you've been working with them
                 like a field hand. Why did you lie to me, and what are you really up to?

และ        
                ตอนจบ - เมื่อเร็ทรู้สึกเต็มกลืนสุดฝืนทน เขาตัดสินใจจากสการ์เล็ทไปอย่างไม่ไยดี
ไม่สนใจคำอ้อนวอนง้องอนของเธอ

S -   Rhett, Rhett where are you going?

R -   I'm going to Charleston. Back where I belong.

S -   Please, please take me with you.

R -   No. I'm through with everything here. I want peace. I want to see if somewhere
       if there is something left in life with charm and grace.
       Do you know what I'm talking about?

S -   No. I only know that I love you.

R -   That's your misfortune.

S -   Rhett! If you go, where shall I go? What shall I do?

R -   Frankly my dear, I don't give a damn.

.           Gone With The Wind: Frankly, My Dear Part 2 (http://www.youtube.com/watch?v=-W43OWu6LIg#)

             ประโยคอึ้งสุดท้ายนี้ กลายเป็นหนึ่งในประโยคจากหนังที่ฮิทติดใจผู้ชมตลอดกาล
             ครองอันดับ 1 Movie Quotes ของ AFI (American Film Institute)

           ในสมัยนั้น คำว่า 'Damn' คือหนึ่งในคำต้องห้าม ต้องเซนเซอร์ ผู้อำนวยการสร้าง David O. Selznick
ขอความเห็นใจในการที่ต้องคงประโยคนี้ไว้ว่า

              "The word as used in the picture is not an oath or a curse.
The omission gives an impression of unfaithfulness after three hours and forty-five minutes
of extreme fidelity to Miss Mitchell's work."

           ตำนานเล่าว่า ประโยคนี้ยังอยู่ ที่ไม่อยู่คือเงินจำนวน $5,000 ที่  Selznick ต้องจ่ายเป็นค่าปรับ
             แต่ข้อเท็จจริงคือ บอร์ดของ  Motion Picture Association ได้ผ่านข้อแก้ไขให้ใช้คำว่า hell
หรือ damn ได้ในกรณีที่

              "shall be essential and required for portrayal, in proper historical context,
of any scene or dialogue based upon historical fact or folklore ... or a quotation from
a literary work, provided that no such use shall be permitted which is intrinsically
objectionable or offends good taste."

             ถึงแม้เขาจะหมดรักและจากไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เธอจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมสูญเสีย เธอจะกลับไปบ้าน
- Tara และค่อยคิดหาทางนำคนที่เธอรักหวนคืนมา   

และ    อ.เทาชมพู ตอบเรื่องการจบอย่างกำกวมนี้ไว้ในกระทู่เก่าว่า

          เมื่อมองย้อนกลับไปจากวันนี้ เห็นว่าหนังเรื่องวิมานลอย สนุกเข้มข้นเต็มอิ่มในช่วงครึ่งแรก
ก่อนพักครึ่งเวลา เมื่อสการ์เล็ทกลับคืนมายัง Tara ที่รกร้างขาดแคลน
           ส่วนในครึ่งหลังนั้นเนื้อเรื่องดร็อปลงมาก จากสงครามกลางเมืองสู่สงครามชีวิต แล้ววนเวียน
อยู่กับเรื่องรักสับสนหัวใจของผู้หญิงที่กว่าจะรู้ใจตัวก็สายเกินไป
           
           ดีที่ครึ่งแรกสการ์เล็ทได้ใจคนดูไปแล้ว จึงยอมรับและอยู่ข้างเดียวกับเธอ ไม่รู้สึกรำคาญ(นัก)
และ การจบลงอย่างทิ้งปมเอาไว้ก็ช่วยทำให้ครึ่งหลังนี้มีความประทับใจค้างคาน่าจดจำมากขึ้น ครับ

บางภาพจากเว็บจับผิดหนัง

         ความต่อเนื่องคลาดเคลื่อน - Continuity

              เมื่อบิดาสกร์เล็ทกลับมาส่งข่าวว่าสงครมเลิกแล้ว เมลานียืนมือเปล่าอยู่บนบันได
แต่ไม่ทันไรลูกน้อยก็ปรากฏอยู่ในอ้อมแขนเธอ

       ข้อเท็จจริงผิดพลาด - Factual error

            เมลานีถือโคมไฟที่มีสายไฟฟ้าเดินตามแอชลีย์ที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บ

คุณ SILA ประเดิมด้วย Gone With the Wind  ก็เท่ากับเอาชิ้นปลามันไปรับประทานเสียหมดแล้ว   นึกไม่ออกว่าจะเอาก้างปลาหรือหางปลาที่ไหนมาต่อได้อีก :'(
เลยไม่เอาปลามาประชัน    ขอเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาตัวงามที่ยังเป็นอมตะในบรรดาหนังแฟนตาซี   American Film Institute ตัดสินให้เรื่องนี้เป็น The best American fantasy movie ever 

The Wizard of Oz
ดูหนังตัวอย่างดีกว่า จะได้ไม่ spoil

จูดี้ การ์แลนด์อายุ ๑๗ แต่เธอต้องเล่นเป็นหนูน้อยโดโรธีวัย ๑๒ 
เรื่องนี้เช่นกันที่เธอร้องเพลงอมตะ Over the Rainbow  ซึ่งกลายมาเป็นเพลงประจำตัวเธอ

คำรำพึงของโดโรธี  เมื่อพายุหมุนหอบเธอไปตกลงในดินแดน อ๊อซ  ว่า "Toto, I Don't Think We Are In Kansas Anymore"  กลายมาเป็นสำนวนติดปากคนทั่วอเมริกามาหลายสิบปี
ใช้ในความหมาย เมื่อกำลังจะเผชิญอะไรใหม่แปลก น่าตื่นเต้น ลึกลับ หรือมหัศจรรย์

            สำนวนของเขาฮิทจริงๆ ทั้งแพร่หลาย และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

ยังคงย้อนดูฉากประทับใจจากหนังเก่าคลาสสิค ครับ

               หนังขาวดำเรื่องนี้สร้างความประทับใจและเป็นที่รักของบรรดาผู้ชม จนเบียดชนะหนังอมตะอย่าง
Gone with the Wind ให้ไปอยู่ที่สอง ได้ขึ้นครองอันดับ 1 "หนังรัก" ของ American Film Institute

                       Casablanca (1942)

            คาซาบลังก้า ประเทศมอร็อคโคครั้งยังเป็นดินแดนในอาณัติ Vichy France คือจุดตั้งต้นการเดินทาง
สู่(ลิสบอนแล้วจึงไป)อเมริกาที่ปลอดสงครามโลกครั้งที่สอง
            หลากชีวิตหลายเชื้อชาติมุ่งสู่เมืองนี้ เพื่อหาทางต่อไปยังดินแดนอีกฟากฝั่งมหาสมุทร

               ริค ชายหนุ่มผู้มีอดีตที่ไม่มีใครล่วงรู้ดำเนินกิจการ ริค'ส์ คาเฟ่ สถานที่ผู้คนหลากหลาย
ทั้งแขกประจำ และขาจรแวะเวียนผ่านเข้าออก
              จนกระทั่งถึงวันแห่งการมาถึงของสาวสวย(มาก)คนหนึ่ง ผู้ซึ่งจะตอกย้ำรอยแผลเก่าในใจ
ริคให้อักเสบระบมด้วยเสียงเพลง
               เธอขอให้นักเปียโนในบาร์เล่นบทเพลงที่ริคห้ามบรรเลง
  
              "Play it once, Sam, for old times' sake."
 
              "Play it, Sam. Play 'As Time Goes By'."

                                 http://www.youtube.com/watch?v=2qujHKmU95o

                คืนนั้นหลังบาร์เลิก ริคบอกกับแซมว่า

            "You played it for her and you can play it for me,"
"If she can stand it, I can! Play it!"


          ภาพความหลังหวานชื่นเมื่อครั้งทั้งสองพบรักกันในปารีสหวนกลับคืน เมื่อนาซีบุกปารีสทั้งเขาและเธอ
- ริคและอิลส้าตัดสินใจเดินทางออกจากกรุงปารีสไปด้วยกัน แต่พอถึงวันนัดที่สถานีรถไฟ เธอกลับหายตัวไป
ฝากไว้เพียงจดหมายบอกลา(โดยไม่บอกสาเหตุ) ที่ถูกสายฝน(ปนน้ำตา?) ชะรอยหมึกให้พร่าเลือนหายไป

            ภาพประกอบเพลง(เคย)ฮิท Casablanca เสียงร้องโดย Bertie Higgins
ชื่อเพลงอิงชื่อหนัง เนื้อร้องเล่าเรื่องความรักความหลังของหนุ่มสาวอิงเนื้อเพลง As Time Goes By ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=dOmv8Los3dA

                     http://www.youtube.com/watch?v=dOmv8Los3dA

         เธอมาพบเขาหลังคาเฟ่ปิดแล้ว เพื่อขอร้องให้เขาช่วยหาหนังสือผ่านแดน (letter of transit)
ให้สามีเธอเพื่อเดินทางไปอเมริกา
          เธออ้อนวอนเพื่อให้เห็นแก่วันเก่าๆ ครั้งเราเคยรักกันที่ปารีส ริคบอกเธอว่า

                 I wouldn't bring up Paris if I were you. It's poor salesmanship.

         อิลส้าขอโอกาสให้เธอได้เล่าเหตุผลจำเป็นก่อน แต่ริคที่เจ็บแล้วจำไม่รับฟัง
         เมื่อวอนแล้วไม่ได้ เธอจึงใช้ปืนขู่ ผู้ชายอย่างริคจึงท้าให้ยิง ผู้หญิงอย่างอิลส้าจึงรินน้ำตา
และสารภาพว่า เธอเคยรักและยังคงรักเขามากมาย
            เธอเล่าเรื่องราวรักสาม"เศร้า" ที่ไม่ได้ตั้งใจว่า
            เมื่อเธอพบเขาในปารีสนั้น เธอคือสาวหม้าย วิคเทอร์สามีของเธอเป็นหัวหน้าขบวนการต่อต้านนาซี
ชาวเช็คถูกยิงตาย ก่อนวันนัดเธอได้ข่าวว่าแท้จริงแล้ว เขายังไม่ตายแต่ป่วยหนัก เธอต้องไปดูแลเขา
ที่เธอหายไปโดยไม่เล่าเรื่องนี้เพราะ ถ้าริครู้เรื่องริคคงไม่ไปจากเธอและปารีส เธอไม่อยากให้ริคเข้ามา
เกี่ยวข้องด้วยเกรงว่าจะถูกพวกเกสตาโปตามล่าไปด้วย
 
            เธอวอนขอให้ริคจัดการเรื่องสามีของเธอ ส่วนเธอนั้น

                  I'll never have the strength to leave you again.

           เมื่อชายสองคนผู้รักหญิงคนเดียวกันได้พบและเปิดใจคุยกัน วิคเทอร์บอกว่าเขาดูออกว่า
ริคและอิลส้ามี"ซัมธิง"กันและเขาไม่โทษใคร ไม่ต้องการคำอธิบาย สิ่งที่เขาขอคือให้ริคจัดการ
ส่งอิลส้าไปอเมริกา

             ฉากสุดท้าย ริคเสี่ยงภัยจัดการช่วยเหลือให้สามีของหญิงคนรักเดินทางหลบภัยไปอเมริกา
เขาบอกหญิงคนรักให้เธอร่วมเดินทางไปกับสามี เธอออกอาการงุนงง ริคบอกอิลส้าว่า

                   Inside of us we both know you belong with Victor.
 
           ส่วนเรื่องระหว่างเราทั้งสองนั้น  

                   We'll always have Paris. We didn't have, we'd lost it, until you came to Casablanca.
We got it back last night.

                   Ilsa, I'm no good at being noble, but it doesn't take much to see that
the problems of three little people don't amount to a hill of beans in this crazy world.
Someday you'll understand that. Now, now. Here's lookin' at you, kid.

            ริคยังทำเพื่อคนรักจนนาทีสุดท้าย เขาเคลียร์เรื่องราวรักสามเศร้ากับวิคเทอร์
โดยเล่าว่า
               อิลส้ามาหาเขา พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หนังสือผ่านแดน โน้มน้าวเขาให้เชื่อว่า
เธอยังรักเขาอยู่ ทั้งที่มันจบสิ้นไปนานแล้ว
             
              นายตำรวจแห่งคาซาบลังก้าผู้เห็นผู้คนมามากมายอ่านเรื่องราวออก บอกกับริค

                   You are a sentimentalist.

                What you just did for (Victor) Laszlo, and that fairy tale that you invented to send
Ilsa away with him.
                She went but she knew you were lying.

              ริค - พ่อพระ(เอก)ผู้เสียสละมองเครื่องบินพาหญิงคนรักจากไป
แม้ว่าเขาจะสูญเสียคนรัก แต่เขาก็ชนะใจคนดู และติดอันดับ 4 hero ของ American Film Institute

              โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยปลื้มบทนางเอกที่ออกแนวหญิงสองใจ รอบแรกที่ปารีสนั้น
ยังให้อภัยเพราะเข้าใจว่าตัวเองเป็นหม้าย แต่ที่คาซาบลังก้านี่ ดูเธอจะไม่ค่อยเหลือความรักให้สามี
เท่าไรแล้ว คงมีแต่หน้าที่ของภรรยา เพราะความรักนั้นได้มอบให้ริคจนหมดใจ
                 การที่ริคยอมเสียสละเธอไปครั้งนี้ นอกจากเพราะเหตุผลสวยงาม ความเหมาะสมต่างๆ แล้ว
อดคิดไม่ได้ว่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เรื่องของศักดิ์ศรี ที่ริคไม่ต้องการจะได้ชื่อว่าตัวเองเป็นชายชู้ ครับ

                                     http://www.youtube.com/watch?v=cfxJCdBFuLk

เรื่องนี้เป็นเรื่องของรักและศักดิ์ศรีในอุดมคติ กันทั้งพระเอกนางเอก      ที่สำคัญคือดาราเล่นได้ถึงบทถึงบาท ชวนให้เชื่อในอุดมคตินั้นจริงๆ    ถ้าเล่นไม่ถึงขั้น คนดูไม่เชื่อ  ก็จบกัน
ฮัมฟรีย์ โบการ์ดเล่นเรื่องนี้ได้มีเสน่ห์       ไม่ใช่เล่นแล้วหล่อ      ออกมาในมาดชายชาตรีที่มีรักแท้ แต่ถือศักดิ์ศรียิ่งกว่ารัก   ตามแบบพระเอกยุคเก่า   ส่วนอิงกริดเล่นได้สวยซึ้งประทับใจ     เชื่อได้จริงๆว่าทำไมผู้ชายสองคนจึงหลงรักเธอสุดชีวิต แม้ว่าเธอรักเพียงคนเดียว  แต่เธอก็ไม่ลืมหน้าที่และความภักดีในฐานะภรรยาต่อชายอีกคน

คุณ SILA ก็...ถ้าหากว่านางเอกรักทั้งพระเอกและสามี  นั่นจึงเรียกว่าสองใจนะคะ   นี่เธอรักทีละคน     คนที่สองเมื่อเธอรักแล้วก็รักเลย   ไม่เปลี่ยนใจกลับไปรักสามี     แล้วจะเรียกว่าสองใจได้ยังไง

หนังที่จะนำเสนอ  คนละแบบกับ Casablanca  เป็นหนังที่มีฉากประทับใจมากมายจนถ้าหากว่าเอามาลงให้หมด  ก็คือเป็นหนังทั้งเรื่องเลย
ฉากของ My Fair Lady อลังการงานสร้างจริงๆ     ดีไซเนอร์สะท้อนให้เห็นสังคมของผู้ดีอังกฤษในยุค 1900 ต้นๆ ได้ชัดมาก  เป็นยุคที่ผู้ดีก็อยู่กันเหมือนเทพบุตรเทพธิดา    ยาจกก็ต่ำต้อยขาดโอกาสไปหมดทุกอย่าง แม้แต่พูดจาก็ไม่อาจเปล่งอักขระพยัญชนะอย่างผู้ดีได้แม้แต่คำเดียว
เรื่องนี้ดัดแปลงจากวรรณกรรม Pygmalion ของ George Bernard Shaw   แต่ว่าดัดแปลงตอนจบซึ่ง Shaw อุตส่าห์เขียนไม่ให้น้ำเน่า   กลับมาเป็นน้ำเน่าเอาใจคนดูทั่วโลก   แล้วดังยิ่งกว่าบทละครของเดิมไม่รู้กี่เท่า

ฉากที่ยกมานี้คือโปรเฟสเซอร์ฮิกกิ้นส์(พระเอก) ได้บรรจงขัดเกลาอีไลซ่า สาวน้อยจากสลัมให้พูดจาออกเสียงเป็นผู้ดี  แต่งกายอย่างผู้ดีได้น่าพอใจแล้ว  ก็พาเธอมาเปิดตัวในงานแข่งม้าที่ Ascot   
งานนี้  จะว่าเป็นงานเพื่อให้มาดูม้าแข่งก็ไม่เชิง     แต่เป็นงานโอ่อ่ามีหน้ามีตาของผู้ดีมีชื่อเสียงของอังกฤษ    ใครจะไปดูตัวสาวไฮโซหน้าใหม่แฟนของท่านชายท่านไหน  ก็เปิดตัวกันงานนี้แหละ
ดีไซเนอร์เก่งมากที่ตีโจทย์แตก   สามารถเอาสีจำกัดคือขาว ดำ และเทา ออกมาโชว์ได้อลังการเหลือพรรณนา   บอกถึงยุคสมัยที่ล่วงเลยไปแล้วได้อย่างดี

ฉากนี้คือสังคมของคนยากจน พวกค็อกนี่ย์ในลอนดอน    ตรงกันข้ามกับฉากแข่งม้าเหมือนอยู่กันคนละโลก 
คลิปนี้ออเดรย์ เฮพเบิร์นเล่น แต่เสียงเป็นเสียงจูลี่ แอนดรูว์ ซึ่งเล่นบทอีไลซ่ามาตั้งแต่เป็นละครในลอนดอน      ความฝันของสาวน้อยขอเพียงห้องสักห้อง มีไฟให้ผิงอุ่นๆ  มีเก้าอี้ตัวใหญ่ๆให้เอนกายพิง พร้อมกับช็อกโกแลตถ้วยร้อนๆในคืนที่หนาวเหน็บ  เท่านั้นก็พอ

ฉากฝันที่เป็นจริงของอีไลซ่า  เมื่อเธอได้เป็นซินเดอเรลลาตัวจริง    เป็นหญิงสาวสวยที่สุดในงานเต้นรำ  ได้เต้นรำกับเจ้าชายของจริง

ฉากนี้ หนุ่มผู้ดีที่มาหลงรักอีไลซ่า วนเวียนอยู่แถวบ้านเธอ   เหมือนหนุ่มไทยโบราณที่พูดว่า ไม่เห็นหน้า เห็นแต่หลังคาบ้านก็ยังดี
ใน Pygmalion  เขาเป็นพระเอก แต่พอดัดแปลงเป็น My Fair Lady ตกอันดับลงมาเป็นพระรอง  โปรเฟสเซอร์เพี้ยนๆได้เป็นพระเอกแทน 

          ถ้างั้นแก้เป็น "นอกใจ" สามี ครับ  :)

          หนังเด่นดัง ได้รางวัล ที่เป็นเรื่องรักนอกใจ นึกได้สองเรื่องคือ The English Patient กับ Titanic
ทั้งสองเรื่องนี้จุดจบตัวละครต้องประสบวิบัติถึงชีวิต ราวกับเป็น ความยุติธรรมทางกวีนิพนธ์ poetic justice
ส่วนคาซาบลังก้า ได้คุณธรรมของพระเอกค้ำจุน จึงจบได้อย่างลงตัวสวยงามไปอีกแบบ

-----------------------------------

           ตอนดู บุษบาริมทาง My Fair Lady ชอบภาพไตเติ้ลเปิดเรื่องเป็นภาพดอกไม้สวยงามประกอบ
เพลงโหมโรงทำนองร้อยเรียงเพลงในหนัง สร้างความประทับใจจำจนวันนี้

รับชมและฟังได้ที่  Turner Classic Movies ครับ

http://www.tcm.com/mediaroom/index.jsp?cid=116183

West Side Story หนัง ๑๐ ตุ๊กตาทองในปี ๑๙๖๑    โรมิโอและจูเลียตแห่งยุค 1960s  เปลี่ยนฉากจากอิตาลีในยุคกลางมาเป็นย่านสลัมในนิวยอร์ค มีเจ้าถิ่นวัยรุ่น ๒ แก๊งค์คือ พวก Shark และ Jet

TCM กำลังเอาหนังเพลงดังในอดีตเรื่องนี้มาฉายวนไปมาในเดือนนี้     เลยเก็บฉากประทับใจมาให้ดูกันค่ะ
เพิ่งได้ฉากแรกของหนังมาแบบเต็มๆ เลยลบคลิปเก่าออก เอาที่ได้มาใหม่ใส่เข้ามาแทน

เรื่องนี้คนออกแบบท่าเต้น ทำได้วิเศษสุดกว่าหนังเรื่องไหนๆ   ตั้งแต่เปิดฉากแรก คือท่าดีดนิ้วได้จังหวะยียวนกวนประสาทของแก๊งค์อันธพาลนิวยอร์ค    เปิดตัวได้เร้าใจสุดๆ  เป็นทั้งศิลปะท่าเต้นและดราม่า
เขาสามารถโชว์ท่าเต้นของแด๊นเซอร์ออกมาหลายรูปแบบ  อย่างรัส แทมบลินหัวหน้าแก๊งค์เจ๊ท ตัวจริงเป็นนักยิมนาสติค ส่วนพรรคพวกตัวจริงเป็นนักบัลเล่ต์      คนออกแบบผสมผสานยิมนาสติคและบัลเล่ต์ออกมาได้ลงตัว
ส่วนจอร์จ ชาคิริส หัวหน้าแก๊งค์ชาร์ค เป็นแด๊นเซอร์มาก่อนจะเป็นดารา     ท่าเต้นแนวบัลเล่ต์ของเขา สวยงามหาที่ติไม่ได้  กลายมาเป็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้

ขอให้สังเกต แม้แต่บทชกต่อยกัน ก็เป็นท่าเต้นที่สวยได้จังหวะลงตัว

http://www.youtube.com/watch?v=m8R9GiLImSw

เมื่อโทนี่(โรมิโอ) พบมาเรีย(จูเลียต)

http://www.youtube.com/watch?v=ymPj4RGdulw&feature=related

ฉากเต้นแมมโบ้ ประชันกันระหว่างแมมโบ้อเมริกัน กับแมมโบ้ละติน
คู่เต้นเป็นสิบๆ  หา space ยากมาก  แต่การออกแบบ สามารถจัดจังหวะและคิวบนเวทีการแสดงให้ลื่นไหลไปด้วยกัน  จนจบเพลง 
คู่เด่นโชว์ลีลาได้ตามคิวอย่างสวยงาม  ไม่สับสนวุ่นวายเลย ทั้งๆนักแสดงก็นับไม่ถ้วน

http://www.youtube.com/watch?v=VXOX_OX97hs&feature=related

เพลง America  เป็นเพลงที่เสียดสีอเมริกาอย่างเจ็บแสบ ในความรู้สึกของผู้อพยพย้ายถิ่นมาเป็นพลเมืองชั้นสองของลุงแซม
บ้านเมืองในอเมริกาสวยงาม  ความเป็นอยู่สะดวกสบายกว่าในประเทศเดิมที่พวกเขาอพยพมา (อย่างที่ฝ่ายหญิงร้อง)  แต่ความขมขื่นจากการถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม  แบ่งแยกเชื้อชาติ  ถูกกดขี่ให้คับแค้นทั้งกายและใจ (ที่ฝ่ายชายร้อง)  ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

http://www.youtube.com/watch?v=1QS7wWzwak4&feature=related

          West Side Story เป็นหนังที่ชอบมากๆ และเสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ดูในโรงใหญ่ ครับ

            นอกจากพระนางสดใสแล้ว ยังชื่นชอบบทบาทของ Rita Morena ที่ได้ออสการ์
สาขานักแสดงสมทบ คุณป้ามีผลงานต่อเนื่องและกวาดรางวัลมากมายหลายวงการแบบที่มีคนทำได้น้อย
ทั้ง เพลง - แกรมมี่, ละครเวที - โทนี่ และ ทีวี - เอมมี่ 
             เมื่อไม่นานมานี้ยังได้ดูคุณป้าแสดงในซีรี่ส์ทีวี ด้วย

ภาพสามนักแสดงจาก WSS - George Chakiris Rita Moreno Russ Tamblyn เมื่อปี 2010


 

เพลงไพเราะ ลีลาเลิศล้ำ

เป็นหนังเพลงที่จบอย่างเศร้าสะเทือนใจ(ที่สุด)

เพลง Tonight เป็นเพลงเอกของเรื่อง  ทั้งเพลงรักระหว่างพระเอกนางเอกที่พบกันแบบโรมิโอและจูเลียต   และเป็นเพลงที่ทุกเหตุการณ์สำคัญในตอนจบ เกิดขึ้นในคืนเดียวกัน

http://www.youtube.com/watch?v=5_QffCZs-bg&NR=1

http://www.youtube.com/watch?v=QpaS2v-r7cE

เห็นรูปดารานำที่คุณ SILA เอามาให้ดู ถ่ายเมื่อปี 2010   ราวกับเห็นเพื่อนเก่า ;D
จอร์จ ชาคิริสยังคงมาดหนุ่มเซอร์   ส่วนรัส แทมบลินเป็นคุณปู่เต็มตัว
รูปนี้ถ่ายคู่กับ จีนี่  บาร์บาร่า อีเดน ในปี 2008

(http://www3.pictures.gi.zimbio.com/Barbara+Eden+Russ+Tamblyn+AMPAS+Celebrates+kTO304kkEHKl.jpg)

ผมว่าหนังสมัยก่อนขาคสิ่งที่หนังสมัยนี้ไม่มี นั้นคือความฉาบฉวย  ผมอยากรู้ว่าหนังเก่าแบบนี้จะมีการผลิตแผ่นออกมาขายใหมครับ หาในเวบมีแต่หนังใหม่ๆ เจอละครสมัยนี้ผมบิดหนี หาดูโฆษณาดีกว่าด้วยซ้ำไป

มีแน่นอน    ถ้าคุณซื้อ DVD ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ก็หาได้จาก amazon.com

http://www.amazon.com/s/ref=nb_sb_noss?url=search-alias%3Ddvd&field-keywords=West+Side+Story&x=0&y=0

แต่ถ้าเป็น DVD ละเมิดลิขสิทธิ์  ไม่ทราบค่ะ และไม่อาจแนะนำได้ว่าควรไปหาที่ไหน

         

          ดูดีวีดีลิขสิทธิ์ ตามห้าง ตามร้าน boomerang, cap และ mangpong หรือสั่งทางเน็ทได้ เช่น

            http://www.cap.co.th/my/products_search_subresult.asp?mc=d&s_string=west+side+story&s_type=All

          http://www.mangpong.co.th/eshop/search.php?titles=title&product=all&txt=west+side+story&x=18&y=10

หรือบางเรื่อง บางตอนก็อาศัยดูในยูทูบ ครับ


           

             ฉากสุดท้ายของ WSS ที่แสนเศร้าสะเทือนอารมณ์

"I-I didn't believe hard enough."
"Loving is enough."
"Not here. They won't let us be."
"Then we'll run away."
"Yeah, we can."
"Yes."
"We will..."
"[Singing] Hold my hand and we're half way there, hold my hand
              and I'll take you there. Somehow! Someday! Some-"

                   http://www.youtube.com/watch?v=ycTwZh4nBt0

ย้อนอดีตหนังประทับใจเรื่องต่อไป ครับ

                      An Affair to Remember (1957)

              หนังรักโศกเศร้าเคล้าน้ำตาจากอดีตที่ยังคงความขลังในการทำให้ผู้ชมต้องเสียน้ำตา
แม้จะเป็นเวลาเกือบ 40 ปีต่อมา -

              หนังเรื่อง Sleepless in Seattle (1993) รับและใช้แรงบันดาลใจจาก แอน แอฟแฟร์
ทั้งเพลง คลิปจากหนัง และสถานที่สำคัญที่สุดของเรื่อง นั่นคือ

                ตึกเอ็มไพร์ สเตท - สถานที่นัดพบสุดโรแมนติค ด้วยว่ายอดตึกหลังนี้คือจุดที่ใกล้สวรรค์ที่สุด
ในนิวยอร์กของยุคนั้น (และ ปัจจุบันหลังจากที่ไม่มีตึก WTC)

สองสาว Sleepless in Seattle น้ำตานองอาบสองแก้ม นั่งดู แอน แอฟแฟร์

เนื้อเรื่องต้องใช้คำพูดว่า "จะเรียกว่า น้ำเน่า ก็ไม่เหมาะ คำที่เหมาะคือ คลาสสิค"
    
           พระเอกโรแมนซ์ผู้เป็นตำนาน Cary Grant และนักแสดงหญิงงามหยด Deborah Kerr
ทำปฏิกิริยาเคมีเข้ากันได้ดีในการถ่ายทอด soap opera ที่มีทั้ง romance, comedy และ  drama
ออกมาเป็นหนังรักสวยงาม ประทับใจ ไร้ "เซ็กซ์" (ที่มักต้องบรรจุไว้ในหนังยุคต่อมา) จนอาจถือได้ว่า
แอน แอฟแฟร์ นี้คือต้นฉบับของหนังแนวบีบน้ำตาเรื่องต่อๆ มา

           เขาและเธอพบรักกันบนเรือล่องสมุทรข้ามมหานทีจากยุโรป ทั้งๆ ที่ทั้งสองต่างมีคู่หมาย
ที่มีฐานะดีระดับเศรษฐีแล้ว บทหนังและการแสดงสามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าทั้งสองเกิดปฏิสัมพันธ์
เข้ากันได้ดี - เป็นคู่ที่ควรคู่กัน

In Italy...on the Mediterranean...across an ocean...and all over New York!

รวมคลิป บนเรือโดยสาร จุดนัดพบ และ ตอนจบแสนประทับใจ

http://www.youtube.com/watch?v=rgI9smpmwiw&playnext=1&list=PL16E6FD6042551361

          

          ระหว่างทางเรือโดยสารจอดแวะที่ถิ่นฐานแถบบ้านคุณยายฝ่ายชาย
          ช่วงเวลาสั้นๆ แต่แสนประทับใจ หญิงต่างวัยทั้งสองเข้ากันได้ดี
          เมื่อเธอเอ่ยชื่นชมผ้าคลุมผืนงามของคุณยายๆ บอกเธอว่า "สักวัน ฉันจะมอบผ้าผืนนี้ให้เธอ"
ช่วยย้ำว่าไม่คู่กันไม่ได้แล้ว

คลิปช่วงเวลาแห่งความสุข ประทับใจ ที่บ้านคุณยาย

                http://www.youtube.com/watch?v=Ggw5bLWezEM

         เมื่อเรือมาถึงนิวยอร์คทั้งสองนัดเจอกันอีกครั้งที่ดาดฟ้าตึกนั้น ในอีกหกเดือนข้างหน้า หากว่า
ทั้งเขาและเธอเป็นอิสระ และ ยังคงมีใจตรงกัน เธอบอกว่า

                 "Oh yes, that's perfect. It's the nearest thing to heaven we have
in New York."

คืนสุดท้ายบนเรือโดยสาร และ การนัดพบในวันรุ่งขึ้น

         http://www.youtube.com/watch?v=oQ_bEzPkEAg

            งานกำกับภาพเสนอภาพจุดนัดของหัวใจ - ตึกเอ็มไพร์ สเตท ในฉากอื่นๆ ของนางเอก

- หลังบอกเลิกคู่หมาย จากริมระเบียงอพาร์ทเมนท์เธอแหงนมองจุดนัดหมาย - ตึกเอ็มไพร์ สเตท
ที่เห็นเป็นเงาสะท้อนบนประตูกระจก

           นางเอก(เป็นนักร้อง) กับโชว์เพลง An affair to Remember

เสียงจริงเป็นของ Marni Nixon ผู้ให้เสียงแทนนางเอกในหนังหลายเรื่อง

                     http://www.youtube.com/watch?v=bA3hTc3PLDQ&NR=1

- เธอบินกลับนิวยอร์ค จุดนัดหมายเห็นอยู่ลิบๆ นอกหน้าต่างเครื่องบิน

             ทั้งสองเลิกร้างจากคู่หมาย เขาประกอบอาชีพเป็นนักวาดรูป ส่วนเธอเป็นนักร้อง
        ถึงวันนัด เพราะเธอมัวแต่เงยหน้ามองไปยังจุดนัดหมายจึงถูกรถชนจนไม่สามารถไปพบเขาตามนัดได้
เธอคร่ำครวญ

                  "But I have to get to the Empire State Building! I have to!”

        ส่วนเขาเฝ้ายืนคอยแล้วคอยเล่าแต่ไม่เห็นแม้เงาของเธอ ไม่ทันเฉลียวใจกับเสียงสัญญาณไซเรน
ที่ดังมาจากเบื้องล่าง เขาคอยจนถึงเวลาดาดฟ้าปิดจึงจำจากไปอย่างผิดหวัง ปวดร้าว และโกรธเคือง
                  
ยิ่งสูง ยิ่งเหงา เขายืนอยู่ลำพังท่ามกลางคู่รัก

           แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาและเธอจะได้พบกันในโรงมหรสพเมื่อการแสดงจบ ต่างฝ่ายต่างมากับคู่หมายคนเดิม
จึงเพียงทักทายกันเล็กน้อย โดยที่เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเธอซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นไม่สามารถลุกเดินได้

             ถึงฉากสุดท้ายที่แสนประทับใจ ในที่สุด...

           เขาพยายามตามหาเธอจนรู้ที่อยู่ แม้จะยังขุ่นข้องหมองหมาง แต่เขาต้องมาพบเธอ อย่างน้อยก็เพื่อ
ที่จะมอบผ้าคลุมผืนนั้นที่คุณยายฝากไว้ให้เธอก่อนที่คุณยายจะจากไป

              ในที่สุด เขาและเธอได้กลับมาเจอกัน เธอกลายเป็นหญิงพิการไม่สามารถเดินได้ นั่งอยู่บนโซฟา   

               ในขณะที่เขาซึ่งยังไม่รู้ความจริงเดินเข้ามาหา แสร้งเหมือนว่าไม่เคยเจ็บ ไม่เคยโกรธ
           เขาโกหกเธอว่า เขาไม่ได้ไปตามนัด ต้องขอโทษเธอด้วยที่ปล่อยให้เธอรอ ทั้งยังหลอกถาม
ว่าเธอรอเขาอยู่นานไหม รอจนถึงเวลาปิดดาดฟ้าเลยหรือ ?

           เขาหยิบห่อของขวัญส่งให้เธอ เมื่อเธอแกะออกดูพบว่าเป็นผ้าคลุมของคุณยาย
เธอก็เข้าใจทันทีว่า ทำไมจดหมายที่เธอส่งไปถึงคุณยายล้วนถูกตีกลับมา เขาบอกว่าคุณยายต้องการ
มอบสิ่งนี้ให้เป็นความทรงจำ นี่คือสาเหตุที่เขาต้องมาหาเธอ 

             ความจริงยังคงไม่ถูกเปิดเผย จนเมื่อเขาบอกลาและกำลังจะเดินจากไป แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
ที่มีความหมายระหว่างทั้งสองที่เขาต้องกล่าวถึง นั่นคือภาพวาดฝีมือของเขาเป็นรูป(ผู้หญิงสองคน
ที่เขารัก นั่นคือ) เธอและคุณยาย 
           ภาพนั้นเขาไม่คิดจะขายแต่ได้นำไปแขวนโชว์ไว้ในแกลเลอรี่ ที่ต่อมาผู้จัดการได้มอบภาพนั้น
ด้วยความสงสารให้กับหญิงพิการนั่งรถเข็นผู้แสดงความชื่นชอบภาพนั้นอย่างมากมายแต่ไม่มีเงินพอจะซื้อได้
           เมื่อเล่าถึงตอนนี้ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาทันที เขากวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วจึงเดินเข้าไปดู
ในห้องนอน และได้พบภาพนั้นแขวนอยู่ในห้องนอนของเธอ

ผู้กำกับภาพ เลือกนำเสนอภาพที่ตัวละครมองเห็นเป็นแบบภาพเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง

               "Why didn't you tell me? If it had to happen to one of us,
why did it have to be you?"

               "I was looking up - it was the nearest thing to heaven. You were there."
     
เธอปลอบเขาและบอกตัวเองว่า

                  "Don't worry, darling...if you can paint, I can walk. Anything can happen."

ผู้ชมยิ้มด้วยความสุขทั้งน้ำตา       

รับชมตอนจบที่ซาบซึ้งประทับใจได้ที่ยูทูบ

            http://www.youtube.com/watch?v=03q6mvq3wUw

           http://www.youtube.com/watch?v=MMQUu-KCXGA&NR=1

เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ฝีมือดาราระดับแครี่ แกรนท์ กับเดเบอร่าห์ คาร์ ละก็   ก็เป็นเรื่องยุงชุมบินว่อนนี่เอง     
แต่ว่าดาราทำให้มันดูดีขึ้นจนกลายเป็นหนังรักคลาสสิค   
เอามาเล่าต่อใน Sleepless in Seattle  ก็ทำได้น่ารักมาก  ที่บรรดาสาวๆเพื่อนของเม็ก ไรอันร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเวลาเล่าเรื่องนี้ (เป็นครั้งที่ ๔๔๙) แถมพระเอกนางเอกก็นัดพบกันที่ยอดตึกเอมไพร์สเตท เหมือนในเรื่อง AATR ด้วย

ฉากสุดท้ายแสนประทับใจที่นางเอกนั่งหงอยเหงาอยู่คนเดียวในวันคริสต์มาส   ปฏิเสธแม่บ้านที่เชิญไปร่วมกินอาหารฉลองกันที่บ้านเธอ ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีว่าไม่รับความสงสารจากใคร    เธอนั่งเหยียดขาบนโซฟามีผ้าคลุมขามิดชิด     แต่ไม้ยันหรือเก้าอี้เข็นไม่ยักกะมีในห้อง   ทำให้ดิฉันสงสัยว่าถ้าอยากเข้าห้องน้ำจะทำยังไง    หรือแม้แต่อยากจะกลับเข้าไปนอน  จะพยุงตัวไปอย่างไร

แต่นั่นแหละ  ถ้ามีไม้ยันเทอะทะวางพิงเก้าอี้ หรือมีรถเข็นให้เห็น   พระเอกก็จับได้ตั้งแต่เดินเข้ามาว่าเธอพิการน่ะซีคะ   ไคลแมกซ์ที่พระเอกมารู้เอาตอนจบ ก็จะพังไม่เป็นท่า
แม้แต่ตอนจบที่นางเอกบอกว่า ตัวเองจะหายพิการ   จะเป็นไปได้อย่างไร หรือเธอแค่ปลอบใจตัวเอง พระเอก และคนดู ก็ไม่รู้
ดูเรื่องนี้ต้องลืมๆ เหตุบังเอิญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ไม่สมจริง  ถึงจะสนุก


ส่งท้ายด้วยเสียงอมตะนิรันดร์กาลของแนท คิง โคล ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=t65HSMn7W5M

ขอนำหนังเก่าที่เป็นหนังน้ำกลั่นสะอาดบริสุทธิ์ของแท้มาให้คุณ SILA รำลึกความหลังบ้าง 
แม้เป็นหนังเยาวชน แต่ Mary Poppins ซึ่งออกฉายในค.ศ. ๑๙๖๔ ก็คว้าถึง ๕ ตุ๊กตาทอง  เป็นหนังทำเงินอันดับ ๑ ของปี ๑๙๖๕
และส่งจูลี่ แอนดรูว์ขึ้นทำเนียบดาราแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมของรางวัลออสการ์ 
 

Mary Poppins ทำจากวรรณกรรมเด็กของนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ P. L. Travers เป็นเรื่องของนางฟ้าที่มาเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กชายหญิงในสกุลแบ๊งค์    เธอเนรมิตโลกแสนวิเศษให้เด็กๆได้ตื่นตาตื่นใจ   แต่ก็ไม่ใช่โลกที่จะเอาอะไรก็ได้ดังปรารถนาแบบตะเกียงวิเศษของอะลาดิน  เป็นการผจญภัย พร้อมกันนั้นก็เรียนรู้ไปด้วย

ตัวอย่างการจัดระเบียบข้าวของในห้องเด็ก     แมรี่สอนว่า  น้ำตาลหนึ่งช้อนช่วยให้กลืนยาขมลงคอไปได้    ชีวิตก็ควรหาอะไรเช่นนั้น
คือ พยายามหาความรื่นรมย์เล็กๆน้อยๆให้ได้ในงานเหนื่อย    แล้วจะไม่เป็นทุกข์

http://www.youtube.com/watch?v=i5IW9wK_HNg

แมรี่ พาเด็กไปเที่ยวในโลกของเธอในวันหยุด   
เพลงSupercalifragilisticexpialidocious (อย่าถามว่าออกเสียงยังไง) ได้ตุ๊กตาทองในปีนั้นด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=70tuWAFyL8w&feature=related

อีกฉากหนึ่งของนักแสดง ผสมกับฉากการ์ตูนพื้นหลัง

http://www.youtube.com/watch?v=03xL3DG5pAU&feature=related

ฉากใหญ่อีกฉากของเรื่องนี้ คือฉากนักเต้นบนปล่องไฟหลังคา  ประกอบเพลงดังอีกเพลงหนึ่งของหนังเรื่องนี้  - Chim Chim Cher-ee

http://www.youtube.com/watch?v=VX4Ppm-cPZI

           ดูและฟังไป อมยิ้มไป ครับ

           นึกถึง หนัง-การ์ตูนใสๆ กับโลกวัยเด็กอันสดใส ที่ผ่านไปน.า.นแล้ว

           คลิปจากยูทูบนี้เป็นการลำดับภาพใส่เสียง(หลอน)ใหม่ให้ออกมาเป็น Scary 'Mary Poppins'
Recut Trailer ครับ

                                 http://www.youtube.com/watch?v=2T5_0AGdFic&NR=1

^
ทำเสียเรื่องหลอนไปเลยค่ะ
ต้องรีบจบ Mary  Poppins ด้วยเพลง Fly a Kite ที่ครอบครัวแบ๊งค์กลับมา พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก  ชวนกันไปเล่นว่าวอย่างเป็นสุข พร้อมกับเพื่อนบ้าน   ก็ถึงเวลาที่พี่เลี้ยงกายสิทธิ์จะต้องจากครอบครัวนี้ไปแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=g89NxTTycxc

คุณ SILA มีฉากหนังเรื่องอะไรมาเล่าอีกคะ   จะรอดู

           จาก Mary Poppins ตามมาด้วยฉากประทับใจจากการ์ตูนดิสนีย์ สองเรื่อง
แต่ว่า
           เป็นฉากเศร้าบีบน้ำตาทั้งคู่ ครับ

เรื่องแรก                     Dumbo (1941)


              แม่ช้าง Jumbo ถูกขังเดี่ยว พร้อมป้ายกำกับว่า "Mad Elephant" หลังจากที่เธอในฐานะผู้เป็นแม่
ปกป้องลูกน้อยจัดการสั่งสอนเจ้าวายร้าย(เด็กเกเร) ที่แกล้งลูกช้างหูกาง - Dumbo ของเธอ
             ถึงยามค่ำคืนในขณะที่ลูกสัตว์ทุกตัวต่างนอนหลับปุ๋ยอยู่กับแม่ตน ลูกช้างน้อยเหว่ว้ามาหาแม่ที่กรง
             แม่ซึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ไม่อาจโผล่หน้ามามอง คงได้แต่ยื่นงวงผ่านลูกกรงลงมาลูบไล้แล้วช้อนลูกน้อยขึ้นนอน
ไกวต่างเปล    

             เชิญรับชม และ รับฟัง ฉากประทับใจพร้อมเพลง Baby Mine ครับ

                             http://www.youtube.com/watch?v=CORf1liT9cE

และ            Bambi (1942)


           ปลายฤดูหนาวที่หิวโหย แม่พาแบมบี้ไปเสาะหาหญ้ากิน สองแม่ลูกต่างดีใจเมื่อได้เห็น
ต้นหญ้าอ่อนผลิใบ เป็นสัญญาณบอกว่าหนาวนี้กำลังจะผ่านพ้นไป ขณะที่และเล็มหญ้าอยู่แม่กวางได้กลิ่น
สัตว์มนุษย์ในระยะไม่ห่าง
             นางรีบสั่งลูกน้อยให้วิ่งกลับเข้าป่าไปไม่ต้องเหลียวมามอง สองชีวิตหนีตายวิ่งข้ามทุ่งหิมะ
โดยมีเสียงปืนไล่หลัง 

             แบมบี้ที่วิ่งอย่างเร็วรี่สุดฝีเท้าเข้ามาถึงป่าแล้วหยุดพักหอบหายใจ ในวินาทีนี้เองที่ลูกกวางน้อย
ได้ตระหนักว่าแม่ไม่ได้ตามมาด้วย
             แบมบี้ท่องไปในป่าท่ามหลางหิมะพรำพร่ำเพรียกหาแม่ แต่ไร้เสียงตอบรับ

                "Mother, where are you?"         

            ทันใดนั้นโดยไม่ทันคาดคิด พ่อกวางมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าและบอกลูกชายว่า
แม่ไม่อาจตามมาอยู่กับลูกได้อีกแล้ว

                "Your mother can't be with you anymore"
 
             แบมบี้หลับตาก้มหน้าลงก่อนที่จะเงยขึ้นมาน้ำตาริน

             ลูกกวางน้อยเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังที่ฝังความทรงจำแสนเศร้า อดีตเยาว์วัย และ
ความไร้เดียงสาไว้ แล้วเดินตามบิดาสู่พงไพรกว้างข้างหน้า     

           รับชมคลิป ฉากทำร้ายหัวใจคนดูทุกผู้ทุกวัย - แบมบี้น้อยฝ่าหิมะเดินตามหาแม่อย่างไร้วี่แวว
และสิ้นหวัง ครับ

                   http://www.youtube.com/watch?v=-eHr-9_6hCg
                      

เชิญรับชมเรื่องต่อไป ครับ

                         The Great Gatsby  (1974)

จากวรรณกรรมชิ้นเอกของอเมริกามาสู่หนังเล่า

                       เรื่องของชายผู้มีรักสลักใจจากอดีตที่ไถ่ถอนไม่หลุด(น่าจะถึงขั้นย้ำคิดย้ำทำ)
              สะท้อนภาพสังคมอเมริกันยุค jazz age หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงภาวะ
เศรษฐกิจรุ่งเรือง ฝันอเมริกัน(American Dream)สดใส สังคมคนรวยใช้ชีวิตแบบฉาบฉวยเฉิดฉาย
แต่ภายในแฝงความเลวร้ายน่ารังเกียจ สุดท้ายเรื่องราวจบลงด้วยโศกนาฏกรรม จากน้ำมือของคนชั้นล่าง

                ไตเติ้ลเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ แล้วยังเลือกเพลงถูกใจ What'll I Do

             กล้องพาคนดูเข้าชมคฤหาสน์ที่เงียบเหงา ไม่เห็นมีใคร จากโรงรถ สระว่ายน้ำข้างนอก
ผ่านชั้นล่างข้างในสู่ห้องนอนซึ่งมีข้าวของ เครื่องใช้หรูหรา และ รูปภาพเธอ
                ตัวเจ้าของคฤหาสน์หายไปไหน 

       What'll I do
With just a photograph to tell my troubles to
When I'm alone with only dreams of you
That won't come true
      What'll I do     

คลิปภาพยนตร์ตอนที่ 1

                     http://www.youtube.com/watch?v=B86ixiypBeE&playnext=1&list=PL76652FF269DDE785

           หนังภาพสวย โดดเด่นด้านออกแบบงานสร้างและออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่
นักวิจารณ์ไม่ปลื้มการถ่ายทอดเนื้อหา "สาร" และ "จิตวิญญาณ" ของนิยาย แม้ว่า บทหนังจะตรงตาม
บทประพันธ์ และเขียนโดย ฟรานซิส ฟอร์ด คอพโพลา แห่ง เดอะ ก๊อด ฟาเธอร์ 

           ส่วน Mia Farrow ผู้รับบทเดซี่ ก็ถูกนักวิจารณ์บางคนเขียนว่า ไม่สามารถทำให้เชื่อได้ว่า
เธอคือผู้หญิงที่แก็ทสบี้ซึ่งรับบทโดยเรดฟอร์ดเฝ้าฝันใฝ่ไม่ลืมเลือน หากกลับกันให้เป็นเธอฝ่ายเฝ้าละเมอ
เพ้อหาเรดฟอร์ดนั่นแหละถึงจะน่าเชื่อกว่า

(นี่หรือคือ) หญิงที่เขารอคอยมานานแสนนาน

            แม้รูปลักษณ์จะทำให้บางคนผิดหวัง แต่มิอามีสิ่งทดแทน นั่นคือ ภาพของผู้หญิงที่ไม่"เสถียร"
โลเล สับสน โอนเอน อ่อนไหว ไปตามแรงดึงดูดของสิ่งถูกใจ สิ่งตื่นใจ  สิ่งที่หรูหราราคาแพง

              มหาเศรษฐีผู้โดดเดี่ยวลึกลับกลับเปิดคฤหาสน์ "โยน" ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงให้ผู้คนเข้ามาสำเริงสำราญ

เต้นรำ charleston dance

               http://www.youtube.com/watch?v=TW4WJ6tpZeA

โดยที่เจ้าภาพไม่ออกมาปรากฏกาย หากยืนแยกอยู่ห่างๆ มองคนมางานเหมือนกับว่ารอคอยและมองหาใครบางคน        
          

           จนวันหนึ่งเขาจึงสมหวังได้พบกับใครคนนั้น โดยหารู้ไม่ว่า เธอคือผู้ที่จะนำความวิบัติ
ใหญ่หลวงมาสู่ตน

           เธอคือ เดซี่ รักตรึงใจแต่ครั้งวัยหนุ่มที่หลุดลอยไป เพราะเขาไม่รวย-จน วันนี้เมื่อเขา
ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างคลุมเครือจนกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง เขาจะคว้ารักฝังใจจำครั้งนั้น
มาครอบครอง

          โดยส่วนตัวเมื่อดูหนังแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่า รูปลักษณ์มิอาและบุคลิกนิสัยแบบนี้ น่าพิสมัยตรงไหน
ทำไมถึงได้หลงใหลเป็นเอามากขนาดนี้ เว้นแต่ว่าจะเป็นเพราะแก็ทสบี้มีปัญหาป่วยเป็น OCD -
obsessive compulsive disorder โรคย้ำคิดย้ำทำ :)

                http://www.youtube.com/watch?v=GwggA61ISHI

                ค่ำคืน เขายืนอยู่เดียวดายมองแสงไฟสีเขียวกะพริบจากท่าน้ำหน้าคฤหาสน์ของทอม
- สามี(ที่ไม่ซื่อสัตย์)ของเธอ

                ในที่สุดแก็ทสบี้ก็สมใจได้พบกับเดซี่ โดยมีนิค(คนเล่าเรื่องนิยายนี้) ผู้เป็นญาติของเดซี่
และเป็นเพื่อนใหม่อาศัยในบ้านหลังน้อยข้างคฤหาสน์ของแก็ทสบี้จัดการให้

            ทั้งสองสานสัมพันธ์รักกันโดยไม่ยาก เดซี่หวั่นไหวประทับใจไปกับการปรนเปรอเอาอกเอาใจ
และความมั่งคั่งหรูหรา

               จนเมื่อถึงวันแตกหัก แก็ทสบี้ก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับทอม-สามีของเธอ และเผยความต้องการ
ที่จะครองคู่อยู่กับเดซี่
               ท่ามกลางวิกฤตหนึ่งหญิงสองชาย หญิงไม่"เสถียร" อย่างเดซี่ที่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ
คาดคั้นไม่เลือกที่จะหนีโดยการเป็นลมหมดสติ หากแต่ใช้วิธีวิ่งหนีออกไป
               เธอขับรถหรู Rolls Royce ของแก็ทสบี้โดยมีเขานั่งเคียงแล่นออกไปอย่างเร็วรวด
จนเกิดอุบัติเหตุชนหญิงผู้หนึ่งถึงแก่ชีวิตแล้วขับผ่านเลยไป ไม่หยุดรถลงมาดูแล  (โดยที่หญิงคนนี้คือ
สาวชนชั้นล่างผู้มีความสัมพันธ์เป็นชู้ชมของทอม-สามีเดซี่)   

                หนังมาได้ใจไปตอนท้ายเรื่อง ครับ เมื่อหนังจบลงอย่างอึ้งและเพลียใจด้วยความสังเวช
             ชายแปลกปลอมผิดสถานที่ด้วยมีลักษณะบ้านๆ ปอนๆ สองคนมาเยือนคฤหาสน์หรูหรา
ด้วยท่าทางตื่นๆ 
             คนหนึ่งหยิบยื่นความตายเพราะความเข้าใจผิด (- เขาคือสามีของหญิงที่ถูกเดซี่ขับรถชนตาย
แล้วทอม-สามีเดซี่บอกเขาว่ารถ Rolls Royce คันนั้นเป็นของแก็ทสบี้)
            อีกคนคือ(พ่อ)ผู้ให้กำเนิด     

              งานฝังศพของแก็ทสบี้ผ่านไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงพ่อและนิค (คนเล่าเรื่อง) ร่วมพิธี  
ไร้ร่องรอยหญิงคนรักผู้ก่อเรื่อง ปราศจากเพื่อนหรือบรรดามวลหมู่สมาชิกปาร์ตี้ที่คฤหาสน์ของเขา

                 เดซี่กลับคืนไปอยู่กับทอม นิคได้เจอสองสามีภรรยาคู่นี้อีกครั้ง เขาแสดงกิริยาไม่เป็นมิตร
(จนถึงรังเกียจ) ไม่จับมือกับทอมผู้ที่ไม่รู้สึกรู้สาว่ามีส่วนทำให้คนตาย ส่วนเดซี่เข้ามาทักทายนิคเล็กน้อย
โดยไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ท่าทางก็เหมือนกับว่าไม่ได้เกิดเรื่องราว ไม่มีสำนึกว่าตนได้ก่อเรื่องร้ายแรง เช่นกัน

              น่าเวทนาชะตากรรมของ JG เจย์ แก็ทสบี้ผู้ยิ่งใหญ่
       อุตส่าห์สร้างตัวยกระดับตนจากชนชั้นล่างขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี แต่กลับต้องมาตายก่อนวัยอันควร
ด้วยน้ำมือของคนชั้นเดิมของเขา(ชั้นล่าง) ที่เข้าใจผิด ในความผิดที่เกิดจากฝีมือและฝีเท้าของหญิงโลเล
สับสน คนหนึ่งซึ่งเขาหลงใหลเพราะป่วยด้วยโรคย้ำคิดย้ำทำ

คลิปตอนจบ ครับ

              http://www.youtube.com/watch?v=nAyNAsZPRxU

            http://www.youtube.com/watch?v=XwObr8IRc8o

จำได้ว่าหนังเรื่องนี้เครื่องแต่งกายสวยอลังการ  และถ่ายทำให้สีสวยมาก  คงใช้ soft lens หรืออะไรสักอย่าง  ออกมาอ่อนละมุนทั้งเรื่อง
น่าเสียดายที่มีอา ฟาร์โร  ดูเป็นคุณหนูเดซี่น้อยไป เธอผอมเหมือนเด็กขาดอาหาร   แต่งหน้าเท่าไรก็ยังไม่สวยและไม่เปล่งประกายเสน่ห์พอจะทำให้คนดูเชื่อว่า แบบนี้เองแกทสบี้จึงหลงใหลใฝ่ฝัน     
น่าเสียดายอีกอย่างคือโรเบิร์ต เรดฟอร์ดก็หล่อมาดคุณชายมากเกินไป   เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นคนที่ถีบตัวขึ้นมาจากลูกเป็ดขี้เหร่ชายเป็นพญาหงส์       เพราะเขาดูเป็นพญาหงส์มาตั้งแต่ต้น
แกทสบี้น่าจะดูเป็นหนุ่มบ้านๆหน่อย มีวี่แววภูมิหลังให้เห็น  แม้สวมบทเศรษฐีหนุ่มแล้ว

พอแกทสบี้ตาย คนดูจึงเสียใจที่เรดฟอร์ดตาย  มากกว่าค่ะ  ;D

(http://farm2.static.flickr.com/1409/856476198_26438e1460.jpg)

ขอนำหนัง ๙ ตุ๊กตาทองในปี ๑๙๕๘ มาให้ดูกันอีกครั้ง   เรื่อง Gigi 

เป็นหนังเพลงเล่าถึงชีวิตไฮโซในปารีส   ช่วงหัวเลี้ยวของต้นคริสตศตวรรษที่ ๒๐    เป็นยุคทองของไนท์คลับหรูหราอลังการชื่อ Maxim  ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของบรรดาเศรษฐีชายและสาวงามที่เรียกกันว่า demimondaine 
ดูเหมือนคำนี้ในนิยายไทยเก่าๆสมัยคุณปู่ของไทยเรียกว่า "สาวสังคม"   แต่ไม่ได้แปลว่าผู้หญิงที่นิยมออกงานสังคม    ความหมายจริงๆคือคุณโสชั้นสูง 
สาว  demimondaine ทำหน้าที่เมียเก็บของเศรษฐี   ไต่ระดับจากสามีคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งเรื่อยๆ    ยุคนั้น พวกนี้มีชีวิตอย่างหรูหราออกหน้าออกตามาก   เงินทองก็ไหลมาเทมา

ยายและพี่สาว(หรือไม่ก็น้องสาวยาย) ของนางเอกเป็น demimondaine มาก่อนจะเกษียณจากอาชีพ     ยายลำบากหน่อยเพราะแต่งงานไปเพราะใจรักก็เลยไม่ร่ำรวย ค่อนข้างยากจนในบั้นปลาย    ส่วนน้องสาวอีกคนกอบโกยเก่งจึงได้เป็นเศรษฐินีชรา   ทั้งสองตั้งใจจะฝีก Gigi หลานสาววัย ๑๖ ให้เจริญรอยเป็นยอดสตรีในอาชีพนี้

Gigi (อ่านออกเสียงว่า ชีชี) มีเพื่อนหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนกันจริงๆ  เป็นเศรษฐีหนุ่มโสดวัย ๔๐ ชื่อกัสตง  รายนี้เบื่อชีวิตเพลย์บอยเต็มที  มีเพื่อนเล่นเด็กๆไม่ประสีประสาอย่างชีชีสบายใจกว่า   ลุงของกัสตงเคยเป็นแฟนเก่าของยายของชีชีมาก่อน

เพลงเปิดเรื่อง แนะนำให้เห็นบรรยากาศของเรื่อง โดยดาราอาวุโส เซอร์มอริส เชวาลิเยร์ รับบทเพลย์บอยชราลุงของพระเอก

http://www.youtube.com/watch?v=c-hkjEMRZfQ&feature=related

ฉากหรูหราในแมกซิม ที่มีแต่เศรษฐีหนุ่มและแก่   กับสาวงามอย่างว่า    สถานที่แบบนี้ภรรยาไม่เกี่ยว
พระเอกพาแฟนที่ควงกันอยู่ไปปรากฏตัวตามเคย   ฉากนี้สะท้อนความเบื่อหน่าย เพราะรู้สึกว่าหล่อนไม่ได้รักฉันจริง  คบเพื่อเอาเงินและหน้าตาเท่านั้น

http://www.youtube.com/watch?v=KU2uXxHw6PE&feature=related

เพราะฉะนั้น มีเพื่อนเป็นเด็กหญิง ไร้เดียงสา แต่จริงใจ พระเอกสบายใจกว่า

http://www.youtube.com/watch?v=bU_NafDLHOY

คู่รักวันดึกที่กลับมาทบทวนความหลัง รักและร้างกันอีกครั้ง  เป็นฉากเสียดสีทั้งเพลงและการแสดง
ที่ดาราอาวุโสทั้งคู่เล่นประกบกันได้ฝีมือทัดเทียมกัน

http://www.youtube.com/watch?v=sISWPzEqHLQ&feature=related

วันหนึ่ง ชีชีก็โตเป็นสาวเต็มตัว    ยายฝึกหลานไว้งดงาม  พร้อมจะก้าวเข้าสู่ชีวิตสาวสังคม    กัสตงจึงพาเธอไปโชว์ตัวที่แมกซิม

http://www.youtube.com/watch?v=o5iYqrgsP10&feature=related

ฉากสำคัญของเรื่อง แสดงความว้าวุ่นใจของกัสตง  ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างใดกับแน่กับชีชี
(แต่คนดูรู้กันหมดแล้ว)

http://www.youtube.com/watch?v=D6Ib1KjRz6U&feature=related

           เคยมี GG ตั้งแต่เป็นวิดีโอ ครับ และดูเหมือนว่าจะดูไม่จบ
คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องไม่ถูกแนว กับเพลงไม่ไพเราะติดหูเหมือนหนังเพลงเรื่องอื่นๆ ที่ดูแล้ว
ชวนให้ร้องฮัมตาม
             ดูเหมือนจะมีเพลงเดียวที่มีนักร้องนำไปมาร้องต่อๆ มา คือ Gigi

คลิปเสียงร้องโดย Vic Damone

                      http://www.youtube.com/watch?v=unV540b4w1I

             อดเปรียบเทียบกับบุษบาริมทางไม่ได้ ครับ เพราะมีความคล้ายคลึงกัน
ทั้งเรื่องรักต่างวัยหญิงอายุน้อยกว่าชาย เครื่องแต่งกาย ฉากสังคมชั้นสูง  และเพลงประพันธ์
โดยดูโอคู่เดียวกัน
               โดยรวมแล้วฉากและเครื่องแต่งกายพอๆ กัน แต่บุษบาริมทางถูกใจกว่า ทั้งเนื้อเรื่อง
ตัวนางเอก และ บทเพลงไพเราะ ครับ

หนังเพลงปี 1951  เรื่อง An American in Paris   กวาดไป  6 ตุ๊กตาทอง   คือ  Best Picture (Arthur Freed, producer), Best Story and Screenplay (Alan Jay Lerner), Best Color Cinematography, Best Color Art Direction/Set Decoration, Best Musical Score, and Best Color Costume Design
แต่ไม่มีดารานำได้เลยสักคนเดียว    อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เกี่ยวกับลีลาท่าเต้นเสียมากกว่าบทบาท

เรื่องนี้ส่งให้สาวน้อยนักบัลเล่ต์จากฝรั่งเศส กลายมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งฮอลลีวู้ด  เธอชื่อเลสลี่ คารอง
นางเอกคนเดียวกับ Gigi

ฉากลีลาท่าเต้นของยีน เคลลี่และเลสลี่ คารอง

รำลึกฉากประทับใจของ An American in Paris

           ไม่เคยดูหนัง เคยแต่ฟัง An American in Paris ของ George Girshwin
รวมทั้งเพลงที่มีเนื้อร้อง ซึ่งชอบมากและบางเพลงก็อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย ครับ

           เพลงเอกของเกิร์ชวินที่ได้ดูบนจอเงินเต็มตาโรง IMAX อย่างเพลิดเพลินสนุกสนานมาก
เพราะมีเรื่องราวประกอบ คือ Rhapsody in Blue ในการ์ตูนของดิสนีย์ Fantasia 2000 ครับ

Rhapsody in Blue

                     http://www.youtube.com/watch?v=LYk_dU4IWVg  

            เลือกอีกหนึ่งเพลงจาก Fantasia 2000 - Firebird Suite

ประพันธ์โดย Igor Stravinsky  กล่าวนำก่อนบรรเลงโดยนักแสดงคนโปรดของอาจารย์ - Angela Landsbury ครับ

                    http://www.youtube.com/watch?v=4oSTyWYGJ6E

          โครงการการ์ตูนจากเพลงคลาสสิค - Fantasia ของดิสนีย์ เริ่มต้นจากเพลง
The Sorcerer's Apprentice ของ Paul Dukas มีมิคกีย์ เมาส์ เป็นตัวเอก
            ออกฉายในปี 1940 และ
          เพลงนี้ได้ถูกนำมารวมไว้ใน Fantasia 2000 ด้วย ครับ

                http://www.youtube.com/watch?v=ZgEyhF3GXrE

ถ้าพูดถึง Fantasia 2000   ก็ต้องย้อนไปถึง Fantasia ชุดแรกของดิสนีย์ ที่มีเพลงคลาสสิคดังๆหลายชุดเป็นเพลงแบคกราวน์ของเรื่อง  
นอกจาก The Nutcracker Suite ของไชคอฟสกี้แล้ว ก็มีซิมโฟนีอมตะของเบโธเฟนอีกชุดหนึ่งคือ Pastoral Symphony ที่กลายมาเป็นเพลงประกอบลีลาของตัวเซนทอร์หนุ่มสาว และเทพใหญ่น้อย ในดินแดนโอลิมปัสของเทพปกรณัมกรีก

ตอนนี้ เห็นมีบอกในยูทูปว่าเป็นตอนที่ถูกตัดออกไปจาก Fantasia 1940    อาจเป็นเพราะยาวเกินไป
เพลงแบคกราวน์คือ Claire de Lune อันลือเลื่อง   น่าเสียดาย

http://www.youtube.com/watch?v=fLSzlBaU3jM&NR=1

            สืบต่อจากเพลง แสงจันทร์(วันนี้นวล) ที่อาจารย์นำพามาให้ฟังและชม

               การ์ตูนประกอบเพลง  Claire de Lune นี้ ได้ถูกนำมาใช้ในการ์ตูนประกอบเพลง
เรื่อง Make Mine Music (1946)

             ในตอน "A Tone Poem" โดยใช้เพลงร้อง  "Blue Bayou" ประกอบแทน

           http://www.youtube.com/watch?v=4WzXVlWUAoo&playnext=1&list=PL5F32884CB8C37108

               

             จากการ์ตูนชุดเดียวกัน อีกหนึ่งเพลงที่มาอารมณ์ครือกัน ครับ
Without You

              http://www.youtube.com/watch?v=0O91q7E6qNs

หนังพีเรียดของอังกฤษ เรื่อง The Scarlet Pimpernel คุณ SILA เคยผ่านตามาบ้างไหมคะ
เรื่องนี้ทำจากนิยายชื่อเดียวกันของ Baroness Orczy  คุณอ.สายสุวรรณเคยนำมาแปลในชื่อ วีรบุรุษดอกไม้แดง
พื้นหลังของเรื่องเป็นประวัติศาสตร์สมัยปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ปี 1789 ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระนางมารีอังตัวแน็ตต์ถูกประหารด้วยกีโยตีน   จากนั้นเจ้านายอื่นๆและผู้ดีฝรั่งเศสก็ถูกจับบั่นหัวไม่เว้นแต่ละวัน  

พระเอกเป็นวีรบุรุษลึกลับที่ใช้นามแฝงว่า ดอกพิมเพอร์เนลแดง  เสี่ยงตายเล็ดลอดไปช่วยผู้บริสุทธิ์ให้รอดมาได้จำนวนมาก    ส่วนนางเอกเป็นนางละครสาวสวยชื่อมาเกอร์ริตซึ่งได้สมรสกับขุนนางชาวอังกฤษ   แต่ชีวิตสมรสก็มีปัญหาหนัก    สามีเธอเป็นบุรุษเจ้าสำราญ และออกจะเพี้ยนๆ  ในกลุ่มพระสหายของปรินออฟเวลส์
หนังเรื่องนี้สร้างฉากและเครื่องแต่งกายได้สวย  เห็นแล้วราวกับนั่งยานเวลาไปหาอดีต    นางเอกคือเจน ซีมอร์ก็สวยหยดย้อย  พระเอกเรื่องนี้เพิ่งเล่นเรื่อง The King's Speech   ตอนแก่  ตอนหนุ่มๆเขาเล่นเรื่องนี้ได้เก่งและหล่อเอาการ

http://www.youtube.com/watch?v=ngznYfEyEH8&playnext=1&list=PL85A4B7AC03ABAA55

                ไม่เคยเห็นหรือผ่านตา ครับ
                พระเอกที่ต่อมาแสดงใน The King's Speech ก็นึกหน้าไม่ออก ต้องไปค้นหาดู
พบว่ารับบทเป็นท่านนายก นั่นเอง

                สมัยก่อนมีโอกาสดูหนังพีเรียดฝั่งยุโรปบ่อยครั้ง โดยเฉพาะหนังฝรั่งเศส และอังกฤษ
อดสงสัยไม่ได้ว่า หนังเขาดูลงทุนสูง (ซึ่งมักเป็นการร่วมทุนสร้างหลายบริษัท) โดยเฉพาะเครื่องแต่งกาย
ฉาก สถานที่ ดูหรูหรา ดูดี เมื่อออกฉายในตลาดที่แคบมากๆ (เทียบกับหนังอเมริกัน) แล้วจะได้กำไร
สักเท่าไร  

                เรื่องหนึ่งที่ได้มีโอกาสดูในโรงใหญ่อย่างประทับใจ คือ The King is Dancing
(Le Roi Danse) เป็นเรื่องราวของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (เช่นกัน) กับ ดุริยกวีราชสำนัก Lully
ที่สมัยนั้นอำนวยเพลงโดยการใช้คทากระทุ้ง ปังๆ วันหนึ่งกระทุ้งพลาดกระแทกเท้าจนเป็นแผล
และต่อมาเสียชีวิตจากการติดเชื้อ

ซีนตอนพระเจ้าหลุยส์ 14 : the sun-king แด๊นซ์ ครับ

                       http://www.youtube.com/watch?v=KyBqf4s4O8w  

นำ part 1  ของ The Scarlet Pimpernel มาให้ชม    part อื่นๆ คุณ SILA คงคลิกต่อไปได้เองจนจบ

http://www.youtube.com/watch?v=TU2RLwEsxT4

ในยูทูป มีหนังพีเรียดของอังกฤษหลายเรื่อง   แบบเดียวกัน     ฝีมือสร้างฉากและเครื่องแต่งกายวิจิตรมาก   แต่ดิฉันไม่คิดว่าเป็นหนังลงทุนสูงนัก เพราะดูแล้วฉากต่างๆไม่ได้สร้างเองแบบฮอลลีวู้ด แต่คงจะไปเช่าปราสาทหรือคฤหาสน์ในอังกฤษซึ่งเปิดให้ชมและให้เช่าถ่ายหนัง หาได้ตามเมืองท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งก็ว่าได้
บางเรื่องก็ทำเพื่อฉายทางทีวี  ไม่ได้เป็น tv series ด้วยซ้ำ  จบในตอน  โดยมากผลิตราวทศวรรษ 1980s

เรื่องที่สองที่จะนำมาให้ชม เป็นหนังพีเรียดอังกฤษที่ฮิว แกรนท์เล่น เมื่อหนุ่มๆ (คงเข้าวงการมาใหม่)   เนื้อเรื่องเป็นยุค Restoration ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒  ซึ่งเล่าไว้ในกระทู้  ราชาเจ้าสำราญ 
ชื่อ The Lady and the Highway Man  ของนักเขียนเรื่องพีเรียดรักโรมานซ์หวานจ๋อยของอังกฤษชื่อ Barbara Cartland

เริ่มเรื่องตอนต้นพระเอกเป็นข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ ๒  หลังจากพาพระองค์หนีไปได้สำเร็จ  ก็ต้องหลบหนีอำนาจของหัวหน้ากบฏ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ไปเป็นโจร เพื่อไม่ให้กฎหมายเอื้อมถึง     ส่วนนางเอกเป็นสาวน้อยลูกขุนนางซึ่งถูกบังคับให้แต่งงานกับลูกน้องจอมเจ้าเล่ห์ของครอมเวลล์     ต่อมาเธอถูกจับในข้อหาฆ่าสามีตาย
ในเรื่องนี้ ไมเคิล ยอร์ค ดาราฝีมือดีของอังกฤษเล่นเป็นพระเจ้าชาร์ลส์      ดาราสาวที่เล่นเป็นเลดี้คัสเซิลเมนพระสนมเอกสวยดีแต่ดูเด็กไปหน่อย     นางเอกเรื่องนี้ โขกออกมาจากนิยายเป๊ะ     แต่งชุดอังกฤษโบราณแล้วสวยเหมือนรูปวาดไม่มีผิด 

http://www.youtube.com/watch?v=K-6BGxynVPE

หนังพีเรียดแบบนี้เป็นของ Gainsborough Pictures  มีอีกเรื่องของนักเขียนคนเดียวกัน  นางเอกก็คนเดียวกัน  ชื่อ A Ghost in Monte Carlo

http://www.youtube.com/watch?v=eEJIFl3XP8A&feature=related

ขอบคุณครับ อาจารย์

             เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงและคลื่นยักษ์ที่ญี่ปุ่นเมื่อวันศุกร์ 11 มีนาคม ทำให้นึกถึง
หนังเก่าเล่าเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เคยดูแล้วยังประทับใจมาจนวันนี้ นั่นคือ

                         Krakatoa East of Java (1969)

            แม้ว่าหนังจะพลาดอย่างจังตรงชื่อเรื่องที่ผิดทิศ เพราะ เกาะกรากะตั้วตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก
ไม่ใช่ตะวันออกของเกาะชวา แต่ส่วนสำคัญที่สุดของหนังคือ  special effect ของยุคนั้นจัดว่า
ทำออกมาได้ดีเยี่ยม
             ทั้งภาพภูเขาไฟกรากะตั้วระเบิด และ คลื่นยักษ์ถล่ม บนจอซีเนรามา 70 มม. สร้างความตื่นตา
ตื่นใจ สมจริง สมยุค ระดับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์

                     http://www.youtube.com/watch?v=NJLou10rQBk

           เหตุภูเขาไฟระเบิดเกิดในวันที่ 27 สิงหาคม ปี 1883 เสียงกัมปนาทได้ยินไปไกลถึง 3,000 ไมล์
ตามด้วยคลื่นยักษ์สูงกว่า 40 เมตร คร่าชีวิตผู้คนกว่า 36,000 ราย  ม่านควันแผ่ปกคลุมกว้างไกล
ทำให้เกิดฝนดำ และอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลง

           จัดเป็นหนังผจญภัย หายนะธรรมชาติที่มีตัวละครน่าสนใจและสนุกมากเรื่องหนึ่งในอดีต ครับ   

ดูเหมือนเถ้าถ่านจะลอยมาถึงสยาม   เคยอ่านพบว่ามีการบันทึกไว้ด้วยค่ะ

           สมัยเป็นนักเรียน ได้รู้จักภูเขาไฟนี้จากวิชาวรรณคดีไทย ครับ
           เป็นบันทึก(แบบไดอารี่)ในพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ครั้งบวชอยู่ที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน
(ต่อมาทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ค้นจากเน็ทได้ข้อความว่า

           “เมื่อข้าพเจ้าบวชอยู่วัดนิเวศน์ฯ ประจวบกับมีเหตุสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งควรจะเล่า...
เมื่อเดือนสิงหาคม...อยู่ในระหว่างวันที่ ๒๗ จนถึงวันที่ ๓๐ เวลาบ่าย ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ตำหนักได้ยินเสียงดัง
เหมือนยิงปืนใหญ่ไกลหลายนัด นึกในใจว่าคงยิงสลุตรับแขกเมืองที่เข้ามากรุงเทพฯ
            ครั้นเวลาเย็นลงไปนั่งเล่นที่สะพายท่าน้ำตามเคย ไปพูดขึ้นกับพระที่อยู่มาก่อน ท่านบอกว่า
ที่วัดนิเวศน์ฯ ไม่เคยได้ยินเสียงปืนใหญ่ยิงในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นการสำคัญก็ไม่ค้นหาเหตุผลต่อไป

             ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เห็นแสงแดดเป็นสีเขียวตลอดวัน คนทั้งหลายพากันพิศวงทั่วไปในท้องถิ่น
ที่ตื่นตกใจก็มี แต่ในวันต่อมาก็กลับเป็นปกติตามเดิม เป็นหลายวันจึงทราบข่าวว่าภูเขาไฟระเบิดที่เกาะกระกะเตา
ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะชวาและเกาะสุมาตรา คนตายหลายหมื่น เสียงภูเขาไฟระเบิดและไอที่ออกบังแสงแดด
ทั้งละลอกน้ำในท้องทะเลแผ่ไปถึงนานาประเทศไกลกว่าที่เคยปรากฏมาแต่ก่อน
             เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่านี้ถ้าใครจะใคร่รู้โดยพิศดาร จงไปดูในหนังสือเอนไซโคลปีเดีย บริแตนนิคะ
ตรงอธิบายเรื่องเกาะกระกะเตาก็จะรู้ชัดเจน”

ไม่นึกว่าหาได้จากกูเกิ้ลด้วย   :D

ธรณีพิโรธ อาจเกิดที่ไหนก็ได้ในโลก  รวมทั้งกรุงเทพของเราด้วย    หนังที่เอาตัวอย่างมาให้ดูคือภูเขาไฟระเบิดที่พ่นลาวาออกมาใจกลางเมืองแอลเอ   เป็นหนังปี 1997

http://www.youtube.com/watch?v=QhS9X8H51A8

ย้อนหลังไปปี 1974   แอลเอก็แผ่นดินไหวมาแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=I18DMyTFJo0&feature=related

ขอพาคุณ SILA และผู้อ่านกระทู้นี้  กลับไปที่ปี 1960   หนังขาวดำเล็กๆเรื่องหนึ่ง ที่ลงทุนเรื่องฉากน้อยมาก    ตัวละครก็ไม่กี่ตัว  เนื้อเรื่องเป็นเรื่องระทึกขวัญ (thriller) ที่มีให้เห็นมากมายในหนังเกรดบี      แต่กลับเป็นหนังอมตะ ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะฉากฆาตกรรมใต้ฝักบัวในห้องอาบน้ำ   
เป็นฉากที่เลื่องลือกันว่า ทุกรอบฉาย ต้องมีผู้หญิงเป็นลมในหมู่คนดู     จากนั้น  ทำเอาคนทั้งอเมริกาเป็นโรคผวาที่ต้องอาบน้ำใต้ฝักบัวกันไปพักใหญ่  รวมทั้งดาราหญิงที่รับบทนี้ด้วย

Psycho  ของ ALfred Hitchcock

http://www.youtube.com/watch?v=8VP5jEAP3K4

http://www.imdb.com/video/screenplay/vi1492452121/

ทำภาพเป็นคลิปวิดีโอให้ดูไม่ได้ค่ะ  ต้องเข้าไปตามลิ้งค์

บ้านสยองขวัญในเรื่องนี้ ตั้งไว้ในโรงถ่ายยูนิเวอร์แซลให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

(http://hollywoodlostandfound.net/pictures/locations/universalstudios/psycho.jpg)

              ดูคลิปที่ imdb แล้วนึกถึงตอนเด็กเคยดูรายการของ Hitchcock ทางทีวี ครับ
น่าจะเป็น The Alfred Hitchcock Hour มีฮิทช์ค็อคเป็นโฮสท์ดำเนินรายการ

                เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเขาในหนังคือ การปรากฏตัวเองในฉากใดฉากหนึ่งของหนัง (cameo appearance)
จนเป็นธรรมเนียมที่คนดูจะคอยจับตามองหาเขาซึ่งบางทีก็ทำให้ละเลยเรื่องราวของหนังไปได้

ใน Psycho เขายืนอยู่ด้านนอกออฟฟิซของเจเนท ลีห์

           นอกจากปรากฏตัวเป็นๆ แล้ว ยังโผล่มาให้เห็นแบบเก๋ไก๋ เช่น

ในโฆษณาหนังสือพิมพ์จากเรื่อง Lifeboat

ในเรื่อง Rope จะหายากหน่อย ถ้าไม่สังเกตดีๆ ที่ป้ายนีออนสีแดงตรงมุมขวาล่าง ครับ

ชอบมุกของแกค่ะ  ;D

อีกเรื่องที่เป็นประวัติการณ์ คือ The Birds   ฮิทช์ค็อกซ์สร้างสัตว์สยองขวัญจากสัตว์น้อยน่ารักธรรมดาที่สุดในสายตาคน  คือฝูงนก
จู่ๆ ชาวบ้านที่แสนสุขสมนั่งชมวิหค ก็พบว่านกกลับกลายเป็นฝูงฆาตกรโหดบุกเข้าสังหารมนุษย์ไม่เลือกหน้า    ไม่มีทางป้องกันใดๆ

เอาฉากโหดมาให้ดู   ผู้กำกับปูพื้นอารมณ์ผ่านฉาก และสีหน้าท่าทาง มากกว่าแอ๊คชั่น

http://www.youtube.com/watch?v=KwLiH8bWFdM

นกรุมทำร้ายเด็กนักเรียน

http://www.youtube.com/watch?v=4RKOLFxxq5E

ฉากนกโจมตีในงานปาร์ตี้

http://www.youtube.com/watch?v=yhsrnbJ3680&feature=related

                     The Birds (1963)

            ฉากไคลแมกซ์ของเรื่องเมื่อฝูงนกโจมตีนางเอกและเด็กนักเรียน เป็นที่ชื่นชมยกย่อง
ในฝีมือของฮิทช์ค็อคผู้กำกับภาพ เสียง บรรยากาศ ก่ออารมณ์หวาดระแวงแล้วค่อยๆ เพิ่มเติม
ความเครียด ความน่าสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด

                 นกกาสีดำไม่น่ามองเกาะอยู่บนเครื่องเล่นโครงป่ายปีนเมื่อนางเอกมาถึงโรงเรียน
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นผู้ชมได้รับรู้ภาพการโจมตีของฝูงนกในสถานที่อื่นๆ แล้ว

               ฟ้าใส ไร้เมฆ เสียงนักเรียนร้องเพลงแว่วมา เธอนั่งท่านางแบบสูบบุหรี่ชิลล์ๆ  
รอรับเด็กหลังเลิกเรียนโดยหันหลังให้กับโครงป่ายปีนนั้น ไม่รู้เลยว่านกกามาเกาะเพิ่มจำนวนมากมาย
ในขณะที่เราคนดูรับรู้ถึงวิหคภัยที่กำลังก่อตัว

            ภาพของสาวสวย ทรงผมเรียบ แต่งตัวเนี้ยบ ขัดแย้งตัดกับภาพฝูงนกสีดำไม่น่าดู
อย่างชัดเจน  กล้องจับภาพเธอตัดสลับกับภาพนกที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีค่อยๆ เพิ่มความระทึกขวัญสั่นใจให้กับคนดู    

              ในที่สุดฝูงกาบินออกจู่โจมฝูงเด็กนักเรียนที่วิ่งหนีกันไม่ทัน นางเอกของเราก็พลอยถูกจิกตี
จนผมเผ้าที่เรียบกริบกระเซิง

แต่หน้ายังผ่อง   ไม่มีริ้วรอยขีดข่วน    เสื้อผ้า(ซึ่งออกแบบหรูเริด) ยังเรียบกริบไม่ฉีกไม่ขาด   ไม่มีแม้แต่รอยยับ   ผิดกับพระเอกที่หน้าตาเยิน ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
ดูเรื่องนี้แล้วอดนินทาในใจไม่ได้ว่า  คุณปู่ผู้กำกับตามใจนางเอกให้สวยตลอด ๒๔ ช.ม. จนเกินจริงไปหน่อยค่ะ

(http://en.wikivisual.com/images/f/f2/The_Birds_-_Rod_Taylor_-_Tippi_Hedren.jpg)

อีกเรื่องหนึ่งของฮิทช์ค็อก ที่ได้ดาราระดับเจ้าหญิงเจ้าชายของฮอลลีวู้ดมาเล่น   To Catch A Thief    บรรยากาศอลังการในเรื่อง สะท้อนค่านิยมยุค 1950s  ของอเมริกาออกมาได้ชัดเจน
เกรซ เคลลี่ สวยมากๆ  ดาราหญิงยุคนี้ไม่มีอีกแล้วที่จะสวยสง่าได้อย่างเธอ

http://www.youtube.com/watch?v=Le-X36HfBGI

เกรซ เคลลี่เป็นดาราคู่ขวัญของผู้กำกับฮิทช์ค็อก  นอกจากเรื่องข้างบนแล้ว  เธอมารับบทเอกในหนังฆาตกรรมคลาสสิคเรื่อง Dial M for Murder   

http://www.youtube.com/watch?v=LBoL2vMJkCs&feature=related

คุณ SILA คงจำได้ว่าหนังเรื่องนี้นำมาสร้างใหม่  กวิเนธ พัลโทรว์เล่นในบทของเกรซ

           เจ้าหญิงเกรซ โดนใจฮิทช์ค็อคผู้นิยมสาวผมบลอนด์จนได้แสดงหนังของเขาถึง 3 เรื่อง
ติดต่อกันก่อนทิปปี้ และได้รับสมญาว่า Hitchkock's ultimate cool blonde ด้วย
คุณสมบัติภายนอก - สวย สง่า ออร่ากระจาย และโทษสมบัติภายใน - มีปัญหาทางจิตใจ ไม่ซื่อ

              เจ้าหญิงแสดงหนังเพียง 11 เรื่อง ได้ดูแค่เรื่องเดียวทางทีวี คือ Mogambo ครับ

                          http://www.youtube.com/watch?v=L3Kuaa0HhTk

              ทิปปี้ก็เป็นสาวผมบลอนด์ที่ต้องใจฮิทช์ค็อคและดูท่าอาการจะหนักหนาสาหัส

              ในกระทู้เก่า ได้เคยลงรูปจากแม็กซีน Vanity Fair ที่นำดาราปัจจุบันมาถ่ายรูป
เป็นดาราเก่าในหนังดังของฮิทช์ค็อค ซึ่งรวมถึงสองเรื่องที่ทิปปี้นำแสดงคือ เดอะ เบิร์ด กับ มาร์นี
ข้อความประกอบรูปเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงสาวกับผู้กำกับว่า

              ฮิทช์ค็อคนั้นต้องเสน่ห์สาวผมบลอนด์ - ทิปปี้ เข้าอย่างจังถึงขั้น obsess จับเซ็นสัญญา
ผูกขาดแสดงหนัง 7 ปี ทั้งที่ยังโนเนม (ฮิทช์ค็อคเห็นทิปปี้จากหนังโฆษณาทางทีวี) สั่งตัดชุดสวยมากมาย
ให้สวมใน The Bird ทั้งยังจ้างคนในกองถ่ายให้คอยตามดูเธอหลังเลิกกองด้วย
              ฮิทช์ค็อคออกอาการมากขึ้นในหนังเรื่องถัดมา - Marnie จนถึงขนาดสารภาพรัก
กับทิปปี้ เมื่อฮิทช์ค็อคถูกปฏิเสธเขาก็ผละจากเธอและปฏิเสธที่จะเอ่ยชื่อเธออีกต่อไป ครับ

มิน่าเล่า  ทิปปี้จึงได้เล่นเป็นนางเอก  ทั้งๆสีหน้าเธอจืดสนิทไร้อารมณ์    เดินเหินก็แข็งทื่อ     ยิ่งเรื่อง Marnie ยิ่งเห็นชัด  ว่าบทเด็กมีปัญหาอย่างนางเอก เธอเล่นไม่ได้เอาเลย

http://www.youtube.com/watch?v=mBwraZANhDQ&feature=related

เชิญคุณ SILA และท่านอื่นๆ  ดูเกรซ เคลลี่ในเรื่อง The Swan (1956)   เรื่องนี้ดาราเล่นกันไม่กี่คนแต่ฝีมือฉกาจทั้งนั้น    เป็นเหตุการณ์สมัยปลายศตวรรษที่ ๑๙ ต่อกับต้นศตวรรษที่ ๒๐    เซอร์อเลค กินเนสดาราอังกฤษรับบทมกุฎราชกุมารโสดที่ตระเวนเลือกเจ้าสาวไปทั่วยุโรป   แต่ไม่ยักปลงใจกับเจ้าหญิงองค์ไหนสักที     เกรซ เคลลี่เป็นเจ้าหญิงอเลกซานดรา ที่เสด็จแม่มีความใฝ่ฝันอย่างเดียว คือให้ลูกสาวได้เป็นควีน และหลุยส์ จูรดอง พระเอกเรื่อง Gigi  เล่นเป็นโปรเฟสเซอร์หนุ่ม  ครูสอนเจ้าชายเล็กๆในวัง ที่แสนจะหล่อและเก่ง แต่เป็นสามัญชนต่ำต้อย
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเสด็จแม่ มองเห็นว่าเจ้าชายมิได้เอาใจใส่เจ้าหญิงแม้แต่น้อย  มีเวลาแค่ ๔  วันที่พบกันก็หมดไป ๓ วันแล้ว  จึงวางแผนให้เจ้าชายหึงโดยจับอาจารย์หนุ่มเป็นหุ่นเชิด   
ตัดตอนฉากประทับใจ คือฉากลีลาศอันงดงามของเกรซ เคลลี่กับหลุยส์  ที่หล่อและสวยสมกันจริงๆ  เกรซเล่นเรื่องนี้เป็นนางหงส์สมชื่อเรื่อง

http://www.youtube.com/watch?v=0MN9oPMHhtk


แต่ถ้าใครคิดว่าเรื่องนี้จะจบแบบหนังน้ำนิ่งยุงชุมทั้งหลาย  กรุณาไปหาในยูทูปดูตอนจบเอาเองค่ะ

            The Swan เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเกรซ เคลลี่ ผู้ก้าวจากบทเจ้าหญิงในหนัง
ไปสู่บทเจ้าหญิงในชีวิตจริง

                 ภาพจากตากล้อง Howell Conant ถ่ายเมื่อปี 1955 ที่ Jamaica
ต่อมาเขาได้เป็นตากล้องคนโปรดของเจ้าหญิงและราชวงศ์ ครับ

เกรซ ในชุดวิวาห์  เมื่อเข้าสู่พิธีเสกสมรสกับเจ้าชายไรเนียร์แห่งโมนาโค
ใครจะหาเจ้าสาวที่สวยกว่านี้ได้บ้าง?

(http://3.bp.blogspot.com/_hjD61YU8VYs/S_gRMSFzj-I/AAAAAAAAabI/ukfQQwnl9GQ/s1600/Grace+Kelly+1956.jpg)

แต่ตุ๊กตาทองที่เธอได้รับในปี 1954 มาจากเรื่อง The Country Girl  เล่นคู่กับบิง ครอสบี้ นักร้องเสียงทองเจ้าของเพลง White Christmas  และดาราตุ๊กตาทองอีกคน วิลเลียม โฮลเดน

(http://www.cinereves.com/photos/UNE%20FILLE%20DE%20LA%20PROVINCE23.JPG)

หนังปี 1956 ที่ดังอีกเรื่องหนึ่งคือ  AROUND THE WORLD IN 80 DAYS  หรือ แปดสิบวันรอบโลก ทำจากนิยายชื่อเดียวกันของ Jules Verne  ในค.ศ. 1873  ปลายศตวรรษที่ 19
หนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของดิฉันตอนอยู่ปี 2    ที่แปลกใจเมื่อย้อนนึกถึงคืออาจารย์เลือกเวอร์ชั่นฝรั่งเศสให้อ่าน ทั้งๆเป็นนิยายของนักเขียนอังกฤษ

เดวิด นิเวนดาราอังกฤษ เล่นเป็นฟิเลียส  ฟ็อกก์  พระเอกผู้ดีอังกฤษ  ผู้รับท้าพนันเพื่อนในสโมสรว่าจะสามารถเดินทางจากลอนดอนไปรอบโลกภายใน ๘๐ วัน     
ฉากในเรื่องจึงเป็นบ้านเมืองต่างๆที่เขาผ่านไปกับคนรับใช้จอมยุ่งชื่อ "ปาสปาตู"  (Passepartout ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ผ่านได้ทุกแห่ง)
เทคนิคของฮอลลีวู้ดในปี 1956  ทำฉากบัลลูนพระเอกลอยเลื่อนไปเหนือเมืองต่างๆได้เนียนสวยมาก   เหมือนพาคนดูขึ้นบัลลูนไปด้วย 
มีฉากปาสปาตูทำเท่   ตักหิมะจากยอดเขา ไปแช่แชมเปญให้นาย


http://www.youtube.com/watch?v=NVATgQQZlq4&NR=1

http://www.youtube.com/watch?v=rJr-_-VezmQ

ระบำสเปนฉากนี้ เต้นกันเทคเดียวจบ ไม่มีการตัดต่อ
ฉากปาสปาตูกระชากผ้าปูโต๊ะมาเป็นผ้าล่อวัวกระทิง โดยของบนโต๊ะไม่ล้ม  ก็ทำได้น่าดูมาก  ไม่รู้ว่าตัดต่อกันยังไง

หนังเรื่องนี้มีเพลงแบคกราวน์เพราะมาก คือ  Around the World  ที่กลายมาเป็นเพลงป๊อปยอดนิยม  ร้องโดยแน็ต คิง โคล   
มีเวอร์ชั่นภาษาไทยที่ถอดออกมาได้เนื้อหาตรงกับภาษาอังกฤษ  ไม่ทราบใครเขียน ส่วนคนร้องคือคุณสุเทพ วงศ์กำแหง

http://www.youtube.com/watch?v=Qk51-vjcZ-Y

อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ของ Matt Monroe

http://www.youtube.com/watch?v=XyVsVLtETL4&NR=1

           เคยอ่านฉบับแปลเป็นไทยตอนเป็นนักเรียน ครับ สนุกมาก ตอนจบก็หักมุมจากผิดหวังมา
เป็นสมหวังแบบถูกใจสุดๆ ด้วยเพราะหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์
             ชอบการวางบุคลิกพระเอกให้เป็นผู้ดีอังกฤษ (English nobleman) ยอมเสี่ยงภัย เสี่ยงแพ้
(พนัน) เพื่อช่วยผู้อื่น แม้แต่กับนักสืบตัวร้ายจากสก็อตแลนด์ยาร์ดพระเอกก็ยังเมตตา

             จากนิยาย Le tour du monde en quatre-vingts jours ผู้แต่งเป็นฝรั่งเศส ครับ
             
              ได้ดูเวอร์ชั่นนี้ทางโทรทัศน์ และต่อมายังมีมินิซีรี่ส์ในปี 1989 นำแสดงโดย Pierce Brosnan
ดูเหมือนว่าจะมาถ่ายทำบางส่วนในบ้านเราด้วย ครับ

trailer มินิซีรี่ส์    http://www.youtube.com/watch?v=E_7E_Q1-104   

คงเป็นเพราะก้านแก้วสั้นไป นิ้วก้อยคุณฟ็อกก์จึงต้องกางออก

      ไล่จับไก่กลับเข้าเล้า    :-[ :-[ :-[
       ไม่เคยเช็คเลยว่า Verne เป็นคนฝรั่งเศส  เพราะอ่านนิยายแกเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น ไม่ว่า Twenty Thousand Leagues Under the Sea (1870) หรือ A Journey to the Center of the Earth (1864),
       เรื่อง  Around the World in Eighty Days (1873) พระเอกก็เป็นผู้ดีอังกฤษ

      ขอแก้ตัวด้วยอีกเรื่องของ Verne ที่ดังไม่แพ้กัน    ผจญภัยใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea )

http://www.youtube.com/watch?v=ZqlE2iQByRk
   
     เจมส์ เมสันดังมาจากบทกัปตันนีโม เจ้าของเรือดำน้ำมหัศจรรย์ นอติลุส 
     ขอหมายเหตุว่า ดาราชายคนนี้คือ 'ต้นแบบ'ที่มาของคุณชายกลาง แห่งบ้านทรายทอง  ตามจินตนาการของก.สุรางคนางค์

     (http://www.originaloldradio.com/james_mason.jpg)

ฉากระทึกใจที่สุดในเรื่องคือปลาหมึกยักษ์โจมตีเรือดำน้ำ   ทำอย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่เทคนิคใน 1950s จะช่วยได้

http://www.youtube.com/watch?v=ivulQhPY8jI&NR=1

         จำได้เคยถามอาจารย์ถึง ชายกลางแห่งบ้านทรายทอง - เจมส์ เมสัน กับ ท่านชายพจน์แห่งปริศนา - เออร์รอล ฟลินน์ ครับ

         ตอนเด็กเคยดู โลลิต้า ทางทีวี แต่จำอะไรไม่ได้ เจมส์ เมสันรับบทชายหนุ่มที่มีปมฝังใจในรัก
เมื่อครั้งวัยรุ่น มาเจอแม่หนู "nymphet" โลลิต้า เข้าก็เลยติดบ่วงจนเสียผู้ใหญ่
         หนังเวอร์ชั่นนี้ยังมีนักแสดงเจ้าบทบาท - เชลลี่ วินเตอรส์ รับบทเป็นแม่ของโลลิต้าด้วย

คลิปจากโลลิต้า ประกอบเพลงชื่อ Lolita Fantome ครับ

                   http://www.youtube.com/watch?v=hufSR2uuqEQ

และ ภาพจากหนังที่คุ้นตา ครับ

Lolita เป็นนิยายต้องห้าม    และหนังต้องห้าม เรื่องหนึ่ง   จำได้ว่าเคยฉายในโรงหนัง แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปดู
ในหนัง  โลลิต้าอายุมากกว่าในเรื่อง  ในนิยายอายุแค่ ๑๒   ดาราหน้าใหม่ที่เล่นบทนี้คือ Sue Lyon ดังระเบิดในพริบตา

(http://1.bp.blogspot.com/_ir6h9Q90O7g/TOJUDIpxpkI/AAAAAAAAAWw/3XYN_jKJqQo/s1600/Sue+Lyon+%2528Lolita%2529.jpg)

เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ หนึ่งในดารายิ่งใหญ่ค้างฟ้าแห่งโลกภาพยนตร์ศตวรรษที่ 20ได้เสียชีวิตแล้วที่นครลอสแอนเจลีส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันพุธที่ 23 มีนาคม 2011 ด้วยวัย 79 ปี
เห็นจะต้องขอคุณ SILA  ให้ช่วยหาหนังของเธอมาลงเป็นที่ระลึกของอดีตดาราหญิงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทศวรรษ 1950 และ 1960s  เคยได้ชื่อเป็นสตรีที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย

ข่าวคราวของป้าลิซ หายเงียบไปจากสังคมฮอลลีวู้ดมาพักใหญ่แล้ว    เข้าใจว่าคงเจ็บป่วย เลยไม่ได้ออกงานเหมือนเคย  เพิ่งมาได้ข่าวว่าถึงแก่กรรมเสียแล้ว
ขอให้เธอไปสู่สุคติ  RIP

เธอเป็นดาราน้อยคนของฮอลลีวู้ดที่เป็นดาราดังได้ตั้งแต่วัยเด็ก  จนโตเป็นสาว  เข้าวัยกลางคน จนแก่ ก็ยังเป็นดาวค้างฟ้าอยู่เช่นเดิม

http://www.youtube.com/watch?v=ucOXUmd1rtE&feature=related

              รู้จัก Dame Elizabeth Taylor จากหนังเรื่อง คลีโอพัตรา ครับ

              เป็นหนังมหากาพย์ยิ่งใหญ่ ทุ่มทุนสร้างมหาศาลจนสตูดิโอขาดทุนอย่างหนัก
แต่เดมลิซมีแต่ได้กับได้ทั้งจากค่าตัวสูงเป็นประวัติการณ์ และค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทำในระบบ Todd-AO
ของ Mike Todd สามีคนที่ ? ของเดม
           (ให้เสียงหลายทิศทาง ภาพกว้างเต็มจอโค้ง หนังเรื่องอื่นที่ใช้ระบบนี้ เช่น The Sound of Music
และ West Side Story)

คลิป Cleopatra (1963) ใน 2.41 นาที ครับ

                 http://www.youtube.com/watch?v=h6ncMHuNxnM

              ระหว่างการถ่ายทำเดมป่วยหนักจากภาวะปอดติดเชื้อ มีภาวะหายใจล้มเหลวจนต้อง
เจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ รอยแผลเป็นบริเวณคอยังปรากฏให้เห็นดังในภาพ     

            หนังใหญ่อีกเรื่องของเดมที่ได้ดูคือ   Giant (1956)   

              เรื่องนี้ เจมส์ ดีน โดดเด่นโดนใจกว่านักแสดงนำอีกสองคนคือเดมลิซ กับ ร็อค ฮัดสัน -
เพื่อนรักของเดม ผู้ซึ่งต่อมาป่วยและเสียชีวิตจากโรคเอดส์ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เดมลิซช่วยเหลือจัดตั้ง
มูลนิธิ  American Foundation for AIDS Research (AmFAR) ในปี 1993

trailer Giant ครับ

               http://www.youtube.com/watch?v=w2x6AT4mr3o   

ภาพเดมลิซกับเจมส์ ดีน ในหนังที่คุ้นตามาแต่ไหนแต่ไร

            หลากหลายนักแสดงระดับตำนานกล่าวถึงเดมลิซ ครับ

Barbra Streisand :

                  "It's the end of an era," said Streisand in her tribute.
         "It wasn't just her beauty or her stardom. It was her humanitarianism.
She put a face on HIV/Aids. She was funny. She was generous. She made her life count".

เพื่อนรัก Shirley MacLaine :
                  
                  "I don't know what was more impressive, her magnitude as a star
or her magnitude as a friend."
        
เพื่อนรักผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเดมในวันเดียวกัน Dame Julie Andrews :

                   "She was a great legendary lady of Hollywood and she will be mourned
worldwide".

และ        เพื่อนรัก Debbie Reynolds ผู้ซึ่งเคยถูกสามีนักร้องดัง Eddie Fisher หย่า
          เพื่อไปแต่งกับเดมลิซที่ตอนนั้นเป็นม่ายสามีตาย (Michael Todd) หลังจากที่ทั้งคู่มี
แอฟแฟร์กันจนอื้อฉาวกระฉ่อนฮอลลีวู้ด กล่าวถึงเดมว่า :

                  “She was the most glamorous and sensuous star of our generation.
No one could equal Elizabeth’s beauty and sexuality. Women liked her and men adored her,
my husband included, and her love for her children is enduring".

                ทั้งสองครองคู่อยู่ได้ 5 ปีก่อนที่เดมจะทิ้งเอ็ดดี้ไปหาริชาร์ด เบอร์ตั้น ที่แสดงหนัง
คลีโอพัตราร่วมกัน

ฉากประทับใจจากหนัง ตุ๊กตาทองตัวแรกของลิซ   ในบทโสเภณีชั้นสูง จาก Butterfield 8
ดาราชายในเรื่องคือ Lawrence Harvey

http://www.youtube.com/watch?v=4rXoeoGAI_g

ตุ๊กตาทองตัวที่สองจาก Who's Afraid of Virginia Woolf   เธอรับบทมาร์ธา เมียขี้เมาของศาสตราจารย์จอร์ช  (รับบทโดยริชาร์ด เบอร์ตัน  สามีที่ลิซสมรสด้วย 2 ครั้งในชีวิตจริง)

http://www.youtube.com/watch?v=nInE5TITzE8

แต่ดิฉันชอบหนังเล็กๆ ที่ลิซเล่นในปี 1980 มากกว่า เป็นหนังนักสืบของอกาธา คริสตี้ อยู่ในชุดนักสืบมิสมาร์เปิ้ล  ดารานำที่เล่นเป็นเจน มาร์เปิ้ล คือแอนเจล่า แลนสเบอรี่คนโปรดของดิฉันจากซีรี่ส์ชุด Murder, She wrote

เรื่องนี้ลิซเล่นเป็นดาวค้างฟ้าของฮอลลีวู้ดที่มาถ่ายหนังในหมู่บ้านของมิสมาร์เปิ้ล    มีดาวค้างฟ้าอีกหลายดวงร่วมเล่น เช่นร็อค ฮัดสัน และคิม โนแว็ค
สาวสองพันปีในชุดชมพูที่ปะทะบทเชือดเฉือนกับลิซในฉากนี้ละค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=PudXY9dYvjs&feature=related

             ขอนำเสนอหนังใหญ่ประทับใจที่เดมลิซนำแสดงร่วมกับเพื่อนรัก ร็อค ฮัดสัน และ
นักแสดงหนุ่มที่เป็นตำนานดาวลับฟ้าก่อนวัยอันควรฝ่ายชาย เจมส์ ดีน ครับ

                          Giant  1956

             หนังใหญ่ระดับ epic ที่เคยดูทางจอแก้วนานแล้ว แต่ยังจำติดใจจนทุกวันนี้
โดยเฉพาะบทบาทการแสดงเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเจมส์ ดีน

                ตระกูลใหญ่ยักษ์ Benedict แห่งรัฐเท็กซัสครอบครองอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล โดยมี
Bick(Rock Hudson) เป็นประมุข เคียงข้างด้วยศรีภรรยาแสนงาม Leslie (Elizabeth Taylor)
ที่เปรียบดั่งดอกฟ้าต้องตาต้องใจคนงานในไร่อย่าง Jett
              หลังจากที่พี่สาวของบิ๊คประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง พินัยกรรมระบุให้เจ็ทได้รับที่ดินในไร่ผืนหนึ่ง
ซึ่งบิ๊คได้พยายามติดต่อขอซื้อคืนแต่เจ็ทผู้ทระนงปฏิเสธ

            เหมือนฟ้าเมตตาลิขิตให้ที่ดินผืนนั้นมีบ่อน้ำมันอยู่เบื้องล่าง

           วันที่เขาขุดพบน้ำมันพุ่งสูงกระจาย เจ็ทผู้ต่ำต้อย เนื้อตัวมอมแมมด้วยน้ำมัน ขับรถบุโรทั่ง
ตรงมายังคฤหาสน์เพื่อประกาศให้อดีต "นาย" รับรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะรวยกว่าพวกนาย

                    I’m rich, Bick. 
         Me, I’m gonna have more money than you ever thought you could have –
you and all the rest of you stinkin’ sons of…Benedicts!

          แล้วยังพูดจาลวนลามนางในดวงใจที่แอบหมายปองแต่ต้องห้าม

           You sure do look pretty, Miss Leslie. Pert nigh good enough to eat!

                       http://www.youtube.com/watch?v=50WphCvOubE

             กิจการบริษัทน้ำมันของเจ็ทสร้างรายได้มหาศาล จากคนงานในไร่เจ็ทกลายเป็นมหาเศรษฐี
เจ้าของบ่อน้ำมัน
               และเมื่อประเทศต้องการน้ำมันเพื่อใช้ในการสงคราม บิ๊คจึงหันมาดำเนินกิจการขุดเจาะน้ำมัน
แต่ยังคงพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของตระกูล

                เรื่องราวรอยร้าวระหว่างเจ็ทกับบิ๊คยังคงสืบเนื่องถึงรุ่นลูก เมื่อลูกสาวคนเล็กของบิ๊ค
เกิดความพึงใจในเจ็ท

                สุดท้าย บทสรุปสำหรับเจ็ทคือ เศรษฐีขี้เมา เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย ไร้ความสุข

                ส่วน บิ๊ค ผู้ยิ่งใหญ่ไว้ตัวแห่งรัฐตอนใต้ติดชายแดนเม็กซิโก เคยใจแคบเรื่องเชื้อชาติ
แต่กลับต้องเป็นพ่อตาของสะใภ้เม็กซิกันและปู่ของหลานชายผิวสี ในที่สุดก็ได้เปลี่ยนความคิด
เรื่องการเหยียดผิว ออกตัวปกป้องคนผิวสีถึงขนาดชกต่อยจนตัวเองล้มลงสิ้นท่า แต่ทว่า ชนะใจคนดูทุกคน

          ฉากประทับใจท้ายเรื่อง เมื่อคุณปู่สู้เพื่อความถูกต้อง

                       http://www.youtube.com/watch?v=e4ptm6F2KHQ

สองเรา สองวัย

เอาคลิปที่ลิซเล่นกับดาราชายชั้นนำในอดีตมาให้ดูกันบ้าง
เรื่องนี้ A Place in the Sun  (1951) ดาราฝ่ายชายคือ Montgomery Clift  ซึ่งต่อมากลายมาเป็นมิตรสนิทของเธอ
จนเขาตายจากไปก่อน

http://www.youtube.com/watch?v=wEuFNnJSIw8&feature=related

รูปนี้จาก Little Women  ปี  1949  เมื่ออายุ  17 ปี   แสดงคู่กับดาราชายดาวรุ่ง Peter Lawford

ลิซในวัย 26 ปี  กับพอล นิวแมน ในหนังดังอีกเรื่องหนึ่ง   Cat on a Hot Tin Roof  ปี 1958

http://www.youtube.com/watch?v=l0ViPCmr318

               จากหนังเรื่อง Giant ซึ่งมี Carroll Baker ร่วมแสดงในบทลูกสาวคนเล็ก
ของตระกูลบิ๊ค ทำให้นึกถึงหนังเก่าอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเคยดูทางโทรทัศน์นานมากมายแต่ยังประทับใจ
ตอนจบสืบมาจนปัจจุบัน ครับ

                             Bridge to the Sun (1961)
           
               หนังเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก สร้างจากหนังสือปี 1957 ที่มีชื่อเดียวกันของ Gwen Terasaki
เป็นบันทึกอัตชีวประวัติของผู้เขียนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

                 Carroll Baker สวมบทเป็นผู้ประพันธ์ซึ่งเป็นสาวชาวใต้(รัฐเทนเนสซี) มาประสบรักแรกพบ
กับหนุ่มญี่ปุ่น Hedenari Terasaki(Terry) ซึ่งทำงานเป็นเลขาเอกของสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงวอชิงตัน ดี ซี
เมื่อช่วงทศวรรษ 1930's

             ทั้งสองต่างต้องตาต้องใจกันราวกับเป็นคู่แท้มาแต่ปางก่อน แม้จะถูกทัดทานจากครอบครัว
ของฝ่ายหญิงและผู้ใหญ่ในวงการทูตของฝ่ายชายแต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน ครองคู่ชีวิตครอบครัวแสนสุข
มีลูกสาวน่ารักหนึ่งคนชื่อมาริโกะ       

เทรลเลอร์ "สะพานเชื่อมแดนอาทิตย์อุทัย"

                   http://www.youtube.com/watch?v=wPruGJNVRl0

รักแรกพบ

              แต่แล้วสามชีวิตต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 1941 เมื่อญี่ปุ่นเปิดสงครามกับอเมริกา
โจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์โดยไม่มีการประกาศสงคราม
             เทรี่เป็นหนึ่งในส่วนน้อยของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกาและต้องการที่จะยับยั้ง
แต่ไม่สัมฤทธิ์ผล

             เมื่อรัฐบาลอเมริกาขับชาวญี่ปุ่นออกนอกประเทศ เกวนซึ่งสามารถเลือกได้ที่จะอยู่ในอเมริกา
กลับตัดสินใจติดตามสามีไปญี่ปุ่นแม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าช่วงเวลาแห่งความยากลำบากยามสงครามรออยู่ที่นั่น
             เทรี่บอกเธอว่า ญี่ปุ่นจะถูกบุกโจมตีอย่างย่อยยับในที่สุด แต่เกวนบอกว่า เธอจะอยู่เคียงข้างเขาและ
เผชิญอันตรายจากภัยสงครามด้วยกัน

             หนังนำเสนอภาพของสงครามโลกครั้งที่สองในมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยปรากฏในหนังตะวันตก
นั่นคือ ภาพชีวิตชาวญี่ปุ่นในประเทศของเขาผ่านมุมมองของคนอเมริกันที่อาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงเวลานั้น

                เมื่อมาถึงญี่ปุ่น เทรี่ก็เข้าร่วมกับขบวนการใต้ดินเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม ส่งผลให้เขา
กลายเป็นบุคคลที่หน่วยตำรวจลับของรัฐบาลเฝ้าจับตาจ้องและต้องการตัวในเวลาต่อมา

                 ท่ามกลางความขัดแย้งของคู่สงครามระหว่างบ้านเกิดตนและบ้านเกิดสามีที่อาศัยในปัจจุบันนี้
เกวนพยายามปรับตัวใช้ชีวิตในถิ่นแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย โดยมีเทรี่เป็นครูสอนวิชาความแตกต่างระหว่าง
วัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงความภูมิใจในชาติตนจนบางครั้งก็ละเลยคำสอนเรื่องวิถีภรรยาญี่ปุ่น
ที่ต้องสงบปากสงบคำเชื่อฟังอย่างเดียว ออกปากปกป้องประเทศตนเมื่อถูกพรรคพวกของเทรี่กล่าวเหยียดหยัน 
     

                 ยิ่งนานวัน ความโหดร้ายของสงครามยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อเมริกาส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศ
ไม่หยุดหย่อน ผู้คนล้มตายมากมาย
                    เธอกลายเป็นเป้าของความเคียดแค้นชิงชังจากชาวญี่ปุ่นชาตินิยม

               ไม่พ้นแม้แต่ลูกสาวของตัวเองที่สูญเสียเพื่อนรักชาวญี่ปุ่นไปจากการโจมตีทางอากาศ
               สองแม่ลูกต้องเผชิญความหิวโหยจากภาวะขาดแคลนอาหาร และความว้าเหว่ เมื่อสามีหนี
การติดตามตัวของทางการเข้าป่า

              ในที่สุด หลังจากถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูสองลูกญี่ปุ่นก็ประกาศยอมแพ้ เทรี่ผู้ที่ได้อุทิศ
ชีวิตและสุขภาพเพื่อต่อต้านทัดทานสงครามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ประสานงานระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและอเมริกา
ทำหน้าที่เป็นล่ามและถวายคำปรึกษาแด่จักรพรรดิได้ดีเยี่ยมจนได้รับคำยกกย่องว่า เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีค่าสูงสุดในญี่ปุ่น
                
                 ด้วยต้นทุนสุขภาพที่ไม่ค่อยดีอยู่เดิมของเขาซ้ำยังต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากยามสงคราม
เมื่อมารับภาระหนักหน่วงระดับชาติเช่นนี้จึงมีผลทำให้สุขภาพของเขาทรุดลง เทรี่ล้มป่วยด้วยอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ
และสมอง แต่ยังคงปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ต่อไป
                 และเนื่องจากภาวะขาดแคลนหลังสงครามอีกทั้งเพื่ออนาคตทางการศึกษาของลูกสาว เกวนและมาริโกะ
จึงเดินทางกลับอเมริกาในปี 1949
                จากกันวันนั้นแล้ว เทรี่ไม่ได้เห็นหน้าทั้งสองอีกเลย เขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 50 ปีด้วยภาวะหัวใจวาย          

เทรี่(ตัวจริง)ในวัยหนุ่ม Terry at Brown University

               บทหนังแต่งเติมเพิ่มความเป็นดรามาในตอนจบโดยให้เทรี่ซึ่งรู้ตัวดีว่าวันเวลาบนโลกใบนี้ของเขา
เหลืออยู่ไม่มาก บอกให้เกวนและลูกกลับไปอเมริกาแล้วเขาจะตามไป ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นมีความเห็นว่า
ความตายเป็นสิ่งสวยงาม แต่ สภาพที่กำลังจะตายนั้นไม่

                 ที่ท่าเรือเกวนร่ำลาอาวรณ์เทรี่ สามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกัน
ครั้นถึงเวลาที่จะได้อยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุขกลับต้องแยกจาก ความรู้สึกลึกๆ ภายในคือความหวั่น
ว่าจากกันครั้งนี้เหมือนเป็นการจากลาตายของเทรี่ยิ่งเพิ่มเติมความโศกเศร้าให้ทบเท่าทวีคูณ 

             เกวนผู้อยู่หลังยังคงรำลึกถึงเทรี่เสมอ เธอยังคงติดต่อกับบรรดาเพื่อนเก่าชาวญี่ปุ่นและ
มักจะพูดคุยกันถึงเรื่อง "สะพานข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค" ที่เทรี่และเธอเคยฝันไว้ในวันแต่งงาน
               เธอกล่าวถึงเทรี่แทบทุกวันตราาบจนวันสุดท้ายของชีวิตในปี 1990

            จากสิ่งของต่างๆ ที่แม่เก็บรักษาไว้ มาริโกะค้นพบจดหมายทุกฉบับที่พ่อเขียนถึงแม่ในช่วงที่คบหากัน
บันทึกข้อความหวานซึ้งประทับใจว่า

                        สูงกว่าภูเขาฟูจียามา ลึกกว่ามหาสมุทรแปซิฟิค

                        Higher Than Mount Fujiyama / Deeper Than The Pacific

Gwen Teraski และ Carrol Baker กับท่านทูตญี่ปุ่นพร้อมภริยา

หนังฮอลลีวู้ดอีกประเภทหนึ่งที่ล้มหายตายจากไปพร้อมกับอายุของดารานักแสดง คือหนังเพลงไพเราะระบำงามตา ในช่วง 1930s -50s    เนื้อเรื่องเป็นอย่างไรไม่ค่อยจะมีใครจำกันได้นัก      เพราะศูนย์รวมความสนใจไปอยู่ที่ท่าเต้นที่แสนมหัศจรรย์ของดารานำชายหญิง    
จึงขอนำฉากท่าเต้นคลาสสิค  ที่เดี๋ยวนี้ดาราปัจจุบันเขาไม่เต้นกัน  แล้วมาให้ชม      

ฉากนี้เป็นลีลาเต้นแท็บของเฟร็ด แอสแตร์และคู่ขวัญคนแรกของเขาคือจินเจอร์ รอเจอส์     โปรดสังเกตว่าเทคเดียว  ไม่มีการตัดต่อให้รู้ว่าหยุดพักระหว่างเต้น หรือต้องเทคแล้วเทคอีก

http://www.youtube.com/watch?v=mxPgplMujzQ&feature=related

ฉากนี้มาจากหนังเรื่อง Top Hat ปี 1935   ดาราคือเฟร็ด แอสแตร์และจินเจอร์ รอเจอส์  คู่เดิม
เมื่อดูแล้ว   เราอาจจะหลงเข้าใจว่ามันสะท้อนถึงวันคืนเก่าๆที่แสนจะโอ่อ่าหรูหรา     แต่ความจริงตรงกันข้าม   หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นในยุคของเศรษฐกิจตกต่ำ The Great Depression ของอเมริกา   ผู้คนตกงาน หดหู่ สิ้นหวัง  อดอยากยากแค้น
ความบันเทิงเท่าที่แสวงหาได้จากโรงหนัง  จึงออกมาในรูปของโลกความฝันอันอลังการ  ปลอบใจคนพวกนี้ให้อย่างน้อยก็ลืมโลกความจริงไปได้ชั่วคราว

ฉากนี้ถูกนำไปบรรจุเป็นเชิงสัญลักษณ์  ไว้ในหนังดังหลายเรื่องในยุคหลัง  คุณ SILA  คงได้ดูมาแล้ว  อย่าง The Green Mile, Rain Man และ The Purple Rose of Cairo

http://www.youtube.com/watch?v=DyfqW6td-yA

ถ้าจะดูเฟร็ดโชว์ลีลาแท็บเดี่ยว   ก็ได้จากหนังเรื่อง Puttin´ on the Ritz

http://www.youtube.com/watch?v=IFabjc6mFk4&feature=related

แล้วค่อยดูไมเคิล แจ๊กสันกับลา โทย่า จับคู่เต้นในสไตล์ของเฟร็ด แอสแตร์

http://www.youtube.com/watch?v=4uXlsf3tvNo&feature=related

ต่อจากจินเจอร์ รอเจอส์  คู่เต้นคนต่อมาของเฟรด แอสแตร์  คือเอลินอร์ เพาเวลล์  เธอเต้นแท็ปในจังหวะร็อคได้เก่งฉกาจ
แต่ลีลาก็ไม่ต่างจากฉากที่เฟรดเต้นในหนังขาวดำก่อนหน้านี้ คือเต้นคู่ เรียงกันเป็นหน้ากระดาน  ผู้ชายเต้นท่าไหน ผู้หญิงก็เต้นท่านั้น
จาก "The Beat is Rockin"

http://www.youtube.com/watch?v=rhWG_ATmJIQ&feature=related

พอล่วงเข้ายุค 1950s  การเต้นคู่ก็เปลี่ยนสไตล์ไป     เรื่องนี้เฟร็ดปฏิวัติลีลาและฉากจากยุค 1940s  มาเป็นเทรนด์ใหม่ที่เริ่มเป็นที่นิยมกัน
คู่ขวัญคนที่สามของเขาคือ ซิด ชาริสส์   เธอเป็นแดนเซอร์ฝีเท้าเลิศมาก่อนจะมาโด่งดังในหนังเพลง Singin' in the Rain     
เป็นหญิงสาวหุ่นเซกซี่ ขางามที่สุดในฮอลลีวู้ด และหน้าตาสวยหยาดเยิ้ม

http://www.youtube.com/watch?v=yuJxYmJlEHY

ซิดดังมาจากฉากสั้นๆใน Singin' in the Rain  จับคู่เต้นกับยีน เคลลี่  คลื่นลูกใหม่ที่ไล่หลังเฟรด แอสแตร์มาติดๆ     แต่ลีลาของดาราชายทั้งสองไปคนละแบบ  เฟรดเต้นรำแบบสง่างามอลังการ   ส่วนยีนเต้นแบบอาติสต์
ความจริงฉากนี้มันไม่เข้ากับเนื้อเรื่อง  Singing' in the Rain   แต่ผู้กำกับใส่เข้ามาเพื่อโชว์ลีลาของซิด โดยเฉพาะ  เธอก็ดังระเบิดสมใจ

http://www.youtube.com/watch?v=7YWBOfsXsDA&feature=related

ฉากเต้นคู่อีกครั้งหนึ่งในหนังเรื่องเดียวกัน    เรียกว่าเป็นหนังเพลงไพเราะ ระบำงามตา ได้เกิน ๑๐๐ %

http://www.youtube.com/watch?v=rc16m2B2K1g&feature=related

ซิด ชาริสเล่นหนังได้ไม่เก่ง    แต่เรื่องเต้นระบำแล้วเป็นระดับท็อปในฮอลลีวู้ด    หนังของเธอจึงโชว์ลีลาศคู่ดาราชาย เสียมากกว่าจะโชว์เนื้อเรื่อง   ดาราชายที่แสดงเข้าคู่กันก็เป็นนักเต้นชั้นยอดทั้งนั้น 
 นอกจากเฟรดและยีน เคลลี่ก็มีอีกคนหนึ่งชื่อริคาร์โด  มอลทันบัน   เป็นหนุ่มหล่อเลือดละตินจากเม็กซิโก    มีเสน่ห์แบบสาวๆในยุค 1950s ฮือฮา  คืออกผายไหล่ผึ่ง  มีกล้ามพองาม  หน้าตาเข้มคมแบบสเปน    และเต้นรำเป็นไฟ

สมัยนั้นเพลงละตินเข้ามาแทนบอลรูมแบบเดิมในยุค 1940s   แทงโกถือเป็นชั้นยอดของลีลาศ  เพราะไหนสเต็ปจะเยอะ   ไหนจะต้องทรงตัวให้สง่างามในจังหวะก้าวที่แสนยาก     ใครเต้นแทงโกได้ถือว่าเป็นยอด
ฉากเพลง Orchids in the moonlight  ที่ริคาร์โดเต้นคู่กับซิด  ในหนังชื่อ  On an Island with you  เป็นฉากเต้นแทงโกที่น่าประทับใจ    สองคนเคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวลและสง่างาม     ไม่ได้เต้นเหวี่ยงสะบัดจนน่ากลัวแขนขาเคล็ดอย่างการประกวดลีลาศ  ที่เราอาจเคยดูกัน

http://www.youtube.com/watch?v=U5ebD0GTmog&feature=related

ฉากลีลาศอีกฉากหนึ่งที่ริคาร์โดทำให้เยี่ยมยอดคือฉากเต้นรำแบบละตินใน The Latin Lovers  ฉากนี้เขาโชว์ความหล่อล่ำ และสเต็ปที่หาตัวจับยาก  คู่กับดาราหญิงดังสองคน  คนแรกคือริต้า โมเรโนที่ได้ตุ๊กตาทองตัวประกอบหญิงจาก West Side Story     และคนหลังคือดาราหญิงยิ่งใหญ่ของฮอลลีวู้ด  ลานา เทิร์นเนอร์ 
ปกติบุคลิกของลานาที่สวยสง่าเยือกเย็น ทำให้เธอได้บทเต้นรำแบบบอลรูมอยู่เรื่อย     มีเรื่องนี้ ลานามาเต้นรำละตินกับหนุ่มเมกซิกัน   หาดูได้ยาก
เพลงจังหวะที่เต้นกัน น่าจะเป็นกัวลาช่า   เพราะมีเตะเท้าด้วย   สุนทราภรณ์มีจังหวะนี้ในเพลง นกเขาไพร

http://www.youtube.com/watch?v=8q7Z_cJGdnI

ถ้าใครชอบท่าเต้นของซิด ชาริส มีฉากประทับใจอีกเรื่อง ที่เธอแสดงฝีมือได้สุดยอด   จากหนัง  Meet Me in Las Vegas(1956)
ฉากนี้ ซิดเต้นคู่กับจอห์น บราสเซีย ในการแสดงชุด  Frankie and Johnny  เพลงประกอบเรื่องร้องโดย Sammy Davis Junior  นักร้องผิวดำคนดังในยุคนั้น


http://www.youtube.com/watch?v=8wvzW95wq4c&feature=related

ถ้าใครเคยดูระบำสเปนของสเปน   เชิญดูระบำสเปนของฮอลลีวู้ดที่ริคาร์โดจับคู่กับซิด ชาริส อีกครั้ง
สะโพกดอกไม้ไหวของซิด ยากจะหาใครเทียบ

http://www.youtube.com/watch?v=imxqup1_G9Q

ฉากเต้นฉากนี้ยิ่งหายากหนักเข้าไปอีก คือหนึ่งต่อสอง    ริคาร์โด   กับซิดและแอน มิลเลอร์  คนหลังนี้เป็นทั้งนักเต้นและนักร้อง
ฉากที่ยกผู้หญิงทั้งสองคนหมุนไปรอบๆ  คงต้องใช้กำลังแขนมากทีเดียว

http://www.youtube.com/watch?v=ThKlqAUyZ34&feature=related

ซิด มีพื้นฐานทางบัลเล่ต์มาก่อน    ฉากนี้เป็นการเอา Sleeping Beauty ของ Tchaikovsky  มาตีความลีลาท่าเต้นใหม่
เป็นฉากที่สวยวิจิตรบรรจง   ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นอีกเลย

http://www.youtube.com/watch?v=8VDWTFxPQ7A&feature=related

               เพลินลีลาศ ถูกใจ dancing cheek to cheek และ ลานา เทิร์นเนอร์ ครับ

                  สมัยก่อนมีรายการเล่าเรื่องราวหนังเก่าๆ (อาจจะเป็น) That's entertainment
ตอนหนึ่งเล่าถึงฉากเต้นรำน่าจะกับจินเจอร์ ที่เฟรดโดนชายเสื้อกรุยกรายของคู่เต้นฟาดหน้า

                  ฉากเต้นรำและเพลงที่เป็นอมตะของฮอลลีวู้ด แต่คนไทยดูทีไรต้องทำใจทุกทีเพราะขัดหูขัดตาอย่างแรง

Shall We Dance จาก The King and I

                     http://www.youtube.com/watch?v=PdyqmN5cnRQ   

^
ฉาก Shall We Dance ใน The King and I เป็นจุดอ่อนของดิฉัน   คือชอบเพลงนี้   และชอบเดบเบอร่าห์ คาร์   ส่วนยูล บรินเนอร์นั้นต้องทำใจว่าแกเล่นคาแรคเตอร์แบบพระเอกละครคุณพิศาล    ไม่เกี่ยวอะไรกับพระจอมปราชญ์แห่งสยามของเรา

มีฉากเต้นรำเรียบๆของเฟรดกับซิด  ไม่หวือหวา แต่ดูคลาสสิค   คุณ SILA อาจจะชอบก็ได้ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=wDHwJrbrp0Y

แทงโกระหว่างริคาร์โด กับเจน พาวเวลล์   เธอเป็นดารานักร้องนักเต้นขวัญใจมหาชนในยุค 1950s

http://www.youtube.com/watch?v=c-gXFdQIyQE

ฉากเต้นรำ นอกเหนือจากบอลรูมและลาติน ก็มีเต้นรำแบบพื้นบ้านของอเมริกา อีกแบบหนึ่งที่เป็นหนังฮิทในยุค 1950s 
ไม่มีเรื่องไหนเกินหนังตุ๊กตาทองปี 1954    Seven Brides for Seven Brothers  หรือชื่อไทยว่า เจ็ดคู่ชู้ชื่น
โฟคแด๊นซ์ในฉากนี้ถ่ายทำกัน ๑ สัปดาห์เต็มๆ

http://www.youtube.com/watch?v=-PRmYK89pKc&feature=related

               ดูเพลินจริงๆ ครับ ชอบลีลาพริ้วงามสง่าของซิด ครับ

               ในหนัง Fiddler on the Roof  มีฉากเต้นที่โด่งดังและประทับใจจำ เป็นการเต้นรำ
ในคืนงานแต่งของลูกสาวคนโต

Bottle dance จาก Fiddler on the roof

                      http://www.youtube.com/watch?v=9sH3mjOsZY0

ยุค 1960s มีหนังเพลงเยอะแยะ รวมทั้งอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอย่าง  The  Sound of Music      มีอีกเรื่องหนึ่งที่ดังมาก ทำได้ระดับถอดตัวหนังสือในวรรณคดีเอกของอังกฤษ ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว
นางเอกเรื่องนี้อายุ ๑๔  แสดงโดยสาวน้อยหน้าใหม่อายุ ๑๕    ที่เดินออกมาจากหนังสือ       นักวิจารณ์ชมว่าเป็นจูเลียตที่เหมือนในหนังสือมากที่สุด เท่าที่เคยทำหนังมา
พอเล่นเรื่องนี้   โอลิเวีย ฮัซซี่ก็ดังไปทั่วโลก   

Romeo and Juliet ปี 1968 
ฉากโรมิโอพบจูเลียต เป็นฉากประทับใจที่สุดฉากหนึ่งแห่งทศวรรษ

http://www.youtube.com/watch?v=jUxBfeIyVv8&feature=related

ฉากประทับใจ เมื่อโรมิโอพบจูเลียต

http://www.youtube.com/watch?v=CCOafzKxfpA

             อีกสามทศวรรษต่อมา ผู้กำกับดังจากออสเตรเลีย Baz Luhrmann จับมาทำใหม่อีกเป็น

                William Shakespeare's Romeo + Juliet (1996)

             ตัวแสดงเจรจาบทกวีแต่ปรับดำเนินเรื่องเป็นยุคใหม่ ภาพสวยงามตื่นตาตามสไตล์ผู้กำกับ ครับ

first meet

                  http://www.youtube.com/watch?v=_y9Vd4tGPi0

               ก่อนหน้านั้น มีผลงานหนังเกี่ยวกับลีลาศจากผู้กำกับคนเดียวกัน ที่หลายคนชื่นชม 

                              Strictly Ballroom (1992)

final dance
                        http://www.youtube.com/watch?v=ELYwZ7ej0Rc

^
กำลังนึกถึงโรมิโอและจูเลียต เวอร์ชั่นที่คุณ SILA ยกมาพอดีเลยค่ะ

และ ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ด้วยหนัง(ว่าย)น้ำ ครับ

          ช่วงทศวรรษ 1940-50 ฮอลลีวู้ดสร้างหนังแนว Aqua Musicals นำแสดงโดย "ราชินีคลอรีน"
เธอคือ Esther Williams หนึ่งในตำนานนักแสดงสาวที่งามสง่า ผู้ก้าวจากสระว่ายน้ำในฐานะแชมเปี้ยน
ขึ้นสู่จอเงิน
          เธอมีผลงานหนังแนวนี้หลายเรื่องในช่วงทศวรรษ 1940-50 ก่อนที่จะออกจากวงการไปในทศวรรษที่ 1960  

คลิปเรื่องราวของเธอจาก  That's Entertainment

               http://www.youtube.com/watch?v=9jUjhrDhFuM          

Strictly Ballroom  ฉากนี้ผู้กำกับ กำกับได้เก่งมาก ทั้งลีลาท่าเต้น  จังหวะเพลง และอารมณ์ตัวแสดงประกอบในฉาก   ทำให้เยี่ยมยอด
ทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่อง  คุณ SILA เคยดูหรือเปล่าคะ  Center Stage  เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักบัลเล่ต์  สอบเข้าเรียนใน  American Ballet Academy ในนิวยอร์ค
แต่ละคนพกความฝันมา   แต่กว่าจะทำให้เป็นจริงได้ก็ต้องผจญอุปสรรคสาหัส    กว่าจะบรรลุถึง American dreams

ฉากบัลเลต์ทั้งคลาสสิคและโมเดิร์น ในตอนท้ายของเรื่อง  สวยมาก

http://www.youtube.com/watch?v=EoBTuIsB3ls

คลิปนี้ตัดตอนหลายๆฉากมาให้ดูกัน

http://www.youtube.com/watch?v=yxkniD20RFk&playnext=1&list=PL4605647BDB8F23C7

รอรับสงกรานต์ กับเอสเธอร์ วิลเลียม  จากคุณ SILA  ค่ะ

    (http://3.bp.blogspot.com/_iTbSCRxB2yQ/TF7ltqispRI/AAAAAAAAAe8/m0hDtWRahXY/s400/EstherWilliamsDip02.jpg)

          ไม่ได้ดู Center Stage ครับ เพราะเห็นเป็นหนังเด็กๆ กลัวว่าจะเป็นแนวสูตรสำเร็จเด็กวัยรุ่นล่าฝัน ครับ

            คล้ายกับหนังในปี  1983 Flashdance  ที่โด่งดังและทำรายได้มากมาย แต่ไม่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์

final dance

                     http://www.youtube.com/watch?v=xRQXIQ6WZDQ

ลองไปหาดูซิคะ   มันก็ออกแนวล่าฝัน  แต่ก็มีสาระ  ดีกว่า Flashdance มากค่ะ

           นักแสดงสาวผู้โด่งดังเป็นอมตะ Marilyn Monroe นำแสดงในหนังที่เกี่ยวกับน้ำถึงสองเรื่อง
สองปีติดต่อกัน ครับ

               Niagara (1953) เป็นหนังฟิล์มนัวร์  

trailer         http://www.youtube.com/watch?v=PgUBtHKfkfM

              คลับคล้ายว่าอาจจะเคยดูในทีวี แต่ที่จำได้คือรูปโปสเตอร์หนัง ครับ

และ          River of No Return (1954) หนังแนวตะวันตก

trailer      http://www.youtube.com/watch?v=0TYtbSa_CxU

            เรื่องนี้ไม่ได้ดู แต่ชอบ Marilyn ร้องเพลงไพเราะซึ่งมีชื่อเดียวกับหนังมาก ครับ

                 http://www.youtube.com/watch?v=SbgcSAgbcrs
       

ดูฉากนี้ใน Center Stage  คุณ SILA อาจเปลี่ยนใจอยากหา DVD มาดูก็ได้

http://www.youtube.com/watch?v=5r5EXlKypEg

ลองดูตอนต้นๆของเรื่อง  ฉากนักเรียนฝึกบัลเล่ต์   ชอบคนที่เล่นเป็นสาวใหญ่ครูฝึกบัลเล่ต์  เธอแสดงเหมือนเป็นครูจริง  ไม่ใช่นักแสดง
กับนักเรียนสาวผิวสี ก็เล่นได้กวนประสาทพอกัน
และตอนท้ายของคลิป   แค่บัลเล่ต์โรมิโอกับจูเลียต ฉากเดียวก็คุ้มแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=jCxpINvMl9k&NR=1

               ไม่ค่อยจะได้ดูหนังอเมริกันโดยเฉพาะหนังวัยรุ่น ครับ เพราะคิดว่า(น่าจะเป็นแบบ) ซ้ำๆ เดิมๆ
จงใจเซ็ทอั้พเกินไป นักแสดงดูเป็นดารามากกว่านักแสดงแถบยุโรปที่ดูเป็นชาวบ้านจริงๆ

                  หนังนักเต้นเด็กตามฝันที่ชอบมากๆ คือหนังอังกฤษเรื่องนี้ ครับ  - Billy Elliot (2000)

              เด็กนักเรียนวัย 11 ปี ลูกคนงานเหมืองถ่านหินเอาดีทางกีฬาแบบลูกผู้ชายไม่ได้ แต่ด้วยพรสวรรค์
กับแสวงทางการเต้น และคุณครูสอนเต้น(สาวใหญ่เช่นกัน) ผู้มองเห็นศักยภาพนั้น

                    http://www.youtube.com/watch?v=h8Zuc5ukqLI
 

              นำพาเด็กชายก้าวจากครอบครัวกรรมาชนในต่างจังหวัด ความขัดแย้งเกี่ยวกับค่านิยมว่าบัลเลท์
เป็น "เรื่องหญิง" และการประท้วงหยุดงาน สู่มหานครเป็นนักเรียนบัลเลท์ของ Royal Ballet School
จนในที่สุดได้บรรลุจุดหมายด้วยบทเอกใน Swan Lake

                           http://www.youtube.com/watch?v=C5BSyJ_vlHo

              หนังประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมจนนำมาต่อยอดเป็นละครเพลงอังกฤษ -  West End
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดียิ่งเช่นกัน (และแน่นอน ตามมาด้วย Broadway - คลิปนี้ระบุว่าบรอดเวย์ แต่มีความเห็น
บอกว่าเป็นเวสท์ เอนด์)

                       http://www.youtube.com/watch?v=MThXC5Ve5aU

ในเมื่อยังอยู่ในเทศกาลสงกรานต์   ก็ขอนำฉากประทับใจ ใต้น้ำของเอสเธอร์มาลงอีกครั้ง  ไม่รู้เธอกลั้นใจดำน้ำได้ยังไง อึดมากๆ


http://www.youtube.com/watch?v=xYW64moSLKg&feature=related

พอหมดยุคของเอสเธอร์   หนังใต้น้ำก็หมดยุคไปด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=ThQcF1fZHAY&feature=related

               มีหนังเก่าจากฝรั่งเศสเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ครับ    

                         BANCO A BANGKOK POUR OSS 117  

หรือ                    Panic In Bangkok หรือ Shadow Of Evil (1964)
 
               เคยดูทางช่องเคเบิ้ลทีวีช่วงหนึ่งเป็นหนังชุดสายลับคล้ายเจมส์ บอนด์ มีชื่อรหัสว่า OSS 117
สร้างจากนิยายชุดสืบสวนของนักเขียนชาวฝรั่งเศส Jean Bruce ผู้ให้กำเนิดพระเอกสายลับอเมริกัน
เชื้อสายฝรั่งเศส Hubert Bonisseur de La Bath ออกปฏิบัติภารกิจปราบทรชนทั่วโลกก่อนที่ท่านเซอร์เอียน
จะเขียนเจมส์ บอนด์

               เรื่องนี้ติดตามดูจนจบเพราะมาถ่ายทำในไทย และ ปรากฏว่ามีคุณอาคม มกรานนท์ สมัยยังหนุ่มแน่น
ร่วมแสดงรับบทเป็นคล้ายผู้ช่วยพระเอกด้วย
               คุณอาคมมีชื่อใน credits = Akom Mokranond  ...  Sonsak  
และ  ยังมีนักแสดงไทยอีกหนึ่งคือ Sing Milintrasai  ...  Prasit  = คุณสิงห์ มิลินทราศรัย
(พญายมแห่งหนังทีวีชุดพิภพมัจจุราช)

พระเอก Kerwin Mathews          

             สายลับปฏิบัติการในไทย ติดตามปราบนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเชื้อโรคร้ายทำลายล้างมนุษย์

   trailer           http://www.youtube.com/watch?v=tycLRoQtpbg

เห็นคุณอาคมแว็บๆ

สนามบินดอนเมือง         

Opening Titles    http://www.youtube.com/watch?v=dE_dOhBpMSk


ไตเติ้ลเปิดเรื่องอย่างง่ายๆ ด้วยฉากขับรถไปตามถนนซึ่งน่าจะเป็นย่านเยาวราชยามราตรี

               สิบปีต่อมา สายลับเจมส์ บอนด์ ก็ตามคนร้ายมาถึงประเทศไทยในตอน

                      The Man with the Golden Gun (1974)

               James Bond รับบทโดย Roger moore ถ่ายทำส่วนใหญ่ในบ้านเรา เป็นตอนที่ได้รับคำวิจารณ์
ว่าอ่อนด้อยกว่าตอนอื่นๆ

                 หนังเรื่องนี้เป็นสื่อเปิดเผยความงามท้องทะเลฝั่งตะวันตกของไทยสู่สายตาโลก นำพาตัวฤทธิ์ - tourist
ทั้งไทยและเทศหลั่งไหลเข้ามาสร้างทั้งรายได้และความเสียหายต่อธรรมชาติ

                 ส่วนที่น่าจดจำถึงปัจจุบันในหนังเรื่องนี้ คือฉาก car stunt ที่ฮือฮาด้วยความตื่นเต้นและความทึ่ง ครับ

                 ถ่ายทำจริงบนฉากสะพานโดยทีมงานสตั๊นท์ ไม่ใช้เทคนิครถปลอม ลวดสลิง หรือภาพซ้อน

                เมื่อรถของพระเอกขับมาถึงสะพานข้ามคลอง ที่เป็นสะพานไม้ชำรุดขาดกลาง สะพานส่วนต้นที่เหลือเอียงบิด
พระเอกเร่งรถเข้าสะพานที่บิดเบี้ยวนั้น ทำให้รถหมุนเกลียวหนึ่งรอบข้ามคลองแล้วล้อลงแตะสะพานส่วนที่เหลือ
(ซึ่งก็เอียง)อีกฝั่งอย่างสวยงาม
         
                    http://www.youtube.com/watch?v=hh0VF6s-UYU

              กลายเป็นฉากขับรถที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากมายและยาวนาน เรียกขานว่า "Astro-Spiral" jump
         
         ผลงานสร้างสรรค์โดย  W. Jay Milligan Sr. รถที่ใช้คือ AMC Hornet X hatchback coupe
ขับโดย โดย Loren "Bumps" Willert และ ถ่ายทำสำเร็จในเทคเดียว
 
          ทีมงานอาศัยการคำนวณโดยคอมพิวเตอร์กำหนดความเร็ว รวมทั้งน้ำหนักรถ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
จุดเท้ค อ๊อฟ ที่คลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน +/- 1 นิ้วตามที่คอมพ์กำหนด
          สถานที่ถ่ายทำ คือ แม่กลอง ห่างจากกทม.30 ไมล์ สร้างฉากโดยทีมงานจากอเมริกา

          ปัจจุบันนี้ จัดเป็นหนึ่งในฉากผาดโผนที่โด่งดังที่สุด และติดอันดับที่สองรองจากฉากรถแข่งในเบนเฮอร์
จากการสำรวจโดย British film industry

   

อาคม มกรานนท์สมัยรับบทพระเอกทีวี หน้าตาอย่างนี้ครับ
เหตุผลที่หนังเรื่องนี้เลือกอาคม เพราะน้าแกเคยเป็นนักเรียนฝรั่งเศส ส่งภาษากับเขาได้ ไม่ต้องพากษ์

            เห็นชื่อคุณนวรัตน ตอนแรกนึกว่าจะให้ความเห็นเรื่องฉากรถหมุนข้ามสะพาน ครับ  :)

              ในหนัง OSS 117 มีบทคุณอาคม "ปาร์คเล ฟรองเซ" แต่ไม่มาก ครับ

              จำคุณอาคมในบทผู้ประกาศข่าว และประกาศตอนปฏิวัติได้ดี แต่ในบทพระเอกทีวี ไม่แน่ใจ

ภาพจากละครสี่แผ่นดินตอนสิ้นแผ่นดินที่ ๑ ทางช่อง ๗ (ขาวดำ) สนามเป้า ปัจจุบันคือ ช่อง ๕ คุณอาคมรับบทคุณเปรม
             

เพิ่งรู้ว่าคุณอาคมพูดฝรั่งเศสได้   จำได้แต่ว่าเป็นผู้อ่านข่าวน้ำเสียงชัดเจนน่าฟัง    ตอนอ่านประกาศคณะปฏิวัติ   ก็เลยไม่น่ากลัวเท่าไร  ;D
อ่านข่าวยุคเดียวกับคุณสมชาย มาลาเจริญ และคุณพิชัย วาสนาส่ง

ส่วน Kerwin Matthews  ดังจากหนังจักรๆวงศ์ๆฝรั่ง เช่น Jack the Giant Killer  และ  The 7th Voyage of Sinbad (1958) แล้วผันมาเล่นบทพยัคฆ์ร้ายสายลับในช่วง 1960s กว่าๆ    ยุคที่หนังเจมส์ บอนด์กำลังบุกตลาด


http://www.youtube.com/watch?v=zPJlofjTw1g&feature=related

ขอกลับไปต่อความเห็นที่ 214 ของคุณ SILA
รวมบรรดาพาหนะมหัศจรรย์ของเจมส์ บอนด์มาให้ชมกัน  ในแต่ละฉากแอ๊คชั่นค่ะ
มีฉากถนนราชดำเนินด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=kGxlr03VuT8&feature=related

หนังอีกประเภทที่ดิฉันชอบ แต่ไม่ทราบว่าคุณ SILA กับท่านอื่นๆจะชอบหรือเปล่า คือหนังที่มีเด็กเป็นตัวนำ
ตั้งแต่ดูหนังมา ไม่เคยเห็นเรื่องไหนที่เด็กเล่นไม่เก่ง    เล่นได้น่ารักน่าเอ็นดู   น่าหยิก   น่าสงสาร  น่าหมั่นไส้    หลายๆเรื่องเด็กเล่นเก่งกว่าดาราผู้ใหญ่ที่แสดงในเรื่องเสียอีก

ดาราเด็กที่ยิ่งใหญ่อมตะนิรันดร์กาลในประวัติหนังฮอลลีวู้ด ชื่อเชอร์ลี่ เทมเปิ้ล  เป็นเด็กมีพรสวรรค์ในการเต้นระบำและร้องเพลง   มีคำเปรียบเปรยว่าพอคลานได้ก็ไม่ตั้งไข่อย่างเด็กทั่วไป   แต่เต้นแท็ปได้เลย
หน้าตาก็น่ารัก มีลักยิ้มเสียด้วย   ผมหยิกเป็นหลอดเต็มหัว   (คุณแม่จับม้วนผมให้นอนทั้งโรล อยู่ทั้งคืน เพื่อตอนเช้าจะได้มาเข้าฉาก ผมเป็นหลอดสวย   หนูน้อยก็ไม่ปริปากบ่น)


http://www.youtube.com/watch?v=WtL51V8ed5g

พ้นวัยจิ๋ว โตขึ้นมาหน่อยก็ยังเต้นระบำร้องเพลงอยู่   เป็นขวัญใจคนทั่วอเมริกา   หนังของเธอทำเงินได้มากกว่าหนังดาราใหญ่ๆเสียอีก

http://www.youtube.com/watch?v=dXJ-G_O4MX8&feature=related

เชอร์ลี่ เทมเปิ้ลเป็นดาราเด็กที่ยิ่งใหญ่อยู่จนกระทั่งเปลี่ยนจากเด็กเล็กเป็นเด็กโต    แต่เธอก็ประสบปัญหาอย่างดาราเด็กโดยมากเจอกัน คือพอพ้นวัยเด็ก เข้าสู่วัยรุ่น ก็ต้องอำลาวงการไป   เพราะเสน่ห์ของหนูน้อยมหัศจรรย์จางหายไปแล้ว  กลายเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง

http://www.youtube.com/watch?v=MElBj9nl-F4&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=nY6TfdWhggI&NR=1

               ตอนเป็นเด็กรู้จักเชอร์ลี เท็มเปิ้ล ในวัย 30 จากรายการนิทานฉายทางทีวี
ที่เธอเป็นโฮสท์เล่านิทาน -   Shirley Temple's Storybook 

               เรื่องที่จำได้ชัดก็มี เจ้าหญิงนิทรา และ Rapunzel ครับ     

                  Duchess of Windsor (Mrs Simpson) ภริยาเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดผู้ยอมสละบัลลังก์อังกฤษ
เพื่อแต่งงานกับเธอ เรียก Queen Elizabeth (ควีนมัมในเวลาต่อมา) ว่า "Mrs Temple" (และ "Cookie")
กับเรียกเจ้าหญิง Elizabeth (ควีน Elizabeth องค์ปัจจุบัน) ว่า  "Shirley" จาก  Shirley Temple

         คุณ SILA คงได้ดูเรื่องนี้พร้อมดิฉันเป็นแน่     ทีวีซีรี่ส์ชุดนี้ผลิตเมื่อปี 1961   เชอร์ลี่แต่งชุดราตรียาว  สวยหวานเหมือนนางฟ้า มาคุยแนะนำนิทานในตอนต้นเรื่อง   
แต่ละเรื่องทำมาจากเทพนิยายและวรรณกรรมเยาวชนดังๆ  ทั้งนั้น    เนื้อหาสร้างสรรค์  ให้ทั้งสาระและจินตนาการให้เด็กๆยุคนั้นได้มาก  คล้ายๆเรื่องของดิสนีย์ในยุค 1950s และ 1960s   ไม่มีการต่อสู้ฆ่าฟันรุนแรงอย่างเรื่องสำหรับเด็กสมัยนี้

http://www.youtube.com/watch?v=f3s6_A09rUk&playnext=1&list=PL6C93D2AD394772B3

เชอร์ลี่ในตอนต้นรายการ season 2  ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Shirley Temple Show

http://www.youtube.com/watch?v=rEgB0bHJ3Eo&feature=related

อยากแนะนำให้คุณ SILA และท่านอื่นๆรู้จักยอดดาราเด็กคลาสสิคแห่งอดีตอีกคนหนึ่ง
  
หลายคนคงจำหนังตลกที่แสดงโดยดาราเด็กล้วนๆชื่อ The Little  Rascals  (1994) ได้      ถ้าจำไม่ได้ก็เอารูปมาให้ดู อาจจะพอนึกออกนะคะ

(http://www.filmlinks4u.net/wp-content/uploads/2011/04/The-Little-Rascals-1994-Hollywood-Movie-Watch-Online.jpg)

The Little Rascals เป็นหนังรีเมคของหนังชุดเรื่อง Our Gang   หนังขาวดำ เป็นหนังชุดในยุค 1930 S แสดงโดยเด็กล้วนๆ  เล่นกันแบบธรรมชาติ  ไม่มีการเทรนให้เด็กเล่นแก่แดดเป็นผู้ใหญ่    เรื่องนี้จึงประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล   เอามาฉายแล้วฉายอีกทางทีวี

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/c/cf/Our-gang-title-card.jpg)

เด็กน้อยในเรื่องกลายเป็นขวัญใจคนทั้งประเทศ   โดยเฉพาะเจ้าอ้วนแก้มยุ้ยคนนี้  ชื่อในเรื่องคือสแปงกี้ หรือ Spanky กลายเป็นชื่อรู้จักกันทั่วอเมริกา และมาถึงประเทศไทยในยุคต้นๆที่เราเริ่มมีโทรทัศน์ช่อง ๔ กัน
ชื่อจริงของเขาคือ จอร์ช  แมคฟาแลนด์  เป็นดาราเด็กอมตะคนหนึ่งของวงการ

(http://picklyman.files.wordpress.com/2010/12/image0048.jpg)

สแปงกี้น้อยเป็นเด็กมีพรสวรรค์ทางการแสดง    คลิปที่นำมาให้ดูกัน เขายังเป็นทารกเพิ่งหัดวิ่ง     แต่เล่นบทและพูดตามที่ผู้กำกับฝึกให้ได้ยอดเยี่ยม  น่ารักน่าตีสมชื่อ
ก่อนหน้าเล่นหนัง Our Gang  สแปงกี้เป็นนายแบบรุ่นจิ๋วโฆษณาเสื้อผ้าเด็กมาก่อน

http://www.youtube.com/watch?v=_uCuL62KUz4

ฉากประทับใจ   สแปงกี้เล่านิทานให้เด็กๆฟัง

http://www.youtube.com/watch?v=nFXAdxdym68&feature=related

อนาคตของดาราเด็กหลายคนคล้ายๆกัน  คือพอพ้นวัยเด็กก็ตกงานไป    เพราะรูปร่างหน้าตาไม่น่ารักน่าเอ็นดูพอจะเรียกคะแนนนิยมได้อีก
สแปงกี้ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน   บทบาทในหนังชุด Our Gang ยุติลงเมื่ออายุ ๑๓ ปี    เขาก็ยังพยายามเล่นหนังอื่นบ้างอีกนิดหน่อย จนอำลาวงการเมื่ออายุแค่ ๑๖   ไปเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ ๒   ปลดประจำการ กลับมาก็ทำงานเล็กๆน้อยๆ เป็นพนักงานบ้างอะไรบ้าง  อย่างชายหนุ่มอเมริกันธรรมดาๆคนหนึ่ง
มาดังอีกครั้งก็เมื่อ Our Gang หรือ Little Rascals มาเป็นวิดีโอเทปจำหน่ายทั่วประเทศ    สแปงกี้เดินสายโปรโมทด้วยตัวเอง  จนถึงแก่กรรมในค.ศ. 1993   เมื่ออายุ 64 ปี  

http://www.youtube.com/watch?v=EzjYqNLt3qo&feature=related

แต่ก็มีดาราเด็กบางคนรอดพ้นจากชะตากรรมนี้ไปได้      คือเติบโตจนเป็นวัยรุ่น    แล้วก็เล่นหนังในบทบาทใหม่ เป็นหนุ่มสาววัยรุ่นตามเนื้อเรื่อง   สามารถพัฒนาฝีมือจากเด็กน่าเอ็นดูขึ้นมานักแสดงมีฝีมือ  เล่นอะไรที่ซีเรียสกว่านั้นได้ 
จากนั้นก็เป็นดาวจรัสแสงเรื่อยมา   ไม่ตกจากฟากฟ้าฮอลลีวู้ด
หนึ่งในนั้นคือหนูน้อยคนนี้ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=LDrbSSs_ht8&feature=related

               ตามรอยนักแสดงเด็กในอดีต ครับ

                  หนูน้อยคนนี้ได้รับเครดิทว่าเป็น ดาราเด็กคนแรก the first movie child star -
Jackie Coogan   

               ชาร์ลี แช็ปลินเห็นแววสามารถของแจ็คกี้ในวัยเจ็ดขวบ จึงนำมาร่วมแสดงนำในหนังเรื่องยาว
เรื่องแรกของเขา - The Kid (1921)

               หนังตลก น่ารัก ที่ทำให้คนดูน้ำตาซึมในตอนที่ทั้งคู่ถูกพรากจากกัน(อยู่ในช่วงท้ายคลิป ครับ)

                    http://www.youtube.com/watch?v=cje0_v9Qhh4

             หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ หนูน้อยแจ็คกี้กลายเป็น"ซุปตาร์"
ดาราเด็กโด่งดัง มีรายได้มากมายแต่ถูกแม่และพ่อเลี้ยงใช้จ่ายไปจนเหลือไม่มาก

                แจ็คกี้ยังคงมีผลงานต่อมาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องหนึ่งที่โด่งดังมากในยุค 60's คือ
"The Adams Family" รับบทเป็น Uncle Fester 

คุณลุงใน Addams Family นี่เอง ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นดาราเด็กมาก่อน

ย้อนกลับมาถึงนาตาลี วู้ด  เมื่อพ้นวัยเด็ก เธอก็มาเล่นเป็นสาววัยรุ่นคู่กับเจมส์ ดีน ใน  Rebel Without A Cause   สลัดภาพเด็กน้อยน่าเอ็นดูออกไปได้ไม่เหลือ  ทำให้เธอโด่งดังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงขึ้นมาอีกครั้ง

http://www.youtube.com/watch?v=I3EJuGAke5E

จากนั้นก็มาเล่นหนังดังอีกหลายเรื่อง อย่างหนังตุ๊กตาทอง West Side Story  ทั้งๆร้องเพลงไม่ได้ ต้องพากย์  และเล่นเป็นเด็กสาวอายุ ๑๗  เธอก็เล่นได้ยอดเยี่ยม

http://www.youtube.com/watch?v=Ye7PIyIcCro

นาตาลี วู้ด ยังคงเป็นดาวเจิดแสงอยู่ในวงการ ตั้งแต่เด็ก เป็นสาวน้อย และสาวใหญ่วัยกลางคน   สวยพอจะรับบทนางเอกได้ไม่หล่นหายกลายเป็นตัวประกอบ
จากมินิซีรี่ส์เรื่อง From here to Eternity  ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองเมื่อปี 1979

http://www.youtube.com/watch?v=c-2ykX_QrnQ&feature=related

นาตาลีแต่งงานกับดาราหนุ่มรูปหล่อ โรเบิร์ต แวกเนอร์ซึ่งเป็นชายในฝันมาตั้งแต่เธอเป็นสาวน้อย    หย่ากัน แล้วกลับมาแต่งงานกันอีก จนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน   มองจากภายนอก  เธอมีชีวิตสมบูรณ์แบบทั้งการงานและส่วนตัว
แต่ก็น่าเสียดาย  นาตาลีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจมน้ำตายอย่างมีเงื่อนงำ  ในปี 1981   เมื่ออายุแค่ 43 ปี 

http://www.youtube.com/watch?v=uPo1N_cq37w&feature=related

ส่งท้ายค่ะ เพลงเพราะดี

http://www.youtube.com/watch?v=nmvXkYcVqxc&feature=related

              รำลึก นาตาลี วู้ด  หนึ่งนักแสดงสาวที่พร้อมสรรพ ทั้งความงาม ความสามารถ
ถ้าเธอไม่จากไปก่อนเวลาอันควร เธอก็จะเป็นดาวค้างฟ้า ดาราผู้เป็นตำนาน   

                 ได้ดูมินิซีรีส์ From Here to Eternity ทางช่องสาม ครับ ผู้รับบทสามีในเรื่อง คือ Roy Thinnes
นักแสดงนำจากหนังทีวีซีรี่ส์มนุษย์ต่างดาวรุกรานโลก - The Invaders

               เธอแสดงนำในหนังสนุกสนาน The Great Race มีฉากเธอร้อง(ด้วยเสียงคนอื่น)เพลงไพเราะ
The Sweetheart Tree 

                http://www.youtube.com/watch?v=w_w7RGqN7kg

             เรื่องเด่นเรื่องหนึ่งของเธอ ไม่ได้ดู ได้แต่อ่านถึงความเซ็กซี่ของเธอใน Gypsy ครับ

             http://www.youtube.com/watch?v=TGHtz9DKqk8

             เรื่องราวการเสียชีวิตในทะเลของเธอ มีบทความ

        I blamed myself for Natalie Wood's death:
Robert Wagner on the night his wife  disappeared

โดย Robert Wagner ครับ

http://www.dailymail.co.uk/tvshowbiz/article-1145430/I-blamed-Natalie-Woods-death-Robert-Wagner-night-wife-disappeared.html

             Ours was a chance meeting, over in a minute.
             But a minute can change everything.

         In the spring of 1949, Natalie Wood and I passed each other in a studio hallway
at Fox, where we were both filming. She was ten and I was 18. I have to take Natalie's word,
because I don't remember any of it. She always told me we didn't speak but that I smiled.
         Later, Natalie told her mother she would marry me. She did - twice.

            เล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่แรกพบ สมหวัง แต่งงาน บุคคลที่สาม = Warren Beatty (นักแสดงนำร่วมกับนาตาลี
ในหนังเรื่อง Splendor in the Grass)
            หย่าร้าง แยกทาง 

               But still there was Natalie.

           บังเอิญพบกันที่ภัตตาคารในโรม ผมกับคนรักใหม่ เธอกับวอร์เร็น

             Movies do these scenes better than real life.
           The conversation was polite and stilted. After the exchange of pleasantries,
we looked at each other.
           'Miss you,' I said.  
           'Miss you, too.'

           ผมแต่งงานกับคู่รัก มีลูกสาว เธอเลิกกับเขา-วอร์เร็น แต่งงานกับชายคนใหม่มีลูกสาวเช่นกัน    

           เมื่อทั้งเธอและผมต่างเป็นหม้าย หลังจากพบกันในปาร์ตี้งานหนึ่ง ผมโทรไปคุยกับเธอถามถึงคนรักคนใหม่
ของแต่ละฝ่ายและเธอลงท้ายว่า

           'Well, if the situation changes, maybe we could get together.'
           'Maybe we could.'

            เราแต่งงานกันครั้งที่สอง และ
              คืนที่ผมสูญเสียเธอไปในปี 1981 -

            ผมกับเธอชวน  Christopher Walken (นักแสดงนำร่วมในหนังเรื่องสุดท้ายของเธอซึ่งผมพบว่า
เธอ was being emotionally unfaithful) ล่องเรือไป Catalina

              คืนนั้น ผมทะเลาะกับคริส เธอแยกตัวไป ต่อมาผมจึงพบว่าเธอหายตัวไปพร้อมกับเรือบดลำเล็ก
                 รุ่งสางนายท่าจึงพบร่างเธอ

                 My knees gave out; everything went away from me. Many of the best times
of my life had been spent around Catalina. I have never gone back.

              ผมได้รับกำลังใจจากเพื่อนนักแสดงทั้ง Elizabeth Taylor และ Gene Kelly ผู้ผ่านการสูญเสียภรรยา
จากมะเร็งร้าย โอบกอดและบอกผมว่า 'We'll get through this.'

              I never saw Natalie dead - not at the morgue, nor at the funeral home.
I wanted to remember her alive. After the funeral I went to bed and stayed there for seven,
 maybe eight, days.

           ตำรวจสรุปคดีว่าเป็นอุบัติเหตุ ผมคิดว่าเธอซึ่งดื่มไวน์ไป 7-8 แก้ว ได้ยินเสียงเรือบดกระทบลำเรือ
จึงพยายามจะผูกเรือบดไว้แต่กลับลื่นล้มลงทะเล บางคนคิดว่าเธอพายเรือบดออกไปให้พ้นจากการทะเลาะ
ระหว่างคริสกับผม  

               ผมโทษตัวเอง  

             I would have done anything in the world to protect her. Anything.
           I lost a woman I loved with all my heart, not once but twice, and
I will never completely come to terms with that.

            ผมออกไปดินเนอร์กับ Jill St John (นักแสดงสาว ผู้โด่งดังจากบทสาวบอนด์ตอน Diamonds are Forever)
หลังจากการเสียชีวิตของนาตาลีได้ 6 เดือน และ

              We married in 1990. The years since have been the most serene of my life.

ภาพถ่ายเมื่อปลายปี  97

เคยดูหนังที่สร้างขึ้นจากชีวประวัติของนาตาลี วู้ด ฉายทางทีวี   เล่าถึงการเสียชีวิตของเธอด้วยอุบัติเหตุจมน้ำตาย  ตามคำให้การของโรเบิร์ต แวกเนอร์ ผู้สามี  แต่เหตุการณ์ดูไม่สมจริงเอาเลย   มีอย่างหรือ บอกว่านาตาลีลงไปในเรือบตเล็กคนเดียว แล้วพลาดตกน้ำไป ตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้ เลยจมน้ำตาย   โดยสามีและผู้ชายอีก ๒ คนบนเรือไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรืออะไรเลย

บนเรือยอท Splendour ที่นาตาลีเป็นเจ้าของร่วมกับสามี    ในคืนนั้นมีผู้ชายอยู่ ๓ คนคือโรเบิร์ต ผู้สามี  คริสโตเฟอร์ เวลกิ้นดาราชายที่แสดงร่วมในหนังเรื่อง Brainstorm ซึ่งนาตาลีกำลังถ่ายทำ    และกัปตันเรือชื่อเดนนิส  ดาเวิร์น   มี ๓ คนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   
๒๘ ปีให้หลัง  จึงมีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ว่าดาเวิร์นรับสารภาพ ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ชื่อ  Goodbye Natalie, Goodbye Splendour ว่าโรเบิร์ตเป็นคนฆ่านาตาลี เพราะความหึงหวงในความสัมพันธ์ของเธอกับดาราชายคริสโตเฟอร์ 

Natalie Wood's 'accidental death' was murder, says witness

    * September 10th, 2009 1:49 pm CT


The tragic 1981 drowning death of actress Natalie Wood was no accident, according to the new book, Goodbye Natalie, Goodbye Splendour by Dennis Davern, captain of the yacht co-owned by Wood and her husband, Robert Wagner.

The book, co-written by Marti Rulli, tells a very different story than the official, allegedly sanitized version of the events of November 29, 1981. While the coroner ruled the star's death an accidental drowning, Davern says otherwise.

Wood and Wagner were spending the Thanksgiving weekend on a cruise with their guest Christopher Walken, who was then co-starring with Natalie in the film Brainstorm. A jealous Wagner was convinced that his wife wanted to sleep with Walken, and "Natalie wasn't convincing him otherwise."

Davern writes that a "screaming match" between the two escalated into physical abuse as "RJ" beat Natalie with his fists, leaving her black and blue. And dead.

According to the National Enquirer, Davern "identified Natalie's body and says he saw more than 25 bruises on her arms and legs where he believes she had been pummeled by Wagner during the fight in their stateroom."

Strings were allegedly pulled to whitewash the case, with the official story being that Natalie had fallen overboard while trying to tie down a rubber dinghy. Seems plausible, unless one considers that Wood was deathly afraid of the water.

Davern claims that he passed several polygraph tests about his version of events, and says he told the same story while under hypnosis. He writes that his guilt over going along with the cover-up led him to drink excessively for years, until finally coming to grips with his alcoholism. Now sober, he is trying to have the case re-opened.

In the aftermath of Wood's death, Davern writes that  Wagner tried to control his every move, and made sure that the boat captain didn't spill his guts about what really happened.

Davern's tale does make sense. Bloated has-been flies into a drunken rage over his beautiful wife's attraction to her younger co-star, then beats her to death. Happens all the time. Allegedly.

ไม่รู้ว่าข่าวนี้จริงหรือไม่  เพราะไม่เห็นเป็นข่าวให้ฮือฮากันเลย  คุณ SILA อ่านพบไหมคะ

           ไม่ได้ติดตามข่าว ครับ

             วันนี้อ่าน คำสัมภาษณ์ของ Lana Wood น้องสาวของนาตาลีแสดงความข้องใจในตัวอดีตพี่เขย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหนังสือของ Dennis Davern ออกมา

            ในวันพิธีศพของพี่สาว โลงศพถูกแบกโดยนักแสดงใหญ่ระดับตำนาน - Rock Hudson, Frank Sinatra,
Laurence Olivier, Gregory Peck, David Niven, Fred Astaire พร้อมผู้กำกับชื่อก้อง Elia Kazan  
และถูกฝังในสุสานเคียงกับหลุมฝังศพของ Marilyn Monroe
          หลังจากวันนั้น Wagner ก็ก้าวจากไป แทบไม่ติดต่อกับครอบครัววู้ดอีกเลย

            เธอกล่าวถึงพี่สาวผู้เป็นที่รักมีปัญหาของดาวจรัสแสงในวัยเริ่มโรยรา

            'Natalie was 43 when she died. She was finding it hard to age in Hollywood.
She was hitting the bottle. She was insecure about her looks.'

          'From when she was a little girl Natalie had to be adored - had to be
centre of attention... At the end of her life she was drinking heavily and trying
to work out where her life was going.'

          เมื่อถามถึงสาเหตุการตาย เธอไม่เชื่อพี่เขยที่ว่านาตาลีลื่นล้มตกทะเล เธอเชื่อกัปตันมากกว่า

            'Only RJ and Natalie know what happened next. One is dead and the other one won't talk to me.'

สองพี่น้อง (ลานา วู้ด ไม่สามารถก้าวตามพี่สาวเป็นดาวจรัสแสงบนจอเงิน ผลงานส่วนใหญ่อยู่ในจอแก้ว)

ขออภัยอย่างยิ่งค่ะ คุณ SILA  ดิฉันตั้งใจจะตอบค.ห.คุณ  แต่คลิกผิดพลาดอย่างไรไม่ทราบ  กลายเป็นแก้ไขความเห็นของคุณจนหายไปทั้งค.ห.เลย 

ดิฉันตั้งใจจะตอบว่า

"ถ้าเราตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ว่ามันจะดูเหลือเชื่อเพียงใด มันก็ย่อมเป็นความจริง"  เชอร์ล็อค โฮล์มส์

                นำความเห็นนั้นมาโพสท์ใหม่ ครับ  :)

           ข้อมูลเหตุการณ์คืนนั้น

           ทั้งสาม Wood/Wagner/Walken party ดื่มกันหลายขวดที่ภัตตาคารก่อนกลับขึ้นเรือ

           ที่เรือสองชายทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง หนึ่งหญิงเลี่ยงหลบไป

           ต่อมากัปตันเรือให้ข้อมูลว่า หลังจากนั้นสองสามีภรรยาทะเลาะกันเพราะฝ่ายชายหึงหวง

           ผลจากการพิสูจน์ศพพบว่า เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ฆาตกรรม หรือฆ่าตัวตาย

           หนึ่งในผู้ที่จอดเรืออยู่แถบนั้นห่างไปประมาณ 100 หลาเล่าว่า ดึกคืนนั้นเธอได้ยินเสียงตะโกนว่า
'Help me! Somebody help me!' และตามมาด้วย  'Take it easy. We'll be over to get you'

          คุณหมอ Thomas Noguchi แพทย์ชันสูตรศพแห่งฮอลลีวู้ด มีทฤษฎีว่า นาตาลีลงเรือลำเล็กแล้วพลาดตกทะเล
เธอตะโกนร้อง แต่ไม่มีคนช่วย

           ส่วนคำสัมภาษณ์จากคริสในเรื่องนี้ คือ การปฏิเสธ การเลี่ยงไม่ตอบ  

           ดูไปคดีนี้ช่างคล้ายกับ "ราโชมอน" ครับ มีตัวละครเท่ากัน - ๔ คน เป็น ๑ หญิงกับ ๒ ชาย
๓ คนนี้มีเรื่องราวขัดแย้งกัน ส่วนชายคนที่ ๔ อยู่ห่างๆ ไม่ได้ร่วมวง จะแตกต่างตรงที่คนเสียชีวิตเป็นหญิง

            ความตายของนาตาลี คงเป็นเงื่อนงำต่อไป เหมือนกับปริศนาราโชมอน

ขอบคุณมากค่ะ   โชคดีจริงๆที่คุณ SILA ยังเซฟข้อความไว้
ชีวิตของนาตาลี  น่าจะทำละครแบบราโชมอนจริงๆ

คุณ SILA คงจำดาราเด็กที่เป็นตำนานของฮอลลีวู้ดอีกคนหนึ่งได้  จูดี้ การ์แลนด์ เจ้าของเพลง Over the Rainbow    เธอเริ่มร้องเพลงเต้นระบำตั้งแต่อายุสองขวบครึ่ง     จนฮอลลีวู้ดเซ็นสัญญาด้วยเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น   ในวัย ๑๗   เธอต้องรับบทเป็นเด็กหญิงอายุ ๑๒ ใน The WIzard of Oz  หนังเยาวชนคลาสสิค  ที่กลายเป็นบทอมตะและหนังอมตะในเวลาต่อมา

http://www.youtube.com/watch?v=8RjXY_-PUbo&feature=related

จูดี้ ตอนเล็กๆ

ชีวิตของจูดี้ การ์แลนด์เป็นตำนานโศกนาฏกรรมของดารา     เธอประสบความสำเร็จในฐานะดารารุ่นเยาว์   พอมาเป็นสาว  ก็เป็นขวัญใจประชาชน  เพราะเก่งทั้งร้องเพลง เต้นรำ และแสดงบทบาทได้หลายแบบ
แต่โรงถ่ายในยุคนั้นใช้ดาราที่ทำเงิน เสียยิ่งกว่าทาส      ในวัยที่เด็กอื่นๆเรียนหนังสือเสร็จก็กลับบ้านไปเล่นกับพี่น้อง  กินอิ่ม นอนหลับ ตามประสาเด็ก     จูดี้ต้องกินยาสารพัดเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ไม่เพลียไม่หลับ    เพื่อเวลาถ่ายทำจะได้ออกมาสดใสทุกฉาก   ถ่ายเสร็จก็ถูกกรอกยานอนหลับให้หลับผล็อยไป  จะได้ตื่นตามเวลามาถ่ายทำต่อ     พอเป็นสาวก็ถูกสั่งให้กินยาบ้าหรือแอมฟิตามีน เพื่อไม่ให้หิว จะได้หุ่นเพรียวงาม เต้นระบำร้องเพลงได้สวย
นายจ้างทำแม้แต่บังคับให้ไปทำแท้ง   เพื่อจะอยู่ในวงการได้ต่อไป
ผลคือปัญหาติดยาที่เรื้อรังไปจนอายุ ๔๗   เสียชีวิตด้วยกินยาเกินขนาด     ทางด้านส่วนตัวแต่งงาน ๕ หน   และมีชู้รักอีกนับไม่ถ้วน 

http://www.youtube.com/watch?v=5g4lY8Y3eoo

ฉากในหนังเพลงปี 1946 ที่จูดี้ถนัด  ส่วนหนึ่งสะท้อนชีวิตเธอเอง

http://www.youtube.com/watch?v=qFaREEaN1XU&feature=related

พูดถึงชะตากรรมที่จบลงแสนเศร้าของดาราจรัสแสง  ก็จะมองข้ามชีวิตของมาริลีน มอนโรไปไม่ได้    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครกลบรัศมีเธอได้ในฐานะ sex symbol ของฮอลลีวู้ด
มาริลีนเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ(อีกแล้ว) ด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาดเมื่ออายุ 36 ปี   มีเสียงซุบซิบกันสนั่นโลก ว่าเธอถูกกำจัดด้วยฝีมือ CIA  เพราะไปมีความสัมพันธ์ลับกับอดีตประธานาธิบดีของอเมริกา

ฉากประทับใจในหนังเก่า Gentlemen Prefer  Blondes (1953) เธอทำให้เพลง  Diamonds are a Girl's Best Friends กลายเป็นเพลงแห่งความทรงจำ  ที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้

http://www.youtube.com/watch?v=Q_aqOTVKebY&feature=related

            เรื่องราวเคราะห์กรรมของนักแสดงสาวที่ดับแสงตกจากฟากฟ้าเพราะฤทธิ์ยา
ถูกถ่ายทอดในหนังเรื่อง Valley of the Dolls (1967) ที่สร้างจากนิยายขายดี
อันดับหนึ่งของอเมริกา เมื่อมาฉายในบ้านเราได้ชื่อไทยว่า "รอยสวรรค์ รอยสลาย" ครับ

             dolls ในที่นี้หมายถึงยากดประสาท(depressant - downers) - barbiturates
ตรงข้ามกับยากระตุ้น (stimulant - uppers) - amphetamine

             หนังเล่าเรื่องสามสาว (นำแสดงโดย Barbara Parkins, Patty Duke และ Sharon Tate)
ก้าวเข้าสู่วงการมายาและหุบเขาตุ๊กตา   

                ดุ๊ค รับบทนักแสดงสาวมากความสามารถ คลื่นลูกใหม่มาแรงทำท่าว่าจะแซงคลื่นลูกเก่า

               เทท  เป็นนักแสดงสาวสวยมากแต่สามารถน้อย ต้องไปยืนอยู่แถวหลัง

และ       พาร์คิ่นส์ ทำงานในบริษัทตัวแทนนักแสดง

            สามสาวกลายมาเป็นเพื่อนกัน

              ดุ๊คถูกเจ้าแม่เขี่ยออกจากบรอดเวย์เพราะสามารถเกินหน้าคลื่นลูกเก่า เธอจึงหันมาฮอลลีวู้ด
และหุบเขาตุ๊กตา ประสบความสำเร็จเป็นดาราดัง และ
                 เป็นดาราติดยา ทั้งยากดประสาทยามจะหลับ กับยากระตุ้นให้ตื่นยามจะทำงาน
จนมีอาการทางจิตต้องเข้ารับการรักษาในสถานบำบัด
                หลังการบำบัดเธอกลับสู่วงการแต่ยังไม่สามารถเลิกเสพยาได้ ในที่สุดเธอก็ถูกคลื่นลูกหลังซัด
ออกไปเช่นกัน 

               เททได้เป็นดาราหนัง แต่ไม่โด่งดัง ในที่สุดด้วยความจำเป็นทางการเงิน เธอต้องผันตัวไป
แสดงหนังติดเรท และฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเกินขนาดเมื่อเธอป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมและโรคซึมเศร้า 

               พาร์คิ่นส์ ได้เป็นนางแบบมีชื่อ แต่ก็ต้องพึ่งยาคลายเครียด ชะตากรรมของสองเพื่อนสาว
ทำให้ได้คิดกลับตัวเลิกติดยา และออกจากหุบเขาตุ๊กตากลับบ้านเธอ

              นอกจากบทของเททในหนังจะรันทดกว่าคนอื่นแล้ว ชีวิตจริงของเททก็จบลงอย่างแสนเศร้า
                 เมื่อเธอถูกฆาตกรรมในปี 1969 (ปีเดียวกับที่จูดี้ การ์แลนด์เสียชีวิต) ในขณะที่เธอตั้งครรภ์จวนคลอด
กับสามีผู้กำกับชื่อดัง Roman Polanski โดยเหล่าสมาชิกของ "ครอบครัว Manson (family)" ที่ร่วมกัน
ทำ "พิธี" ฆาตกรรมหมู่เททและเพื่อนๆ
                 ในคืนนั้นหัวหน้าครอบครัว Charles Milles Manson ออกคำสั่งให้สมาชิกไปจัดการฆ่าทุกคน
ในบ้านหลังนั้น ที่เคยเป็นที่อยู่ของ Terry Melcher - โพรดิวเซอร์เพลงผู้ปฏิเสธไม่เซ็นสัญญาว่าจ้างเขาเป็นนักดนตรี   

          ทั้งวีน ทั้งเหวี่ยง คลิปหลากลีลาของ NEELY O'HARA ที่รับบทโดย Patty Duke

            http://www.youtube.com/watch?v=VIvD0lpdyns

            ฉากซึ่งเป็นที่กล่าวถึง เมื่อคลื่นลูกใหม่แรงจัด แย่งซีน และทะเลาะกับคลื่นลูกเก่า
(รับบทโดยนักแสดงใหญ่ Susan Hayward ที่มาแสดงแทน Judy Garland ที่ถูกให้ออก)

                GET OUTTA MY WAY I'VE GOT A MAN WAITIN' FOR ME!

             http://www.youtube.com/watch?v=WfrifuOfx8A

            ฉากเดียวกันแบบเต็มๆ ครับ

                http://www.youtube.com/watch?v=WfyhaXlKNts

     จำเรื่องนี้ได้ค่ะ     dolls ในที่นี้เป็นสะแลง แปลว่ายาระงับประสาท      คงเป็นเพราะฮอลลีวู้ดในสมัยนั้น  ดาราใช้ยาพวกนี้กันมาก จึงเป็น valley of the dolls
      แพตตี้ ดุ๊คเป็นดาราตุ๊กตาทองอายุน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์    จากเรื่อง The Miracle Worker (1962)  สร้างจากเรื่องจริงของผู้หญิงมหัศจรรย์ชื่อเฮเลน เคลเลอร์   เธอเป็นเด็กหูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้ ตั้งแต่อายุ 19 เดือน  (ก็แน่ละ  ถ้าหูหนวกก็เป็นใบ้เป็นธรรมดา เพราะหูไม่ได้ยินเสียงพอจะฝึกพูดได้เป็นเรื่องเป็นราว)  พ่อแม่เลยปล่อยลูกคนนี้ แบบตามใจทุกอย่าง  ให้อยู่ในโลกที่เงียบกริบและมืดสนิทจนโต
    วันหนึ่งครูสาวชื่อแอนนี่ ซัลลิแวนก็ถูกจ้างมาดูแลฝึกสอนเด็กพิการคนนี้   เฮเลนเป็นเด็กโมโหร้าย เอาแต่ใจ  พฤติกรรมเหมือนสัตว์ที่ไม่ได้ฝึกมากกว่ามนุษย์     แต่ครูแอนนี่ก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นจนได้   เฮเลนเติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงอัจฉริยะ  เรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นนักเขียน   เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม  เป็นนักกิจกรรมการเมือง   ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี   เดินทางไปบรรยายทั่วโลก
   
    นี่คือฉากประทับใจ     เป็นฉากฝึกสอนอย่างทรหดของครูกับนักเรียน

     http://www.youtube.com/watch?v=EHwoRFe70jk

กระทู้นี้คงขาดไปมาก  ถ้าไม่มีฉากคลาสสิคตอนนี้ ของ The Godfather  หนังแห่งศตวรรษ
เสียดายคลิปใส่เพลงเข้ามา   เลยเสียบรรยากาศไปมาก

เป็นตอนท้ายๆของเรื่อง ฝีมือตัดต่อสลับฉากกัน เฉียบขาดมาก เมื่อไมเคิลทำพิธีรีบศีลจุ่มแบ๊พติสต์อยู่ในโบสถ์อย่างน่าเลื่อมใส   
ตรงข้ามกับภายนอกที่ปรปักษ์ถูกกวาดล้างลงไปเหมือนเป็นผักเป็นปลา

http://www.youtube.com/watch?v=-eu3DWJjYP0&feature=related

คลิปนี้ไม่มีเสียงเพลงร้อง ครับ 

                       http://www.youtube.com/watch?v=SOES-dS0pG0

และ     อีกฉากหนึ่งที่ติดตา ครับ

             ผู้อำนวยการสร้างฮอลลีวู้ดปฏิเสธที่จะมอบบทในหนังใหญ่ให้กับ "ลูก" ของเจ้าพ่อ (godson)
(ที่รับบทโดย Al Martino นักร้องดังผู้ร้องเพลง เลิฟ ธีมจากหนังเรื่องนี้ด้วย - Speak Softly Love)

            สิ่งที่ผู้อำนวยการสร้างถูกจัดหนักให้ได้พบคือประสบการณ์หลอน - เขาตื่นนอนด้วยความรู้สึก
อุ่นๆ เหนอะๆ พร้อมกลิ่นคาวจากเลือดที่เปื้อนเปียก และเมื่อเลิกผ้าห่มออกเขาก็ถึงกับต้องส่งเสียงร้องลั่น
คฤหาสน์ เพราะสิ่งที่กองอยู่ปลายเตียงนั้นคือ ศีรษะของม้าแข่งสายพันธุ์เลิศตัวโปรดที่สุดของเขา

มีเสียงเล่าลือว่า นักร้องนักแสดงคนนี้ในชีวิตจริงคือ Frank Sinatra

              http://www.youtube.com/watch?v=iIi_Ae_xPok  

เคยอ่านพบ ตรงกันค่ะ   เขาว่าหนังเรื่องนั้นคือ From Here to Eternity 
ฉากนี้ทำได้สมจริงน่าสยดสยองมาก
ชอบ Al Pacino ตั้งแต่ดูเรื่องนี้

ฉากประทับใจ ของ Al Pacino เมื่อเล่นอีกครั้งใน Scent of a Woman หนังปี 1992    ที่ทำให้เขาได้รับตุ๊กตาทองในบทดาราชายแสดงนำ
อัล เล่นบทนี้ได้ยอดเยี่ยม   เป็นผู้พันสายตาพิการ  อารมณ์ร้าย ไม่มีใครรอหน้าติด     แต่ยิ่งคนดูติดตามไปเรื่อยๆ ก็จะพบทั้งความน่าสงสารและเสน่ห์ประทับใจ
ฉากนี้  เป็นฉากเต้นรำแบบแทงโก ระหว่างผู้พันผู้มองไม่เห็นอะไรเลย   กับสาวสวยแปลกหน้าที่เขาเข้าไปทำความรู้จักด้วย  ออกมาเป็นลีลาที่สวยงามเรียกเสียงปรบมือจากผู้คนในห้องโรงแรม

http://www.youtube.com/watch?v=dBHhSVJ_S6A

ในหนังเรื่องเดียวกัน  ฉากสำคัญตอนท้ายเรื่อง   เมื่อผู้พันลุกขึ้นกล่าว speech ในบรรยากาศเข้มงวดตึงเครียดของโรงเรียน เพื่อปกป้องอนาคตของเด็กหนุ่มเอาไว้  มิให้ดับลงจากถูกไล่ออก    
อัล ปาชิโนพูดได้วิเศษมาก   ทั้งๆไม่อาจแสดงความรู้สึกทางสายตาและสีหน้าได้

http://www.youtube.com/watch?v=nqsf0XynGz8

             ลุง Al ก้าวขึ้นประดับฟากฟ้าเป็นดารานักแสดงใหญ่แถวหน้า และหลายคนนำลุงไปเปรียบ
เทียบเคียงกับลุง Robert De Niro ที่เป็นนักแสดงแบบ Method Acting เหมือนกัน

               สมัยก่อนลุงดังในไทยมากๆ จากเรื่อง Serpico ถึงขนาดมีรูปจากหนังเรื่องนี้ประดับรถโดยสาร
รถบรรทุกสิบล้อ
              (คนดังคนอื่นที่มีรูปติดสิบล้อ ได้แก่ เช เกวารา, คนเหล็ก, ซิลเวสเตอร์ และตี๋ใหญ่ เป็นต้น) 

ฉากดัง ของ Terminator 2   พร้อมด้วยคำพูดลือลั่นของคนเหล็ก  "I'll be back"   แล้วก็จริงของขวัญใจรถสิบล้อคนนี้
กลับมาอีก 2 ภาค จนถึง Terminator 4

http://www.youtube.com/watch?v=AsEqBQAcYVw

          หนังแอ๊คชั่น มันๆ อย่างคนเหล็ก 2 ที่มีนักแสดงนำอย่างอาร์โนลด์ผู้แข็งทื่อไร้อารมณ์สมกับเป็นหุ่นยนต์
กลับมีฉากจบแสนเศร้าประทับใจ ไม่อาจลืม เป็นฉากจบที่บางคนยกให้ว่าเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว

           เมื่อภารกิจปราบหุ่นร้าย T-1000 สำเร็จลง ต่อมาจึงถึงเวลาที่ต้องทำลาย T-800 Terminator
เพื่อว่าเทคโนโลยีการสร้างหุ่นนี้จะได้ถูกทำลายลงไปด้วย

                      http://www.youtube.com/watch?v=fZ6uLFsLR2Y

ดิฉันดูแค่ภาค ๒  ไม่ได้ดูภาค ๓ ภาค ๔ เลยไม่รู้ว่า Terminator กลับมาได้ยังไง  คุณ SILA ดูหรือเปล่าคะ

นอกจากเป็นพระเอกหนังแอ๊คชั่นแถวหน้าแล้ว   เมื่ออาโนลด์เปลี่ยนมาเล่นหนังตลก  เขาก็สร้างปรากฏการณ์ได้เหมือนกัน
อย่างใน Junior  เขาเล่นเป็นผู้ชายตั้งครรภ์

http://www.youtube.com/watch?v=2dx_yxjt-64&feature=related

             Terminator ภาคต่อๆ มา ก็ไม่ได้ติดตามชม ครับ เพราะรู้สึกว่า อิ่ม กับสองภาคแล้ว
และ เจมส์ คาเมรอน ก็วางมือไม่ได้กำกับด้วย
                เหมือนกับหนังเรื่อง ก็อดฟาเธอร์ ที่ดีเยี่ยมทั้งสองภาคแรก แต่ภาคที่สามก็แผ่วลงไป

                ในเน็ทมีข้อมูลประมาณว่า คุณอาร์โนลด์จะ I'll be back ในคนเหล็กภาคห้า แต่ตอนนี้
ข่าวที่แน่ชัด คือ ข่าวการหย่าร้างจากภรรยาที่ครองคู่กันมาหลายปี ครับ

คุณ SILA มีฉากประทับใจในหน้งแอ๊คชั่นเรื่องไหนบ้างคะ     ดิฉันยังหาไม่ได้เลย

(ไม่ค่อยได้ดูหนังแอ๊คชั่น ครับ)

               หนังแอ๊คชั่น เขย่าขวัญ ไซไฟ ที่ถูกใจจากการกำกับของ James Cameron อีกเรื่องหนึ่ง
คือ Aliens ซึ่งเป็นภาคสองต่อจาก Alien ที่คราวนี้ยกสัตว์ประหลาดมาทั้งรัง
                 เป็นการเปิดศึกปะทะกันมันส์แบบลุ้นจนเหนื่อยระหว่างมนุษย์นักรบกับฝูงสัตว์ประหลาด

                 บทหนังเพิ่มความเข้มข้นทางอารมณ์ของความเป็นมนุษย์เพศแม่ให้นางเอก(คนเดิม) Sigourney Weaver
ทำหน้าที่นักสู้ผู้พิทักษ์เด็กหญิงกำพร้าจนเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิง

              หนังประสบความสำเร็จอย่างดี ได้รับคำชมว่าเป็นหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้สนุกกว่าภาคแรก

Sigourney Weaver สวมวิญญาณแรมโบ้หญิงเผชิญหน้าต่อกรกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวแม่ (Queen of Aliens)
และ ประโยคเด็ดจากฉากสำคัญตอนนี้  Get Away From Her You Bitch

           http://www.youtube.com/watch?v=RDqTwSO1DDc

แอ๊คชั่นของจา พนม ก็ไม่เบานะคะ

http://www.youtube.com/watch?v=wSMjAZvUGFM&feature=related

เทียบกับเฉินหลง

http://www.youtube.com/watch?v=u1cHynIXweE

                     Die Hard (1 - 1988)

              หนังแอ๊คชั่นที่เป็นตำนานแห่งทศวรรษ 80 เล่าเรื่องฮีโร่จำเป็น ต่อกรกับเหล่าผู้ก่อการร้าย
เพียงลำพังในตึกระฟ้า เพื่อพิทักษ์ตัวประกันซึ่งหนึ่งในนั้นคือภรรยาของเขาเอง ในขณะที่กองกำลังตำรวจ
แอลเอเบื้องล่างออกอาการง่อยทำอะไรไม่ได้
                ด้วยแคแรคเตอร์พระเอกที่แม้ว่าจะเป็นตำรวจ แต่ไม่ได้ล่ำบึ้กแบบแรมโบ้ มีทั้งความกลัว
และความกล้า พร้อมความเก่งพอตัว ไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ เขาจึงได้กำลังใจจากคนดูเอาใจช่วยเต็มที่

                หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้ และคำชม อุดมไปด้วยฉากบู๊ ยิงปืนและระเบิดตูมตาม
ชักนำให้แอดรีนาลินของคนดูสูบฉีดเพราะความตื่นเต้นและลุ้นระทึก

             คลิปรวมฉากแอ๊คชั่น มันๆ ของหนังภาคแรกนี้
             รวมทั้งฉากผู้ร้ายที่คิดว่าตายไปแล้วลุกขึ้นมาใหม่ในตอนท้ายเรื่อง ที่ต่อมาปรากฏในหนังเรื่องอื่นด้วย
ทำให้คนดูไม่ไว้ใจอีกต่อไป - เมื่อผู้ร้ายตัวสำคัญถูกจัดการจนล้มลงไป ยังมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาใหม่อีกได้ ครับ

               http://www.youtube.com/watch?v=y0LF0P9aRCg

Die Hard ดูเหมือนจะมีหลายภาค  จนกลายเป็น Undie ไปแล้ว
มีพระเอกหนังแอ๊คชั่นอยู่อีกคนหนึ่ง    ดิฉันไม่เคยดูจนจบเลย  ที่ได้ดูเพราะเอามาฉายทางทีวีบ่อยๆ     ไม่ว่าฉากไหน แกก็รอด    ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เส้นผมและเมคอัพบนใบหน้าไม่สะเทือนแม้แต่น้อย
เขาชื่อ Chuck Norris 

ฉากนี้ ชัคขับปิคอัพสู้กับเฮลิคอปเตอร์   

http://www.youtube.com/watch?v=BrOwcZPwDO8&feature=related

ขอชวนคุณ SILA ออกจากหนังแอ๊คชั่นมารำลึกถึงหนังสยองขวัญบ้าง      ในตำนานฮอลลีวู้ด มีหนังเรื่องหนึ่งที่กล่าวขวัญกันว่า คนดูผู้หญิงเป็นลมกันทุกรอบเมื่อถึงฉากนี้   เป็นหนังขาวดำปีค.ศ. 1925 
หนังเรื่องนั้นคือ Phantom of the Opera  นำแสดงโดย Lon Chaney ซึ่งกลายเป็นเจ้าพ่อสยองขวัญ จากหนังเรื่องนี้
ดิฉันเคยแต่อ่านหนังสือที่กล่าวถึงฉากนี้  ไม่เคยเห็นฉากจริงสักที   จนกระทั่งยูทูปถือกำเนิดมา จึงมีโอกาสได้ดูฉากสยองขวัญคลาสสิค    ตอนที่คริสติน(นางเอก) เปิดหน้ากากเจ้าแฟนธอม
ไม่อยาก spoil  เชิญดูกันเองค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=sa3bHKWZoJg   

^
ดูแล้วก็รู้สึกว่าคนดูหนังเมื่อค.ศ. 1925 เห็นทีจะขวัญอ่อนกว่าคนสมัยนี้มาก     เราดูแล้วเฉยๆ เพราะเคยเห็นอะไรสยดสยองกว่านี้มาแยะ

            ดูแล้วอดยิ้มไม่ได้ ครับ การแสดงของนักแสดงในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคหนังเงียบ
จะออกท่าทางเกินๆ  แสดงสีหน้าแบบเว่อร์ๆ เป็นภาคปฏิบัติบังคับ เหตุผลหนึ่งคือเนื่องจากว่าปราศจากเสียงพูด
ช่วยสื่ออารมณ์  

            หนังเขย่าขวัญในตำนานอีกเรื่องหนึ่งเป็นหนังเยอรมันชื่อ  Nosferatu (1922)
สร้างบทดัดแปลงจาก Bram Stoker's Dracula

                http://www.youtube.com/watch?v=patgT_qG65U

ภาพเงาของ Nosferatu (Count Orlok) เดินขึ้นบันได เห็นที่ไหนก็บอกได้ว่าเป็นหนังเรื่องนี้

เคยดู Dracula ครั้งแรก  เมื่อคริสโตเฟอร์ ลีเป็นเคานค์แดรคคูล่า    มีปีเตอร์ คุชชิ่งเป็นพระเอกคู่ปรับ  เล่นกันหลายภาค
จำได้ว่ากลัวมาก   เพราะยังเด็ก ขวัญยังอ่อนกว่าเดี๋ยวนี้    ยุคนั้น  แดรคคูล่าภาคตลก  แดรคคูล่าภาคชีวิต  แดรคคูล่าภาครักฯลฯ ยังไม่มี  มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาดูดเลือดกันลูกเดียว
แสงในฉากก็มืดๆมัวๆ ขนาดเป็นฉากกลางวันยังมืด   ดูแล้วทั้งปวดตา ทั้งระทึกขวัญในโรงหนัง

ดิฉันจำไม่ได้ว่าในเรื่องไหน มีฉากน่ากลัวที่สุด   ดูๆแล้วมันก็น่ากลัวทุกฉาก
เขี้ยวแหลมของคริสโตเฟอร์ ลี ในปากกินเลือดแดงแปร๊ด     หน้าเมคอัพไว้ซีดขาว ขอบตาแดงก่ำ  หลอนคนดูเสียจนเขาโด่งดัง เล่นแล้วเล่นอีก ดูดเลือดซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายเรื่อง
เจอคลิปในยูทูป หลายตอนเหมือนกัน  เลยเลือกมา ๒ ตอนให้ดูค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=tMAW6RZR2fA

http://www.youtube.com/watch?v=_ICNmswcK0I&feature=related

                 ชอบ Bram Stoker's Dracula (1992) จากการกำกับของ Francis Ford Coppola มากๆ ครับ

                    หนังเขย่าขวัญ โรแมนติก (ภาพ)สวยงาม ได้รับคำชมและทำรายได้สูงเมื่อออกฉาย
              
                    หนังเปิดเรื่องย้อนอดีตเมื่อ Dracula ชนะสงครามปราบชาวเตอร์ก กลับมาพบว่าหญิงคนรัก
ฆ่าตัวตายเพราะได้รับข่าวว่าเขาเสียชีวิตในสมรภูมิ ด้วยความโกรธแค้นเขาจึงลบหลู่ศาสนสถาน,เลิกนับถือพระเจ้า
และ ประกาศว่าจะลุกขึ้นมาจากหลุมศพด้วยอำนาจแห่งมนต์ดำ
                    400 ปีผ่านไป Count Dracula ชายชราผิวหนังซีดและเหี่ยวย่นได้เห็นภาพหญิงสาวที่มีใบหน้า
ละม้ายเหมือนคนรักเก่า เขาเชื่อว่าเธอคือคนรักกลับชาติมาเกิด ท่านเคานท์ในร่างชายหนุ่มจึงออกตามหาเธอจนพบ

คลิปเทรลเลอร์ ครับ

                  http://www.youtube.com/watch?v=Xw2-ZMhxTUs

หนังคารวะ Nosferatu ด้วยภาพเงาท่านเคานท์

หนังแดรคคูล่าเวอร์ชั่นที่ลูกสาวคนเล็กของดิฉันชอบมากที่สุด ก็คือ  Love at First Bite ค.ศ. 1979    เธอดูตั้งแต่ยังเล็กๆ หัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา   จนบัดนี้โตแล้ว พูดถึงทีไรก็ยังขำอยู่ดี      จอร์ช แฮมิลตันเล่นเป็นท่านเคานต์ผีดิบผู้ถูกยึดปราสาททรานซิลวาเนีย   ไปเป็นค่าภาษีที่ติดค้างมาหลายร้อยปี     แดรคคูล่าตามเสาะหาสาวคนรัก(เหมือนในหนังที่คุณ SILA เล่าข้างบนนี้) ที่นิวยอร์ค     แต่เรื่องก็ไม่ง่าย เพราะหมอแวน เฮลซิง คู่ปรับตลอดกาลก็ยังตามมาราวีไม่เลิกรา  ในชื่อใหม่ว่าจิตแพทย์โรเซนเบิร์ก

ฉากประทับใจของเรื่อง  แดรคคูล่าดิสโก้กับซินดี้ นางแบบสาวแห่งนิวยอร์ค   ผู้ซึ่งเมื่อแรกพบกันในไนท์คลับ  เข้าใจผิดจากชุดที่ท่านเคานต์แต่ง ว่าเขาคือหัวหน้าบริการเสิฟเหล้า


http://www.youtube.com/watch?v=pvgMIpz7DkI

                 "ผี" ตนต่อไปอยู่ในหนังใหญ่ ที่ได้รับทั้งเงินและคำวิจารณ์ชื่นชม
                    เป็นหนึ่งในหนังเยี่ยมแห่งปี  1973 นั่นคือ  The Exorcist

       

                 หนังเขย่าขวัญที่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่คืองานฝีมือโดดเด่นด้านการสร้างภาพ
บรรยากาศเขย่าขวัญ การเล่าเรื่อง "ถูกสิง" ของเด็กสาววัย 12 หน้าตาน่ารักสดใสที่กลับกลายน่าเกลียด
น่าสะพรึงกลัว พูดจาและแสดงกิริยาหยาบ ทั้งยังมีความสามารถทางกายยิ่งกว่านักกายกรรมระดับโลก
เท่านั้นไม่พอ ยังสามารถทำให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้อีกด้วย

รับชมคลิปเรท ฉ รวมภาพเหตุการณ์ผีสิงสำแดงเดช และการปราบผีของ "คุณพ่อ" สองคนสองวัย ครับ

             http://www.youtube.com/watch?v=Jvhl4At6AX8

เรื่องนี้น่ากลัวที่สุดในรอบทศวรรษ    เห็นรูปที่คุณ SILA เอามาลง  ก็ไม่อยากเปิดหน้านี้ซ้ำแล้วค่ะ
เขาช่างเข้าใจทำให้เด็กผู้หญิงเป็นตัวสยองขวัญได้  เก่งจริงๆ

                หนังอีกเรื่องที่โดดเด่นแห่งทศวรรษ 1970's ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในหนังเขย่าขวัญ
สั่นประสาทแถวหน้าไม่แพ้เรื่องใด นั่นคือ The Omen (1976)
         
          คราวนี้ขวัญคนดูถูกเขย่าด้วย ทายาท Satan ซึ่งเป็นเด็กชายตัวน้อยพร้อมอำนาจมืดที่นำความตาย
มาสู่ผู้คนที่รายล้อมขัดขวางจุดมุ่งหมาย

           

               หนังได้นักแสดงนำชายที่ทรงพลังอย่าง Gregory Peck และนักแสดงหญิงที่แม้ไม่ดัง
แต่ฝีมือไม่ด้อย Lee Remick ในขณะที่นักแสดงเด็กน้อยผู้รับบท Damien (Harvey Stephens)
ก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าพอใจ

                  เริ่มเรื่อง ณ กรุงโรม วันที่ 6 เดือน 6 (เลข 666 ใน Christian Bible ถือว่าเป็น Number of the Beast)
(ลุง)เป็ครับบทเป็นท่านทูตอเมริกาประจำอิตาลีผู้เป็นคุณพ่อสูงวัยที่ภรรยาคลอดบุตรแต่เสียชีวิตแรกคลอด
(ความจริงที่ได้รับรู้ในเวลาต่อมาคือทารกถูกฆ่า) เพื่อไม่ให้ภรรยาเสียใจท่านทูตจึงรับทารกแรกเกิดกำพร้ามารดา
เสียชีวิตหลังคลอดมาเป็นบุตรแทน

              เมื่อทารกเติบโตเป็นเด็กน้อย ความตายก็เริ่มมาเยือนครอบครัว
เริ่มจากการฆ่าตัวตายของพี่เลี้ยงเด็กน้อยในงานวันเกิดอายุ 5 ขวบ

           เด็กน้อยมีพฤติกรรมประหลาด ร้องดิ้นอาละวาดขณะที่นั่งรถไปโบสถ์

กำลังนึกถึงเรื่องนี้อยู่พอดี  :D

อาถรรพณ์หมายเลข 6  เป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาท  ตีคู่มากับ Exorcist เลยเชียว
คนสร้างเขาช่างเข้าใจเอาตัวละครที่ไม่เคยปรากฏในหนังสยองขวัญยุคก่อนๆ  คือเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก    มาเป็นผู้เขย่าขวัญได้ยิ่งกว่าผีดิบและค้างคาวดูดเลือดเสียอีก

จบเรื่องนี้แล้ว  ดิฉันไม่อยากไปหารูป  เพราะอาจจะต้องมาอัพเดท(ศัพท์ฝรั่งอีกแล้ว) กระทู้นี้ตอนดึกๆ     ฝากคุณ SILA ช่วยเล่าถึงตุ๊กตาอะไรที่แสนโหด  ฆ่าคนตายเป็นเบือด้วย  ลืมเรื่องไปแล้ว เพราะไม่อยากจำ
ในละครไทยช่อง 7  ยุคลูกดิฉันยังเล็ก   มีละครระทีกขวัญที่ตุ๊กตาร้องว่า "หนูอยากกลับบ้าน"  ทำเอาลูกสาวเลิกเล่นตุ๊กตาพูดได้ไปเลยนับแต่นั้น

กลับมารอชมภาพ The Omen ต่อ ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=kcrkOz4BslI

สร้างจากหนังสือของคุณวาณิช

(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRQXdGgO6PWHTA5Q0IRD7ZJMk4p0-FhtdkURKUe4xpjs6AE5L7P&t=1)

 ;)

ขอบคุณคุณเพ็ญ ครับ  :)

           จุดจบสยดสยองของผู้ที่บังอาจเข้ามาขวางทาง
"คุณพ่อ" Brennan ผู้มาเตือนท่านทูตเรื่องลูกชายว่าเป็น son of the devil

          http://www.youtube.com/watch?v=KK-GQGBT3VE

            

             และอย่างโหดสุดๆ ผู้เคราะห์ร้ายถึงฆาตเป็นผู้สื่อข่าวที่ก่อนหน้านี้ถ่ายภาพ "คุณพ่อ" แล้ว
รูปที่ล้างออกมาปรากฏมีวัตถุคล้ายแหลนเหนือศีรษะ "คุณพ่อ" ต่อมาเขาพบว่ารูปของตัวเขาปราศจากศีรษะ

                เขาและท่านทูตร่วมกันเดินทางไปสืบเรื่องทารกที่กรุงโรม และต่อไปเยรูซาเล็ม
ที่นั่นท่านทูตได้รับมอบกริชเพื่อกำจัดทายาทปีศาจ และคำบอกถึงเลข 666 ที่ปรากฏเป็นหลักฐานบนตัวเด็กน้อย
แต่ท่านทูตทำไม่ลง
             และ เมื่อผู้สื่อขาวรับจะเป็นคนจัดการเอง เขาก็...

            http://www.youtube.com/watch?v=FLlSjyZupzU

            ในที่สุดหลังจากอุบัติเหตุและความตายของภรรยาท่านทูต หลักฐานเลข 666 บนศีรษะ
ทายาทปีศาจที่ท่านทูตได้ประจักษ์ ท่านทูตจึงตัดสินใจลงมือ แต่ถูกตำรวจยิงจนเสียชีวิต   

             ทายาท Satan รอดตาย(อย่างหวุดหวิด) เพื่อจะได้สร้างภาคต่อไป

วันงานศพท่านทูต  ด.ช. Damien - ทายาทมรดก Thorn Enterprises ยืนเคียงข้างอดีตรูมเมทมหาวิทยาลัย
ของท่านทูต ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

              เบื้องหลังการถ่ายทำกล่าวกันว่า ทีมงานและนักแสดงต่างโดนอาถรรพณ์หมายเลข 6 กันหลายคน
เช่น       เกิดเหตุบังเอิญเครื่องบินลำที่คนเขียนบท ลุงเป็ค และผู้ช่วยผู้กำกับโดยสารต่างก็โดนฟ้าผ่า
           มีการวางระเบิดโดยขบวนการไออาร์เอ ที่ห้องอาหารในโรงแรมที่ผู้กำกับและนักแสดง
กำลังจะไปรับประทานอาหาร
           ลุงเป็ครอดตายเพราะยกเลิกเที่ยวบินไปอิสราเอล ที่ต่อมาเครื่องบินลำนั้นตก ผู้โดยสารเสียชีวิตยกลำ เป็นต้น

คลิปภาพประกอบเพลง  Ave Satani ประพันธ์โดย Jerry Goldsmith ครับ

               http://www.youtube.com/watch?v=bWpdbXTQfnE
  

ถ้าเป็นประเทศไทย   ทีมงานและดาราคงต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันเป็นการใหญ่

            เจ้า Chucky (Child's Play) นี่ไม่เคยดูทั้งเรื่องเลย ครับ ได้แต่แวะดูบ้างตอนมาฉายทางเคเบิ้ลทีวี
              บรรดา หนังหวีดสยอง ฆาตกรตามฆ่าเหล่าวัยรุ่น เช่น ศุกร์ 13, ฮัลโลวีน หรือไนท์แมร์ ก็แทบไม่ได้ดู ครับ
           

ดิฉันก็ไม่ชอบดูเหมือนกันค่ะ   แต่หนังพวกนี้ตามเข้ามาถึงในบ้าน ผ่านทรูวิชั่น    บางครั้งก็เปิดเจอบ้าง

หนังระทึกขวัญวัยรุ่น แทบเป็นสูตรสำเร็จให้จำได้     ถ้าวัยรุ่นรวมกลุ่มกันไปเที่ยวทีไร  ไม่ว่าจะไปตั้งแคมป์ริมทะเลสาบ   ไปเที่ยวทางไกลแล้วพักในโมเต็ล   หรือไปมีตติ้งรุ่น    ฆาตกรโรคจิตจะต้องรี่เข้ามากำจัดไปทีละคน
ตัวประกอบตายก่อน  พระเอกเหลืออยู่เกือบสุดท้าย  อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส  หรือถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้    เหลือนางเอกคนเดียวทั้งๆไม่เก่งเลย   หนีหัวซุกหัวซุน   แต่ในที่สุดก็ฆ่าฆาตกรได้
เรียบร้อยเสร็จสรรพแล้ว  ตำรวจค่อยเปิดไซเรนมาถึง

ส่วนหนังผีสยองขวัญของวัยรุ่นนั้น ก็แบบเดียวกัน เปลี่ยนจากฆาตกรเป็นปีศาจ   ดูแล้วกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเลย ไม่อยากดูจนจบ

มีหนัง thriller  เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับพลังจิต   ได้ชื่อว่าเป็นหนังคลาสสิคในกลุ่ม genre เดียวกัน คือ Carrie (1976)
เป็นเรื่องของเด็กสาวขี้ริ้ว ที่เก็บกดอย่างแรงจากในบ้าน เพราะแม่เองก็เป็นโรคจิต     เธอเป็นผู้มีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุได้    ในโรงเรียน แครี่ถูกเพื่อนสาวและหนุ่มรวมหัวกันกลั่นแกล้งในงานพร็อมไนท์   ให้นึกว่าตัวเองชนะเลิศเป็นราชินีของงาน   ที่ไหนได้กลับถูกกลั่นแกล้งในนาทีที่ภูมิใจที่สุดในชีวิต ให้กลายเป็นตัวตลกถูกคนเย้ยหยันทั้งงาน
แครี่ก็แก้แค้นทุกคนในงานเสียสาสม
 
ปกติหนังประเภท thriller จะไม่ถูกส่งเข้าประกวดชิงรางวัลออสคาร์     แต่ Sissy Spacek  เล่นได้ดีมากจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงตุ๊กตาทอง

http://www.youtube.com/watch?v=slkUEXSCNsc&feature=related


ฉากแรงสุดของเรื่อง ในตอนจบ   เอามาฝากคุณ SILA ค่ะ  อาจเคยดูมาแล้ว  ก็ย้อนความหลังอีกที

หนังสยองขวัญที่ตามมาในทศวรรษ 1980s   คือ The Poltergeist (1982)  ฝีมือกำกับของสตีเวน สปิลเบิร์ก    เรื่องนี้ประสบความสำเร็จถล่มทลาย  ได้ทั้งเงินและกล่อง คือเสนอชิงตุ๊กตาทอง 3 รางวัล  และมีตามมาอีก 2 ภาค  รวมเป็น trilogy
เรื่องนี้จับหนูน้อยมาเป็นเหยื่อของปีศาจ คุกคามผ่านเครื่องโทรทัศน์      แถมมีอาถรรพณ์นอกเรื่องคือดาราแสดงตายไปอย่างไม่น่าตายอีก ๒ คนรวมทั้งเด็กหญิงตัวนำในเรื่องด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=8hQkBLrd1rE

            The Poltergeist  สปีลเบอร์กใช้นักแสดงที่ไม่ดัง ดูเป็นชาวบ้านมากกว่าเป็นดารา
และ ใช้ special effect เป็นตัวเอกของเรื่องอย่างได้ผลเช่นเรื่องอื่นๆ ของเขา ครับ


              ถ้ารีเมค แครี่ ใหม่ในยุคนี้ ฉากแครี่เอาคืนต้องจัดหนักกว่านี้มาก และคงมีรถตำรวจ,รถดับเพลิง และ
ตึกระเบิดตูมตามมากกว่านี้ ครับ
              หนังมีนักแสดงสมทบหน้าใหม่ในยุคนั้น ที่ต่อมามีผลงานตามมาหลายคน เช่น Amy Irving, John Travolta,
William Katt และ Nancy Allen
              
              ชื่อหลังนี้ และตอนจบของแครี่ที่เป็นภาพฝันหลอกคนดูให้เข้าใจผิดว่ายังไม่ตาย ทำให้นึกถึงหนัง thriller
อีกเรื่องที่มี แนนซี่แสดงนำและมีตอนจบเป็น "ฝันหลอก"คนดูเหมือนกัน นั่นคือเรื่อง Dressed to Kill (1980)
ซึ่งกำกับโดย Brian De Palma ผู้กำกับแครี่ และแนนซี่ก็เป็นภรรยาของเขาในช่วงนั้น

           หนังเขย่าขวัญด้วยฆาตกรสังหารผู้ป่วยของจิตแพทย์ (จิตแพทย์รับบทโดยนักแสดงใหญ่มากฝีมือ Michael Caine)
แล้วออกตามล่าหญิงอาชีพพิเศษที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์นั้น (รับบทโดยแนนซี่)

           เหยื่อสังหารซึ่งเป็นหญิงสาวมัชฌิมวัยแต่เซ็กซี่ดูดี มีบทบาทในช่วงแรกไม่นานนักก่อนต้องตายไป
(คล้ายกับเจเน็ท ลี แห่ง ไซโค ของฮิทช์ค็อค) รับบทโดยนักแสดงสาวน่องทอง Angie Dickinson

           

             โฉมหน้าฆาตกรที่  "แต่งตัวไปฆ่า" ครับ

ดู Dressed to Kill ทางทรูวิชั่น  ชอบฉากที่แนนซีหนีฆาตกรในรถใต้ดิน   ระทึกเหมือนเราวิ่งตามเธอไปด้วย
สร้างอารมณ์ได้ดีในหลายๆฉาก   แต่เนื้อเรื่อง ความที่ Thriller ลอกกันมาซ้ำซาก  เลยไม่ผิดคาดตอนเฉลย   ข้อเสียของหนังแบบนี้คือเดาได้นี่แหละค่ะ

สถาบันภาพยนตร์แห่งอเมริกา American Film Institute  จัดอันดับยอดหนัง Thriller สยองขวัญสั่นประสาทตลอดกาล   100 อันดับสูงสุดของอเมริกาไว้    รวมหนังทั้งในอดีตและปัจจุบัน     การจัดอันดับทำเมื่อค.ศ. 2001
ขอยกมา 10 อันดับแรกให้คุณ SILA และท่านที่เข้ามาอ่าน ได้ดูกันค่ะ

1.    Psycho                            1960
2.    Jaws                                    1975
3.    The Exorcist                    1973
4.    North by Northwest            1959
5.    The Silence of the Lambs    1991
6.    Alien                                    1979
7.    The Birds                            1963
8.    The French Connection    1971
9.    Rosemary's Baby            1968
10.    Raiders of the Lost Ark    1981

ส่วน Poltergeist  อยู่อันดับที่ 84

ใครสนใจอยากอ่านทั้ง 100 อันดับก็ไปอ่านได้ที่นี่

http://en.wikipedia.org/wiki/AFI%27s_100_Years..._100_Thrills

           อันดับ 10.  Raiders of the Lost Ark    1981

           เทียบกับเรื่องอื่นๆ แล้ว เรื่องอื่นๆ สั่นประสาทคนดูแบบจริงจังมากกว่า ในขณะที่ อินเดียน่า โจนส์
เป็นหนังผจญภัยมันๆ และ สนุกปนตลกเหมือนการ์ตูน คนดูรู้ดีว่าพระเอกรอดตลอด จึงไม่ตื่นเต้น น่ากลัวเท่า
เรื่องอื่นๆ

             ฉากเปิดตัว "หินกลิ้ง" ที่ลุ้น มันส์ ประทับใจ

            http://www.youtube.com/watch?v=r6taK92nFcY

             อีกหนึ่งฉากประทับใจ ครับ

               เมื่ออินดี้ของเราเผชิญหน้ากับจอมดาบวาดลวดลายน่าเกรงขาม คนดูคาดว่าพระเอกของเรา
คงต้องออกแรงบู๊กันน่าดู แต่กลับผิดคาดกลายเป็น นัดเดียวจบ
               เบื้องหลังว่า ตอนแรกก็จะให้เป็นฉากต่อสู้กันสักตั้ง แต่ถึงวัน "ถ่าย" แฮริสัน ฟอร์ดเกิดป่วยจากการ "ถ่าย" ท้อง
ฉากนี้เลยออกมาง่ายๆ แต่ก็ถูกใจคนดู

              http://www.youtube.com/watch?v=anEuw8F8cpE

ก่อนหน้า Indiana Jones  มี King Solomon's Mines  หรือสมบัติพระศุลี  ซึ่งทำหนังมาหลายครั้งแล้ว  คุณ SILA คงได้ดูไม่เวอร์ชั่นใดก็เวอร์ชั่นหนึ่ง
ครั้งที่มีรสชาติเบาๆเฮฮาคล้ายอินเดียน่า โจนส์แต่ไม่มันเท่า คือเวอร์ชั่นปี 1986   ริชาร์ด แชมเบอร์เล่นรับบทอลัน ควอเตอร์เมน พรานผิวขาวผู้ยิ่งใหญ่แห่งแอฟริกา

ดูได้ในคลิปนี้ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=8SmA3P0s_XE&feature=related

            ได้ดูทั้งเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่นำแสดงโดยนักแสดงคนโปรดคือ Stewart Granger และ Deborah Kerr
กับเวอร์ชั่นหลังที่ออกเป็นแนวตลก
               ชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่าแน่นอน ครับ

คลิปรวมฉากผจญภัยและฉากพ่อแง่แม่งอนระหว่างรอนแรมไปในพงไพร

รวมถึงฉากนางเอกสะดุดล้มลงในอ้อมกอดของพระเอก ที่ยังคงสืบทอดถึงปัจจุบัน ครับ

             http://www.youtube.com/watch?v=_c7psCJGAro

ยังนึกไม่ออก ว่ามีหนังผจญภัยเรื่องไหนขึ้นถึงระดับตำนานของฮอลลีวู้ด    ก็เลยคั่นโปรแกรมด้วยรายชื่อยอดดาราอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล  ที่ American Film Institute จัดอันดับมาให้ดูกัน ในปี 1999

10 อันดับแรก    ชายและหญิง
#↓    Male Legends↓    #↓    Female Legends↓

1.    Humphrey Bogart    1.     Katharine Hepburn
2.    Cary Grant            2.    Bette Davis
3.    James Stewart            3.    Audrey Hepburn
4.    Marlon Brando            4.    Ingrid Bergman
5.    Fred Astaire            5.    Greta Garbo
6.    Henry Fonda            6.    Marilyn Monroe
7.    Clark Gable            7.    Elizabeth Taylor
8.    James Cagney            8.    Judy Garland
9.    Spencer Tracy            9.    Marlene Dietrich
10.    Charlie Chaplin            10.    Joan Crawford

ลุงเป็คของคุณ SILA อยู่อันดับ 12  เกรซ เคลลี่อยู่อันดับ 13 ของยอดดาราหญิง   เชอร์ลี่ เทมเปิ้ลอยู่อันดับ 18 เท่ากับเจมส์ ดีนของฝ่ายชาย

อ่านทั้งหมดได้ที่นี่ค่ะ

http://en.wikipedia.org/wiki/AFI%27s_100_Years...100_Stars

            จากสมบัติพระศุลี นึกถึงหนังสร้างจากบทประพันธ์ของนักเขียนท่านเดียวกัน H. Rider Haggard
นั่นคือ She - พระนางสองพันปี ครับ

              หนัง(เกรดบี) นำแสดงโดยนักแสดงสาวเซ็กซี่ Ursula Andress ร่วมด้วย
Peter Cushing รับบทเป็นท่านโปรเฟสเซอร์ และ Christopher Lee เป็นนักบวชตัวโกง ส่วนพระเอก
คือ John Richardson (นักแสดงที่มีผลงานโด่งดังร่วมกับนักแสดงสาวเซ็กซี่แห่งยุคอีกคนคือ  Raquel Welch
ในหนังเรื่อง One Million Years B.C. - พิภพทุรยุค)

           หนังตื่นเต้น ผจญภัยใน Africa เช่นกัน คราวนี้พาไปในเมืองลี้ลับที่มีเจ้าครองนครเป็นสตรี
นามว่า Ayesha ผู้มีอีกสมัญญาว่า "She-who-must-be-Obeyed"

              พระนางเป็นอมตะมีชีวิตยืนนานนับพันปีเพราะได้อาบไฟทิพย์ เมื่อพระนางเห็นพระเอกซึ่งมีใบหน้า
เหมือนกับคนรักในอดีต จึงคิดว่าเขาคือคนรักกลับชาติมาเกิด
              พระนางพาเขาไปอาบไฟทิพย์เพื่อความเป็นอมตะคู่กัน ในขณะที่ข้างนอกพวกทาสที่ถูกกดขี่
ได้ลุกฮือขึ้นก่อการขบถ

                  ผลจากการอาบไฟทิพย์เป็นอย่างไร รับชมได้จากคลิป ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=qjka34_l6QA
                

เจ้าแห่งนิยายผจญภัยอย่าง H.Rider Haggard  ยังคงมีหนังอีกเรื่องที่ฮิทกันมายาวนานไม่แพ้ สมบัติพระศุลีและนางพญาสองพันปี   คือเรื่อง The Mummy 
ยุคปลายวิคตอเรียนที่แฮกการ์ดมีชีวิตอยู่  เป็นยุคตื่นตัวของคนอังกฤษเรื่องมัมมี่ เพราะมีการขุดค้นพระศพฟาโรหฺ์กันมากมาย ที่ชาวอังกฤษเจ้าจักรวรรดินิยมบุกตะลุยเข้าไปสำรวจขุดค้น      หลังจากมีขโมยชาวพื้นเมืองนำทางไว้หลายต่อหลายศตวรรษ   พระศพที่ดังที่สุดคือสุสานตุตันคาเมน
มัมมี่ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนนำมาเขียนถึง  เป็นตัวร้ายแบบเดียวกับผีดิบและค้างคาวดูดเลือด

เอา The Mummy ยุคเก่าย้อนหลังไปค.ศ. 1959 มาให้คุณ SILA และท่านอื่นๆ ดูค่ะ
คิดว่าคงไม่ค่อยมีใครรู้จักหนังเวอร์ชั่นนี้กันนัก

http://www.youtube.com/watch?v=nzelDvRug9w

ถ้าจะเอาชุดเก่ากว่านี้ก็ย้อนหลังไปหนังขาวดำปี 1932 โน่น  นำแสดงโดยดาราสยองขวัญบอริส คาร์ลอฟที่ผูกขาดบทผีดิบแฟรงเกนสไตน์อยู่นานมาก

http://www.youtube.com/watch?v=Ms0gwzX_AFI

ก่อนจะมาถึง The Mummy แอ๊คชั่นปนตลก ปี 1999 ที่โกยเงินเพียบ   จนมี The Mummy Returns ภาค 2

http://www.youtube.com/watch?v=cLnDT6uCr_I

The Mummy Returns (2001)

http://www.youtube.com/watch?v=7mrQOB9t7lA&feature=related

               หนังตื่นเต้น ที่เกี่ยวกับอียิปต์  ทรงเสน่ห์ด้วยความลึกลับ คำสาป อำนาจมืด และอารยธรรมโบราณ
ในความทรงจำ ครับ

                         The Awakening (1980)

             ดัดแปลงจากนิยายของ Bram Stoker เรื่อง Jewell of the Seven Stars

             นำแสดงโดยนักแสดงใหญ่   Charlton Heston  ร่วมด้วย Susannah York และ
นักแสดงสาวใสหน้าใหม่ในตอนนั้น Stephanie Zimbalist ผู้รับบทเป็นลูกสาวของเฮสตัน
นักโบราณคดี เธอถูกวิญญาณของราชินีอียิปต์เข้าสิงแต่แรกเกิดในเวลาเดียวกับที่บิดาเปิดหีบฝังศพ
ราชินีที่เขาขุดค้นพบ

                เฮสตันต้องทำพิธีทำลายมัมมี่และวิญญาณร้าย

                 http://www.youtube.com/watch?v=aWr6E7euaYE

                 ก่อนหน้านั้นนับสิบปี เคยมีหนังสร้างจากนิยายเรื่องนี้เช่นกันในชื่อว่า

                         Blood From the Mummy's Tomb (1971)

                หนังเข้ามาฉายในไทยในนาม "สัตว์สาวจากโลงศพ" นำแสดงโดยนักแสดงสาวเซ็กซี่
Valerie Leon ประสบความสำเร็จอย่างดีในบ้านเราด้วยฝีมือการตลาดของคุณวันชัย อรรถเวทย์วรวุฒิ

คลิปเทรลเลอร์       http://www.youtube.com/watch?v=GinUdr1lPKI

                ตอนจบที่แสนจะตื่นเต้นจนติดตา เมื่อสองสาว หนึ่งคือ นางเอกที่เคยถูกสิง อีกหนึ่งคือ
ราชินีอียิปต์คืนชีพต่อสู้กันในขณะที่อาคารสถานที่ถล่มทลายลงมา ไม่รู้ว่าใครอยู่ ใครไป และ

              หนังจบที่เตียงในโรงพยาบาล ร่างที่นอนอยู่เป็นหนึ่งหญิงที่รอดชีวิตจากอาคารถล่ม
มีผ้าพันรอบใบหน้าและศีรษะ เปิดแต่ส่วนที่เป็นสองตา     

              หนังผจญภัยในอียิปต์ที่สนุกและตื่นเต้นมากตามมาในปี 1981 นั่นคือ  Sphinx

              สร้างจากนิยายดังของ Robin Cook

              เรื่องนี้คนดูเอาใจช่วยนางเอกสาวสวยผู้เป็นนักไอยคุปต์วิทยา เธอต้องพานพบกับ
ความตาย ความรัก ความหลอกลวง และ คำสาป เมื่อเธอเดินทางไปค้นหาสุสานฟาโรห์
พาให้ตัวพัวพันกับนักค้าวัตถุโบราณ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ลุ้นจนเหนื่อย

โปสเตอร์จึงออกมาเป็นภาพนางเอกกำลังวิ่งหนี
                

              นำแสดงโดยคู่พระนาง Lesley-Anne Down และ Frank Langella
สองนักแสดงมีชื่อแต่ไม่โด่งดังมากในยุคนั้น 

เทรลเลอร์  http://www.youtube.com/watch?v=WaN5JAofop4

เรื่องนี้นึกไม่ออกเลย    น่าจะมาถึงทางตันเสียแล้ว   ฟังคุณ SILA เล่าเรื่องหนังต่อดีกว่า

               หนังอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสร้างจากนิยายดังของ Robin Cook และมีตัวเดินเรื่อง
เป็นนางเอกให้คนดูเอาใจช่วยเช่นกัน คือ Coma (1978) ครับ

                  นำแสดงโดย  Genevieve Bujold (ราชินีพันทิวา - Anne of Thousand Days) และ
Michael Douglas สมัยที่ยังหนุ่ม

                  นางเอกเป็นแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ (surgical resident) พระเอกเป็นเพื่อนชาย
และหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ (chief surgical resident)
 

                เรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของเธอซึ่งมีสุขภาพแข็งแรงดีมาเข้ารับการรักษา
ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลแล้วกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เธอจึงสืบเคสผู้ป่วยแบบนี้ย้อนหลังไปแล้ว
พบว่ามีเคสแบบนี้หลายราย ต่างเป็นผู้ป่วยอายุน้อย มีสุขภาพดี เมื่อเข้ามารับการรักษาในห้องผ่าตัด
ห้องเดียวกันนั้นแล้วไม่ฟื้นเพราะเกิดภาวะสมองตายระหว่างการผ่าตัดและดมยาสลบ

Tom Selleck (Magnum) ร่วมแสดง รับบทเป็นหนึ่งในเหยื่อโคม่า


         

             ในที่สุดเธอก็ติดตามสืบค้นจนพบความจริงว่า
                ผู้ป่วยสมองตายแต่ละรายนั้นได้ถูกนำไปยัง Jefferson Institute

             นำชม Jefferson Institute เบื้องหน้าคือสถาบันรับดูแลผู้ป่วยโคม่า น่าเลื่อมใส
มีห้องให้ญาติมาเยี่ยมผู้ป่วยบนเตียง(ชั่วคราว) โดยที่ร่างทั้งหลายจะถูกนำไปแขวนไว้โดยใช้สายโลหะ
สอดผ่านกระดูกเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแผลกดทับ 
 
             http://www.youtube.com/watch?v=BngMxtdNIHs

                 เธอสืบหาสาเหตุการตายจนได้พบว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอน มอน็อกไซด์ (CO)
ไปยังห้องผ่าตัดห้องนั้นทำให้ผู้ป่วยขาดออกซิเจนจนสมองตาย และศัลยแพทย์ก็ไม่อาจรู้ได้เพราะ
เลือดที่ออกระหว่างการผ่าตัดจะไม่มีสีดำ

             (ปัจจุบันนี้ มีการตรวจวัดค่าเปอร์เซนต์อ็อกซิเจนอิ่มตัวในเลือดระหว่างการดมยาผ่าตัด
วิธีใช้ก๊าซ CO จึงไม่อาจนำมาใช้ลวงแพทย์ดมยาผ่าตัดได้)

            และเบื้องหลังของสถาบันเจฟเฟอร์สันก็คือ สถาบันเพื่อการประมูลอวัยวะของผู้ป่วยโคม่า
เพื่อนำไปปลูกถ่าย

                ผู้ต้องสงสัยในขบวนการนี้มีหลายรายในแผนกศัลยกรรม รวมทั้งเพื่อนชายของเธอ
                   และเมื่อเธอเลือกรายงานความจริงนี้แก่หัวหน้าแผนกศัลยกรรม เธอก็ได้พบว่า
ตัวเธอมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหลังจากดื่ม Scotch on the rocks ของหัวหน้า เธอได้รับการวินิจฉัยว่า
เป็นไส้ติ่งอักเสบ ถูกนำตัวไปรับการผ่าตัดที่ห้องนั้นโดยหัวหน้าจะลงมีดเอง......



                   ...... พระเอกเชื่อเรื่องที่นางเอกสืบค้น เมื่อเขาพบกับเธอระหว่างทางเข้าห้องผ่าตัดและเธอ
บอกเขาว่ากำลังถูกพาไปห้องผ่าตัดนั้น เขาปีนขึ้นไปปิดก๊าซ CO ได้ทัน
                   การผ่าตัดผ่านพ้นไป ไม่พบภาวะไส้ติ่งไม่อักเสบ หัวหน้าออกตัวประมาณว่า ระดับหัวหน้าก็วินิจฉัย
ไส้ติ่งอักเสบพลาดได้

หนึ่งในฉากตื่นเต้นหนีตายในห้องกายวิภาค ครับ

                     http://www.youtube.com/watch?v=50iUTR6HimI
   

จำได้ว่า Coma เป็นหนังดังมาก ในช่วงนั้น  แต่ไม่ได้ดูเพราะไม่ชอบหนังระทึกขวัญแบบนี้   รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหนัง แต่ตอนลุ้นนี่ซี หัวใจจะวายเอา
ฟังคุณ SILA เล่าต่อค่ะ 
กำลังนึกถึงนิยายเบสต์เซลเลอร์ของนักประพันธ์เจ้าตำรับเรื่องระทึกขวัญ   Stephen King   เรื่อง Salem's Lot  (1979)  เรื่องของหมู่บ้านเล็กๆในรัฐที่เรียกว่านิวอิงแลนด์ของสหรัฐอเมริกา   ที่กลายเป็นหมู่บ้านผีดิบดูดเลือด  คุณ SILA ดูหรือเปล่าคะ

http://www.youtube.com/watch?v=FuUorE6GTAc

              Salem's Lot เหมือนว่าจะได้ดู หรือ ผ่านตาทางทีวีบ้านเรา แต่จำไม่ได้แน่ชัด ครับ

                 มีหนังดังมากจากนิยายของ Stephen King อีกเรื่องหนึ่งมาเสนอแทนครับ

                 หนังเรื่องนี้ ตัวละครที่สั่นประสาทชวนหวาดผวา เป็นหญิงป่วยทางใจที่นักแสดงนำหญิง
ผู้ถ่ายทอดบทบาททำได้ดีจนคว้ารางวัลออสการ์ไปครอง
                 หนังแสดงนำกันสองคนเป็นหลักระหว่าง เหยื่อกับผู้กระทำซึ่งป่วยเข้าขั้นโรคจิตจึงกระทำการ
ได้สยองขนาดนี้

                                   Misery (1990)

              เรื่องเกิดในชนบทเหน็บหนาว แต่อาการทางจิตของเธอหนาวยิ่งกว่าหลายเท่า James Caan รับบท
เป็นคุณพอลนักเขียนดัง ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บไม่เบา

อีกเรื่องหนึ่งของสตีเฟน คิง คือ The Mist (2007)  หนังสยองขวัญที่มี "หมอก" เป็นผู้ร้าย  เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆริมทะเล ของรัฐเมน      ผลการทดลองลับของกองทัพทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมิติ จนอสูรร้ายออกจากหมอกลึกลับเข้ามาโจมตีชาวบ้าน     ฉากในเรื่องเป็นซูเปอร์มาเก็ตที่ตัวละครเข้าไปติดอยู่ด้วยกัน   ต้องเผชิญชะตากรรมน่าสยดสยอง

http://www.youtube.com/watch?v=HGp6C6NTWJA&feature=related

ชนกลางอากาศกับคุณ SILA

เคยดู Misery ทางทรูวิชั่น    Kathy Bates เล่นได้เก่งสมรางวัลค่ะ  สีหน้าแววตาเธอโรคจิตมากมาย
จากประสบการณ์ส่วนตัว  ดิฉันเห็นใจคุณพอลในเรื่องจริงๆ ที่แกคงเข็ดแฟนคลับไปจนตาย

              Misty ไม่ได้ดู แต่ได้ยินคนบ่นกันว่า จบแบบคนดู "เหวอ" มาก ครับ
..........
              พลเมืองดีเป็นอดีตพยาบาลชื่อแอนนี่ (รับบทโดย Kathy Bates ผู้ได้รางวัลออสการ์จากบทนี้)
ผ่านมาช่วยเหลือ

                 I am your number one fan. There is nothing to worry about.
You are going to be just fine. I am your number one fan.

               ถ้าเขาไม่ใช่นักเขียนคนโปรด และเธอไม่ใช่แฟนโรคจิตที่คลั่งไคล้เขา เรื่องคงไม่เป็นเช่นที่ตามมา
               เธอไม่รายงานตำรวจเรื่องอุบัติเหตุ แต่พาคุณพอลไปดูแลพยาบาลที่บ้านโดยไม่มีใครรู้เห็น
                              ฝันที่เป็นจริงของเธอ คือ ฝันร้ายของเขา

               เมื่อเธอได้อ่านต้นฉบับนิยายล่าสุดของคุณพอลแล้วพบว่าเขา(เขียน)ฆ่าตัวละครตัวโปรดของเธอ
อาการทางจิตของเธอกำเริบ

แอนนี่      She can't be dead, MISERY CHASTAIN CANNOT BE DEAD!
            How could you?

พอล        Annie, in 1871, women often died during childbirth.
            But her SPIRIT is the important thing, and Misery's spirit is still alive.

แอนนี่      I DON'T WANT HER SPIRIT! I WANT HER, AND YOU MURDERED HER!

                ต้นฉบับของเขาถูกเผาทิ้ง ยาระงับปวดถูกงด และ

ฉากที่สยองที่สุด เมื่อเธอไม่ต้องการให้เขาหนีไปจากเธอ

แอนนี่        Paul, do you know about the early days at the Kimberly Diamond Mine?
             Do you know what they did to the native workers who stole diamonds?
        .... if they caught them they had to make sure they could go on working,
but they also had to make sure they could never run away. The operation was
called hobbling.

              ... God, I love you...

ผู้ที่อ่านนิยายบอกว่า ในนิยายเธอใช้วิธีตัดเท้าเขา  ครับ

                   http://www.youtube.com/watch?v=i5OlolbLXvw

ภาพประกอบครับ

ใน Thriller อันดับ 99 มีผู้ร้ายโรคจิตอยู่ในเรื่องตามเคย   แต่คนดูก็ดูเพราะพระเอกนางเอกเล่นเข้าคู่กันดีมาก   พระเอกคือคีอานู รีฟที่ดังมาจาก Little Buddha  ส่วนนางเองแซนดรา บุลล็อคเป็นดาราเล็กๆ ในตอนนั้น มาแจ้งเกิดใน Speed

http://www.youtube.com/watch?v=1v0xqVBWQSk&feature=related

หนังตื่นเต้นที่ติดอันดับ 100 เรื่อง Thriller  เป็นหนังขาวดำย้อนยุคไปถึงปี 1933   ในรัชกาลที่ 7    เป็นเรื่องตื่นเต้นระทึกขวัญที่ไม่สยองอย่าง Misery     จุดเด่นคือทำให้ตึกเอมไพร์สเตทของนิวยอร์คเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก     
เรื่องนี้เอามาทำใหม่ด้วยเทคนิคทันสมัยกว่า แต่ก็ไม่ยักติดอันดับเท่าเรื่องเดิม

เจ้าลิงยักษ์ตัวเอกในเรื่อง ทำให้ชื่อ คิงคอง ซึ่งเป็นชื่อมัน   กลายเป็นชื่อประจำของลิงกอริลลาไปเลย

http://www.youtube.com/watch?v=CuRQH_hLcTw

king Kong ปี 2005  ก็ตื่นเต้นดีนะคะ   ลิงยักษ์สู้กับไทรัน และตัวอื่นๆอีกสารพัดชนิด   เรื่องนี้นางเอกทรหดมาก  บุกน้ำลุยไฟขนาดนั้น ซี่โครงและกระดูกทุกชิ้นยังสมบูรณ์ครบ    กล้ามเนื้อทุกส่วนไม่มีแม้แต่เคล็ดขัดยอก

http://www.youtube.com/watch?v=MnKy59Pvr24&feature=related

            ก่อนหน้าเวอร์ชั่น 2005 นี้มี King Kong (1976)

            Jessica Lange รับบทเป็น beauty of the beast ที่ได้รับคำวิจารณ์อย่างหนัก
จนเธอต้องหยุดพักแล้วไปเรียนวิชาการแสดง ก่อนที่จะกลับมาใหม่กลายเป็นนักแสดงฝีมือ
ระดับสองออสการ์

เทรลเลอร์ ครับ
   
               http://www.youtube.com/watch?v=aanYNjjoCQo

            ขอแว่บกลับไปหนังดรามา ครับ เพราะว่าได้เห็นข่าวรายการโชว์ของ Oprah Winfrey ครั้งสุดท้าย
แล้วนึกถึงความประทับใจในบทบาทการแสดงของเธอจากหนังดรามาเข้มข้นสะเทือนอารมณ์ ดูแล้วสะท้อนใจ
กับสภาพชีวิตหญิงผิวสีที่ถูกกระทำโดยผู้ชายสีเดียวกัน
               ฝีมือการกำกับของสปิลเบิร์ก ได้เข้าชิงออสการ์ 11 สาขา แต่ชวดหมด

               The Color Purple (1985)

      

              หนังเล่าเรื่องในราวต้นศตวรรษที่แล้ว ช่วงเวลาปี 1900 -1930 ที่สหรัฐอเมริกาตอนใต้

                 สิลี (Celie รับบทโดย Whoopi Goldberg) เด็กสาวผิวสีอาศัยอยู่กับพ่อ(เลี้ยง)ที่ข่มขืนเธอ
เป็นเวลายาวนานจนมีลูกสองคน  พ่อเลี้ยงจับเธอออกเรือนไปกับอัลเบิร์ท ที่เธอเรียกว่า คุณ (- Mr.)
              จากบ้านที่ถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน คราวนี้เป็นสามีที่ด่าทอทุบตีและใช้งานเธอเยี่ยงทาส สิลีจำทนก้มหน้า
รับกรรมที่เกิดมาเป็นผู้หญิงผิวสี

                 เน็ตตี้ น้องสาวของสิลีมาอยู่ด้วย และช่วยสอนสิลีเขียนอ่าน แต่ไม่นานนักก็ต้องถูกพราก
โดยคุณอัลเบิร์ทจอมโหดที่พยายามจะข่มขืนเน็ตตี้แต่ไม่สำเร็จโดนเน็ตตี้ทำร้ายจุดสำคัญ  ทั้งสองให้สัญญา
ว่าจะเขียนจดหมายถึงกัน

ฉากพรากพี่น้องสะเทือนอารมณ์

            http://www.youtube.com/watch?v=-BWN-7kRLe8&NR=1      

             ผู้หญิงสองคนผ่านเข้ามาเปลี่ยนมุมมองสิลีที่มีต่อชีวิตของผู้หญิงผิวสี

             คุณอัลเบิร์ท มีลูกชายแต่งเมียชื่อ โซเฟีย (Oprah Winfrey) สิลีประทับใจในตัวโซเฟีย
ที่ไม่ยอมตกเป็นฝ่ายถูกกดขี่จากสามีและพ่อสามี  แต่เพราะความไม่ยอมอ่อนของเธอ โซเฟียถูกลงโทษ
จำคุกเนื่องจากพูดคำหยาบกับคุณนายและชกหน้าท่านเจ้าเมือง

"Hell No!"

          http://www.youtube.com/watch?v=O6ha7TK13_0

            อีกคนหนึ่งคือ ชัก คนรักเก่าของคุณอัลเบิร์ท เธอเป็นนักร้องเพลงแจ๊ซผู้สามารถ
เมื่อเธอล้มป่วยลงสิลีคือผู้ดูแลพยาบาล ความใกล้ชิดกันทำให้สิลีรู้สึกมีใจเสน่หาในตัวชัก
ผู้เป็นดั่งแสงสว่างสาดส่องมายังโลกอันมืดมนของสิลี

               เน็ตตี้ น้องสาวสิลี หนีไปอยู่กับมิชชันรีที่แอฟริกา เธอเขียนจดหมายถึงสิลี แต่ถูกคุณอัลเบิร์ท
เก็บซ่อนไว้ ชักและสิลีค้นจนพบจดหมายเหล่านั้น เธอได้รู้ว่าน้องสาวยังมีชีวิตอยู่ ยังเขียนจดหมายติดต่อมา
ทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจที่จะหยัดยืนขืนขัดคุณอัลเบิร์ท

ฉากประทับใจ ลืมไม่ลง

          สิลีได้อ่านจดหมายเล่าเรื่องราวในแอฟริกา คุณอัลเบิร์ทสั่งให้เธอโกนหนวดเครา และชักมาทันเวลา

            http://www.youtube.com/watch?v=g-wNe68de7Y

               โซเฟียออกจากคุกด้วยสภาพแก่เกินวัย สุขภาพทรุดโทรม จิตใจบอบช้ำ
จากการถูกลงโทษในคุก
        
                 ที่โต๊ะอาหารสมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ชักบอกคุณอัลเบิร์ทว่า
เธอและสามีจะพาสิลีไปด้วย คุณอัลเบิร์ทพูดจากดสิลีให้สยบ แต่ไม่สำเร็จ เธอยืนยันประกาศอิสรภาพ
โซเฟียที่นั่งนิ่งซึมกลับมีชีวิตชีวาหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อเห็นสิลีแกร่งกล้าจนคุณอัลเบิร์ทจ๋อยเจื่อน แต่
                 เมื่อสิลีเดินจากไป คุณอัลเบิร์ทก็ตะโกนตอกย้ำใส่ว่า  

                “You’re black. You’re poor. You’re ugly. You’re a woman.
You’re nothing at all!”

           http://www.youtube.com/watch?v=-VwfRlk3e3g

(เกือบ)โดนทั้งมีดและมีดโกน

               สุดท้ายปลายอุโมงค์มืดมีแสงสว่าง สิลีได้รับมรดกจากพ่อเลี้ยง เธอเปิดร้านขายเสื้อผ้า
ในขณะที่ คุณอัลเบิร์ทกลายเป็นชายแก่ขี้เมา ดื่มเหล้าไปวันๆ จนถึงวันได้คิดถึงความโหดร้ายที่ตัวเองมีต่อสิลี
เพื่อเป็นการไถ่บาป เขานำเงินที่เก็บสะสมส่งไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้เน็ตตี้เดินทางจากแอฟริกาพร้อมลูกทั้งสอง
ของสิลีกลับมาพบพร้อมหน้ากัน

คลิปวันรวมญาติ โซเฟียและสามีพลอยดีใจ คุณอัลเบิร์ทมองดูอยู่ห่างๆ     

           http://www.youtube.com/watch?v=sSctbcBWy_Q

              สีม่วง คือสีแห่งความเจ็บปวดและเศร้า คือสีสะท้อนชีวิตขมขื่นของสิลี
ชักคือผู้ที่ช่วยเปิดตาสิลีให้มองเห็นความรื่นรมย์แห่งชีวิต เมื่อทั้งสองอยู่ในทุ่งดอกไม้สีม่วง
ชักชวนให้สิลีมองและชื่นชมความงามของดอกไม้   

               I think it pisses God off when you walk by the colour purple
in a field and don’t notice it. - Shug Avery

       http://www.youtube.com/watch?v=dnY-fntsGwU&NR=1

สิลีและน้องสาวเมื่อยังเยาว์

          Whoopi ไม่ได้ออสการ์จากบทดรามาเรื่องนี้ แต่ได้รางวัลนักแสดงสมทบในเวลาต่อมา
จากเรื่อง Ghost ที่เธอแสดงให้คนดูได้ทั้งฮาและซึ้ง

ฉากประทับใจคนดูทั้งโรง เมื่อแม่หมอเจอกับวิญญาณพระเอก

           http://www.youtube.com/watch?v=EwuH07qIAUk

               

           

ระหว่างรอคุณ SILA เล่าเรื่องดราม่าประทับใจ   ขอพูดถึงวูปี้ โกลเบิร์ก ดาราหญิงผิวสีที่ดิฉันชอบมากที่สุด    เธอช่างเล่นได้น่ารักน่าหยิกอะไรยังงั้นไม่รู้    ทั้งใน Ghost และ Sister Act
เรื่องหลังนี้เป็นเรื่องของนักร้องหญิง ที่ไปรู้เห็นการฆาตกรรมของมาเฟีย   จึงถูกนำไปเก็บซ่อนตัวที่คอนแวนต์ ในฐานะแม่ชีคนใหม่   เธอก็พลิกสถานการณ์ที่โบสถ์ประสบปัญหาหนัก จะถูกยุบ กลายมาเป็นโบสถ์ที่ผู้คนหลั่งไหลมาทุกสารทิศ  แม้แต่องค์สันตปาปา


http://www.youtube.com/watch?v=rHASQg8fR0s

ฉากสำคัญในตอนจบ  โปรดดูผู้ดูชั้นบนในฉากสุดท้าย

http://www.youtube.com/watch?v=nqp89bkFe8k&feature=related

รอฉากประทับใจในดราม่าเรื่องใหม่ จากคุณ SILA   

ดิฉันขอย้อนยุคกลับไปถึงปี 1967    มีหนังอังกฤษเรื่องหนึ่ง  ที่กล้านำเสนอคนผิวดำเป็นดารานำ     ที่ใช้คำว่า กล้า  เพราะก่อนหน้านี้บทบาทของคนผิวดำในภาพยนตร์ มักจะยืนพื้นอยู่ที่คนรับใช้ แม่บ้าน ลูกจ้างทำไร่ทำนา   ตัวประกอบตามร้านรวงถนนหนทาง    อย่างดีก็เขยิบขึ้นมาเป็นตัวรองๆ

เรื่องนี้ ชื่อ To Sir With Love  ชื่อไทยว่า แด่คุณครูด้วยดวงใจ    เป็นดราม่าของวิศวกรหนุ่มผิวดำ  รับงานเป็นครูใหม่เข้าทำงานในโรงเรียนมัธยมเหลือขอแห่งหนึ่ง ในแหล่งสลัมของลอนดอน  เต็มไปด้วยเด็กผิวขาวจอมแสบทั้งหญิงชาย      ขนาดครูผิวขาวก็ยังอ่วม แต่นี่เป็นครูผิวดำ ซ้ำร้ายหนักเข้าไปอีก เพราะการเหยียดผิวยังรุนแรงอยู่มาก  แต่หลังจากเสียสละและอดทนถึงได้เลือด    ครูหนุ่มก็ชนะใจนักเรียนอย่างขาวสะอาด  จนนักเรียนสาวในเรื่องร้องเพลง  To Sir With Love ให้ในตอนจบ    เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิทติดอันดับ 1 ของอังกฤษ

http://www.youtube.com/watch?v=7aSFoY3W3NM

http://www.youtube.com/watch?v=sczEBtOnD3k&NR=1

ดารานำ Sidney Poitier  เป็นดาราผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลออสคาร์ ในฐานะดาราชายแสดงนำใน  Lilies of the Field     หนังเรื่องนี้เป็น 1 ใน 3 เรื่องที่ส่งชื่อเสียงเขาให้ดังเป็นพลุแตก  คือ  Lilies of the Field   To Sir With Love  และ Guess Who's Coming to Dinner   เรื่องหลังสุดเอามาฉายในไทยแต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร    อาจเป็นเพราะปัญหาเหยียดผิวไม่มีในประเทศไทยก็เป็นได้

เรื่องนี้ เป็นเรื่องพ่อแม่อเมริกันไฮโซผู้ดีเก่า   ที่บ้านยังรักษาธรรมเนียมโบราณ มีแม่บ้านเป็นคนผิวดำอยู่กันมานานหลายสิบปี     พ่อแม่มีลูกสาวแสนสวยเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่เรียกว่าไอวี่ลีค    วันหนึ่งเธอก็พาคู่หมั้นหนุ่ม ที่พบกันระหว่างไปฝึกงานในแอฟริกามาให้พ่อแม่รู้จัก   เป็นนายแพทย์หนุ่มที่ แสนฉลาด แสนเก่ง  และแสนดี  เฟอร์เฝ็คทุกอย่างยกเว้นผิวดำ     ในยุคนั้นการแต่งงานระหว่างคนผิวขาวและดำ ยังต้องห้ามอยู่ในหลายรัฐของอเมริกา
เรื่องนี้มีดารานำระดับยักษ์ 2 คนคือสเปนเซอร์ เทรซี่และแคทเธอรีน เฮปเบิร์น    เนื้อเรื่องเข้มข้นสะเทือนใจ  เพราะอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ใช่แค่พ่อแม่ฝ่ายหญิงที่กล้ำกลืนฝืนทน  แต่คนผิวดำอย่างพ่อพระเอก และแม่บ้านผิวดำ  ก็รับไม่ได้กับพระเอกเข้ามาเป็นเขยในบ้านคนผิวขาว 
อคติที่คนผิวดำได้รับมากที่สุด ไม่ใช่จากใครอื่น ก็จากผิวดำด้วยกันเอง

http://www.youtube.com/watch?v=Y4uFfjZ3eHA&NR=1

http://www.youtube.com/watch?v=IC88Tc43r6A&NR=1

           ชอบชื่อไทยทั้งของ Sister Act - ชีเฉาก๊วย และ แด่คุณครูด้วยดวงใจ ครับ

             หนังเรื่องต่อไปชื่อไทยไพเราะว่า ไฟฝัน ควันรัก ครับ

             คือหนังดรามาอีกเรื่องหนึ่งของสปีลเบิร์ก มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณชายและคนรักหญิง
เหมือนกับ Ghost แต่มาแนวผู้ใหญ่สุขุมตามวัยของนักแสดงนำ หลายคนจึงอาจจะไม่ชอบเท่า
แต่สำหรับคอดรามาหนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจได้ไม่น้อยเลย     


                              Always (1989)

        หลังความตายจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดของนักบินผจญไฟป่าผู้กล้าหาญเสี่ยงตายเพื่อช่วยเพื่อนรัก
        Pete (Richard Dreyfuss) ได้พบกับ "เทวทูต" (บทบาทบนจอเรื่องสุดท้ายของ Audrey Hepburn)
มาต้อนรับวิญญาณใหม่ และได้แจ้งภารกิจสำหรับเขาในการให้ "ลมหายใจทิพย์" แก่คนอื่น เธอบอกว่า
ผู้คนสามารถรับรู้สิ่งที่เขาจะมอบให้ได้ด้วยใจราวกับเป็นเสียงจากความคิดของคนนั้นเอง

          วิญญาณของเขาซึ่งยังไม่อาจทำใจยอมรับการจากพรากที่ไม่ทันตั้งตัว ยังไม่ได้เอ่ยคำ
ที่เก็บไว้ไม่ได้กล่าว ติดตามเฝ้ามองคนรัก - Dorinda (Holly Hunter) ผู้ตรอมตรมจมอยู่ใน
ความโศกเศร้าเพราะสูญเสียเขาไป

           "เทวทูต" เตือนเขาว่า เขาตายไปแล้ว แต่ที่ได้กลับมาโลกนี้ก็เพื่อจะได้เอ่ยคำลาต่อ Dorinda
และปฏิบัติภารกิจบันดาลกำลังใจให้นักบินรุ่นน้อง - Ted               
               แต่ Ted คือ ชายคนใหม่ที่มาตกหลุมรัก Dorinda โดยที่เธอก็มีทีท่าว่าอาจจะมีใจให้

              วิญญาณวนเวียนอยู่กับความเจ็บปวด เมื่อเห็น Ted จุมพิตคนรัก

             เมื่อเห็นเธอสวมชุดงามที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด และเธอสวมชุดนี้
ลีลาศกับเขา
             แต่วันนี้เธอสวมชุดงามลีลาศไปกับเสียงเพลงโปรดของทั้งสองเพียงลำพัง
โดยไม่อาจมองเห็นว่ามีวิญญาณเขาร่วมลีลาศเคียงคู่

"I'm not ready to say good-bye."

             http://www.youtube.com/watch?v=I2pxEIKeQs0

           สุดท้ายเมื่อถึงเวลา วันนั้น Dorinda ออกปฏิบัติภารกิจเสี่ยงภัยดับไฟสำเร็จ
แต่เครื่องบินของเธอขัดข้องต้องร่อนลงทะเลสาบและจมลง
             ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตายเมื่อน้ำเข้าท่วมห้องนักบิน Dorinda ลังเล
ที่จะว่ายออกมา Pete จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและยื่นมือให้ เธอจับมือเขาแล้วพากันว่ายขึ้น
สู่ผิวน้ำเบื้องบน

            Pete ผู้เข้าใจและยอมรับกล่าวกับเธอว่า

            "..I love you, Dorinda... I should have told you that
a long time ago. Any jokes, I should have said the words, because
I know now, that
             the love we hold back is the only pain that follows us here.
          And the memory of that love shouldn't make you unhappy for
the rest of your life.
          I hope you can hear me, because I know this is true, from the
bottom of my heart, how good your life is, how good it will be"

          และ ปลดปล่อยเพื่อให้เธอหลุดพ้นห้วงอดีตแล้วก้าวเดินต่อไปในทางข้างหน้าสู่ชายคนรัก(ใหม่)

          "Here's the rest of your life, Dorinda. I want you to go to them.
I'm releasing you. I'm moving out of your heart. Go on. Go on..."

          Pete มองอดีตคนรักในอ้อมกอดของชายอื่น ก่อนที่จะเดินทางจากไปสู่ภพภูมิเบื้องบน

หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึง What Dreams May Come  ที่โรบิน วิลเลียมส์แสดงนำ    คุณ SILA ได้ดูหรือเปล่าคะ
ดิฉันต้องไปหาเนื้อเรื่องมาจากกูเกิ้ลอีกที  ลืมรายละเอียดไปแล้ว   แต่รู้สึกว่ามีอะไรคล้ายๆไฟฝัน ควันรัก

http://www.youtube.com/watch?v=teSH2mgbnJE

            ได้ดู WDMC ครับ หนังรักแฟนตาซี CG ตระการตา แต่น่าเสียดายพระเอกคือโรบิน วิลเลียมส์
ซึ่งมีภาพเป็นนักแสดงตลกทำให้ดูแล้วไม่ค่อยจะอิน ครับ

               พระเอกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตถูกรถ(ลิ่วลอยมา)ชน หลังจากที่ลูกทั้งสองได้เสียชีวิตจาก
อุบัติเหตุรถยนต์ไปก่อนหน้านั้น ทิ้งให้นางเอกเป็นหม้ายจมอยู่กับความโศกเศร้าระดับรุนแรงจนกระทำ
อัตวินิบาตกรรม
              ด้วยผลกรรมนี้ เธอจึงตกไปในภูมินรก พระเอกที่อยู่บนสวรรค์จึงต้องลงไปช่วยดึงเธอขึ้นมา

ชอบฉากสู่นรกภูมิมากครับ

                   http://www.youtube.com/watch?v=97UbIzs9L_E

ภาพจาก Dante's Inferno วาดโดย Dore

            จำได้ว่า วูปี้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรงานประกาศผลออสการ์ปีนั้น เมื่อจะพูดถึง
ชื่อหนังเรื่องนี้ เธอกล่าว(ประมาณว่า) Pardon the expression ก่อนด้วย

               คลิปเพลงนี้บางส่วนใช้ภาพจากฉากนรกใน WDMC ประกอบ ครับ

              http://www.youtube.com/watch?v=nycowoAOkA0&NR=1

ขึ้นฝั่งนรก ย่ำไปบนพื้นที่มีร่างถูกฝังโผล่ให้เห็นแต่ใบหน้า

คำว่า Sea of faces ฟังเป็นวรรณคดีมาก    ฉากนี้น่าจะเป็นฉากจินตนาการที่ประทับใจ   เสียดายว่าดวงหน้าทั้งหลายนั้นดูจะเป็นเรซิ่นมากไปหน่อย
รักระหว่างเทวดากับคน มีอีกครั้งใน City of Angels  พระเอกเป็นเทวทูตผู้มารับวิญญาณคนตาย  มีชีวิตอมตะที่ไร้อารมณ์ เพราะไร้สัมผัส    จนกระทั่งมาพบนางเอก แพทย์สาวคนสวย   เขาก็ยอมแลกสภาพอมตะของตัวเองมาเป็นมนุษย์ที่เกิดแก่เจ็บตาย เพื่อจะได้รู้จักสักครั้งว่าความรักที่สัมผัสได้เป็นยังไง      แล้วก็สมหวังจริงๆ กับนางเอก   ก่อนจะพบว่าโลกมนุษย์มีอีกอย่างที่โลกเทวดาไม่มี คือความตาย
คำถามก็คือ มีความสุขเพียงช่วงสั้นๆสักช่วงหนึ่งแล้วจบสิ้น     กับไม่เคยรู้จักความสุขแต่อยู่ชั่วนิรันดร  อย่างไหนดีกว่ากัน
ถ้าถามลอร์ดเทนนีสัน ก็คงได้คำตอบเป็นบทกลอนอมตะว่า
Better to have loved and lost, than never to have loved at all
แปลว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น

http://www.youtube.com/watch?v=naQjovlM3po&feature=related

             City of Angels สร้างจากแนวคิดเทวดาอยากเป็นมนุษย์ของหนังเยอรมันเรื่อง
Wings of Desire (1987) ทำออกมาเป็นอเมริกันโรแมนติค เร้าอารมณ์ชวนชม

                ในขณะที่ของเดิมจะออกแนวเนิบนาบไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพฤติกรรมของเทวดา
ผู้เฝ้ามองความเป็นไปของโลกและมนุษย์มานานแสนนาน รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน คนแล้วคนเล่า

ฉากต้นเรื่องเปิดตัวเทวดา

           http://www.youtube.com/watch?v=eSzkhhrZH6Y

        ไม่มีพล็อตให้คาดคะเน แต่มีสัญญลักษณ์หลายอย่าง และมีความลุ่มลึกด้วยข้อ(ชวน)คิด

หนึ่งในฉากถูกใจบางคน ครับ เทวดามาดูแลคนเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร ช่วยชักนำความรู้สึก
นึกคิดบรรเทาความเจ็บปวด

        http://www.youtube.com/watch?v=tYEHl_fV3x0

ผู้ใหญ่มองไม่เห็นแต่เด็กเห็นเทวดา

ถ้าเป็นหนังยุโรป จะมีอะไรนิ่งๆ ลึกๆ ซึ้งๆกว่าของฮอลลีวู้ด   แต่ถ้าสีสันละก็  หนังฮอลลีวู้ดสดใสสะดุดตากว่า
 
เมื่อมีเทวดา ก็ต้องมีพญามาร   หนังเกี่ยวกับเทวดาและซาตานทำกันมาหลายเรื่อง หลายแนว      ตอนนี้ขอหักมุมไปสู่แนวบันเทิงเบาสมอง   พญามารมาในรูปของสาวเซกซี่   เอาวิญญาณพระเอกไปนรก  แลกกับพร 7 ประการ ที่พระเอกจะอธิษฐานได้ตามใจชอบ

แบรนเดน เฟรเซอร์เล่นเป็นพระเอกอาภัพ  เกิดมาไม่เคยสมหวัง      เอลิซาเบธ เฮอร์ลี่เป็นพญามาร   เรื่องนี้มีพระเจ้าโผล่เข้ามาร่วมเป็นตัวละครด้วย  แต่เป็นตัวอะไรต้องหาดีวีดีมาดูกันเอง

ฉากที่เอามาให้ดูกัน เป็นฉากหนึ่งในพร 7 อย่างที่พระเอกร้องขอ   ให้ตัวเองเป็นหนุ่มอารมณ์อ่อนไหวโรแมนติค จะได้เป็นที่ถูกใจสาวที่เขาหมายปอง

http://www.youtube.com/watch?v=u5WUUZbT2Sk

         มีหนังแนวมัจจุราชขึ้นมาฮอลิเดย์บนโลกมนุษย์ซึ่งทำออกมาได้ดูดี น่าดู
คือเรื่องนี้ ครับ

                  Meet Joe Black (1998)

สร้างจากเค้าโครงหนังปี 1934 เรื่อง  Death Takes a Holiday

             หนังรักโรแมนติก ดรามา เปิดเรื่องด้วย บิล (Anthony Hopkins)มหาเศรษฐีพันล้านตื่นขึ้นกลางดึก
ด้วยอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ และได้ยินเสียงจากข้างในตัวเอง เตือนให้บิลรู้ตัวว่าอายุขัยของเขาใกล้จะหมดเวลาแล้ว
               เขารู้ว่า ซูซาน (Claire Forlani) ลูกสาวคนเล็กไม่ได้รักคู่หมั้นจึงบอกเธอว่า

                         Stay open. Lightning could strike.

             และวันนั้น ซูซาน ก็ได้พบชายที่ต้องตาต้องใจในร้านกาแฟ(Brad Pitt) ทั้งสองมีใจตรงกัน
จึงต่างแยกย้ายจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์ ขณะที่กำลังเดินข้ามถนนเขาหยุดเหลียวกลับมามองแต่
เธอลับหายไปแล้ว และเมื่อเขาก้าวเดินต่อไปโดยไม่ระวัง ชายหนุ่มก็ถูกรถที่แล่นมาอย่างเร็วชนจนถึงแก่ความตาย

ฉากนี้ติดตามาก ครับ

                   http://www.youtube.com/watch?v=VDdN_b6TjYo
     

            ยมทูตเข้าสวมร่างชายหนุ่ม และมาพบบิลแจ้งว่าจะมารับตัวเขาซึ่งหมดอายุขัย

              บิลเรียกเขาว่า โจ แบล็ค และทำการต่อรองกับท่านทูตเรื่องการตายของตัวเอง
แบบนักธุรกิจ(พันล้าน)   

           เมื่อโจพบกับซูซาน เขามีท่าทีของคนแปลกหน้าไม่เคยพบกันมาก่อน สร้างความผิดหวัง
ให้กับซูซานอย่างยิ่ง                     
             แต่แล้ว ยมทูตก็ไม่อาจอยู่เหนือแรงปรารถนาแบบมนุษย์ไปได้ ในที่สุดท่านทูตก็ตกหลุมรัก
ซูซานและตัดสินใจที่จะนำตัวเธอไปด้วย

            บิลพยายามจะเปลี่ยนใจยมทูตไม่ให้พาตัวซูซานไปด้วยการชี้ให้ท่านทูตเห็นว่า
ซูซานรักผู้ชายที่ยมทูตมาอาศัยร่างอยู่(ต่างหาก) และสองสิ่งสำคัญสำหรับความรักนั้น คือ
ความซื่อสัตย์ และ การเสียสละ
             หลังจากที่โจช่วยบิลเรื่องการเมืองในบริษัทของเขาแล้ว คืนสุดท้ายซึ่งเป็นคืนงานวันเกิดบิล
โจมาอำลาซูซานและเดินจากไปพร้อมกับบิดาของเธอ   

             จำได้ว่าหนังดูเพลินๆ ไปเรื่อยๆ และจบแบบไม่ค่อยมีอะไรให้ติดค้างในใจ
ให้คิดต่อตอนออกจากโรง ครับ

          MEET JOE BLACK

SOONER OR LATER EVERYONE DOES

               

จำได้ว่าแบรด พิตต์ในเรื่องนี้  เปลี่ยนลุคเป็นหนุ่มหน้าหวานราวเทพบุตร   ยิ่งกว่ามัจจุราช   แทบจะสวยกว่านางเอกเสียด้วยซ้ำ

Death Takes A Holiday  ถ่ายทำ 2  ครั้งในค.ศ. 1934  และ 1971   ไปค้นยูทูป ใครเล่นบ้าง ไม่รู้จักหน้าสักคน แต่ดาราสาวๆในยุคขาวดำมีหลายคนที่สวยมากๆ ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=f4r7t4aBUgE

ระหว่างที่ไปค้นหาเทวดาและพญามารในหนังฮอลลีวู้ด มาให้คุณ SILA ดู  ว่ามีในเรื่องอะไรบ้าง   ก็ไปเจอเรื่องThe Devil’s Advocate  น่าสนใจมาก เพราะมีดาราระดับพญายักษ์อย่างอัล ปาชิโน เล่นเป็นพญามาร คู่กับเคียนู ริฟส์ พระเอกขวัญใจสาวๆ
เรื่องนี้พญามารมาปรากฏตัวในนิวยอร์คในฐานะนักธุรกิจใหญ่เจ้าของสำนักงานทนายความ พร้อมจะทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อเอาตัวทนายหนุ่มอนาคตดีอย่างเคียนูไปร่วมงานด้วย     เจ้าหนุ่มก็ตกลง  แม้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรแลกเปลี่ยนไปมากก็ตาม

พญามารหรือ The Devil ในเรื่องนี้ เขียนตามแนว Paradise Lost ของ Milton  ที่อหังการ์กับพระเจ้า    ด้วยประโยคอมตะในวรรณคดีเรื่องนี้ว่า
It's better to rule in Hell, than to serve in Heaven.

ฉากประทับใจ พญามารอัล ปาชิโน ร่ายยาวให้เคียนูฟัง

http://www.youtube.com/watch?v=RGR4SFOimlk

หาหนังเรื่องThe Devil’s Advocate นี้ไม่ได้เลยทั้งในร้านเช่า ร้านขายดีวีดี ของพิษณุโลก  น่าสนใจมาก

คุณวัฒนชัยคงจะต้องลงมาหาในกรุงเทพ หรือไม่ก็สั่งซื้อทางอเมซอน

              ขอนำเสนอ ผู้มาเยือน ในอีกรูปหนึ่งซึ่งไม่ใช่ยมทูตหรือเทวทูต แต่เป็น เทหทูต ครับ

(เทห์ฟากฟ้า  (ดารา) น. เทหวัตถุในท้องฟ้าหรือในอวกาศ เช่น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ อุกกาบาต, บางทีใช้ เทห์ฟ้า)

               เป็นหนังของ John Carpenter เจ้าพ่อหนังผวาฮัลโลวีน
แต่เรื่องนี้แหวกแนวของ"คุณช่างไม้" เป็นหนังรัก ไซไฟ ทำออกมาได้สนุกชวนติดตามและประทับใจ
                  
                                 Starman 1984

              ยานอวกาศจากต่างดาวถูกยิงตกลงในชนบทของสหรัฐ

             ผู้มาเยือนจากนอกโลกรอดตายอยู่ในรูปของแสงสีน้ำเงินและได้เข้าไปในบ้านของเจนนี่
(Karen Allen จาก Raiders Of The Lost Ark) - หญิงสาวผู้ยังคงจมอยู่กับความเศร้าโศก
จากความตายของสามี - สก็อต (Jeff Bridges)

            แสงสีน้ำเงินทรงพลังนี้ได้ "โคลน" ร่างสก็อตขึ้นมาจากปอยผมของเขา
ที่เก็บไว้ในอัลบั้มภาพถ่าย สร้างความตระหนกตกใจให้กับเจนนี่สุดขีด เมื่อได้เห็นขบวนการเติบโต
กลายร่างจากเด็กทารกมาเป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าของสามีเธอ

             Jeff Bridges แสดงฝีมือในบทสิ่งมีชีวิตต่างดาวบนโลกมนุษย์ที่ไม่คุ้นเคย
ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยสีหน้า ท่าทาง กิริยาอาการเคลื่อนศีรษะคล้ายนก ย่างก้าวที่ไม่มั่น
การพูด จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 

             "ผู้มาเยือนในร่างสก็อต" มีตัวช่วยเป็นลูกกลมสีเงินเจ็ดลูก เขาใช้ลูกแรกส่งข่าวไป
ยังพรรคพวกว่าโลกนั้ไม่เป็นมิตรและนัดหมายวันเวลาพิกัดให้มารับตัว      
              หลังจากหายตกใจ เจนนี่พยายามหนีแต่ไม่พ้น ในที่สุดจึงจำร่วมเดินทางด้วยรถยนต์
(แบบหนังแนว road movie) พา "สก็อต" ไปจุดหมายภายในสามวัน ไม่เช่นนั้นเขาจะตาย
              ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ปลอดภัย รูปร่างหน้าตาก็คือสามีที่รัก เจนนี่ค่อยๆ คลายความหวาดกลัว
และไว้ใจเขาแต่ยังไม่หมดใจ

             ระหว่างทางเธอสอนภาษา สอนการขับรถ และให้เขาลองขับดู แล้วเจนนี่ก็ต้องหวีดผวา
เมื่อเขาเหยียบคันเร่งพารถลิ่วแล่นฝ่าสี่แยกไฟแดงเฉียดฉิวจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ
                เจนนี่ต่อว่าเขา ๆ ตอบอย่างหน้าซื่อๆ ไม่รู้ตัวว่า เขาเลียนการขับรถของเจนนี่ที่เมื่อถึง
สี่แยกเห็นไฟเหลืองแล้วเจนนี่ก็เหยียบคันเร่งผ่าน
 
                เจนนี่วางแผนจะหลบหนีทิ้งให้เขาไปที่หมายเอง แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจเมื่อได้เห็นเขา
ใช้พลังชุบชีวิตกวางที่ถูกล่าให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

             http://www.youtube.com/watch?v=I-eAxVs7LCU

           ขณะเดียวกันกองทัพก็ได้สืบหาและไล่ล่าทั้งสอง จนเกิดอุบัติเหตุทำให้เจนนี่บาดเจ็บ
แต่ได้พลังจากลูกสีเงินช่วยรักษา
             ด้วยความใกล้ชิด ฝ่าภัยมาด้วยกัน ผ่านการพิสูจน์ความดี ในที่สุดจึงเกิดเป็นความรัก
เจนนี่มอบกายและใจให้เขา

เทหทูตเรียนรู้เรื่องรักจากหนังเรื่อง From Here to Eternity ทางโทรทัศน์

             เมื่อถึงจุดหมาย  เจนนี่สารภาพรักเขาและขอให้พาเธอไปด้วย แต่เขาปฏิเสธ
ด้วยว่ามนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนดาวของเขาได้

            ในที่สุดเมื่อยานอวกาศมารับ ก่อนจากกันเขามอบลูกเงินลูกสุดท้ายให้เจนนี่เพื่อมอบต่อ
ให้กับลูกชายที่จะเกิด

               เจนนี่มองเขาเดินจากไปอย่างไม่มีวันจะได้พบกันอีก

          http://www.youtube.com/watch?v=g2crKopvusI

           หนังเปิดทิ้งท้ายให้สร้างภาคต่อตามมาเป็นทีวี ซีรี่ส์
 
            เวลาผ่านไป 15 ปี พ่อจากต่างดาวกลับมาเยือนโลกอีกครั้งในร่างของช่างภาพ
นักเขียนที่เสียชีวิต เพื่อพบกับลูกชายที่เติบโตเป็นวัยรุ่น 

เคยดู Starman ภาค 1  แต่ไม่เคยดูภาค 2   คุณ SILA ทิ้งค้างไว้แค่นี้ เลยไม่รู้ว่าพ่อพบลูกแล้วจบลงยังไงคะ
พูดถึงเทหทูต  ก็พากันมาเดินว่อนอยู่ในหนังฮอลลีวู้ดในช่วง 1980-2000   มาโดยตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง   เป็นหนังตื่นเต้นผจญภัยบ้าง เป็นหนังตลกบ้าง 
เรื่องหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวแหวกแนวไปกว่าเรื่องอื่นๆ  คือเทหทูตมาในรูปของสาวเซกซี่   จนได้แต่งงานกับพ่อม่ายหนุ่มใหญ่
คือเรื่อง My Stepmother Is An Alien (1988) คิม เบซิงเจอร์รับบทเป็นซีเลสต์ สาวต่างดาว

http://www.youtube.com/watch?v=BYytzFb6how&feature=related

             Starman TV series นี้ไม่ได้ดูครับ ในเว็บเล่าว่า

              พ่อกลับมาโลกตามที่ลูกส่งสารเรียกไป สองพ่อลูกค่อยๆ สร้างสานสัมพันธ์ระหว่าง
การออกตามหาแม่ที่หายไป ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยหลบเลี่ยงหน่วยสืบสวนรัฐบาล
หนังจึงออกมาเป็นแนวซีรี่ส์การเดินทางไปโน่น มานี่ ใช้พลังพิเศษช่วยคนนั้น คนนี้ และ คอยหลบหนี
เจ้าหน้าที่ฝ่ายยูเอ็ฟโอ คล้ายกับเรื่อง The Fugitive หรือ The Incredible Hulk
            ในช่วงปลายซีซั่น สองพ่อลูกได้พบกับแม่และมีการปูทางเพื่อซีซั่นต่อไป แต่ไม่ได้สร้าง  ครับ

             เทหทูต ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง(ที่สุด)ยาวนานเกินกึ่งศตวรรษ
             เขาเป็นเด็กกำพร้ากำเนิดที่ดาว  Krypton แล้วมาปรากฏกายบนโลกมนุษย์เมื่อปี 1938
ในหนังสือ Action Comics
             ครั้นเมื่อไปปรากฏกายบนจอเงินในรูปร่างของ Christopher Reeve ก็ยิ่งได้รับความนิยม
ชื่นชมไปทั่วหล้าว่าช่างเหมาะสมเป็นที่สุด ทั้งในรูปลักษณ์คนธรรมดาๆ และ ซูเปอร์แมน

                หนัง Superman: The Movie (1978) และ Superman II (1981)
ประสบความสำเร็จอย่างดีทั้งคำวิจารณ์และรายได้ ก่อนที่จะเสื่อมความนิยมในภาคต่อมา

YOU'LL BELIEVE A MAN CAN FLY

           ทารกซูเปอร์แมนถือกำเนิด ณ ดาวคริปตันที่ใกล้จะถึงกาลแตกสลาย
นักวิทยาศาสตร์ Jor-El (รับบทโดย Marlon Brando) จึงจัดการส่งลูกน้อยมายังโลกมนุษย์
ที่มีบรรยากาศใกล้เคียงกับคริปตัน

            ยานอวกาศใช้เวลาเดินทางเป็นปีๆ เมื่อมาถึงโลกทารกเติบโตเป็นเด็กน้อย
สำแดงพลังยกรถของ(ว่าที่)พ่อแม่บุญธรรมที่ประสบอุบัติเหตุ

          หนูน้อยได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่บุญธรรม จนเติบโตเป็นหนุ่มนาม Clark Kent
เขาพบแท่งผลึกสีเขียวที่อยู่ในยานจากดาวเกิด แท่งผลึกนี้นำคลาร์กไปสู่ขั้วโลกและได้สร้างอาคาร
ที่มีโครงลักษณะเหมือนดาวคริปตันจากน้ำแข็งขั้วโลก ภายในโครงสร้างนั้น คลาร์กได้พบกับ
ภาพของบิดาที่แท้จริงเล่าถึงกำเนิดของคลาร์กและสอนเขาเรื่อง พลังอำนาจกับความรับผิดชอบ

          http://www.youtube.com/watch?v=7ujuOikKgAE

The Fortress of Solitude

             เมื่อคลาร์กกลับมาสังคมเมือง เขาเข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าว และตกหลุมรัก
เพื่อนร่วมงาน Lois Lane ที่เห็นเขาเป็นแค่ผู้ชายเฉิ่ม ๆ

       ต่อมา คลาร์กในร่างซูเปอร์แมนได้ช่วยชีวิตคนรักจากอุบัติเหตุทางอากาศ ได้ออกข่าว
จนกลายเป็นฮีโร่คนดัง
         หลังจากเหตุการณ์นั้น ซูเปอร์แมนมาพบโลอิส และพาคนรักโบยบินไปในฟากฟ้าเหนือ
มหานครนิวยอร์กยามราตรี

ฉากตื่นตา ประทับใจ ประกอบเพลงเลิฟ ธีม Can You Read My Mind เสียงร้องโดย
Maureen McGovern เจ้าแม่เพลงเลิฟ ธีม (ที่มีผลงานเด่นดัง ได้แก่
           The Morning After - THe Poseidon Adventure

         We May Never Love Like This Again - The Towering Imferno)

         http://www.youtube.com/watch?v=hMlMivADiSI

และอีกหนึ่งฉากประทับใจ

              เมื่อซูเปอร์แมนปฏิบัติภารกิจพิทักษ์มวลชนจากธรณีพิบัติซึ่งเป็นผลงานของตัวร้าย
แต่ไม่ทันช่วยชีวิตหญิงคนรักไว้ได้
              โดยไม่ฟังคำเตือนของบิดาว่าอย่าเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก ซูเปอร์แมนบินทวนหมุนโลก
ย้อนเวลากลับคืนเพื่อฟื้นชีวิตคนรัก

        http://www.youtube.com/watch?v=JpBfR7GT5zE

คลิปหมุนโลกย้อนเวลา

         http://www.youtube.com/watch?v=CCsHTNP2MaU
         

           แต่ในความเป็นจริง ทุกสิ่ง(คง, ยัง)ไม่อาจย้อนกาล และบางครั้งบางชีวิตก็แสนจะเปราะบาง
             ในปี 1995 คริส รีฟ ประสบอุบัติเหตุตกม้า กระดูกสันหลังช่วงคอชิ้นที่ 1-2 (C1-C2 vertebrae) หัก
ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (spinal cord injury) ทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมา(quadriplegia)
           เมื่อเขารู้ตัวและรับรู้ถึงภาวะบาดเจ็บอย่างหนัก เขาบอกกับภรรยาว่า
                      "maybe we should just let me go."  
           คำตอบจากเธอที่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะอยู่ต่อคือ
                      "But you're still you and I love you."
          
           จากคนที่ active เขาต้อง "อยู่ต่อ" อย่างแน่นิ่ง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทั้งยังต้องเสี่ยงกับ
ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะตามมา ได้แก่ แผลกดทับ การติดเชื้อและภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด

             ในที่สุด คริสล้มป่วยด้วยภาวะแผลกดทับติดเชื้อรุนแรงจนถึงชีวิต ในปี 2004

ภาพประทับใจ ไม่ใช่จากหนังแต่เป็นเหตุการณ์จริง

          Christopher Reeve - Superman ปรากฏตัวบนเวทีออสการ์ในปี 1996
ได้รับการต้อนรับยกย่องจากทุกคนด้วยการยืนปรบมืออย่างกึกก้องยาวนาน
   
        http://www.youtube.com/watch?v=ffSy3-PJ5QI

March 25, 1996:

         Christopher Reeve introduced on stage a film segment "Hollywood tackles the issues" promoting films like Platoon, at the 68th Oscar ceremony.
         He received a standing ovation from the audience.
         "When I was a kid, my friends and I went to the movies
just for fun," Reeve said. "But then we saw Kubrick's Dr. Strangelove --
started us thinking about the madness of nuclear destruction.
          Stanley Kramer's The Defiant Ones taught us about race relations.
And we began to realize that films could deal with social issues."

จาก chrisreevehomepage

น่าเสียดายดาราที่มีคุณค่า ทั้งในอาชีพและความคิด ต้องร่วงลับดับแสงไปอีกดวงหนึ่ง ก่อนวัยอันควร

Superman เป็นเรื่องที่น่าคุยได้อีกนาน   ขอเวลาไปทำงานนอกเน็ตให้เสร็จก่อนแล้วจะกลับมาเล่าให้คุณ SILA ฟังถึงความประทับใจในฉากแรกที่เห็น Superman ชุดแรก

           ระหว่างรออาจารย์กลับมาเล่าเรื่องประทับใจ คั่นรายการด้วยเรื่องราว
ของคริส รีฟ ซูเปอร์แมน ตัดย่อจากวิกกี้ ครับ

                 Christopher D'Olier Reeve (September 25, 1952 – October 10, 2004)

            เมื่อตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาหลังการบาดเจ็บและพูดถึงความตายเป็นทางเลือกนั้น
ภรรยา Dana ตอบเขาว่า

             "I am only going to say this once: I will support whatever
you want to do, because this is your life, and your decision.
            But I want you to know that I'll be with you for the long haul,
no matter what. You're still you. And I love you."

            ระหว่างที่เขาลุ้นระทึกอยู่ในไอซียูก่อนการผ่าตัดยึดกระดูก แพทย์ในชุดเสื้อคลุมผ่าตัด
เและแว่นสีเหลือง สวมหมวกสีฟ้า เข้ามาหาเขาและพูดกับเขาด้วยสำเนียงรัสเซีย แนะนำตัวเองว่า
เป็นศัลยแพทย์ทวารหนัก จะมาตรวจทวารเขา
             
              แท้ที่จริงแล้ว แพทย์เทียมคนนี้คือ นักแสดงตลกชื่อดัง Robin Williams มา"เล่น"
บทของเขาจากหนังเรื่อง Nine Months กับเพื่อนรัก
 รีฟบันทึกไว้ว่า

              "For the first time since the accident, I laughed.
My old friend had helped me know that somehow I was going to be okay."

            Robin Williams and the legendary Christopher Reeve were roommates
in the '70s while attending Juilliard. In fact, in Reeve's autobiography, 'Still Me,'
he wrote about how Williams used to visit him after his horse riding accident
pretending to be a Russian proctologist. This was the first time he had laughed
since the accident that left him paralyzed.

nydailynews

           หลังการผ่าตัดแล้ว ขั้นตอนตามมาคือขบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟู - กายภาพบำบัด
อันยาวนานต่อเนื่อง ที่รวมถึงการบริหารกล้ามเนื้อ และการหายใจเองโดยต้องไม่ใช้เครื่อง
            
           ในปี 2003 เขาได้เดินทางไปดูงานค้นคว้าเรื่องการใช้ สเต็ม เซลล์ในการรักษาภาวะไขสันหลัง
บาดเจ็บที่อิสราเอล ที่ซึ่งมีความก้าวหน้าระดับแถวหน้าของโลกและเป็นความหวังสำหรับเขา

           คริสได้รับเลือกเป็นประธาน American Paralysis Association และรองประธาน National
Organization on Disability เขาก่อตั้งมูลนิธิ Christopher Reeve Foundation และร่วมก่อตั้ง
Reeve-Irvine Research Center เพื่อผู้ป่วยไขสันหลังบาดเจ็บ

           ด้วยความเชื่อว่า เส้นประสาทสามารถเจริญงอกงามใหม่ได้ เขาจึงออกกำลังด้วยเครื่องมือพิเศษ
เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสำหรับการรักษาด้วยวิทยาการใหม่ในวันข้างหน้า
           ในปี 2000 เขาเริ่มมีกำลังพอจะขยับเขยื้อนได้บ้างและร่างกายรับรู้อุณหภูมิ

           แต่ ในวันที่ 10 ต.ค. 2004 คริสจากไปด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ
เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในกระแสเลือดเนื่องจากแผลกดทับติดเชื้อ

Reeve Is 'Superman' For Real

แวะเข้ามาต่อเรื่องซูเปอร์แมน 
ก่อนหน้าเป็นหนังใหญ่  ซูเปอร์แมนเป็นหนังเล็กในจอแก้ว แต่ยอดนิยม มาก่อน   ดาราที่รับบทเทหทูตฮีโร่ของเราคนแรกชื่อKirk Alyn เล่นหนังชุด Superman 15 ตอนจบ ในปี 1948 แล้วมาเป็นหนังชุดทางทีวีอีกครั้งในปี 1951

ไม่มีอะไรให้เล่าได้มากนัก เพราะเขาเล่นบทนี้อยู่ไม่นาน    แล้วปฏิเสธไม่เล่นอีกต่อไป นัยว่ามีปัญหาเรื่องขอเพิ่มค่าตัวกับผู้สร้าง 
ว่ากันว่าหน้าตาของอลีนถอดแบบมาจากซูเปอร์แมนในหนังสือการ์ตูน คล้ายคลึงกันมากแม้แต่ทรงผม มีปอยผมหยิกห้อยลงบนหน้าผาก   แต่ผู้ชายสมัยหลังสงครามคงกินอาหารกันเก่ง   หุ่นเลยตุ้ยนุ้ยไปหน่อยเวลาสวมชุดผ้ายืดแนบเนื้อ   

ข้อบกพร่องของซูเปอร์แมนคนนี้คือไม่ได้เหาะให้คนดูเห็น  ทั้งๆผู้ดูหวังอย่างยิ่งกว่าจะเห็นฮีโร่ในฉากบินได้  แต่เทคนิคสมัยนั้นไม่ดี   เคยมีการถ่ายทำซูเปอร์แมนเหาะโดยใช้ลวดช่วยดึง   แต่ลวดเจ้ากรรมเกิดถูกถ่ายติดในกล้อง ลบไม่ได้   เลยต้องยกเลิกฉากนี้ไป เปลี่ยนเป็นการ์ตูนแทรกบ้าง  และให้ซูเปอร์แมนกระโดดแทนเหาะ
เอาคลิปมาให้ดูกันค่ะ ว่าสมัยนั้นเขาแสดงกันแบบไหน

http://www.youtube.com/watch?v=9-kuiUxlSAk&feature=related

ซูเปอร์แมนคนต่อมา ที่ทำให้หนังทีวีชุดนี้ดังระเบิดไปทั่วสหรัฐอเมริกา   คือจอร์ช รีฟส์  นามสกุลเดียวกับคริส ในหนังทีวีชุด Adventures of Superman ค.ศ. 1951   ในตอนแรกจอร์ชก็ไม่ค่อยจะเต็มใจเล่น เพราะหนังทีวีสมัยนั้นถูกมองว่ากระจอกงอกง่อย  ดาราที่มาเล่นก็ถูกจัดระดับให้ต่ำว่าดาราหนังจอใหญ่โดยอัตโนมัติ
แต่ผิดคาด   ซูเปอร์แมนกลายเป็นหนังทีวีดังถล่มทลาย ส่งชื่อเสียงดาราที่นึกว่าดับแสงแล้วอย่างเขาให้กลายเป็นดาราใหญ่ คนรู้จักกันทั่วประเทศ   หนังทีวีชุดนี้มีอายุยืนยาวตั้งแต่ปี 1952-1958  เด็กๆที่โตมาในยุคเบบี้บูมเมอร์ คือยุคหลังสงคราม ต่างรู้จักซูเปอร์ฮีโร่คนนี้เป็นอย่างดี     จนบางครั้งจอร์ช รีฟส์ก็เจอเรื่องอย่างไม่น่าจะเจอ   เช่นเด็กชายคนหนึ่งขโมยปืนพ่อ มาพบดาราคนโปรดเพื่อจะลองยิงดูว่าซูเปอร์แมนคงกระพันหนังเหนียว ยิงไม่เข้าอย่างในหนังจริงหรือเปล่า   เคราะห์ดีจอร์ชหัวไว  เกลี้ยกล่อมเด็กให้เปลี่ยนความคิดได้ทันโดยบอกว่า กระสุนที่ยิงเขาไม่เข้าอาจสะท้อนกลับไปถูกคนอื่นบาดเจ็บได้

มาดูหน้าตาซูเปอร์แมนคงดังกันก่อน

น่าเสียดายว่า หนังทีวีชุดนี้จบลงไม่นาน    จอร์ช รีฟส์ในวัย 40 ปีก็จบชีวิตลงด้วยกระสุนปริศนาในห้องนอน     คดีปิดลงว่าเขายิงตัวตาย   แต่ก็ยังเหลือปริศนามืดมนให้กระหึ่มไปทั่วอเมริกาว่า ซูเปอร์แมนฆ่าตัวตายหรือว่าถูกฆาตกรรม   เพราะเป็นที่รู้กันว่าจอร์ชมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับภรรยาของผู้บริหารของ MGM   และกำลังจะแต่งงานกับสาวคนใหม่

ฉากในหนังทีวี ที่ทำให้จอร์ชเป็นดาวโรจน์แสงที่สุดคนหนึ่งในยุค 1950s

http://www.youtube.com/watch?v=50OmcnKdq6E

ส่วนเว็บนี้พูดถึงจุดจบของซูเปอร์แมน
http://www.tvparty.com/super.html

            ย้อนดูซูเปอร์แมน ซีรี่ส์ อย่างอมยิ้ม ครับ ดูเหมือนจะเคยผ่านตาลุง George Reeves
แต่ที่ได้ดูต่อเนื่องตอนโตคือ Dean Cain ในซีรี่ส์ Lois & Clark: The New Adventures
of Superman                   

            ดูภาพซูเปอร์แมนยุคต่างๆ จาก http://superman.wikia.com/wiki/Superman แล้ว
ตัดสินได้ไม่ยากเลยว่า คริส รีฟ เป็นซูเปอร์แมนที่สมบูรณ์แบบที่สุด  รองอันดับหนึ่งน่าจะเป็น
Brandon Routh ใน Superman Returns ครับ

Dean Cain & Brandon Routh

เทหทูตที่มาเป็นซูเปอร์ฮีโร่  ไม่ได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้น   คุณ SILA จำเทหทูตสาว ญาติของซูเปอร์แมน ได้หรือเปล่าคะ
Supergirl แห่งปี 1984

           Supergirl ดูเหมือนจะได้ดู เพราะน่าสนใจที่มี Faye Dunaway
เป็นนางร้าย แต่จำอะไรไม่ได้ ครับ  

           ส่วนซีรี่ส์ Superboy (ซูเปอร์แมนวัยหนุ่มน้อย) นี้ ไม่เคยดูเลย ครับ

เฟย์ ดันนาเวย์เล่นเป็นเซลีนา แม่มดร้ายคู่ปรปักษ์ของซูเปอร์เกิร์ล    ในเมื่อเรื่องนี้ผู้หญิงเป็นพระเอก ผู้ร้ายก็เลยเป็นหญิงไปด้วย
ส่วนพระเอกในเรื่อง คือภารโรงประจำโรงเรียนสตรีล้วนที่นางเอกปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียน  มีบทเป็นตัวประกอบ  ซ้ำยังถูกแม่มดฉุดไปเสียอีก

เบื้องหลังหนัง บอกว่าตอนแรก มีการทาบทามดอลลี่ พาร์ตันเป็นนางแม่มด  แต่เธอปฏิเสธไม่ยอมเล่นบทแม่มดเด็ดขาด  ผู้กำกับไปทาบทามดาราดังอีก ๒ รายก็ถูกปฏิเสธ  บทนี้เลยมาตกอยู่กับเฟย์

เฮเลน สเลเตอร์เล่นเรื่องนี้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ว่าเล่นดีใช้ได้     ในตอนจบของเรื่อง ซูเปอร์เกิร์ล ญาติสาวของซูเปอร์แมนเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว  ก็เหาะกลับไปที่ดวงดาวของเธอ     เผื่อกลับมาในตอนต่อไป แต่หนังถูกนักวิจารณ์สับเละ  จึงไม่มีภาคที่ ๒ ตามมา
คุณ SILA ดูฉากนี้อาจจะพอจำได้บ้างค่ะ


http://www.youtube.com/watch?v=Gv9ioSAOufc&feature=related

ทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า เคยดูสาวมหัศจรรย์อีกคนหนึ่งไหมคะ  Wonder Woman

มีฉากเฟย์ ดันนาเวย์มาฝากค่ะ  เล่นเหมือนเดินออกมาจากการ์ตูน comic   
เคราะห์ดีที่สวย และมีฝีมือ เลยไม่ดูเสียสติมากกว่านี้

http://www.youtube.com/watch?v=jwyAjGoYT3I&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=H21U76K6S2Y&feature=related

แม้ว่า Supergirl ไม่โด่งดังเท่า Superman  แต่ก่อนหน้านี้ ในทีวีก็มีซูเปอร์วูแมนอีกคนหนึ่ง เป็นหนังชุดที่ฮือฮากันมาก่อน   
สาวจอมพลัง ชื่อ Wonder Woman  ดารานำเป็นอดีตนางงามสหรัฐ   ชื่อลินดา คาร์เตอร์  หลังจากเล่นหนังทีวีชุดนี้ก็กลายเป็นดาราดังของฮอลลีวู้ด จนร่วงโรยไปตามกาลเวลา
คุณ SILA น่าจะเคยดูหนังชุดนี้มาก่อนค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=bMo-OT6Swdw&feature=related

Wonder woman หรือเจ้าหญิงไดอาน่าจากเกาะสวรรค์ (Paradise Island) ไม่ใช่เทหทูต  แต่มาจากแดนมหัศจรรย์ กึ่งๆ นักรบหญิงอเมซอน กึ่งๆทวีปแอตแลนติส     มีแม่เป็นนางพญาเจ้าของถิ่น อยู่ตรงกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
เจ้าหญิงออกจากเกาะ เพราะหลงรักนายทหารหนุ่มคนหนึ่งที่เครื่องบินตกลงบนเกาะโดยบังเอิญ    เมื่อมาอยู่ในโลกภายนอก ก็มาช่วยเขาปราบปรปักษ์ฝ่ายตรงข้าม คือพวกอักษะในสงครามโลกครั้งที่ ๒   แต่พล็อตชักจะเดินมาถึงจุดอับ เพราะไม่มีอะไรให้สู้ได้มาก    หนังทีวีที่ไปด้วยดีก็เลยปรับเธอข้ามยุคมาสู่ปัจจุบัน   
จากนั้น  ก็มีน้องสาวจากเกาะเดียวกันมาสมทบ   เรียกชื่อว่า Wonder Girl  ช่วยกันปราบอธรรม   ดาราที่เล่นเป็นองค์หญิงดรูซิลล่าคือเดบรา วิงค์เลอร์

http://www.youtube.com/watch?v=7oaIsCzCNXk&feature=related

         ได้ดู "สาวน้อยมหัศจรรย์" ทางช่องสาม ครับ

           Lynda Carter (ตอนนั้น) งามมาก สมกับที่เป็นนางงามมาก่อน นอกจากนี้
เธอยังมีความสามารถทางการร้องเพลง มีอัลบั้มเพลงและรายการเพลงทางทีวีที่เคยดู
ทางช่องสามเช่นกัน
           ยังจำได้ถึงวันนี้ เธอร้องเพลง Always สั้นๆ ปิดรายการของเธอ ลองหาในยูทูบ
มีคลิปด้วย ครับ

Lynda Carter Sings "Always" from her TV Special ENCORE

        http://www.youtube.com/watch?v=GDA0zOGlb_A

            น่าสงสัยว่าสองพี่น้องสาวน้อยมหัศจรรย์ร่วมงานกันน่าจะมีปัญหา โดยเฉพาะ
Debra ที่มีข่าวว่าเธอมีปัญหาทางอารมณ์ประมาณ bipolar
            และ ในเน็ทก็บอกว่า เด็บรา ไม่ชอบทำงานร่วมกับลินดา

สาวน้อยมหัศจรรย์ ปี 2009

ไปหารูปมาทบทวนความหลัง ว่าลินดา คาร์เตอร์สวยขนาดไหน   เธอเป็นลูกผสมระหว่างไอริช(ทางพ่อ) กับเมกซิกัน(ทางแม่)  หุ่นก็ระดับ Miss World USA

คุณ SILA จะเล่าถึงฉากประทับใจในหนังเรื่องไหนอีก เชิญนะคะ
ตอนนี้ขอพาย้อนไปถึงซูเปอร์ฮีโร่อีกคู่หนึ่ง   คือ Batman & Robin   ใครที่ชอบการ์ตูนคอมิค Superman คงชอบมนุษย์ค้างคาวแบทแมนด้วยเหมือนกัน

หนังทีวี Batman ออกอากาศในค.ศ. 1966   เป็นขวัญใจเด็กๆทั่วอเมริกา       ทำให้ชื่อเสียงของดาราคือ อาดัม เวสต์และหนุ่มน้อยหน้าใหม่ เบิร์ท วอร์ด  โด่งดังในข้ามคืน   เบิร์ทกลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นไปเลย
หนังเรื่องนี้ทำเหมือนถอดการ์ตูนคอมิค ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว   ชกกันเสียงดังออกมาเป็นตัวหนังสือ เหมือนในภาพการ์ตูน  ถูกใจเด็กๆมาก     ดังมาถึงประเทศไทยของเราด้วย 
กลับไปย้อนดูทางยูทูป ก็รู้สึกว่าเว่อๆทั้งเรื่อง  แต่ผู้สร้างเขาจงใจทำให้ออกมาแบบนั้น  ไม่ใช่ว่ามือไม่ถึง

ฉากบู๊แอคชั่น เอกลักษณ์ของหนังทีวีชุดนี้
http://www.youtube.com/watch?v=r94AJzJZZaU&feature=related


แบทแมน กับนางผู้ร้ายตัวสำคัญ Catwoman

http://www.youtube.com/watch?v=RLZQ3OLEJWE

ได้ยินเสียงมนุษย์ค้างคาวแว่วมาว่า

"ให้ตายเถอะ โรบิน"

 ;D

อ้าว ใครย่องเข้ามาช่วยให้เสียงในกระทู้นี้  :)

หลังจากออกอากาศนานเข้า  มุกของหนังชุดแบทแมนก็ชักฝืด    ผู้สร้างจึงเติมตัวเอกเข้ามาอีกคน ด้วยความหวังว่าจะเพิ่มเรตติ้งขึ้นมาได้
เธอคือ Batgirl  ค้างคาวหญิง   ปูพื้นเรื่องว่าเธอคือบาร์บารา กอร์ดอน ลูกสาวผู้กำกับตำรวจแห่งเมืองกอแธม    พอใส่วิกคาดแว่นหน้ากากเข้าก็ไม่มีใครจำได้   แบบเดียวกับการปลอมตัวในละครทีวีไทย    ที่พระเอกใส่แว่น หรือนางเอกสวมวิกเข้าไปก็กลายเป็นคนละคน

http://www.youtube.com/watch?v=9jLyhkjSXDc&NR=1

           ทีวีฮีโร่ของเด็กๆ สมัยก่อน ออกอากาศทางช่องสี่ บางขุนพรหม

           ชอบฉากต่อสู้ที่มีตัวหนังสือประกอบ คำที่จำได้ดีและเห็นบ่อยคือ KAPOW ครับ

           คุณสะอาดผู้พากษ์จะพยายามออกเสียงภาษาอังกฤษของคำเหล่านี้ นอกจาก kapow
ก็มี aieee bam crraack eee-yow  เป็นต้น

              และ ฟังดูเป็นคำพูดของแบ็ทแมน
              แต่ลองคิดและค้นดู แคแร็คเตอร์ช่างพูดคำอุทานสบถจะเป็นของหนุ่มน้อยโรบิน
มีคำ เช่น  Gosh Batman และที่บ่อยๆ คือ สารพัด Holy เช่น Holy oleo! Holy atomic pile, Batman! ครับ

คุณ SILA ช่างสังเกตและความจำดีเยี่ยม  ;D
ขอนำคลิป Holy ของหนุ่มน้อยโรบินมาให้ฟังกันจนเมื่อยหู  คนทำก็อุตส่าห์รวบรวมมาได้

ทำไมของเราจึงกลายเป็น  "ให้ตายเถอะ โรบิน" แทนที่จะเป็น "ให้ตายเถอะ แบทแมน"

http://www.youtube.com/watch?v=zQVfOguNWBw

         ฟังเป็นตอนๆ ก็ตลกน่ารักดี แต่เล่นมาติดๆ กันแบบในคลิปก็ Holy a real pain in the neck! ครับ

-----------------

          เพื่อนรักจากต่างดาว  รูปร่างหน้าตาน่ารัก? น่าชัง รายนี้มาเยือนโลกเราในปี 1982 ครับ

                      E.T. the Extra-Terrestrial


         

           อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของผู้กำกับดังสปีลเบิร์ก ที่ได้แนวคิดมาจาก "เพื่อนในจินตนาการวัยเด็ก"
ของเขาเมื่อครั้งที่พ่อและแม่เลิกร้างกัน
             หน้าตาของเพื่อนคนนี้ถูกออกแบบจากส่วนผสมระหว่าง นักฟิสิคส์อัจฉริยะ - Albert Einstein,
กวี - Carl Sandburg

และ pug dog

           หุ่นอีทีออกแบบสร้างโดยผู้สร้างหุ่นคิงคอง (1976) ส่วนกล้ามเนื้อทำจากไฟเบอร์กลาส
โพลียูรีเทน และ โฟมรับเบอร์ ควบคุมด้วยกลไก mechanic และ electronic สามารถเคลื่อนไหว
ได้นับ 100 อิริยาบถ รวมถึง การย่นจมูก ย่นหน้าผาก ชูคอ งอนิ้วมือ ดวงตาประดิษฐ์โดยช่างทำลูกตาเทียม    
  
             เนื่องจากมีนักแสดงเด็กๆ หลายคน หนังจึงถ่ายทำเรียงตามลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เด็กๆ ได้
รับรู้เกิดพัฒนาการทางอารมณ์ต่อเนื่องตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป ถึงตอนจบที่ต้องจากกันเด็กๆ จึงแสดง
ด้วยอารมณ์(สม)จริง นอกจากนี้ยังใช้มุมกล้องระดับมุมมองของเด็กๆ ด้วย

             เมื่อออกฉาย อีที เพื่อนรักต่างดาวประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งทำรายได้, ได้ใจคนดู และ
เสียงวิจารณ์ยกให้เป็นหนัง ไซไฟเรื่องเยี่ยม

              สิ่งมีชีวิตต่างดาวขึ้นยานอวกาศหนีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ติดตามมาไม่ทัน
เหลือค้างอยู่เพียงลำพังบนโลก

หนังเปิดเรื่องอย่างกับหนังลึกลับตื่นเต้นทริลเลอร์

          http://www.youtube.com/watch?v=01ZMLzNbp-I

           หนูน้อย Elliot (Henry Thomas) เด็กชายวันพุธ ลูกคนกลางระหว่าง -
พี่ชาย Michael และ น้องสาว Gertie (สวมบทโดย Drew Barrymoore) อาศัยอยู่กับ
มารดาผู้เป็นหม้ายจากการหย่าร้างในบ้านแถบชานเมืองใกล้ชายป่าที่อีทีพลัดหลงอยู่ เป็นผู้พบอีที           

แรกเจอ

           เอลเลียตใช้ขนม (Reese's Pieces ซึ่งยอดขายพุ่งทะยานหลังจากหนังออกฉาย)
ผูกใจล่อและพาสิ่งประหลาดไปห้องนอน

           เพื่อนใหม่ "เลียน" รู้กัน

อีที ทำมือ ชูนิ้วตามเอลเลียต

             เช้าวันรุ่งขึ้นเอลเลียตแกล้งป่วยเพื่อจะได้อยู่กับเพื่อนใหม่ โดยใช้วิธีนำปรอทวัดไข้
ไปลนกับหลอดไฟ และ
                เมื่อพี่น้องของเอลเลียตพบกับอีทีเพื่อนคนใหม่

รวมคลิปหวีดเมื่อแรกเห็น

               http://www.youtube.com/watch?v=8p6Zzak1xGg

             เพื่อนรักต่างดาวผู้นี้มีพลังวิเศษสามารถคืนชีวิตชีวาให้กับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา และ
เมื่อเอลเลียตโดนคมใบจักรบาด อีทีก็ใช้นิ้วเรืองแสงแตะสมานบาดแผลได้

         http://www.youtube.com/watch?v=5_PbfnG_25M

           ทั้งอีทีและเอลเลียตเกิดความผูกพันกันทางความรู้สึกนึกคิดจิตใจ(และกายภาพ)ในเวลาต่อมา

              อีที เรียนรู้ภาษาพร้อมกับเกอร์ที่จากรายการทีวี, ประดิษฐ์อุปกรณ์ "phone home"
ตามแนวคิดจากการ์ตูนในหนังสือพิมพ์ และสามารถติดต่อกลับบ้านสำเร็จ

E.T. Phone Home ติดอันดับที่ 15 ของ 100 Movie Quotes ด้วย

        http://www.youtube.com/watch?v=iyFijjikkeM

           แต่แล้วอีทีเกิดล้มป่วยหนัก เนื่องจากสภาพสิ่งแวดล้อมบนโลกที่แตกต่างจากดาวของตน
และเพราะความผูกพันระหว่างกันทำให้เอลเลียตล้มป่วยด้วย

             คนของรัฐบาลที่ติดตามเรื่องอีทีมาถึงบ้าน จัดการสร้างห้องกักกันแยกอีทีออกไป

           เมื่อความผูกพันถูกตัดตอน เอลเลียตจึงมีอาการดีขึ้นในขณะที่อีทีอาการทรุดหนัก
จนต้องทำการกู้ชีวิต แต่ไม่สำเร็จ

            ทว่าในที่สุด อีที (ยัง)ไม่ตาย

             เด็กๆ จึงรวมตัวกันวางแผนพาอีทีหลบหนีไปยังจุดนัดหมายที่ยานมารับกลับ

ฉากประทับใจไคลแม็กซ์ของเรื่อง เมื่อรถยนต์ไล่ล่ารถจักรยาน จนดูเหมือนจะจนมุม

         

          แต่ แก๊งสองล้อก็ปั่นจักรยานลอยฟ้าหนีไปได้ด้วยพลัง telekinesis ของอีที

        คลิปตอนนี้ที่มีเฮกันทั้งโรง

         http://www.youtube.com/watch?v=1XRWYsAm-1E

            เมื่อมาถึงจุดนัดหมายและยานอวกาศร่อนลง ปรากฏแสงเรืองตรงตำแหน่งหัวใจของอีที
ที่กำลังจะได้กลับบ้าน

            ทั้งสองร่ำลาอาลัยอาวรณ์ อีทีปลอบใจเอลเลียตว่า "I'll be right here"

          

          ฉากตอนจากลานี้ ได้รับการโหวตล่าสุดในปีนี้โดย Filmclub (กลุ่มการกุศลจัดกิจกรรม
ฉายหนังในโรงเรียนทั่วอังกฤษ) ให้เป็นอันดับหนึ่งของ most powerful movie moment

            อีทีรับมอบต้นไม้ในกระถางจากเกอร์ที่

           เอลเลียตมองยานอวกาศพาเพื่อนรักกลับบ้านด้วยความอาลัย

นักแสดงเด็กหน้าใหม่แต่ถ่ายทอดบทบาทได้เกินตัว

          เมื่อดูแบบไม่คิดมากหากแต่ปล่อยใจไปตามมนต์ที่พ่อมด(สปีลเบิร์ก)สะกด 
หนังจึงสนุกมากโดยเฉพาะถ้าหากคนดูยังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่ (แม้ว่าตัวอีทีจะดูเป็นหุ่นมากกว่า
จะน่าเชื่อว่าคือสิ่งมีชีวิตต่างดาวก็ตาม)
          ความน่ารักและความสามารถทางการแสดงของเด็กๆ ได้ใจ,รอยยิ้ม และน้ำตา
จากคนดูไปอย่างสบาย

            แต่ หนังดูเด็กๆ อย่างนี้ ในบางประเทศที่ละเอียดอ่อนมากได้ทำการเซนเซอร์ตัดทอน
บางฉากที่อาจทำให้เด็กดูแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ใหญ่ นั่นคือ ฉากพวกผู้ใหญ่ออกตามล่า
ที่ทำออกมาได้คุกคามน่ากลัวพอสมควร

          และ เมื่อนำออกฉายใหม่ในวาระครบสองทศวรรษเมื่อปี 2002 สปีลเบิร์กก็ได้จัดการลบภาพ
ปืนออกจากหนัง

พ่อมดสปีลเบิร์กเสกปืนทั้งซ้ายและขวาหายไป แล้วให้ถือเครื่องมือสื่อสารแทน

        ส่วนหนูน้อยน่ารักทั้งสองในวันนั้น วันนี้ของเขาเป็นอย่างนี้ ครับ

Henry Thomas แต่งงานแล้วสองครั้ง และยังคงแสดงหนัง(เล็กๆ)
 

Drew Barrymore จากนักแสดงเด็กที่ติดยา โตมาเป็นสาวสะพรั่ง แต่งงานแล้วสองครั้ง
                            และยังแสดงหนังมีชื่อเสียงโด่งดังพอตัว         

ประทับใจเรื่อง E.T. มากค่ะ  โดยเฉพาะฉากจักรยานลอยฟ้า     เด็กๆเล่นกันเก่งทุกคน  จะว่าไปยังนึกไม่ออกเลยว่ามีดาราเด็กคนไหนเล่นไม่เก่ง    ส่วนใหญ่จะเรียกน้ำตาคนดูได้ดีกว่าดาราผู้ใหญ่เสียอีก
รออ่านคุณ SILA มาเล่าต่อไป ค่ะ
ดรู ตอนเล่นหนังเบาๆของผู้หญิงอย่าง Never Been Kissed  กับซินเดอเรลลาเวอร์ชั่นหญิงแกร่ง Ever After เล่นได้ดี  ดูมีเสน่ห์น่ารักโดยไม่ต้องสวย
แต่พอมาเล่นนางฟ้าชาร์ลี    ทุกอย่างก็แตกกระเจิง

ส่วน Henry Thomas ติดอันดับ 4  ในยอดดาราเด็ก 50 อันดับที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=JNBq9XyY4BM&feature=related

ไหนๆก็คุยกันถึงซูเปอร์ฮีโร่มา 2  คนแล้ว  ขอบวกคนที่สามเข้าไปด้วยค่ะ   ไอ้แมงมุม
ที่มาของเรื่อง ออกจะพิลึกพิลั่น   เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยมปลาย ที่หน้าตาแสนเชย เป็นหนอนหนังสือทึ่มๆ คนหนึ่ง ถูกแมงมุมพิสดารตัวหนึ่งกัด   พิษของมันทำให้เขาสามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์แมงมุม  ส่งใยเหนียวออกจากตัวเกาะผนังและที่ต่างๆได้   เนื้อตัวก็หนังเหนียวคงกระพันชาตรี  เขาก็เลยปราบอธรรมหน้าตาประหลาดๆมานับแต่นั้น

http://www.youtube.com/watch?v=LJ1hUJP-1EE

            ชอบ Spider-Man 2 มาก ครับ
              ตรงที่ไม่เป็นเพียงหนังแอ็คชั่นมันๆ มีภาพ CG ตื่นตา หากแต่ตัวละครมีชีวิต มีดรามา
แฝงข้อคิดที่น่าสนใจ เมื่อพระเอกเกิดความขัดแย้งระหว่าง ภาระพิทักษ์สันติประชาที่หนักหนา
จนพาให้ชีวิตส่วนตัวรวนไป ที่สำคัญหญิงที่เขาพึงใจจะเข้าใจเขาหรือไม่
              Roger Ebert นักวิจารณ์แถวหน้าถึงกับยกให้เป็น "The best superhero movie
since the modern genre was launched with Superman (1978)"

With great power, comes great responsibility.

           ชอบฉากนี้ที่สุด เช่นกัน ครับ โดยเฉพาะเหตุการณ์ต่อมา

              http://www.youtube.com/watch?v=99nSd2StbSw

             ดูอีกครั้งก็ยังลุ้น ยังตื่นเต้น เมื่อพระเอกของเราทุ่มสุดตัวทั้งยอมเปิดเผยตัวตนเพื่อ
รักษาชีวิตคนบนรถไฟทั้งขบวน ชื่นชมคนเขียนบทให้ผู้คนบนรถไฟยกร่างซูเปอร์ฮีโร่ของเขา
เหนือศีรษะรับส่งต่อเป็นทอดๆ ไป ชายคนหนึ่งมองใบหน้าพระเอกแล้วออกปากว่า   
                   “He’s just a kid. No older than my son.”

              แน่นอน ทุกคนจะเก็บเรื่องตัวตนของสไปเดอร์แมนไว้เป็นความลับ เท่านั้นยังไม่พอ
เมื่อตัวร้ายกลับมาพวกเขายังออกหน้าปกป้องซูเปอร์ฮีโร่ของเขาด้วย

Spiderman ประสบความสำเร็จดี มีภาค 2 ตามออกมา แต่มีภาค 3 หรือเปล่าดิฉันไม่ได้ตามดูค่ะ  เลยรู้จักแค่ 2 ภาค
พูดถึงซูเปอร์ฮีโร่  ที่สุดๆก็ต้องเป็นแอนนิเมชั่นเรื่อง The Incredibles ปี 2004  ไม่ทราบว่าคุณ SILA  ดูหนังแอนนิเมชั่นบ้างหรือเปล่า  เป็นเรื่องครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ ที่พ่อ แม่ ลูกสาววัยรุ่น ลูกชายวัยซน  ล้วนเป็นมนุษย์พิเศษมีคุณสมบัติเหนือมนุษย์ทั่วไป
พ่อหรือ Mr. Incredible  เป็นมนุษย์จอมพลัง    ภรรยาเขาเป็น Elastigirl  ยืดตัวเองแบบหนังสติ๊คได้ทุกรูปแบบ    ลูกสาวคนโตล่องหนและสร้างสนามพลังคุ้มกันตัวเองได้     ลูกชายวิ่งได้เร็วเกินกว่าตามนุษย์จะเห็น  เจ้าหนูคนสุดท้องแปลงร่างได้ทุกรูปแบบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กล่องไปเพียบ นับแต่ รางวัล 2004 Annie Awardสำหรับภาพยนต์การ์ตูนยอมเยี่ยม  ได้สองตุ๊กตาทองออสคาร์ ในฐานะ ภาพยนตร์การตูนยอดเยี่ยมและเสียงยอดเยี่ยม  รางวัล 2005 Hugo Award, และเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ด้าน  Musical or Comedy  ในการประกวดรางวัลลูกโลกทองอีกด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=h_l_uVEbxTs&feature=related

          เรื่องนี้ไปดูที่โรงใหญ่ ครับ

            ชอบแคแรคเตอร์ Edna Mode ที่สุด ครับ

         http://www.youtube.com/watch?v=THYkMUD_JOE

ยัย E หน้าตาและพูดจากวนมาก   ทีมงานเอาบุคลิกมาจากดาราคนไหนนะคะ
ตอนกำลังพิมพ์ ทรูวิชั่นกำลังออกอากาศหนังเรื่องนี้พอดี    เลยได้ดูอีกครั้ง

ขอแถมด้วย IGN's Top Animated Movie of All-Time ขอตอบแค่ 10 อันดับแรก

10  Snow White and the Seven Dwarfs
9    Toy Story
8    The Little Mermaid
7     Up
6    The South Park
5    The Iron Giant
4    Toy Story 2
3    The Incredibles
2    WALL-E,
และ
1      :o

         ข้อมูล imdb บอกว่าแคแร็คเตอร์ เอ็ดน่า นี้วาดตามนักออกแบบเครื่องแต่งกาย 2 คน
ได้แก่ Una Jones ผู้มีรูปลักษณ์และบุคคลิกดังในหนัง และ

        Edith Head - costume designer ตัวแม่แห่งฮอลลีวู้ด เจ้าของออสการ์ 8 ตัว
(ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากกว่า 30 ครั้ง) ครับ

Edith Head

 

           แต่ตอนที่ดูอยู่ นึกถึงนักแสดงคนนี้ ครับ

Linda Hunt นักแสดงออสการ์(สาขาดาราสมทบ) ร่างเล็ก

            ชอบอันดับ 2 Wall - E อนิเมชั่นรักษ์โลกมากๆ ครับ

              โลกในอนาคตปี 2805 ที่รกร้าง - รกขยะที่เป็นผลมาจากสังคมบริโภคนิยม
ร้างผู้คน เพราะต้องอพยพไปอยู่ในยานอวกาศ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมอบอวลด้วยมลพิษ ไร้สิ่งมีชีวิต

มิใช่ตึกระฟ้า ทว่า คือ ปิระมิดก้อนขยะ

           หุ่นยนต์ WALL - E (Waste Allocation Load Lifter, Earth class)
ออกปฏิบัติหน้าที่ประจำ จัดการเก็บขยะมหาศาล วันแล้ววันเล่า

              http://www.youtube.com/watch?v=QHH3iSeDBLo

วอลล์ อี กับขยะบางชิ้น

เคยดู Linda Hunt ในหนังบางเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร จนคุณ SILA มาเล่าให้ฟัง  จึงไปหาประวัติมาอ่าน  ก็นับว่าเป็นดาราฝีมือดี ที่ไม่ต้องอาศัยรูปโฉมช่วยเหลือ 
พูดถึงดาราหญิง ก็ต้องพูดถึงดาราชายระดับตุ๊กตาทอง ที่ไม่ต้องอาศัยหุ่นมาช่วยฝีมือ    Danny DeVito
คุณ SILA คงจำเรื่อง Twins (1988) ที่เขาเล่นเป็นฝาแฝดของอาโนลด์คนเหล็กได้นะคะ
แฝดคนหนึ่งได้แต่ยีนส์ดี  อีกคนได้แต่ยีนส์ด้อย    แดนนี่เล่นได้เก่งจนเชื่อได้ว่าเป็นฝาแฝดกับอาโนลด์จริง

http://www.youtube.com/watch?v=xBFT11ISQE0&feature=related

ชนกลางอากาศกับคุณ SILA   งั้นดิฉันฟังคุณเล่าเรื่องแอนนิเมชั่นต่อละค่ะ   เก็บแดนนี่ไว้แค่นี้ก่อน  จะลบทิ้งก็เสียดาย

ต่อครับ
            วันหนึ่ง วอลล์ อีค้นพบเมล็ดพืช และนำไปเพาะในห้องพัก
            อีกวันหนึ่ง ได้พบกับหุ่นยนต์ส่งมาจากยานอวกาศเพื่อค้นหาสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนโลก
นามของเธอคือ อีวา
            
            หนังการ์ตูน ตัวนำก็เป็นหุ่นยนต์ บทสนทนาก็แทบไม่มี แต่ทำไปได้ สามารถทำให้คนดู
เกิดอารมณ์ซาบซึ้งคล้อยตาม โดยเฉพาะฉากรักในอวกาศของทั้งสอง

คลิปไม่ค่อยคมชัดนัก ครับ      

             http://www.youtube.com/watch?v=2lkffSsImXc&NR=1

Lostve in Space

           หุ่นยนต์ทั้งสองได้กลับมาโลก แต่วอลล์ อี เปลี่ยนไปเพราะหน่วยความจำลบเลือน อีวาผู้ตรอมตรม
จุมพิตวอลล์ อี ก่อนจากลา แต่ทว่า รอยจูบนั้นทำให้เกิดไฟฟ้าสปาร์คส่งผลให้วอลล์ อี ถูกรีบู๊ทกลับคืนเป็นดังเดิม

             http://www.youtube.com/watch?v=4KUBX5GwV3M

          หนังจบลงตามขนบการ์ตูน คือสุข สมหวัง อิ่มใจ ครับ

หนึ่งในหลายภาพประทับใจจากวอลล์ อี

           

ขอเล่าตอบแทนบ้างค่ะ  ด้วยเรื่องหมายเลข 10  Snow White and the Seven Dwarfs
การ์ตูนแห่งปีค.ศ. 1937   ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของดิสนีย์ และเรื่องแรกของประวัติหนังการ์ตูน

ก่อนหน้านี้การ์ตูนเป็นเพียงเรื่องสั้นๆ 5 นาทีจบ   เอาไว้ฉายเกริ่นนำหน้าหนังในโรง    เป็นการ์ตูนขาวดำไม่มีเสียงพูด ก่อนจะมาถึงการ์ตูนสี    ถูกมองว่าเป็นความบันเทิงเล็กๆน้อยๆของเด็ก   แต่ไร้ความสลักสำคัญมากไปกว่านั้น
เมื่อชายหนุ่มผู้สร้างหนังการ์ตูน ชื่อวอลท์ ดิสนีย์ ริอ่านจะทำการ์ตูนเรื่องยาวขึ้นมา ให้ยาวเท่ากับหนังทั่วไป      จึงไม่มีใครเชื่อว่าโครงการนี้จะไปรอด  แม้แต่ภรรยาของวอลท์เองก็ออกปากว่า "ไม่มีใครหน้าไหนเขายอมจ่ายสตางค์เข้ามาดูการ์ตูนของคุณหรอก"

ดิสนีย์กัดฟันทำไปจนกระทั่งจบ  งบประมาณบานปลายออกไปจนต้องเอาบ้านไปจำนอง หาทุนมาเพิ่ม     ผลักดันทีมงานซึ่งล้วนแต่เป็นหนุ่มไฟแรงแต่ค่อนข้างโนเนมด้วยกัน มาทำงานต่อเนื่องกันไปจนการ์ตูนจบลงได้
การ์ตูนสมัยนั้นวาดด้วยมือ ทีละแผ่น ทีละแผ่น   ไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยอย่างเดี๋ยวนี้

ในการ์ตูนเรื่องนี้ ดิสนีย์ใส่เพลงไว้หลายเพลง อย่างเพลงแรกที่สโนไวท์ร้องกับเสียงสะท้อนของตัวเอง

http://www.youtube.com/watch?v=8gWiVs5Q0kc

ดิสนีย์ใช้เพลงเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องให้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ  ไม่ให้น่าเบื่อในเนื้อเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นแค่นิทานเด็ก     เพลงทำให้คนดูได้รับรสทั้งตาดูและหูฟัง  จนนั่งอยู่ได้นานๆตลอดเรื่อง

ดังนั้นในฉากสำคัญๆ เช่นเปิดตัวคนแคระทั้งเจ็ด  ในถ้ำเพชรพลอย  จึงเปิดตัวด้วยเพลง    เพลงมาร์ช  ไฮโฮ  Heigh-Ho ตอนท้ายเรื่อง ฮิทมากจนกลายมาเป็นเพลงบรรเลงในกองทัพทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2

http://www.youtube.com/watch?v=aURThUaRjCc&feature=related

เพลง Silly Song  ที่สโนไวท์กับคนแคระเต้นรำกัน

http://www.youtube.com/watch?v=B_beS2SauHE&feature=related

ตามมาด้วยเพลงรักหวาน Someday My Prince will Come

http://www.youtube.com/watch?v=TWPhEsiSZS4&feature=related

หนังการ์ตูนเรื่องนี้กินเวลา 3 ปีกว่าจะสร้างเสร็จ  นำออกฉายในปี 1937   ระหว่าง 3 ปี ทุกคนที่แวดล้อมดิสนีย์พยายามหว่านล้อมให้เขาล้มเลิกความคิดจะทำเรื่องนี้     เพราะยังไงก็ล้มเหลว     งบประมาณที่ตั้งไว้ 250,000 ดอลล่าร์นับว่ามากมายเกินเหตุสำหรับหนังการ์ตูน    มิหนำซ้ำเอาเข้าจริง ยังบานปลายไปถึงหนึ่งล้านกว่าดอลล่าร์      แสดงว่าสภาพล้มละลายรออยู่เห็นๆ
แต่เช่นเดียวกับอัจฉริยบุคคลทั้งหลายที่จะต้องผ่านด่านทรหด เพื่อทดสอบความสามารถ    ดิสนีย์ก็ฟันฝ่าทุ่มเทเงินแม้แต่จำนองบ้านตัวเอง เอาเงินไปลงให้หนังเรื่องนี้สร้างจนเสร็จ   หมดเงินไปถึง $1,488,422.74  ซึ่งถือว่าเป็นเงินก้อนมหาศาลทีเดียวสำหรับหนังเรื่องหนึ่ง

แต่เมื่อเรื่องนี้ออกฉาย   ดิสนีย์ก็สร้างปรากฏการณ์ให้วงการฮอลลีวู้ด    ดาราดังๆที่ไปชมในรอบปฐมทัศน์ลุกขึ้นยืนปรบมือให้พร้อมเพรียงกันเมื่อหนังจบลง   6 วันต่อมา ดิสนีย์กับคนแคระทั้งเจ็ดก็ไปปรากฏเป็นปกของไทม์แมกกาซีน   ส่วนนิวยอร์คไทมส์ใช้คำว่า
"ขอบคุณครับคุณดิสนีย์"

ผลจากสโนไวท์   ดิสนีย์ได้รับ Academy Honorary Award เป็นตุ๊กตาทองออสคาร์ขนาดมาตรฐาน 1 ตัว  และตุ๊กตาทองตัวเล็กๆอีก 7 ตัว   ผู้มอบให้คือยอดดาราเด็ก เชอร์ลี่ เทมเปิ้ล

ทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนอาณาจักรดิสนีย์ ไม่ว่าสาขาไหนก็ตาม  จะเจอสโนไวท์กับคนแคระ เป็นเจ้าภาพ คอยต้อนรับอยู่เสมอ

            ทันได้ดูรายการดิสนีย์แลนด์ แดนหรรษาที่มีลุงวอลท์เป็นโฮสท์ทางทีวี
เป็นหนึ่งในความทรงจำประทับใจวัยเด็ก ครับ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา
พร้อมพระราชโอรส พระราชธิดา ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึง วันที่ 14 กรกฏาคม พ.ศ 2503

The King of Thailand and his family visit Disneyland.
Good shot of Walt Disney and the royals riding in a car down Main Street.

และ ทันได้ดูโฆษณา แป้งน้ำทางทีวี ที่ใช้แคแร็คเตอร์ราชินีแม่เลี้ยงสโนวไวท์ ถามกระจกว่า

                    กระจกวิเศษบอกข้าเถิด       ใครงามเลิศในปฐพี

                    อ๋อ ใช่สโนวไวท์น่ะซี          ทั่วพื้นปฐพีไม่มีใครงามเกิน

                ชอบตัวละครราชินีแม่เลี้ยง ผู้ต้องการเป็นคนงามที่สุดในปฐพี จนทนไม่ได้ที่สโนวไวท์
สาวกว่าและสวยกว่า ถึงกับลืมตัว ลืมงามยอมทำตัวเองให้กลายร่างเป็นหญิงแก่หน้าตาน่าเกลียดเพื่อ
ที่จะทำลายสโนวไวท์

ฉากกลายร่างที่น่ากลัวสำหรับเด็กๆ

            http://www.youtube.com/watch?v=l9GJtM9lN-I

ถ้ายังงั้นต้องชวนคุณ SILA ไปร่วมงานฉลอง Golden Anniversary ครบรอบ 50 ปีสโนไวท์
มี 6 ตอนด้วยกัน  เริ่มดูตอนแรก  แล้วคุณSILA คงหาตอนต่อๆไปในยูทูปได้เองค่ะ
พิธีกรคือดิ๊ค แวนไดค์  จาก Mary Poppins  เขาเป็นดาราคู่ขวัญคนหนึ่งของดิสนีย์


http://www.youtube.com/watch?v=9_lPZJUpoz8

H.M. the King and Queen, Princess Ubolratana and Prince Vajiralongkorn of Thailand in Disney Land, Los Angeles, Jun, 1960

 ;D

ตรงข้ามกับความใสไร้เดียงสาของหนังการ์ตูน     หนังสยองขวัญสั่นประสาทของฮอลลีวู้ด ผลิตขึ้นมาเรียกคนดูทุกยุคทุกสมัย    จนมีการจัดอันดับโดย IGN  ถึง 25  อันดับยอดหนังสยองขวัญตลอดกาล   
เอารายชื่อมาฝากคุณ SILA  เฉพาะ 10 อันดับสูงสุด    เชื่อว่าคงเคยดูมาแล้วไม่มากก็น้อย

Top 10 Horror Movies of All-Time

10 Night of the Living Dead   (1968)
9  The Texas Chainsaw Massacre (1974)
8   Rosemary's Baby (1968)
7  Bride of Frankenstein  (1935)
6  The Shining (1980)
5  Silence of the Lambs (1991)
4  Alien (1979)
3 Jaws  (1975)
2 Psycho (1960)

และ


1 The Exorcist (1973)

http://www.youtube.com/watch?v=8qG5V2iBvFs

              อีกอนิเมะประทับใจ ที่เตรียมไว้ ครับ

                 UP (2009)

              ผลงานจากขาใหญ่พิกซาร์เช่นเคย ได้รับคำวิจารณ์ยกย่องท่วมท้น และ
ได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นเรื่องที่สอง(ตามหลัง Beauty and the Beast)

            หนูน้อยไฮโป - คาร์ล พบเพื่อนใหม่หญิงไฮเปอร์ - เอลลี่ ผู้มีความฝันไกล
จะผจญภัยไปถึงน้ำตกสวรรค์ในเวเนซูเอลา

วัยเด็ก กับความฝันไกลไปถึงเวเนซูเอลา   

             http://www.youtube.com/watch?v=VR8hlvLghrs

               ทั้งสองเติบโตเป็นหนุ่มสาว ได้แต่งงานกัน  ชราไปด้วยกัน และไม่อาจทำฝันไกล
ให้เป็นจริง จนถึงวันที่เอลลี่จากไปก่อน ทิ้งให้คาร์ลเหลืออยู่เป็นคุณปู่เดียวดาย

คลิปช่วงเวลาครั้ง เรามีเรา

         http://www.youtube.com/watch?v=kulKbLohnuY

ส่วนที่ประทับใจจากหนังคือ ช่วงแรกเริ่มนี้ ครับ

แคแร็คเตอร์ปู่คาร์ล ได้บางส่วนมาจากนักแสดงใหญ่ Spencer Tracy

           วันหนึ่งด้วยสถานการณ์บังคับ คุณปู่ตัดสินใจที่จะสานฝันคุณย่านั้นให้เป็นจริง
ด้วยการยกบ้านขึ้นลอยด้วยลูกโป่งแล้วโบยบินมุ่งสู่น้ำตกสวรรค์ ที่นำไปสู่การค้นพบและ
ผจญภัยในป่าเวเนซูเอล่า 

Flying House Scene

         http://www.youtube.com/watch?v=N1NLzBGJavc

           ฉากนี้เป็นที่มาของบ้านบินจริงๆ โดยรายการ National Geographic -
นำทีมงานตามฝันหนังเรื่อง UP สร้างบ้านลอยฟ้าด้วยลูกโป่งตรวจอากาศ (weather balloon)
นับร้อยลูก ได้สำเร็จจริง

             http://www.youtube.com/watch?v=rV6rNqin4P8

นอกจากดรามาในหนังแล้วยังมีดรามานอกจอด้วย ครับ

                           Pixar Grants Dying Kid's Last Wish to See "Up"

               ในปี 2009 ขณะที่ UP ออกฉายในโรงหนัง พิกซาร์ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ
สำหรับเด็กหญิงอายุ 10 ขวบซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เธอเคยดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้
แล้วชอบมาก และมีความหวังที่จะยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อนตาย แต่อาการของเธอ
หนักเกินกว่าจะพาไปดูในโรงหนังได้
                  พิกซาร์จึงจัดส่งพนักงานพร้อมดีวีดีหนังเรื่องนี้มาฉายให้เธอดูถึงบ้าน 
                  เธอเสียชีวิตไม่นาน(เก้าชั่วโมง) หลังจากที่ความหวังครั้งสุดท้ายนี้เป็นจริง     

 :D

ต่อครับ

                 ส่วนที่ประทับใจเป็นช่วงคุณปู่กับคุณย่าวัยเยาว์ดังเล่า ครับ
   
                 หลังจากนั้นก็เป็นการผจญภัยในป่าฝน ที่มีหนูน้อย Russell เป็นผู้ร่วมทาง
โดยอุบัติเหตุ เพราะหนูรัสเซลล์มาเยี่ยมคุณปู่ที่บ้านเพื่อจะได้ตราตั้ง "เด็กดีมีคุณธรรม" จากการช่วยดูแล
ผู้มีอายุแล้วติดอยู่นอกชานขณะที่บ้านออกบิน


             

             ทั้งสองได้พบกับนกยักษ์สีสดสวย สุนัขที่มีอุปกรณ์พิเศษทำให้พูดได้ และ
Charles Muntz นักสำรวจชื่อดังที่หายไปในป่าเวเนซูเอลา ผู้รับบทตัวร้ายหมายจับนกยักษ์ที่หายากนี้

เด็กใส กับไม้ใกล้ฝั่ง ในป่าใหญ่ - ไม่น่ารอด

           ในที่สุด ตามขนบการ์ตูนเรื่องราวก็จบลงอย่างสุขสม คาร์ลและรัสเซลล์ช่วยนกยักษ์ไว้ได้
และเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

             ฉากประทับใจตอนจบ ปู่คาร์ลมอบตราตั้งสำคัญให้รัสเซลล์ เป็นฝาขวดน้ำอัดลม
(grape soda pop cap) อันเดิมที่ย่าเอลลี่มอบให้ปู่เมื่อครั้งแรกพบ

       

ขอแทรกออกนอกเส้นทางของ Disney สักแป๊ปนะคะ

ใครเคยดูเรือง Indochine บ้าง นำแสดงโดย Catherine De Nuve(สะกดไม่ถูกค่ะ)

ในเรื่องโยงกับขบวนการกู้ชาติอินโดจีน หรือ เวียตนาม
และ ลูกบุญธรรม ที่เป็นเจ้าหญิงเวียตนาม หนีไปรักกับนายทหารเรือฝรั่งเศส
ตำนานความรักของเจ้าหญิงกับทหารเรือนี้ ถูกนำไปเล่นเป็นงิ้วตระเวณแสดงไปทั่วแผ่นดิน
มีเป้าหมายแฝงการปลุกใจให้กู้ชาติ ใต้จมูกของคนฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม

ท่านผู้ใดทราบบ้างว่า เค้าเรื่องตรงนี้ เป็นเครื่องจริงหรือไม่ และ
เจ้าหญิงคนดังกล่าวที่มีชีวิตต่อมาจนถึงวันทำสนธิสัญญาที่ปารีสนั้น เป็นใคร

คุณวิกี้เล่าไว้แค่นี้ค่ะ

http://en.wikipedia.org/wiki/Indochine_%28film%29

ที่เหลือรอคุณ SILA ดีกว่า

          จากวิกกี้  List of films based on actual events ไม่มีเรื่องนี้ ครับ

             เรื่องนี้เข้าฉายในโรงใหญ่ย่านสยามสแควร์ แต่(เสียดาย) ไม่ได้ดู ครับ

ฉากประทับใจในหนัง เรื่องต่อไป เชิญคุณ SILA ค่ะ
ถ้าคุณร่วมฤดีมาร่วมด้วย ก็จะยินดีมาก

รับไม้ต่อ แต่ขอเวลาเตรียม ครับ
 
            จากคำถามคุณร่วมฤดี จึงเลือกเรื่องที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง 

          เป็นดรามาแสนประทับใจ บทนำดำเนินเรื่องโดยนักแสดงเด็ก
อีกหนึ่งเรื่องจากสปีลเบิร์ก ครับ       

              แต่เรื่องนี้ แตกต่างจากอีทีที่เป็นไซไฟ แฟนตาซี ตรงที่เป็นดรามาหนักหน่วง
ดัดแปลง (ปรุงแต่งเติมความเข้มข้นและโหดร้าย) จากเค้าโครงอัตชีวประวัติของนักเขียน J.G. Ballard
ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อน
                  ผลงานนักเขียนผู้นี้อีกเรื่องหนึ่งซึ่งได้กลายเป็นหนัง(อื้อฉาว) คือ Crash

               ด้วย "แนว" นิยายของเขาที่แตกต่าง ทำให้เกิดคำว่า Ballardian ที่หมายถึง
ลักษณะที่คล้ายกับสภาวะดังบรรยายไว้ในงานเขียนของเขา

                 anything ‘resembling or suggestive of the conditions described
in J. G. Ballard's novels and stories, especially
              dystopian modernity, bleak man-made landscapes and
the psychological effects of technological, social or environmental developments.

นิยามโดย Collins English Dictionary

เรื่องจริงของเขานั้น "เบา" กว่าในหนัง -
   
The real Empire of the Sun: JG Ballard on how his childhood
inspired the gripping war film


http://www.dailymail.co.uk/news/article-1173287/The-real-Empire-Sun-JG-Ballard-Shanghai-childhood-inspired-war-film.html

                       Empire of the Sun (1987)


เวลา - ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง         
สถานที่ - จีนแผ่นดินใหญ่
บุคคล - เด็กชายชาวอังกฤษ
แนวเรื่อง - สงคราม ความไร้เดียงสาสูญสลาย

                   ดำเนินเรื่องโดยเด็กชายนักแสดงหน้าใหม่แต่ฝีมือไม่เบา ระดับได้รับรางวัล
"Best Performance by a Juvenile Actor" จาก National Board of Review
                       
                ปัจจุบันเด็กชายเติบใหญ่เป็นนักแสดงแถวหน้ามีออสการ์รับรองคุณภาพ - Christain Bale

         Jamie เด็กชายชาวอังกฤษผู้หลงใหลฝักใฝ่เครื่องบิน

          อาศัยอยู่กับครอบครัวร่ำรวยในนครเซี่ยงไฮ้

           เมื่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกจีนผ่นดินใหญ่ ขณะที่เจมี่พร้อมพ่อและแม่เดินตาม
คลื่นฝูงชนอพยพออกจากเมือง เด็กชายถูกคลื่นคนซัดพลัดพรากจากแม่เพราะมัวแต่ก้มลงไป
หยิบเครื่องบินจำลองที่หลุดจากมือหล่นพื้น 

             http://www.youtube.com/watch?v=S-D7Y9mdkYI

พลัดพราก

            น่าเวทนา คุณหนูผู้ดีต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า เร่ร่อนจนในที่สุดถูกทหารญี่ปุ่น
จับเข้าค่ายกักกัน

              เด็กชายใช้ชีวิตในค่ายทหารญี่ปุ่นร่วมกับเชลยคนอื่น โดยมีชื่อใหม่ว่า Jim
ปรับตัวและเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดในสังคมใหม่ที่แตกต่างอย่างตกขอบ ไม่มีบ้าน ไม่มีโรงเรียน
ไม่มีพ่อแม่และคุณครู
              วันเวลาผ่านไป เขายังคงหลงใหลในเครื่องบินเช่นเคย และเริ่มลืมเลือนภาพอดีต
ของตนไปทีละน้อย

             จิมสังเกตการณ์พิธีส่งนักบินกามิกาเซ่ไปรบพลีชีพ บรรยากาศและอารมณ์
จากภาพที่เห็นเบื้องหน้าพาให้จิมร้องเพลงกล่อมของเวลส์ (Welsh lullaby) ส่งนักบินด้วย

        http://www.youtube.com/watch?v=yyf059psVew

ขอบพระคุณอาจารย์เทาชมพูสำหรับข้อมูลจากคุณ วิกี๊ ค่ะ และ
ขอบคุณ คุณ SILA ที่ยืนยันว่า  INDOCHINE ไม่ใช่เรื่องจริง
บังเอิญดิฉันค่อนข้างจะจริงจังกับประวัติศาสตร์มากไปหน่อย
เรื่องไหน ปลอม อิง หรือ สะท้อนความจริง ของประวติศาสตร์ หากแยกได้ ก็อยากจะแยกให้ชัดค่ะ

ไม่เคยดูเรื่อง Empire Of The Sun ค่ะ แต่สนใจมากๆๆๆๆ

เชิญคุณ SILA บรรเลงต่อไปนะคะ จะตามอ่านไม่ลดละ และ จะไปหามา "สะสม"

เพราะบรรพบุรุษ มีอะไรเกีี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ตรงนี้ไม่น้อย
ก็แค่อยากเห็นบรรยากาศจำลองของยุคสมัยนั้นก็คุ้มค่าแล้วค่ะ

ขออนุญาต บ่น.. กับอาจารย์เทาชมพูเล็กน้อยค่ะ

ชื่อหัวข้อกระทู้ ทำให้ดิฉันหลงนึกว่า พูดกันแต่หนังเรื่องเดียว คือ Spoiler Alert
ทั้ง ๆ ที่คุยกันหลายเรื่องมาก น่าติดตามอย่างยิ่ง

น่าจะเปลี่ยนชื่อกระทู้ หรือ ตั้งกระทู้แยก กลุ่มไปเลย ว่า "ภาพยนตร์ประทับใจในอดีต"

บ่น จบ...แล้วค่ะ

 

คุณ SILA คงจะยิ้มแป้นกับคำชม  มีแรงพอจะเข็นกระทู้นี้ไปได้สัก 2000 ค.ห.

 SPOILER ALERT ไม่ใช่ชื่อหนังค่ะ  เป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้กันในกลุ่มคนรีวิวหนัง    เขียนด้วยตัว Capital letters  หมายถึงการเตือนให้คนอ่านรู้ว่า จะเอาฉากเด็ดหรือตอนจบที่สำคัญของหนังมาเล่ากันเน้อ     ใครไม่อยากรู้ เพราะกลัวไปดูหนังแล้วหมดรสชาติ ก็ผ่านตอนนี้ไป ไม่ต้องอ่าน
เมื่อคุณ SILA เอาฉากประทับใจอันเป็นส่วนชิ้นปลามันของหนังมาเล่าเสียก่อนในกระทู้    ก็เลยเตือนคนที่ยังไม่ได้ดูแต่อาจจะตามไปหามาดู ให้รู้ตัวก่อน   จะได้ไม่เซ็งเมื่อไปดูทั้งเรื่องเข้าจริงๆ ว่ามันจืดไปซะแล้ว

ศัพท์นี้คนไทยเอามาใช้ว่า สปอยล์ น่ะค่ะ   คุณร่วมฤดีคงเคยได้ยิน   " อย่าหาว่าเราสปอยล์ตอนจบนะ  แต่ตอนท้ายพระเอกตายจริงๆค่ะ"

เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วค่ะ SPOILER ALERT เป็น Slang นี่เอง.....ขอบพระคุณที่ให้ความสว่างค่ะ

ขอบคุณ คุณร่วมฤดีและอาจารย์ ครับ  ;D

ต่อครับ

           จิมซึ่งมีใจให้(เครื่องบิน)ญี่ปุ่น แลตามเที่ยวบินมรณะ "ไปลับไม่กลับมา"   


               

          แต่ เมื่อเครื่องบินรบของอเมริการ่อนมาโจมตีที่ค่าย จิมก็ลืมกลัววิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า
เพื่อเฝ้ามองดูเครื่องบิน P-51 Mustang โฉบทิ้งระเบิดทำลายล้างอย่างชมชื่น ตื่นตาตื่นใจ

           ความเสียหายอย่างหนักบังคับให้ทั้งทหารญี่ปุ่นและเชลยต้องอพยพออกจากค่าย
ระหว่างการเดินทางอย่างทรหดเพราะความอดอยากตรากตรำ หลายชีวิตปลิดปลิวจากร่าง

           วันหนึ่ง ขณะที่จิมก้มลงมองของคุณนายวิคเตอร์-เชลยร่วมค่ายที่เพิ่งสิ้นใจ
ปรากฏแสงเรืองรองส่องร่างของเธอราวกับว่าดวงวิญญาณได้ลอยสู่สวรรค์ เมื่อมองไปที่ขอบฟ้า
ดวงไฟลูกใหญ่สุกสว่างเปล่งแสงจ้าก่อนที่จะลับวูบลง แต่ส่งลำแสงพุ่งกระจายสู่ฟากฟ้า

           http://www.youtube.com/watch?v=IZuDGkzPWVs

           วันต่อมาจิมจึงได้รับรู้ว่าปรากฏการณ์ที่เห็นนั้นคือ ระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ
และ ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

I learned a new word today .. atomic-bomb.

             ในที่สุด ทหารอเมริกันได้พาจิมไปพักที่สถานดูแลเด็กกำพร้าสงครามในเซี่ยงไฮ้

เด็กชายชำรุดจากสงคราม

             เด็กชายเติบโตอย่างต้องสู้เพื่อเอาตัวรอดยามภาวะสงคราม ผ่านความเป็นและ
ความตายด้วยตนเอง ประสบการณ์เข้มข้นรุนแรงเกินวัยฝากรอยแผลไว้ในใจและเข้าแทนที่
ความทรงจำเดิมที่สดใสในสมอง

ทำให้เขาไม่สามารถจำมารดาและบิดาที่มารับตัวเขากลับไปได้ เมื่อแรกเห็นทั้งสองคือคนแปลกหน้า

         http://www.youtube.com/watch?v=mnAkgBzgqVI

เป็นหนึ่งในฉากจบที่ติดตาและสะเทือนใจที่สุด  ครับ

ขอบคุณที่นำหนังเรื่องนี้มาเล่าอีกครั้งค่ะ  จำได้ว่ามีหลายฉากที่สะเทือนใจ

ตอนที่เด็กชายพลัดกับพ่อแม่   เขาหาทางด้วยการกลับไปบ้านที่เคยอยู่ก่อนสงคราม  พบว่าในคฤหาสน์ คนใช้ชาวจีนกำลังขโมยขนรื้อข้าวของในบ้านอย่างเมามัน   พอตะโกนห้าม  สาวใช้ที่เคยรับใช้นายฝรั่งอย่างนอบน้อมเกือบจะเหมือนทาส ก็ตบหน้าเขาเต็มแรง
เด็กชายตกใจ  แต่แล้วก็ยืดตัวขึ้น จ้องหน้าอีกฝ่าย   แต่ไม่พูดอะไรเลย   โต้ตอบอะไรก็ไม่ได้

ฉากนี้ติดตามาก  มันทำให้รู้ว่าในภาวะวิกฤต  ระเบียบของสังคมและชนชั้นต่างๆถูกล้างหายไปในพริบตาเดียว  มนุษย์แบ่งเป็นแค่สัตว์โลกที่แข็งแรงกว่าและอ่อนแอกว่าเท่านั้นเอง
จากนั้นก็เข้าถึงทฤษฎีของดาร์วิน  Survival of the fittest  ผู้ปรับตัวได้เท่านั้นจึงจะอยู่รอด
คุณ SILA คงจำฉากที่เด็กชายคำนับทหารญี่ปุ่นได้

ส่วนฉากสุดท้าย ลุ้นใจหายใจคว่ำไปกับเด็กเชลยสงครามที่ชะเง้อมองหาพ่อแม่   พ่อแม่ก็มองหาลูก
ไม่อยากคิดว่ามีเด็กบางคน ไม่เจอพ่อแม่จนแล้วจนรอด   มันน่าใจหายจริงๆนะคะ

             เรื่องนี้ดูเหมือนทีมเขียนบทจะระดมฉากสะเทือนอารมณ์และประทับใจมาบรรจุไว้หลายตอน ครับ

                มีอีกฉากหนึ่งที่ข้ามไป  ครับ

                     หลังเหตุการณ์ระเบิดปรมาณู จิมย้อนกลับไปที่ค่ายเดิม ที่นั่นจิมได้พบกับ
สหายเด็กญี่ปุ่นผู้คุ้นเคยที่บัดนี้สวมเครื่องแบบเป็นนายทหารหนุ่มน้อย สหายเอื้อเฟื้อมอบผลไม้ให้จิม
แต่กลับถูกยิงตายเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะทำร้ายจิม เนื่องจากเขาเงื้อซามูไร(เพื่อผ่าผลไม้)เหนือตัวจิม

คลิปไม่ชัด และตัดทอน อีกทั้งผู้โพสท์ได้ปรับเสียงจิมให้"หนุ่ม" ขึ้น ครับ

          http://www.youtube.com/watch?v=br5LVYsR45s

Jim: He gave me a mango!

Basie: I’ll give you a whole goddamn fruit salad.
          There are Frigidaires falling from the sky. It’s kingdom come!

Jim: He was my friend!

Basie: He was a Jap!

Jim: The war’s over!

คลิปชัดกว่า จิมพยายามกู้ชีวิตเพื่อนชาวญี่ปุ่น       

             I learned a new word today. Atom bomb.
             It was like a white light in the sky. Like God taking a photograph...  

         http://www.youtube.com/watch?v=19UROAIbtlw  

เด็กน้อย Christian Bale ไม่พรั่นประชันบทบาทกับนักแสดงมากฝีมือ Johm Malkovich
ผู้รับบท Basie เชลยสงครามร่วมค่าย

 :)

            ขอคั่นสั้นๆ ด้วยนักแสดงเด็กเจ้าบทบาทที่เติบโตเป็นนักแสดงมากฝีมือจนคว้าออสการ์เช่นกัน ครับ

           Natalie Portman นักแสดงนำหญิงออสการ์คนล่าสุดจากหนังเรื่อง Black Swan
กับบทบาทเมื่อวัยเด็กในหนังเรื่องแรกของเธอที่ติดตาติดใจ
 
                        Leon: The Professional (1994)

           หนังแอ็คชั่น ตื่นเต้นของผู้กำกับฝรั่งเศส Luc Besson ตัวนำ - Leon นี้สืบเนื่อง
มาจากตัวสมทบในหนังฝรั่งเศสเรื่องก่อนของเขา (La Femme Nikita) ที่ชื่อ Victor
มีบทบาทเล็กน้อยในตำแหน่ง "คนทำความสะอาด" (cleaner) ทำการขจัด "ขยะ" ซึ่งรวมทั้ง
สิ่งมีและไม่มีชีวิตในที่เกิดเหตุ ด้วยกรรมวิธีโหดเหี้ยมเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอย รับบทโดย Jean Reno
           ด้วยลักษณะตัวละครที่แรงน่าสานต่อ ผู้กำกับจึงนำมาเดินเรื่องในหนังเรื่องต่อมา
เป็นเหตุการณ์ในนิวยอร์ค และให้ชื่อว่า Leon ทำหน้าที่นักขจัดชีวิต รับบทโดย Jean Reno คนเดิม
และผู้กำกับอธิบายว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องชาวอเมริกันของวิกตอร์  

             เขาไม่มีบ้าน เพราะต้องดินทางไปปฏิบัติงานตามที่ต่างๆ แล้วแต่ออร์เดอร์
ไม่มีครอบครัว โดดเดี่ยวไร้พันธะ ไร้หัวจิตหัวใจ? สมบัติมีเพียงกระเป๋าเท่านี้ กับ
ต้นไม้ในกระถางพร้อมเคลื่อนย้ายไปวางในที่ใหม่ ไม่ลงรากฝังดิน

เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา

               It's my best freind.Always happy.No question.   

             เขาเช่าห้องในอพาร์ทเมนท์ที่เดียวกับครอบครัวชำรุด (dysfunctional family)
ของหนูน้อย Mathida ที่สวมบทโดยNatalie Portman อาศัยอยู่
            

             พ่อของมาทิลดารับจ้างเก็บโคเคนไว้ในห้องพัก แต่แอบขโมยยาบางส่วนไป
ความผิดครั้งนี้ถือว่าหนักหนายิ่งนัก วันหนึ่งทีมฆ่าจึงบุกมาห้องพักเพื่อลงทัณฑ์

             มาทิลดารอดตายเพราะไม่อยู่บ้าน เมื่อเธอกลับมาและเดินผ่านห้องพัก แลเหลือบเห็น
กลุ่มคนร้ายกับผลงานฆ่าล้างครอบครัวของเธอ (ไม่เว้นแม้แต่น้องชายตัวน้อย น่ารัก) เธอต้องสะกด
กลั้นน้ำตา ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา เดินผ่านห้องของเธอไปเหมือนไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้เรื่อง
             จนมาสุดทางถึงหน้าประตูห้องของ Leon เธอกดกริ่งเรียกพร้อมเอ่ยวอนเสียงเบาๆ ว่า
โปรดเปิดประตูให้หนูด้วย... ได้โปรด

           http://www.youtube.com/watch?v=EtdKOGb3XSU

             วินาทีแห่งชีวิตผ่านนานราวกับชั่วโมง ก่อนที่นักฆ่าไร้จิตใจ? จะหมดความลังเล
ตัดสินใจเปิดประตูรับเธอเข้าสู่โลกส่วนตัวของเขา

มาทิลดาถามเขาว่า Is life always this hard, or is it just when you're a kid?

              หนังเรื่องต่อไปเป็นหนังสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ใกล้บ้านเรา
นั่นคือ สงครามเวียตนาม ครับ
                 
                 เป็นหนังสะท้อนผลสงครามที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้ทั้งรางวัลและคำวิจารณ์
ชื่นชอบ ที่สำคัญสำหรับบ้านเราคือ เป็นหนังที่เปิดตัวประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในฐานะโลเคชั่น
ที่หมายสำหรับการถ่ายหนังที่น่าสนใจ ด้วยว่าหนังยกกองมาถ่ายทำในบ้านเราจำลองให้เป็นเวียตนาม
สมัยสงคราม ทำให้มีหนังต่างประเทศเรื่องอื่นๆ ยกกองตามมาอีกหลายเรื่อง สร้างรายได้ และ
ผลกระทบมากบ้างน้อยบ้าง 

                       The Deer Hunter (1978)

            หนังความยาวร่วมสามชั่วโมง เล่าเรื่องราวแบ่งออกได้อย่างชัดเจนเป็นสามช่วง

              ช่วงแรก ณ ชนบทแถบ Western Pennsylvania กลุ่มสหายสนิทคนงาน
ในโรงงานถลุงเหล็กประกอบด้วย  Michael (Robert De Niro), Steven (John Savage),
Nick (Christopher Walken) และเพื่อนอีก 2-3 คน ใช้ชีวิตในเมืองที่ใกล้ชิดธรรมชาติป่าเขาสวยงาม

            จนถึงวันแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อสตีเวนจะเข้าพิธีแต่งงาน แล้ว
ทั้งสามต้องไปรับใช้ชาติในเวียตนาม
    
เฉลิมฉลองงานแต่งและงานเลี้ยงส่งไปสู่สมรภูมิสงครามห่างไกล ไม่คุ้นเคย

           ก่อนจากป่าเขาลำเนาไพรไปอีกซีกโลก ผองเพื่อนอำลาธรรมชาติด้วยกิจกรรมวันหยุด
ที่คุ้นเคย นั่นคือ การล่ากวาง
           ไมเคิลสำแดงฝีมือแม่นแบบ "นัดเดียว" เด็ดชีวิตสัตว์ถึงฆาตเหมือนเช่นเคย

             ที่บาร์ ว่าที่ทหารหาญถาม "Green Beret" ที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวเกี่ยวกับ
สงครามเวียตนามที่ตนกำลังจะได้ไปสัมผัส คำตอบที่ได้คือ F*ck it.

             ช่วงกลาง ณ สมรภูมิเวียตนาม จากนักล่ากวาง-สัตว์ไม่มีทางสู้ สู่สนามรบกับเวียตกง
เพื่อนรักทั้งสามถูกเวียตกงจับเป็นเชลย แล้วบังคับให้เล่นเกมพนันเดิมพันด้วยชีวิต Russian roulette

สตีเวนทำไม่ได้ ไม่ลั่นไก

จึงถึงคราวฉากเครียดสุดขีด russian roulette ระหว่างไมเคิลกับนิค

            http://www.youtube.com/watch?v=BPi2AetitZc

           ผู้กำกับใช้อภิสิทธิ์ศิลปิน (artistic license) แต่งฉากนี้ที่ไม่มีในเหตุการณ์จริงขึ้นมา
เพื่อสื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ของทหารในสงคราม ที่มีทั้งความกดดัน สั่นประสาท ความหวาดกลัว
วิตกในความไม่แน่นอน-คาดการณ์ไม่ได้ของความเป็นและความตายที่วนเวียนไม่ไกลแค่เหนี่ยวไกเท่านั้นเอง

             นักวิจารณ์แถวหน้า Roger Ebert อธิบายฉากนี้ว่า

             "it is the organizing symbol of the film:
            Anything you can believe about the game, about its deliberately
random violence, about how it touches the sanity of men forced to play it,
will apply to the war as a whole.
            It is a brilliant symbol because, in the context of this story,
it makes any ideological statement about the war superfluous."

             เบื้องหลังเล่าว่า ฉากนี้ นักแสดงประกอบคนไทยคนแรกแสดงไม่ได้ -
ไม่สามารถตบหน้า De Niro ได้
             จึงต้องหาคนใหม่ในแถบนั้นที่เป็นคนไม่ชอบขี้หน้าอเมริกันมารับบทนี้แทน

           นอกจากนี้ De Niro ยังแนะให้ตบ Walken จริงๆ โดยไม่บอกล่วงหน้า
ทำให้ได้ "ฟีล" ที่แท้จริง และ 
           Walken ได้ออสการ์สาขาสมทบชาย ส่วน De Niro ได้เสนอชื่อนำชาย

            ทั้งสามรอดตายและได้รับการช่วยเหลือในเวลาต่อมา

ฉากนี้ถ่ายทำที่แม่น้ำแคว ซึ่งมีความกว้างกำลังดี อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ มีโค้งเหมาะสำหรับ
สร้างเรือนกระท่อมใช้เป็นที่คุมขังในฉาก สายน้ำนี้แรงลวงด้วยผิวน้ำดูนิ่งแต่เบื้องลึกไหลเชี่ยว
และเฉียบเย็น

            ไมเคิลปลอดภัย แต่คนหนึ่งกายเสียหาย - สตีเวนได้รับบาดเจ็บที่ขา  และ
อีกคนคือนิค - จิตใจเสียหายทั้งยังสูญเสียความทรงจำ

             นิคออกจากโรงพยาบาลไปทั้งที่ยังจำความไม่ได้ เขาพาตัวเองไปยังย่าน "ไฟแดง"
และถูกชักชวนให้เล่นเกม russian roulette ที่มีเงินเดิมพันก้อนใหญ่ ไมเคิลตามมาพบ
แต่คลาดกันไป

ย่านไฟแดง ถ่ายทำที่พัฒน์พงศ์

            ช่วงปลาย ณ ชนบทงดงามบ้านเกิด ไมเคิลสวมเครื่องแบบประดับเหรียญตรา
แต่ทว่าภายในจิตใจหดหู่ กลับมาถึงบ้านแต่กลับไปต่อไม่ถูก เขายังไม่พร้อมที่จะพบใครๆ
ได้แต่แอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

            สงครามได้เปลี่ยนเขาไปไม่เหมือนเดิม ไมเคิลหลบไปพักโรงแรม อยู่กับความคิด
ความรู้สึกเจ็บปวด แปลกแยก ความสำนึกผิดรุมเร้าในใจตน เขารอดมาโดยไม่รู้ว่าเพื่อนรัก
ยังอยู่หรือตาย หรือหายสูญ

            ในที่สุด เขาก็ได้ทราบว่าสตีเวนกลับมาอย่างกายและใจเสียหายหนักและ
พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก

              เขาออกไปล่ากวางอีกกับเพื่อนที่เหลือ
  
             เมื่อนักล่ากวางจากอเมริกากลับกลายเป็นผู้ถูกล่าในสมรภูมิเวียตนาม แม้จะรอดชีวิต
กลับมาได้ แต่ความสูญเสียจากสงครามอันโหดร้ายได้เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเขาไป

                 "นัดเดียว " ของไมเคิลคราวนี้ ไม่เหมือนเดิม

Final Hunt      

             http://www.youtube.com/watch?v=AEEwxVxr7x8

             จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า และ กลับมาเป็นผู้ล่าที่ฆ่าไม่ลงในที่สุด

ประทับใจกับฉากจบ  ค่ะ
(แม้หัวคิดหาเรื่องจะรู้สึกว่ากวางมันเฉยไปหน่อยตอนปืนถูกยิงขึ้นฟ้า   เพราะเสียงปืนก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งภูเขา   กวางน่าจะตกใจมากกว่านี้)
โรเบิร์ต เดอนีไรเป็นยอดฝีมือ     ถ้าไม่มีอัล ปาชิโนมาขวางอยู่ เขาคงได้คะแนนโหวตอันดับ 1 จากดิฉันไปแล้ว  เล่นหนังได้ทุกแบบ  โหด ดี เครียด ตลก  เศร้า ทำได้หมด

รอเรื่องต่อไปจากคุณ SILA ค่ะ
ป.ล. ฉากกวางสง่างามนี้ทำให้นึกถึงกวางในเรื่อง The Queen ขึ้นมาได้   น่าสงสารกวางในเรื่องนั้นที่ในที่สุด มันก็ไม่รอด    เช่นเดียวกับเจ้าหญิงเหมือนกัน

            นึกถึงฉากกวางหนีมาพบ  The Queen เช่นกัน ครับ

      (หนังเล่าเหตุการณ์หลังการเสียชีวิตของเจ้าหญิงไดอะน่า กับการปรับเปลี่ยนท่าทีที่นิ่งเฉย
ของราชวงศ์โดยเฉพาะควีนอลิซเบธต่อเหตุการณ์นี้ ตามคำทูลแนะนำของนายกฯ โทนี แบลร์
เนื่องจากมหาชนเรียกร้องและความนิยมต่อสถาบันเริ่มตกลง)

โดยส่วนตัวมองว่า

                 กวางถูกล่า = เจ้าหญิงไดอะน่า ตั้งแต่ นาม ไดอะน่า ซึ่งหมายถึงเทวีแห่งการล่าสัตว์
แต่ ในชีวิตจริงเจ้าหญิงกลับเป็นผู้ถูกล่าด้วยปาปารัสซี่ฝูงใหญ่ที่ไม่มีใครเคยถูกล่าหนักหนาเท่านี้
                ในหนังยังมีฉากเชื้อพระวงศ์ดื่มและสนทนาเรื่องการล่ากวางในขณะที่โทรทัศน์เสนอรายการ
สารคดีชีวิตเจ้าหญิงด้วย

           ควีนเกิดความสงสารกวางที่ถูกล่า และยังเสด็จไปตามดูจนพบว่าถูกยิงในเวลาต่อมา
ทรงรำพึงว่า กวางคงจะไม่ได้ทรมานมากนัก  น่าจะทำให้ทรงคิดว่า แม้แต่กวางยังทรงรู้สึกเมตตา
สงสาร กับเจ้าหญิงซึ่งเป็นพระสุณิสาก็สมควรที่จะได้รับความเมตตาอย่างมาก แม้ว่าจะเคยบาดหมาง
แต่อีกฝ่ายก็จากไปแล้ว

            และ มองในอีกมุม กวางแสนสง่างาม คือ "เจ้า" แห่งป่าซึ่งถูกล่า ถูกต้อน เปรียบคล้าย
กับองค์เองที่ถูกประชาชนจำนวนมากมายเรียกร้อง(กดดัน)ให้ ไม่ทรงนิ่งเฉยต่อการจากไป
ของเจ้าหญิงไดอะน่า จนในที่สุดควีนจึงได้ปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามกระแสมหาชนนั้น

คนล่ากวางยังมีบทส่งท้ายต่อ ครับ

เฮเลน มิร์เรนสวมบทควีนเอลิซาเบธได้สมรางวัลตุ๊กตาทอง    ไม่รู้ว่าในชีวิตส่วนพระองค์ ควีนเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่เฮเลนทำให้เชื่อได้ว่าเรากำลังนั่งดูควีนแห่งอังกฤษอยู่ในโรงหนังจริงๆ
ดิฉันชอบการถอดลีลาท่าทาง บุคลิก และสำคัญที่สุดคือสีหน้าของเธอ   ช่างทำให้เชื่ออะไรได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
โดยเฉพาะเมื่อดูคลิปสัมภาษณ์  เห็นบุคลิกจริงของเฮเลนเวลาไม่ได้เล่นบท  คนละเรื่องกับในหนังเลยทีเดียว   อย่างนี้สิถึงเรียกว่าพรสวรรค์ในการแสดง

http://www.youtube.com/watch?v=fOyFPChhG6U&feature=related

ตัวจริง

http://www.youtube.com/watch?v=33Gx7k8hAPQ

            ไมเคิลไปเยี่ยมสตีเวนที่โรงพยาบาล และได้พบว่า เขาเป็นวีรบุรุษสงครามพิการ
ถูกตัดแขนหนึ่งข้างและขาทั้งสองข้าง จิตใจบอบช้ำ ไม่สามารถกลับไปอยู่บ้านพร้อมลูกและภรรยาได้
              สตีเวนบอกไมเคิลว่าเขาได้รับเงินส่งมาจากไซ่ง่อนเป็นประจำทุกเดือนโดยใครคนหนึ่ง
ซึ่งไมเคิลเชื่อว่าจะเป็นใครอื่นไม่ได้ ต้องเป็นนิค   

            ไมเคิลจึงเดินทางกลับไปไซ่ง่อนในช่วงปลายสงครามตามสัญญาที่เขาเคยให้ไว้
ว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนรัก

สถานทูตอเมริกาในวันที่ไซ่ง่อนใกล้แตก ถ่ายทำที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล St. Gabriel's College

            เขาได้พบนิคในห้องพนัน Russian roulette

ผู้ดำเนินรายการชายอาวุโสคนกลางคือนักแสดงไทยที่คนดูคุ้นเคยจากประโยคฮิท
ในหนังโฆษณาว่า "ไปขายเต้าฮวยดีกว่า"

           นิคจำเขาไม่ได้และอยู่ในสภาพคนติดยา ปรากฏรอยแผลจากเข็มและเส้นเลือดอักเสบที่แขน

แผลกายยังพอเยียวยา ยากยิ่งกว่าคือแผลในใจ

              ไมเคิลตัดสินใจเล่นเกมเดิมพันชีวิต Russian Roulette กับนิคเพื่อที่จะหาทาง
เรียกคืนความทรงจำให้นิค
               นาทีชีวิตช่วงสุดท้าย ไมเคิลพูดถึงต้นไม้ ป่าเขา (ที่เคยไปล่ากวางด้วยกัน)
               นิคออกอาการคล้ายระลึกรู้ เขายิ้มให้และกล่าวว่า "นัดเดียว" ก่อนที่จะ

ลั่นไก

           บทส่งท้าย หลังสงครามและความตาย   

             เพื่อนสนิทพร้อมหน้ามารวมกันหลังงานศพนิค เพื่อนรักผู้จากไปในเวียตนาม
             ต่างเงียบงัน พูดอะไรไม่ออก ด้วยหลากความรู้สึกท่วมท้นใจ ทั้งเศร้าอาลัย ระคนโกรธ
ปนสงสัย ไม่เข้าใจ
             ในที่สุดความเงียบที่น่าอึดอัดก็ถูกทำลายลง เมื่อใครคนหนึ่งเป็นต้นเสียงร้องเพลง
ที่ทุกคนต่างร่วมร้องตาม เหมือนเป็นทั้งคำอธิบายที่มา ความหมายของสิ่งที่เป็นไป และคำปลอบใจให้แก่กัน
              เพลงนั้นคือ God Bless America

           http://www.youtube.com/watch?v=9LwGt9d1-lU 

            และฉากจบด้วยเพลงนี้ก็กลายเป็นประเด็นให้ตีความกันอย่างกว้างขวาง

              สำหรับ  Roger Ebert เขาบอกว่า   

                   the lyrics of "God Bless America" have never before seemed to me
to contain such an infinity of possible meanings, some tragic, some unspeakably sad,
some few still defiantly hopeful.

             หนังเน้นเล่าความโหดร้ายของสงครามที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตตนกับคนรอบข้าง  
และ ความประทับใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อนผู้ชาย
               หากยังมีตัวละครสมทบอีกหนึ่ง ซึ่งรับบทโดย - Meryl Streep เธอคือหนึ่งหญิง
คนกลางระหว่างสองชายสหายสนิท ด้วยว่าเธอคือคู่หมั้นของนิคที่ไมเคิลมีใจให้
               แม้เธอจะยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่ในตอนนั้น แต่ก็ได้ฉายแววนักแสดงเจ้าบทบาท
จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบ

           ฉากเวียตนามถ่ายทำในไทย พร้อมพร็อพอาวุธยานยนต์ได้ความร่วมมือจากกองทัพ
โดยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ หนึ่งในทีมงานเล่าว่า
            
           วันหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ พลเอกเกรียงศักดิ์บอกกับกองถ่ายว่า ต้องขนอาวุธกลับเพราะ
จะมีปฏิวัติในสุดสัปดาห์นี้

                 I have a military coup. But it won’t take long.
              There’ll be a few people who’ll get shot on Sunday, and then
you can have the stuff back.