เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: tian ที่ 01 ก.พ. 10, 10:30



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 01 ก.พ. 10, 10:30
ได้มีโอกาสไปเดินเป็นนักแสวงบุญที่ตอนเหนือของสเปน เป็นเวลากว่า ๑ เดือน มีคนสนใจอ่านมั้ย ภาษาไทยของข้าพเจ้าไม่ดีนักเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตในเมืองไทยมากนัก ดีที่มีสกุลไทยช่วยให้ได้อ่านได้ดี  ถ้ามีคนสนใจอ่าน ข้าพเจ้าจะลองพยายามเขียน ให้อ่านสนุกๆ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 10, 10:41
กรุณาอธิบายเพิ่มเติมด้วยจะขอบคุณมาก
๑   เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) คืออะไร  เป็นชื่อหนังสือ หรือบทความ หรืออะไร
๒   ถ้าเป็นชื่อบทความ ที่คุณจะเขียนเล่าให้อ่านกัน  ก็เชิญเขียนได้ค่ะ
๓   ถ้าเป็นเรื่องแปล ต้องได้รับอนุมัติเรื่องลิขสิทธิ์ก่อน  มิฉะนั้นเจ้าของเรือนไทยจะเดือดร้อนไปด้วย


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 01 ก.พ. 10, 15:27
๑   เอล คัมมิโนเดซานติอาโก เป็นเส้นทางเดินของนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิค เพื่อเดินให้ถึงเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน ที่เมืองนี้มี ศพของนักบุญเจมส์ให้คนทั่วไปได้กราบใหว้บูชา (ในภาษาสเปนเรียกว่านักบุญซานติอาโก)  เส้นทางเดินไปเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลานี้ มีหลายเส้นทางด้วยกันในยุโรป ข้าพเจ้าเลือกเส้นทางที่เรียกกันว่า เส้นทางฝรั่งเศส
๒   ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร เหมือนเป็นบันทึกประจำวันมีอยู่ ๓๐ กว่าตอน พร้อมรูป
๓   เป็นเรื่องเขียนเองค่ะ  แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า อาจจะมีการสะกดผิดบ้าง


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 10, 16:26
ดิฉันจะแก้ตัวสะกดให้เอง ถ้าเป็นภาษาไทย


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 01 ก.พ. 10, 17:44
ขอบคุณมากที่สุดเลยค่ะ เรื่องรูปประกอบ อนุญาติให้รูปละกี่่ KB คะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 10, 18:23
ไฟล์ที่อนุญาต: doc, gif, jpg, mpg, pdf, png, txt, zip, kmz
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต: 250 KB. ต่อกระทู้
คุณส่งไฟล์ได้มากกว่า 1 ไฟล์ ต่อ 1 ความเห็นค่ะ   แต่รวมแล้วไม่เกิน 250 KB. ต่อกระทู้

วิธีใส่รูป  คลิกที่ ตัวเลือกเพิ่มเติม   นะคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 01 ก.พ. 10, 18:50
ก่อนอื่นผมขอเล่าคร่าวๆว่าทําไมแม่และตัวผมถึงมาเป็นนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิคไปได้ โดยที่แม่นับถือศาสนาพุทธและผมไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย ทั้งๆที่ผมโตในประเทศที่เป็นแคธอลิคเกือบทั้งประเทศ ผมมีพ่อแม่ที่ทันสมัยเอามากๆ แม่สอนผมเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ทุกๆอย่างที่แม่รู้หรือที่จําเขามาอีกที โดยไม่เคยบังคับให้ฟัง ประเภทอยากฟังก็ฟังไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง ส่วนพ่อแม้จะเป็นแคธอลิคแท้ก็ยกหน้าที่ให้ย่าซึ่งโกรธกับพระเจ้าและเยซูตั้งแต่ปู่ตายไปเมื่อย่าอายุ ๔๗ ปี ตัวผมเองก็ไม่ได้เข้ารีตตามศาสนาแคธอลิค และโรงเรียนที่ผมเรียนก็ไม่ได้สอนวิชาศาสนาหนึ่งศาสนาใดโดยเฉพาะ พวกเราได้เรียนรู้ในหลักการของทุกๆศาสนาในโลกเพราะฉะนั้นความรู้ด้านศาสนาของผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ผมพอจะสรุปเอาเองได้ว่าพ่อ แม่และย่าช่วยกันสอนให้ผมเป็นเด็กดีมีนํ้าใจเพื่อต่อไปผมจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และให้ผมมีโอกาสเลือกเอาเองตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วว่าผมอยากจะนับถือศาสนาอะไร
แม่และผมมาเป็นนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิคด้วยมีผมเป็นต้นเหตุ  อย่างที่บอกไว้แต่ต้นผมอยู่ในประเทศที่คนส่วนมากนับถือศาสนาแคธอลิค ไม่ใช่แค่เป็นประเทศแคธอลิคเฉยๆแต่เป็นประเทศแคธอลิคที่มีเส้นเดินทางของนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิค คือ เอล คัมมิโนเดซานติอาโก (El Camino de Santiago) เส้นทางนี้เริ่มจากฝั่งตะวันออกของประเทศไปจนถึงฝั่งตะวันตกโดยจบเอาที่ที่เมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) ผมว่าท่านผู้อ่านคงจะเดาออกว่าผมกําลังพูดถึงประเทศสเปน เส้นทางไปเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลานั้นสามารถเริ่มเดินจากที่ใหนก็ได้ในยุโรป (หรือในโลก เขาว่ากันว่า) แต่ผมจะกล่าวถึงเส้นทางที่เรียกกันว่า เอล คัมมิโน ฟรันเซส  (el camino frances) ซึ่งแปลได้ว่า เส้นทางเดินฝรั่งเศส ซึ่งที่แม่และผมจะเดินในส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้เท่านั้น โดยเริ่ม เมืองเล็กๆ ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเมืองที่ติดชายแดนประเทศสเปน มีเขาพีเรนีซ (Pyrenees) เป็นพรมแดน

 


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 02 ก.พ. 10, 21:40
น่าสนใจครับ ขอลงชื่อรออ่านด้วยคนครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 03 ก.พ. 10, 03:29
แม่ทําท่าประหลาดใจมากตอนที่ผมบอกว่าอยากจะไปเป็นนักแสวงบุญ แต่ความที่แม่กลัวว่าผมจะรู้ว่าแม่ไม่รู้ แม่รีบตอบว่า
“ถ้าไปเราต้องไปกันตอนหน้าร้อน”
ก็แน่ละครับว่าต้องเป็นหน้าร้อน ใครเขาจะไปตอนหน้าหนาวกันบ้าง ไหนจะหิมะ ไหนจะฝน ไหนจะลม ผมว่าไม่มีใครอยากจะไปเดิน ๘๐๐ กิโลเมตร ตากลม ตากฝน แถมต้องลุยหิมะอีกต่างหาก 
“งั้นเราไปกันเดือนสิงหาคมเข้ากันยายนนะแม่”
จากนั้นผมก็เห็นแม่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืนหาข้อมูล เข้าออกร้านขายหนังสือเป็นว่าเล่น แต่ผมก็ไม่เห็นว่าแม่จะได้ข้อมูลซักเท่าไร ขนาดนักเขียนชื่อดังอย่าง “จันทรำไพ” ส่งข้อมูลมาให้แม่ยังอ่านไม่เข้าใจ ไม่ไช่ “จันทรำไพ”  เขียนไม่ดีนะครับ เพียงเพราะแม่ผมไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นแม่ค้นหาข้อมูล ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าแม่และผมจะได้ไปเดินกันจริงๆหรือเปล่า
“แม่ว่าเราไปหาข้อมูลเอาข้างหน้าแล้วกัน ไปถามคนแถวนั้นเอา เส้นเดินทางชื่อดังขนาดนี้ต้องมีคนรู้ละน่า”
แม่ผมเป็นคนแบบนี้แหละครับ ไปตายเอาดาบหน้า จะให้นั่งจัดโปรแกรมแม่คงหัวใจวายตายไปเสียก่อน แม้ว่าผมจะเสนอจัดโปรแกรมให้แม่ก็ไม่ยอม อ้างว่าผมจะรู้อะไร ตัวแม่เองอ่านทั้งหนังสือ ทั้งอินเตอร์เนต แถมมี “จันทรำไพ” ช่วย ยังไม่รู้เรื่องเลย
“เราไปกันแบบไม่รู้นี่แหละ เราจะไดัไปอย่างอิสระ ไม่ต้องตามใคร ไปครั้งนี้ไม่ได้ดังใจ ครั้งหน้าก็ต้องดีกว่าครั้งนี้แน่ๆ”
นี่แหละแม่ผม ยังไม่ได้ไปครั้งนี้หรือครั้งไหนเลย เตรียมจะไปครั้งหน้าซะแล้ว ท่านผู้อ่านคงจะนึกภาพแม่ผมออกนะครับ
เราเตรียมตัวกันเป็นการใหญ่ เริ่มด้วยการไปซื้อกระเป๋าสะพายหลังและรองเท้าบูทหุ้มข้อเท้า (ซึ่งควรจะซื้อสองเบอร์ใหญ่กว่าปกติ) ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องซื้อล่วงหน้าอย่างตํ่าสามเดือน เพราะต้องรองแบกกระเป๋าและใส่รองเท้าเดินทุกวันก่อนจะไปเดินจริงๆ  ถ้ารองเท้ามันจะกัดก็ให้มันกัดซะก่อนไป แล้วสมบัติที่ใส่ในกระเป๋าสะพายหลังก็ไม่ควรหนักเกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักของคนสะพาย  แม่ซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบหอบสัมภาระเลยสบายใจเป็นอันมาก ขาดเหลืออะไรก็ไปหาซื้อเอาข้างหน้า เอาเป็นว่าสุดท้ายรายการสมบัติที่จะเอาไปด้วยมีดังนี้
•   รองเท้าแตะ แบบใส่สบายไว้ไส่ตอนเย็น เวลาเดินเล่นในเมือง
•   เสื้อยืดสามตัว ถ้าเป็นสีขาวจะดีมาก จะมองไม่เห็นคราบเกลือเวลาเหงื่อออก แบบซักง่ายและแห้งเร็ว
•   ถุงเท้าแบบบางสำหรับใส่ข้างใน(liner) สามคู่ (ถ้าหาแบบมีแยกห้านิ้วเท้าได้จะดีมาก มียี่ห้อ Injinjiโปรดดูได้ที่www.injinji.com)และถุงเท้าแบบเดินเขาอีกสามคู่
•   กางเกงในสี่ตัว
•   ยกทรงสามตัว
•   กางเกงขาสั้นหนึ่งตัวแบบซักง่ายและแห้งเร็ว
•   กางเกงขายาวหนึ่งตัวแบบซักง่ายและแห้งเร็ว และสามารถถอดซิบเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นได้
•   เสื้อยืดหนากันหนาวแขนยาวหนึ่งตัว
•   เสื้อกันฝนกันลมสำหรับเดินขึ้นเขาและตอนอยู่บนเเขาซึ่งอากาศจะเย็นมากถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม
•   ถุงพลาสติกสี่หรือห้าใบสำหรับใส่เสื้อผ้าก่อนจะยัดลงไปในกระเป๋า ถ้าฝนตกเวลาเดิน เสื้อผ้าจะได้ไม่เปียก
•   เข็มกลัดหนึ่งโหลสำหรับเสื้อผ้าที่ซักตอนกลางคืนแล้วไม่แห้งต้องตากต่อตอนเช้าโดยการห้อยติดกับกระเป๋าสะพายหลัง
•   เข็มเย็บผ้าพร้อมด้ายห้าชุด อันนี้สำคัญมากไม่ใช่เอาไว้เย็บกระดุม แต่เอาไว้เจาะแผลพุพองตามเท้า เพื่อให้นํ้าหนองไหลออกมาอย่างสะดวก เข็มที่ใช้เจาะ ก็ต้องสนด้ายชุบด้วยแอลกอฮอล์ตามไปด้วยและทิ้งด้ายคาไว้ที่แผลทั้งคืน ตามด้วยยาแดง
•   สบู่เหลว เอาไว้เป็นทั้งสบู่ถูตัว สระผม และซักผ้า เรียกว่า three in one เลยทีเดียว เพื่อประหยัดเนื้อที่และนํ้าหนักในกระเป๋า
•   ยาสีฝันและแปรงสีฝัน
•   ยาแดง
•   แอลกอฮอล์สำหรับเช็ดแผล อันนี้เอาไว้ชุบเข็มเย็บผ้าและด้าย
•   ยาแก้ไข้ ยาแก้ปวด เอาไว้กินช่วงวันแรกๆ ของการเดินทาง โดยเฉพาะ ช่วงเจ็ดถึงสิบวันแรก ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวกับการเดินวันละ  ๒๐ กิโลเมตรได้ เพราะฉะนั้นจะปวดเนื้อปวดตัวมากโดยเฉพาะขาและเท้า
•   ยาแก้ท้องร่วง
•   กรรไกร สำลี พลาสเตอร์ปิดแผล
•   กระดาษชำระ เวลามีเหตุฉุกเฉินกลางทาง
•   ไม้เท้า สำหรับเดินขึ้นและลงเขา อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะเวลาลงเขา
•   หมวกและแว่นกันแดด
•   กล้องถ่ายรูป
•   โทรศัพท์มือถือพร้อมที่ชาจถ่าน ถ้าเป็น I-phone ได้ก็จะดีมาก เพราะมีกล้องถ่ายรูป และ GPS ให้ ด้วย จะได้ไม่หลงทาง (แต่แพงมาก)


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 04 ก.พ. 10, 05:02
วิธีจัดกระเป๋าของแม่ก็ง่ายๆ ของหนักเอาไว้ข้างล่าง เสื้อผ้าเอาใส่ถุงพลาสติก ถ้าฝนตกเสื้อผ้าจะได้ไม่เปียก ผมถามแม่ถึงถุงนอนกับผ้าขนหนู เวลาเราต้องไปนอนตามบ้านพักของนักแสวงบุญ (refugio, alberque) ซึ่งบางทีก็ต้องนอนบนพื้นร่วมกับนักแสวงบุญคนอื่นเป็นสิบๆคน
“เราไม่ได้นับถือศาสนาแคธอลิคเพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทนทุกข์ทรมานโดยการไปนอนตามบ้านพักของนักแสวงบุญ ศาสนาพุทธสอนให้เราเดินเส้นกลาง ไม่ต้องทรมานและไม่ต้องหรูหรา โรงแรมเล็กๆตามเส้นทางถูกๆมีเยอะแยะ เราจะไปพักกันที่นั่น ไม่ต้องไปนอนแย่งบุญกับนักแสวงบุญคนอื่น  ไม่ต้องหอบถุงนอนกับผ้าขนหนู โรงแรมเล็กและถูกขนาดไหนก็ต้องมีเตียงให้นอนมีผ้าขนหนูให้ไช้ล่ะน่า” แม่ตัดบทง่ายๆ

เส้นทางที่เราจะไปเดิน มีเครือข่ายบ้านพักสำหรับนักแสวงบุญระหว่างทางแทบทุกเมืองที่เดินผ่าน ว่ากันว่าเมื่อก่อนนั้นไม่คิดค่าพักแต่รอให้นักแสวงบุญที่มาพักบริจาคช่วยเหลือค่านํ้าค่าไฟร่วมถึงค่าบำรุงต่างๆ ประเภทมีน้อยให้น้อยมีมากให้มาก แต่มันไม่ได้ผลเพราะน้อยคนที่จะบริจาค เลยต้อง เปลี่ยนระบบใหม่คือต้องจ่ายค่าพักทุกคน โดยคิดค่าที่พักถูกมาก (ระหว่าง ๓ ถึง ๗ ยูโร)แล้วบ้านพักนี้สำคัญมากสำหรับนักแสวงบุญหรือไม่แสวงบุญเช่นแม่และผมเป็นต้น ซึ่งผมจะเล่าต่อไปดั้งนี้
             เมื่อเราตัดสินใจกันได้ว่าเราจะเริ่มเดินจากเมืองไหน เราจะต้องไปหาบ้านพักนักแสวงบุญเพื่อไปเอาเอกสารซึ่งเรียกกันว่า เครเดนเซียล เดล เปเรกรีโน  (credencial del Peregrino)  ในภาษาสเปน หรือ การ์เนท์ เดอ แพเลอแรง (carnet de pelerin) ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแม่เรียกเป็นภาษาไทยซะหรูว่า “ใบเบิกทางสู่สวรรค์”  มีกฎว่าถ้าเดินทางด้วยเท้าหรือด้วยม้าหรือลาอย่างตํ่า ๑๐๐ กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นที่ไหนก็ตาม จนถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) สามารถไปรับใบประกาศนียบัตรหรือที่เรียกกันว่าคอมโพสเตลา (Compostela) รับประกันว่าขึ้นสวรรค์แน่ๆ ที่สำนักงานนักแสวงบุญ ทางสำนักงานก็จะตรวจดูว่าเดินมาจริงๆหรือเปล่าโดยการตรวจตราประทับพร้อมวันที่ ซึ่งตราประทับทั้งหลายนี้ได้มาจากบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆที่เดินผ่านมา ถ้าหาบ้านพักนักแสวงบุญในเมืองใดเมืองหนึ่งไม่เจอ ก็ไปขอตราประทับในโบสถ์ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองที่เดินผ่าน แค่ขึ้นอยู่ว่าโบสถ์จะเปิดหรือเปล่าเท่านั้น ในเมืองเล็กๆโบสถ์จะปิดเป็นส่วนมากใดยเฉพาะตอนกลางวัน จะไปเปิดอีกทีก็ตอนหกโมงเย็นหรือทุ่มเอาโน้น ซึ่งเป็นเวลาสวดมนต์ของเมืองพอดี
             ถ้าไปตอนนี้ก็อาจโชคดีเจอพลเมืองทุกๆคนของเมืองก็ได้ แล้วข้อสำคัญอีกอย่างของเอกสารฉบับนี้ทำให้เราสามารถเข้าพักในบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆที่เดินผ่านได้ อย่างในกรณีของแม่และผม ถ้าเผื่อเราเดินผ่านเมืองที่ไม่มีโรงแรมให้พักซึ่งความจะเป็นไปได้นั้นสูงมาก ส่วนบ้านพักนักแสวงบุญนั้นมีอยู่ทุกๆเมืองที่เราต้องเดินผ่าน บางเมืองมีหลายแห่งด้วยซํ้าไป แล้วตราประทับของบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆนั้น มีตราแตกต่างกันไป เป็นที่น่าเก็บเป็นที่ระลึก  และถ้าโชคไม่ดีจริงๆขนาดที่ว่าหาบ้านพักนักแสวงบุญไม่เจอ (ซึ่งความเป็นไปได้สูงมากโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆที่ผมจะเอ่ยถึงต่อไป) และ โบสถ์ปิด ก็ไม่ต้องตกใจว่าจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะไม่มีตราประทับ คุณไปหาสถานีตำรวจ ให้ตำรวจประทับตราให้ หรือ สำนักงานนักท่องเที่ยวก็มีตราประทับให้เหมือนกัน
ผมเขียนมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่สอดเแทรกประวัติศาสตร์ของ เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) ให้ได้รู้กันบ้าง  ที่ผมไม่เล่านั้นประการแรกเป็นเพราะผมรู้นิดๆหน่อยๆ เลยทำให้ผมไม่อยาก”พยายาม” เขียนประวัติศาสตร์ แล้วอีกอย่างนักเขียนชื่อดังอย่าง “จันทรำไพ”ได้เขียนไว้แล้ว เอาเป็นว่าผมจะเล่าแค่เรื่องที่ผมกับแม่ไปทรมานอย่างมีความสุขเท่านั้นพอ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 05 ก.พ. 10, 05:42
เมื่อจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างได้ครบหรือเกือบครบ แม่และผมก็มาขึ้นรถไฟเที่ยวแรก ตอน ๗.๓๕ เช้าออกจากสถานี บาร์เซโลน่า ซันท์ (Barcelona Sant) เพื่อเดินทางไปเมือง พัมโพรนา (Pamplona) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน เรามาถึงเมืองพัมโพรนาก่อนเที่ยง (๑๑.๑๗)
พอลงจากรถไฟเราก็ไปหาแท็กซี่เพื่อจะไปเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท (Saint-Jean-Pied-de-Port) ในประเทศฝรั่งเศส ห่างออกไปประมาณ ๗๐ กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นเมืองเริ่มต้นของการเดินทางของแม่และผม (พร้อมด้วยนักแสวงบุญคนอื่นๆ)   สาเหตุที่เราตัดสินใจเอาเมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นเพราะแม่และผมต้องการเดินข้ามเทือกเขาพีเรนีซ (Pyrenees) จากฝรั่งเศสเข้าสู่สเปน   ระยะทางจาก ซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา นี้ขึ้นอยู่กับหนังสือที่คุณใช้ หนังสือที่แม่และผมใช้นั้นบอกว่า ๗๗๒ กิโลเมตร  แต่ป้ายบนเขาพีเรอนีซที่เราไปเห็นบอกว่า ๗๖๕ กิโลเมตร แต่จะกี่กิโลเมตรก็ตามแม่และผมก็ได้ตกลงกันว่าจะเดินให้ถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา ตามวิทีเดินทางของเราช้าบ้างเร็วบ้างตามอารมณ์ (ของแม่)
จริงๆแล้วเราสามารถขึ้นรถเมล์จากพัมโพรนาไปซังชองปิเอด์เดอพอร์ทโดยไปลงที่เมือง รอนเซสวายเยส  (Roncesvalles) ก่อน แล้วไปต่อรถแท็กซี่จากรอนเซสวายเยส  เข้าซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ซึ่งวิทีนี้จะมีราคาถูกกว่าขึ้นแท็กซี่โดยตรงจากพัมโพรนามากแต่จะต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน เพราะมีรถเมล์ออกจากพัมโพรนา ไปรอนเซสวายเยส  แค่วันละเที่ยวตอนหกโมงเย็น แล้วคนอย่างแม่ผมซึ่งไม่เคยมีความอดทนกับอะไรทั้งสิ้นจะไปนั่งรอรถเมล์ตลอดวันเพียงแค่จะไปเมืองที่ห่างออกไปแค่ ๗๐ กิโลเมตร อย่าหวัง ถึงแม้ว่างบประมาณของเราจะน้อยแม่ก็ยอมขึ้นแท็กซี่ เพื่อเราจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ที่พัมโพรนาแม่เดินถามคนเขาไปเรี่อยๆจนเดินไปพบแท็กซี่ซึ่งมีนักแสวงบุญนั่งรออยู่แล้วหนึ่งคน แท็กซี่คันนี้คิดราคา ๙๖ ยูโร แต่ขึ้นได้แปดคน แถมคนขับพาแวะกินกาแฟข้างทางอีกด้วย พร้อมทั้งชี้เส้นทางเดินให้ดู ว่าเราจะเดินทางผ่านเมืองไหนกันบ้าง  แต่แม่ก็คือแม่ ไม่ชอบรอ แม่ว่ารอแบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อีกห้าคนจะมาร่วมวง จะมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราเลยเดินไปหาแท็กซี่ที่ว่างและสามารถพาแม่และผมไปส่งถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทได้ เป็นแท็กซี่มีตเตอร์ ซึ่งแม่ถามราคาให้แน่ใจว่าไม่เกินหนึ่งร้อยยูโร คนขับก็ยืนยันว่าไม่เกินแน่ๆ
พอขึ้นแท็กซี่ได้ไม่นานแม่ก็เริ่มคุยกับคนขับ เขา ชื่อว่า ปายโย่ (Peio) มีลูกสอง ขับแท็กซี่ประจำอยู่ที่เมือง พัมโพรนา กว่าเราจะถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท แม่ก็ได้เบอร์มือถือของคุณปายโย่เรียบร้อย (๐๐๓๔ ๖๐๐ ๘๖ ๓๙ ๘๓) แม่ว่า เขามีอัธยาศัยดี ถ้าเรามีปัญหาจะได้เรียกใช้บริการเขาได้อีก


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 06 ก.พ. 10, 05:24
เมื่อเรามาถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทซึ่งเป็นเมืองเล็กๆติดชายแดนกับสเปน บ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสอง แม่ว่ายังไม่สายมากนักที่จะกินข้าวกลางวัน เราถึงได้รู้ว่าคนฝรั่งเศสกินข้าวเร็วกว่าคนสเปน พอเราไปถึงร้านอาหารหลายๆร้านเขาก็ไม่มีอะไรให้เรากินแล้ว วันนี้เลยอดกิน  แต่เริ่มต้นการพจญภัยด้วยการหาบ้านพักนักแสวงบุญเพื่อไปเอา“ใบเบิกทางสู่สวรรค์” แม่มีที่อยู่บ้านพักนักแสวงบุญซึ่งอยู่บนถนน  เดอ ลา ซิตาเดลล์ (rue de la Citadelle) เบอร์ ๓๙โชคดีที่เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะยากนัก ถึงกระนั้นก็หากันไม่เจอต้องถามคนไปตลอดทาง ผมได้ฟังแม่พูดภาษาฝรั่งเศส ให้ผมได้หัวเราะสำเนียงของแม่เล่น ใครว่าภาษาฝรั่งเศสเพราะและโรแมนติก ถ้าได้ฟังแม่ผมละก้อ คงเปลี่ยนใจไปเรียนภาษาเยอรมันกันหมด แต่ผมก็เห็นคนเข้าใจแม่ผมดี ไม่เห็นมีใครเขาหัวเราะแม่ผมซักคน ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านพักนักแสวงบุญ แต่ปรากฏว่าเขาปิด จะไปเปิดอีกทีตอนสามโมงเย็น แม่เลยยืนคุยกับเพื่อนนักแสวงบุญที่ยืนรอ
บ้านเปิด ยืนได้ประเดี๋ยวเดียวแม่ก็สามารถรู้ว่าเขาชื่ออะไรและมาจากใหน สาววัยทองชื่อแซวี่ (Sevi) มาจากประเทศอิตาลี มาเดินคนเดียว   หนุ่มสาววัยรุ่น แดนกับเจมมา (Dan and Jemma) จากอังกฤษ ไมค์กับเกล (Mike and Gail) จากแคนาดา แล้วก็อีกหลายๆคนที่ผมจำไม่ไหว เราคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ บ้านถึงได้เปิด เราเดินเข้าไปขอ เครเดนเซียล หรือที่แม่เรียกว่า “ใบเบิกทางสู่สวรรค์” ซึ่งผมก็จะเรียกตั้งแต่นี้ต่อไปเช่นกัน
ใบเบิกทางสู่สวรรค์ ราคาเล่มละสองยูโร เราต้องลงชื่อและที่อยู่พร้อมทั้งเบอร์หนังสือเดินทาง แล้วต้องบอกด้วยว่าเราจะเดิน ขี่จักรยาน ขี่ม้า หรือขี่ลา ถ้าใช้จักรยานต้องเดินทางอย่างต่ำ ๒๐๐ กิโลเมตรก่อนจะถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา  ถ้าเดิน ขี่ม้า หรือขี่ลาก็แค่ ๑๐๐กิโลเมตร



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 07 ก.พ. 10, 05:32
พอได้ใบเบิกทางสู่สวรรค์เราก็ไปเดินหาโรงแรม ส่วนมากเป็นโรงแรมเล็กๆมีไม่กี่ห้องนอน ซึ่งพอเราไปถึงก็เต็มหมดแล้ว โชคดีที่เราไปเจอโรงแรมเล็กๆบนถนนเดียวกับบ้านพักนักแสวงบุญ คือถนน  เดอ ลา ซิตาเดลล์ ซึ่งไม่ไกลจากกันมากนัก (บ้านพักนักแสวงบุญอยู่เบอร์ ๓๙ โรงแรมเราเบอร์ ๒๐) โรงแรมเมซอง แบร์นาท์ (Maison Bernat เบอร์โทร ๐๐๓๓ ๕ ๕๙ ๓๗ ๒๓ ๑๐) นี้มีแค่ สี่ห้อง ซึ่งทำได้น่ารักมาก เป็นห้องที่ไม่มีเบอร์ แต่ใช้ชื่อเมืองใกล้ๆกันมาตั้งเป็นชื่อห้อง เราได้ห้องชั้นบนสุด มีเตียงคู่และเตียงเดี่ยว ดูง่ายๆสบายตา ข้อเสียข้อเดียวของโรงแรมนี้คือค่าห้องเกินงบประมาณของเรา
“แต่วันนี้เราไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะร้านปิด เพราะฉะนั้นเราเอาเงินค่าข้าวกลางวันมาสมทบเป็นค่าโรงแรม แค่นี้เราก็อยู่ในงบประมาณแล้วละน่า”   เป็นไงครับแม่ผม อย่างกับกลัวว่าเงินมันจะขึ้นราถ้าเอาเก็บไว้  แต่อย่าไปเถียงกับเขาเลย เพราะแม่ผมชนะเสมอ
หลังจากเข้าโรงแรมเอาของไปเก็บ แม่ก็พาผมเดินชมเมือง  ซังชองปิเอด์เดอพอร์ท เป็นเมืองเล็กๆที่มีนักท่องเที่ยว รวมทั้งนักแสวงบุญเยอะมาก ข้าวของราคาแพงกว่าในสเปน เราแวะกินน้ำและขนมแก้หิว เพราะกว่าได้กินข้าวเย็นก็อีกนานโข เราเดินเล่นไปเรี่อยๆเพราะอากาศดีมาก เจอนักแสวงบุญที่เราเจอตอนไปเอาใบเบิกทางสู่สวรรค์ เลยชวนกันเดินเล่นเป็นหลายๆคน  พอตกเย็นก็ไปกินข้าวด้วยกัน  เรานั่งรวมกันบนโต๊ะใหญ่ แม่นับได้สิบกว่าคน แตกต่างชาติมีตั้งแต่แม่ซึ่งเป็นคนไทย ผมสเปน แล้วก็มีคนอังกฤษ คนแคนาดา คนเยอรมัน คนอิตาลี คนเดนมาร์ก คนฝรั่งเศส  โต๊ะเราเป็นโต๊ะองค์กรสหประชาชาติจริงๆ  แต่ละคนมาจากที่ต่างๆกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเดินให้ถึง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลา



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 07 ก.พ. 10, 11:35
อ่านสนุก  ขอร่วมทางผ่านตัวหนังสือด้วยคนนะคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 07 ก.พ. 10, 21:20
ขอบคุณ pakun2k1d ด้วยค่ะ ติได้นะค่ะ เพราะดิฉันเขียนเรี่อยๆ วันละนิดวันละหน่อยทุกวัน


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 08 ก.พ. 10, 05:10
วันแรกแม่ปลุกผมตอนเจ็ดโมงเช้า เพราะแม่บอกทางโรงแรมให้หาข้าวเช้าให้เราตอนเจ็ดโมงครึ่ง  เพราะตอนแปดโมงเช้าเรามีฤกษ์พจญภัยวันแรก เป็นวันแรกที่ค่อนข้างน่ากลัวเพราะเราต้องเดินขึ้น เขาพีเรนีซ เพื่อข้ามไปสเปน ก่อนมาเดินแม่ไปออกกำลังที่โรงยิมทุกวันเป็นเวลาเกือบสามเดือน แต่ผมไม่แน่ใจว่าแม่มีกาลังพอจะข้ามเขาหรือเปล่า เมืองจุดหมายของวันนี้คือเมือง รอนเซสวายเยส ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในสเปน ติดชายแดนฝรั่งเศส  คนสเปนโดยส่วนมาก (และอีกหลายๆคนชาติอื่นๆ)ที่ ใช้เส้นทาง เอล คัมมิโน ฟรันเซส จะเริ่มเดินจากเมืองนี้ เพราะไม่ต้องเดินข้ามเขาพีเรนีซ ในวันแรกของการเดิน โดยเหตุผลที่ผมจะค่อยขยายทีละนิดทีละหน่อยดังต่อไปนี้
เมืองรอนเซสวายเยส ห่างออกไป ๒๕ กิโลเมตร และเป็นเส้นทางชันขิ้นเขา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเดินทางในวันแรกอย่างยิ่ง  สองสามวันแรกเราสมควรจะเดินแค่วันละสิบถึงสิบสองกิโลเมตร โดยทางเดินปรกติไม่ต้องทางชัน หรือเดินขึ้นเขา (เช่นที่แม่และผมจะเริ่มทำ) หลังจากนั้นก็ค่อยเพิ่มระยะทางเดินขึ้นเรี่อยๆ จนในที่สุดก็เดินวันละยี่สิบกิโลเมตร เป็นวิทีเดียวที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายค่อยปรับตัวกับการเดินหลายๆชั่วโมงต่อวัน  ตามปรกติทั่วไปเราเดินได้ประมาณ สี่กิโลเมตร ต่อ หนึ่งชั่วโมง แค่คิดผมก็เริ่มเหนี่อย ถ้าเราเดินวันละ ยี่สิบกิโลเมตร หมายความว่าเราต้องเดินวันละ ห้าชั่วโมง แต่ถ้าเราแวะกินกาแฟ หรือ โค้กแก้เหนื่อยละก้อ มันจะต้องเกินห้าชั่วโมงแน่ๆ
จากเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ไปเมือง รอนเซสวายเยส นั้นมีสองเส้นทาง  เส้นทางแรกเป็นทางเดินบนเขาพีเรนีซโดยเดินขึ้นเขา (ข้ามเขา) และลงเขา เข้าเมืองรอนเซสวายเยส  ซึ่งมีชื่อเรียกว่า เส้นทางนโปเลียน (Route de Napoleon)   เส้นทางนี้มีคำเตือนว่าไม่สมควรเดินในวันที่อากาศไม่ดีโดยเฉพาะในฤดูหนาว หรือในวันที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนและมืดๆมัวๆ แม้จะอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม ถ้าอากาศแปรปรวนมากๆ อาจถึงขนาดมองไม่เห็นทางเอาได้
ส่วนเส้นทางที่สองเป็นเส้นทางเดินตามถนนราดยางมะตอย ซึ่งเป็นถนนปรกติทั่วไปที่มีรถวิ่งตลอดทาง พร้อมรถบรรทุก เรียกกันง่ายๆ ว่าเส้นทาง วาลคาร์โลส (Valcarlos)   เมืองวาลคาร์โลส เป็นเมืองด่านเมืองแรกของสเปน คนจะใช้เส้นทางนี้ ประการที่หนึ่งนักแสวงบุญบางคนเขาไม่ชอบเดินเขา เพราะกลัวเรื่องอากาศไม่ดี และกลัวเขาชื่อเสียงร้ายกาจแบบเขาพีเรนีซ ซึ่งเป็นปรกติของเขาทั่วๆไปที่มักจะมีอากาศแปรปรวนอยู่เสมอแบบเอาเหนือเอาใต้ไม่ได้ แม้กะทั่งพยากรณ์อากาศก็เชื่อถือไม่ได้  ส่วนประการที่สองนั้นถ้าอากาศไม่ดี ฝนฟ้าคะนอง มืดมนเต็มไปด้วยเมฆและหมอก แล้วคุณเดินตามถนนไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลงแน่ๆ แต่ห้ามเดินแบบสบายๆ เหมือนเพลงพี่เบิรด์ ธงไชย เพราะคุณจะมีโอกาศถูกรถชนตายเอาง่ายๆ ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าคุณโดนรถชนตายขึ้นมาจริงๆ ทางสมาคมเพื่อนของนักแสวงบุญของเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท เขาจะสร้างอนุสรณ์ไว้อาลัยให้ อาจจะได้ขึ้นสวรรค์โดยไม่ต้องเดินถึงเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลาก็เป็นไปได้  ประการสุดท้ายที่ผมคิดขึ้นมาได้ในวินาทีสุดท้าย ทางนี้เป็นทางที่เดินง่าย ทางไม่ชันมากเหมือนเส้นทางนโปเลียน แล้วไม่ต้องเดินให้ถึงเมือง รอนเซสวายเยส ภายในวันเดียว คุณสามารถเดินไปถึงแค่  เมืองวาลคาร์โลส มีโรงแรมให้นอนพักเพื่อเดินต่อวันรุ่งขึ้น  และเมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลาง ของสองเมือง คือเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท และ เมือง รอนเซสวายเยส
แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทางใหนดีกว่ากัน ถามแม่ แม่ก็ว่า แม่จะตัดสินใจในวันที่เราเดิน เพราะจะได้คอยดูดินฟ้าอากาศในวันนั้น พอถามว่า แม่จะเดินถึงเมือง รอนเซสวายเยส ไหวหรือ ภายในวันเดียว ตั้ง ๒๖ กิโลเมตรแถม ทางชันมากๆอีกต่างหาก  แม่ทำหน้าแปลกๆ แล้วรีบพูดแบบไม่เต็มปากเต็มคำว่า  “มันก็ต้องไหวละน่า”


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 08 ก.พ. 10, 19:20
ดูรูปกันก่อนนะค่ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 09 ก.พ. 10, 05:19
พอแปดโมงตรง เราแบกกระเป๋าสพายหลัง (ซึ่งแม่เรียกว่าเป้) พร้อมน้ำ และถั่วต่างๆเผื่อหิวกลางทาง อากาศดีมากๆ ฟ้าใส ไม่มีหมอกซักลูก ไม่หนาว ไม่ร้อนเรียกว่า เป็นอากาศในฝันเลยก็ว่าได้  แม่และผม (ซึ่งผมก็ประหลาดใจมากตอนแม่ถามความเห็นของผม)  ร่วมกันตัดสินใจว่าเราจะใช้ เส้นทางนโปเลียน  ด้วยเหตุนี้ผมจะเขียนเกี่ยวกับเส้นทางนี้เท่านั้น
พอเดินออกจากโรงแรม โดยเลี้ยวซ้ายจากโรงแรมแล้ว เดินตรงลงไปเรื่อยๆตามถนนรู เดอ ลา ซิตาเดลล์ มีลูกศรสีเหลืองชี้ทางไปตลอด
แม่ว่าต้องโง่จริงๆถึงจะหลงได้   ออกจากถนนรู เดอ ลา ซิตาเดลล์ เดินผ่าน รู เดสปานยฺ (rue d’Espagne) ต่อไปลอดประตูเมือง ลา พอร์ทเดสปานยฺ (la Porte d’Espagne)  แล้วก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ  แล้วก็จะมีถนนแคบๆราดยางมะตอย  โดยเริ่มด้วยเนินนิดๆหน่อยๆ จากนั้นก็เป็นเนิน ที่ชันมากๆ มีป้ายเขียนไว้ว่า เชอแมง เดอ ซัง ชาคส์ (Chemin de Saint Jacques)  ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งผมเรียกตามภาษาผมว่า เอล คัมมิโนเดซานติเอโกนั่นเอง
ทางเริ่มชันมากขึ้น เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทอยู่ประมาณ ๒๐๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล  จุดสูงสุดของการเดินทางวันนี้อยู่ที่ ๑๔๒๙ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  ซึ่งอยู่บนด่านเขา เลโปเอแดร์ (Lepoeder) ซึ่งห่างออกไปประมาณ ๒๑ กิโลเมตร หลังจากนั้นก็จะเป็นการเดินลงเขาอย่างเดียว อีกประมาณ ๕ กิโลเมตรจนถึงเมือง รอนเซสวายเยส   ตกลงวันนี้ทั้งวันจะเป็นวันไต่เขาของเราทั้งสองอย่างแน่นอน
แม่คงจะเหนื่อยมาก ผมเห็นแม่หยุดเดินเพื่อหายใจบ่อยมาก ผมกะได้ว่าเดิน ๑๐ นาที หยุด ๑๐ นาที แดดเริ่มแรงขึ้นตามเวลา เราเดินมาถึงหมู่บ้านเล็กมากๆซึ่งมีอยู่ซัก สามครัวเรือน ชื่อว่า ออนโต้ (Honto) มีบ้านพักของนักแสวงบุญ ผมเห็นว่าแม่มีท่าทางเหนื่อยมากๆ เลยเสนอว่าเราน่าจะพักนอนที่นี่ แต่แม่ว่าเราเพิ่งเดินได้แค่ ๕ กิโลเมตร แล้วก็ยังช้าวเกินกว่าจะหยุดเดินเพราะแค่สิบโมงกว่าเอง ขอนั่งพักซัก ๑๐ นาที แล้วน่าจะเดินต่อไปได้   ผมก็ออกจะเห็นด้วยเพราะ ไม่มีอะไรให้ดูใน ออนโต้ เลย มีแต่เขา วัวก็ไม่มี



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.พ. 10, 12:06
        เรื่องราวการเดินทางสนุกชวนติดตาม แต่อ่านแล้วจะตาลาย ครับ

          ขออนุญาตเสนอแนะ การจัดเรียงข้อความ ทั้งการย่อหน้า เว้นบรรทัด ให้มีที่ว่างอ่านแล้วไม่ลายตา

          โดยปกติ เมื่อพิมพ์ข้อความยาวๆ จะพิมพ์ลง notepad ก่อนแล้วจึงก็อปและแปะส่งลงกระทู้
          จากนั้นจึงเปิดกระทู้ดูผลงานข้อความ ถ้าเห็นว่าข้อความติดกันตลอดอ่านแล้วจะตาลาย ก็จะคลิก แก้ไข
เพื่อจัดการเว้นวรรคและบรรทัดให้โปร่งโล่งสบายตา แล้วคลิกส่งข้อความใหม่ครับ

           การพิมพ์ลง notepad ยังมีประโยชน์ในกรณีที่บางครั้งเน็ทขัดข้อง ส่งข้อความแล้วไม่เข้ากระทู้
จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ แต่ก็อปแปะจาก notepad อันเดิมแล้วส่งข้อความอีกครั้ง ครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 09 ก.พ. 10, 12:57
ขอบคุณ คุณSila มากค่ะที่ช่วยแนะนำ (หวังว่าคนละคนกับSila ของ da Vinci code นะคะ) จะลองทำดูอย่างที่คุณแนะนำ ดิฉันไม่เข้าใจเรื่องการย่อหน้าและเว้นบรรทัด มีกฎแนะนำมั้ยคะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าค่ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 10 ก.พ. 10, 05:45
เราเริ่มเดินกันต่อไป ทางชันมากขึ้นเรี่อยๆ พร้อมแสงแดดเริ่มร้อนแรงมากขึ้น โชคดีที่เราหอบน้ำใส่เป้ติดไปคนละสามลิตร
แม่เดินๆหยุดๆไปตลอดทาง แต่ไม่ได้มีแม่คนเดียวเท่านั้น  เราเจอเพื่อนนักแสวงบุญอีกหลายๆคนที่เมื่อคืนเรานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน 
เจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทักทายกันพอสมควร แล้วก็ต่างแยกย้ายกันเดินต่อไป  แม่ค่อยๆเริ่มสารภาพกับผม ว่าแม่เหนี่อยมาก
อาจจะเดินไม่ถึงจุดหมายของวันนี้คือ เมือง รอนเซสวายเยส   

แม่ท่าจะลืมว่าเราอยู่บนเขา ซึ่งไม่มีทางเลือกเท่าใดนัก เพราะ ไม่มีที่พัก แล้วเราก็ไม่มีอุปกรณ์ที่เราจะนอนกลางแจ้งบนเขาได้ 
ความที่แม่ไม่ชอบทำอะไรแบบมีแผนการณ์ล่วงหน้า  เพื่อนร่วมทาง เขาบอกแม่ว่า มีที่พักค้างคืน บนเขา
ชื่อว่า โอรีซซอง (Orisson ๐๐๓๓ ๕๕๙ ๔๙ ๑๓ ๐๓ หรือ ๐๐๓๓ ๖๘๑ ๔๙ ๗๙ ๕๖ หรือ www.refuge-orisson.com)
ห่างจาก ออนโต้ ไปประมาณ ๓ กิโลเมตร แม่คิดว่าเราอาจจะแวะพักที่นั่น เราเดินๆหยุดๆ ไปจนถึง โอรีซซอง เกือบบ่ายโมง

ห้องพักเต็มหมด เพราะมีแค่ สามห้อง ห้องละ หกเตียง  เขายังมีเต๊น หลังโรงแรม เผื่อ เวลาห้องเขาเต็ม แต่เราคงโชคร้ายจริง แม้เต๊นก็ไม่เหลือ 
เจ้าของเขาคงเห็นว่าท่าทางแม่คงจะไปต่อไม่ไหว เขาบอกกับเราอย่างใจดีว่า เขามีที่พักอีกแห่ง แต่อยู่ตีนเขา
ถัดไปจาก เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทประมาณ ๔ กิโลเมตร ชื่อ ว่า เมือง ซังชองเลอ์วิเออซ์ (St Jean le Vieux)
เป็นบ้านพักที่เพิ่งเปิด ค่าเช่าคืนละ ๓๐ ยูโร ต่อคน รวมอาหารเช้าและเย็น

ถ้าเราตกลง เขาจะขับรถไปส่ง แล้วไปรับพรุ่งนี้เช้า แล้วเอามาส่งที่เดิม คือที่ โอรีซซอง
เพื่อเราจะได้เริ่มเดินจากที่เราเดินถึงวันนี้ แม่ตกลงทันที เพราะไม่มีทางเลือก
เรานั่งกินโค้ก ได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีรถ มารับ พาเราไปส่ง เมือง ซังชองเลอ์วิเออซ์
เข้าพักบ้านพักที่ ชื่อ ยาวมาก ว่า จีท ดู คามป์ โรแมง เดอ ซังชองเลอ์วิเออซ์ (Gite du Camp Romain de St Jean le Vieux)

นั่งรถประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึง ที่พัก  แม่ถูกใจมาก เขาทำได้น่ารักจริงๆ มีสนาม กว้าง ติด น้ำ เป็นลำธาร เล็ก ดูสงบมากๆ
เรา เป็นแขกคู่แรก ที่พักเต็มหมด เหมือน โอรีซซอง  เราคุยกับเจ้าของ ได้ ซักพักก็มี ลูกหมามาเล่นด้วย เป็นที่ถูกใจผมเป็นอันมาก

เรานั่งเล่นกับหมา พร้อมกิน แซนด์วิช ซึ่งหอบมาจากโอรีซซอง  แล้วพาหมาไปเดินเล่น ใกล้ๆ ที่พัก พอเรากลับเข้ามาอีกที
แขกที่เหลือก็มาครบหมด ร่วมทั้งเราก็เป็น แปด คน  ความที่แม่ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาพักที่ๆ ไม่ไช้โรงแรม
เราเลยไม่ได้เตรียม ผ้าขนหนู ใส่เป้มาด้วย โชคดีที่เขามีให้ยืม ผืน ละ สาม ยูโร  เพื่อความประหยัด (จริงๆแล้ว งก) แม่ยืมผืนเดียว
 
แม่ว่า ระหว่าง เรา สองคนแม่ลูก ไม่มีใคร เป็นโรคผิวหนัง ไม่มีโรคติดต่อ เพราะฉะนั้นไช้ด้วยกันได้
ประมาณ หนึ่งทุ่ม เรานั่งรวมโต๊ะ กินอาหารเย็น พร้อมกันทั้งแปดคน คุยกันไปคุยกันมา
ถึงรู้ว่า ทุกคนเป็นนักแสวงบุญ เป็นแคธอลิค มีผมและแม่เท่านั้น ที่แตกต่างจากคนอื่น

อาหารก็แบบกินได้ ถ้าหิว 

บนโต๊ะ เราเจอผู้หญิงเดินคนเดียว ชื่อ ฮันนี่ 
ฮันนี่  เริ่มออกเดินทาง จากบ้านตัวเองคือประเทศฮอลแลนด์ เมื่อ สิบอาทิตย์ที่แล้ว
โดยเริ่มที่ บ้านตัวเอง ที่อยู่ ตอนใต้ของประเทศ  ทุกคนบนโต๊ะ ตกตะลึงไปตามๆกัน ใครจะนึกไปถึงว่ามีคนที่บ้ากว่าเราในโลกนี้



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.พ. 10, 09:55
          สนุก แบบมีลุ้นไปกับคุณแม่ และอ่านสบายไม่ลายตาแล้ว ครับ

            


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 10 ก.พ. 10, 12:31
ขอบคุณมากที่แนะนำ ดิฉันก็หายตาลายเหมือนกัน


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 ก.พ. 10, 05:13
เราตื่นมากินข้าวเช้าตอน เจ็ดโมง อากาศ ดูเปียกๆ มืดมัวสลัวตา ไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อวาน
แม่เองก็ไม่แน่ใจว่าสมควร กลับไปที่ โอรีซซอง เพื่อเดินต่อจากเมื่อวาน หรือให้เขาพาไปส่งเส้นทางวาลคาร์โลส
แม่กลัวหาทางไม่เจอ แล้วไปหลงกันสองคนอยู่บนเขา แต่ความกลัวรถชนมีมากกว่า

แม่และผมเลยตัดสินใจ ที่จะเดินเส้นทางเดิม ไปเดินต่อที่โอรีซซอง
แล้วก็ขอในใจให้ ซานติอาโก ช่วยปัดเป่าฝนให้หยุด ให้พระอาทิตย์กลับมาใหม่

เจ็ดโมงครึ่ง มีรถมารับเพื่อพาเราไปส่ง โอรีซซอง คนขับพาเราขับผ่านทางที่เราเดินเมื่อวาน
ทางมันชันจริงๆ เขาใช้เกียร์ต่ำขับขึ้น เราเห็นนักแสวงบุญเดินตลอดทาง
น่ามหัศจรรย์ ตรงที่ว่าวันนี้ เราใช้เวลาแค่ ครึ่งชั่วโมง   

ที่โอรีซซอง เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร พร้อมแซนด์วิชขนาดยักษ์อีกคนละอัน
แค่นี้เราก็พร้อมจะออกเดินทาง  ฝนยังตกอยู่อย่างสม่าเสมอ เราใส่เสื้อกันฝนและสวมหมวก

เราเริ่มเดินตากฝน ตอนประมาณ แปดโมงกว่า
เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ อากาศ ไม่ดีขึ้นแต่กับแย่ลง เพราะลมแรง
เดินทางราดยางมะตอยไปอีกพักใหญ่ๆ ก็จะเป็นเส้นทางขึ้นเขาจริง

โดยเฉพาะวันนี้ ทั้งเปียกทั้งลื่น ผมขอบคุณแม่เป็นการใหญ่ที่บังคับให้ผมหอบหิ้วไม้เท้าตามมาด้วย
เราใช้ไม้เท้าเดินตลอด วันนี้เราไม่ค่อยดื่มน้ำมากนัก เพราะอากาศออกจะเย็น ฝนตกๆหยุดๆพร้อมลม 
ซานติอาโก ท่าจะไม่ได้ยิน คำร้องของเราเป็นแน่

เราเดิน งำ ทางต่อไปเรื่อยๆ ที่ผมว่า งำ เพราะ เราไม่ค่อยเห็นป้าย หรือลูกศรนำสีเหลืองที่ชินตา
นานๆ จะเห็นหินที่มีคนวางเรียงไว้เป็นลูกศร  หรือบางทีก็เห็น เป็นหินว่างซ้อนๆ เอาไว้บอกทาง 
รวมทั้งไม้กางเขน หมอกและฝน ทำให้ เราเริ่มทุลักทุเลขึ้นเรื่อยๆ 
ป้ายที่เราเห็น บอกว่า อีกกี่กิโลเมตร เราจะถึง เมืองจุดหมายปลายทางของเรา คือเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.พ. 10, 10:02
           
อ้างถึง
เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร

           สงสัยว่าเดินแบกขนกันไปเอง หรือมี ใคร-เครื่องทุ่นแรงช่วย

             อยากเห็นรูปนักแสวงบุญพร้อมสัมภาระเครื่องประกอบครบชุด ครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 ก.พ. 10, 13:07
           
อ้างถึง
เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร

           สงสัยว่าเดินแบกขนกันไปเอง หรือมี ใคร-เครื่องทุ่นแรงช่วย

             อยากเห็นรูปนักแสวงบุญพร้อมสัมภาระเครื่องประกอบครบชุด ครับ

มีให้เลือกหลายทางค่ะ ครั้งแรกที่ดิฉันไปเดินเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
มีคนรับจ้างขับรถพาเป้ไปรอ ในที่ ที่เราจะไปนอนพัก

แล้วมีแค่บางจุด ไม่ได้มีทุกที่  ดิฉันเป็นคนคํ่าไหน นอนนั่นเลย
ต้องแบกเป้เอง ไม่มีเครื่องทุ่นแรง นอกจากหลังของตัวเอง
เหมือนเพื่อนร่วมทาง หลายๆ คน

แต่ครั้งล่าสุดที่ไปเดินมานั้น มีคนรับจ้างเรื่องเป้ ทุกเมืองที่เดินผ่าน 
แล้วปัจจุบัน เขามีทัวร์จัดการให้ทั้งหมด จองโรงแรมให้ เป็นธุระ เรื่องกระเป๋า

คุณมีหน้าที่แค่เดิน เท่านั้น แต่ดิฉันว่า ดูสบายเกินไป แล้วต้องบังคับตัวเองให้
เดินให้ ถึงที่ ที่จะต้องไปพัก  เลยทำให้จิตใจ ไม่ผ่อนคลาย เพียงพอ
ที่จะชื่นชม วิว ทิวทัศน์ หรือคิดถึงชีวิตโดยทั่วๆไป

เวลาเดินมันมีเหตุให้เกิดขึ้นได้มาก ที่ทำให้เดินไม่ถึงที่หมาย
โดยเฉพาะ เท้าแพลง หรือ ง่ายๆ ว่าเหนื่อย จนเดิน ต่อไปไม่ไหว

ส่งรูปเพื่อนร่วมทาง มาให้ดูด้วยนะค่ะ ขออนุญาติ เจ้าของภาพเรียบร้อยคะ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 11 ก.พ. 10, 16:19
ชอบกระทู้นี้มากครับ

สำหรับผม ขอแค่ได้มีโอกาสไปร่วมแสดงความยินดีกับนักแสวงบุญที่ปลายทางก็พอใจแล้วครับ

 ;D


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 ก.พ. 10, 17:19
ขอบคุณ คุณCrazyHOrseที่ให้กำลังใจ  เขียนสักวาสนุกจังคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 12 ก.พ. 10, 05:01
เราเห็นป้ายเตือน ว่าอย่าเดินออกนอกเส้นทาง เขียนไว้ตั้ง ห้าภาษา
แต่ไม่ยักมีภาษาญี่ปุ่น หรือภาษา เกาหลี เพราะมีนักแสวงบุญ สอง สัญชาตินี้เยอะมาก

อากาศแย่มากๆ เพราะเรามองไม่เห็นทาง หมอกหนาขึ้นมากกว่าเดิม
เราเห็นเพื่อนร่วมเดินทางหลายๆ คน
ทำให้โล่งใจขึ้นมาว่าเราจะไม่หลงทาง ถ้าตามเขาไปดีๆ
โดยลืมคิดไปว่า คนอื่นๆเขาอ่านคิดให้เรานำทางเขาก็ได้

หลังจากเดินไปได้ ชั่วโมงกว่าๆ เกือบ สองชั่วโมง ทางเดินไม่ชันมากเท่าชั่วแรก 
ฝนหยุดตก เหลือแต่หมอกกับลม  แม่เลยตัดสินใจนั่งพัก
กินแซนด์วิชยักษ์ที่หอบมาจาก โอรีซซอง 

อาหารเช้าส่วนมากจะเป็น ขนมปังปิ้ง ทาเนยกับแยม และกาแฟ
มักไม่ค่อยอยู่ท้องเท่าไหร่ นี่ก็เกือบ สิบเอ็ดโมงแล้ว
แซนด์วิชที่เรางัดออกมา มันทั้งนิ่มและเปียกเหมือน อากาศ
แต่ไม่มีทางเลือก  เวลาหิว แซนด์วิชเปียกๆก็อร่อยได้

เรานั่งพักได้ซัก ยี่สิบนาที ฝนเริ่มตกอีกที  เราเดินตากฝนต่อไป
เดินแบบสบายๆท่ามกลางหมอกและฝน แม่ว่า เราต้องถือว่าโชคดี

เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน ไม่เปลืองน้ำดื่ม เดินแบบตัวไม่เหม็น
เพราะเหงื่อไม่ออกแม้แต่นิด แค่เปียกฝนแต่นั่นก็คือน้ำเท่านั้น

แม่พูดถึงความโชคดีต่อไปถึงขนานนึกถึง ลูกเห็บ 
ถ้าแค่เปลี่ยนจากฝน เป็นลูกเห็บ 
แม่ว่าแม่ไม่อย่างจะนึก หัวเราอาจแตกเอาง่าย  แล้วถ้านึกถึงมากๆ มันอาจมาจริงๆ

ถึงกระนั้นโชคดี โชคร้าย มันไม่เข้าใครออกใคร เราเดินกันอยู่ดีๆ 
รองเท้าบูทหุ้มข้อเท้าสุดรักสุดสวาดคู่ใจของแม่ พัง คือ
ส้นรองเท้าข้างซ้ายหลุดออกมาทั้งอัน ดีที่ว่ามีส้นอีกอันเหลือ
สามารถเดินต่อไปได้ แต่ต้องค่อยๆเดิน เพื่อถนอมส้นรองเท้าที่เหลือ 



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 13 ก.พ. 10, 05:00
แม่เดิน มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายหิ้ว ส้นรองเท้า
แม่ว่า จะได้ให้เขาซ่อมเมื่อเราถึงเมืองรอนเซสวายเยส   

ผมว่าเราจัดเป้แบบมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เราก็ไม่ได้คิดที่จะหอบกาว ขึ้นมาด้วย
ใครจะนึกไปถึง ว่ารองเท้าแม่จะพังแบบไม่แย้มให้รู้ล่วงหน้าซักนิด

เราเข้าสู่ด่านเขา เบนตาร์เตอา (Bentartea)
ด่านนี้สูงประมาณ ๑๔๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล   

ผ่านด้านนี้ไป ก็เป็นประเทศสเปน ผมอยากถ่ายรูป
แบบขาซ้ายอยู่ฝรั่งเศส ขาขวาอยู่สเปน แต่ไม่ยักมีป้ายบอก

เราเดินเข้า สเปนแบบไม่รู้ตัว จนเดินไปเจอป้ายบอกแคว้นนาวาร์รา
ของสเปน เราถึงได้รู้ว่า เราอยู่ในสเปนแล้ว
 
น้ำเริ่มซึมเข้าเท้าแม่ เปียกไปถึงถุงเท้า แต่เราก็ต้องเดินต่อไป
แม่ว่าถ้าจะนั่งร้องไห้ก็ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องเดินอยู่ดี แม่เลยเริ่มเดินแบบเร็วมาก
 
จะได้ถึงซักที อีกชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงจุดสูงสุดของเส้นทางในวันนี้คือ
ด่านเขา เลโปเอแดร์ ซึ่งที่ผมบอกไว้แต่ต้นว่าสูงถึง ๑๔๒๙ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล   
ที่ด่านเขา เลโปเอแดร์ ก็มีเรื่องให้เราต้องตัดสินใจอีก
ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึง

เมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา เขามีป้ายให้เราดู
แต่หลากหลายลูกศร แม่เลือกไม่ถูก
 
แม่เลยต้องงัดหนังสือคู่มือออกมาอ่าน ท่ามกลางสายฝน
เขาว่า ถ้าไม่อยากเดินลงเขาแบบเหมือนเหวมากๆ
ซึ่งอาจจะมีบางตอนที่ต้องนั่งไถก้นแทนเดิน (อันนี้แม่ว่าเอง จากประสบการณ์)
ก็ให้เดินตามถนนราดยางมะตอย อ้อมนิดหน่อย
ต้องเดินเพิ่มอีกประมาณ สองหรือสามกิโลเมตรเป็นอย่างมาก
แต่เดินแบบสบาย ไม่ต้องดิ้นรนมาก 

ส่วนอีกทางเป็นทางเดินแบบเขา เป็นหินและดิน
จากดินก็เป็นโคลนเวลาฝนตก
มีโอกาศ ข้อเท้าแพลงได้เป็นอย่างมาก แต่ทางจะสั้นกว่า
เรียกง่ายๆ ว่าทางลัด ว่างั้นเถอะ
เขามีป้าย ประกาศ ความทารุณของเส้นทางไว้ด้วย
แต่แม่ไม่ยักเชื่อ กลับเลือกเส้นทางทารุณ




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 14 ก.พ. 10, 04:59
เราเดินลงทางแบบเหว ไปพร้อมๆกับที่ส้นรองเท้าข้างซ้ายของแม่หลุด
เท้าซ้ายของแม่เหลือแค่ ถุงเท้า ส่วนรองเท้าข้างขวาของแม่นั้น ส้นรองเท้าก็เริ่มหลุด

ผมเห็นแม่ก้มหน้าเดินรับกรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่บ่นเลยซักคำ
แม่รู้ว่าบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ 

ในที่สุดเราก็มาถึง เมืองรอนเซสวายเยส ตอนบ่ายสองกว่า
เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เพราะเมืองนี้ไม่มี ร้านซ่อมรองเท้า

อย่าว่าแต่ร้านซ่อมรองเท้าเลย ร้านอะไรๆ ก็ไม่มี มีแต่ร้านอาหาร
กับโรงแรม พร้อมโบสถ์ และบ้านพักนักแสวงบุญใหญ่มาก 

เราเข้าไปขอตราประทับ ไว้เป็นสักขีพยานว่าเราเดินผ่านเมืองนี้จริงๆ
เป็นตรา อันที่สามของเรา ในใบเบิกทางสู่สวรรค์

เราเดินไปกินข้าวกลางวันก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับรองเท้าแม่ 
ร้านอาหารมีอาหารเป็นอาหารชุด มีอาหารจานแรกให้เลือก สาม หรือสี่อย่าง
จานที่สองก็มีให้เลือก สาม หรือสี่อย่าง จากนั้นก็มีขนมหวาน ให้เลือก สาม หรือสี่อย่าง

อาหารชุดจะถูกกว่าอาหารตามสั่ง ซึ่ง จะรวมค่า น้ำ หรือ ไวน์ พร้อม กาแฟ 
ราคาจะอยู่ในประมาณ แปด ถึง สิบสอง ยูโร
ตลอดทางเดินไปจนถึง เมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา
จะมีอาหารซ้ำซากแบบนี้ทุกเมืองที่เดินผ่าน

เหมือนกับนัดกันแกล้งนักแสวงบุญโดยเฉพาะ อย่างกับกลัวว่าถ้าทำอาหารให้ดีกว่านี้อีกนิด
ประดิดประดอยอีกหน่อย พวกเราจะตกนรกเพราะกินดีเกินไป

แม่คิดว่าเราน่าจะนอนที่เมืองนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดกันต่อไป แต่วันนี้มันคงไม่ไช้วันของเรา
เพราะโรงแรมเต็มหมด แม่เลยต้องเปลี่ยนแผนแบบรีบด่วน

เดินต่อวันนี้คงไม่ไหวแน่ๆ เพราะแม่ได้ตัดใจทิ้งรองเท้าคู่โปรดเพื่อไปหาซื้อใหม่
แล้ว คิดว่า วันสองวันข้างหน้าแม่จะใช้รองเท้าแตะเดิน จนกว่าจะถึงเมืองที่มีรองเท้าขาย
ซึ่งน่าจะเป็นเมืองพัมโพลนา ซึ่งเราจะถึงภายในสองวันนี้



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 15 ก.พ. 10, 04:55
แต่เราต้องเปลี่ยนแผนอีกที เพราะไม่มีที่นอน 
เมืองรอนเซสวายเยส เมืองชายแดนสเปน

ที่แม่ว่า ถ้า ไม่เป็นทางผ่านเอล คัมมิโนเดซานติเอโก ละก้อ
จะไม่มีเมืองนี้ในแผนที่แน่ๆ มีโรงแรมอยู่ สามแห่งแต่เต็มหมด   

แม่เลยโทรเรียกคุณปายโย่ แท็กซี่ที่เราขึ้นจากเมืองพัมโพลนา
ไปเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ซึ่งเขาก็ดีมากตอบว่าจะมารับเราภายในหนึ่งชั่วโมง

ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่า คุณปายโย่จะพาเราไปห้างนอกเมืองพัมโพลนา
เพราะในเมืองนั้นร้านปิดช่วงกลางวัน ไปเปิดอีกทีตอน ห้าโมง ห้าโมงครึ่ง

พอซื้อรองเท้า แม่เรียบร้อย ก็จะพามาส่งที่เมืองรอนเซสวายเยส
เพื่อเราจะได้ เดินต่อ ไปหาที่นอนที่เมืองถัดไป คือเมือง บูร์เก็ตเต้ (Burguete)
ห่างออกไปประมาณ สามกิโลเมตร

ระหว่างรอคุณปายโย่ มารับเราเข้าไปกินกาแฟ หนีฝน
ฝนยังตกอยู่ตลอด

แม่พูดขึ้นมาเฉยๆว่า เงินไม่สามารถช่วยให้เรามีความสุข
แต่ทำให้เราได้รับความสะดวกมาก เช่นในกรณีวันนี้เป็นต้น

คุณปายโย่พาเราตรงไปแผนกขายรองเท้า ซึ่งทำให้ผมรักแม่ขึ้นมาอีกมาก
เพราะไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง แม่สามารถซื้อรองเท้าได้เรียบร้อย 
แม่บอกว่าแม่เกลียดห้าง เข้าทีไรเป็นปวดหัวทุกที

เรามาถึงเมืองรอนเซสวายเยส อีกทีก็เกือบหกโมงเย็น
หายปวดเมื่อยสามารถเดินต่อได้

ทุ่มกว่าๆ เรา ถึงโรงแรมที่พัก ที่เมือง บูร์เก็ตเต้
เราพักโรงแรมที่มีชื่อที่เจ้าของไม่ได้ประดิดประดอยตั้งชื่อเอาซะเลย 
ครับทายแม่น โรงแรมบูร์เก็ตเต้ (๐๐ ๓๔ ๙๔๕ ๗๖ ๐๐ ๖๕) 

อาบน้ำอาบท่าเสร็จ แม่พาผมไปเดินเล่นชมเมือง ซึ่งผมว่าไม่มีอะไรให้ชมเท่าไรนัก
เรานั่งกินกาแฟ รอร้านอาหารเปิด กินข้าวเสร็จ
กลับโรงแรม หลับเป็นตายทั้งสองคน จนเจ็ดโมงเช้า เพราะเสียงนาฬิกาปลุก



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 16 ก.พ. 10, 05:28
เราเรียบร้อยออกเดินทางได้ตอนแปดโมง เมื่อคืนนี้เราตกลงกันว่า
วันนี้เราจะเดินประมาณ สิบเก้า กิโลเมตร ให้ถึงเมือง ซุบีรี่ (Zubiri)
แล้วเราจะหาโรงแรมพักที่นั่น 

ผมเห็นแม่ใส่รองเท้าคู่ใหม่ ซึ่งเป็นการผิดกติกาการเดินเขาเป็นอันมาก
แต่เป็นเหตุสุดวิสัย ถามแม่ แม่ก็ว่าใส่ไม่สบายเท่าคู่เก่า แต่ต้องทำใจ

วันนี้เราเตรียมแค่น้ำติดเป้ ส่วนอาหารแก้หิวกลางทางไปหาเอาข้างหน้า
เพราะวันนี้เราผ่านหลายเมืองกว่าจะถึง ซุบีรี่ และแต่ละเมืองก็ไม่ได้ไกลกันมาก

ชื่อเมืองแถวนี้ จะติดป้ายไว้ สองภาษา คือภาษาสเปน และ ภาษา บาสค์(Basque)
หรือที่เรียกกันว่า ภาษา อูสเก-รา หรือ อูสกา-รา (Euskera หรือ Euskara)

ผมเห็นจะต้องเรียกว่า อูสเก-รา เพราะความเคยชินที่ได้ยินจากย่าผม
ซึ่งเป็นสาวบาสค์เลือดเข้มข้น
แม้ว่าจะแต่งงานกับคนต่างแดนและย้ายไปอยู่ดินแดนอื่นมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้วก็ตาม

ย่ามาจากเมืองเล็กๆ แต่ชื่อเสียงโด่งดังมาก พอบอกก็ร้อง อ๋อ กันหมด
ไม่ใช้เพราะเคยไปเที่ยวนะครับ แต่เคยได้ยินชื่อเพราะ ศิลปินชื่อดัง คือ ปิกัสโซ่ (Picasso)
เอาชื่อเมืองเกิดย่าผมไปตั้งเป็นชื่อรูป ครับ เดากันถูกแล้วครับ   เมือง แกร์นิก้า (Guernica)
   
แม้จะโด่งดังแค่ไหน ดูแล้วก็ยังเศร้าใจ เพราะเป็นรูปแสดงให้เห็นถึงพิษสงของสงความ
อย่างที่สัญญาไว้ตั้งต้นผมจะไม่เขียนถึงประวัติ แม้จะคันปาก เอ๊ย คันมือมาก
อยากเขียนถึง ที่มาที่ไปของรูปนี้ แต่เดี๋ยวจะหลับกันหมด แม้ตัวผมเองก็ไม่เว้น

ดินแดนบาสค์ อยู่ทางตอนเหนือของสเปน และเยื่องเข้าไปตอนไต้ของฝรั่งเศสหน่อยๆ
ที่มีกลุ่มก่อการร้าย ชื่อว่า เอ็ตต้า (ETA หรือชื่อเต็มๆว่า Euskadi Ta Askatasuna)
จุดมุ่งหมายของกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ อยากแยกดินแดนบาสค์
ให้เป็นอิสระจากประเทศสเปนและฝรั่งเศส 
 
แล้วไงผมมาลงที่ เอ็ตต้า ล่ะนี่ ขอวกเข้าเรื่องครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.พ. 10, 14:33
อ้างถึง
ศิลปินชื่อดัง คือ ปิกัสโซ่ (Picasso)
เอาชื่อเมืองเกิดย่าผมไปตั้งเป็นชื่อรูป ครับ เดากันถูกแล้วครับ   เมือง แกร์นิก้า (Guernica)
  
แม้จะโด่งดังแค่ไหน ดูแล้วก็ยังเศร้าใจ เพราะเป็นรูปแสดงให้เห็นถึงพิษสงของสงความ
อย่างที่สัญญาไว้ตั้งต้นผมจะไม่เขียนถึงประวัติ แม้จะคันปาก เอ๊ย คันมือมาก
อยากเขียนถึง ที่มาที่ไปของรูปนี้ แต่เดี๋ยวจะหลับกันหมด แม้ตัวผมเองก็ไม่เว้น

      เคยค้นและบันทึกเรื่อง Picasso กับ Guernica ไว้ แต่หายไปเสียแล้ว
      
       หวังว่า ในที่สุดแล้ว "ผม" จะคันมือมากๆ จนต้องมาเขียนเล่า ครับ  


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 16 ก.พ. 10, 15:48
ตั้งใจว่าจะไปยืนพินิจ Guernica อย่างนี้บ้าง

เร็วๆนี้แหละ  8)


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 16 ก.พ. 10, 19:39
อยากเล่าใจจะขาดเหมือนกันคะ  แต่ภาษาไทยของดิฉันแย่เอามากๆ
(คุณSILA อ่านแล้ว ต้องรู้แน่ๆ)

เรื่องของภาพ Guernica ที่รู้มานั้น ดิฉันฟังมาจาก คุณย่าและคุณพ่อ
ของลูกชาย  โดยเฉพาะ ตัวคุณย่า นั้นเล่าไป ร้องให้ไป เพราะมีญาติพี่น้อง
เสียชีวิตไปหลายคน  

แม้จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีใคร ให้คำตอบได้แน่นอน ว่า มีคน
ตาย และบาดเจ็บกี่คน ตอนที่เยอรมันทิ้งระเบิดขู่ขวัญ Guernica
แต่คุณย่า ว่าเป็นพันคน

ถ้าให้ดิฉันเขียนเล่า เรื่องเศร้าๆ อาจจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะ
เพราะดิฉัน สะกด ไม่ค่อยถูก  ศัพท์ภาษาอังกฤษ หลายๆ
ตัว ก็ไม่ทราบว่า ในภาษาไทยเรียกว่าอะไร  ยิ่งศัพท์ด้าน
การเมือง ยิ่งแย่ใหญ่

คุณSILA เห็นจะต้อง google เอง แล้วละคะ
แต่ถ้ามีการนัดเจอ รวมสมาชิกเรือนไทย ถ้าบอก
ล่วงหน้า แล้วได้เจอ เล่าให้ฟังได้คะ ข้อมูลยังอยู่



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 ก.พ. 10, 05:11
เราเดินเรื่อยๆแบบชมวิวไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเมือง เอสปินาล (Espinal) 
ที่ผมว่าเราเดินกันแบบสบายและเร็วมาก เพราะยังไม่เจอทางชัน
อากาศก็ดีมากไม่ร้อน ออกจะเย็นด้วยซ้ำ

เราเลยเดินผ่าน เอสปินาล โดยไม่แวะ แม่อยากดูโบสถ์ แต่เช้าเกินไป
เขายังไม่เปิด ร้านรวงปิดเงียบสงบ เยาวราชตอนตรุษจีนยังมีคนมากกว่านี้

ออกจากเอสปินาล ทางเดินก็เริ่มชันขึ้นทีละนิด เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
แม้ทางเดินจะไม่ชันเท่า วันแรกและวันที่สอง แต่ผมก็ยังเห็นแม่ เดินๆ พักๆ ไปตลอดทาง

เราเดินมาถึง จุดสูงสุดของเส้นทางวันนี้ คือ ๙๒๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ที่ด่านเรียกว่า อัลโต้ เด เมซกิริทซ์ (Alto de Mezkiritz)

เรายืนสูดอากาศอยู่ซัก ห้านาทีเท่านั้น  แล้วรีบเดินต่อ
เพราะประการแรก แม่เริ่มหิว
ประการที่สอง เมืองถัดไป ห่างออกไปอีก สามกิโลเมตร
แปลออกมาเป็นทางเท้า ก็จะเป็น สี่สิบห้านาที ที่เราต้องเดิน กว่าจะได้กิน

ผมกลัวว่าแม่อาจจะหน้ามืดเป็นลมไปซะก่อน ดีที่เราเอาถั่วติดตัวมา พอแก้หิว
ทางเดินวันนี้ผมว่าสวยมาก เพราะไม่ค่อยมีทางราดยางมะตอย
เราเดินผ่านป่า ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ที่มีคนใจดีเอา สีเหลืองมาป้ายทาเป็นลูกศรบอกทาง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.พ. 10, 09:09
            มาเชียร์ให้เล่า แบบบันทึกเรื่องเล่าของคุณย่าโดยคุณหลานชาย
               อย่างที่เขียนอยู่ทุกวันนี้ก็อ่านเพลินและสนุกดี ครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 ก.พ. 10, 11:58
ขอบคุณ  คุณSILA คะ  ตั้งแต่เข้าวัยทอง ดิฉันชักบ้ายอ   
แต่ขอจบที่ละเรื่องนะคะ  Guernica ตามมาแน่ๆ  อาจจะ
ช้าหน่อย  เพราะดิฉันเป็นพวกเร่ร่อน ไม่ค่อยอยู่บ้าน
วันอาทิตย์ก็จะไป อีกแล้ว


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 18 ก.พ. 10, 05:16
พอถึงเมือง วีซการ์เรต หรือบีซการ์เรต้า (Viscarret หรือ Biskarreta)
เราแวะพัก กิน ข้าว มื้อที่สอง ผมเรียกข้าวเพราะความเคยชิน

แท้ที่จริงเป็นแซนวิช แม่ผมชอบกินแซนวิชไข่เจียว 
ซึ่งที่สเปนเรียกแบบฟังแล้วหรูว่า  ตอร์ติย่าฟรันเซสซ่า (tortilla francesa)
ถ้าแปล ตรงตัวก็คือไข่เจียวแบบฝรั่งเศส

แม่ว่า ไม่อร่อยเท่า ไข่เจียวไทยที่ทั้งนุ่มทั้งฟูแถมหอมน้ำปลา
แต่เวลาหิวขึ้นมาไข่เจียวแซนวิช กับขนมปังเย็นๆชืดๆก็อร่อยขึ้นมาได้อย่างหน้าประหลาดใจ

ถ้าคุณอยู่สเปนแล้วสั่ง ตอร์ติย่า เฉยๆ
คนสเปนเขาก็จะทำ ตอร์ติย่า เอสปานยอลล่า (tortilla española)
หรือไข่เจียวแบบสเปน มาให้

ซึ่งแทบจะเป็นอาหารประจำชาติเหมือนชื่อไปแล้ว
เขาเอามันฝรั่งผสมไข่แล้วทอดแค่นี้ก็เป็นอาหารอีกจาน
ซึ่งมีขายทั่วไป กินกันได้ตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นเที่ยงคืน (ถ้ายังเหลือติดร้าน)

คนสเปนช่างคิดประดิดประดอยทำไข่เจียว 
โดยเอาสารพัดสิ่งมาตีรวมทำให้มันป็นไข่เจียวขึ้นมาได้
ตั้งแต่มันฝรั่งที่กล่าวถึง ไปจนถึงปลาแห้งแช่น้ำให้นิ่ม
(คือปลาที่เรียกกันว่า ปลา บัคคาเลา หรือ Bacalao หรือ Cod ในภาษาอังกฤษ)

เรียกว่า เห็นอะไร ก็สามารถเอามาทำไข่เจียวได้หมด
ตอนผมเด็กๆ ผมจำได้ว่าเวลาแม่เหนื่อยๆ มักจะพูดว่า  “ไปไกลๆไป เดี๋ยวแม่จำทำไข่เจียวซะเลย” 

แล้วคนสเปนเขาก็ภูมิใจไข่เจียวเขามาก ห้ามบอกเขาเป็นอันขาดว่า
ไข่เจียวไทยเราอร่อยกว่ามาก
(โดยเฉพราะถ้าทอดด้วยน้ำมันหมู ส่วนกากหมู่ที่เหลือเอาไปตำน้ำพริก
มากินกับไข่เจียว พร้อมข้าวสวยร้อนๆ  สวรรค์อยู่ตรงหน้าก็ไม่ไป ตราบใดที่ยังกินไม่หมด)

ส่วนวิธีทำ ตอร์ติย่า เอสปานยอลล่า ของแม่ผม
ใช้วิธีรวดเร็วเหมาะสำหรับชีวิตประจำวันที่ยุ่งขิงของคนสมัยปัจจุบันมาก
ไม่มีการปอกมันฝรั่ง ผัดสุกแล้วตอกไข่ตามตำราย่า

แม่ใช้ มันฝรั่งทอดกรอบ ที่ปรกติเอาไว้กินเล่นเวลาดูทีวี เอามาทุบนิดหน่อย
ห้ามละเอียด ตอกไข่ผสมแล้วทอด พอสุกเป็นเสร็จ

แม่ว่า แม่เอามาจาก พ่อครัวสเปนชื่อดังคับโลกคุณแฟร์รัน อาเดรีย
เจ้าของภัตตาคาร เอล บูยี่ (Ferran Adria  ของ el Bulli) ที่เปิดปีละหกเดือน
เป็นภัตตาคารที่จองโต๊ะยากมาก แล้วก็แสนแพง ประเภทกินแล้วห้ามขี้เพราะเสียดายเงิน



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 19 ก.พ. 10, 05:35
ผมชักออกนอกเรื่องมากไปอีกแล้ว เราสั่งโค้กมาดื่ม แม่ใส่เกลือไปในโค้ก
บอกผมว่า เราขาดสารอาหารเพราะออกไปพร้อมกับเหงื่อหมด 
โค้กมีน้ำฅาลอยู่แล้ว ผสมเกลือตาม ก็จะเป็นผลดีแกร่างกาย

พอกินเสร็จเราเดินทางต่อ เพราะ อีกตั้ง ๑๑ กิโลเมตรกว่าจะจุดหมายของเราในวันนี้

แม่เริ่มเจ็บเท้า รองเท้าใหม่ทำเหตุ แต่ก็อย่างที่ผมบอก
ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากจะเลิกล้ม การเดินทาง แล้วกลับบ้าน
แต่ผมรู้ว่า แม่ไม่มีทาง ทำแบบนั้นแน่ๆ ก็เลยต้องยอมเจ็บ

แล้วหวังว่า จะเจ็บน้อยลงพรุ่งนี้  แม่บอกว่าเป็นเพราะเท้าแม่กว้างกว่าคนทั่วไป
ไม่ว่าเป็นรองเท้าแบบไหนก็เจ็บ นอกจากว่าแม่จะใส่รองเท้าแตะเดิน
แต่ก็กลัวเท้าแพลงเพราะ รองเท้าแตะไม่หุ้มข้อเท้า
ถ้าเท้าแพลงขึ้นมาละก้อ แย่ แน่ๆ นอกจากเจ็บตัว แล้วต้องกลับบ้านเพราะเดินต่อไม่ไหว

เราเดินผ่านเมือง ลินท์โซอาอิน (Lintzoain) แทบไม่รู้ตัว เพราะไม่เห็นร้านรวงใดๆทั้งสิ้น
เดินต่อมาได้นิด ก็เจอทางขึ้นที่ชันมาก ดีที่ระยะทางไม่ยาวมากนัก และวิว สวยมาก
จนผมเกือบลมไปว่า เราอยู่ บนโลกมนุษย์ โชคดีที่มีเสียงหอบของแม่คอยเตือนสติ 

พอถึง อัลโต้ เด แอร์โร (Alto de Erro) มีรถจอดขายน้ำ แม่ขอแวะดื่มโค้ก อีกแก้ว
เราเจอเพื่อนร่วมทาง ที่ใช้ม้าเป็นยานพาหนะ แล้วมีลูกหมาตัวน้อยอยู่ในกระเป๋าเสื้อ

ถามกันไปถามกันมาได้ความว่า เขาเก็บหมาได้ระหว่าง เดินทาง
ในกรณีนี้ผมไม่แน่ใจว่า หมาหรือคนโชคดี รู้แต่แน่ๆว่าม้าโชคร้าย
นอกจากต้องหอบสำภาระของคน แล้วยังต้องให้คนนั่งบนหลังอีก
ตกดึกก็ต้องนอนตัวเดี่ยวเดียวดายกลางแจ้งตามทุ่งนาต่างๆ
ในระหว่างที่คนนอนสบายบนเตียงตามโรงเตี๊ยม

นี่ละครับ ความสามารถอันสุดยอดของแม่ แค่แวะกินน้ำ ห้านาที สิบนาที
ก็รู้เรื่องของคนอื่นเขาไปหมด พอผมว่า แม่ก็ว่าแม่ไม่ได้ถาม เขาเล่าให้ฟังเอง
เพราะไม่ได้พูดภาษาตัวเองมาหลายวัน พอเจอเหยื่อ (คือแม่)
เลยพูดและนินทาโรงเตี๊ยมให้แม่ฟัง แค้นใจที่ไม่มีที่พักให้ม้า แม้หมายังต้องแอบเอาไปนอนด้วย

ในที่สุดเราก็เห็นป้ายบอก ว่าอีกอึดใจเดียวก็จะถึง ซุบีรี่
แม่ว่าแม่เจ็บเท้ามากเพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเดินอย่างเร็วมาก
เพื่อให้ถึงโรงแรมซะที แม่อยากเอาเท้าแช่อุ่น

พอมาถึงที่หมายปลายทาง ทุกโรงแรมทั้งเมืองเต็มหมด
เมืองถัดไปห่างออกไปประมาณ ห้ากิโลเมตร 

เรามี สองทางให้เลือก ทางที่หนึ่งไปหาที่นอนบ้านพักของนักแสวงบุญที่ยังมีที่เหลือ
แต่ต้องนอนห้องเดียวรวมหญิงชายกับคนอื่นๆที่เราไม่รู้จัก
ต้องรอคิวเข้าห้องน้ำ ซึ่งพอถึงคิวเรา น้ำร้อนก็หมดเรียบร้อย
 
ส่วนทางเลือกที่สอง คือตั้งหน้าตั้งตาเดินกันต่อ เพื่อไปหาที่นอนเอาข้างหน้า
ผมไม่ต้องฟังก็รู้คำตอบของแม่  แม้จะเจ็บเท้าแค่ใหนแม่ก็ขอไปตายเอาดาบหน้า 
ตั้งแต่แม่เริ่มเข้าวัยทอง ผมว่าแม่เรื่องมากขึ้นเยอะ
แต่ผมก็ดีใจที่เราไม่ต้องนอนที่บ้านพักของนักแสวงบุญ ผมก็ชักเริ่มเรื่องมากเหมือนแม่ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

เราแวะล้างหน้าล้างตา และนั่งเล่นนอนเล่นที่ศาลา เย็นสบายจนเกือบหลับทั้งสองคน
แต่ก็ไม่ได้หลับ เพราะมีคนมาชวนคุยด้วย เป็นคู่สามีภรรยาชาวสเปน

เขาแวะนั่งพัก เพราะตัวภรรยาที่เรามารู้ชื่อภายหลังว่าชื่อ อัลบ้า (Alba) โดนรองเท้ากัด
มีตุ่มแผลพุพอง รอบเท้าทั้งสองข้างอยู่หลายตุ่ม เห็นแล้วน่าสงสารมาก
แม่เลยให้อุปกรณ์ปฐมพยาบาล (ที่เราเตรียมมาเยอะมากแต่ยังไม่ได้ใช้และหวังว่าจะไม่ต้องใช้)  สำหรับรักษาเท้า


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 20 ก.พ. 10, 06:48
หลังสวัสดีลาจากกับสามีภรรยา อัลบ้า (Alba) และ อัลฟองโซ่ (Alfonso)
ซึ่งเขาขอบอกขอบใจเราทั้งสองเป็นการใหญ่ จนแม่ออกจะอาย
เพราะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย

เราก็เดินมาถึง ลาร์ราโซอาย่า (Larrasoaña) อย่างทรมานมาก
แดดจ้าเหมือนชาตินี้จะไม่มีพระจันทร์อีกแล้ว โชคเราก็ยังมาไม่ถึง
เพราะที่พักเต็มหมด (อีกแล้ว)

ไอ้เรื่องโชคนี่ก็เหมือนกัน เหตุที่มันเป็นแบบนี้เพราะแม่ไม่ยอมวางแผนล่วงหน้า
แค่โทรไปจองที่พักซะ ก็สิ้นเรื่อง แต่แม่ไม่ยอม
แล้วใช้ความเป็นแม่ในการตัดสินใจทุกอย่าง เป็นเผด็จการเอง
ส่วนตัวผมไม่มีสิทธิมีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แม่ให้เหตุผลว่าโทรศัพท์มีใว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น

เรากัดฟันเดินต่อ เพราะเห็นป้ายโรงแรม พร้อมเบอร์โทรศัพท์ (ดีใจจังฉุกเฉินแล้ว)
โทรไปถาม เขาว่ายังมีห้อง เหลืออยู่  แล้วก็ต้องเดินอีกแค่ ห้าร้อยเมตร เท่านั้น

เราถึงโรงแรม อาเคร์เร็ตต้า (Hotel Akerreta   ๐๐๓๔ ๙๔๘ ๓๐๔ ๕๗๒) 
ที่อาเคร์เร็ตต้า (Akerreta)  ตอนสี่โมงเย็นพอดี  หลังจากผจญภัยมาแปดชั่วโมง
ไอ้ที่ว่าห้าร้อยเมตรถึงนั้นผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนวัด น่าจับมาทำไข่เจียวนัก
นอกจากเราเดินขึ้นทางชันมาก อย่างน้อย ต้องเป็นหนึ่งพันเมตรแน่ๆ

เจ้าของโรงแรมคงไม่รู้ว่าเราเริ่มเดินทางตั้งแต่แปดโมงเช้า
กลัวว่ายังไม่เหนื่อยพอเขาเลยให้ห้องใต้หลังคา อยู่ชั้นบนสุด
กว่าจะขึ้นบันไดเดินถึงห้องแม่ก็เกือบขาดใจตาย

พอถอดรองเท้าถุงเท้าออก ผมยังดูไม่ออกเลยครับว่าเป็นเท้าแม่
ยับยู่ยี่ ทั้งสองเท้า แต่ไม่มีตุ่มแผลพุพองแม้แต่ตุ่มเดียว
แค่เล็บนิ้วกล้อยทั้งซ้ายและขวา จากที่ไม่มีสีกลายเป็นสีดำเนียน ครับรองเท้าใหม่ทำพิษ

โรงแรมนี้นอกจากจะมี ไวไฟ (ไม่ใช้ว่าใครไวไฟนะครับ ผมทับศัพท์ Wifi) ให้ใช้ฟรี
เขารับซักผ้าให้ด้วยโดยไม่ขูดเลือดขูดเนื้อเรามากนัก และมีอาหารเย็นขายตอนสามทุ่ม
มีเมนูเดียว คือเนื้อลูกวัวทอด กับสลัดสด

เราสั่งอาหารไว้สองที่ เพราะทั้งอาเคร์เร็ตต้า มีโรงแรมนี้โรงแรมเดียว ไม่มีร้านค้าซักร้าน   
ผมคิดว่าเมืองนี้คงจะมีประชากรที่เป็นคนสองคน คือเจ้าของโรงแรมและภรรยา นอกนั้นเป็นวัว

พอได้เวลาเราไปนั่งรอกินข้าว เจอเพื่อนร่วมทาง ที่นั่งคนเดียว โดยโต๊ะติดกับเรา
เป็นหนุ่มน้อย (แปลตรงตัวครับ) สูงวัย หนีความวุ่นวายจากบาร์เซโลน่า มาเดิน สิบวัน
คุยกันพอหอมปาก หอมคอ รู้จักชื่อเสียงเรียงนามว่าชื่อ มาเนล (Manel)

แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องนอน แม่ไม่ลืมกินยาแก้ปวด แม่ว่าเนื้อตัวปวดระบมไปหมด
ส่วนผมแม่ไม่ให้กินยาเพราะยังเด็ก ยังไม่น่ามีการปวด ซึ่งก็เป็นความจริง
พอหัวถึงหมอนผมก็หลับสนิทเหมือนทุกคืน



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 20 ก.พ. 10, 06:51
ขอลาหยุดเขียนนะคะ  สามีเข้าโรงพยาบาล ต้องไปช่วยดูแล
แล้วเจอกันใหม่คะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 20 ก.พ. 10, 10:31
ขอเอาใจช่วยให้สามีคุณ tian หายป่วยไวไวครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ก.พ. 10, 11:48
          ครับ แล้วเจอกันใหม่ ในไม่ช้า
            ขอให้คุณสามีอาการดี หายวัน หายคืนนะครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 08 มี.ค. 10, 05:01
ขอบคุณ คุณทั้งสองมากคะ 


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 08 มี.ค. 10, 05:08
เราลงมาข้าวเช้ากินตอนแปดโมง วันนี้จุดนอนของเราคือเมือง พัมโพลน่า (Pamplona)
ซึ่งห่างจากอาเคร์เร็ตต้า ไปแค่ ๑๕ กิโลเมตร

หนังสือคู่มือ บอกว่าเป็นเส้นทางที่เดินง่ายและสบาย
ไม่ขึ้นเขาลงห้วยเหมือนที่ผ่านๆมา เราคิดว่าจะเดินให้ถึงพัมโพลน่า โดยไม่แวะระหว่างทาง

แม่แปะพลาสเตอร์รอบนี้วก้อยทั้งสองขางก่อนสวมรองเท้า
หลังจากถอดๆใส่ๆอยู่หลายรอบ

เราก็ออกเดินตอนเกือบเก้าโมงเช้า เดินเรียบแม่น้ำ สวยมาก ไม่ถึงชั่วโมง
เราก็ถึง เมือง ซูรีอาอิน (Zuriain) ทั้งเมืองมีตู้ขายน้ำแบบหยอดเหรียญ
อยู่หนึ่งตู้ นอกนั้นก็ไม่เห็นใครเลย
 
เราไม่แวะ เพราะไม่มีประโยชน์ เดินไป อีก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ก็เจอ ตู้ขายน้ำแบบหยอดเหรียญ อีกตู้  ถึงได้เห็นป้ายว่า เราเดินถึง อีรอทซ์ (Irotz) แล้ว

ยิ่งใกล้เมืองใหญ่ (คือพัมโพลน่า) ทางเดินส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อย น่าเดิน มากนัก
เพราะ ดีเกินไป หรือ เดิน ติดถนนราดยางมะตอย มีรถวิ่ง เยอะแยะ หนวกหู
ผิด นโยบายเดินเขาลำนำป่าในความฝัน

ออกจากอีรอทซ์ ผมเห็นป้ายชี้ ทั้งซ้ายและขวา นัยว่าทั้งสองทางจะไปถึงพัมโพลน่า
ทั้งสองทาง แต่ไม่บอก รายละเอียด มากไปกว่านี้

แม่ก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้ หนังสือคู่มือก็ไม่เอ่ยถึง ถามคนอื่น เขาก็ตอบไม่ได้   
เราไม่แน่ใจ ว่าเส้นไหนสวยกว่ากันแม่ว่า  เอ้า เอาเหรียญมาโยน
ให้เหรียญ ช่วยตัดสินใจ หัวไปทางซ้าย ก้อยไปทางขวา

ออกก้อย  เราเดินเลี้ยวขวา ตามเหรียญ แนะนำ ทางเป็นเนิน
โหดนิดๆ มีราวให้จับกันลื่น ถ้าวันไหนฝนตกเส้นนี้คง ไม่น่าเดินนัก

มีป้ายลูกศรเหลืองชี้ทาง ไปตลอด จนไปถึง ซาบาลดิก้า (Zabaldika)
มีโบสถ์ เล็กๆ หนึ่งโบสถ์   มีคุณป้าแม่ชีใจดีเชิญชวนให้แวะชม
แถมกระดาษpost it ให้เขียนคำอธิษฐานเป็น ภาษาเรา ติดไว้ในโบสถ์   

ผมถามแม่ว่าแม่จะขออะไร แม่ว่าแม่ไม่ขอ อะไรทั้งสิ้น
รับกระดาษมา เพราะเกรงใจคุณป้าแม่ชี แม่เขียน แค่คำว่า สวัสดี

เราเดินขึ้นเนิน ต่อไปได้ยินแม่ถามตัวเองว่า ทางอีกทางมันจะชันแบบนี้มั้ยนะ
รองเท้าแม่ทำพิษมาก จนแม่เดิน ต่อไม่ไหว ต้องนั่งถอดออกแล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน
แม่ว่า อีกหน่อยก็ถึง พัมโพลน่า จะลองไปให้ร้านซ่อมรองเท้า ขยายหัวรองเท้าให้มันกว้างขึ้น

ยิ่งเดินใกล้ถึง พัมโพลน่า ทางเดินก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับความสวยของธรรมชาติหมดไป
แต่ก็ดีไปอย่าง มีผู้มีคนให้ได้เห็นบ้าง

เราเดินผ่าน ทรีนีดาด เด อาร์เร (Trinidad de Arre  เรียกตามหนังสือคู่มือ)
หรือ วิลย่าวา อาตาร์ราเบีย (Villava Atarrabia เรียกตามป้ายบอกชื่อเมือง)

เมืองนี้มีคนเยอะ ดี นั่งกินกาแฟเต็มไป หมด เมืองนี้ก็เหมือนเมืองในสเปนทั่วๆไป
ที่มี ถนนเส้นกลาง เมืองที่มี ร้านค้า ต่างๆรวมทั้ง ร้านอาหาร และร้านกาแฟ
แล้วถนนเส้นนี้ ส่วนมาก มักไปจบลงที่ จตุรัสใจกลางเมือง

ถนนที่ว่า เรียกกันว่า คาเย้ มายอร์  (Calle Mayor) ส่วนจัตรัสคือ พลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor)   

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ร้านปิดหมด มีแต่ร้านกาแฟ   เราอยากแวะกินโค้ก
แต่หาที่นั่งไม่ได้ คนมานั่งรับแดด คุยกันดัง ทั้งลูกเล็กเด็กแดง เต็มเมือง
เราเลยยอมแพ้   เดินผ่าน คาเย้ มายอร์   ไปหาที่นั่งเอาข้างหน้า
เดินห่างเมืองมาเรื่อยก็ไม่มีที่นั่ง  เดิน จนมาถึงอีกเมืองโดยไม่รู้ตัว 

บูร์ลาด้า (Burlada)  เป็นเมืองก่อนถึงพัมโพลน่า รถเต็มถนน
เวลาเดินต้องดู ดีๆ ทางเดินไม่เห็นอะไรน่าตื่นเต้น มีแต่รถ เสียงดัง
หนวกหูไปหมด   สี่วันที่ผ่านมาเราเห็นแต่สิ่งที่เจริญตา เจริญใจ   
พอได้มาเห็นสิ่งที่ได้เจอทุกวันในชีวิตประจำวัน ก็ออกจะเคืองตา เคืองใจไปบ้าง






กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 มี.ค. 10, 09:17
      ดีใจที่ได้กลับมาเดินและเดินกันต่อ ครับ

       เรื่องราวการเดินทางไกลเตือนให้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของเท้า อวัยวะที่บางเจ้าของมักมองข้าม
เพราะอยู่ไกลตาที่สุด


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 09 มี.ค. 10, 05:40
เกือบบ่ายเราก็เดินมาถึง สะพานชื่อดังของเมือง พัมโพลน่า 
ชื่อ ลา มักดาเลน่า (Puente de la Magdalena)

แม่อ่านป้ายประวัตศาตร์ ที่เขาติดไว้ ได้ความว่า สะพานนี้สร้างเมื่อศตวรรษที่สิบสอง
เอาไว้ เดินข้ามแม่น้ำ อาร์ก้า (Arga) แม่น้ำคู่บ้านคู่เมือง

อ่าน แล้วแม่ก็ทำท่า สยองขน ไม่กล้าข้ามสะพาน เพราะกลัวผี ไอ้โรคนี้ของแม่ แก้ลำบาก   
ทำเอาผมติดโรคนี้มาเต็มตัว ครับผมก็กลัวเหมือนกัน   
ต่างคนต่างช่วยกันปลอบใจ ว่า ผีคนละยุค คนละสมัย หลอกไป
เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง   เลยจูงมือกันข้ามสะพาน เข้าเมือง เพราะ ชักหิว

เราเดินลอดประตูเมือง กำลังจะเข้า เมือง  มีคนทักแลเห็น เป็น มาเนล หนุ่มสูงวัย
ที่เราเจอที่โรงแรมใน อาเคร์เร็ตต้า วันก่อน ผมเลยชวนแม่ เดินตามเขาไป 
เห็นแม่บอกบ่อยๆ ว่าเดิน ตามผู้ใหญ่หมา ไม่กัด   

เราเดินตามเครื่องหมายหอยเชลล์ ที่เขานำหอยเชลล์
เป็นเครื่องหมายประจำทางเพราะเป็นเครื่องหมายประจำตัวของ ซานติอาโก้ (หรือ นักบุญเจมส์ ในภาษาอังกฤษ) 

เดินไปเดินมา มีเพื่อนร่วมทางมาสวัสดีอีกคน เราเจอแซวี่ สาววัยทอง
วันแรก ตอนไปรอใบเบิกทางสู่สวรรค์ ที่หน้า บ้านพักนักแสวงบุญในเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท
เลยชวนกันไปกิน ข้าวกลางวัน

กินข้าวเสร็จ มาเนล จะเดินต่อ  แซวี่จะกลับไปพักผ่อน ส่วนเราต้องไปหาที่นอน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านปิดหมด ต้องรอถึงพรุ่งนี้ถึงจะเอารองเท้าไปเข้าอู่ได้

เราเจอโรงแรมเล็กๆ ใจกลางเมือง ชื่อว่า คาสตีโย่ เด ฮาเวีย
 (Hotel Castillo de Javiar โทร ๐๐๓๔ ๙๔๘ ๒๐๓ ๐๔๐www.hotelcastillodejaviar.com)
ห้องสะอาดใช้ได้ ราคาอยู่ในงบประมาณ   

โชคดีที่ไม่ใช้เทศกาลหน้าวัวกะทิง หรือ เทศกาล ซาน แฟร์มิน   (San Fermin)
ไม่งั้น ละก้อ ราคาห้องจาก สี่สิบ ห้าสิบ จะกลายเป็น สองร้อย สามร้อยได้   

ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเทศกาลนี้มาก่อน   
นักเขียน ชื่อดัง ลุงเฮมมิ่งเวย์   (Ernest Hemingway) เคยเขียนนิยายไว้   

แม่ว่า แม่เคย อ่านตอนยังเป็นเด็ก   ช่วงนั้นเรื่องไหน ใครว่าดัง อ่าน ตามเขาไปหมด
เรียกว่า อยากเก๋ตาม ถ้าไม่อ่าน  อายคน หนังสือเขาได้รางวัล แต่ขอโทษที ไม่เคยเข้าใจเนื้อหาเลย 

พอเริ่มเข้าวัยทอง แม่เลือกอ่านตามใจฉัน ยอมรับกับตัวเองว่า สวรรค์ ไม่ยุติธรรม
ไม่ฉลาดพอที่จะเข้าถึง นิยายระดับโลก จากเจ้าของรางวัลโนเบล     
ปากกา เอ้ย คอมพิวเตอร์ พาไปอีกแล้ว  ผมจะเล่าเรื่อง ซาน แฟร์มิน ไง๋กลาย เป็น นินทา แม่ไปได้

เทศกาลซาน แฟร์มิน เขาจัดทุกปี โดยเริ่มวันที่ หก กรกฎาคม ตอนเที่ยงตรง
แล้วไปจบ วันที่ สิบสี่ กรกฎาคม ตอนเที่ยงคืน 
วันที่เจ็ด ตอน แปดโมงเช้า เป็นวันแรกที่เขาปล่อย วัวกระทิง 
แล้วก็ มีคนเยอะๆ วิ่ง ให้กระทิง ไล่ขวิดเล่น มีคนบาดเจ็บทุกปี บางปีก็มีคนตาย 

เท่าที่ดูจะมีแต่พวกผู้ชายเท่านั้น ที่ไปวิ่งยั่วยวนและล่อ วัวกระทิง ส่วนผู้หญิงแค่คอยดูให้กำลังใจ 

ผมไม่เล่าเรื่องนี้ต่อ นะครับ เพราะออกจะนอกเรื่อง  แล้วผมก็รู้เท่าที่แม่เล่า   
แม่พาผมเดินผ่าน ศาลากลาง ของ พัมโพลน่า  แล้วก็เดิน ตาม ทางที่เขา ปล่อยวัววิ่งขวิดคนเล่น
มีป้ายบอกทางวัววิ่ง เรียกชื่อเป็นภาษาสเปน ว่า เอ็นเซียร์โร่ (Encierro)   
เป็นถนนแคบๆ  ก็น่าที่จะมีคนบาดเจ็บ  ถ้าไม่โดนวัวขวิด ก็คงจับกบ ล้มทับกันตายไปเอง

เราเดินเล่นไปจนถึง จัตุรัสสู้วัวกระทิง  แม่เล่าว่าตอนแม่สาวๆ เคยเข้าไปดู
ดูแล้วคอยเชียร์วัว ดีที่ไม่โดนชาวบ้านเขาไล่ตี แทนที่จะเชียร์คน ดันไปเชียร์วัว 
ถึงกระนั้นแม่ก็ดูไม่จบ แม่ว่ากลิ่นเลือดวัว ทำให้ลำไส้ปั่นป่วนไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่เคยไปดูงานแข่งวัวกระทิงอีกเลย




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 09 มี.ค. 10, 05:46
      ดีใจที่ได้กลับมาเดินและเดินกันต่อ ครับ

       เรื่องราวการเดินทางไกลเตือนให้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของเท้า อวัยวะที่บางเจ้าของมักมองข้าม
เพราะอยู่ไกลตาที่สุด

เห็นจริง อย่างคุณว่า  เท้าเป็นสิ่งที่ต้องถนอมมากๆ  แปลกแต่ว่า คนบำรุง ถนุ ถนอม หน้ามากกว่า ;)


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 10 มี.ค. 10, 05:40
เราเดินชมเมือง มาถึง จัตุรัส คาสตีโย่ (Plaza del Castillo) นั่งเล่นดูคนผ่านไปมา   
ดูไปดูมาเจอ คู่สามี ภรรยา อัลบ้า กับ อัลฟองโซ่ ที่แม่ให้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลแกเขาไปเมื่อวันก่อน
เพราะ อัลบ้าโดนรองเท้าทำพิษมี ตุ่มแผลพุพองเต็ม ทั้งสองเท้า   

วันนี้เท้าอัลบ้าก็ยังมี พลาสเตอร์ ปิดเต็มทั้ง สองเท้า   คุยกันไปสักพัก
กลุ่มเพื่อนร่วมทางก็โตขึ้นเรื่อยๆ   นับประมาณได้เกือบ ยี่สิบคน จำชื่อไม่หวาดไม่ไหว   
พวกเขา ก็คงจำชื่อ เราทั้งสองไม่ได้เหมือนกัน   ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
โดยไม่มีการนัดเจอ วันรุ่งขึ้น   คิดเอาเอง ว่าคงได้เจอกัน ในวันใดวันหนึ่ง เร็วๆ นี้

แม่ว่า วันนี้เรา กินข้าวมื้อ ใหญ่ เมื่อ ตอนกลางวัน  เพราะฉะนั้น เย็นนี้แม่ จะพา ไป กิน ทะปาส (Tapas)   
เป็นร้านประเภทเรียกน้ำย่อย แต่จะกินจริงๆ เป็น มื้อหลัก ก็ไม่มีใครว่า 

เขากินกันช่วง บ่ายโมง ถึง ประมาณ บ่าย สาม  ส่วนตอนเย็นจะเปิด ประมาณ สามทุ่ม ไป จนถึง ประมาณห้าทุ่ม   
วิธี กิน ทะปาส ให้สนุก เราต้อง ยืนกิน ตรง บาร์ ที่เขามี อาหาร เตรียมไว้ เรียบร้อย   เพียงแค่ ชี้นี้วเขาก็เอาใส่จานให้   

ทะปาสเป็นอาหารชิ้น เล็ก ประเภท กัด สองคำ หมด   เหมือนกิน ดิมซำที่ร้านอาหารจีน
ส่วนมากจะอยู่บน ขนมปังชิ้นเล็กๆ มีไม้จิ้มฟัน เสียบไว้อีกที   

เมื่อหลายๆปีมาแล้ว (ก่อนผมเกิด นานมาก) เวลาคิดเงิน เขาก็ใช้ วิธีนับไม้จิ้มฟันเอา
เพราะราคาเท่ากันหมด    แต่สมัยนี้  เขาจดเอาไว้เลย 
นอกจาก ราคาแต่ละอย่าง จะไม่เหมือนกันแล้ว  คนคงแอบเอาไม้จิ้มฟันทิ้ง

อาหาร ทะปาส แบบเย็น ที่เขามีให้ดู ที่บาร์ ที่ขึ้นชื่อ และมีทุกเมือง
คือตอร์ติย่า เอสปานยอลล่า หรือ ไข่เจียวสเปน  แล้วก็ หมูแฮมชื่อดังของสเปน
ซึ่งผมไม่รู้ว่า เขาเรียกเป็นภาษาไทย ว่าอะไร (Jamon Iberico หรือ Jamon Serrano และๆลๆ ชื่อเสียงนั้น แล้วแต่ความเค็ม และความอร่อย)   

นอกนั้นก็มี ลูกมะกอกดอง (olives)   ปลา อันโชวี่แช่น้ำมันมะกอก หรือเรียกอย่างฟังดูหรู
ว่า ลาส อันโชอาส เด คานตาเบรีย (las anchoas de Cantabria)
 
มีไส้กรอกต่างๆ จาก โชริโซ่ (ไส้กรอกหมูเผ็ดนิดๆ Chorizo) ไล่ไปถึง มอร์ซีย่า
(ไส้กรอกเลือด Morcilla คล้ายๆ Black pudding ของอังกฤษ)   
และมีอีกสารพัดอย่าง ที่ผมจาระไนไม่หมด

ส่วน ทะปาส แบบร้อน เรา ต้องสั่งเขาต่างหาก  มี ปิ้งโช่ โมรูโน่(Pincho moruno)   
ยืนโรง เป็นไม้จิ้ม คล้ายๆสะเต๊ะบ้านเรา   แต่เขาหั่นชิ้นเนื้อหนากว่า เป็นก้อนสี่เหลี่ยม     

มีพริกเขียวที่ยังไม่โตเต็มที่ดอกเล็กๆทอด น้ำมัน โรยเกลือ
ที่เขาเรียกว่า พีเหมียนโต้ส เด พา-ดรอน (Pimientos de Padrón)

แล้วก็มี กัมบาส อัล อะคีโย่ (Gambas al ajillo) กุ้งทอดกระเทียม
นอกจากนี้ผมขอใช้เครื่องหมาย ไปยาลใหญ่   อย่างที่ว่าล่ะครับจาระไนไม่หมด

การสั่งทะปาส นี้ เราจะสั่งเป็นชิ้นๆ ที่ผมอธิบายไว้ก่อนหน้านี้
หรือจะสั่งแบบหนึ่งส่วน หรือครึ่งส่วนก็ได้ เราสั่งอาหาร ตามสไตล์แม่
คือ เต็มโต๊ะ แถม ไวน์แดง อีกขวด  แม่เทน้ำ ผสมไวน์ ให้ผมกิน 
ว่าหัดกินเหล้าไว้แต่เด็ก  จะได้กินเป็น 

กินเป็นของแม่ คือ รู้จักว่าเวลาไหนควรกิน เวลาไหนควรหยุดกิน 
เรียกว่าพอหอมปาก หอมคอ  กินเสร็จ แม่สั่ง เหล้าหลังอาหาร

ชื่อปัทชารัน (Patxaran ในภาษา อูสเก-รา  หรือ  Pacharán ในภาษาสเปน)
เป็นเหล้าที่ถือกำเนิดในดินแดนนี้  กินแบบเย็น  โดยปรกติ เหล้า ปัทชารัน จะแช่เย็น 
ถ้าไม่มีแบบแช่ ก็ใส่น้ำแข็งเอา  รส ออกหวานๆ  เหมือนขนม  แม่ว่า แบบนี้ ทำให้เมาง่าย

เรากลับถึงโรงแรม ห้าทุ่มกว่า หมดไปอีกวัน

 




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 มี.ค. 10, 05:52
วันนี้เรา ตื่นสาย เพราะ ต้องเอา รองเท้าแม่ไปซ่อม   กว่าร้านจะเปิด ก็ประมาณ เก้าโมงเช้า
พอไปเดินหาร้านซ่อมรองเท้า เราถึงรู้ว่าร้านเปิด ตอนห้าโมงเย็นเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์   

แม่ว่าเราต้องรอ ร้านเปิดเพราะ กว่าจะมีเมืองใหญ่ๆ ที่มีร้าน
ขายรองเท้า ซ่อมรองเท้า ก็ต้องเดินอีกสี่วัน   

ถึงตอนนั้นคงต้องตัดนิ้วก้อยทิ้ง ถ้ามันไม่หลุดไปเองซะก่อน 
แต่กว่าจะถึง ห้าโมงเย็น เราจะไปทำอะไร  เลยชวนกันไปกิน ข้าวเช้า แล้วค่อยๆ ช่วยกันคิด

แม่สั่ง คาเฟ้ คอน เลเช้ (Café con leche)   หรือกาแฟใส่นมแก้วใหญ่ ให้ตัวเอง พร้อม ตอร์ติย่า   
ส่วนของผมนั้น นมอุ่น กับโดนัท (ที่คนสเปน เรียก ว่า โดนุท)

กาแฟในสเปน มีอยู่หลายอย่าง  ผมจะจาระไนคร่าวๆ เฉพาะที่ผมได้ยิน บ่อยๆ 
เริ่มด้วย คาเฟ้ คอน เลเช้ (Café con leche) ซึ่งนิยม กินกันตอนเช้า
 
คาเฟ้โซโล่ (Café solo) เป็นกาแฟถ้วยเล็ก ไม่ใส่นม ที่เรารู้จักกันในนาม เอสเปรสโซ่ (Espresso) ไงครับ   
ส่วนอีกอย่างคือ คาเฟ้ คอร์ตาโด้ (Café cortado) คือ กาแฟแก้วเล็กแบบ เอสเปรสโซ่ ใส่นม   
และคาเฟ้ อเมริกาโน้ (Café Americano) เป็นกาแฟดำ แก้วใหญ่

เรานั่ง ละเลียดมื้อเช้า  ปรึกษาหารือ เกี่ยวกับวันนี้ แม่ว่า
สมควรที่จะ โทรศัพท์ หา คุณปายโย่ (Peio) ลองถามดูเผื่อ
เขาอาจรู้จัก ช่างซ่อมรองเท้า ซึ่งเขาก็รู้จักจริงๆ   

คุณปายโย่บอกจะโทรถามให้   ข่าวไม่ดีอีกหน   ช่างซ่อมรองเท้า บอกว่า
ถ้าจะเอาหัวรองเท้ามาขยาย สำหรับ คนเท้าบาน แบบแม่
ต้องทิ้งรองเท้าไว้กับเขา อย่างน้อย สามวัน   แม่เลยตัดสินใจซื้อรองเท้าอีกคู่   

ให้คุณปายโย่ พาไปอีกหน นอกเมือง เพราะในเมือง ร้านปิดหมด   
คราวนี้แม่ซื้อรองเท้า ใหญ่กว่าปรกติ สองเบอร์   หวังว่ามันจะไม่กัด

วันนี้กว่าจะได้ออกเดินทาง ก็เกือบเที่ยงวัน แดดออกจ้า
วันนี้เราต้องเดินยี่สิบสี่ กิโลเมตร หรือหกชั่วโมง  ถ้าไม่หยุดพักเลย 

วันนี้เป็นวันเดินขึ้นเขา จุดสูงสุดอยู่ ที่ อัลโต้ เดล แปร์ดอน (Alto del Perdón)   
ซึ่งอยู่สูง เกือบ แปดร้อยเมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ห่างจาก พัมโพลน่า (สูงประมาณ สี่ร้อยห้าสิบเมตรเหนือระดับน้ำทะเล)
สิบสอง กิโลเมตร ดูไปก็ไม่น่าจะมากมายนัก ถ้าไม่ต้อง เดินเอง
 
เราคิดว่า จะแวะกินข้าวกลางวันเมือง ถัดไป คือ ซิซูล์ เมนอร์ (Cizur Menor)   
เดินประมาณชั่วโมงเศษๆ ผมว่า เราน่าจะถึง

อาหารก็เป็นสไตล์ปรกติ   มีให้เลือก สาม สี่อย่าง  แต่ไม่อร่อยมาก 
แต่มีไวน์แดง ที่อร่อยใช้ได้    มันก็น่าอร่อย เพราะเราอยู่ใกล้  รีโอค่า (Rioja)
แหล่งผลิตไวน์ชื่อดัง ของสเปน   

หลังอาหาร แทนที่จะนอน เราเดินต่อ วันนี้เริ่มออกเดินช้ากว่าทุกวัน
ต้อง ทำเวลา เพราะ เหลือ อีกประมาณ สิบเก้า กิโลเมตร

ที่จะถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ คือเมือง พ่วนเต้ ลา เรน่า  (Puente la Reina) 
หลังจากซิซูล์ เมนอร์ ทางเป็นเนิน ตลอด  อากาศ ร้อน ตับแล่บ
 
แต่วิว ระหว่างทางสวยมาก  ดูเพลินๆ  ออกจะลืม เหนื่อยได้บ้าง   
ดีที่เราหอบน้ำมาเยอะมาก  เล่นเอาเป้หนักขึ้นไปอีกหลายกิโล 

พอถึง เมืองอ่านชื่อแล้วเมี่อยปาก ซาริกิเอกุย (Zariquiegui)
ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า อ่านถูก   เราเริ่มเดินขึ้นเขาจริงๆ   
เดินแบบเหนื่อยมากไปอีก เกือบชั่วโมง ก็ถึง อัลโต้ เดล แปร์ดอน   
กังหันลมทำไฟฟ้าที่เราเห็นเล็กกระจิ๋วหลิว จากข้างล่าง ดูใหญ่ขึ้น






กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 มี.ค. 10, 09:32
           แค่นั่งอ่านสบายๆ ไม่ได้เดินๆๆๆๆๆ ไปด้วยยังรู้สึกเหนื่อยปนท้อ
             ถ้าไปเดินจริงคงถอดใจใช้รถสลับการเดินไปแล้ว

             "ผม" นอกจากจะเป็นลูกชายแล้วยังเป็นเพื่อนร่วมทางที่น่ารักมาก ไม่ทราบว่าระหว่างทาง
ได้คุยเรื่องอะไรกันบ้าง อุปสรรคในการเดินทางมีผลต่อความสัมพันธ์อย่างไร เห็นอกเห็นใจ หรือ
มีขัดใจ ปนงอนกันบ้างหรือเปล่า
              แต่เชื่อว่าในที่สุดเมื่อถึงจุดหมาย สายสัมพันธ์ต้องกระชับมั่นสนิทแน่นกว่าเดิม  ครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 มี.ค. 10, 12:24
           แค่นั่งอ่านสบายๆ ไม่ได้เดินๆๆๆๆๆ ไปด้วยยังรู้สึกเหนื่อยปนท้อ
             ถ้าไปเดินจริงคงถอดใจใช้รถสลับการเดินไปแล้ว

             "ผม" นอกจากจะเป็นลูกชายแล้วยังเป็นเพื่อนร่วมทางที่น่ารักมาก ไม่ทราบว่าระหว่างทาง
ได้คุยเรื่องอะไรกันบ้าง อุปสรรคในการเดินทางมีผลต่อความสัมพันธ์อย่างไร เห็นอกเห็นใจ หรือ
มีขัดใจ ปนงอนกันบ้างหรือเปล่า
              แต่เชื่อว่าในที่สุดเมื่อถึงจุดหมาย สายสัมพันธ์ต้องกระชับมั่นสนิทแน่นกว่าเดิม  ครับ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านคะ

เวลาเขียน ก็พยายามเขียน ให้ทั้งแม่ทั้งลูกมีภาพพจน์ดีๆ (๕๕๕)
ตอนไปเดินครั้งแรก ลูกชายตอนนั้นอายุ ๑๐ ขวบ
เป็นคนอ้อนให้แม่พาไปเดิน

ทะเลาะกันเกือบทุกวันเลยคะ  เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน
แถมอยู่ด้วยกัน วันละ ๒๔ ชม ทำให้เหม็นหน้า กันบ่อยๆ

บางทีก็แยกกันเดิน เพราะลูกชอบบ่นว่าแม่เดินช้า
แม่ก็ ขี้งอน น้อยใจลูก เลยไม่พูดด้วย

ระหว่างเดินส่วนมากจะคุยเรื่องทั่วๆไป ส่วนมาก
จะพยายามให้ลูกรู้ อยู่เสมอว่า ไม่ว่า ลูกมีปัญหา
อะไร ไม่ว่าร้ายแรงแค่ไหน ให้มาปรึกษาได้

ส่วนมากจะสอนให้ลูก มีนํ้าใจ ช่วยเหลือคนอื่น
เพราะลูกมีเชื้อไทยครึ่งเดียว กลัวไม่มีนํ้าใจ เหมือน
ฝรั่งทั่วๆไป

แต่พอเดินไปหลายๆวัน ก็ปรับตัว หากันได้
พอถึง ซานติอาโก้ ก็กอดขอกันร้องไห้

ลูกเลยกลายมาเป็นเพื่อนที่ดี ที่สุดของแม่
ส่วนแม่ก็เป็นแม่ที่ลูก เอาปํญหาของเด็ก
วัยรุ่นทั่วไป มาให้แม่ช่วยคิด

คุณ SILA ลองไปเดินซิคะ แล้วคุณจะประหลาดใจ
ในความสามารถของ ตัวเอง

ตัวดิฉันไปเดินมาหลายรอบ มันเหมือนมีอะไรซักอย่าง
มาดลใจให้ อยากไปอีกแล้ว นี่ก็เริ่มคิดจะไปอีกหน
แต่ว่าจะใช้อีกเส้นทาง







กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 12 มี.ค. 10, 04:48
เรากำลังยืนสูดอากาศอย่างเพลิดเพลิน   พร้อมดูอาศรม
(อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเขาเรียกเช่นนี้
ภาษาสเปน เรียกว่า Emita ภาษาอังกฤษคือ Hermitage
เป็นสิ่งก่อสร้างเล็กๆเหมือนโบสถ์ แต่ไม่มีบาทหลวง)   

เพื่อจะทำหน้าสวยถ่ายรูป     ก่อนที่จะมองเห็นหนุ่มที่สะพายเป้
และถือไม้เท้า เหมือนเรา   แต่บนหน้าอก เขาแบกไม้กางเขนอันเบ้อเริ่มเทิ่ม 

แทนที่จะถ่ายรูปของตัวเราเอง  ผมอดใจไม่ไหว  ต้องถ่ายรูปเขาแทน   
ซึ่งแม่โกรธผมเป็นอันมาก  เปล่าครับ ไม่ได้โกรธ เพราะผมไม่ได้ถ่ายรูปแม่

แต่โกรธ เพราะ ผมไปถ่ายรูปคนอื่น โดยไม่ขออนุญาตเขาก่อน 
แม่ว่า เสียมารยาท  แล้วบังคับให้ ผมไปขอโทษ 

แล้วถามเขาด้วย ว่า จะอนุญาต ให้เราเก็บรูป เขาไว้ หรือจะให้ลบ ออกจากกล้อง 
นอกจากจะไม่โกรธ  เขายังชอบใจ บอกให้ผม ส่งรูป ให้เขาด้วย   
แม่สั่งสอน เรื่องมารยาท ต่อไปจน เลย ห้าโมงเย็น 
ถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ยังเหลืออีก ประมาณ สิบ กิโลเมตร กว่าจะถึงพ่วนเต้ ลา เรน่า   

เลยหยุดเทศน์ แต่โทรศัพท์ ไปจอง โรงแรมแทน  แม่ว่า วันนี้ต้อง จอง เพราะ ถ้าไม่จอง
แล้วไม่มีโรงแรม เราจะมี ปัญหามาก เพราะกว่าจะถึงพ่วนเต้ ลา เรน่า  ก็เริ่ม ค่ำ 

ถ้าต้องเดิน ต่อ อาจจะมืดไปเลย  แล้วแม่ก็ไม่อยาก เรียกคุณปายโย่ อีก   เพราะแพง 
แล้วเราเสียเงินเสียทองไปเยอะ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ที่มันกลายมาเป็นเรื่องใหญ่
คือ ค่า รองเท้า คู่ใหม่ สองคู่ ของแม่ 

พอเอ๋ย ถึงรองเท้า แม่ก็ นึกขึ้นมาได้ ว่า วันนี้ไม่เจ็บเท้า เลย  สรุปกันเอาเอง
ว่ารองเท้าคู่แรกที่แม่ซื้อ นั้น คู่เล็กไป

แม่จองโรงแรม ฮาคูเอ้ (Hotel Jakue โทร ๐๐๓๔ ๙๔๘ ๓๔ ๑๐ ๑๗) 
พอออกจาก อัลโต้ เดล แปร์ดอน เราเดินลงเขา อย่างเดียว 
ซึ่งเราเดิน แบบระวังมาก กว่า ตอน ขึ้นเขา  โดยเฉพาะ เส้นทาง ที่เขาราดด้วย
กรวด แทนยางมะตอย  ดีไม่ดี อาจเดินสะดุดก้อนหิน ทำให้เท้าแพลงได้

อากาศยังร้อน แม้จะเกือบหกโมงเย็นแล้ว  แม่ว่า เริ่มเดินตอนเช้า ดีที่สุด
นอกจากไม่ร้อนมาก  เรายังถึงจุดหมาย บ่ายๆ มีเวลาชมเมือง ที่เราไปพัก
ถึง อูแทร์ก้า (Uterga) เกือบทุ่ม  อากาศเป็นใจ เริ่มเดิน สบาย 
ไม่มีร้านใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่บ้านพักนักแสวงบุญ

เราไม่แวะพักแต่เดินต่อ ไปหน่อยเดียวก็ถึง มูรูซาบาล (Muruzábal) มีปราสาท ที่น่ารักมาก   
ชื่อว่า พาลาซิโอ้ เดล มาร์เกซ  (Palacio del Marqués)     
พอแม่เห็นปราสาท ก็ตัวสั่น อยากเป็นประไหมสุหรีขึ้นมาทันที

นอกจากจะเป็นปราสาทแล้ว เขายัง ทำไวน์ ขายด้วย แต่ใช้ชื่อว่า พาลาซิโอ้ เด มูรูซาบาล (Palacio de Muruzábal)   
ชิมแล้วแม่ชมว่าอร่อย   อร่อยจริงหรือไม่จริง ผมก็ไม่แน่ใจ     แต่แม่ติดใจปราสาทเข้าไปแล้ว 
ใจแม่มันเลยไปสั่งให้สมอง คิดว่า ไวน์อร่อย   

เสียดายที่เราต้องรีบเดินต่อ และจองโรงแรมไว้แล้ว  แม่ว่า ถ้ายังไม่จองโรงแรม
จะขอเขานอนที่ปราสาทซะเลย  ผมขัดแม่ว่า ปราสาทนี้ จะต้องมีคนตายแล้วเยอะมาก 
แค่นี้แม่ก็ ออกเดินอย่างเร็ว กลัวผีละครับ ไม่มีอะไร


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 13 มี.ค. 10, 05:02
เดินมาได้นิดเดียว เราเจอโบสถ์ ที่มีหลังคาแปดเหลี่ยม   แม่ว่าเหมือน อัศวิน เทมพลาร์
(Knights Templar ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่า นักรบ หรืออัศวิน แต่แม่ ชอบ อัศวินมากกว่า) มาสร้างทิ้งไว้   

แฟน นิยาย ดาวินชี่ โค้ด (Da Vinci Code) อย่างแม่มีหรือ จะพลาด   
ซานต้า มาเรีย เด ยูนาเต้  (Santa Maria de Eunate) ตั้งอยู่ นอกเมือง 
เดินๆ ก็เห็นโผล่ขึ้นมา โดยที่เราไม่ได้คิดว่าจะเจอ   

เพื่อนร่วมทาง เล่าให้ เราฟัง ว่า อัศวิน เทมพลาร์ สร้างเอาไว้ เมื่อ ศตวรรษที่ สิบสอง 
แล้วคำว่า ยูนาเต้  ในภาษา อูสเก-รา แปลว่า ประตู ร้อย บาน (cien puertas)   
แม่อยากเดินชมต่อ แต่วันนี้ เวลาไม่เป็นใจ 

อยากถึงโรงแรม ก่อนพระอาทิตย์ตก   ถ้ามืด แม่ว่า แม่กลัว โดยไม่เน้นว่ากลัวอะไร ให้ผมนึกเอาเองในใจ
เราเลยรีบเดิน ทำเวลา ผ่าน โอบาโนส (Óbanos) โดยไม่แวะ   

แต่เดิน ตรงดิ่ง หาเมือง พ่วนเต้ ลา เรน่า   เราถึง โรงแรม เกือบ สองทุ่มครึ่ง   
แม่ว่าดี อาบน้ำเสร็จ ภัตตาคาร เปิด พอดี   ได้หาข้าวเย็นกิน

ข้างๆ โรงแรมมีร้าน เขาโฆษณา ว่ามี เมนู ชื่อแปลกๆว่า เมนู เด ลา ซิเดรเรีย (Menú de la Sidrería)   
ซิดร้า (Sidra) คือเหล้า หรือไวน์ อ่อนๆ ที่ทำมาจาก แอ็ปเปิ้ล   มีแอลกอฮอล์ ประมาณ ๔ – ๘%   
ราคาอาหารชุด ออกจะสูง กว่า เมนูทั่วไปเกินหนึ่งเท่าตัว   หิวก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แต่ความอยากรู้มีมากกว่า   

เมนูเด ลา ซิเดรเรีย แพงกว่า เมนูทั่วไป เพราะ ประกอบ ด้วยอาหารหลายอย่าง
แต่ที่เด่นมากๆ ก็คือซิดร้า เพราะจะดื่มมากแค่ไหนก็ไม่ว่ากัน   

เขามีถัง ไม้โอ๊ก เต็มไปด้วย ซิดร้า เย็นชื่นใจให้ชิมตามสบาย อยู่ ห้า ถัง   
รสชาติแตกต่างกันไปทั้ง ห้าถัง   ให้เราเปิด ก๊อก รินเองได้     

ถ้าอยากดู วิธี รินซิดร้า ตามสไตล์ คนบาสค์ เขาก็ทำให้ดู 
โดย เขาถือขวด ซิดร้า (ขวดคล้ายๆ ขวดไวน์) ด้วยมือขวา (ถ้าถนัดขวา)

ยืดมือ เหยียดแขน จนเลยหัวคนริน แล้วเท เข้าหาแก้ว ที่มือซ้ายถือ รอไว้ไต้ เป้า กางเกง 

แล้ว รินที่ละ นิด  เพราะ ซิดร้า หาย ซ่า เร็ว กว่า โค้ก   กินหมดค่อยเติมใหม่ 
ถ้ากินไม่หมด เขาก็อนุญาติ ให้เททิ้งใต้โต๊ะได้ 

เขาบอกด้วยที่ต้อง เทแบบนี้ ทำให้ มันซ่า ขึ้นมากว่า ริน จากขวด เหมือนรินไวน์   
ผมเห็นง่ายๆ เลยลอง ขอเขารินดูบ้าง  เปียกเกือบทั้งตัว 

แม่ก็พลอยบ้าไปกับผมด้วย  เราสองคน คงทำซิดร้า เขาหกไปเยอะ 
ความสนุก ทำเอาเราลืมคำว่าเสียดายของไปได้

สงกรานต์ กันด้วย ซิดร้า เรียบร้อย  เขาก็เอา อาหารมาให้ 
จานแรก เป็น  ตอร์ติย่า เด  บัคคาเลา (la tortilla de bacalao) 
ปลา บัคคาเลา คือปลาแห้ง ที่ต้องเอามาแช่น้ำ ก่อน เอาไป ทำอาหาร  หรือ ปลา Cod ในภาษาอังกฤษ   

จานที่สอง เป็น สลัดสารพัดผัก  จานที่สาม คือ โชริโซ่ อา ลา ซิดร้า (Chorizo a la Sidra) 
เขาเอาไส้กรอก โชริโซ่ ต้มกับซิดร้า  อร่อยแบบ แปลกๆ   

ทั้งผม และแม่เริ่มอิ่มมาก    อาหารก็ยังมาเรื่อยๆ   
จานสุดท้าย เป็น  ชูเลตอน เด คาร์เน่  (Chuletón de carne) เนื้อ ซี่โครงวัว ย่าง 
ชิ้นใหญ่ยักษ์หนัก ซัก ครึ่งกิโล เห็นจะได้ 
 
เสร็จแล้ว มีขนมหวานให้อีก   แต่เรา ขอ แค่ แตงโม คนละชิ้น
กินแตงโมเสร็จ  ผมนึกว่าเราจะได้กลับโรงแรมไป นอน ซะที 
เปล่าเลย เพราะ เขาเอา เหล้า ย่อยอาหาร ปัทชารัน  มาวางไว้ บนโต๊ะเราทั้งขวด   
แม่ไม่อยากขัดสัทธา  ก็เลย จิบนิดๆหน่อยๆ
เกือบเที่ยงคืนกว่าเราจะเดินโย้เย้ ถึง โรงแรม









กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มี.ค. 10, 09:33
          ค้นกูเกิ้ลแสดงลีลาการเทซิดรา ชอบภาพนี้มากกว่าภาพอื่นๆ ครับ

จาก flickr เขาบรรยายว่า

           When Asturian cider is served, it is poured in a particular way, El Escanciado:
         since it is natural and bottled without gas, the bottle must be held above the head
allowing for a long vertical pour (requiring considerable skill and accuracy) which causes the cider
to be aerated when it splashes into the glass below.
         Many people even don't look at the glass while doing so. This gives it a pleasant "zingy" taste. 


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 13 มี.ค. 10, 12:58
อย่างในภาพเลยคะ  เวลาดูก็ไม่น่ายาก  แต่พอลองดูเปียกตั้งแต่หัว
ไปจนถึง หัวแม่โป้ง 


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 14 มี.ค. 10, 04:20
หลังจากนอนสลบไสล อบอวน ไปด้วยกลิ่นซิดร้า   
โชคดีที่แม่ตั้งนาฬิกาปลุก ไว้ ก่อนออกไป กินข้าวเย็น 

เจ็ดโมงครึ่งเป๋ง เราลงไปกินข้าวเช้า  ที่โต๊ะ กินข้าว
เจอ มาเนล เพื่อนร่วมทางจาก บาร์เซโลน่า 
ที่เจอวันก่อน  ที่ อาเคร์เร็ตต้า 

ต่างคน ต่างแข่งกัน ถามทุกข์ สุข เพราะไม่ได้เจอกันมาหลายวัน   
มาเนล เล่าว่า เจอ เพื่อนร่วมทาง อีก หลายคน เมื่อ คืนนี้ 

คงจะเจอ ตาม ทางวันนี้แน่ๆ   ข้าวเช้าที่เขาให้เรา กิน วันนี้แย่กว่า หลายวัน ที่ผ่านมา 
มีขนมปังของเหลือวันวาร ซึ่งไม่อร่อยมากๆ แม่เลยว่า เพราะเรากินข้าวเย็นมากไป เลย ไม่หิว   

แต่ถึงกระนั้น ก็ สมควร ซื้อ แซนวิช ติดเป้ ไป กินกลางทาง  พร้อมน้ำ อีกคนละ สองลิตร 
แค่นี้ เราก็พร้อมที่จะออกเดินทาง 
   
วันนี้ เราจะเดินให้ ถึงเมือง เอสเตลย่า (Estella)  ผมว่า ซักหกชั่วโมงก็น่าจะถึง   
วันนี้ เป็นการเดินทางแบบ ง่ายๆ เหมือน เดินเล่น แถวๆบ้าน (ตามหนังสือคู่มือว่า จริงเท็จแค่ไหน ต้องไปดูเอง)
ไม่มีเนินเขาให้เดินขึ้นมากนัก 

พอแปดโมง เรา คือ แม่ และผม ออกเดินทาง จาก พ่วนเต้ ลา เรน่า 
เดินผ่าน คาเย้ มายอร์   ของเมือง 

ยังไม่ทันออกนอกเมือง เราก็เจอ เพื่อนร่วมทาง มากมาย ทั้งที่เคยเจอแล้ว
หรือที่ยังไม่เคยเห็นหน้า  เป็นคนสเปนทั้งหมด 

แม่ซึ่งเป็นคนที่จำชื่อคนไม่ค่อยเป็น ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ก็จำไม่ได้   
ออกจะหนักใจ  ผมปลอบใจแม่ว่า ไม่เห็นน่ากลุ้ม เพราะคงไม่มี ใครจำชื่อเราได้เหมือนกัน
นอกจาก มาเนล เพราะ เขาขอให้เราเขียนชื่อให้ดู 
จากชื่อ ธรรมด๊า ธรรมดา ของเราในเมืองไทย  กลับกลาย ดูเป็นชื่อหรู ไม่โหล ในประเทศสเปน เอาง่ายๆ

จบ คาเย้ มายอร์ ก็มี สะพานคู่บ้านคู่เมือง ข้ามแม่น้ำ อาร์ก้า (Río Arga) 
แม่เห็นแล้วก็ว่า น่าจะเป็น สะพานคู่ใจ ของ สะพาน ลา มักดาเลน่า แห่งเมือง พัมโพลน่า   
เพราะหน้าตาคล้ายกันมาก 

แต่ที่ พ่วนเต้ ลา เรน่า  ใหญ่กว่า สมกับชื่อเมือง ที่แปล ออกมาได้ว่า สะพานราชินี 
พร้อมทั้งข้ามแม่น้ำเดียวกันด้วย  น่าจะมีประวัติศาสตร์ เกี่ยวข้องกัน 
แต่วันนี้ ความขี้เกียจ มีมากกว่า ความอยากรู้  แม่เลยไม่ถามต่อ
 
หลังจากข้ามสะพานแล้ว ข้ามถนน เราถึงมีโอกาศ ได้เดิน ตามทางที่ ไม่ราดยางมะตอย   
แต่ทางที่หนังสือ ว่า เหมือนเดินเล่นๆ แถวบ้าน นั้น  ไม่รู้ บ้านใคร
เพราะเดินสบาย แค่ กิโลเมตรแรก 
หลังจากนั้นทางที่เริ่มชันนิดๆ กลายเป็น ชันมากๆ  อากาศ ก็เริ่ม ร้อน 
ชั่วโมงกว่า เราเดินถึง มาเยรู (Mañeru)  เราเดิน ผ่านโดยไม่ แวะ   



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: kookookai ที่ 14 มี.ค. 10, 22:14
อ่านคราวๆ แล้ว   ;) น่าสนุกจัง จะคอยติดตามการเดินทางในวันต่อๆ ไป นะจ๊ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 15 มี.ค. 10, 05:57
พอผ่าน ป่าช้า ประจำเมืองไปได้   เริ่มเดินง่ายๆ สบายๆ 
มีต้นองุ่นให้ดู ทั้ง สองข้างทาง  เราเข้าถิ่นทำไวน์ ของสเปน   
องุ่นเต็มต้น แสดง ว่ายังไม่ได้เก็บ  แต่ถ้าจะใกล้ฤดูเก็บองุ่น 

เพื่อนร่วมทาง เก็บองุ่น กิน กันอย่าง สนุกสนาน
จนผมออกจะอยากกินบ้าง   แต่แม่ห้ามบอกว่า

ถ้าคนทุกคนที่เดินผ่าน ต้นองุ่น แล้ว เก็บองุ่นกินเล่นอย่างที่เราเห็น 
ต่อให้มีมากแค่ไหน ก็อาจจะหมดได้   แม่ว่าถ้าอยากกิน ค่อยไปซื้อเอาในเมือง

เราเดินชมวิวต้น องุ่น ได้ประเดี๋ยว เดียว เราก็เห็นเมือง ซีเรากี่ (Cirauqui)
เหมือนอยู่ใกล้ๆ   พอเดินไปถึง ก็ไม่ผิดหวัง   

มีโบสถ์ใหญ่มโหฬาร ซาน โรมาน (Inglesia de San Román)   
แม่ว่าดูแล้วเหมือนเมือง สร้าง ขึ้นสำหรับ ต้อนรับ นักแสวงบุญ โดยเฉพาะ   

ซีเรากี่ เป็นภาษา อูสเก-รา (สะกด Zirauki)   แปลออกมาได้ว่าบ่องูพิษ   
เราเดินผ่านประตูโค้งโบราณ หลายบาน กว่าจะออกนอก เมือง 
น่าแปลกใจ ที่มีตู้ขายน้ำ แบบหยอดเหรียญอยู่ใจกลางเมือง 
เสียสุนทรีภาพ ไปมาก

เดินออกจากซีเรากี่  ลอดอุโมงค์ ไปเจอ ซากถนน  ที่ดูว่าน่าจะสร้างมาแต่ยุคโรมัน 
แลดูชักช่วนให้เดินผ่าน   โชคดีของเรา ที่อากาศดีไม่มีฝน  ถ้าต้องเดินตอนฝนตก
ผมก็ไม่แน่ใจว่า ถนนโรมัน เส้นนี้ยังจะดู สวย อยู่หรือเปล่า

เรา เจอเพื่อน ร่วมทาง อีก มี มาเนล กับ แซวี่ เป็นตัวหลักรู้สึกเจอบ่อย   
มีเพิ่ม มาอีก คน คือ ปัคโก้ จาก วาเล้นเซีย (València) เมืองส้ม

เราเดินเป็น กลุ่มใหญ่ คับถนน ไปถึง เมือง ล้อร์ก้า (Lorca) แบบไม่รู้ตัวเพราะ มีคนเดินด้วย   
เมือง ล้อร์ก้า ก็เหมือนเมืองเล็กๆ ที่เป็นเมืองทางผ่าน เอล คัมมิโนเดซานติอาโก ทั่วๆไป   
เห็นมีแต่ผู้สูงวัย นั่งเล่นในเมือง ไม่ค่อยจะเห็น วัยรุ่น หนุ่มสาว เท่าไหร่   
แม่ว่า คงหนีไปอยู่ในเมืองใหญ่ๆเช่น พัมโพลน่า กันหมด

ปัคโก้ จาก วาเล้นเซีย เดินประกบ แม่ตลอด
พยายามคุยเรื่องนั้น เรื่องนี้กับแม่ แถมร้องเพลง ให้เพื่อนๆ ร่วมทางฟังด้วย
ผมเห็น หน้าแม่ก็ รู้ว่าแม่เซ็งอีตาปัคโก้ อย่างหนัก ใจผมอยากจะแกล้งแม่ 
ให้ฟังซะให้ เข็ด แต่พอเห็นหน้าเซ็งสุดของแม่ก็อดสงสารไม่ได้

พอ ถึง วิลย่าตูแอร์ต้า (Villatuerta)  ผมเลยตะโกน บอกแม่ ว่าหิว ทั้งๆที่ แค่เที่ยงเอง 
เรานั่งใต้ต้นไม้ ข้างทาง พักเหนื่อย   

ส่วนเพื่อนร่วมทาง เดิน ต่อ เพราะ เดินอีกแค่ ชั่วโมง เดียว ก็ถึงเอสเตลย่า (Estella) 
โชคเข้าข้าง แม่   ปัคโก้ นัดเจอกับเพื่อนที่เอสเตลย่า เลย ต้อง รีบไป         

แล้วแม่ก็บ่น ว่ามัวมีเสียงของอีตา ปัคโก้ รบกวนเสียสมาธิในการเดินทางไปเยอะ
นอกจากไม่มีโอกาศได้ถ่ายรูป  ยังไม่มีโอกาศได้ชมวิวทิวทัศน์ 
นอกจากดูปากปัคโก้  ขยับขึ้นๆ ลงๆ ปิดๆเปิดๆ 

แม่ว่าโชคดี ที่ภาษาสเปน ไม่ใช่ ภาษาพ่อ ภาษาแม่
สมอง แม่เลยปิดไม่รับรู้ ว่าเขาเล่าอะไรให้แม่ฟังบ้าง 

ผมบอกแม่ว่า แม่น่าจะ ไล่อีตาปัคโก้ ให้ไปไกลๆ   
แม่ว่า เกรงใจเขา คงจะไม่ได้พูดมานาน 

แม้แม่จะอยู่เมืองนอก นานหลายปี แต่ก็ยังเป็นคนไทย 
เหมือนคนไทย ทั่วไป (ที่วัยเดียวกับแม่) คือขี้เกรงใจ   

ผมเลยบ่นแม่ให้ ว่า ก็เพราะไอ้ ความเกรง ใจของแม่ 
เลยทำให้เราเสียเวลาไปโดยใช้เหตุ  ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเหตุสุดวิสัย
เหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหลาย 

แม่ว่าแม่ช่วยไม่ได้  แม่เป็นของแม่มาแบบนี้ ตั้งแต่เกิด   
เราทะเลาะกัน อยู่ซักครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดิน ทางต่อ   

ก่อนออก เมือง เราข้ามสะพานโบราณ อีกที  แต่ปรับปรุงใหม่ เลยไม่ค่อยสวย
เหมือนที่เห็นใน วันก่อน แถมมีตึก อยู่หน้า สะพาน ทำให้หมดความงามไปเยอะ 

ทางเดินก็ เดิน ง่าย  มีป้ายบอกทาง เป็นลูกศร สีเหลือง ไป ตลอดทาง 
ไม่มีโอกาศ ให้ เราเดิน หลงได้ ง่ายๆ

มีเพื่อนร่วมทางมากมาย ขึ้นเรื่อยๆ หลายชาติ 
แต่ไม่หลายศาสนา  แม่กำลังเบื่อมนุษย์ เลยแค่ทักแต่ไม่ชวนคุย



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 16 มี.ค. 10, 05:14
ทางเดินจากวิลย่าตูแอร์ต้า ไปจนถึง เอสเตลย่า ใช้เวลาเพียง ชั่วโมงเดียว 
เพราะ หิวข้าว แม้จะควัก แซนวิช มากิน ระหว่างเดิน 
พอถึง เอสเตลย่า สามโมงเย็น ก็ หิวขึ้นมาทันที

เรายังไม่ที่พัก   เอสเตลย่า ออกจะใหญ่  ต้องถามคนไปตลอด 
ถึง พลาซ่า มายอร์ หรือ จัตุจัสใจกลางเมือง  เพราะตรงนั้นจะมีอะไรให้เรากินแน่ๆ   
เขาไม่เรียก ว่าพลาซ่า มายอร์ แต่มีชื่อของตัวเองว่า  พลาซ่า โลส ฟูแอโรส   (Plaza los Fueros)   

เอสเตลย่า มีถนน แยกเล็ก แยก น้อย เยอะไปหมด  เดินไม่ดูตาม้า
ตาเรือ อาจจะหลงได้ ง่ายๆ  กว่าเราจะหา ร้าน อาหาร เจอ
เขาก็ ไม่มี อะไรให้ กิน นอกจาก สลัดผัก   
แม่ว่า กินไป ก่อน ตอนเย็น ค่อย กิน เป็นเรื่อง เป็นราว 

กินเสร็จ เรา ก็ เดิน หาที่ พัก  เห็นมีแห่ง เดียว คือโฮสตาล ครีสติน่า (Hostal Cristina โทร ๐๐๓๔ ๙๔๘ ๕๕ ๐๔ ๕๐)
ที่เราสู้ ราคาไหว   แต่ดูแล้ว เหมือน บ้านผีสิง   มีแม่แก่ๆ กับลูกชายบริหาร   
ไม่มีบริการใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่า มีแค่ห้องโทรมๆ ให้เช่า   
ไม่มีทางเลือก เหมือนเคย เพราะเราเหนื่อยเกินกว่า
จะเดินต่อ  อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเล่นชมเมือง
 
ซักทุ่มนึง  พลาซ่า โลส ฟูแอโรส   มีทั้งเด็ก ทั้งวัยรุ่น รวมหนุ่มสาวและผู้สูงวัย
นั่งเล่น เดินเล่น จิบไวน์ จิบกาแฟ เต็มจตุรัส ผิดกับตอนที่เรามาถึง

แม่อ่านหนังสือคู่มือ เขาว่า มีโบสถ์อยู่ สองแห่ง  มีพิพิธภัณฑ์  มีวัง
แล้วก็มีอะไร หลายๆอย่าง สมควรเดินชมดังเช่น
ผู้มีรสนิยมสูง (เช่นเราทั้งสอง  ฮ่า ฮ่า ฮ่า) เป็นอันมาก

แต่ยังไม่ทันเห็นอะไรซักอย่าง ก็เจอเพื่อนร่วมทาง นั่งจิบไวน์ กันอยู่ เป็นกลุ่มใหญ่ 
ร้องเรียกชักชวน ให้เรานั่งด้วย   

ผมไม่ค่อยอย่างเดินชมเมืองซักเท่าไหร่ เพราะเดินมากจนเพลียแล้ว 
รีบนั่งตามคำเชิญ ก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจ  แต่ผมว่าแม่ก็คงไม่อยากชมเมืองมากนัก 

แต่ต้องทำเป็นอยากชม จะได้พาเยาวชน คือผม ไปดูเพื่อเป็นความรู้ติดตัว
นั่งกันรากงอก จนหิว  คนอื่นๆ ที่อยู่ บ้านพักนักแสวงบุญ
ก็กลับไปทำอาหาร เขามีครัวให้ 

ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายไปตามร้านอาหารต่างๆ  แม่อยากกินข้าวเอามากๆ
แม่ว่าไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน เกือบอาทิตย์ ซิ่งผิดวิสัยคนไทยแบบแม่เป็นอันมาก


เราเดินหาร้านอาหารอยู่นาน กว่าจะเจอ  ร้านนี้เขาว่ามี
อาร์โรส คูบาโน่ (Arroz Cubano หรือ อาร์โรส อา ลา คูบาน่า Arroz a la cubana )   

เรียกซะเก๋ แท้จริงแล้ว คือ ข้าวหุงแบบสเปน (ไม่เช็ดน้ำ) ราดด้วยซอสมะเขือเทศ   
แล้วตามด้วยไข่ดาว   ตอนแม่ไปอยู่สเปนใหม่ๆ หลงเชื่ออยู่นานว่า ต้นตำรับ นั้นมาจาก ประเทศ คูบา   

เปล่าเลย คิดขึ้นที่สเปน   ถ้าไปสั่ง อาร์โรส คูบาโน่ ที่อเมริกาใต้   ก็จะแตกต่าง จากที่เจอที่สเปน   
แม้ในสเปนเอง บางทีสั่ง ก็มีกล้วยหักมุกอบใส่มาให้ด้วย   

เราสั่งไวน์แดง มากิน   ผมจิบตามแม่ไปด้วย เหมือนเดิม 
โดยเอาน้ำโซดาผสมตามลงไป  กินแล้วซ่าๆ ชื่นใจพอประมาณ

แม่ว่า ข้าวก็งั้นๆ ดีกว่าไม่มีกิน  แต่ถ้าไปทำขายที่เมืองไทย เป็นต้องล้มละลายแหงแก๋   
ส่วนแกะย่างของผมนั้นอร่อยทีเดียว  แม่ชาตินิยม กินอะไรก็ ชอบเอาไปเปรียบ กับอาหารไทย 
เปรียบมากๆ ออกจะกินไม่ลงทีเดียว  กินเสร็จ เราเดินกลับไปนอน หัวถึงหมอน ตอน ห้าทุ่มพอดี



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 มี.ค. 10, 09:26
            แวะเข้ามาแสดงตัวว่ายังร่วมเดินทางตัวอักษรไปด้วย

              ถ้าเป็นไปได้ ขอคำบรรยายรูปประกอบ หรือวงเล็บหลังข้อความที่เขียนว่าหมายถึงรูปประกอบรูปไหน
(บน กลาง ล่าง)  ก็ได้ ครับ
   


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 16 มี.ค. 10, 09:47
            แวะเข้ามาแสดงตัวว่ายังร่วมเดินทางตัวอักษรไปด้วย

              ถ้าเป็นไปได้ ขอคำบรรยายรูปประกอบ หรือวงเล็บหลังข้อความที่เขียนว่าหมายถึงรูปประกอบรูปไหน
(บน กลาง ล่าง)  ก็ได้ ครับ
   

อยากทำมากคะ  แต่ทำไม่เป็น  ต้องทำแยกต่างหาก
หรือ ถ้าเขียนในรูปต้องทำอย่างไร บ้างค่ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 มี.ค. 10, 04:19
วันนี้ไม่มีข้าวเช้ากิน เราเลยกะว่าไปกิน ที่ อาเยกุย (Ayegui)  ครึ่งชั่วโมง ก็น่าจะถึง   
เราออกเดินทางเวลาเดิม คือแปดโมงเช้า   พอแปดโมงครึ่งก็ได้กินข้าวเช้าสมใจ   

มีเพื่อนร่วมทางนั่งอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนใจตรงกัน ว่าต้องแวะกินที่นี่
เพราะร้านใน เอสเตลย่า ยังไม่เปิด แล้วต่อจาก อาเยกุย ก็ไม่ที่แวะกินข้าวเลย

จนไปถึง โลส อาร์โกซ (Los Arcos)   เมืองที่เราจะไปนอนพักคืนนี้   
ซึ่งห่าง จากอาเยกุย ไปอีก ยี่สิบกิโลเมตร (ห้า ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ)

มื้อนี้เรากินชุดใหญ่ เพราะวันนี้ข้าวเช้ามีให้เลือกได้ตามใจฉัน เราเริ่มด้วย น้ำส้มคั้นสด
แซนวิชไข่เจียวฝรั่งเศสใส่โชริโซ่  และกาแฟใส่นมถ้วยโตของ แม่ 
ส่วนผมนมใส่กาแฟ  แม่ว่าเป็นเด็กเป็นเล็ก ให้ใส่นมเยอะๆ กาแฟนิดเดียว

กินเสร็จ เราหอบแซนวิช มโหฬารไส้แฮม กับเนยแข็ง และน้ำอีกคนละ สามลิตร
เพราะจากที่นี่ไป เราจะไม่มีโอกาส ซื้อน้ำได้เลยไปจนถึง โลส อาร์โกซ 

แล้ววันนี้ก็เหมือน หลายๆวันที่ผ่านมา คือ ร้อนมาก  เป้ เลยออกจะหนักกว่าปรกติ 
เพื่อนร่วมทางคนอื่นเขาไม่หอบน้ำเป็นบ้าเหมือนเรา   

เพราะระหว่างทาง เขามี น้ำก๊อกคอยไว้ให้สม่ำเสมอ   
แต่แม่ไม่ไว้ใจคุณภาพของน้ำก๊อกข้างทางเท่าไหร่ 

บางที่มันอยู่ใกล้ อ่างอาบน้ำวัวเกินไป  แม่ว่าไม่ได้ทำดัดจริต 
แต่คิดว่าถ้าเราป่วยเพราะ น้ำกิน ออกจะลำบาก
อาจจะต้องเลิกเดินกลางคัน  เลยอดขึ้นสวรรค์ (อันนี้ ผมต่อเอง)

เรากำลังจะลุกจากโต๊ะเพื่อเดินต่อ  มาเนล ก็เดินมาพอดี 
ทั้งแม่และผมซึ่งมีนิสัยนั่งแล้วรากงอก  เลยนั่งกินกาแฟกับมาเนลต่ออีกคนละถ้วย 

เห็นมาคนเดียว  คุยไปคุยมาได้ความว่า เขาออกสายกว่าทุกวันเพราะ ต้องการหลบ
กลุ่มปัคโก้  แม่ว่า ใจตรงกัน  เราเลยจะยึดมาเนล เอาไว้เป็นกันชน 

ท่าทางเป็นหนุ่มสูงวัยใจดี พอเล่าให้ฟัง มาเนลหัวเราะ ชอบอก ชอบใจ   
ผมเองนั้นชอบ มาเนลมากเป็นพิเศษ เพราะออกจะชาตินิยมเหมือนแม่ 

แม้ว่าจะนิยมกันคนละชาติ   ผมเป็นคน คาทาลาน
(Catalan คนของแคว้น Catalunya หรือ Cataluña ของสเปน มีภาษา ของตัวเอง)ก่อน   
จากนั้นก็ เป็นคนไทย ตามด้วย บาสค์ เหมือนย่า   อันดับสุดท้าย ถึง จะเป็นคนสเปน   

มาเนล เป็น คน คาทาลาน หลังจาก คาทาลาน ก็ยังเป็น คาทาลาน ไม่มีทางที่จะเป็นคนสเปนได้เลย   
เราถูกใจกันมากยิ่งขึ้น เพราะ เป็นสมาชิก ทีมบอล ทีมเดียวกัน คือ บาร์ซ่า (Barça)
หรือชื่อเต็มยศ ว่า ฟุตบอล คลุบ บาร์เซโลน่า (Futbol Club Barcelona)   
ผมเพลิดเพลินนอกเรื่องอีกแล้ว



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: merlin ที่ 17 มี.ค. 10, 09:59
แวะมาถามนะคะ  :D คุณ tian เคยอ่านนิยายเรื่อง the Pilgrimage ของ Paulo Coelho (คนเดียวกับที่เขียนเรื่อง the Alchemist) ไหมคะ ตัวเรื่องเกี่ยวกับการแสวงบุญของตัวเอกบนถนนสู่ Santiago ค่ะ (อันนั้นจะมีส่วนที่ออกแนว supernatural ด้วย มีไกด์ มีแบบฝึกหัดระหว่างทาง) เป็นนิยายเรื่องที่ชอบมาก ๆ ค่ะ ก็เลยมาขอแนะนำ จะตามอ่าน El Camino de Santiago ของคุณ tian ต่อนะคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มี.ค. 10, 10:58
           ลองดูแบบง่ายๆ อย่างนี้ ดีไหมครับ

แบบแรก - คือที่ทำอยุ่ทุกวันนี้ (วันละหนึ่งกระทู้ ข้อความ 10 - 20 บรรทัด) ใช้วงเล็บท้ายข้อความกำกับ
สมมติ เช่น

      ข้อความของวันนี้  
อ้างถึง
แล้ววันนี้ก็เหมือน หลายๆวันที่ผ่านมา คือ ร้อนมาก  เป้ เลยออกจะหนักกว่าปรกติ  
เพื่อนร่วมทางคนอื่นเขาไม่หอบน้ำเป็นบ้าเหมือนเรา

     ก็ใช้วงเล็บท้ายข้อความ >> แล้ววันนี้ก็เหมือน หลายๆวันที่ผ่านมา คือ ร้อนมาก  เป้ เลยออกจะหนักกว่าปรกติ  
เพื่อนร่วมทางคนอื่นเขาไม่หอบน้ำเป็นบ้าเหมือนเรา(รูปที่ 1 หรือ รูปบน)

แบบที่สอง - ลงข้อความกระทู้สั้นลง (วันหนึ่ง จึงจะมีมากกว่าหนึ่งกระทู้) เมื่อจบข้อความแล้ว เว้นบรรทัดและพิมพ์คำบรรยาย
เหนือภาพที่ลงประกอบ กระทู้ละหนึ่งภาพครับ เช่น

เพื่อนร่วมทางของเราวันนี้ (ขออนุญาตนายแบบแล้ว)    


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 มี.ค. 10, 16:18
แวะมาถามนะคะ  :D คุณ tian เคยอ่านนิยายเรื่อง the Pilgrimage ของ Paulo Coelho (คนเดียวกับที่เขียนเรื่อง the Alchemist) ไหมคะ ตัวเรื่องเกี่ยวกับการแสวงบุญของตัวเอกบนถนนสู่ Santiago ค่ะ (อันนั้นจะมีส่วนที่ออกแนว supernatural ด้วย มีไกด์ มีแบบฝึกหัดระหว่างทาง) เป็นนิยายเรื่องที่ชอบมาก ๆ ค่ะ ก็เลยมาขอแนะนำ จะตามอ่าน El Camino de Santiago ของคุณ tian ต่อนะคะ

ขอบคุณมากคะ
เคยอ่านค่ะ แต่อ่านไม่จบ เคยลองอ่านเรื่่องของคุณ Paulo Coelho สอง สาม เรื่อง
the Alchemist เป็นเรื่องแรก  แต่ไม่เคยเข้าถึงความหมาย ของคนเขียน เลยเลิกอ่าน
(เหมือนที่ลูกชายว่า แม่ไม่ค่อยฉลาดนัก อะไรๆ ก็ไม่รู้เรื่อง)   มีอีกคนคือ
Shirley McLaine ที่เขียนเรื่องนี้เหมือนกัน  ก็งั้นๆ ล่ะค่ะ  ต้องไปเดินเอง
แต่คุณPaulo Coelho มีแฟนหนังสือเยอะ ดิฉันคงจะเป็นคนเดียว ที่เขาสื่อ
ไม่เข้าใจ
ดิฉันไปเดินมาหลายครั้ง ยิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งชอบไปเดิน เดินครั้งแรกกับเดินครั้ง
สุดท้าย เส้นทางเดียวกัน แต่แตกต่างกันเยอะ
ดิฉันเลยคิดว่า อีกซัก สองสามปีจะเอาหนังสือ ของคุณ Paulo Coelho
มาอ่านใหม่ อาจจะเข้าใจมากขึ้น

แต่มีหนังสืออีกเล่ม ที่ชอบมาก Eat, Pray, Love by Elizabeth Gilbert
แล้วก็มีอีกเล่มเอาไว้ขัดเล่มแรก Drink, Play, F@#k by Andrew Gottlieb




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 มี.ค. 10, 20:05
คุณ Sila ขอบคุณมากค่ะ พรุ่งนี้จะลองทำดู


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 18 มี.ค. 10, 05:22
กว่าเราจะถอนราก ออกจากอาเยกุย ก็ ร่วม สิบโมงเช้า  เราเดินตาม มาเนล ไปเรื่อยๆ 
แม่รู้สึกสบายใจเป็นอันมาก ที่ไม่ต้อง คอยดูทาง ดูลูกศร

เดินไปถึง โรงทำไวน์ โบเดกาซ อีราเช้ (Bodegas Irache)   
ที่มี ฟ่วนเต้ เดล วีโน่  (Fuente del Vino) หรือ ก๊อกไวน์

ที่โด่งดังของเอล คัมมิโน ฟรันเซส   มี สอง ก๊อก   
ก๊อกหนึ่งเปิดออกมาเป็นไวน์ (แดง)   อีก ก๊อกหนึ่งเปิดออก มาเป็นน้ำ

เรารองชิมไวน์ เย็นยะเยือก  ก็ดี แต่ ไม่ถูกปากแม่นัก  แม่ชอบใจ
ในการโฆษณาของเขา  ที่นี้ ชื่อ โบเดกาซ อีราเช้  ได้ติดปากคนไปทั่ว
จะขายได้มากน้อยแค่ใหน เราไม่รู้  รู้แต่แน่ๆ ว่า ชื่อดัง 
แม่ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปแม่จะคอย สอดส่อง หาไวน์ยี่ห้อนี้  แล้วบอกกัน ต่อๆไป (รูปที่หนึ่ง)

ออกจากฟ่วนเต้ เดล วีโน่  ตามหนังสือคู่มือ แนะนำว่า
เราสมควรเดินไปชม โมนาซแตริโอ้ เด อีราเช้ (Monasterio de Irache)
หรือ อาราม ของ อีราเช้ ว่ากันว่า สวยมากไม่แพ้ใคร   

แต่ปรากฎว่า เราหาไม่เจอ  ทั้งแม่ ทั้งมาเนล ท่าจะ จิบไวน์มากไปหน่อย  เลยอดดู
เดินผ่าน อาซเกต้า (Ázqueta)  ตอน สิบเอ็ดโมง ครึ่ง   เมืองทั้งเมือง เงียบสงบ 

ไม่มีอะไรให้ตื้นเต้น เร้าใจ (รูปที่สอง) สมกับเป็นทางผ่าน เพื่อแสวงบุญ 
แลเห็นร้านกาแฟ แต่ยังไม่เปิด  ไม่มีทางเลือก เราก็เดินต่อ  ซึ่งผมชอบมาก
จะได้ถึงซะที  แม่ชอบหยุด กินโค้กใส่เกลือ ชูกำลัง   
ทำให้แต่ละวันเราใช้เวลา อยู่บนเส้นทางเยอะมาก  แทนจะรีบๆเดิน   
บ่นมากๆ แม่ก็ว่า แม่เหนื่อยนี่  ไม่ได้เป็นวัยรุ่นเหมือนผม

ออกจากอาซเกต้า นอกจากมีไร่องุ่น มากมาย   ผมยังได้เห็น ต้น ฟีก 
(Fig ในภาษาอังกฤษ หรือ อิโก้ Higo ในภาษาสเปน)
เป็นครั้งแรก ในชีวิต หลังจากซื้อกินมานาน   
ต้นเล็กๆ แม่ว่าท่าจะยังเด็กอยู่   กิ่งก้านยังกระจิ๋วหริว แต่มีลูกดกเต็มต้นไปหมด  (รูปทีสาม)

แม่เล่าให้ฟัง ว่า แม่เห็น ลูกฟีกครั้งแรก ตอน ที่ไปเรียนเมืองนอกใหม่ๆ  ในตลาดสดของฝรั่ง
เห็นแล้วไม่รู้ ว่ามันคืออะไร ถามคนขาย เขาก็บอกว่า คือ ฟีก (Figue เป็นภาษา ฝรั่งเศส)   

แม่ก็ไม่รู้ ว่ามันคือลูกอะไร   คนขายใจดี นึกว่าแม่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส
ก็บอก อีกทีเป็นภาษาเยอรมันว่า ไฟ้เก้   (Feige)   

เขาหารู้ไม่ว่า แม่ ไม่รู้ทั้ง สองภาษา   แม่ว่า ถึงรู้ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าลูกอะไร
เพราะบ้านเราไม่มี (แล้วสมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เนตหาข้อมูล ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้)     

เหมือนบอก ฝรั่งถึง ลูกมะปราง  ต่อให้พูดไทยได้ ก็คง ไม่รู้ว่ามะปรางคือ ลูกอะไร 
นอกจากรู้ว่าเป็น ผลไม้ชนิดหนึ่ง   แม่อยากรู้มาก เลยตัดใจซื้อมา หนึ่งลูก 

ที่ซื้อลูกเดียว ประการแรก เพราะแพงมาก  เขาขายราคาเป็นลูก 
ลูกนึง เทียบเป็นเงินไทย ก็กินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (เมื่อ สามสิบปีที่แล้ว)
ได้ สี่ ห้าชาม  ประการที่สอง แม่ไม่มั่นใจ ว่าจะกินลง  เพราะลูกมันเล็กๆ เละๆ ดำๆ ไม่น่าเอ็นดูจนนิดเดียว

แต่พอกินแล้ว ก็ติดใจตั้งแต่บัดนั้น   แม่มาเรียนรู้ที่หลัง ว่าถึงชอบแค่ไหน ก็ห้ามกินมาก 
นอกจากจะอิ่มตื้อ แล้ว ก็เป็นยาถ่าย เหมือนๆมะขามของไทยทีเดียว 

ในสเปน เขาขายเป็นกิโล  โลนึงได้หลายลูก  กินไม่หวาด ไม่ไหว ต้องแบ่งให้คนอื่นบ้าง   
อร่อยมากจะเป็นช่วง เดือนกันยาและตุลา เวลาลูกฟีกสุกได้ที่ 
กินกับแฮม ของสเปน  แม่ว่า แก้คิดถึงบ้านได้ดีเชียว 



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 19 มี.ค. 10, 05:04
เดินชมวิวอย่างเหนื่อยและร้อน ไปจนถึงเมืองชื่อยาว วิลย่ามายอร์ เด โมนฮาร์ดิน
(Villamayor de Monjardín)   เมืองนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเล เกือบ เจ็ดร้อยเมตร   

เรานึกว่าจะได้ชมโบสถ์ ซาน อันเดรส (iglesia de San Andrés) ซึ่งขึ้นชื่อว่างามมาก   
แล้วมีไม้กางเขนทำด้วยเงิน จากศตวรรษที่สิบสอง   เสียดายที่เข้าชมไม่ได้ เพราะปิด   

มาเนล (ซึ่งเราค่อยๆ เรียนรู้ ว่า นับถือ พระเจ้า แต่ ต่อต้านนิกายแคธอลิค)
บอกว่า มีบาดหลวงไม่พอ   เลยไม่มีบาดหลวงนั่งเฝ้าโบสถ์ เหมือนสมัยก่อน   

โดยเฉพาะเมืองเล็กๆ   บาดหลวงอยู่เมืองอื่น จะมาก็ตอนมาทำพิธี เท่านั้น   
แล้วต้องไปหลายโบสถ์ หลายเมือง ต้องจัดคิวให้ดี ว่า วันไหน ต้องไปที่ไหนบ้าง 
เลยต้องปิดโบสถ์ เพราะไม่งั้น ก็ของหาย   

จากวิลย่ามายอร์ เด โมนฮาร์ดิน เรามอง เห็นปราสาท ของเมืองบนเขา
ถามคน เขาว่า คือ คาสติโย่ เดโมนฮาร์ดิน (Castillo de Monjardín)

มาเนล ถามว่า เราอยาก ปีนเขาไปดู ปราสาท บ้างมั้ย  ทั้งแม่และผมรีบ
ทั้งส่าย ทั้งสั่นหัว กันเป็นแขกโพกหัวทีเดียว   

นอกจากแดดเปรี้ยง  ยังมีเนินเขา  แล้วเรายังต้องเดินอีก สิบสาม กิโลเมตร
กว่าจะถึงจุดหมาย ที่พักหลับนอนของเรา

ทางเดินวันนี้อิ่มตาอิ่มใจ ด้วยไร่องุ่น  ดูเขียวสุด ลูกหูลูกตา  จากความร้อนของแดด 
พอเห็นสีเขียวๆ ของต้นองุ่น  ช่วยคลายร้อนไปได้เยอะ  (รูปที่หนึ่ง)

แต่ออกจาก สวรรค์ไร่องุ่น มาไม่นาน  จากเขียวๆ กลายเป็น ดินแห้งแตก
เหมือนไม่ได้โดนน้ำมานาน   หาความชุ่มชื่น ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย   

เป็นทุ่งที่แห้งแล้งมากดูแล้วแม่เดาว่าน่าจะเป็น ทุ่งต้นข้าวสาลีมาก่อน 
แต่เพราะเขาคงเกี่ยว ไปทำแป้งสาลีกันหมดแล้ว  เหลือทิ้งไว้แต่ต้นแห้งๆ ติดดิน   

มองสุดลูกหู ลูกตา ก็เห็นแต่ความแห้งแล้ง  ไม่มีร่มไม้ให้เรา นั่งพัก 
นอกจาก ต้นข้าวสาลี ที่ไม่มีรวงเหลือ ดีที่เราเอาน้ำมาเยอะมาก 

แดดจ้า ร้อน เหมือนเดินเล่นอยู่ ในห้อง ซาวน่า ดีว่า บางแห่ง มี ไร่องุ่น
ให้เห็น เขียวๆ ชุ่มใจ คลายความร้อน  แม้จะน้อยจุด แต่ก็ยังดีกว่า มีแต่ไอ้ ต้นข้าวสาลี เกรียมแดด (รูปที่สอง)

แล้วอยู่ๆ เราก็เจอเพื่อนร่วม ทาง ที่ไม่ได้เจอ มาหลายวัน  สามี ภรรยา ชาวสเปน
อัลบ้า กับ อัลฟองโซ่   มาเนล ก็จำได้ ว่าเจอ เมื่อ ออกจาก พัมโพลน่า 
แม่เดินคุย กับอัลบ้า  ส่วนผม นั้นเดิน กับพวก ผู้ชายด้วยกัน

อัลบ้า และ อัลฟองโซ่ มาจาก เมือง เลออน (León) 
ซึ่งเป็นทางผ่านเอล คัมมิโน ฟรันเซส   แม่คิดว่าเรา
อีกสองอาทิตย์เรา น่าจะเดินถึง เลออน

ถ้าขับรถละก้อ วันนี้ก็ถึง เพราะห่าง แค่ สามร้อย กิโลเมตร   
อัลบ้า สนใจมาก ว่าแม่มาจากไหน ถามเกี่ยวกับเมืองไทย เยอะมาก   

ผมเห็นใช้ไม้เท้า วาดแผนที่ ให้ดู   แม่ออกจะชอบ และถูกชะตา อัลบ้า เอามากๆ   
แม่ว่า เขา น่ารัก ถ้าไม่รู้ก็ ว่าไม่รู้ แล้ว ถาม เพราะอยากรู้   ไม่อาย หรือ กลัวที่จะถาม

มีคนเดินด้วย ทำให้ลืมร้อน ลืมเหนื่อยไปได้ไม่น้อย   แล้วอยู่ๆ  ก็มีรถ คาราวาน จอด
อยู่ ข้างทาง   ไม่ได้ จอดเฉยๆ  แต่เชิญเรา เข้าไปนั่งพัก แก้ร้อน (รูปที่สาม)

เราทั้ง ห้า เลยฉลองศรัทธาเต็มที่   ทุกคนเอา แซนวิชออกมาแบ่งกันกิน 
แม่และผมงัดแซนวิชยักษ์    ออกมาให้แบ่งบ้าง    ทุกคนตกใจในขนาดมโหฬารของแซนวิช   
ได้หัวเราะในความตะกละและกลัวหิวของเรา ทั้งสอง

จอห์น (John) เจ้าของ รถ เป็นคนอังกฤษ ที่มาตั้งรกรากในสเปน   
มีเพื่อนมาเยี่ยม อยากดู เส้นทาง เผื่อจะเดินบ้าง   
จอห์นเลยพานั่ง รถคาราวาน ขับตามเส้นทาง เอล คัมมิโน ฟรันเซส   

เราขอบอก ขอบใจ จอห์น ที่ เขามี น้ำใจชวนเรา นั่งพัก   
แถมให้น้ำ กับคนที่น้ำหมด   แม่ว่า ฝรั่งแบบนี้หายาก   
ชาติที่แล้ว  จอห์นต้องเป็นคนไทยแน่ๆ  น้ำใจเลยติดมาถึงชาตินี้   
เรื่องนี้แม่เล่าให้ผมฟังคนเดียว ไม่กล้า บอกใคร เดี๋ยว เขาจะนึกว่า แม่บ้า  ซึ่งผมก็ออกจะเห็นด้วย



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 19 มี.ค. 10, 11:06
อ่านสนุกมากครับ เป็นกระทู้สำคัญที่ต้องตามอ่านทุก คคห.

แต่จะขออะไรหนึ่งอย่างครับคุณ tian

ขอภาพใหญ่กว่านี้หน่อยครับ ผมมองไม่ค่อยชัดน่ะครับ ดูจากขนาดไฟล์แล้ว ถ้าใช้วิธีย่อโดยลดคุณภาพของการย่อลง (ซึ่งเลือกให้เหมาะสมแทบไม่ส่งผลกับคุณภาพของภาพเลย) แล้วเพิ่ม resolution สักหน่อย จะได้ไฟล์ขนาดใกล้เคียงกับเดิม คุณภาพไม่ต่างกัน แต่ใหญ่กว่า เห็นชัดกว่าครับ

วิธีง่ายๆ ของใช้โปรแกรมนี้ดูนะครับ

http://download.cnet.com/Shrink-Pic/3000-2192_4-10538931.html?tag=mncol (http://download.cnet.com/Shrink-Pic/3000-2192_4-10538931.html?tag=mncol)

ใช้ตัวเลือก high compression ของโปรแกรมนี้ก็ได้ครับ น่าจะกำลังเหมาะครับ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 19 มี.ค. 10, 13:16
ขอบคุณ คุณ CrazyHOrse มากค่ะ ที่ให้กำลังใจ
ขอโทษเรื่องภาษาไทยด้วยนะคะ ภาษาดิฉันแย่จริงๆ

จะลองโปรแกรมดูค่ะ แต่ผลจะเป็นอย่างไร
ไม่ทราบนะคะ ดิฉันเรียนช้า จะลองทำพรุ่งนี้เลยคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 19 มี.ค. 10, 15:19
ภาษาไทยคุณtienอ่านง่าย  เข้าใจง่าย  เพลิดเพลินอมยิ้มไปเรื่อย ๆ  ไม่มีที่ติตรงไหนเลยนะคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 19 มี.ค. 10, 15:25
ภาษาไทยคุณtienอ่านง่าย  เข้าใจง่าย  เพลิดเพลินอมยิ้มไปเรื่อย ๆ  ไม่มีที่ติตรงไหนเลยนะคะ

ขอบคุณที่ให้กำลังใจค่ะ ชมแบบนี้ เขียนขาดใจเลยค่ะ เพราะบ้ายอ  ;D


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 20 มี.ค. 10, 05:22
เราเดินส่วนทาง กับแกะฝูงใหญ่  มันเดินเหมือนกับรู้ทาง ว่าจะไปไหน 
ไม่ยักเห็นเด็กเลี้ยงแกะ  แม่ว่า น่าแบกไปเลี้ยงซักตัว   
แม่เพ้อเจ้อไปได้ เรื่อยๆ  ผมเดาเอา ว่าวันนี้แม่โดน แดด มากไป

ตอนกำลังจะเข้าถึง โลส อาร์โกซ มีตู้ขายน้ำแบบหยอดเงิน 
ทำเอาเมืองที่ไม่ค่อยงาม  หมดความงามไปได้โดย เร็วมาก   

เราเดินตามลูกศร ผ่าน คาเย้ มายอร์  ซึ่งเดินสบายมาก ไม่มีแดด
เพราะ บ้านช่อง บน คาเย้ มายอร์  บังแดดให้ 

จบถนนก็เจอ พลาซ่า มายอร์  มีโบสถ์ ซานต้า มาเรีย
(iglesia de Santa María) ตรง จตุรัส ใจกลางเมือง 

เราเดินหาโรงแรม  เดินอยู่หลายแห่ง เจอโรงแรม เอเซกีล
(Ezequiel โทร ๐๐๓๔ ๙๔๘ ๖๔ ๐๒ ๙๖)   
ออกไปนอกเมืองนิดหน่อย   ไม่ดีมาก แต่ถ้าเทียบกับเมื่อคืน
ก็เป็นสวรรค์น้อยๆ   

มาเนลก็พัก ห้องข้างๆ   พวกเดียวกับแม่   (และผมด้วย)
ไม่ชอบอยู่ บ้านพักนักแสวงบุญ   ชอบสบาย ส่วน อัลบ้า
และ อัลฟองโซ่ นั้น รักษาวินัยชาวแคธอลิคอย่างเคล่ง   
ไปพักบ้านพักนักแสวงบุญ
   
เราเดินมาดูโบสถ์ซานต้า มาเรีย  ที่พลาซ่า มายอร์  (จัตุรัสของเมือง)   
โบสถ์นี้ตกแต่งเยอะมาก  จนหาความงามไม่ได้ 

ตรงแท่นบูชา มีทองแปะไว้เพียบ  ดูแล้วเวียนหัว   
จนต้องออกมานั่งเก๋จิบไวน์ ที่จัตุรัสของเมือง   

แม่ว่าพรุ่งนี้ เราจะเข้าแคว้น  ลา รีโอค่า (La Rioja)   
แคว้นชื่อเหมือนไวน์ดัง ของสเปน   ฉะนั้นแม่ว่าสมควร
เริ่มกินไวน์ไว้ตั้งแต่วันนี้   

ผมก็ว่าเราก็กินไวน์กันมาทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเดินทาง   
กว่าจะถึง ซานติอาโก้ ผมไม่กล้านึก ว่าเราจะกินกันไป กี่ขวด

ที่พลาซ่า มายอร์  เราเจอ แซวี่ อีกที  ถ้าผมจำไม่ผิด
ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เจอที่ พัมโพลน่า   

นอกนั้นก็เจอ หน้าเก่า คือ ปัคโก้  และเพื่อนๆ (หน้าใหม่ ที่เราเพิ่งเจอวันนี้) 
ซึ่งแม่ไม่ค่อยอยากเจอนัก    อัลบ้า และ อัลฟองโซ่ คู่เก่า  พร้อม มาเนล

แล้ว ก็มีอีกหลายๆ คน ที่เราจำหน้าได้ แต่จำชื่อไม่ได้ 
สรุปแล้วจากแรกที่มี แค่แซวี่ และเรา ทั้งสอง 
ตอนหลังมีอยู่ สิบกว่าคน ที่นั่งกับเรา 

แต่มีอีกเป็นสิบ ที่นั่ง อีกโต๊ะ   ผมคิดว่านักแสวงบุญในช่วงนี้
น่าจะมีมากกว่า ประชากรของเมือง

แล้วก็เหมือนเดิม ต่างคน ต่างแยกย้ายกันไปหาข้าวเย็นกิน 
มาเนล ชวนทั้งอัลบ้า และ อัลฟองโซ่  แซวี่ พร้อมทั้งเราสองคน  รวมเป็นหก

ร้านอาหารที่อยู่ในเมืองที่เป็น ทางผ่าน เอลคัมมิโน เด ซานติอาโก้นั้น
ส่วนมาก เขามีเมนู ซึ่งเป็น อาหาร สามจาน 

จานแรกเรียกน้ำย่อย จานที่สองเป็นจานหลัง  ตามด้วยจานสุดท้ายคือ ขนมหวาน   
ในเมนูนี้ รวมเครื่องดื่ม ขนมปัง และค่าผ้าเช็ดปาก พร้อมช้อน ซ่อมและมีด 

ซึ่งจะมีราคาย่อมเยา กว่าสั่งอาหารตามใจฉัน หรือ ที่เรียกกัน
ว่า อา ลา คาร์ท เมนู (à la carte menu)

เมนูที่เขาตั้งไว้แล้ว มีให้เลือก จานละ สามอย่างสี่อย่างแล้วแต่ร้าน 
จานแรกส่วนมาก มี สลัดผักรวม ซุป  แล้วก็สปาเก็ตตี้ 

จานที่สอง เนื้อลูกวัวทอดกับมันฝรั่งทอด  เนื้อหมูทอดกับมันฝรั่งทอด
ซี่โครงแกะทอดกับมันฝรั่งทอด   

ขนม จะมีผลไม้เช่นแอปเปิ้ล องุ่นส้มให้เลือก แล้วมีโยเกิต มีคัสตาร์ด 
ส่วนเครื่องดื่ม มักจะให้เลือก ระหว่าง น้ำเปล่า กับไวน์ อย่างใด อย่างหนึ่ง

ถ้าสั่งไวน์ เขาก็เอามาว่างให้ทั้งขวด  กินมากแค่ไหนก็ไม่ว่ากัน 
ถ้าเราไม่กินขนมหวาน ขอเปลี่ยนเป็น กาแฟ เขาก็ยอม

จะเป็นเมนูสไตล์ นี้เกือบทุกเมืองที่เดินผ่าน  นานๆจะมีอะไรแปลกๆให้กิน 
คืนนี้ก็เหมือน คืนอื่นๆ ที่ผ่านมา  แม่ว่าให้คิดซะว่า แม้อาหารไม่อร่อย
แต่คนร่วมโต๊ะสนุก  เราก็หยวนๆได้บ้าง

เราเดิน ออกจากร้านอาหารตอนเที่ยงคืนพอดิบ พอดี



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 21 มี.ค. 10, 06:10
แม่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตอน หกโมงเช้า  เรานัดกับมาเนล ว่าจะออกเดินพร้อมกันตอนหกโมงครึ่ง 
ต้องออกเช้ากว่าทุกๆวัน เพราะ จุดหมายปลายทาง หาที่นอน คือเมือง โลโกรโย่ (Logroño) 

ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบ ยี่สิบแปด กิโลเมตร ถ้าเราจะเดิน แค่ สิบเก้ากิโลเมตรก็ได้   
ถึงแค่เมือง วีอานา (Viana)   แต่แม่อยากค้างเมืองโลโกรโย่   แล้วผมจะค่อยๆเล่าไปเรื่อยๆว่า ทำไม

เรากำลังนอนหลับสนิท ก็มีคนมาเคาะประตู   ถามว่าใคร เป็น มาเนล 
เขาว่าทำไมเรายังไม่ลงไป นัดกันแล้วเป็นอย่างดี   

แม่ดูนาฬิกา มันเพิ่งจะ ตีห้า  สรุปได้ง่ายๆ ว่า นาฬิกา มาเนล ทำพิษ 
แต่ไหนๆเราก็ตื่นแล้ว  ก็อย่าให้เสียน้ำใจ เลยปล่อยเลยตามเลย   

วันนี้ออกก่อนตะวัน  ตีห้า สิบห้า  ถ้าตั้งใจเดิน ไม่เถลไถล
เราน่าจะถึง ทันเวลากินข้าว กลางวันที่ โลโกรโย่  น่าจะก่อน บ่ายสาม

ไม่มีร้านไหนเปิดให้เรากินข้าวเช้า  เพราะเช้าเกินไป ดีที่เมื่อวานแม่ซื้อน้ำ
ซื้อกล้วยไว้แล้ว  ถ้าหิวกลางทาง ก็มีกิน 

เมืองที่น่าจะมีร้านกาแฟ คือเมือง ทอร์เรส เดล รีโอ (Torres del Río)   
แม่ว่าอีก สองชั่วโมง น่าจะถึง   แต่ผมเองไม่แน่ใจว่าเขาจะเปิดร้านเช้าตรู่ ขนาดนั้น

ทางเดินวันนี้ ขนานไปกับทางรถยนต์  น่าจะ มีไร่องุ่นบ้างให้เห็น 
แต่ไม่เห็น เพราะมืดสนิท   หาทางยากมาก 

แม่ไม่ได้เอาไฟฉายมา เพราะไม่นึกว่าจะออกเช้ามาก ขนาดนี้   
ส่วน มาเนลมีไฟฉาย แต่ไม่มีถ่าน   

ความมืดทำให้เราเดินช้าไปมากเพราะ ต้องคอยหาลูกศร บอกทาง   
ดีว่าที่เดินได้ไม่นาน ก็เริ่มสว่าง  ค่อยสบายตาขึ้นมาบ้าง   

ถึงตอนนั้น เราก็เห็นป้าย เมือง ซานโซล  (Sansol)   
เมืองนี้ มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง   ไม่มีอะไรอย่างอื่น   
ถ้าเดินก้มหน้า จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดิน ผ่านเมือง (รูปที่หนึ่ง)

ที่ซานโซล  เราเจอ แซวี่   เธอว่า เธอออกก่อนตั้งแต่ ตีสี่
แต่มัวคลำทาง แล้วแถมหลงทางอีกต่างหาก  เลยทำให้เดินช้า
กว่าปรกติ  ไฟฉายที่เอาติดมา ถ่านหมดเหมือนกัน   

เราได้แซวี่ มาเดินด้วย  เธอเป็นสาวสูงวัย ที่เดินเร็วมาก 
จนเราเดินตามไม่ทัน  แซวี่ก็จะนั่งรอบ้าง ยืนรอบ้าง 
จนแม่ออกจะเกรงใจ พร้อมทั้งทำให้เราต้องรีบเดิน

เพื่อตามให้ทัน   แม่เลยบอกว่า ไม่ต้องรอ
ให้ไปเจอกันที่ โลโกรโย่ เลยจะดีกว่า 

มาเนลเดินช้าๆ สบายๆ เหมือนกัน เลยเดินด้วยกันได้
เจ็ดโมง เรามาถึงเมือง ทอร์เรส เดล รีโอ

เป็นจริงอย่างที่ผมนึกไว้  คือร้านกาแฟยังปิดอยู่   
แม่เห็นโบสถ์  ท่าทางจะเป็นโบสถ์ ของอัศวินเทมพลาร์ (รูปที่สอง)
เหมือนที่เราเห็นวันก่อน  ก่อนถึงพ่วนเต้ ลา เรน่า   มีหลังคาแปดเหลี่ยมเหมือนกัน   

โบสถ์ ซานโต้ เซพูลโคร้ (inglesia del Santo Sepulcro)
เป็นโบสถ์ ที่ว่ากันว่า งามไม่แพ้ใคร (อันนี้ผมไม่รู้ว่าใครว่า) โดยเฉพาะข้างใน 

แม่อยากดูใจจะขาด  แต่เขายังปิดอยู่  มีเบอร์โทรศัพท์ ติดไว้หน้าประตูโบสถ์ 
ให้โทรหา ถ้าต้องการ ชมข้างใน  แต่ให้โทรได้แค่ เก้าโมงเช้า  อีกตั้งสองชั่วโมง   

ถ้ารอ เราจะเดินไม่ถึงโลโกรโย่แน่ๆ  เพราะเรายังต้องเดินอีก กว่ายี่สิบกิโลเมตร 
นอกเสียจากแม่จะยอมเปลี่ยนใจหยุดนอนที่ เมืองวีอานา 

แล้ววันรุ่งขึ้น เดินแค่ สิบกิโลเมตร แล้วค่อยพักที่ โลโกรโย่ 
เรามีเวลาไม่ต้องรีบร้อนถึง ซานติอาโก้ ถึงเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น 
แม่ก็ออกจะคล้อยตามความเห็นของผม



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 22 มี.ค. 10, 05:43
มาเนลขัดขึ้นมาว่า เขาต้องถึงโลโกรโย่  วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับ บาร์เซโลน่า
แล้วอยากให้ เราเดินไปโลโกรโย่  พร้อมกัน จะพาเราไปเลี้ยงข้าวเย็น   
แค่ไม่กี่วัน มาเนล ก็รู้จักแม่เป็นอย่างดี  เอาของกินมาล่อ  แค่เนี่ย โบสถ์เบิด ไม่อยากดูแล้ว
 
ระหว่างคุยกัน ต่างคน ต่างหิว ดีที่แม่มีกล้วยหอม ติดเป้มาห้าลูก 
งัดออกมาแบ่งกินกัน  เสียดาย ไม่มีกาแฟล้างปาก   

เมือง วีอานาอยู่ห่าง ไปแค่ งีบเดียว (ถ้าหลับนาน)  เดินอีกแค่สองชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง   
กะเอาเป็น สิบโมงเช้าเศษๆ  ได้เวลากินขนมว่าง หรือที่สเปน เรียกกันว่า เมเรียนด้า
หรือ เมรีเอนด้า (merienda) แล้วแต่ความเร็วของลิ้น   

เขากินเมเรียนด้าเช้ากัน ประมาณเที่ยง (กินข้าวกลางวันระหว่าง บ่ายโมง ถึงสามโมง) 
ส่วนเมเรียนด้าบ่าย ก็ประมาณ หกโมงเย็น (กินข้าวเย็น ประมาณ สามทุ่ม สี่ทุ่ม)   
ส่วนเมเรียนด้าของพวกเรา ออกจะเช้าหน่อย  ต้องอนุโลม เพราะไม่ได้กินข้าวเช้า

ทางเดินจากทอร์เรส เดล รีโอ ไปถึง วีอานานี้ แม่ว่าทำเอาแม่นึกว่า ตัวเองเป็นแคทอลิค 
เพราะทรมานมาก   มีแต่เดินขึ้น เดินลง ตลอด ระยะเวลา สิบกิโลเมตร

เรามองเห็น วีอานา ตลอด เหมือน อยู่ใกล้ๆ  แต่เดินเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไม่ถึงซักที 
ดีที่รองเท้าคู่ใหม่ของแม่ ไม่กัด  เรียกว่าถูกชะตากับแม่มาก เหมือนใส่กันมานาน 
ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน   

แล้วผมก็นึก ขอบใจนาฬิกา ของมาเนลเป็นอันมาก ที่ทำให้เรา
รีบตาลีตาเหลือก ออกแต่เช้า   เส้นทางทอร์เรส เดล รีโอ ไปถึง วีอานา
ไม่สมควรเดิน ตอนแดด ออกมากๆ  ขนาดเราเดิน ช่วงเช้า น้ำสองลิตร
ที่ติดเป้มา แต่เช้า ยังหมดก่อนถึง วีอานา

ลูกศรชี้ทาง พาเราเดินขึ้นเนิน จนถึงใจกลางเมืองของวีอานา 
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ไม่ต้องผ่าน ก็ได้  มีทางไม่ผ่านใจกลางเมือง
ที่ตัดเป็นทางออก เพื่อเดินตรง ต่อไปได้  แต่ทุกๆ เมือง ก็อยากให้ทุกคนผ่าน
เมือง เพราะช่วยให้ ประชากร มีรายได้ จากนักท่องเที่ยว 
แม้นักแสวงบุญ จะไม่ค่อยใช้จ่ายเงินมากมายนัก ก็ยังดีกว่าไม่มีเงินเข้า เมือง

เราแวะพัก กินน้ำที่วีอานา ถนนดูคึกคัก คนเยอะแยะ เต็มไปหมด
ทั้งอย่างเราๆ  และประชากรของเมือง 

มีโบสถ์ ซานต้า มาเรีย (inglesia de Santa Maria) ซึ่งแม่ว่า เราน่าจะเข้าไปดู 
เห็นว่ามีหลุมฝังศพ เชซาเร้ โบร์เชีย(Cesare Borgia) 
ลูกนอกกฎหมาย ของพระสันตปาปา อเล็กซานเดอที่หก (Pope Alexander VI)
กับชู้รัก (ไม่รู้คนไหน เพราะหลายคนด้วยกัน)     

แต่เราไม่ได้เข้าไปดูอะไร ทั้งสิ้น    ไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วยว่า พ่อเชซาเร้ โบร์เชีย คือใคร 
รู้จักแต่ตัวพ่อ ว่าเป็น พระสันตปาปา ที่ไม่น่านับถือเท่าไหร่ 

นอกจากจะใช้วิธี ซื้อเสียง ให้ตัวเองได้เป็นพระสันตปาปา  พอได้เป็นก็เล่นพัก
เล่นพวก เอาญาติโกโหติกา มาปฏิบัติงาน พร้อมแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โต
ให้ลูกๆ นอกกฎหมายทั้งหลาย   

นอกจากนี้คงจะทำบาบกรรมอย่างอื่นอีกไว้มาก ต้องตายอย่างทรมาน
บางคนก็ว่า โดนยาพิษ  ที่จะเอาให้คนอื่นกิน แต่ดันไปกินซะเอง (เรียกว่าหมองู ตายเพราะงู) 

แต่บางแห่งก็ว่า ตายเพราะโรคอื่น  แม่จำได้ว่า ครูอธิบายถึงศพ แม่จำลายละเอียดไม่ได้ 
จำได้แค่ว่า นอกจากเน่าเฟะ เฟอะฟะไปทั้งตัว  ยังเหม็นมากกว่าธรรมดา 

พอตายแล้วฝังไว้ที่ห้องใต้ดิน ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ เหมือน พระสันตปาปา องค์อื่นๆ 
แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็โดน ขุดย้าย ไปฝังที่อื่น เพราะมีคนเกลียด มากกว่าคนรัก
ตายแล้วศพ ยังโดนแกล้ง 

ถ้าคิดอย่างแม่ ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ  แม่ก็ว่า ทำบาบ ทำกรรมไว้เยอะ 
เป็นเรื่องเดียว ที่แม่จำได้จาก ที่เรียนมา   

แม่ว่า พระสันตปาปา อเล็กซานเดอที่หก อาจจะทำความดี บางอย่างไว้บ้าง
แต่แม่ จำไม่ได้ จำได้แต่ความไม่ดี   แม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป 
ชอบจำอะไรที่ไม่น่าจะจำ 

พอเล่าถึงอเล็กซานเดอที่หก ให้ผมฟัง แม่ก็ตบหัวตัวเอง เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ 
แล้ว ว่าเหมือนเมืองไทยของแม่เลย โดยเฉพาะ ตอนซื้อคะแนนเสียง กับส่งเสริมเพื่อนฝูง
ญาติพี่น้อง  แต่ยังไม่รู้ว่าจะเจอจุดจบเหมือนกันหรือเปล่า  เพราะว่าของเรายังไม่จบ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 22 มี.ค. 10, 05:47
รูปที่หนึ่ง  เส้นทางเดินไปวีอานา
รูปที่สอง เดินเข้าเมืองวีอานา
รูปที่สาม ใกล้จัตุรัสเมือง


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 23 มี.ค. 10, 05:06
เพราะมัวแต่เพลิน ดูคน และจัดการกับเมเรียนด้า  พอได้นั่งก็เกิดอาการรากงอกขึ้นมาอีก 
มีอัลบ้ากับอัลฟองโซ่ มาแจมด้วย แต่เขาไม่เดินต่อ จะนอนพักที่ วีอานา
นัดแนะว่าไปเจอกันคืนพรุ่งนี้ที่ นาวาร์เร็ตเต้ (Navarrete)

หลังจากแม่กินกาแฟไปสองถ้วย ตามด้วยโค้กอีกหนึ่งลิตร
แซนวิช (เล็กๆ) อีกสอง อัน  เกือบเที่ยงกว่าเราจะได้เดินต่อ

ทางเดินไปถึงโลโกรโย่  นั้นเดินง่ายๆ สบายๆ  ไม่ลำบากเหมือนเมื่อเช้า 
แต่อาการออกจะ ร้อนอบอ้าว  เราเดินเข้าแคว้น ลา รีโอค่า (La Rioja)
เห็นโลโกรโย่   เหมือนเดินแค่กระพิบตาเดียว  (รูปที่หนึ่ง)

เราเดินข้ามสะพาน ปิเอด้า (Puente de Piedra)   ปิเอด้าแปลว่า หิน
เรียกว่าสะพานหินน่าจะได้ (รูปที่สอง)   

สะพานนี้เป็นหนึ่งใน ห้า สะพานของเมือง ที่เอาไว้ข้ามแม่น้ำ เอโบร้ (Ebro)   
แต่แม่จำชื่อได้แค่สะพานหิน   แล้วอีกสะพาน คือสะพาน เอียร์โร่ (Puente de Hierro)   

เอียร์โร่ แปลว่า เหล็ก   แม่จำได้เพราะชื่อที่ไม่เหมือนใคร   มันธรรมดา   ไม่มีจินตนาการ   
จนไม่น่าจะจำได้ถึงกระนั้น   ชื่อสะพานหิน กับ สะพานเหล็กก็ติดอยู่ในสมองนิ่มๆของแม่จนได้

โลโกรโย่  เป็นเมืองหลวงของแคว้น  เมืองออกจะใหญ่  มีที่พักให้เลือกมากมาย
สำหรับทุกงบประมาณ   แม่ว่าเราไม่น่าพักในใจกลางเมืองมากนักเพราะอาจไม่ได้นอนทั้งคืน 

โลโกรโย่ เป็นเมืองมีชื่อมาก ในหมู่คนชอบเที่ยวกลางคืน มีถนนแคบๆหลายสาย
ที่มี ร้านเหล้า ร้านบาร์ แล้วยังจะมีชื่อในด้าน  ทะปาส (Tapas)   

ซึ่งกว่าจะปิด ก็เช้าตรู่ของอีกวัน เสียงก็อาจครื้นครึกครื้นเครง
สนุกมากสำหรับคนเที่ยวมาก แต่ออกจะมากไปสำหรับคนนอน
 
เราตกลงใจพักที่โรงแรมที่อยู่นอกใจกลางเมือง  แต่เดินแค่สิบนาทีก็ถึงแหล่งเที่ยว
โรงแรม อูซ่า (HUSA Gran Via โทร ๐๐๓๔ ๙๔๑ ๒๘ ๗๘ ๕๐)   

มีสาขาทั่วๆไป ทั้งในสเปน และประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่เน้น ที่สเปน   
เรียกว่า เข้าห้องก็หลับตาเดินได้ เพราะตกแต่ง คล้ายๆกันหมดทุกสาขา

ปรกติเราสองแม่ ลูกไม่ค่อยนิยมโรงแรม แบบนี้นัก   แต่ราคามันลดมาก
จนคนงกอย่างแม่ อดใจไม่ไหว   แม่ว่าเงินที่เหลือจะพาผมไปท่องราตรี

พออาบน้ำ อาบท่าเรียบร้อย ก็หิวตาลาย  นัดกับมาเนลไว้ ตอนสี่ทุม
เขาว่าจะพาเราไปเลี้ยงข้าวเย็น  แต่ตอนนี้มันแค่ สามโมง   

แม่ว่า เราไปกินข้าวก่อนดีกว่า ผมลิงโลดมาก เพราะโลโกรโย่ เมืองใหญ่
เราเลือกอาหาร ได้หลายอย่าง  ไม่ต้องกิน เมนู ที่ร้านเตรียมไว้ให้เลือก
ที่เรียก กันว่า เมนู เดล เปเรกรีโน (เมนูของนักแสวงบุญ) 

วันนี้เราสองคนใจตรงกัน อยากกิน ก๋วยเตี๋ยวอิตาลี่ หรือพาสต้า (pasta) 
แม่ว่า เราไม่ควร กินเยอะ เพราะมื้อเย็น ต้องกินอีก 

เราเลยสั่ง แค่ ผักสลัดแต่งหน้าด้วย เนยแข็งแพะอบ 
ตามด้วยก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่อิตาลี่ ราดหน้าเห็ด ปอร์ชีนี่ (porcini) 
ล้างปากด้วย ไวน์แดง รีโอค่า ของโรงไวน์
มาเกส เด รีซกาล แบบกราน เรเซร์ว่า   (Marqués de Riscal, Gran Reserva) 

แม่ว่าแพงหน่อย แต่ไม่เป็นไร วันนี้ค่าโรงแรมถูก 
ดีว่าร้านอาหารอยู่ไม่ไกลมากจากที่พัก กินเสร็จเรากลับไปนอนพักพุง

หรือที่สเปนเรียกกันว่า ซีเอสต้า หรือเซี้ยตต้า (siesta) แล้วแต่ว่าพูดตอนไหน 
ถ้าพูดหลังอาหาร เช่นพวกเราตอนนี้ ก็น่าจะเป็นซีเอสต้า เพราะเกือบจะหลับคาโต๊ะอยู่แล้ว

พอตื่นแม่พาไปเดินเล่น ที่เขาเรียกกันว่า เซ้นด้า เด โลส เอเลฝันเตส
(Senda de los Elefantes หรือเส้นทางช้างเดิน)   

ซึ่งหมายถึงถนนเส้นเล็กๆ แคบๆ สี่ ห้าถนน ใจกลางเมืองเก่าของโลโกรโย่
(เซ้นด้า แปลว่า ถนนเล็กๆ แคบๆ)   แม่ถามว่าทำไมเรียกว่า เส้นทางช้างเดิน   

ทั้งๆ ที่สเปนไม่มีช้างซักหน่อย   ถ้าสั่งช้างมาจากเมืองไทย ให้มาเดินเล่น   
ก็คงจะเป็นไปไม่ได้  ถนนแคบออกอย่างนั้น  เขาบอกว่า เป็นอุปมา อุปมัย 

ถนนเส้นเล็กๆ แคบๆ สี่ ห้าถนนมีแต่ร้าน ขายเหล้า ขาย ทะปาส  เดินมาเงียบๆ สองขา 
แต่ตอนออก กลายเป็นเดิน สี่ขา ส่งเสียง แปร๋แปร้น ไปตลอดทาง เหมือน ช้างมาเดินเล่น

เลยเป็นที่มาของชื่อ เซ้นด้า เด โลส เอเลฝันเตส อันนี้ผมไม่รู้ จริงเท็จแค่ไหน  เจ้าของบาร์ เขาเล่าให้ฟัง
ถนนสี่ ห้าถนน ที่อยู่บนเส้นทางช้างเดิน แม่จำชื่อได้แค่ สองถนน  ถนน เลาเรล
(Calle del Laurel   หรือถนน Bay leave ในภาษาอังกฤษ) และ   

ถนนซานฮวน (San Juan)   โดยเฉพาะถนน เลาเรล ใครมาโลโกรโย่ แล้วไม่ได้ผ่าน   
ก็อย่าพูดให้ใครฟังให้ได้อายเชียว   ด้วยเหตุนี้  แม่เลยพาผมแวะเกือบทุกทะปาสบาร์ บนถนนเลาเรล   

แต่ละบาร์ก็มี ทะปาสพิเศษ  นอกจากอาหารจะอร่อยมาก  ไวน์ยิ่งอร่อย กว่า   
แล้วถูกกว่าน้ำแร่ หรือโค้กซะอีก เราไม่มีโอกาศเดินเหมือนช้าง 
เพราะนัดมาเนลไว้ ตอนสี่ทุ่ม  มาเนลนัดแซวี่ไว้ ด้วย 
เขาจะพาเราไปกินข้าวกับครอบครัวเพื่อนสนิท ที่เป็นชาวเมืองนี้
 
ชู่ชี่ (Xuxi เป็นชื่อเล่นเรียกกันในหมู่พี่น้องและเพื่อนฝูง ชื่อจริงในใบเกิด คือ เคซูส   Jesus)   
เป็นเพื่อนของมาเนลมาตั้งแต่สมัยพ่อ   

พ่อของทั้งสองคน รบอยู่ฝั่งเดียวกัน ตอนสงครามกลางเมืองของสเปน   
หลังสงครามครอบครัวยังรักและ ติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่

คืนนี้ลูกและหลานก็มาเจอ มาเนลด้วย  เขาทำอาหารง่ายๆ แต่อร่อยมากให้เรากิน
มีไข่เจียวสเปน ไส้กรอกโชริโซ่  ฮามอนหรือแฮมสเปน (ซึ่งอร่อยสุดๆ)

สลัดมะเขือเทศจากสวนส่วนตัวของชู่ชี่  ผัดอัลกาโชฟ่า (alcachofa หรือ artichoke ในภาษาอังกฤษ)   
มีไวน์อีกมากมาย  กินเสร็จ ก็มีการร้องเพลง ไม่มีคาราโอเกะ  ร้องกันปากเปล่า   (รูปที่สาม)

เขาคะยั้นคะยอ ให้ร้องเพลงไทยให้ฟัง  แม่ร้องเป็นแต่เพลงชาติ   
เลยบอกเขาว่า จะร้องเพลงภาษา อูสเก-ร่า ให้ฟังแทนแล้วกัน 

เพลงเก่งของแม่ ที่ย่าสอนให้ร้อง แม่ร้องโดยมีผมเป็นคู่หู 
เป็นที่สนุกสนานมากสำหรับทุกคน  ชู่ชี่ท่า จะซึ้งกว่าทุกคน
เพราะเป็นคนเดียวที่พูด ภาษาอูสเก-ร่าได้

กว่าจะล่ำลา กันเสร็จ ก็เข้าไปตีสี่แล้ว  พรุ่งนี้ มาเนลจะกลับบ้านไป ทำงานต่อ 
ส่วนเราเดินต่อ  แต่จะเดินแค่ สิบสาม กิโลเมตร ออกซะเที่ยงก็ทัน 

เดินแค่ สามชั่วโมง  ส่วนแซวี่จะเดิน ยี่สิบเอ็ด กิโลเมตร ต้องออกแต่เช้า
เราเดินถึงเตียงนอนก็ตีห้าแล้ว   แม่ตั้งนาฬิกาปลุกตอน สิบเอ็ดโมงครึ่ง











กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 24 มี.ค. 10, 05:16
เรานอนหลับสนิท ถ้าไฟไหม้ก็คง ตายในโรงแรม  เราลงมาจ่ายเงินค่าห้อง
(check out) อีกห้านาทีเที่ยง ตรงตามเวลาที่เขากำหนดไว้

ออกจากโรงแรม ออกเดินตามลูกศรชี้ทาง  เป็นถนนชื่อเดียวกับ ยี่ห้อไวน์ ยี่ห้อหนึ่ง   
คือถนน มาเกส เด มูร์เรียตต้า (Marqués de Murrieta)

พอเห็นแค่ชื่อไวน์   ก็นึกหิวขึ้นมาทันที   วันนี้ออกสาย   ร้านกาแฟเปิดหมด   
เราแวะกินระหว่างทาง   วันนี้กินข้าวเช้าเบาๆ (กาแฟคนละถ้วย   
น้ำส้มคั้นคนละแก้ว และขนมเขาควายคนละอัน หรือที่สมัยนี้เรียกกันว่า ครัวซอง)
เพราะเราจะเดินแค่สิบสาม กิโลเมตร ถึง นาวาร์เร็ตเต้ (Navarrete)   แล้วหาที่พัก
 
หลักจาก กินข้าวเช้าเรียบร้อย เราจึงเริ่มเดิน แบบเอาจริง เอาจัง 
โลโกรโย่ เหมือนเมืองใหญ่ทั่วๆไป ที่กว่าจะออกนอกเมืองได้ ใช้เวลานานมาก 

ไม่ใช้แค่ขับรถ   เวลาเดินก็เหมือนกัน  เราเดินผ่านสวนสาธารณะ  ลา กราเคร่า
(parque de la Grajera) น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปอดของเมือง

เขาทำไว้ดีมาก ให้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นที่ ที่มีคนของเมือง มาเดินเล่น มาวิ่ง 
ลูกเล็กเด็กแดง ก็มากันหมด  มีม้านั่งวางไว้เป็นระยะให้นั่งพัก 

มีบ่อน้ำ ขุดไว้ให้ดูเย็นตาเย็นใจ (รูปที่หนึ่ง และรูปที่สอง)
เห็นผมชมสวนมากๆ  จนแม่ชักหมั่นไส้ผมขึ้นมา แล้วว่า

กรุงเทพฯ เมืองอมร ของแม่ก็มี  สวนสวยกว่า ลา กราเคร่า ตั้งเยอะ 
ไหนจะจัตุจักร สวนลุม สวนเบญจ์  แล้วมีอีกหลายๆสวน ที่จาระไน ไม่หมด 

สวนของเราแพ้เขาก็แค่ อากาศ บ้านเราร้อนทั้งปี  จะไปทำดัดจริต
วิ่งออกกำลังตอนเที่ยงวัน เหมือนในสวนฝรั่ง อาจจะหน้ามืด ตายเอาได้ง่ายๆ 
ผมว่าแล้วไงครับ ว่าแม่เขาชาตินิยม

เรานัดแนะเจอกับ อัลบ้าและอัลฟองโซ่ ที่นาวาร์เร็ตเต้  แม่ถูกใจทั้งคู่
เขาน่ารัก หน้าไม่เป็นเหลี่ยม  ท่าจะคบกับเราได้  แม่ชวนให้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน 

ถ้าเราถึงก่อน ก็จะไปรออยู่ หน้า บ้านพักนักแสวงบุญของ เมือง 
ถ้าหากันไม่เจอ ค่อยแสดงตัวเป็นคนทันสมัย ด้วยการโทรนัดกันอีกที

ตอนค่ำๆ จะมีเพื่อนแม่มาหา  นัดกันไว้เรียบร้อย  เทเรสและโฮเซ้  (Teres และJosé)
จะขับรถมาหาเราที่ นาวาร์เร็ตเต้   เพื่อจะมาเดิน เอล คัมมิโน่ กับเราทั้ง เสาร์ อาทิตย์   
ทั้งสองเป็น คนบาสค์  มาจาก วิทอเรีย (Vitoria)  เมืองหลวงของแคว้น

 



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 25 มี.ค. 10, 05:24
ทางเดินวันนี้เห็นชัด ว่าอยู่ในเขต ทำไวน์ของสเปน  มีไร่องุ่นตลอดทาง ทั้งสองฝั่ง
เราเดินขึ้นเนินต่ำๆ ไปเรื่อย อย่างไม่รีบร้อน  สบายใจ ได้นอนตื่นสาย และเต็มอิ่ม 

จุดหมายปลายทาง ของวันนี้ก็ไม่ไกล  รู้สึกว่าทุกอย่างในวันนี้ลงตัวหมด 
แต่แม่คงทำกรรมไว้มาก   เราเจอ ปัคโก้และเพื่อนทั้งกลุ่ม ห้าคนเห็นจะได้   

ปัคโก้ดูท่าดีใจมากที่ได้เจอเราอีก  แนะนำเพื่อนให้รู้จัก 
แล้วรีบเดินเข้ามาประกบเดินกับเรา เป็นการทำความลำบากใจให้แม่มาก 

เพราะจะไล่ไปตรงๆ แม่ก็เกรงใจ  ไม่อยากทำร้าย จิตใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จะเดินไปด้วยก็ออกจะรำคาญ  เพราะอีตานี่ ยังพูดมากเหมือนเดิม   

เขาบอกว่า จะไปพักค้างคืนที่ เวนโตซ่า (Ventosa) เมืองต่อไป จากนาวาร์เร็ตเต้   
ผมเลยรีบบอกว่า   เราก็จะไปพักเหมือนกัน  แล้วเจอกันคืนนี้   

ตอนนี้เหนื่อย  อยากแวะพักฟังเพลงซักนิด  เพราะผมรู้ว่า ปัคโก้มากับเพื่อนๆ ต้องตามกันไปเป็นขบวน 
เขาต้องไม่มานั่งเสียเวลาพักเหนื่อยกับเราเป็นแน่  จริงอย่างผมว่า  แม่ชมผมใหญ่ถึงความฉลาด   รู้จักแก้ไขสถานการณ์

เราเดินขึ้นเนิน ลงเนินมาเรื่อยๆ  เจอวัวตัวใหญ่มาก (รูปที่หนึ่ง) อยู่บน
เขาเตี้ยๆ ใกล้เมืองนาวาร์เร็ตเต้   นัยว่า เป็นโรงเหล้า  หน้าตาดูคุ้นมาก 
แต่นึกไม่ออกว่า เหล้ายี่ห้ออะไร   เรายืนดูวัว และคิดอยู่นาน  จนแม่ว่า
เหนื่อยสมอง เดินต่อดีกว่า  แล้วค่อยเก็บไปคิด ก่อนนอน ถ้าไม่เมาแล้วหลับไปซะก่อน 

ฝนตกพรำๆ  ประเภทจะตก ก็ไม่ตกจริงจัง  ตกแบบแหย่เล่น น่ารำคาญ 
ผมว่า เห็นฝนแล้วคิดถึงย่า  ภาษาบ้านย่า (ภาษา อูสเก-ร่า)

เรียกกันว่า ซิลลี่ มิลลี่ หรือ ซิลลี่ มิลลิดฉุ  (อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาเขียนกันอย่างไรในอักษรฝรั่ง ย่าก็ไม่รู้)
ซิลลี่ มิลลี่ใช้เรียกฝนตกพรำๆ เปียกได้ แต่กว่าจะเปียกต้องใช้เวลา 

ส่วน ซิลลี่ มิลลิดฉุ นั้นใช้เรียกฝน ที่พรำน้อยลงไปอีก  ไม่เปียกแค่ชื้นๆ เหมือนโดนฉีดละอองน้ำ 
ในภาษา อูสเก-ร่านั้น ถ้าเติม “ฉุ” เข้าไปข้างหลังคำนาม

จากขนาดปรกติ ก็จะเปลี่ยนเป็นอะไรเล็กๆ น่ารักไปหมด  แม้ชื่อคน
เช่นชื่อย่า ที่มีชื่อเต็มยศว่า มาเรีย เดล พิล่าร์  (Maria del Pilar)
ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า พิล่าร์  แต่ สำหรับคนในครอบครัว
จะเรียกกันว่า พิล่าร์ฉุ (ผมสะกดเอง ว่า Pilarxu) 

กว่าเราจะเดินถึง นาวาร์เร็ตเต้  ก็กว่า สี่โมงเย็น  วันนี้เดิน น้อยกิโล
แต่ใช้เวลานานกว่าปรกติ  เราเข้าพักที่โรงแรม วิลย่า เด นาวาร์เร็ตเต้ 
(Villa de Navarrete โทร ๐๐๓๔ ๙๔๑ ๔๔ ๐๓ ๑๘)   
เป็นโรงแรมแรกที่เดินผ่าน อยู่ตรงข้ามกับบ้านพักนักแสวงบุญ

ที่เรานัดเจอ อัลบ้า กับ อัลฟองโซ่   แม่จองห้องคู่อีกห้องให้ เทเรสและโฮเซ้   
ที่จะมาถึงคืนนี้
 
เราข้ามถนนไปรอเจออัลบ้า กับ อัลฟองโซ่   ที่หน้าบ้านพักนักแสวงบุญ 
มีคนยืนรอนั่งรอบ้านเปิด  ป้ายว่าจะเปิดตอน สามโมงเย็น แต่นี่กว่าสี่โมง

ยังไม่มีวี่แวว ว่าจะมีคนมาเปิด  นักแสวงบุญเอาเป้วาง จองที่นอนไว้หน้าบ้าน
คิวใคร คิวมัน (รูปที่สอง)

บ้านพักนักแสวงบุญ นั้นมี สองอย่าง อย่างแรกนั้นเป็นของรัฐบาลในแต่ละเมือง
ซึ่งบางทีก็คิดเงิน คืนละ สาม ยูโร  บางทีก็แล้วแต่บริจาค

(ซึ่งมีน้อยลงไปเรื่อยๆ แทบจะไม่มีเหลือเพราะ แม้จะมาแสวงบุญ แต่คนส่วนมากไม่ชอบบริจาค) 
คนทำงานจะเป็น อาสาสมัครทั้งหมดไม่มีเงินเดือน แต่ถึงกระนั้นก็มีค่าน้ำ ค่าไฟ  ไม่รับจอง ล่วงหน้า 

ใครมาถึงก่อน ก็ได้ก่อน  ต้องมีใบเบิกทางสู่สวรรค์ พร้อมหนังสือเดินทาง หรือบัตรประชาชน มาให้ดู
ถึงจะพักได้ บ้านพักของรัฐบาลนั้นจะเป็นที่เลือกอย่างแรกของนักแสวงบุญทั่วไป เพราะราคาย่อมเยา   

แล้วที่นี้เขาจะประทับตราให้ในใบเบิกทางสู่สวรรค์ให้  เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า เราเดินผ่านเมืองนี้จริงๆ   
ถ้าเราเดินอย่างต่ำ หนึ่งร้อย กิโลเมตรพอถึง ซานติอาโก้  ก็ไปรับใบรับรองขึ้นสวรรค์ได้เลย   
แต่ผมว่าถ้านั่งรถเอาใครจะรู้  แม่ว่า ก็รู้เองไง

ส่วนอีกอย่างนั้นเป็นเอกชน เรียกค่าที่พัก ประมาณ แปด ยูโร หรือมากกว่านี้
ตามที่เห็นว่าสมควร เพราะเป็นธุรกิจ มีขาดทุน มีกำไร 

แบบนี้จองได้ เหมือน โรงแรม  เวลาบ้านพักของรัฐบาลเต็ม ก็ต้องมาพัก ที่นี่ 
หรือเสี่ยงเดินต่อไปอีกเมือง

เราเจอ แซวี่ นั่งรอบ้าน เปิด ก่อนเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่  นัยว่า เท้าแพลง เดินต่อไปไม่ไหว 
แม่ว่าแซวี่เป็นคนเดินเร็วมาก แล้วชอบออก เดินตั้งแต่เช้ามืด มองไม่เห็นทาง 

เขาเล่าให้แม่ฟังว่าเดินไปเหยียบก้อนหิน หินมันกลิ้งเท้าเลยพลิกตาม   
แม่ให้ยาหม่องตาเสือไปทา  พร้อมยาแก้ปวด  แม่มีทุกอย่างในเป้ 
โชคดีที่เรายังไม่ได้ใช้อะไรเลย นอกจากพลาสเตอร์ปิดแผล

กว่าจะเจอ อัลบ้า กับ อัลฟองโซ่  ก็เกือบ ห้าโมงเย็น เลยเวลากินข้าวกลางวัน 
แม่เลยเชิญ เขาไปกิน ทะปาส  แซวี่ขอตามมากินด้วย  เราสั่ง (จริงๆ แล้วแม่สั่ง) ดังนี้

-   ตอร์ติย่า เอสปานยอล่า (tortilla española)  หรือไข่เจียวสเปน
-   บาคาเลา อัลพิลพิล (bacalao al pil pil หรือปลา cod ในภาษาอังกฤษ)  ส่วนผสมมีแค่ปลาบาคาเลา (ทั้งแบบแห้ง หรือแบบสด) น้ำมันมะกอก กระเทียมสด และพริกหยวก กินดียาส (guindillas) แบบเผ็ดนิดหน่อยของสเปน
-   โบเกโรเนส ฟริโตส (boquerones fritos) หรือปลาแอนโชวี่ชุบแป้งทอด
-   ปาตาตาส บราวาส (patatas bravas)  มันฝรั่ง (ตัดเป็นชิ้นลูกเต๋า) ทอดกรอบ ราดหน้าด้วยซ้อสมะเขือเทศเผ็ดนิดๆ
มีไวน์แดงจิบตาม  ผมว่า กว่าจะกลับบ้าน ผมต้องติดเหล้าแน่ๆ
แม้แม่จะผสมน้ำโซดาให้ก็ตาม  พอบอก แม่ก็ว่าดัดจริต

เรานั่งกินกัน คุยกันนานมาก จนเทเรสและโฮเซ้มาถึง  ก็มานั่งกินกันต่อ
สั่งอาหาร พร้อมไวน์มาเพิ่ม  จนเกือบสี่ทุ่มทั้ง แซวี่ อัลบ้าและอัลฟองโซ่ รีบวิ่งกลับ

เพราะ  บ้านพักนักแสวงบุญปิดสี่ทุ่ม  ส่วนเราทั้งห้า ยังนั่งรากงอกจนเที่ยงคืน
ถึงแยกย้ายสลายตัวกันกลับไปนอน





กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 26 มี.ค. 10, 05:16
กินข้าวเช้าเรียบร้อย ออกเดินทางได้ตั้งแต่แปดโมงเช้า  วันนี้เรามีเสื้อผ้าสะอาดใช้
หลังจากไม่ได้ซักผ้ามาหลายวัน  เมื่อวานเจ้าของโรงแรมใจดีให้เราใช้เครื่องซักผ้าได้
 
โดยคิดราคาไม่แพงมาก  ด้วยความขี้เกียจซักมือ บางทีเราก็รอจนหาเครื่องซักผ้าเจอ 
ถ้าหาไม่ได้หลายๆวัน ก็ต้องซักเอง   

ทางออกของเมือง นาวาเร็ตเต้  ต้องเดินผ่านสุสาน  แดดออกแล้วเดินกันหลายคน
ทำให้ไม่น่ากลัวมากนัก  ที่รั้วของสุสาน เขาทำเป็นที่ระลึก

ให้นักแสวงบุญที่ตายระหว่างเดินทางไป ซานติอาโก้  นัยว่ามาจากประเทศเบลเยี่ยม โดยจักรยาน 
ผมสงสัยว่า เขาจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่า เพราะตายก่อนถึง ซานติอาโก้   

แม่เลยว่าลองตายดูมั้ย จะได้รู้  นี่ละครับ การอยู่ด้วยกันนานๆ  เห็นหน้ากันทุกวัน
วันละหลายๆชั่วโมง  เวลานอน ก็ยังต้องฟังเสียงกรน ของกันและกันอีก 
ฟังเสียงแม่แล้วผมเลยทิ้งแม่ไว้กับเทเรส  แล้วไปเดินกับโฮเซ่

ทางเดินขึ้นเนินเป็นกรวด  ระหว่างทางมีคนเอาก้อนหิน (รูปที่หนึ่ง และรูปที่สอง)
มาวางซ้อนๆกัน  ถ้าใจกว้าง ก็แลเห็นเป็นศิลปะร่วมสมัยไปได้ 

ผมสังเกตว่าตลอดทาง ที่ผ่านมา มีคนเอาหิน เอากรวด ไปวางไว้หลายๆแห่ง
บางทีก็เอาหินมาเรียงเป็น ลูกศรบอกทาง  บางทีก็เอาวางกองๆ ไว้บนป้ายบอกชื่อเมือง   

ถามผู้รู้เขาว่า (ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ เพื่อนแม่ โฮเซ้นั่นเอง) ในสมัยโบราณนั้น
นักแสวงบุญจะช่วยกันถือก้อนหิน ก้อนกรวดเพื่อเอาไปเมืองซานติอาโก้ 

เพื่อเอาไปช่วยสร้างโบสถ์ของเมือง  ที่เชื่อกันว่า นักบุญเจมส์
สาวกหนึ่งในสิบสองของพระเยซู ถูกฝังอยู่  เขาเลยสร้างโบสถ์ให้เป็นที่ระลึก
 
พร้อมทั้งยกนักบุญเจมส์ ให้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของสเปน 
เรื่องนี้ผมว่า ต้องฟังหู ไว้หูนะครับ เป็นเรื่องปรัมปรา ผมไม่รู้ว่าเชื่อถือได้แค่ไหน

เพราะเหตุนี้เลยทำให้มีเอล คัมมิโนเดซานติอาโก เกิดขึ้น 
คริสต์ศาสนิกชนสามารถไปเคารพ สักการะนักบุญเจมส์ได้

ที่เมืองซานติอาโก เด คอมโพสเตลา เมืองนี้นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
ของศาสนาโรมันแคธอลิค ต่อจาก เยรูซาเลม และกรุงวาติกัน
 
แม่มีเพื่อนชื่อ ซานติอาโก้  แม่ยังเคยเอามาล้อเล่น ว่าเขามีทางเดินส่วนตัว
แม่ว่าตอนไปอยู่สเปนใหม่ๆ ชอบมากเพราะมีเพื่อนชื่อ เฮซูส หรือ จีซัส (Jesus)   

แม่ว่าหายาก   อยู่ไปนานๆ แม่ถึงยอมรับว่าเป็นชื่อปรกติ ของคนทั่วๆไปในสเปน
ไม่ใช่ พ่อแม่เขาตั้งชื่อไว้ล้อพระเจ้าเล่นเหมือนที่แม่คิด



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 27 มี.ค. 10, 05:43
พูดถึงเรื่องชื่อของคนสเปนนั้น ผมอดไม่ได้ (อีกแล้ว) ต้องเล่า 
ช่วงที่สเปนอยู่ภายใต้การปกครองของนายพล ฟรานซีสโก้ ฟรังโก้
(Francisco Franco ปกครองปี คศ ๑๙๓๙ ถึง ๑๙๗๕)   

ที่ใช้ระบบเผด็จการปกครองแบบขวาจัด   การตั้งชื่อเด็กแรกเกิด จะอนุญาติให้ใช้ชื่อนักบุญ
หรือชื่อที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้นเท่านั้น ห้ามตั้งชื่อตามใจฉันเหมือนประเทศแม่   

(สมัยก่อนหน้านายพล ฟรานซีสโก้ ฟรังโก้ คนสเปนก็คงไม่ค่อยมีจินตนาการมากนัก
เพราะก็ใช้ชื่อนักบุญตั้งชื่อลูกเหมือนกัน แถมมีครอบครัวที่ผมรู้จัก มีลูกสาวคน
ลูกชายคน ลูกสาวชื่อ มาเรีย โฮเซ้ María José  ส่วนลูกชาย โฮเซ้ มาเรีย José María) 

ด้วยเหตุนี้คนที่เกิดช่วงนี้จะมีชื่อที่ฟังดูแปลกๆ (สำหรับหูคนไทยของแม่)   
ถ้าแปลความหมายออกมายิ่งประหลาดหนักขึ้นไปอีก   ถ้าอยากตั้งชื่อแปลกๆให้ลูก
ที่ไม่เป็นชื่อนักบุญ โดยเฉพาะชื่อลูกสาว ก็ให้ใส่ชื่อพระนางแมรี่หรือมาเรีย
เข้าไปข้างหน้า ชื่อก็จะมีความหมายเกี่ยวกับศาสนาขึ้นมาทันใด

ผมจะลองไล่ชื่อญาติพี่น้องที่ออกจะประหลาด  ฝ่ายผมให้ฟังคร่าวๆได้ดังนี้
-   มาเรีย โดโลเรส  (María Dolores หรือเรียกกันแบบสั้นๆว่า โลลิต้าLolita)   
คำว่า โดโลเรส เป็นหหูพจน์   หมายถึงความเจ็บปวด ใช้ในกรณีคลอดบุตร
 
ถ้าปวดหัว ปวดท้อง จะใช้เป็นเอกพจน์ นอกจากปวดระดู กลับมาใช้หหูพจน์อีกที   
อะไรที่เก็บกับผู้หญิงละก้อต้องให้เจ็บเยอะๆ ไว้ก่อน

แม่เลยนึกเอาเองว่า ตั้งชื่อลูกแบบนี้จะได้ระลึกถึงความเจ็บปวดของการคลอดลูกได้เสมอ   
ย่าว่าไม่ใช่ แต่มีนักบุญชื่อนี้จริงๆ   แม่เห็นด้วยกับย่า เพราะศาสนาโรมันแคธอลิค
มักชอบให้คนทรมาน ก็ดูแค่เรามาเป็นนักแสวงบุญนี่ไง 
(ผมอยากถามแม่ว่าใครขอให้แม่มาเดิน แม่มาของแม่เอง
แต่ต้องหักห้ามตัวเอง เพราะแม่ปากจัด ผมยังเถียงไม่ทัน)

-   มาเรีย คอนเซพซิโอน (María Concepción หรือเรียกสั้นๆ ว่าConchita)   
อันนี้แปลว่ามีครรถ์   ชื่อนี้ย่าว่าให้นึกถึงตอนพระเยซูมาเกิด ในท้องพระนางแมรี่

-   จอร์ดี้ (Jordi ภาษาคาทาลาน หรือฮอร์เข้ Jorge ในภาษาสเปน)
นักบุญจอร์จ (George) เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของแคว้นคาทาลุนย่า   

ถ้าคุณเดินอยู่ในเมืองบาร์เซโลน่าแล้วลองตะโกนคำว่า จอร์ดี้   
หนุ่มๆ แปดในสิบคนจะหัน   เป็นชื่อที่คนคาทาลานชอบตั้งกันมาก   

วันที่ยี่สิบสาม เมษายน เป็นวันนักบุญจอร์ดี้   วันนี้ในแคว้นคาทาลูนย่า
จะมีร้านหนังสือ และร้านกุหลาบมาออกร้าน เต็มสองข้างถนน
ตามธรรมเนียม ผู้หญิงให้หนังสือผู้ชาย และผู้ชายให้กุหลาบแดงผู้หญิง

-   รูเซ่ร์ (Roser ภาษาคาทาลาน หรือ โรซารีโอ้ Rosarioในภาษาสเปน)
แปลว่าลูกประคำ เป็นชื่อผู้หญิง

แล้วก็มี พ่อแม่หัวหมอ ที่ไม่อยากตั้งชื่อลูก ตามชื่อนักบุญ เลยต้องเติมคำว่า
มาเรียให้ถูกกฎหมาย  มาเรียเอสเตลย่า (María Estella ดวงดาว)   
มาเรียโซล (María Sol พระอาทิตย์)   มาเรียลูน่า (María Luna พระจันทร์)

คนสเปนมีวันฉลองของตัวเองสองวัน  วันแรกคือวันคล้ายวันเกิด
ส่วนอีกวันนั้นวันชื่อ ซึ่งเป็นวันนักบุญชื่อของตัวเอง 

ทั้งสองวันจะมีพี่น้องและเพื่อนๆ โทรมาอวยพร หรือเอาของขวัญมาให้ 
ส่วนผมมีชื่อเป็นภาษาไทย และไม่ได้เป็นนักบุญเลยไม่มีวันชื่อ 

ตอนเล็กๆผมออกจะน้อยใจมาก  ย่าสงสารหลาน เลยถือเอาวันที่หนึ่งพฤษจิกายน
เป็นวันชื่อ ทั้งของผมและของแม่  เพราะเป็นวันนักบุญครอบจักรวาล

หรือเรียกกันว่า วันโตโดส โลส ซานโตส (dia de Todos los Santos)
สำหรับนักบุญทุกท่านที่จำกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง  แม่ว่าคลับคล้ายคลับคลาเหมือนวันปล่อยผี
ฮาโลวีนของฝรั่งอเมริกัน

ไหนๆผมก็ติดลมเรื่องชื่อ ต้องต่อด้วยนามสกุล คนสเปนจะมีสองนามสกุล
ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ไม่เปลี่ยนนามสกุล  ต่อให้อยากเปลี่ยนแค่ไหน เขาก็ไม่เปลี่ยนให้

คนสเปนเอานามสกุลพ่อมาเป็นนามสกุลแรก แล้วตามด้วยนามสกุลแม่ 
แต่ใช้แค่นามสกุลแรกของพ่อ แม่นะครับ 

ยกตัวอย่างเช่น ลุงและอาผู้หญิงของผมใช้นามสกุล คาสเตลส์ อาร์รีซาบาลาก้า
(Castells Arrizabalaga ครับนามสกุลคาทาลานของปู่ ผสมบาสค์ของย่า   
ถ้าจะให้เขียนแบบคาทาลาน ก็เติม “และ”ระหว่างนามสกุลได้ ออกมาเป็น Castells i Arrizabalaga) 

ลูกของลุงผมใช้นามสกุล คาสเตลส์ มาตุตาโน้ (Castells Matutano)     
ส่วนลูกของอาผู้หญิงคือ วิดาล (Vidal Castells)
 
ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นลูกพี่ ลูกน้องกัน นับญาติกันง่ายว่าเกี่ยวดองกันทางไหน
ฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่   อย่างนามสกุลผม คนสเปนเห็นก็รู้ทันทีว่า ต่างด้าว 

รูป หินเรียงสวยระหว่างทางเดิน เห็นลูกศรบอกทาง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 มี.ค. 10, 04:42
อ่านเหนื่อยมั้ยครับ ผมก็อธิบายซะเหนื่อยเหมือนกัน  กลับไปเดินต่อดีกว่าครับ
วันนี้เราคิดว่าจะไปค้างที่เมือง นาเค-ร่า (Nájera) ระยะทาง สิบแปดกิโลเมตร

เทเรสและโฮเซ้จอดรถทิ้งไว้ ที่เมืองนาวาเร็ตเต้  จะเดินกับเราไปค้างที่ นาเค-ร่า
พอวันรุ่งขึ้น ก็เดินกับเราอีกหนึ่งวัน จนถึง ซานโต้ โดมินโก้ เด ลา คาลซาด้า (Santo Domingo de la Calzada)

จากนั้นก็นั่งรถเมล์กลับไปเอารถ ที่นาวาเร็ตเต้   แล้วก็ขับรถกลับบ้าน
เราเดิน ได้สองชั่วโมงก็ถึง เวนโตซ่า  (Ventosa) 

เมืองนี้ โฮเซ้บอกว่า เมื่อก่อนไม่ต้องผ่าน แต่ตอนที่เขาขยายถนน
เลยให้เดินอ้อม ผ่านเวนโตซ่า   นับว่าโชคดีของเมือง เพราะเป็นการนำรายได้เข้าเมือง   

แม้จะขยายถนนเสร็จ   เวนโตซ่า ก็ยังเป็นเมืองผ่านอยู่ดี เพราะทางเมืองสร้าง
บ้านพักนักแสวงบุญไว้เรียบร้อย   เราแวะกินแซนวิช   

แม่ว่าเวลาเดินแม่หิวทุกๆ สอง สามชั่วโมง ถ้าไม่ได้กิน ใจมันหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม   
ผมย้อนว่า เวลาไปเที่ยวเมืองไทย แม่ไม่เห็นเดินซักเท่าไหร่   
แต่เห็นกินทุกชั่วโมง   เห็นอะไรก็ว่า ไม่ได้กินมานาน ต้องกิน 
ผมว่าถ้าแม่ไม่ท้องแตกตายเหมือนชูชก ก็ล้มละลาย สิ้นเนื้อประดาตัว เพราะเรื่องกินเป็นเหตุ

ออกจากเวนโตซ่า   เราเดินขึ้นเนินเขาที่เป็นจุดสูงสุดของวันนี้ ด่านเขาซานอันโตน 
(Alto de San Antón)   จากจุดนี้เราเดินผ่านหุบเขา นาเค-ริลย่า
(el valle de del Najerilla)

เห็น นาเค-ร่า ข้างล่างระหว่างหุบเขา ดูเพลินๆ อาจนึกว่า กำลังเดินอยู่บนสวรรค์   
แต่มีเป้เตือนใจ ว่าเรายังต้องเดินเข้านาเค-ร่า อีกตั้ง สิบกิโลเมตรกว่าจะถึง

โฮเซ้ ออกปากว่าจะช่วยแม่ถือเป้ แต่แม่เกรงใจ บอกแต่ว่าไม่เป็นไร 
เพื่อนแม่ทั้งคู่มีแค่เป้ใบเล็กๆ เขามาเดินเป็นเพื่อนแค่ เสาร์ อาทิตย์
เลยไม่ต้องหอบสมบัติบ้า เหมือนเรา

รูป ไร่องุ่นข้างทาง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 มี.ค. 10, 20:54
เส้นทางเดินต่อจากนี้ก็ มีอะไรเหมือนก่อนเขาเมืองทั่วๆ ไป
ทางเดินพาเราผ่าน เขตอุตสาหกรรม แต่มีกำแพงหนึ่งที่

โฮเซ้บอกให้เราคอยมองหา เพราะมีคนเขียนกลอนติดไว้   
บอกว่าเป็นกำแพงของโรงงานทำแป้งเก่า 

เล่าว่าคนเขียนเป็นบาดหลวงอยู่ไม่ไกลจาก นาเค-ร่า ชื่อ ยูเคนีโอ การีบาย
(Eugenio Garibay)   

พอเจอเราก็ยืนอ่านกันนานมาก   แม่จดใส่สมุดเอาไว้ไปนอนอ่านคืนนี้   
มีคนแปลเป็นภาษาเยอรมันติดไว้ให้ด้วย    แม่ลอกแค่ภาษาสเปน
เพราะเมื่อยมือ จะถ่ายรูปก็มีคนยืนบัง

Polvo, barro, sol y lluvia
es Camino de Santiago
Millares de peregrinos
y más de un millar de años
Peregrino, ¿Quién te llama?
¿qué fuerza oculta te atrae?
Ni el campo de las estrellas,
ni las grandes catedrales.
No es la brava Navarra,
ni el vino de los riojanos,
ni los mariscos gallegos,
ni los campos castellanos.
Peregrino, ¿Quién te llama?
¿qué fuerza oculta te atrae?
Ni las gentes del camino,
ni las costumbres rurales.
No es la historia y la cultura
ni el gallo de La Calzada
ni el palacio de Gaudí
ni el castillo de Ponferrada.
Todo lo veo al pasar
y es un gozo verlo todo,
más la voz que a mi me llama
la siento mucho más hondo.
La fuerza que a mi me empuja,
la fuerza que a mi me atrae
no sé explicarla ni yo.
¡Sólo el de Arriba lo sabe!

แม่อยากแปลให้ท่านผู้อ่านใจจะขาด  แต่ไม่มีความสามารถ
แค่แปลเป็นภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆมาให้แค่นี้นะครับ

Dust, mud, sun and rain
This is El Camino de Santiago.
Thousands of pilgrims
Thousands of years

Pilgrim, who calls you?
What hidden strength draws you here?
Neither the field of stars
Nor the great cathedrals
It is not the beautiful Navarra
Nor the Rioja wine
Not the Galician seafood
Nor the Castillian fields

Pilgrim, who calls you?
What hidden strength draws you here?
Not the people of El Camino
Nor the rural way of life

It is not the history nor culture
Not the cock in la Calzada
Neither the Gaudi palace
Nor the castle of Ponferrada

I see them all passing by
It is a great joy to see them
The voice that is calling me
I feel it even deeper

The strength that drives me
The strength that draws me
Not even I can explain
Only He up above knows




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 มี.ค. 10, 20:57
ขอลาไปเที่ยวกรุงเทพ หนึ่งอาทิตย์
แล้วเจอกันค่ะ
hasta pronto


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 29 มี.ค. 10, 13:59
คำอธิบายเรื่องนามสกุลของชาวสเปนชัดเจนแจ่มแจ้งมากครับ

ผมเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่ก็งงกับบางนามสกุล อย่าง Domenech i Montaner ไม่เข้าใจว่า i ตัวนั้นหมายความว่าอย่างไร

อ่านแล้วถึงบางอ้อ หายสงสัยเป็นปลิดทิ้งทีเดียว


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 07 เม.ย. 10, 05:33
เราหลงดีใจว่าใกล้เมือง นาเค-ร่า หารู้ไม่ว่าต้องเดินผ่าแดดอีกนาน
เดินข้ามถนนเสี่ยงความตาย เพราะรถเยอะมาก

ผ่านกำแพงบ้าน  มีป้ายเขียนติดกำแพงตัวเบ้อเร่อเท่อ 
แปลออกมาได้ความว่า “นักแสวงบุญ ในนาเค-ร่า  คนนาเค-ร่า”   (รูปที่หนึ่ง)

อยากจะตีความหมายมากกว่านี้ แต่ผมจนใจครับ แม่ซึ่งชอบมีความคิดแปลกๆ
บอกว่าเรารีบเดินดีกว่า  ไม่รู้ว่าเขาเขียนเอาไว้ต้อนรับนักบุญ หรือเอาไว้ไล่ต้อนกันแน่

พอเราเข้าถึงเมือง เราเดินตามลูกศรบอกทาง  เข้าฝั่งเมืองใหม่ของ นาเค-ร่า
ที่เราทั้งสี่ เห็นตรงกันว่า น่าเกลียดมากๆ  คืนนี้แม่ว่าต้องสวดมนต์ยาวมากเพื่อไม่ให้ฝันถึง   

แล้วเราก็ลืมความน่าเกลียดไปทั้งหมด โดยรวดเร็ว เพราะเมืองเก่าน่ารักมากๆ เราข้ามแม่น้ำ นาเค-ริลย่า  (Najerilla) 
เดินไปเมืองเก่า (รูปที่สอง)   เขาปลูกบ้านเรียงกันไว้ที่ตีนเขา   

นักเล่าของวันนี้ คือโฮเซ้ เล่าให้ฟังว่า ชื่อนาเค-ร่า นั้นเป็นภาษาอาราบิค แปลว่า เมืองในหุบเขา   
เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้น นาวาร์ร่า (Navarra)   ระหว่างศตวรรษที่ สิบและสิบเอ็ด
ตอนที่เมืองพัมโพลน่าโดนแขกอาหรับทำลายเหลือแต่ซาก   

โฮเซ้ว่า เราควรไปดู โบสถ์ ซานต้า มาเรีย ลา เรอาล (Monasterio Santa Maria La Real)
เพราะในนั้น มีพระราชา และพระราชินีของนาวาร์ร่าฝังอยู่หลายองค์   
ทั้งแม่ ทั้งผมที่ตอนแรกอยากจะไปดูโบสถ์ พอรู้ว่ามีใครต่อใครนอนอยู่
ต่อให้เป็น พระราชา พระราชินีก็เถอะ ขอดูข้างนอกพอ (รูปที่สาม)
 



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 เม.ย. 10, 10:53
           กลับมาร่วมเดินทางโดยการนั่งอ่านอย่างสบายๆ 

             ติดตามกันมานานพอสมควร ในที่สุดวันนี้ก็เกิดฉุกคิดขึ้นได้ว่า เรื่องเล่านี้อ่านแล้วให้อารมณ์
ความรู้สึก นึกถึงงานของนักเขียนนามปากกา "จันทรำไพ" ในงานเขียนเล่าเรื่องดินแดนอเมริกาใต้
ที่ให้บรรยากาศต่างแดน แปลกถิ่น น่าค้นหา และมีอารมณ์ขัน ครับ
   


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 เม.ย. 10, 17:15
           ย้อนกลับไปคห. 81 - รูปที่หนึ่ง ครั้งแรกมองผ่านๆ ไป วันนี้กลับไปเห็นแล้วจึงสะดุด

       เคยเห็นเจ้าวัวบนเนินเขาแบบนั้น ในหนังดังจากสเปนเมื่อหลายปีมาแล้ว เรื่อง Jamon Jamon (1992)
นำแสดงโดยสองนักแสดงที่ตอนนี้อยู่ในระดับ "อินเตอร์" ไปแล้ว คือ Javier Bardem และ Penelope Cruz

      เป็นหนังระดับรางวัล นักวิจารณ์ชอบ แต่เนื้อเรื่องแรง คงยังไม่น่าจะเหมาะสำหรับ "ผม" ในวัยวันนี้
(คามจริงหนังสเปน-ที่ดังๆ และได้ดูก็ค่อนข้างแรงทั้งนั้น) 

       จากข้อมูลบอก location ถ่ายทำที่ Aragón, Spain 
                                             Los Monegros, Aragón, Spain
                                             Sabadell, Barcelona, Cataluña, Spain ครับ

Penelope Cruz กับเจ้าวัวตัวที่ว่า


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 07 เม.ย. 10, 20:20
ตอนเด็กๆดิฉันก็ชอบอ่านเรื่องของจันทรำไพมาก ยังจำเรื่องสองบาทพุดดิ้งได้
เสียดายตอนนี้ เธอมัวแต่เลี้ยงหลาน ไม่ค่อยมีเวลาเขียนหนังสือ  แต่ไม่กล้า
เปรียบกับเธอดอกค่ะ ยิ่งรู้จักยิ่งไม่กล้า เพราะ"พี่จัน" เป็นสาวไทยที่เป็นกุลสตรี
และพูดภาษาไทยได้เพราะมาก

ส่วนวัวนั้นดิฉันว่าน่าจะตัวเดียวกัน แต่ไม่แน่ใจว่ายืนที่เดียวกัน รูปที่ถ่ายนั้นมาจาก
สถานที่ใกล้ๆ Najera ใน Rioja แล้วตอนนี้หัวสมองจำได้แล้วว่า เป็นโรงงานทำ
เหล้า Osborne

เรื่อง Jamon, Jamon ดิฉันชอบเพราะบ้าหนังสเปน ยิ่งของ Pedro Almodovar
ชอบหมด ตอนท้องก็นั่งดูรูป Penelope Cruz ทุกวัน แต่สวรรค์ไม่เป็นใจ ได้ Javier
Bardem มาแทน

ขอบคุณที่ให้กำลังใจค่ะ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 07 เม.ย. 10, 20:25
คำอธิบายเรื่องนามสกุลของชาวสเปนชัดเจนแจ่มแจ้งมากครับ

ผมเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่ก็งงกับบางนามสกุล อย่าง Domenech i Montaner ไม่เข้าใจว่า i ตัวนั้นหมายความว่าอย่างไร

อ่านแล้วถึงบางอ้อ หายสงสัยเป็นปลิดทิ้งทีเดียว

คุณม้าชอบ Domènech i Montaner ต้องไปเที่ยว Barcelona ซิคะ ไปฟังเพลงที่ Palau de la Música Catalana
แล้วจะเชื่อว่าสวรรค์มีจริง แล้วไปเดินเล่นในเมือง เหมือนขึ้นสวรรค์แล้วฝันไป

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 08 เม.ย. 10, 05:34
เราเดินหาร้านอาหาร กินเสร็จค่อยไปหาที่นอน  นับว่าโชคดี แม่เห็นป้ายโฆษนาว่า
เขามีเทศการชวนชิม ทะปาส  เสียดายแต่ว่า เขาเริ่มพรุ่งนี้  เลยปล่อยเลยตามเลย
ไปกินอาหารปรกติ 

เราไปถึงร้านเกือบจะบ่ายสี่โมงแล้ว  มีโต๊ะให้เรานั่ง แม่ว่าดี วันนี้มีของกินให้เลือกหลายอย่าง 
แล้วมากับโฮเซ้  วันนี้ไม่มึนไวน์เป็นไม่ได้ออกจากร้าน

แต่เรามาช้าเพราะ อาหารที่มีให้เลือกหลายๆอย่าง ขายหมดแล้ว
เหลืออยู่อย่างเดียว  คือจะกิน หรือไม่กิน   ก็ต้องกินละครับ  เราทั้งสี่ สั่งดังนี้

-   จานแรก  เอนสาลาด้า มิกซต้า (Ensalada mixta) เป็นสลัดรวมมิตร
มีผักสลัด มะเขือเทศ หอมแดง ข้าวโพดกระป๋อง ปลาทูน่ากระป๋อง หน่อไม้ฝรั่งกระป๋อง 

ในสเปน ส่วนมากเขาจะไม่ราดน้ำสลัดมาให้ แต่มีน้ำมันมะกอก น้ำส้ม เกลือ พริกไทย
วางให้ไว้บนโต๊ะ ให้เราผสมเองตามใจชอบ  ย่าผมสอนว่า ให้ใส่เกลือไปก่อน ตามด้วยน้ำส้ม

แล้วน้ำมันมะกอก ส่วนพริกไทยไม่ต้องใส่ เพราะทำให้หิวน้ำ  ผมถามย่าหลายหน
ว่าทำไมใส่น้ำมันมะกอก ก่อนไม่ได้  ย่าก็ว่า พ่อแม่ย่าสอนมาแบบนี้ ลูกๆย่าก็ใช้ระบบเดียวกัน

อย่าถามมาก บอกให้ทำอย่างไร เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไป  ผมสังเกต บ้านผมราดน้ำสลัดแบบนี้ทั้งบ้าน 
แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าทำไม รวมทั้งผู้แสนรู้อย่างแม่ด้วย

-   จานที่สอง โคสติย่า เด แซร์โด้ อา ลา พลานช่า และ ปาตาตาส ฟริตาส
(Costilla de cerdo a la plancha y patatas fritas)  คือ หมูติดกระดูกทอด  กับมันฝรั่งทอด

-   จานที่สาม ฟลาน คาเซโร (Flan casero) ขนมหวาน คือคาราเมล คัสตาร์ด
(Caramel custard) ในภาษาอังกฤษ คำว่า คาเซโร นั้นบอกให้คนกินรู้ว่า ทำเอง ไม่ได้มาจากโรงงาน

โฮเซ้บอกว่า เราเลือกอาหารไม่ได้ ต้องเลือกไวน์เอง เขาสั่ง ไวน์รีโอค่า ชื่อคูเน้ (Cune) มาให้เราชิม   
แม่เพิ่งรู้มาไม่นานว่า คูเน้ เป็นชื่อย่อของ      Compañía Vinícola del Norte de España (C.V.N.E.) 
ถ้าเรียกชื่อเต็ม คงไม่มีคนกินไวน์นี้แน่ๆ กินหนเดียวแล้วเลิก เพราะจำชื่อไม่ได้     

ระหว่างกินเราปรึกษาหารือ ถึงแผนการว่าวันนี้   เราสมควรจะจ่ายค่าห้องพักเท่าไหร่   
ถ้าโรงแรมเต็มหมด เราจะเดินไปถึงไหน   หลังจากไวน์หมดไปสองขวด

โฮเซ้และเทเรสบอกว่า ไม่ได้เดินมานาน เริ่มปวดกระดูก   แม่ก็ว่า แม่ก็ปวดเหมือนกัน 
โฮเซ้เลยเสนอ ขึ้นมาว่า เราสมควรสั่งไวน์อีกขวด 

แล้วลงมติเป็นเอกฉันท์ ต่อหน้าไวน์ขวดที่สาม ว่าจะหาที่นอนที่นี่
แล้วเดินต่อพรุ่งนี้เหมือนนักแสวงบุญที่มีวินัยเขาทำกัน

หรือจะออกนอกเส้นทางสายตรง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวานิดหน่อย
(เหมือนมนุษย์ที่มีโกรธ โลภ หลงเช่นพวกเรา)

โดยนั่งรถไปถึง เมือง ซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า (Santo Domingo de la Calzada)
ไปนอนโรงแรมแม่ชีที่นั้น แล้วค่อยคิดกันต่อว่าวันพรุ่งนี้ จะตื่นเช้าตรู่ เดินต่อ หรือตื่นสายโด่งแล้วขับรถเที่ยว แล้วเดินนิดหน่อย

ผมเคยบอกหรือยังครับว่าแม่ผมใจง่าย  วินัยที่มีมาตั้งแต่เริ่มเดิน หายเข้าเป้หมด
ไม่ต้องคิดมากแม่ตกลงใจได้เร็วกว่าทุกคน  เราตกลงว่าจะขับรถไปซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า ไปนอนที่นั่น

ออกจากร้านอาหาร (เพราะเขาเชิญออก ร้านปิด) ไปหาที่นั่งกินกาแฟล้างปากหลังอาหาร 
กินกาแฟ แล้วไปนอนเล่นริมน้ำซักงีบ  หลังจากนั้นโฮเซ้ และผม จะนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถที่นาวาเร็ตเต้
 
แล้วขับมารับแม่และเทเรส  ไม่ถึงชั่วโมงก็น่าจะมารับได้  ครับที่เราเดินกันกว่า ห้าชั่วโมง  ขับรถไป กลับ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 เม.ย. 10, 15:15
              แต่ก่อนติดตามงานของ Almodovar อยู่หลายเรื่อง ครับ 
          ชอบสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา จนเกิดคำว่า almodovarian สมัยนั้นต้องอาศัยดูจากวิดีโอ
ที่จะได้ดูในโรงใหญ่นั้น ไม่มีหวังทั้งเหตุผลด้านการเซนเซอร์ และการค้า

          จนในเวลาต่อมาเมื่อหนังนอกกระแสเริ่มเป็นกระแสนิยมมากขึ้น และหนังได้ออสการ์ด้วย Talk to Her
จึงได้เข้าฉายที่ สกาลา โรงเดียว และเป็นครั้งเดียว ที่หนังของเขาได้เข้าฉายในโรงใหญ่ที่นี่ ครับ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 09 เม.ย. 10, 05:30
เราเข้าพักที่โรงแรม ชื่อประหลาดๆว่าโอสแปแดเรีย ซีสแตร์เซียนเซ้
(Hospederia Cisterciense โทร ๐๐๓๔ ๙๔๑ ๓๔ ๐๗ ๐๐)

โดยมีแม่ชีในนิกายนี้เป็นคนให้บริการ ผมรู้เพียงแต่ว่า
เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาโรมันแคธอลิค นอกนั้นไม่รู้ใดๆทั้งสิ้น

ถามผู้รู้เช่น โฮเซ้ก็ไม่รู้   เรามาถึง ซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า
ยังไม่ดึกมาก ห้องนอน ราคาย่อมเยา สะอาดสะอ้านเรียบร้อย
อยู่ใจกลางเมือง 

แม่ติแค่ว่า บนหัวเตียงมีไม้กางเขนอันมโหฬารติดอยู่ 
น่ากลัวตกหล่นลงมาทับหัวเราเวลานอนหลับเป็นอันมาก 

แม่เลยยกมือไหว้ไม้กางเขนหนึ่งที ขออัญเชิญลงมาไว้บนโต๊ะ 
แม่ว่าพรุ่งนี้จะไหว้อีกทีแล้วค่อยอัญเชิญกลับไปห้อยไว้ที่เดิม   

ส่วนโฮเซ้กันเทเรสก็มีปัญหานิดหน่อยตอนเข้าพัก
ต้องแสดงให้แม่ชีเห็นว่าทั้งคู่เป็นสามี ภรรยา อย่างถูกกฎหมาย
ไม่งั้นห้ามนอนห้องเดียวกัน

แม่ว่า สมัยนี้ศาสนาโรมันแคธอลิคอาจเริ่มมีเงินน้อยลง
เลยต้องเปิดบริการเป็นโรงแรม เพื่อเพิ่มรายได้ 

โรงแรมแบบนี้ส่วนมากจะตั้งอยู่ในสถานที่ ที่ดีมาก เช่นใจกลางเมืองเป็นต้น
ราคาไม่แพงเท่าโรงแรมปรกติ  ไม่มีบริการใดๆ นอกเหนือ ไปจาก ห้องนอน
พร้อมข้าวเช้า  ผมว่าที่ราคาถูกกว่าโรงแรมอื่นเพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แม่ชี ถือว่าทำหน้าที่รับใช้พระเจ้า

ออกจากโรงแรม เราออกมาเดินเล่นดูคน  มีนักแสวงบุญเยอะมาก  โบสถ์ยังไม่ปิด (รูปที่หนึ่ง)

ทุกคนที่มาเมืองนี้ต้องเข้าไปดูโบสถ์ให้ได้ เพราะมีไก่ สีขาว สองตัวอยู่ในกรงในโบสถ์   
ตัวผู้ตัว ตัวเมียตัว (รูปที่สอง) อยู่กันคู่ละเดือน แล้วก็ออกไปอยู่นอกโบสถ์ ไปชมเดือน ชมตะวัน 
แม่ว่าน่าสงสารไก่  ชาติที่แล้วคงทำบาปไว้เยอะ ชาตินี้เลยต้องอยู่ใกล้พระเจ้า ล้างบาปชาติที่แล้ว

ส่วนสิ่งอื่นๆที่อยู่ในโบสถ์ ก็เหมือนโบสถ์ทั่วไป ทองเพียบ มองนานๆ แสงทองส่องตา
ทำเอามึนหัวแทบล้ม  ต้องรีบไปสูดอากาศข้างนอก ยิ่งทำให้นึกสงสารไก่บาปทั้งสองเป็นอันมาก



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 10 เม.ย. 10, 05:25
เหตุที่โบสถ์นี้มีไก่นั้น โฮเซ้เล่าให้ฟังถึงนิทาน ที่เล่าต่อๆกันมาว่า
ในศตวรรษที่สิบสี่ มีพ่อ แม่ ลูกชาวเยอรมัน เป็นนักแสวงบุญ

กำลังเดินทางไปซานติอาโก เดคอมโพสเตลา แล้วแวะพักที่
เมืองซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า   

ท่าทางลูกชายคงจะหล่อมาก (แม่ว่าตามสไตล์คนเยอรมัน คงจะขาวๆจืดๆ)
สาวสเปนเลือดร้อนที่ทำงานอยู่ที่โรงเตี๋ยม ที่ครอบครัวเยอรมันพักอยู่ เกิดติดใจ

เพราะนานๆ จะเจออะไรแปลกๆ  แต่อีตาหนุ่มหล่อเยอรมันเกิดไม่เล่นด้วย 
สาวเลือดร้อนเลยถือว่าหยามหน้า สู้อุตส่าห์ให้ท่าถึงขนาดนี้

เลยแอบเอาถ้วยไวน์ทำด้วยเงินใส่ไว้ในกระเป๋าหนุ่มเป็นการแก้แค้น
แล้วฟ้องตำรวจจับในวันรุ่งขึ้น  ได้ผลสมใจนางตัวร้าย

หนุ่มเยอรมันถูกตัดสินให้โดนประหารชีวิต โดยการแขวนคอ 
แหม ก็จับได้คาหนัง คาเขาพร้อมของกลางออกอย่างนี้   

พ่อแม่เลยตัดสินใจออกเดินทางต่อไปซานติอาโก เด คอมโพสเตลา 
หลังจากแวะสักการะซานติอาโก้เรียบร้อย ขากลับก็แวะซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า   

เพื่อไปดูศพลูกชาย ที่ยังห้อย ต่องแต่งอยู่  ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ลูกชายสุดหล่อบอกว่า
ซานโต้ โดมิงโก้ หรือนักบุญ โดมิงโก้ หรือ โดมินิคมาช่วยชีวิตไว้เลยยังไม่ตาย 

พ่อแม่เลยรีบวิ่งไปหาผู้ว่าเมืองซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า  เพื่อบอกข่าว 
ผู้ว่าซึ่งกำลังจะเริ่มกินข้าว หัวเราะเยาะเย้ย ว่า ลูกท่านต้องมีชีวิต
อยู่แน่ๆเหมือนไก่สองตัวที่เรากำลังจะกินอยู่นี่แหละ 
พอพูดจบไก่ที่อยู่ในจานก็กระโดดออกมาร้องรำ ทำเพลงทั้งสองตัว เป็นอันจบนิทาน  เมืองนี้เลยมีคำขวัญว่า

Santo Domingo de la Calzada
donde canto la gallina después de asada

Santo Domingo de la Calzada
where the chicken sings after being roasted

ออกจากโบสถ์ เราเดินเล่นในเมือง ไม่มีใครหิวทั้งสี่คน แม้จะได้เวลากินข้าวแล้ว
เพราะยังอิ่มมื้อกลางวันอยู่   

เทเรสเลยแนะนำว่า เราสมควรไปเดินเล่น ที่จัตุรัสกลางเมือง
หรือที่มีชื่อว่า พลาซ่า เอสปานย่า (Plaza España)   
ไปนั่งทำเก๋ จิบไวน์ กินทะปาสเล่นๆ  (รูป)

เราสั่งไวน์ของร้าน หรือ วีโน่ เด ลา คาซ่า (Vino de la casa)
ราคาย่อมเยากว่า ไวน์ที่มียี่ห้อ   พร้อมลูกมะกอกดอง กับถั่วมากินเล่น 

ระหว่างนั่งก็เหมือนเคย คือปรึกษาหารือ กันถึงวันพรุ่งนี้
ว่าจะตื่นกี่โมง  แล้วเดินไปถึงไหน 

เทเรสกับโฮเซ้ ซึ่งเดินผ่าน เส้นทางนี้กว่าสิบหน บอกว่า ทางพรุ่งนี้ไม่ค่อยน่าเดินนัก
มีแต่ทุ่งต้นข้าวสาลีแห้งๆ เพราะเดิน อีกสองชั่วโมง ก็เข้าแคว้น บัวร์โกส (Burgos) 

ซึ่งแห้งเหี่ยวไร้ชีวาสิ้นดี   แม่ว่าถึงอย่างนั้น เราก็น่าจะเดิน เพราะตอนนี้ร่างกายแข็งแรงมาก
ไม่ต้องกินยาแก้ปวดก่อนนอน ตื่นมาก็ไม่มีอาการเจ็บปวด   รองเท้าก็ใส่สบาย   

คุยไปคุยมาล้วงความรับของ โฮเซ้ออกมาได้ว่า เจ็บเท้า มีตุ่มแผลพุพอง เต็มเท้าทั้งสองข้าง เห็นท่าจะเดินไม่ไหว
เขาเลยเสนอว่า พรุ่งนี้นอนตื่นสาย แล้วจะพาไปเที่ยวเมืองสวยๆ แทนเดิน พอบ่ายแก่ จะขับรถพาไปส่ง ที่เมือง เบโลราโด้ (Belorado) 

โฮเซ้ไม่ต้องโอดกาเหว่านาน   เราตกลงตามใจ พรุ่งนี้เป็นอันว่าได้นอนถึง เก้าโมงเช้า
พอกลับมาห้องนอน แม่ว่า ไม่เดินซักวันก็ดีเหมือนกัน หยุดพักขาและเท้า เราเดินมาแล้ว สิบวัน

ขาดเหลืออีกประมานเกือบเดือนกว่าจะถึงซานติอาโก เด คอมโพสเตลา  มีเวลาเดินอีกเยอะ 
ผมเลยเสนอกับแม่ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป เราสมควรขึ้นรถทุกๆ สิบวันเพื่อให้ร่างกายพักผ่อน
แล้วนอนตื่นสายๆ ให้สมองเบิกบาน  แม่ว่าดี แต่ต้องแล้วแต่สถานการณ์



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 11 เม.ย. 10, 05:26
เรานัดเจอกันที่หน้าโรงแรมตอนสิบโมง  เราค่อยไปหาข้าวเช้ากิน นอกโรงแรม
เหมือนเดิม คือ น้ำส้มคั้น กาแฟใส่นม แล้วก็ขนมเขาควาย 

แม่ว่าไม่มีเมืองไหนในโลกนี้ที่รู้จักประดิดประดอยอาหารเท่าเมืองไทย 
เลือกกินได้ทุกวัน ไม่ต้องซ้ำกันซักวัน  แม่ถึงเบื่อข้าวเช้าฝรั่ง 

กาแฟฝรั่งอร่อยแค่ไหน ก็แพ้กาแฟไทยอยู่ดี  มีปาท่องโก๋จิ้มกาแฟด้วย 
เขาควาย ต่อให้เรียกอย่างหรูว่า ครัวซอง ก็แพ้หลุดลุ่ย

แต่ผมว่า ลางเนื้อชอบลางยา  แม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นไทย
นอกจากชาตินิยม ผมว่าเพราะแม่ไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน

ลองกลับไปอยู่ ขี้ค้านจะมีเรื่องบ่นทุกวัน เมืองไทยในหัวแม่
กับเมืองไทยในปัจจุบันไม่เหมือนกัน

แค่ภาษาไทยที่แม่ใช้ ลูกพี่ ลูกน้องผมที่เมืองไทย 
ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย  แม่ก็ฟังเขาไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

โฮเซ้บอกว่า จะขับรถพาเราไปขึ้นเขา ที่คนแถวนี้เขาไปเล่นสกีกัน
สถานีสกี วาลเดสคาราย (Valdezcaray)  เราไม่เคยเห็นที่เล่นสกีแถวนี้
เลยออกจะตื่นเต้น   

พอไปถึงก็เหมือนยืนอยู่ใกล้ท้องฟ้า   โฮเซ้พยายามชี้ให้เราดู เขาสูงสุดซาน ลอเรนโซ้ (San Lorenzo)
ว่าสูงกว่า สองพันเมตร แต่เขามันเยอะไปหมด ดูไม่รู้ ลูกไหนเป็นลูกไหน   

โฮเซ้ชี้จนเมื่อยนิ้ว เราก็ยังไม่รู้อยู่ดี   ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มีหิมะ ฤดูสกียังมาไม่ถึง
ทุกสิ่ง ทุกอย่างปิดหมด เราเดินเล่นสูดอากาศ ดูวัวเล็มหญ้าสักพักใหญ่ๆ   

ก็ขับรถเข้าเมืองที่อยู่ตีนเขา ที่คนจะพักที่เมืองนี้ ถ้าขึ้นไปเล่นสกีบนวาลเดสคาราย 
เราขับรถผ่านแม่น้ำชื่อว่า โอค่า (Río Oja) เทเรสบอกว่า ไวน์ รีโอค่าที่โด่งดังก็ได้มาจากแม่น้ำนี่เอง

พูดชื่อแม่น้ำ รีโอ โอค่าแบบเร็วๆ ก็ฟังเป็น รีโอค่าได้   โฮเซ้ว่า ไม่จริง   ชื่อไวน์ รีโอค่า
ตั้งตามชื่อ ดินแดนรีโอค่าต่างหาก   เทเรสเลยเถียงขึ้นมาว่า   แล้วไอ้ชื่อดินแดนเอามาจากไหนล่ะ   

อย่างนี้ละครับ คู่นี้เขาชอบลับฝีปากกันบ่อยๆ   ความลับของโฮเซ้กับเทเรสที่อยู่กันมายืดยาวเกือบสามสิบปี
เพราะเถียงกันทุกวัน เข้าทำนอง เถียงกันวันละนิด จิตแจ่มใส 

เราจอดรถติดแม่น้ำ แล้วเข้าไปเดินเล่นในเมือง เอสคาราย (Ezcaray) เป็นเมืองที่สะอาดมาก
เผลออาจนึกว่าเดินเล่นอยู่ในสวิส   แม้กระทั้งดอกไม้ก็จัดเป็นระเบียบตามระเบียงบ้าน 

เป็นระเบียบจนแม่ออกจะกลัว   แม่ว่าแต่งสวยเกินไป ทำให้ขาดความงามไปมาก  (รูปที่สอง)
เราเริ่มด้วยกาแฟ รับแดดที่จัตุรัสกลางเมือง  (รูปที่หนึ่ง)

จากกาแฟเปลี่ยนเป็นไวน์ ตามด้วยแฮมสเปน ต่อด้วยลูกมะกอกดอง 
ผมว่าแม่ชอบกิน หารู้ไม่ว่า โฮเซ้ก็ไม่เบาเหมือนกัน เข้ากันได้กับแม่เป็นปี่ เป็นขลุย
กินไหน กินนั่น ถ้อยที่ถ้อยอาศัยกันเหลือเกิน

โชคดีก่อนที่จะนั่งเพลินมากไป  แซวี่ส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือแม่
บอกว่า เจ็บเท้ามากเดินไม่ไหว ตอนนนี้นั่งอยู่ที่ ซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า 

เราปรึกษากันว่าจะแวะไปรับแซวี่  พานั่งรถไปด้วยกันถึง เบโลราโด้ 
แล้วเทเรสกับโฮเซ้ ก็จะขับรถกลับบ้าน เพราะต้องทำงานวันจันทร์ 

จากนั้นค่อยให้แซวี่คิดเอาเองว่าจะทำอะไร จะเดินต่อ ขึ้นรถเมล์
หรือกลับบ้านที่อิตาลี  หลังจากตกลงกันเรียบร้อย เราก็เดินชมเมืองกันต่อ

ดูถนนเล็ก ถนนน้อยของเมือง หลังจากนั้น ก็ออกเดินทางกลับไป
ซานโต้ โดมิงโก้ เด ลา คาลซาด้า  อีกหน เพื่อไปรับแซวี่

 




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 12 เม.ย. 10, 05:17
ยังไม่ทันหลับ เราก็มาถึง เบโลราโด้   เป็นเมืองที่ไม่สวยอีกเมืองของเส้นทางนี้
เบโลราโด้  มีชื่อด้านเครื่องหนัง เราเดินผ่านร้านต่างๆ ที่ขายเสื้อ กางเกง กระเป๋า
ทำด้วยหนังทั้งสิ้น 

นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก แม่และผมเข้าพักโรงแรมที่ดูสะอาด
ชื่อว่า โรงแรมฮาโคเบโอ้ (Hotel Jacobeo  โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๕๘ ๐๐ ๑๐)

อยู่ริมถนน แต่ไม่ได้อยู่ ในจัตุรัส ใจกลางเมือง หรือพลาซ่า มายอร์ 
พอเอาเป้ไปเก็บที่ห้องเรียบร้อย  ก็ได้เวลากินข้าวพอดี

เราเดินหาร้าน ถึงได้รู้ว่า วันนี้เป็นวันบันเทิงของเมือง  คล้ายๆงานวัดของเมืองไทย 
ร้านปิดหมด มีแต่หนุ่มแปดคนเต้นระบำกระโดดเหยงๆ อยู่ในพลาซ่า มายอร์  (รูปที่หนึ่ง)

ถามคนในเมือง เขาว่ามีร้านเปิดอยู่ร้านเดียว ใกล้ๆ โรงแรมที่เราพัก
แต่อยู่อีกฝังถนน ชื่อร้าน ปีเซียส (Picias)

พอไปถึงเราต้องรอ เพราะคนเยอะมาก  แซวี่ก็มากินกับเราด้วย 
พอได้โต๊ะ หันไปดูคนรอบๆ ตัวเรา เห็นได้อย่างชัดเจนว่า

ทุกคนกำลังกิน เลชาโซ่ อาซาโด้ (lechazo asado) อย่างเอร็ด อร่อย
(รูปที่สอง เอามาจาก  http://www.flickr.com/photos/lumiago/2844490746/)

อาหารจานเด่น และอร่อยมาก ของ แคว้นนี้  (คาสติลย่า อิ เลโอน Castilla y León
โดยเฉพาะในเมืองอารันด้า เด ดวยโร่  Aranda de Duero
เมืองหลวงของเขตไวน์ รีเบร่า เดล ดวยโร่Ribera del Duero)   

แต่ถ้าท่านผู้อ่านรู้ว่าเลชาโซ่ คืออะไร แล้วกรุณาอย่านึกว่าเราเป็นยักษ์ เป็นมารก็แล้วกัน



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 13 เม.ย. 10, 05:33
ถ้าพูดถึงเลชาโซ่ในแคว้นนี้ หรือถ้าไปเมืองอื่น แล้วเรียกว่า
เลชาโซ่ เด คาสติลย่า อิ เลโอน จะหมายถึงลูกแกะ 

ผมหมายถึงลูกแกะจริงๆ  จะต้องอายุไม่เกิน สามสิบห้าวัน ยังไม่หย่านมแม่
(และยังกินแค่นมแม่เท่านั้น) และมีน้ำหนัก ระหว่าง เก้าถึงสิบสองกิโลกรัม

ทางการของคาสติลย่า อิ เลโอน เขาจดทะเบียนไว้อย่างเรียบร้อย
ว่าลูกแกะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง ถึงจะอนุญาติ ให้เรียกว่า
 
เป็น เลชาโซ่เดคาสติลย่า อิ เลโอน (แล้วต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีชื่อว่าอะไรผมก็ลืมแล้วละครับ)
เนื้อจะนุ่มมาก  ไม่มีกลิ่นแกะเหมือนกินแกะแก่ๆของออสเตรเลีย

การทำก็ดูง่ายๆ  แม่ลองทำหลายหน ไม่อร่อยเท่ากับไปกินที่ร้าน 
เขาเอาเข้าเตาอบ แล้วคงจะมีเครื่องเทศผสม สูตรใคร สูตรมัน 

แม่ยังล้วงความลับจากใครไม่ได้ซักคน เลชาโซ่ อาซาโด้
ของแม่เลยออกเป็นรสไทยมากๆ กลิ่นรากผักชีออกตลบอบอวน เต็มครัว

แล้วอย่าไปสั่งสับสน จากเลชาโซ่ เป็น เลชอน (lechón) 
เพราะจะได้ลูกหมูตัวเล็กๆ ที่เอาไว้ไปทำหมูหันแทน 

ย่าผม  พร้อมทั้งครอบครัวสเปนของผมเวลาไปสั่งหมูหัน 
เผลอไปสั่งเป็นเลชาโซ่ ออกบ่อย   ย่าเลยสอน

ว่าถ้าจะสั่งหมูหันแบบไม่ให้สับสนก็ต้องสั่งไปเลยตรงๆ ว่าโคชินีโย่  (cochinillo) 
ส่วนพ่อผมนั้นอธิบายให้ฟังง่ายๆ ว่า คำทั้งสองคำ ทั้ง เลชาโซ่ และเลชอนนั้นมาจาก
คำว่า เลเช้ (leche) ที่แปลว่านม  น่าจะหมายถึงลูกสัตว์เล็กๆ ที่ยังกินนมอยู่ 

แน่นอนครับว่าเราสั่ง เลชาโซ่ อาซาโด้ มากินเป็นมื้อกลางวัน 
แซวี่เป็นคนเดียวที่ไม่กินเพราะเธอไม่กินเนื้อสัตว์ 

โฮเซ้สั่งไวน์ ของคาสติลย่า อิ เลโอนมาชิม
เพราะไหนๆ เราก็ออกจาก รีโอค่า มาแล้ว เปลี่ยนมาจิบไวน์ 
รีเบร่า เดล ดวยโร่(Ribera del Duero)   ยี่ห้อเปสเก-ร่า (Pesquera)
   
อร่อยมาก กินข้าวเสร็จ ก็ได้เวลา ลาจาก   โฮเซ้กับเทเรสลากลับบ้าน   
แซวี่ลาไปเขียนจดหมาย ส่วนแม่และผม ลาไปนอนพักพุง
 
ซักทุ่มกว่า เราออกมาเดินเล่นที่พลาซ่า มายอร์ จะไปดูโบสถ์ มีสองโบสถ์
ผัดกันเปิดบริการ โบสถ์ละหกเดือน ชื่อโบสถ์ซานต้ามาเรีย ส่วนอีกโบสถ์ชื่อซานเปโดร
แต่วันนี้มีงาน โบสถ์ปิด อดดูอีกแล้ว

พลาซ่า มายอร์ ดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนกลางวัน มีดนตรีเล่น มีคนเต้นระบำกันเป็นคู่ๆ
ในใจกลางจัตุรัส แต่มีแต่ผู้สูงวัย ดูแล้วน่าเอ็นดู  มีคนมาออกร้านขายของ

ทั้งของกิน ของเล่น มีเกมส์ยิงปืนแม้นได้หมี แล้วอะไรต่ออะไรสารพัด 
ที่เด่นๆ เป็นของกินคู่ใจของงาน ไปงานวัดเมืองไหนในสเปนต้องมี

อาหารที่อร่อยมาก แต่บั่นทอนสุขภาพเป็นที่สุด  แม้จะรู้ แต่เห็นที่ไหนก็อดกินไม่ได้ 
ครับ ชูร์โรส (Churros)  คล้ายๆ ปาท่องโก๋ แต่หวาน
(รูปได้มาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Chocolate_with_churros.jpg)   

ส่วนผสมมีแป้งสาลี น้ำ น้ำตาล เกลือ เนย   เอาแป้งผสมใส่ไปในแม่พิมพ์
รูปร่างประมาณนิ้วชี้อ้วนๆ ยาวประมาณนี้วชี้ สองนี้วต่อกัน

แล้วบีบลงไปในน้ำมันร้อน (เหมือนทำเส้นขนมจีน)   ถ้าขายตามงานวัด
เขาเอาชูร์โรส ใส่ถุงกระดาษแล้วเทน้ำตาลโรยหน้าให้   เดินกินในงานอร่อยไม่น้อย   

แต่ถ้าชูร์โรสขึ้นภัตตาคารเมื่อใด ก็จะใส่จานสวย โรยน้ำตาล หรือถ้าร้านหรูมากๆ
เขาใช้ น้ำตาล ไอ๊ซิ่ง (icing) เสริพพร้อมช็อกโกแลตร้อนถ้วยโต   
ที่ข้นมากและหวานแสบไส้ ข้นขนาดที่ยกถ้วยดื่มไม่ได้
ต้องใช้ ชูร์โรสจิ้ม หรือใช้ช้อนตัก ต้องเรียกว่ากิน แทนที่จะดื่ม

เราเดินกินชูร์โรส กันคนละถุง  แล้วไปนั่งดื่มนมร้อนคนละแก้ว
เราเดินกับโรงแรมก่อนสามทุ่ม  เพราะทั้งแม่ ทั้งผมเหนื่อยมาก 
ร่างกายเราคงตกใจ ที่วันนี้ไม่ได้ออกแรงเดิน






กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 13 เม.ย. 10, 10:14
อ่า...คุณเทียนทองผ่องใส


     สงสัยนิดหนึ่งค่า.......ถ้าคนเอ่อ...มีปัญหาในการออกเสียง   กว่าจะสั่งอาหารมากินคงเหนื่อยแย่
ตามอ่านแล้วอยากกินจัง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 13 เม.ย. 10, 12:02
อ่า...คุณเทียนทองผ่องใส


     สงสัยนิดหนึ่งค่า.......ถ้าคนเอ่อ...มีปัญหาในการออกเสียง   กว่าจะสั่งอาหารมากินคงเหนื่อยแย่
ตามอ่านแล้วอยากกินจัง



คุณพี่ขา ถ้ามีปัญหาในการออกเสียง หนูให้ยืมวิธีที่ได้กินแน่ๆ เรียกว่าวิธีชี้จิ้ม
หนูใช้บ่อยๆ ตอนอยู่เมืองจีน  ไปโต๊ะไหนก็ชี้จิ้ม ชี้จิ้มไปเรื่อยๆ จนได้กิน
แต่พี่ต้องใจกล้าหน้าด้านเหมือนหนูเท่านั้นแหละค่ะ ๕๕๕


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 14 เม.ย. 10, 05:17
เราตื่นตั้งแต่ไก่โห่ แซวี่มายืนเรียกอยู่หน้าห้อง ทั้งๆที่เรากะกันว่าวันนี้จะตื่นตอนตะวันโด่ง
เพราะเราจะเดินแค่ไปถึงเมืองที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่าเมืองเขาห่าน   

เรียกเป็นภาษาสเปนมีชื่อยาวว่า วิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้า (Villafranca Montes de Oca)   
เดินสบายๆ แค่ สามชั่วโมง (สิบสองกิโลเมตร)   

แม่ออกจะโมโหเพราะกำลังนอนอย่างมีความสุข   
แม่ว่ากำลังฝันว่าไปกินไก่ย่างลิขิตหลังสนามมวยราชดำเนิน
ไก่ย่างมา ได้แค่กลิ่นยังไม่ได้กิน ก็สะดุ้งตื่นพอดี 
 
เราเลยต้องตื่นเพราะมีคนมาปลุก แต่แม่บอกผมว่า
เราต้องเริ่มตีตัวออกห่างจากแซวี่ เพราะเธอเริ่มจะตีสนิทกับเรามากไป 

ให้อภัยยากเพราะทำให้แม่อดกินไก่ย่างลิขิต แม้ว่าจะในฝันก็เถอะ 
ผมก็เออๆ ออๆ ไปกับแม่เพราะไม่อย่างทะเลาะด้วย 

เราลุกจากที่นอนอย่างขี้เกียจมาก ลงไปกินข้าวเช้าของร้านกาแฟ
ในโรงแรมที่มีแซวี่นั่งรออยู่แล้ว  เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า ขนมปังยังอบไม่เสร็จเลย
เขามีแค่โดนัทกับกาแฟให้ น้ำส้มไม่มี เพราะส้มหมดยังไม่ได้ไปซื้อ

เจ็ดโมงครึ่ง เราเริ่มออกเดินทาง ซึ่งผมและแม่ออกจะหนักใจ
เราออกแต่เช้า มันจะทำให้เราถึงเมืองเขาห่าน เร็วเกินไป 

เราจะไปทำอะไร  จะเดินต่อไปอีกเมืองก็ขี้เกียจ เพราะต้องเดินอีกเท่าตัว 
แล้วก็มีเรื่องทำให้เราไม่ถูกใจ แซวี่ขึ้นมาอีกเรื่อง เราเดินไปได้ซัก สิบนาที

เธอก็ว่าเดินไม่ไหวเพราะเจ็บเท้ามาก  แล้วจะให้เราโทรหาแท็กซี่ให้มารับ 
แล้วพูดทำนองข้อร้องแกมบังคับ   ว่าให้เราตามไปด้วยถึงเมืองบูรโกซ  (Burgos)

ซึ่งห่างไปซัก ห้าสิบกว่ากิโลเมตรได้   แม่ผมที่เป็นคนไทยใจดี ขี้เกรงใจ
ระงับอารมณ์ไม่อยู่สติแตก กลายเป็นนางตัวร้ายของนิยายไทยขึ้นมาทันที

ส่งเสียงดังคับถนนว่า ไม่ไป อยากไปก็ไปเอง   แล้วหันมาบอกผมว่า
รีบเดินต่อ ไม่สนใจว่า แซวี่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร   

จนผมออกจะสงสาร พอบอกแม่ แม่ก็ถามกลับว่า ใครเป็นแม่เธอกันแน่   
ผมเลยสงบปาก สงบคำเดินขึ้นเนินตามแม่ไปเรื่อยๆ

เราเดินมาถึงเมืองเล็กๆ โทซานโตส (Tosantos) เห็นหลังคาบ้านอยู่ไม่กี่หลัง
ไม่มีร้านรวงใดๆ ทั้งสิ้น มีนักแสวงบุญหลายๆ คน เราไม่ทักทายมากไปกว่า

คำว่า บวน คัมมิโน้   (Buen camino)   เพราะแม่ยังอารมณ์ไม่ดี
แม้จะเย็นขึ้นมาบ้าง แต่ความโมโหยังเหลืออยู่



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 15 เม.ย. 10, 06:04
คำว่า บวน คัมมิโน้   (Buen camino)   นั้นคงจะแปลอย่างไทยๆ ได้ว่า
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ   

แต่เป็นคำที่จำเพาะเจอะจง ใช้กับ การเดินทาง เอล คัมมิโน้ เด ซานติอาโก้เท่านั้น   
เอาไว้ใช้เวลาเจอนักแสวงบุญคนอื่นในระหว่างทาง   
เวลาจะออกเดินทางตอนเช้า ทางโรงแรมที่เราพักก็จะบอกลาเราด้วยคำนี้

ทางเดินมีทุ่งข้าวสาลีแห้งๆ ให้ดูไปตลอดทาง เป็นเนินเขาโล่งๆ
ไม่มีที่นักพักหลบแดดซักแห่ง  เดินตามทางมาเรื่อยๆ เราเห็น
วิลย่าอัมบีสเตีย (Villambistia) อยู่ไม่ไกลนัก  (รูปที่หนึ่ง) 

มีโบสถ์ใหญ่มหึมา อยู่ก่อนเข้าเมือง (รูปที่สอง) ผมคิดว่า
เมืองนี้ไม่น่าจะมีประชากรเกินห้าสิบคน   

อ่านป้ายถึงรู้ว่า ชื่อ ซาน เอสเตบาน (inglesia de San Esteban)
แต่ไม่มีข้อมูลใดๆทั้งสิ้น   เราอยากเข้าไปชม ก็ไม่มีโอกาศ เพราะปิดเหมือนเคย

แม่ว่าดีทีเรานับถือศาสนาพุทธ ได้ดูโบสถ์หรือไม่ได้ดู ก็ไม่ผิดหวัง เดือดร้อนมากนัก 
เพราะจุดหมายของเราไม่ได้เข้าไปเพื่อไปสวดมนต์ขอพร

เหมือนคนที่เขานับถือ ศาสนาโรมันแคธอลิค ที่อุตส่าห์ทิ้งบ้าน ทิ้งช่องมาเดินเป็นนักแสวงบุญ 
เดินถึงเมืองไหนเมืองนั้น โบสถ์จะปิดอยู่เสมอ ถ้าโชคดีเจอโบสถ์เปิดก็ต้องเสียเงินค่าเขา 

ถ้าไม่เก็บค่าเข้า ก็ต้องหยอดเงินเปิดไฟ  สรุปแล้วต้องใช้เงินตลอด 
ผมว่า น่าจะเรียกเป็นพิพิธภัณฑ์ซะให้รู้แล้ว รู้รอด ไม่ต้องเรียกเป็นโบสถ์

แม่อารมณ์ดีขึ้น ผมเลยอยากรู้ว่า แม่โกรธอะไร แซวี่นักหนา
ถึงกับตวาด จนผมเองยังตกใจ 

แม่ว่าแม่รำคาญคนที่ไม่มี มารยาท เมื่อเช้าที่มาปลุกเราแต่ไก่โห่
โดยที่ไม่ได้นัด  ถ้าอยากจะนัด เธอก็ควรส่งข้อความเข้ามือถือแม่

แล้วนัดกัน  แม่ว่าแม่น่าจะด่าอีโรงแรมด้วย ที่อนุญาติให้ขึ้นไปปลุก
แต่เมื่อเช้าแม่มัวแต่ง่วง เลยลืมด่า

ถึงกระนั้นก็ไม่อยากให้ แซวี่เก้อ เลย เลยตามเลย
ตื่นก็ตื่น ไหนๆก็โดนปลุกแล้ว เดินมาด้วยกัน

เดินได้แค่สิบนาที ก็บอกเราว่า เดินไม่ไหว  แม่ว่าดัดจริต แม่เชื่อว่า
ต้องเจ็บตั้งแต่เดินมาปลุกเราแล้ว  แม่เลยสรุปว่า แซวี่มีแผน

จะให้เราใจอ่อน สงสาร แล้วขึ้นแท็กซี่ ตามไปด้วย ค่าแท็กซี่ก็จะถูกไปครึ่งหนึ่ง
หรืออาจจะไม่ต้องเสียเงินเลย เพราะเราออกให้ 

แม่ว่าลองให้ผมคิดดูว่า เราเจอแซวี่ กี่หน แล้วถามผมว่า
เคยเห็นแซวี่ควักเงินจ่ายอะไรบ้างมั้ย  จริงของแม่ เราเป็นฝ่ายจ่ายเงินเลี้ยงตลอด

เพราะแม่สงสารเห็นว่า มาคนเดียว แล้วมีเงินน้อย เลยอยากช่วยเท่าที่ช่วยได้ 
ข้อนี้เลยอาจทำให้ แซวี่ได้ใจ เลยยึดเอาแม่เป็นธนาคารซะเลย
แม่ว่าต่อไปนี้ ถ้าเจออีกก็ทักไปตามเรื่อง แต่จะไม่ให้เข้าใกล้อีกแล้ว ตัวใคร ตัวมัน
 
แม่ว่าไง ผมก็ว่างั้น เอาเป็นว่า เราตัดหางปล่อยวัด แซวี่
แล้วค่อยดูกันต่อไป แม่ผมก็เป็นแบบนี้แหละ ขี้สงสารคน

จนบางที ลืมไปว่าทุกๆคนที่แม่เจอ ใช่ว่าจะดีเหมือนกันหมด 
แล้วทำไมแม่ต้องไปคิดว่า ฝรั่งเขาจะมีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจคนอื่น
เหมือนคนไทย  เฮ้อ คิดถึงแม่แล้วผมเหนื่อย



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 16 เม.ย. 10, 05:28
เดินผ่านทุ่งข้าวสาลีแห้งกรอบเป็นทุงโล่งๆ สุดลูกหูลูกตา (รูปที่หนึ่ง) 
ตามด้วยทุ่งทานตะวัน (รูปที่สอง) ที่ภาษาสเปนเรียกว่า คีราโซล (Girasol) 

แปลได้ตรงๆ ว่าหันหน้าหาพระอาทิตย์ (girar เป็นคำกริยาแปลว่า หัน แต่ไม่ใช่หมูหันนะครับ)   
แต่ผมเห็นทั้งทุ่งก้มหน้า หนีพระอาทิตย์กันหมด ท่าจะยังเช้าไป เลยยืนหลับกันทั้งทุ่ง 
 
แม่ว่าสงสัย เขาจะเอาไว้ทำน้ำมัน เพราะดูมีเม็ดเยอะ   ถ้าไม่งั้นก็คงเอา ไปทำเป็นของ
ขบเคี้ยวประจำชาติคือ เม็ดทานตะวันแห้ง คล้ายๆเม็ดกวยจี๊ (เม็ดแตงโมง)

วิธีการกินก็เหมือนกันคือใช้ฟันแกะ แต่ใช้ความพยายามในการแกะน้อยกว่าเม็ดกวยจี๊
เพราะเปลือกบางกว่า   ถ้าอยากสบาย เขามีแบบโป้ขาย  เสียแต่ว่า
กินไม่สนุกเพราะมันง่ายเกินไป แค่หยิบเข้าปาก แล้วเคี้ยว  กินบ๊วยเค็มยังสนุกกว่า

เราเดินมาถึงเมือง เอสปีโนซ่า เดล คัมมิโน้ (Espinosa del Camino) ตอนเกือบสิบโมง   
วันนี้เราเดินอย่างช้า  ไม่งั้นจะถึงเมืองเขาห่านเร็วเกินไป  เห็นป้ายขายไอติม   
พอตาเห็น ท้องก็หิวขึ้นมาทันที   แต่อดเพราะร้านยังปิดอยู่ 

เมือง เอสปีโนซ่า เดล คัมมิโน้ดูเหมือน คนออกไปอยู่ที่อื่นกันหมด
เราเห็นบ้านที่เขาปล่อยทิ้งเป็นบ้านร้างอยู่หลายหลัง  ดูแล้วน่าเสียดาย (รูปที่สาม)

แต่ก็มีบ้านพักนักแสวงบุญ  ต่อไปอาจจะมีคนแวะพักมากขึ้น คงเปิดเตรียมต้อนรับปี ซานติอาโก้
หรือที่เรียกกันว่า หรือ อานโย้ ซานโต้ ฮาโคเบโอ้ (Año Santo Jacobeo) ในภาษาสเปน

ปีซานติอาโก้ เป็นปีที่วันซานติอาโก้ (วันนักบุญเจมส์) คือวันที่ ยี่สิบห้ากรกฎาคมตรงกับวันอาทิตย์
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดทุกปี จะเกิดตามปฏิทิน คือ๖-๕-๖-๑๑

หรือตัวอย่างปีซานติอาโก้ที่ผ่านมาและกำลังจะมาคือ ปีคศ ๑๙๙๓-๑๙๙๙-๒๐๐๔-๒๐๑๐-๒๐๒๑   
ปีนี้เป็น อานโย้ ฮาโคเบโอ้ ทางเมืองผ่านต่างๆ เตรียมสร้างบ้านพักนักแสวงบุญ

เพราะเส้นทางนี้ได้กลายมาเป็นธุรกิจมหาสาร ทำเงินเข้าเมืองอย่างงาม 
ว่ากันว่า ถ้าคริสต์ศาสนิกชนได้มา ซานติอาโก้ เด คอมโพสเตล่า
ในปีนี้ เหมือนได้รับเหรียญทองเลยทีเดียว 

แต่ผมไม่รู้ดอกครับว่าต้องไปทำอะไรบ้าง แน่ๆต้องไปสักการะ ซานติอาโก้
ไปฟังมิซซา แล้วไปสารภาพบาป แต่นอกเหนือจากนี้
ไหนๆจะได้เหรียญทองแล้ว ผมว่าต้องมีอะไรให้ทำมากกว่านี้แหงๆ   

ที่ผมรู้แน่ๆ ต้องไปเดินผ่านประตูโบสถ์ซานติอาโก้ ประตูที่เขาเรียกกันว่า
พั่วร์ต้า ซานต้า (Puerta Santa) หรือประตูศักดิ์สิทธิ์   

ซึ่งจะเปิดต้อนรับคนแค่ในปีนี้เท่านั้น ปีอื่นๆ ต้องใช้ประตูอื่น   
คล้ายๆกับประตูศักดิ์สิทธิ์ของเซนต์ปีเตอร์ที่วาติกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเปิดทุกๆ ยี่สิบห้าปี   

เรื่องประตูนี้ต้องมินิทานเล่าอีกแน่ๆ   แต่นักเล่าของเรากลับบ้านไปแล้ว (โฮเซ้)   
แม่สันนิษฐานว่าพระอาทิตย์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ   เดินต่อนะครับ

เราเดินจากเอสปีโนซ่า เดล คัมมิโน้ แล้วตามลูกศรบอกทางไปสบายๆ 
เนินที่ต้องเดินขึ้นก็ไม่ชันมากนัก  เราเดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง นั่งแวะกินน้ำบ้าง

กินกล้วยบ้าง เดินช้าๆทำเวลา เพราะไม่อยากถึงที่พักเร็วเกินไป 
เมืองเล็กๆ ไม่มีอะไรให้เราทำมากนัก นอกจากกิน แล้วนอน 

โบสถ์ก็ดูไม่ได้ เพราะปิดแน่ๆ  อาจเปิดตอนมีมิซซา
แต่แม่ว่าเกรงใจชาวบ้าน  จะให้แม่ไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อฟังมิซซาร่วมกับชาวบ้านก็เห็นจะไม่สู้ 



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 17 เม.ย. 10, 05:45
แม้เดินช้าขนาดไหนเราก็มาถึงวิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้าก่อนบ่ายจนได้ 
ทั้งเมืองมีที่พักอยู่สี่แห่ง เป็นบ้านพักนักแสวงบุญอยู่หนึ่งแห่ง นอกนั้นเป็นโรงแรม

เราเดินดูทั้งหมด แล้วตกลงใจที่ ลา อัลป้าร์กาเตเลีย
(La Apargatería โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๕๘ ๒๐ ๒๙)   

เหตุผลง่ายๆ ที่เลือก ลาอัลป้าร์กาเตเลีย   เพราะราคาถูก   
แล้วมีห้องน้ำอยู่ในห้องนอน   เขามีครัว   มีเครื่องซักผ้าให้ใช้   

เจ้าของเป็นสาวสเปนที่น่ารักมาก  (รูปที่หนึ่ง  ทางเดินมีลูกศรบอก)
หลังจากทำภาระต่างๆ เสร็จ เราไปเดินชมเมือง

เป็นเมืองที่มีถนนระหว่างเมืองตัดผ่ากลางเมือง เลยดูไม่ค่อยเป็นเมืองเท่าไหร่ 
มีแต่รถบรรทุกขับผ่านเมือง เสียงดังยังกับฟ้าผ่า   

เราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จนเจอโบสถ์ประจำเมือง เงียบสงบ
ไม่เห็นชาวบ้าน ชาวเมืองซักคน (รูปที่สอง)

เดินกลับไปนั่งเล่น รับแดดหน้าโรงแรมซึ่งเขามีม้านั่งว่างไว้ให้
น่าเสียดายที่เสียงดังจากรถบรรทุกบั่นทอน ความสงบของเราไปเยอะ 

นั่งได้ไม่นาน อัลบ้ากับอัลฟองโซ่ก็เดินมาถึง 
เราไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้านึกว่าจะเจอกันอีกทีที่บัวร์โกส

แม่เลยเชิญทั้งคู่พักด้วยกันที่ลา อัลป้าร์กาเตเลีย
(ที่แม่มารู้ที่หลังว่าแปลว่าร้านขายรองเท้าแตะ) 

เขาตกลงเพราะท่าทางเหนื่อยมากทั้งคู่
เรานั่งรอทั้งสองอาบน้ำ  แล้วออกไปกินข้าวกลางวัน

เราเดินหาร้าน ร้านแรกเต็มหมด  ท่าทางจะไม่มีใครลุกง่ายๆ 
มีคนแนะนำไปอีกร้าน  ท่าทางไม่น่าจะอร่อย เพราะไม่มีคนซักคน

นอกจากเรา  พนักงานรีบเข้ามารายงานว่า วันนี้มีปาเอลย่า (Paella) 
อย่างเดียว   แม่ซึ่งอยากกินข้าวมาก รีบตกลงทันที อร่อยไม่อร่อยค่อยว่ากันทีหลัง



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 18 เม.ย. 10, 06:11
ปาเอลย่าเป็นอาหารเชิดหน้าชูตาชาติอีกอย่างหนึ่งของสเปน   
(ที่คนต่างชาติหลายๆคนชอบเรียกว่า ปาเอลล่า
แต่เราคนไทยฉลาดกว่าเรียกแล้วกลัวผิด เลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เรียกกันว่าข้าวผัดสเปน)   

เป็นอาหารที่ทำได้ตามใจฉันเหมือนไข่เจียวสเปน   แต่ที่เด่นๆที่มีขายในภัตตาคาร   
มีอยู่สองชนิด   ปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า (Paella Valenciana)
และ ปาเอลย่า เด มารีสโก้   (Paella de marisco)

ปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า จะใส่ผัก และเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ กระต่าย
หรืออย่างอื่นที่มีอยู่ในครัว บางทีก็มีใส้กรอก โชริโซ่ใส่มาด้วย 

ส่วนปาเอลย่า เดมารีสโก้  นั้นใส่แต่อาหารทะเล ตามชื่อบอกไว้ 
(มารีสโก้แปลว่าอาหารทะเล) 

ครอบครัวคาทาลาน ผมกินกันแต่ปาเอลย่าอาหารทะเล เลยทำให้แม่ผมก็กินแต่แบบนี้ 
นอกเหนือจากนี้เขาก็มี แตกแยกสาขาไปเป็น ปาเอลย่าแบบไว้ทุกข์

หรือเรียกกันง่ายๆตรงตัวว่าข้าวดำ (Arroz negro ในภาษาสเปน
หรือ Arròs negre ในภาษาคาทาลาน)

ที่ข้าวมันดำเพราะใช้ปลาหมึก ซึ่งเป็นตัวประกอบสำคัญของปาเอลย่าแบบไว้ทุกข์
พอๆกับข้าวเลยทีเดียว   แล้วก็มีปาเอลย่าแบบยาจก   

มีปาเอลย่าไม่ใส่ข้าวแต่ใส่เส้น   แล้วก็อีกหลายๆอย่างที่ผมเห็นจะต้องเก็บไปอธิบายในวันหน้า
เพราะวันนี้ผมออกจะเหวง ("เหวง" จึงกลายเป็นศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ของใครหลายคนใน
โลกไซเบอร์ หมายถึง "พูดจาไม่รู้เรื่อง พูดจาวกไปวนมา หรือพูดจาออกนอกเรื่องออกทะเล"
จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269930073&grpid=01&catid=)
มากไปแล้ว

เราสั่งไวน์ เฟาส์ติโน่ หรือเรียกเต็มยศว่า เฟาส์ติโน่ ที่หนึ่ง กรานเรเซร์ว่า (Faustino I Gran Reserva)
ของรีโอค่า มากินกับปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า ที่เขามีวันนี้ แม่ว่า ไวน์ไม่อร่อยนัก แต่ก็กินได้ 
 
อัลฟองโซ่บอกว่า เราอาจสั่งไม่ถูก เพราะ ยี่ห้อนี้มีหลายเบอร์   มีเฟาส์ติโน่ที่ไม่มีเบอร์
และ เบอร์ห้า กับเบอร์เจ็ด   เราต้องค่อยลองชิมไปเรื่อยๆ

พอกินเสร็จก็ตามเคย ต้องไปนอนพักพุง แล้วนัดเจอกันตอนเย็นๆอีกที 
เรานัดเจอกันเพื่อไปหาซื้ออาหารเย็นมากินด้วยกันที่โรงแรมที่พักเพราะเขามีครัวให้ด้วย

แถมอัลบ้าคุยให้เราฟังบ่อยๆ ถึงความเก่งด้านทำอาหารของอัลฟองโซ่
ขากลับโรงแรมเราเดินผ่านหน้าโบสถ์ประจำเมือง
เห็นคุณป้าหลายๆคนเล่นเกมส์ที่แม้คนสเปนอย่างอัลบ้าและอัลฟองโซ่ก็ไม่เคยเห็น 

แม่เข้าไปถาม ป้าๆก็บอกว่าไม่มีเวลาอธิบายต้องรีบเล่นให้เสร็จ 
แค่อัลฟองโซ่แอบไปจับลูกโยนลองดูน้ำหนัก

ป้าใจดำกว่าอีกาทั้งหลายก็ตะโกนด่าว่าซะดังลั่น จนบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันคือเกมส์อะไร 
ดูเหมือนเล่นโบว์ลิ่ง แต่ไม่ใช่  เพราะมีวิธีการโยนทั้งสองฝั่ง
ผัดกันโยน สลับกันไป (รูปที่หนึ่งและสอง)

องค์ประกอบการเล่นเป็นไม้ทั้งหมด ท่าจะเล่นกันมานานแล้ว
ถ้าเป็นเกมส์ที่คิดกันขึ้นมาใหม่น่าจะทำด้วยพลาสติกทั้งหมด 

เห็นท่าโยนลูก และคำบอกของอัลฟองโซ่ (ที่แอบจับ) น่าจะหนักพอสมควร 
เรายืนดู พร้อมขโมยถ่ายรูปคุณป้าอีกาทั้งหลายก่อนเดินกลับที่พัก

โดยความอยากรู้มาก แต่ก็ไม่รู้  ท่านผู้อ่านดูภาพเอาเองนะครับ 
เกมส์นี้แม่และผมจนปัญญาจริงๆ

กลับมาถึงที่พักทั้งแม่และอัลบ้านั่งคุยกันอย่างเมามัน
ส่วนอัลฟองโซ่มีผมเป็นลูกมือในครัว ไม่ทำอะไรมากมาย

แค่สลัดผักรวม  แต่มีไวน์อยู่สองขวด ซึ่งผมก็จำชื่อไม่ได้แล้ว
แม่ว่าน่าจะจำไว้จะได้ไม่ซื้ออีก ถึงกระนั้นผมก็ไม่เห็นเหลือซักหยด 
วันนี้เรานอนเร็ว ยังไม่ห้าทุ่มเลย เงียบสงบทั้งโรงแรม


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 19 เม.ย. 10, 05:06
เรานัดกินข้าวเช้ากับคุณสองอัล (อัลบ้าและอัลฟองโซ่) ตอนหกโมงเช้า 
จะได้เริ่มเดินตอนหกโมงครึ่ง  วันนี้เราจะเดินแค่สิบแปดกิโลเมตร

แต่ต้องออกแต่เช้า เพราะมีเขาเยอะ ถ้าออกสายจะร้อนมาก   
ช่วงปีนเขาจะอยู่เจ็ดกิโลเมตรแรกที่เราเดิน

ถ้ารีบเดินซะตอนเช้าจะได้หนีแดด ข้ามเขาหมดตอนแปดโมงกว่า 
เก้าโมง สิบโมงก็น่าจะถึงเมือง ซานฮวน เดโอร์เตก้า (San Juan de Ortega)

พอเราลงมาข้างล่าง อัลฟองโซ่ก็เตรียมข้าวเช้าไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว   
มิน่าอัลบ้าเธอถึงรักของเธอมาก นอกเหนือไปจากขนมปัง กาแฟ และน้ำส้ม

ยังมีไข่ต้มสามนาทีให้เราอีกคนละฟอง ผมก็ออกจะชอบอัลฟองโซ่มาก
เพราะบ้ากีฬาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่นั่งดูอย่างเดียวเหมือนคนทั้วๆไป แต่เล่นด้วย   

ส่วนแม่นั้นนิยมทั้งคู่มาก บอกว่านิสัยดี ไม่เห็นแก่ตัว   
ไม่จุกจิกกวนใจคนขี้รำคาญอย่างแม่   เจอก็เดินด้วย
ไม่เจอเมืองนี้ก็ไปเจอกันเมืองหน้า   
ที่สำคัญที่สุดเขาไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเรา

พอออกเดินจาก วิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้า
(Villafranca Montes de Oca)   ทางก็เริ่มเป็นเนินเลยทันที   

เมื่อวานว่าเนินแล้ว วันนี้มากกว่า เมืองวิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้า
อยู่ สูงกว่าระดับน้ำทะเล เก้าร้อยห้าสิบเมตรจุดสูงสุดของวันนี้

เรียกว่า ลา เพ-ดราค่า (La Pedraja) สูงประมาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร
จริงๆแล้วแตกต่างแค่ สองร้อยเมตร ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม มันเหมือนสูงนัก   

เดินกันลิ้นห้อยกว่าจะถึง ลา เพ-ดราค่า   ระหว่างเดินผมสังเกตว่ามีกังหันลมเยอะมาก
พอเริ่มเดินเห็นดูเล็กๆ   ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ มันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

เราใกล้มากเหมือนกับจะจับได้ ทำให้นึกถึงนิทาน
(ผมเรียกว่านิทานเพราะแม่อ่านฉบับสำหรับเด็ก

พอโตถึงรู้ว่าเป็นหนังสือหนึ่งในหลายๆเล่มที่สมควรอ่าน
แต่ก็ไม่อ่านดอกครับเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง)

ก่อนนอนตอนผมเด็กๆ ที่แม่ชอบอ่านให้ฟัง (แต่ย่าเล่าปากเปล่า)
เรื่อง ดอน กีโฮเต้ (Don Quixote) ของนักเขียนชื่อดังของสเปน

มิเกล เด แซร์วานเต้ส (Miguel de Cervantes)   
โดยเฉพาะตอนที่ดอนกีโฮเต้ สู้กับกังหันลม 
 
ถ้ามาเห็นกังหันลมที่เรากำลังมองกันอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด   
กังหันลมสมัยนี้ไม่เหมือนสมัย ดอน กีโฮเต้ ผมดูใกล้ๆแล้ว ใหญ่อย่างกับเรือบิน

เราเดินผ่านเขามาถึงลา เพ-ดราค่า เขาไม่มีเขียนบอก
แต่เราเดาเอาว่าถึงแน่ๆ เพราะจากนั้นก็เห็นแต่ทางลง 

มีต้นสนเต็มสองข้างทาง หลังจากดูทุ่งข้าวสาลีแห้งๆ มาเจอต้นสนเขียวๆ
ดูชวนให้มีความสุข  ยิ่งได้เดินทางตรงๆ ไม่เหนื่อยมาก

ทำให้เรามีเวลาสูดอากาศ  อัลฟองโซ่บอกว่าสูดดีๆ จะได้กลิ่นต้นสน
แม่ว่าหลับตาเดินอาจคิดว่ากำลังเดินเล่นช่วงคริสต์มาสในออสเตรเลีย
เพราะร้อนมาก จะดัดจริตคิดว่าเป็นคริสต์มาสในยุโรปเห็นจะยาก

รูปที่หนึ่ง  เส้นทางขึ้นๆลงๆ (ขึ้นมากกว่าลง) ของวันนี้
รูปที่สองและสาม  กังหันลม



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 20 เม.ย. 10, 05:13
ก่อนสิบโมงเราก็เดินมาถึงซานฮวน เดโอร์เตก้า ทั้งเมือง
มีโบสถ์ แล้วร้านกาแฟ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดของวัน

คือโบสถ์เปิดรอเราเข้าชม โดยไม่ต้องเสียเงินค่าเข้า
แถมเป็นโบสถ์ (ในสายตาแม่และผม) ที่สวยมากไม่มีทองให้ดูตาลายเหมือนหลายๆโบสถ์ที่เห็นมา

โบสถ์ซานฮวน เดโอร์เตก้าเชื่อกันว่า นักบุญฮวนของโอร์เตก้า
(หรือนักบุญจอห์นในภาษาอังกฤษ) เป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
เอาใว้ช่วยเหลือนักแสวงบุญระหว่างเดินทางไปซานติอาโก้   

มีศพของนักบุญฮวนใว้ให้เคารพบูชา  แต่สิ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่ว
ที่คนต้องผ่านแวะมาดู คือเสาในโบสถ์นี้  เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 

เขาเรียกกันว่าเสาป่าวประกาศ (ผมเรียกเองเพราะไม่รู้จะให้เรียกว่าอะไร) 
บนเสามีการแกะสลักเป็นเรื่องๆ เรื่องแรก

เป็นเรื่องของนักบุญกาเบรียลประกาศให้พระนางแมรี่รู้ว่าจะเป็นแม่คน
(ทั้งๆที่เป็นสาวพรรมจารี) มีลูกเป็นพระเยซู 

เรื่องที่สองเป็นเรื่องที่พระนางแมรี่ไปเยี่ยมญาติ คือนักบุญอิซาเบล
จะเห็นทั้งสองกอดกัน และเห็นมือนักบุญอิซาเบลยื่นไปลูบท้องของพระนางแมรี่ 

ข้างหลังจะเห็นคนรับใช้ (สมัยนั้นคงคือทาส)  ตรงกลางเสาจะเห็นพระนางแมรี่ในท่านอน โดยมี
หมอตำแยสองคนคอยช่วยเหลือ เห็นพระเยซูนอนในอู่ 

มีนักบุญโฮเซ่ (หรือโจเซฟ) นั่งหลับ มีนางฟ้ามาเข้าฝันอธิบายถึงการกำเนิดของพระเยซู
เรื่องสุดท้ายจบลงที่การป่าวประกาศของนางฟ้าถึงการกำเนิดของพระเยซูให้บรรดาบาทหลวงฟัง

ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือสองวันต่อปี คือวันที่  ๒๑ มีนาคม (วสันตวิษุวัต vernal equinox)
ตอนหกโมงเย็น และวันที่ ๒๒ กันยายน ตอนหนึ่งทุ่ม (ศารทวิษุวัต autumnal equinox)

จะเห็นแสงแดดเริ่มส่องตรงรูปแกะสลัก ตอนที่นักบุญกาเบรียลประกาศ
ให้พระนางแมรี่รู้ว่าจะเป็นแม่คน และแสงแดดจบลงตอนกำเนิดของพระเยซู             
ข้อมูลนี้แม่ได้มาจาก http://www.sanjuandeortega.es/Monasterio/La%20Iglesia.htm

ซึ่งแม่แอบอ่านก่อนจะไปถึงโบสถ์  (จะได้เอาไว้อวดฉลาดกับลูก) พอไปถึงก็มีสิ่งประหลาดกว่าเสา
คือป้ายประกาศของโบสถ์ เขาบอกว่าแสงแดดมหัศจรรย์ไม่ได้มีแค่สองวันต่อปี

แต่มีหลายๆวัน ก่อนและหลัง วันวิษุวัต (equinox) เริ่มตอนห้าโมงเย็นห้านาที
ซึ่งทางโบสถ์เจอะจงวัน ว่าเป็นวันที่ ๒๐ มีนาคม และ ๒๒ กันยายน

แต่ไม่ระบุว่ากี่วันก่อนและหลังของสองวันนี้   ที่น่าสนใจมากๆ
ทางโบสถ์บอกไว้ด้วยว่า ค้นพบแสงแดดมหัศจรรย์ในปี คศ ๑๙๗๔

น่าเสียดายที่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนค้นพบ ถ้าเป็นนางฟ้ามาบอกคนเมืองนี้ 
โดยใช้วิธีมาเข้าฝัน แม่ว่าน่าจะสนุกกว่านี้

แม่อธิบายได้แค่เรื่องเดียว คือวันวสันตวิษุวัตและวันศารทวิษุวัต
เพราะสองวันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละปี บางปีก็วันที่ ๒๑ มีนาคม

แต่ส่วนมากจะตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม  ส่วนวันศารทวิษุวัตนั้น
ผัดวันกันสองปีหน ระหว่างวันที่ ๒๒ และ ๒๓ กันยายน นอกนั้นเราไม่รู้อะไรเลย

ส่วนเรื่องแสงแดดนั้นเราก็ไม่เคยเห็นของจริง วันนี้ไม่ได้ตรงกับวันใดๆ ที่กล่าวถึง 
ผมเลยไปหามาให้ดู จับต้องไม่ได้เหมือนของจริง แต่ก็ดูได้  นี่ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=9ybauIlicPg&feature=related


 


รูปที่หนึ่ง  ทางเดินล้อมด้วยต้นสน
รูปที่สอง  โบสถ์ซานฮวน เดโอร์เตก้า
รูปที่สาม  ร่างไร้วิญญาณของซานฮวน เดโอร์เตก้า
รูปที่สี่     ป้ายประกาศในโบสถ์


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 เม.ย. 10, 14:40
        เดินทางผ่านเมืองเก่าๆ มีเรื่องเล่า ประวัติตำนาน บรรยากาศก็ออกจะวังเวง
ไม่ทราบว่า ตอนกลางคืน "ผม" เคยเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบ้างไหม 


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 20 เม.ย. 10, 15:55
        เดินทางผ่านเมืองเก่าๆ มีเรื่องเล่า ประวัติตำนาน บรรยากาศก็ออกจะวังเวง
ไม่ทราบว่า ตอนกลางคืน "ผม" เคยเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบ้างไหม 

อย่าถามค่ะอย่าถาม เพราะเป็นคนกลัวผีมาก โดยเฉพาะตอนกลับเมืองไทย เพราะถือว่ากลับบ้าน
แล้ว พูดกันรู้เรื่อง นอนที่ไหนต้องเปิดไฟสว่างตลอด  เที่ยวที่อื่น พอถึงโรงแรมก็มีการสวดมนต์
แผ่เมตราก่อน ฝากเนื้อฝากตัว โชคดีที่บาปหนาเลยยังไม่เคยเจอ

ส่วน "ผม" ตัวจริงอาจเจอแต่ไม่รู้เรื่อง ตอนเด็กๆชอบเล่นคนเดียว หัวเราะคนเดียว ถามว่า
หัวเราะอะไร ก็ (ยังพูดไม่ได้) ชี้ให้ดู หันดูตามก็ไม่เห็นอะไร ตั้งแต่นั้นก็เลยเลิกถาม
แต่กรวดนํ้าแผ่เมตราให้ ถือว่ามาช่วยเลี้ยงลูก (คล้ายนิยายใหม่ของ "แก้วเก้า" เลย)

เคยนึกว่าความกลัวผีจะหายไปเมื่อแก่ เปล่าเลย ยังกลัวมาก


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 21 เม.ย. 10, 05:20
ถึงกระนั้นเราไปยืนแหงนคอมองเสาจนคอเคล็ดด้วยความตื่นเต้น
ที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่แม่อ่านมา  แต่ขอโทษที ดูไม่รู้เรื่อง แม่ว่ามืดไปหน่อย

เลยดูไม่ออกว่า ใครเป็นใคร อัลฟองหาไฟฉายมาให้ แต่ส่องไม่ถึงเพราะสูงเกินไป
เลยไม่ดงไม่ดูแล้ว ไปหากาแฟกินดีกว่า

ออกจากโบสถ์ก็เจอร้านกาแฟ ร้านเดียวของเมือง คนเยอะมากเหมือนปรกติทุกๆวัน
เหมือนกับนัดกันล่วงหน้าว่าต้องมากินกาแฟกันวันนี้ ที่นี่ แม่ยกหน้าที่ให้อัลฟองโซ่ไปสั่ง

เพราะจับได้ว่าเป็นคนช่างกินเหมือนกัน เขาสั่งแซนวิชเนยแข็ง ไข่เจียวฝรั่งเศส แล้วก็แฮมสเปน
ดีที่สั่งแค่สามอัน แซนวิชร้านนี้อันเท่าขนมปังหนึ่งอัน ความยาวเทียบได้

จากนิ้วกลางแล้วเลยศอกไปอีกซักหนึ่งมือ  เราบ่นพร้อมๆกันถึงความยิ่งใหญ่ของแซนวิช
แต่ก็หมดเกลี้ยง พร้อมกาแฟสี่ถ้วย และโค้กอีกสี่กระป๋อง

เราออกจาก ซานฮวน เดโอร์เตก้า ตอนสิบเอ็ดโมงกว่า เพราะเดินอีกแค่
เจ็ดกิโลเมตรก็ถึง เลยไม่ต้องรีบร้อนมาก 

ออกมาจากซานฮวน เดโอร์เตก้าไม่นานก็เห็น อาเคซ (Agés) อยู่ลิบๆ   
พอเดินไปถึงเขามีม้านั่งร่มรื่นใจกลางเมืองให้แวะนั่งเล่น   

มีป้ายบอกให้รู้ว่าเดินอีกแค่ ๕๑๘ กิโลเมตรก็ถึง ซานติอาโก้
ผมเห็นแล้วออกจะเหนื่อย พอบอกแม่ แม่ก็ว่าให้ลองคิดซิ

ว่าเราเดินมาตั้งกว่าสองร้อยกิโลเมตร แข้งขาก็ยังอยู่ครบ ไม่บุบสลาย   
ห้าร้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา อีกแค่ยี่สิบกว่าวันเอง ผมฟังแม่พูดเหมือนฟังนิทานเลยเลิกฟัง

เราถึงเมือง อาตาปัวร์ก้า (Atapuerca) ตอนบ่ายโมงกว่า
เราได้ห้องพักที่ ลาคาซ่า เดล เพเรกรีโน่ (La Casa del Peregrino โทร ๐๐๓๔ ๖๖๑ ๕๘ ๐๘ ๘๒)   

เป็นบ้านพักนักแสวงบุญของเอกชน มีห้องแบบนอนห้องละแปดคน หกคน สี่คน และสองคน   
แล้วแต่จะกำลังเงินและความชอบ   เราอยู่ห้องคู่มีห้องน้ำให้ในห้องนอน   

ห้องเล็กๆ แต่ก็อยู่ได้สบายๆ   มีครัวให้ คล้ายๆ บ้านพักนักแสวงบุญของรัฐบาล
แพงกว่า   แต่ก็สะดวกสบายมากกว่า   แม่ว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้แต่ก็ให้ความสะดวกสบาย
อย่างในกรณีนี้เป็นต้น

รูปที่หนึ่ง  เมืองอาเคซมองไกลๆ
รูปที่สอง  ใจกลางเมืองอาเคซ
รูปที่สาม  บ้านในฝัน



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 21 เม.ย. 10, 06:33
แฮมเสปนนี่ดีอย่างไรคะ   รมด้วยไม้หอมรึ  หรือรมแล้วมันหอมเอง 

หรือดิฉันอ่านตกไป

เลี้ยงด้วยนัทรึ   ปล่อยให้วิ่งในคอก(ที่คงไม่กว้างนัก)รึอย่างไร

แช่น้ำเกลือไว้แล้วเอาไปแแขวนตากลมเย็นหรือ




ตามอ่านมาด้วยจิตใจหวาดหวั่น  คนอะไร  เดินกันเป็นวัน ๆ

ถ้าเกิดเร็วกว่านี้จะเสนอชื่อให้เดินตามท่านผู้นำ

มีเพลงโบราณว่าไว้ว่า

                ท่านผู้นำไปทางไหน            ฉันจะตามไปด้วย
                ค้ำชู ชูช่วย  ท่านผู้นำชาติไทย
               
ท่านคงเดินไม่ค่อยไหวเนอะ


เรื่องกินแซนวิชอันโตนั้น  พอจะชื่นใจบ้าง
(เราเรียก เรือดำน้ำ ใส่ไข่ต้มแข็ง  ไก่  แฮม เนื้อเย็น  ผักกาดหอม  มะเขือเทศ)



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 21 เม.ย. 10, 08:49
ถ้าจะเขียนถึงแฮมสเปน ต้องเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ เพราะเป็นอาหารที่เรื่องเยอะมาก
แม้จะกินก็ยังเรื่องมาก คนสเปนเขาภูมิใจของเขามาก

ดิฉันแบ่งให้ง่ายๆ เท่าที่คนสมองเล็กแต่กะเพาะโตจะจำได้

ฮามอน อิแบริโก้ Jamon iberico ทำมาจากหมูที่มีตีนดำ ผสมพันธ์อื่นได้ แต่
เขามีกำหนดด้วยว่าต้องก๊่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเรียกใช้ชื่นี้ได้

ใน ฮามอน อิแบริโก้ ก็แบ่งแยกออกมาอีกว่า หมูที่เลี้ยงนั้นกินอะไร เป็นอาหาร
มีความสุขแค่ไหน ก่อนที่จะถูกฆ่าตายมาเป็นอาหาร

ที่ดีๆ มาเป็นฮามอนอร่อยๆ ต้องเดินเล่นสบายๆ บนพื้นที่กว้างขวาง บนเขา
ที่เต็มไปด้วยต้นโอ๊ก แล้วกินลูกเอคอร์น (acorn ผลไม้ของต้นโอ๊ก) เป็นอาหาร

ที่อร่อยน้อยลงมา ก็เป็นหมูที่โตมาในครอก ไม่รู้เล็กใหญ่แค่ไหน ไม่เคยไปดู
แล้วเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด

ส่วนอีกอันเรียกกันว่า ฮามอน แซร์ราโน่ Jamon serrano ทำมาจากหมูตีนขาว

ราคาฮามอนนั้นขึ้นอยู่กับ หมูพันธ์ใด กินอะไร เลี้ยงที่ไหน ส่วนไหนของหมู
และวิธีทำแฮม

เขาเล่าว่าเอาหมูสดมาโปะด้วยเกลือประมาณสองอาทิตย์ ล้างออก แล้วตากแห้งอีก
หนึ่งเดือน หรือสามปี

ที่แพงสุดๆ เห็นจะเป็น jamon iberico de bellota

คนเขียนชอบยี่ห้อ Joselito นานๆ กินทีเพราะกินแล้วไม่กล้าไปขี้ เสียดายเงิน
ต้องเก็บไว้ในตัวให้คุ้ม

ที่ บาร์เซโลน่า เขามีขนมปังประจำแคว้น คาทาลุนย่า ปาน โคน โตมาเต้ pan con tomate
เอา ฮามอน วางข้างบน เป็นแซนวิชแบบเปิดหน้าเปิดตา ตามด้วยไวน์แดงซักขวด กินแล้ว
หัวใจวายตายเพราะสุขเกินไปก็ยอม

รูปจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Pan_con_Tumaca.jpg
รูปจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Jamones_pata_negra_2.jpg


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 22 เม.ย. 10, 05:10
มีร้านอาหารอยู่ตรงข้าม ตั้งชื่อตามความดังของเมืองว่า
โฮโมแซเปี๊ยน หรือ โคโมแซเปี๊ยน (Homoserpiens หรือ Comoserpiens)
ผมออกจะเลือนๆไปบ้าง   

เมืองอาตาปัวร์ก้าดังเพราะ ภายในภูเขาใกล้ๆเมืองมีการขุดพบเจอกระดูกหลายพันชิ้นเก่าแก่
ว่ากันว่ามากกว่าสามแสนปี   รอบๆเมืองเลยเป็นแหล่งขุดโบราณคดี มีหลายหลุมหลายบ่อ
ขุดกันมาหลายสิบปีแล้ว   

แม่ว่าน่าไปดูแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะต้องเหมารถพร้อมไกด์ให้พาไป นอกจากแพงมาก
รู้สึกว่าลำบากเกินไป ต้องเดินกลางแดดดูกระดูก ผมเลยคิดว่าเราต้องขับรถมาดูเองงวดหน้า
เป็นทัศนศึกษาแยกต่างหากจากงวดนี้

ร้านโฮโมแซเปี๊ยน หรือ โคโมแซเปี๊ยน มีอาหารเหลือแค่สลัดเป็นอาหารจานแรก
ตามด้วยไก่ย่าง มันฝรั่งทอด พร้อมด้วยไวน์ประจำร้านไม่มียี่ห้อ  จิบแล้วก็กินได้

เราไม่ได้นั่งประดิดประดอยกินข้าวนานนัก เพราะต่างคนต่างง่วงนอนมาก
แยกย้ายกันไปนอนพักพุง  แล้วนัดเจอกันเย็นๆ

แม่ปล่อยผมนอนคนเดียว เพราะนอนไม่หลับ ดีที่เขามีไวไฟ ให้ใช้
เลยไปแอบอ่านข้อมูลไว้มาอวดฉลาดกับลูกชายสุดที่รักของแม่ 

พรุ่งนี้เราจะถึงเมืองใหญ่ บัวร์โกส (Burgos) ซึ่งน่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจที่แม่ไม่รู้   
นั่งเล่นๆ ก็มีคนมาคุยด้วย เป็นหนุ่มน้อยมาจากโรม  ที่น่าแปลกใจมากๆ อันเดรอา (Andrea)

พูดภาษาอื่นๆ ไม่ได้เลยนอกจากภาษาอิตาเลี่ยน   แม่ว่าเด็กรุ่นนี้
(อันเดรอา น่าจะมีอายุประมาณ ๒๒-๒๓ ปี) น่าจะพูดภาษาอังกฤษได้อย่างน้อย

แม่ใช้ภาษาอิตาเลี่ยนผสมลาติน (ที่เคยเรียนมาเมื่อห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว) พูดกับอันเดรอา
เห็นหัวเราะกันสนุกสนาน ท่าจะเข้าใจกันดี อันเดรอากำลังเรียนสถาปัตยกรรมอยู่ที่โรม

พ่อมีร้านอาหารออกจากโรมไปซัก หกสิบกิโลเมตร คุยกันเรื่องกิน
แม่เลยให้เขาทำข้าวเย็นให้เรากิน อันเดรอาก็ตกลงจะโชว์ฝีมือทำสปาเก็ตตี้ให้เรากินคืนนี้ ทำซ้อสแบบตามมีตามเกิด

นั่งไปซักคุยกันไปซักครู่ ก็มีหนุ่มน้อยมานั่งด้วยอีกคน นิโก้ (Nico) มาจากปารีส
คนนี้พูดภาษาสเปน   คนอื่นเห็นเรานั่งคุยกันออกรสชาติเลยมานั่งด้วย

มีแม่และลูกชาย จากเมืองโลโกรโย่ (Logroño) ชื่ออันนาและโฮร์เข้ (Ana และ  Jorge) 
จากนั้นก็มีอัลบ้า อัลฟองโซ่ พร้อมผมมานั่งร่วม

ทุกคนขอเข้าร่วมวงชิมสปาเก็ตตี้  หลังจากลงขันกันคนละนิดละหน่อย
แม่ก็จูงมืออันเดรอาไปหาซื้อเครื่องปรุงทั้งหลายแหล่ 

เราได้สปาเก็ตตี้ แห้งมากิโลครึ่ง กระเทียมสด ใส้กรอกโชริโซ่
มะเขือเทศสด ผักสลัด และไวน์แดง

เราแบ่งแยกหน้าที่กันเรียบร้อย อันเดรอา อัลฟองโซ่ และแม่อยู่ในครัว แต่ไม่ต้องตกใจครับ
แม่แค่ทำหน้าที่ล้างอุปกรณ์เท่านั้น  อันเดรอาทำสปาเก็ตตี้  อัลฟองโซ่ทำสลัด 
ที่เหลือจัดโต๊ะและเตรียมล้างจานตอนเรากินกันเสร็จแล้ว
 
เรานั่งกินกันที่สนามในบริเวณบ้านพัก เอาโต๊ะมาต่อกันนั่งร่วมวงได้แปดคนพอดี
นักแสวงบุญชาติอื่นโดยเฉพาะคนเยอรมัน นั่งมองตาขวางอยู่เพราะเขารอหม้อที่เรายังถ่ายของไม่เสร็จ

แม่ซึ่งนอกจากไม่นิยมคนเยอรมัน ยังชอบแกล้งคนเป็นที่หนึ่ง  เลยทำช้ามาก
แล้วออกจะชอบใจที่หม้อต้มสปาเก็ตตี้  มีเส้นสปาเก็ตตี้ ติดเต็มตูดหม้อ
ท่าจะต้องขัดอีกนานกว่าจะออก 

แม่ว่าแกล้งใครก็ไม่สนุกเท่ากับแกล้งคนเยอรมัน เพราะเห็นผลทันใจ 
แต่แม่ก็ไม่ลืมหันมาบอกผมว่า ไม่สมควรทำแบบที่แม่ทำ เรียกว่า

แม่ทำได้แต่ลูกไม่สมควรทำ เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัยชอบแกล้งคนเยอรมันเหมือนแม่ 
แก่แค่ไหนก็แก้ไม่หาย

กินเสร็จเราไปเดินเล่นด้วยกันทั้งกลุ่ม หนุ่มน้อยทั้งสามมีปัญหากับขาทั้งสามคน
เดินกะโผลกกะเผลกทั้งสามหนุ่ม ถามได้ความว่า

แต่ละหนุ่มมีความมั่นใจในความแข็งแรงของตัวเองมากเลยเดินกันวันละ
สี่สิบถึงห้าสิบกิโลเมตรต่อวัน เดินมาได้ห้าวัน พรุ่งนี้เห็นจะต้องขึ้นรถเมล์ไปบัวร์โกสแทนเดิน 
แค่สี่ทุ่มกว่า หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย

รูปที่หนึ่ง  ป้ายประกาศเมือง
รูปที่สอง  เพื่อนกิน จากซ้าย อันนา โฮร์เข้ อันเดรอา อัลฟองโซ่ นิโก้ และอัลบ้า




กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 23 เม.ย. 10, 04:45
เรานัดเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่ตอนเจ็ดโมงเช้าที่ร้านขายของชำเมื่อคืน 
เขาเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า  จากร้านขายของชำเมื่อคืนกลายมา

เป็นร้านกาแฟในตอนเช้า ไว้รับลูกค้า  มีขนมเขาควายเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ หอมชวนกิน
เรากินอาหารสูตรเดิมคือ น้ำส้มคนละแก้ว กาแฟ แล้วก็ขนมเขาควาย
แค่นี้ก็พร้อมออกเดินทาง (เพื่อไปหากินมื้อต่อไปข้างหน้า) ก่อนเจ็ดโมงครึ่งเราก็เริ่มเดิน

วันนี้เรามีจุดหมายที่จะเดินให้ถึงเมืองบัวร์โกส (Burgos) ซึ่งต้องเดินประมาณ
ยี่สิบสามกิโลเมตร หกชั่วโมงถ้าไม่แวะชมวิวเลย แต่ผมรู้แน่ๆว่า

แม่ต้องแวะกินกาแฟหลายๆรอบ เลยกะให้ได้ว่าเราจะถึงบัวร์โกส
ประมาณ สามโมงเย็น ได้เวลากินข้าวกลางวันพอดี

ออกจากอาตาปัวร์ก้า เราก็เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ 
จนไปเจอไม้กางเขนที่มีคนเอาหินไปวางไว้รอบๆ 

เราเข้าใจเอาเองว่าจุดนี้ต้องเป็นจุดสูงสุดของวันแน่ๆ 
นอกจากจะเหนื่อยหอบ เรายังเห็นไม้กางเขนอีก 

แม่รีบบอกให้อัลบ้าและอัลฟองโซ่เข้าไปยืน
จะได้ถ่ายรูปให้ ก่อนนักแสวงบุญอื่นๆจะมาแย่งที่ยืน

 

โชคดีที่เราเดินมาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 
ยังยืนอยู่ใกล้ๆ ไม้กางเขน เราก็ได้ยินเสียงอัลบ้า

ร้องเรียกให้พวกเราดูชื่อตัวเอง ครับ อัลบ้าแปลว่ารุ่งอรุณ 
สวยสมใจ แม่ว่าสวยจนอธิบายไม่ถูก  แต่ของดีมีนิดเดียว

ยังไม่ทันไร พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาเต็มดวง
ผมว่าวันนี้ท่าจะร้อนมากเหมือนทุกๆวัน 
เลยสะกิดแม่ให้รีบเดินต่อ เพราะยังเหลืออีกหลายกิโลเมตรกว่าจะถึง

ทางเดินออกจากสนุก ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยอย่างเดียว
เพราะมีการเดินขึ้นเขา ลงเขาตลอด 

มีคนเอาหินมาเรียงเป็นลูกศรบอกทาง 
วางเป็นสัญลักษณ์แตกต่างกันไปหลายๆแบบ
ดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง  แต่ก็น่าดู 

ที่น่าดูที่สุดของวันนี้เห็นจะเป็นหินที่เป็นวงๆ
เหมือนวงเวียนที่ไม่มีจุดจบ เป็นหินก้อนเล็ก
ก้อนใหญ่วางเรียงกันไปรอบๆ 

ไม่มีบอกว่าใครมาเรียงไว้ แม่ว่าน่าจะมีคนเริ่ม
แล้วคนที่เดินผ่านก็เอาหินที่หาได้ มาวางต่อไปเรื่อยๆ
หลายวัน หลายคน เลยใหญ่ขนาดที่เราเห็น 

พูดจบแม่ก็ไปหยิบหินมาวางต่อ  ตามด้วยคุณรุ่งอรุณ
ส่วนผมกับอัลฟองโซ่หาหินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
ช่วยกันแบกมาวางต่อ 

วงเวียนหินเลยดูใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย
หวังว่าครั้งหน้าถ้าได้มีโอกาศเดินผ่านทางนี้อีกหน
วงเวียนนี้จะใหญ่มากขึ้นไปอีก

เราเดินกันอย่างมีความสุข จนถึงเมืองคาร์เดยวยล่า-รีโอปิโก้ 
(Cardeñuela-Riopico)   

จากถนนที่ผ่านเขา ผ่านไร่ ผ่านนา กลายเป็นถนนราดยางมะตอย
เหมือนถนนข้ามเมืองที่มีรถวิ่งผ่านไปมา   

เราต้องเดินอย่างระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่งั้นอาจจะตายก่อนได้กิน
เลชาโซ่ อาซาโด้ (lechazo asado) ร้านอร่อยที่เมืองบัวร์โกศ

 


รูปที่หนึ่ง   ไม้กางเขนบนเขา อัลบ้ากับอัลฟองโซ่
รูปที่สอง    รุ่งอรุณ
รูปที่สาม    หินงามบอกทาง
รูปที่สี่        วงเวียนหิน


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 24 เม.ย. 10, 05:06
พอถึงเมือง โอบาเนค่า (Obaneja)  เราแวะนั่งพัก กินน้ำกินท่า   
เป็นร้านกาแฟที่มีแมลงวันเยอะมาก   

ผมบ่นแม่ก็ว่า  เพราะเราอยู่ใกล้ธรรมชาติ  คุณป้าเจ้าของร้านเพิ่ง
จะทำไข่เจียวสเปนเสร็จ เพิ่งยกออกมาวาง ยังไม่ทันตัดเป็นชิ้น

กลิ่นหอมยวนตายวนใจมาก จนเราอดไม่ไหวต้องสั่งมาชิม 
อร่อยมากจนป้าต้องขอตัว ไปทำมาขายอีกอัน
เพราะห่วงนักแสวงบุญที่เดินตามเรามา ว่าจะไม่ได้กิน

เรานั่งคุยกับคุณป้า ถามเรื่องเส้นทางเข้าเมืองบัวร์โกส
เพราะเขามีให้เลือกสองทาง 

คุณป้าว่า ทางที่ตรงที่สุดคือทางราดยางมะตอย
แต่ต้องเดินข้างถนน ที่มีรถเยอะมาก ทั้งรถยนต์และรถบรรทุก

เป็นทางเข้าเมืองของรถโดยทั่วไป เดินผ่านสนามบินของบัวร์โกส
แล้วก็เขตอุตสาหกรรมต่างๆของเมือง เส้นนี้ประมาณ สิบสองกิโลเมตร (สามชั่วโมง)

ส่วนอีกทางนั้นเดินตัดทุ่งไปเข้าเมืองคาสตายาเรส (Castañares) 
จากนั้นก็เป็นทางราดยางมะตอยเข้าเมือง ซึ่งทางนี้จะมีเพิ่มอีกห้ากิโลเมตร
รวมแล้วสิบเจ็ดกิโลเมตร เดินเพิ่มอีกชั่วโมงหน่อยๆก็น่าจะถึงบัวร์โกส

อัลบ้ากับอัลฟองโซ่ว่าจะเดินเส้นยางมะตอย เพราะอยากถึงเร็วๆ
เพื่อไปจองที่นอนที่บ้านพักนักแสวงบุญ ถ้าถึงช้าอาจจะไม่มีที่พัก

เพราะเกือบทุกคนอยากพักที่บัวร์โกส  ส่วนเรายอมเดินยาว
แต่ขอเดินแบบสบายๆไม่มีควันรถและเสียงรบกวนประสาท

เราบอกลาคุณป้าร้านกาแฟ  เดินมาด้วยกันจนถึงทางแยก
เราจึงอำลากับคุณสองอัล  เราแยกไปทางซ้าย ส่วนเขาเดินตรง

แต่เรานัดแนะเจอกันที่บัวร์โกส ตอนเย็นๆหลังจากนอนพักพุงเรียบร้อยแล้ว
เจอกันตรงหน้าโบสถ์ประจำเมือง

ทางเดินที่เราเลือกเหมือนที่คุณป้าร้านกาแฟบอกให้ฟัง เราเดินผ่าทุ่ง
ไม่ได้สวยมากมาย แต่ไม่มีรถผ่าน เราเดินเฉียดสนามบินเหมือนกัน
หนวกหูบ้างเล็กน้อย

เราเดินคุยกันหนุงหนิงตามภาษาแม่ลูก ไปจนถึงเมืองคาสตายาเรส 
เราไม่แวะเพราะไข่เจียวสเปนยังดูเหมือนติดอยู่ที่คอหอย แม้เดินมากว่าชั่วโมงแล้ว

เราเดินต่อ แล้วรู้ทันทีว่ากำลังเดินเข้าเมืองใหญ่ 
รถมากมายขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินก็เปลี่ยนไปตามความเจริญของบ้านเมือง 

เราเดินตัวลีบมาได้ซักพัก แม่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนวิธีเดินทางอีกหน 
แม่บอกว่าเราสมควรใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในวันนี้

โดยโทรเรียกแท็กซี่มารับเราเข้าเมือง  แต่เราไม่มีเบอร์ 
เป็นครั้งแรกที่เรางัดเอา นังโฟน (วิธีเรียก Iphone ของเรา) มาใช้

แกล้งทำลืมไปซักนิดว่าค่าสามจีต่ออินเทอร์เนตในสเปนแพงมาก   
แม่ว่า ช่างมัน ถ้าโดนรถชนระหว่างทาง มันต้องแพงกว่าแน่ๆ   

ได้เบอร์อย่างรวดเร็ว โทรปุบติดปับ เรายืนรอไม่ถึงสิบนาทีก็มีราชรถมาเกย   
คนขับแนะนำโรงแรมพร้อมจองให้เราอย่างเรียบร้อย

โรงแรมที่เราพักชื่อว่า เมซอน เดล ซิด (Mesón del Cid โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๒๐ ๘๗ ๑๕)   
อยู่ติดโบสถ์ประจำเมือง   ห้องก็ตกแต่งอย่างน่ารัก ส่งผ้าซักได้ด้วย 

แพงกว่าที่เราอยากจ่าย แต่แม่ว่า ช่างมัน (อีกที)   
วันนี้เราเห็นจะไม่ต้องกินข้าวกลางวันเพราะไข่เจียวยังอยู่ในท้อง

เอาเงินมื้อกลางวันมาโปะเป็นค่าโรงแรมแล้วกัน  ตอนนี้ขึ้นไปนอนพักให้สบายใจ
รอมื้อเย็น  ซึ่งแม่จะไปกินเลชาโซ่ อาซาโด้ ของร้านอร่อย
โดยคิดว่าจะชวนเชิญอัลบ้ากับอัลฟองโซ่ไปกินด้วย พร้อมสารภาพบาปว่าเราไม่ได้เดินตลอดรอดฝั่ง


รูป  ทางเดินก่อนเข้าบัวร์โกส


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 25 เม.ย. 10, 06:47
หลังจากนั่งเล่น นอนเล่นในห้องพักใหญ่ๆ ซักหกโมงเย็นเราก็ออกมาเดินเล่นในเมือง 
แม่ว่าเราสมควรไปดูโบสถ์ก่อน  พอไปถึงหน้าโบสถ์จริงๆ ก็ไม่ได้เข้าไปดู

แม่หมั่นไส้เพราะเขาเก็บค่าเข้า ลดราคาให้นิดหน่อยเพราะเป็นนักแสวงบุญ
ไม่ได้แพงมากมาย แต่แม่ว่าเก็บเงินเอาไปให้วัดในเมืองไทยดีกว่า  ไม่ดูก็ได้ (โว้ย)

เราเดินเล่นรอบๆเมือง เดินไปเดินมาก็ไปเจออันเดรอา พ่อครัวสปาเก็ตตี้ของเรา
นั่งคุยกัน พร้อมแลกเปลี่ยน Facebook   เหมือนคนสมัยใหม่   

อันเดรอาบอกแม่ว่า เสียดายที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ กลับโรมครั้งนี้จะไปเริ่มเรียนทันที         
อันเดรอาบอกว่ามีคู่หมั้นชื่อ ลูเชีย (Lucia)   ผมรีบถามว่าแล้วลูเชียคนนี้มาจากลัมเมอร์มอร์หรือเปล่า

อันเดรอาทำหน้างงๆ ผมเลยแหย่ไม่มัน ปล่อยให้เขาเล่าต่อไปว่า
ลูเชียที่ไม่ได้มาจากลัมเมอร์มอร์ เก่งภาษาอังกฤษมาก เวลาไปไหนด้วยกัน

ลูเชียจะเป็นคนจัดการทั้งหมด อันเดรอาเลยไม่ห็นประโยชน์ที่จะเรียนภาษาอังกฤษ   
แต่มาเดินทางคนเดียวแบบนี้เลยเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษขึ้นมามาก   

เราแยกจากอันเดรอา แล้วนัดเจอกันอีกทีตอนกินข้าว แม่ชวนเขาไปกิน
เลชาโซ่ อาซาโด้ด้วยกันคืนนี้

เราเดินไปถึงพลาซ่า มายอร์ของเมือง เขาทาสีบ้านสวยสดใส
ยิ่งมีแสงแดดส่อง ดูน่ารัก เป็นจัตุรัสกว้าง สมเป็นเมืองหลวงของแคว้น

เรานั่งกินกาแฟดูคนผ่านไปมา แล้วเราก็เจอคนที่ไม่อยากเจอมากๆ 
นั่งกันอยู่ดีๆ แซวี่ก็เข้ามาทัก เราก็ทักไปตามเรื่อง ตามราว

ไม่ต้องเชิญนั่ง เธอก็นั่งสั่งกาแฟกับเค้กมากินกับเรา  ถามทุกข์สุขกันอย่างเซ็งๆ
(โดยเฉพาะแม่)  ได้ซักพักแม่ก็ขอตัว เรียกคนมาเก็บเงิน

แซวี่ก็ยังเหมือนเดิม คือนั่งเฉย ไม่ควักกระเป๋า แม่ซึ่งแสดงตัวเป็นนางร้ายมาแล้วหนึ่งหน
หนที่สองเลยง่ายหน่อย แม่จ่ายแต่ที่เรากิน แล้วหันไปบอกแซวี่ว่า
ที่เหลือเป็นของเธอ แล้วก็ลุกเดินออกมา  บทแม่จะเค็มขึ้นมาละก้อ เกลือก็ไม่ได้ครึ่ง

เราเดินกลับไปหน้าโบสถ์ ไอ้ที่ที่ต้องเสียเงินเราไม่เข้า แต่เขามีให้เขาได้ฟรีอีกฝั่ง
เป็นฝั่งที่คนทั่วไปเข้าไปฟังสวด ไปรับสิญจน์  เราเดินไปดูฆ่าเวลา 

เราเดินไปเจออันเดรอาในโบสถ์กับสาวสวยมาก แม่จำหน้าได้เพราะเรา “บวน คัมมิโน้”
กันหลายหน แต่ไม่เคยพูดกันซักที เป็นสาวสวยมาจากโปแลนด์ 

มิน่าอันเดรอาอยากจะเรียนภาษาอังกฤษ จะเอาไว้จีบสาวนี่เอง
พอเห็นเราก็รีบเดินเข้ามาหา

ให้แม่ช่วยแปลบอกสาวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นรถเมล์ไปเมืองเลออน (León)
แล้วไปเริ่มเดินจากที่นั้นเพราะมีเวลาเหลือแค่อีกสิบวัน แล้วอยากให้สาวตามไปด้วย   

แม่ออกจะเห็นใจลูเชีย แต่ก็ต้องทำหน้าที่นักแปล บอกไปตามที่อันเดรอาบอก
แล้วแม่ก็ดีใจเป็นอันมากที่สาวปฏิเสธ

ดูโบสถ์เสร็จก็ได้เวลานัดเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่
เราเลยทิ้งอันเดรอาใว้กับสาวสวยรวยเสน่ห์ แล้วนัดเจอกินข้าวกันอีกทีตอนสองทุ่มครึ่ง

รูปที่หนึ่ง   โบสถ์ประจำเมือง
รูปที่สอง    หนึ่งมุมมองของพลาซ่ามายอร์
รูปที่สาม    ถนนสายงามของเมือง (Paseo de Espolón)



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 26 เม.ย. 10, 05:10
ออกมาเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่ตรงตามเวลา เราไปนั่งจิบคาว่า (Cava)
เรียกน้ำย่อยที่หน้าโบสถ์   คาว่าคือแชมเปน (Champagne) ของสเปน 

ยี่ห้อดังๆ เป็นที่รู้จักกันกว้างขว้างก็มี โคโดร์นีอู   (Codorníu) และ
เฟรเชเนต (Freixenet)   แล้วก็มีอีกหลายยี่ห้อจดจำไม่หวาดไม่ไหว   

มีลูกมะกอกกับถั่วมากินเสริมเติมรส   แม่ว่าให้กินน้ำเปล่าก็อร่อย
ถ้าได้นั่งกิน นั่งคุยกับคนที่ถูกใจ   นั่งคุยกันเพลินจนได้เวลากินข้าว   

อันเดรอาก็ผ่านมาตรงเวลาพอดี   แม่พาเดินไปกินข้าวที่ร้านของโรงแรมที่เราพัก   
แอบถามหลายๆคน ตั้งแต่คนขับแท็กซี่ไปจนถึงคนขายเสื้อผ้า ทุกคนแนะนำร้าน เมซอน เดล ซิด

ร้านเขาจัดได้น่ารัก มีหม้อไห่โบราณวางไว้เป็นของประดับ พนักงานเสริพก็ใส่ชุดพื้นเมือง 
มื้อนี้แม่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเพื่อนๆร่วมทาง  ทุกคนเลยยกหน้าที่ให้แม่เป็นคนสั่งอาหาร
ซึ่งผมรู้ว่าเป็นที่ถูกใจของแม่มาก อาหารจานแรกที่สั่งมีดังนี้

-   โมร์ซีย่า เด บัวร์โกส (Morcilla de Burgos) ไส้กรอกสีดำ
มีส่วนผสมคือเลือดหมู หอม เนย พริกและข้าว  โมร์ซีย่ามีหลากหลายชนิด

ที่เรารู้จักทั่วๆไปจะไม่ใส่ข้าว แต่ทุกๆโมร์ซีย่าจะมีเลือดหมูกับหอมเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้
(คล้ายๆ Black pudding ของอังกฤษ) เขาทอดสุกกรอบมาให้ 

ปรกติแม่ไม่ค่อยชอบโมร์ซีย่ามากนัก แต่ชอบโมร์ซีย่า เด บัวร์โกสเพราะคล้ายไส้กรอกข้าวของไทย
ที่แม่เคยกินตอนเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้หากินไม่ค่อยได้ ได้กินโมร์ซีย่า เด บัวร์โกสแก้ขัด เพราะมีกลิ่นหอมๆ เผ็ดๆ คล้ายกันมาก

-   เอนซาลาด้า เด เมซอน(Ensalada de Mesón) สลัดผักธรรมดา
ที่มีผักสลัด มะเขือเทศ ลูกมะกอก ไข่ต้ม และข้าวโพด

-   โชริโซ่ เดล อาร์ลันโซน อา ลา บราซ่า(Chorizo del Arlanzón a la brasa)
ไส้กรอกหมูออกรสเผ็ดย่าง  แต่ไม่ใช่โชริโซ่ทั่วๆไปนะครับ แต่มาจาก เมือง อาร์ลันโซน
อัลฟองโซ่บอกว่าเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบัวร์โกส แต่เราไม่มีข้อมูลว่าเมืองนี้มีชื่อด้าน ไส้กรอกโชริโซ่

-   เซตาส อา ลา พลานช่า โคน อาเซอิเต้ เด อาโฮ้ (Setas a la plancha con aceite de ajo) เห็ดป่าผัดน้ำมันกับกระเทียม

ส่วนอาหารจานที่สองเราสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้าน
-   โคร์เดโร่ เลชาล เด บัวร์โกส อาซาโด้ อัล โอร์โน่(Cordero lechal de Burgos asado al horno)
ร้านเขาเรียกชื่อดูน่ากิน แต่มันก็คือกินเลชาโซ่ อาซาโด้นั้นแหละ

ส่วนไวน์นั้นเราสั่งไวนืของแคว้นนี้
-   โพรโตส กราน เรแซว่า(Protos Gran Reserva)

อาหารอร่อยสมใจ เรากินกันแบบจุกขอหอย ไวน์หมดไปสามขวด
เราคงกินกันเยอะมากจนเจ้าของร้านกลัวเราจะจุกตาย รีบเอาเหล้าย่อยอาหาร

โอรุโค่ (Orujo) มาว่างให้โต๊ะเราทั้งขวด   เรานั่งเอ้อระเหยรอยลมได้ไม่นานเพราะ
อัลบ้า อัลพองโซ่ และอันเดรอาต้องรีบกลับบ้านพักนักแสวงบุญเพราะเขาปิดตอนห้าทุ่ม

ส่วนแม่และผมกินมากเกินไป จนต้องไปเดินเล่นรอบเมืองย่อยอาหาร ก่อนกลับไปนอน เที่ยงคืนถึงได้นอน


รูปที่หนึ่ง     โรงแรม เมซอน เดล ซิด และร้านอาหารชื่อเดียวกัน
รูปที่สอง     รายการอาหาร
รูปที่สาม      โมร์ซีย่า เด บัวร์โกส (ได้มาจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Morcilla_de_Burgos_-_2009.jpg )
รูปที่สี่          รูปปั้นนักแสวงบุญ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 27 เม.ย. 10, 04:16
วันนี้เราไม่ได้นัดแนะกับใคร อัลบ้ากับอัลฟองโซ่จะออกตอนตีห้า
เพราะจะเดินสามสิบกิโลเมตร ให้ถึงเมือง โอนตาน่าส (Hontanas)

ส่วนเรานั้นเดินไม่ไหว คิดว่าแค่สิบเก้ากิโลเมตรก็พอ
มากกว่าอาจตายก่อนถึง เพราะแถวนี้มีชื่อเรื่องร้อน

ทางเดินเป็นที่ราบสูง ไม่มีต้นไม้ต้นไร่ให้เรานั่งเล่นข้างทาง
ทางเดินก็เป็นหินเป็นกรวดซะส่วนใหญ่

ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตื่นเช้า กะกันว่าจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเช้า
ไปหากินข้าวเช้าก่อนออกนอกเมือง เพราะเมืองถัดไป ต้องเดินกว่าสองชั่วโมง (เก้ากิโลเมตร)

ออกจากโรงแรมเดินไปนิดเดียวก็เจอร้านกาแฟ เลยแวะกินให้เรียบร้อย
เข้าไปในร้านถึงได้เจอคนที่ว่าจะออกเดินตอนตีห้า  คุณรุ่งอรุณและสามี

บอกว่าตื่นไม่ไหวเลยต้องเปลี่ยนแผน ร้อนแค่ไหนก็ต้องให้ถึงเมืองโอนตาน่าส
เพราะไม่งั้นเดินไม่ถึงซานติอาโก้ เพราะต้องกลับบ้านไปทำงาน 

ผิดกับเราที่ไม่มีกำหนด ถึงเมื่อใดก็เมื่อนั้น แม่เลยว่าเราต้องเริ่มมี
แบบแผนในการเดินซะบ้าง จำเนาะเจาะจงเป็นวันๆไป  ผมจะคอยดู

เห็นแม่พูดมาหลายทีแล้ว แม่ผมกับการวางแผน
เห็นจะต้องรอให้เจ้าอ๊อดหมาสุดที่รักของแม่พูดได้ซะก่อน

ข้าวเช้าเหมือนเดิมทุกวัน กาแฟกับขนมเขาควาย พอกินเสร็จเราก็เริ่มเดิน
เดินยากเดินเย็นกว่าจะออกนอกเมืองได้ ต้องออกนอกประตูเมืองไปข้ามสะพาน
แล้วผ่านมหาวิทยาลัย ถึงจะเริ่มออกจากเมือง

ทางเดินช่วงแรกเดินสบาย เป็นทางเรียบๆไม่มีเนิน เหมือนเดินเล่นแถวบ้าน
เราเดินมาถึง ทาร์ดาโคส (Tardajos) โดยเร็วมาก น้อยกว่าสองชั่วโมง  ไม่มีใครหิว เลยไม่ได้แวะ 

อีกยี่สิบนาทีเราก็ถึง ราเบ้ เด ลาส คาลซาดาส (Rabé de las Calzadas)
เมืองเล็กๆ น่าเอ็นดู แต่ท่าทางกำลังยุ่งเหยิง สร้างเมืองใหม่
มองไปทางไหนเห็นแต่สิ่งก่อสร้างวางเต็มเมืองไปหมด   

เมืองนี้ก็เช่นกัน   ผ่านแล้วผ่านลับ   ไม่แวะเหมือนเดิม   
ถึงอยากแวะก็แวะไม่ได้เพราะ   ไม่มีร้านกาแฟ   แม่ว่าท่าจะกำลังสร้างอยู่
 
ผมออกจะชอบใจเมืองนี้เอามากๆ เพราะมีคนวาด กราฟฟิติ (Graffiti)
ไว้บนผนัง น่าจะแสดงให้เห็นว่าเมืองนี้แม้จะเล็กแค่ไหน ก็ยังมีวัยรุ่น ไม่ไช่มีแต่วัยชรา

พอเดินออกนอกเมือง เราเริ่มเดินขึ้นเนิน  ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แดดจ้าเต็มฟ้า
ไม่มีอะไรให้เราดูสบายตา นอกจากก้อนกรวดตามทางเดิน

ที่เราต้องคอยระวังเวลาเหยียบลงไป ดีไม่ดีอาจทำให้เท้าแพลงได้
มองเห็นความแห้งแร้งสุดลูกหูลูกตา  ไร่ข้าวสาลีเหี่ยวแห้ง แดดเผา 

เราเดินกันอย่างเงียบสงบจนน่าเบื่อ ผมทนไม่ไหวต้อง ต้องเริ่มร้องเพลง 
พอเริ่มก็มีอัลฟองโซ่ร้องตาม  พอซักพักเสียงเราทั้งสี่คนก็ดังลั่น
ร้องไป หัวเราะไป ถ้าอยู่ในเมือง คนเขาคงเชิญไปอยู่โรงพยาบาลบ้า

รูปที่หนึ่ง   ป้ายประกาศเมืองทาร์ดาโคส
รูปที่สอง   ใจกลางเมืองราเบ้ เด ลาส คาลซาดาส
รูปที่สาม   กราฟฟิติ
รูปที่สี่           โบสถ์เล็กๆ ข้างทาง





กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 เม.ย. 10, 05:46
เราร้องเพลงให้เพื่อนนักแสวงบุญอื่นๆ ที่บังเอิญเดินผ่านปวดหัวใจเล่น
แยกแยะได้เป็นกลุ่มตามเชื้อชาติ  ถ้าเป็นคนสเปน ก็เข้ามาร่วมร้องด้วยเรียกว่าร่วมบ้า

คนฝรั่งเศสไม่ร่วมบ้าแต่ก็หัวเราะความบ้าของเรา พอเป็นคนเยอรมันละก้อหยุด
มองเราแบบหัวจดเท้าแล้วบ่นค่อยๆ ว่า “หนกหู”

พอได้ร้องเพลง สี่สหายก็เริ่มคึก ความน่าเบื่อหายวับไปกับตา เดินกันขยันขันแข็ง
ถึง โอร์นีโยส เดล คามิโน่ (Hornillos del Camino) แวะกินแซนวิช

เราร้องเพลงซะหิว แม่สั่งแซนวิชสี่อัน เขามีแค่เนยแข็ง กับแฮมสเปน
อันใหญ่มากตามเคย สั่งสองอันยังไม่รู้เลยว่าจะกินหมดมั้ย

เราสวัสดีลาจากกับอัลบ้าและอัลฟองโซ่ที่เมืองนี้ ทั้งสองจะเดินต่อ 
ดีที่เมืองนี้มีแค่ถนนเดียว  ร้านขายของชำ ร้านกาแฟ

บ้านพักนักแสวงบุญและโรงแรมอยู่ถนนเดียวกัน เราไปเคาะประตูโรงแรมแต่ไม่มีคนเปิด
แม่เลยเดินไปหาร้านขายของชำชื่อแปลกๆว่า กม. ที่ ๔๖๙   ไปถามเจ้าของร้าน

เขาให้เบอร์มือถือของเจ้าของโรงแรม  แม่โทรไป มีเสียงตอบที่แม่ว่าฟังไม่รู้เรื่อง
แต่จับความได้ว่า ให้เรารออยู่หน้าร้าน กม. ที่ ๔๖๙  เดี๋ยวจะมา   

ผมเลยเข้าไปซื้อไอติมแท่ง มานั่งแทะเล่นฆ่าเวลา  เจ้าของร้านออกมาถามว่าเรามาจากไหน
พอบอกว่าเมืองไทย เขาก็ว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นคนไทย เลยขอให้เราเขียนอะไรก็ได้ที่เป็นภาษาไทย
เอาไว้ติดร้าน  เขาพาไป เห็นมีทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี  พอเขียนเสร็จเขาให้ไอติมเราอีกคนละแท่ง ใจดีจัง

พอกินไอติมเสร็จ ก็มีรถเก๋งเก่าและสกปรกมากมาจอดหน้าร้าน
ตามออกมาด้วยหนุ่มสูงวัยที่หนวดเคราเต็มหน้า เดินมาหาเราแล้วบอกว่าจะพาไปโรงแรม 

แม่ว่าเอาโรงแรมนี้แหละ เขาว่าเต็มแล้ว จะพาไปอีกที่ อยู่ห่างจากโอร์นีโยส เดล คามิโน่ไปแค่สิบนาที (ขับรถ)
แล้วพรุ่งนี้จะพามาส่งตอนเช้าที่เมือง โอร์นีโยส เดล คามิโน่ ให้เราเริ่มเดินทางต่อ 

แม่หันมาปรึกษา ไม่แน่ใจว่าสมควรไว้วางใจได้แค่ไหน กลัวเขาเอาไปฆ่าหมกป่า 
แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้  แล้วทั้งเมืองมีโรงแรมนี้โรงแรมเดียว 
ทำดัดจริตอาจหาที่นอนไม่ได้ต้องเดินต่อ เป็นไงเป็นกัน

ตัดสินใจได้ ก็หอบเป้ใส่รถ ที่นอกจากเก่าและสกปรก ก็ยังเหม็นมาก
แถมที่นั่งมีขนของสิงหาราสัตว์เต็มไปหมด พอได้นั่งในรถ

คุณลุงก็ชวนคุย แนะนำตัวเองว่าชื่อ มักซิม (Maxim)  เคยเป็นทหารมาก่อน
พอแก่ตัวเลยมาทำโรงแรม ในเมืองให้ลูกชายทำ ส่วนที่เรากำลังจะไปนั้น ช่วยกันทำกับเมีย   
ลุงยังคุยไม่จบก็มาถึงที่หมาย

โรงแรมของลุง ในสเปนเรียกกันว่า คาซ่า รูราล (Casa Rural)
ส่วนมากเอาบ้านเก่าๆ หรือโรงนา มาปรับปรุงใหม่เป็นโรงแรม   

มีสไตล์คล้ายๆ บูติคโฮเตล ของบ้านเรา ส่วนมากจะอยู่ออกนอกเมือง
มีห้าห้องบ้าง สิบห้องบ้าง ไม่มีเป็นร้อยห้องแบบโรงแรมที่มีสาขาทั่โลก   

มีอาหารเย็นและเช้าให้ แต่ละห้องจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
แล้วส่วนมากจะใช้คนในครอบครัวบริหารงาน 

ที่พักถูกใจเราทั้งสองมาก โดยเฉพาะแม่ เพราะมีลูกหมาวิ่งมาต้อนรับ
หน้าเหมือนเจ้าอ๊อดตอนเล็กๆมาก  พันธ์เดียวกัน ทำเอาแม่น้ำตาซึมเพราะคิดถึงหมา
แม่คงจะเป็นมนุษย์คนเดียวที่ผมรู้จัก ที่เขียนโปสการ์ดหาหมาได้ทุกวัน 

คาซ่า รูราลที่เรามาถึง ชื่อว่า เอลโมลีโน่ เดล คามิโน้
(Casa Rural El Molino del Camino โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๕๖ ๐๓ ๐๒ หรือ ๐๐๓๔ ๖๔๙ ๘๗ ๖๐ ๙๑  http://11870.com/pro/el-molino-camino/media)   
อยู่ใน เอสเตปาร์ (Estépar)  เมืองเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากบัวร์โกสมากนัก   ถ้ากลับมาอีกหน แม่ว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะหาเจอ

รูปที่หนึ่ง   ทางเดินขึ้นเขา มีคนเอาหินไปวางเป็นรูปร่างต่างๆ
รูปที่สอง   ทางเดินที่ร้อนและแห้งแล้งมาก
รูปที่สาม   ป้ายเมืองโอร์นีโยส เดล คามิโน่
รูปที่สี่           ร้านขายของชำชื่อแปลกๆ



กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 เม.ย. 10, 07:23


แล้ว....แล้ว ใครอ่านโปสคาร์ดให้หมาฟัง

มหาเศรษฐีเมืองไทยเวลาไปต่างประเทศเธอโทรศัพท์พูดกับหมา
หมาดีใจมากร้องอี๊ดอ๊าดวิ่งไปมา (รักหมาเหมือนกันรับฟังได้)

แม่บ้านที่รับโทรศัพท์รายงานคุณผู้หญิงว่า หมาร้องไห้ด้วยแหละ(อันนี้เรานึกชมแม่บ้านในใจว่าเข้าใจยึดตำแหน่ง)


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 เม.ย. 10, 08:24


แล้ว....แล้ว ใครอ่านโปสคาร์ดให้หมาฟัง

มหาเศรษฐีเมืองไทยเวลาไปต่างประเทศเธอโทรศัพท์พูดกับหมา
หมาดีใจมากร้องอี๊ดอ๊าดวิ่งไปมา (รักหมาเหมือนกันรับฟังได้)

แม่บ้านที่รับโทรศัพท์รายงานคุณผู้หญิงว่า หมาร้องไห้ด้วยแหละ(อันนี้เรานึกชมแม่บ้านในใจว่าเข้าใจยึดตำแหน่ง)

พอรับโปสการ์ด หมาก็ใช้วิธีแบบหมาๆ คือกัดฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แล้วก็ค่อยเลียบ้าง กินบ้างไปทั้งหมด ประหยัดอาหารหมาได้อีกหนึ่งมื้อ ๕๕๕


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 เม.ย. 10, 13:37
เราเดินผ่านสวน และหมาอีกหลายตัวเพื่อไปห้อง  ลุงชี้ให้ดูถังเบียร์ในสวน
ชวนดื่มได้ มากน้อยตามใจฉัน  ห้องนอนเรากว้างใหญ่
จัดแบบเรียบง่ายดูสะอาดและโล่งตา 

ลุงเห็นเราชอบหมา เลยอนุญาตให้เอามาเล่น มานอนด้วยได้ในห้อง 
แม่รีบวิ่งไปเอาเจ้าตัวน้อยมาเล่น ถามได้เรื่องว่า อายุสี่เดือน ชื่อช้าโต้ (Xato) 

ซึ่งแม่ไม่แน่ใจว่าภาษาอะไร   ถ้าเขียนภาษาสเปนก็น่าจะสะกดด้วย
อักษรซีเอช แทนตัวเอคซ์ ซึ่งคนสเปนเรียกคนอื่นบ่อยๆ

แปลตรงตัวได้ว่าจมูกแบน ช้าโต้สำหรับเรียกผู้ชาย ช้าต้าไว้เรียกผู้หญิง   
ตอนแม่ไปอยู่สเปนใหม่ๆ ออกจะโกรธ เพราะจมูกแม่แบนจริงๆ   

นึกว่าคนเขาแซว ตอนหลังถึงมารู้ว่าคนสเปนเขาใช้คำนี้เรียกคนที่เขาเอ็นดูเท่านั้น   
พอดูหน้าหมาแม่ก็คิดว่าต้องเป็นคำนี้แน่ๆ เพราะหมาตัวนี้สมชื่อ จมูกไม่มีดั้ง

เราไม่เห็นมนุษย์คนอื่น  เมื่อออกมานั่งเล่นในสวน อากาศกำลังดี
โชคดีที่กินแซนวิชไม่หมด แล้วไม่มีทางที่จะออกไปหาอะไรกินได้เลย 

กินเสร็จ ออกไปเดินชมสถานที่  มีน้ำอยู่ใต้ถุนบ้าน มีทั้งเป็ด
ทั้งห่านว่ายน้ำอย่างรื่นเริง เดินไปอีกหน่อย ก็มีทั้งม้า ทั้งลา ให้เราดูเล่น

ส่วนหมาไม่ต้องพูดถึงเพราะ เดินตามเรามาเป็นสิบตัว   ไก่ กระต่ายอีกเป็นฝูง 
เหมือนเดินเล่นในสวนสัตว์  มีสวนผัก มะเขือเทศสุกคาต้น ยั่วน้ำลายมาก แต่ไม่กล้าเด็ด 
สงสารคนปลูก แล้วก็มีผักต่างๆ อีกหลายชนิด ที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง

เรากลับไปนอนเล่นในส่วน นอนเปล เผลอหลับไปทั้งสองคน 
นอนไปนานแค่ไหนไม่รู้  เห็นลุงพาคนมาใหม่  แล้วแนะนำให้เรารู้จักกันไว้
เป็นนักแสวงบุญเหมือนกัน  เราก็เออๆ ค่ะๆ ไปตามเรื่องก่อนจะหลับต่อ

ตื่นมาอีกที ก็เห็นแขกคนใหม่ นั่งเขียนอะไรอยู่  เรานั่งเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาพูดภาษาอะไร 
รู้แน่ๆว่าไม่ใช้คนสเปน  แม่เดาว่าเป็นเยอรมัน เพราะคนชาตินี้คล้ายๆกันหมด ท่าทางไม่มีไมตรีจิตเท่าไหร่นัก   
เลยเฉยๆไว้ดีกว่า  แก่ก็แก่ หล่อก็ไม่หล่อ ยังมานั่งวางกาม ไม่พูดด้วยก็ได้ (โว้ย) เล่นกับหมาสนุกกว่า

ลุงออกมาชวนไปเล่นบิลเลียดในห้องพักแขก  เราไม่รู้กติกาใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ก็เล่นได้ แม่จำได้แค่ ลูกสีดำต้องเอาไว้เป็นลูกยิงลูกอื่นให้หล่น
แต่ลูกดำห้ามหล่นเป็นอันขาด 

ระหว่างเล่น ลุงมักซิม เอาน้ำมาเลี้ยงตลอด ไม่ได้ขาด
มีของขบเขี้ยวแถมมาอีกเป็นจำนวนมาก 

ลุงว่าซักสามทุ่มจะมีข้าวเย็นให้กิน คุณป้าจะมาแสดงฝีมือเอง 
แล้วช่วยวานเราสองคนไปบอกแขกอีกคนด้วย เพราะลุงพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง
มีหรือที่เราจะกล้าปฏิเสธลุง
 
เดินกลับไปที่สวนเพื่อไปแถลงข่าว แม่เริ่มกับเขาด้วยภาษาอังกฤษ
แต่เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง แม่เลยบอกเป็นภาษาเยอรมัน เขาแทบจะเข้ามากอดเรา

คงจะอัดอั้นตันใจไว้นาน ที่พูดกับใครไม่รู้เรื่อง บอกว่าให้เรียกเขาว่า เคล้าส์ (Klaus)
แล้วก็เริ่มตั้งคำถามร้อยข้อ เขาประหลาดใจที่เจอคนไทย พูดภาษาเขาได้   

นี่ก็เป็นข้อแตกต่างระหว่างคนสเปนกับคนเยอรมันอีกข้อ   คนสเปนจะชมก่อนว่าเราเก่ง
ถ้าเขารู้ว่าเราพูดภาษาเขาได้   แล้วค่อยๆประเล้าประโลมถาม   
โดยไม่ให้เรารู้ตัวว่าเรารู้ภาษาเขาได้อย่างไร   

ส่วนคนเยอรมัน จะมีประโยคเด่น ถามว่า รู้ได้อย่างไร บางที่แม่อารมณ์ดี
ก็จะบอก แต่วันนี้ออกจะรำคาญเลยตอบประโยคขึ้นใจของแม่ว่า

ไม่รู้เหมือนกัน คืนหนึ่งไปนอน พอตื่นขึ้นมาก็พูดได้เลย 
เวลาแม่เจอคนต่างชาติพูดภาษาไทยได้ แม่ก็นึกเอาเองว่า

เขาต้องมีความพยายามสูงมาก เพราะภาษาไทยออกยาก
ขนาดแม่ซึ่งเป็นไทยแท้ๆ ยังพูดผิด พูดถูกบ่อยไป
แต่จะให้ถามอย่างคนเยอรมันเห็นจะไม่สู้  กลัวเขาให้คำตอบที่ไม่อยากฟัง

พอสามทุ่มตรงเรานั่งรอกินข้าว คุณป้า มหัศจรรย์ มิลาโกร้
(Milagro หรือ Miracle ที่แปลตรงตัวได้ว่ามหัศจรรย์ในภาษาอังกฤษ)
ก็มาแนะนำตัว แล้วค่อยลำเลียงอาหารมาวางให้บนโต๊ะ ซึ่งมีดังนี้

เริ่มด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย
-   โมร์ซีย่า เด บัวร์โกส (Morcilla de Burgos) ใส่กรอกที่คุณป้ามหัศจรรย์ทำเอง
อร่อยที่สุดที่เราเคยกินมาในชีวิต เผ็ดจัดจ้านเกือบอร่อยเท่าใส้กรอกไทย

-   โตร์ตีย่า เอสปานยอล่า (Tortilla española) ไข่เจียวสเปนตำราคุณป้า
นอกจากจะใส่มันฝรั่งและหอมแล้ว คุณป้าใส่โชริโซ่ไปเพิ่มรสชาติ 

-   ฮาโมน แซราโน่ (Jamón Serrano) แฮมสเปน รสชาติอร่อยใช้ได้ ลุงเป็นคนหั่นเอง 
อร่อยกว่าที่ใช้เครื่องตัด

-   มะเขือเทศ จากสวนที่เราเห็นวันนี้ หวานมาก ไม่ต้องเติมเครื่องปรุงใดๆทั้งสิ้น
ลูกไม่ใหญ่มาก แต่สีแดง เนื้อแน่น เหมือนกินผลไม้

-   พริกหยวกสีเขียวเผา นี่ก็มาจากสวน คุณป้าเอา พริกหยวกไปย่างไฟ
แล้วลอกหนังส่วนที่ไหม้ออกให้หมด โรยเกลือนิดๆ แล้วราดน้ำมันมะกอกตาม

-   เคสโซ่ มานเชโก้ (Queso manchego) เป็นเนยเเข็งที่ทำมาจากนมแกะ
มาจากที่เดียวกับ โดนกีโฮเต้ (Don Quijote)  มาจากลามานช่า (La Mancha)
จากแคว้นคาสตีย่า ลามานช่า (Castilla-La Mancha) ซึ่งอยู่ตอนกลางๆของประเทศสเปน

เราสองคนกินเหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว กินกับข้าวของป้าแล้ว
แม่อยากเป็นคนรวย (มากๆ) ขึ้นมาทันที จะจ้างคุณป้ามหัศจรรย์ไปเป็นแม่ครัว 

รายการอาหารธรรมดามากแต่อร่อยอย่างน่ามหัศจรรย์ สมชื่อคนทำ
เรามีไวน์แดงชื่อเดียวกับที่พัก ที่ลุงเอามาวางให้ดื่มตามสบาย สามขวด
พร้อมบอกว่า เบียร์ก็มีถ้าเราไม่ชอบไวน์ 

พอกินเสร็จมี ซุป (La sopa) ซึ่งเราไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร
มีแฮมสเปนชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตามด้วยผักต่างๆ ต้มรวมกันออกมาเป็นซุปข้น อร่อยกลมกล่อม

เรานึกว่ารายการอาหารจบลงที่ซุป แต่คุณป้ายกซี่โครงแกะย่าง ออกมาอีกหลายโครง
เราไม่อยากให้คุณป้าเสียของ เลยช่วยกันกินต่อ
 
ทั้งลุงทั้งป้าหัวเราะชอบใจที่เห็นเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย  คุณเคล้าส์ท่าทางไม่มีความสุขนัก
เขาบอกแม่ว่า เขากินได้แค่ซุปกับเนยเเข็งเท่านั้น คงอยากให้แม่ถามต่อว่าทำไม

แต่แม่ยุ่งกับการกินซะไม่มีเวลาถาม แล้วไม่อยากถาม ไม่อยากรู้  ใครอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็อด
คุณป้าบอกว่ามีไอติม เรารีบขอบคุณแล้วส่ายหน้า เพราะกินไม่ไหวแล้วจริงๆ

ลุงเลยยกเหล้าหลังอาหารชนิดๆ ต่างๆมาวางให้เราจิบช่วยย่อยอาหาร
พอจิบเสร็จเราช่วยป้าเก็บจานชามไปไว้ในครัว แล้วก็เดินโซเซ เข้านอน
ยังไม่เที่ยงคืนเลยด้วยซ้ำ แม่ไม่ลืมไปตามลูกหมาสุดหล่อ ช้าโต้มานอนด้วย

รูปที่หนึ่ง   ที่พักมีน้ำใต้บ้านให้เป็ดและห่าน
รูปที่สอง   ที่พักอีกมุม
รูปที่สี่           สวนสวรรค์


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 เม.ย. 10, 13:40
รูปที่หนึ่ง   โตร์ตีย่า เอสปานยอล่า ได้รูปมาจากhttp://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Tortilla-de-patatas.jpg

รูปที่สอง   แฮมสเปน ได้รูปมาจากhttp://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Jamon_serrano.jpg

รูปที่สาม   เนยแข็งมานเชโก้  ได้รูปมาจากhttp://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Manchego.jpg

รูปที่สี่           หมาจมูกแบนตามชื่อ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: tian ที่ 28 เม.ย. 10, 13:43
ขอลาไปเที่ยวเพิ่มเติมความรู้ซักห้าหกอาทิตย์ค่ะ เจอกันใหม่กลางเดือนมิถุนานะคะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 28 เม.ย. 10, 15:32
ขอให้เที่ยวสนุกค่า


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: Jassica ที่ 23 ก.พ. 14, 04:30
สวัสดีค่ะคุณเทียน
เพิ่งจะได้อ่านบันทึกของคุณโดยบังเอิญ เพราะกำลังสนใจเรื่องการเดินแสวงบุญในเส้นทางสายนี้ เคยไปเที่ยวบาร์ซีโลน่าบ่อยๆและเมืองอื่นๆในสเปนด้วยค่ะ ตัวดิฉันเองก็อยู่ยุโรปมาเกือบสามสิบปีแล้ว ชอบเดินทางมาก แต่ไม่เคยจะรวบรวมข้อมูลและเขียนออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราวน่าอ่านมากๆแบบคุณเลย ชื่นชมมากค่ะ เขียนมาถามว่าคุณเขียนต่อรึยังคะ หาไม่เจอค่ะ รออ่านอยู่นะคะ
อ้อ เวลาไปเที่ยวก็จะเขียนโปสการ์ดถึงแมวที่บ้านด้วยเหมือนกันค่ะ


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 23, 10:17
๑   เอล คัมมิโนเดซานติอาโก เป็นเส้นทางเดินของนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิค เพื่อเดินให้ถึงเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลา
(Santiago de Compostela) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน ที่เมืองนี้มี ศพของนักบุญเจมส์ให้คนทั่วไปได้กราบใหว้บูชา
(ในภาษาสเปนเรียกว่านักบุญซานติอาโก)  เส้นทางเดินไปเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลานี้ มีหลายเส้นทางด้วยกันในยุโรป

          10 กว่าปีผ่านไป, ในที่สุดได้เห็นกระทู้นี้ที่พันทิปนำพาไปพบจุดหมายปลายเส้นทางแสวงบุญ ณ อาสนวิหาร Santiago de Compostela

https://pantip.com/topic/42095369


กระทู้: เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ค. 23, 10:54
 ;D