เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ศิษย์มารบูรพา ที่ 09 ต.ค. 06, 16:56



กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: ศิษย์มารบูรพา ที่ 09 ต.ค. 06, 16:56
 ผมอยากทราบของท่านผู้หญิงฯ ท่านนี้อ่ะครับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ ...... ขอบคุณครับ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: motor ที่ 09 ต.ค. 06, 18:31
 ไม่ทราบว่าอยากทราบอะไรล่ะครับถ้าพอตอบได้จะตอบ เพราะท่านผู้หญิงพูนทรัพย์เป็นคุณทวดของเพื่อนผม


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 09 ต.ค. 06, 20:14
 ครบ 96 ปี ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ น้อมเกล้าฯถวายบ้านทำพิพิธภัณฑ์-ห้องสมุด
   
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อ ศ.ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา อย่างหาที่สุดมิได้ เมื่อ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงเป็นประธานงาน “ร้อยใจเชิญพรชัย 8 รอบ ชนมายุวิวัฒน์” ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 96 ปี  ที่สโมสรทหารบก พร้อมเหล่านิสิตเก่าคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพร้อมใจกันใส่ชุดสีเขียวสีประจำวันเกิด “วันพุธ” ร่วมอวยพรแก่ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ ในฐานะคณบดีสตรีคนแรกของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


     สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา เข้าเฝ้าฯรับพระราชทานน้ำสังข์ จากนั้นท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ ทูลเกล้าฯ ถวายโฉนดที่ดินพร้อมน้อมเกล้าฯถวายที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 1166 ซอยสุขุมวิท 101/1 พื้นที่ 1 ไร่ 2 งาน 22.2 ตารางวา เพื่อจัดเป็นห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระปิตุจฉาส เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี


     โอกาสนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวินิจฉัยทรงแนะถึงการจัดตั้งห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์แก่คณะกรรมการ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานความคืบหน้าในการจัดทำโครงการดังกล่าวว่า “ให้เป็นการศึกษาในส่วนของพิพิธภัณฑ์บ้านจิรายุ-พูนทรัพย์ ไม่ต้องเริ่มที่ประวัติศาสตร์สมัยก่อน ให้เริ่มสมัยท่าน             ศ.ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ เลยเพราะทำอะไรไว้เยอะ ส่วนตึกห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้บ้านจิรายุ–พูนทรัพย์ ที่จะสร้างให้ดูให้โดยเฉพาะเรื่องการสร้างให้มีบริเวณพื้นที่สนามและการสร้างไม่ให้บังบ้าน”


     หลังจากบรรดาศิษย์เก่าศิษย์ใหม่และแขกกิตติม ศักดิ์ แสดงรำอวยพร ร้องเพลง และนำเค้กวันเกิดร่วมอวยพรแล้ว ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา กล่าวว่า มีความซาบซึ้งเป็นล้นพ้น โดยเฉพาะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงร่วมงาน และพระราชทานน้ำสังข์อันเป็นยอดสิริมงคลและยังทรงรับบ้านจิรายุ–    พูนทรัพย์ จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้บ้านจิรายุ-พูนทรัพย์ เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง วันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิต ซึ้งใจกับนิสิตเก่าและขอบคุณในมุทิตาจิตของทุกคน ปีนี้เจริญอายุ 96 ปียังมีสุขภาพดี พอที่จะถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์


     ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์  กล่าวถึงการดำเนินชีวิตการมีสุขภาพดีว่า “จิตใจสบาย รู้สึกทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าตัวเอง อะไรที่ทำให้คนอื่นได้ก็ทำ รับประทานอาหารปกติธรรมดาทุกอย่างเรื่อย ๆ ไม่มาก ดื่มนมเปรี้ยวบ่อย มีอยู่ระยะหนึ่งไม่สบายรักษาตัว ลูกศิษย์ดิฉันชื่อพรรณธิภาพาไปรักษากับหมอเยอรมันซ่อมเซลล์ที่สึกหรอ ส่วนเรื่องความจำสนใจจริงก็จำได้ ไม่สนใจจะจำไม่ได้  ตอนนี้เวลารดน้ำงานแต่งงานดิฉันก็ไปอยู่นะคะ ยังคล้องพวงมาลัยได้ ขออย่างเดียวไม่ขึ้นบนสเตท ขาไม่ดี ไม่ชอบให้ใครหิ้วขึ้นสเตทไม่สวยงาม”


     ในส่วนการน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินและเพื่อจัด    เป็นห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์บ้านจิรายุ–พูนทรัพย์ ท่านผู้หญิงเปิดเผยว่า มีปรัญชาอย่างหนึ่ง คือยิ่งอายุมากให้หาโอกาสทำประโยชน์ยิ่งน้อยลง ดังนั้นมีอะไรที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้านายก็ทำ เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ สิ่งใดทำได้ต้องตอบแทน.


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 09 ต.ค. 06, 20:16
 รูปท่านผู้หญิงและน้องสาว


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 09 ต.ค. 06, 20:17
ท่านผู้หญิงและน้องสาว


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 09 ต.ค. 06, 20:19
ส่งรูป 3 หนแล้วนะ ทำไมถึงไม่ขึ้นล่ะ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 09 ต.ค. 06, 20:20
รูปและเรื่องเป็นของ นสพ เดลินิวส์
ไม่รู้จริงๆ หรืออยากตั้งกระทู้


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: particle-in-a-box ที่ 09 ต.ค. 06, 21:50
 ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ ท่านเป็น คณบดีคนแรก และเป็นผู้แยกแผนกวิชาครุศาสตร์ ออกมาเป็นคณะครุศาสตร์ จากคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: ศิษย์มารบูรพา ที่ 10 ต.ค. 06, 08:36
 ขอบคุณในคำตอบที่มีให้นะครับ เรียนคุณ Malagao  ในฐานะที่ผมเป็นเยาวชนรุ่นหลัง ตามที่คุณได้ตอบ ผมก้อทราบเท่านั้นนั่นแหละครับ ผมเป็นคนชื่นชอบผู้หญิงเก่ง ๆ ครับ หลังจากได้ชมข่าวในวันนั้นก้อเลยทำให้อยากทราบประวัติส่วนตัวของท่านครับ (ไม่รู้ว่าจำผิดหรือเปล่า เพราะเคยผ่าน ๆ สายตาว่าท่านเป็นผู้อยู่ราชสกุล แต่ราชสกุลใดไม่ทราบ)


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:02
 ประวัติ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงธรรมการทรงได้รับ พระบรมราชานุญาตจัดตั้งโรงเรียนฝึกอาจารย์ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนฝึกหัดครู"
1 มกราคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษาทรงพระราชทานนามว่า "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ซึ่งโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน
26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยแผนกครุศึกษารวมอยู่ในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใช้ชื่อว่า "แผนกฝึกหัดครู" และเมื่อคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แยกจากกัน แผนกฝึกหัดครูเปลี่ยนชื่อเป็น "แผนกครุศาสตร์" สังกัดคณะอักษรศาสตร์และครุศาสตร์
10 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 มีแยกแผนกครุศาสตร์ ออกเป็นคณะครุศาสตร์ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นคณะที่ 7 ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีศาสตราจารย์ท่านผู้หญิง พูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา หัวหน้าแผนกวิชาครุศาสตร์ในขณะนั้นเป็นคณบดีคนแรก
10 มิถุนายน พ.ศ. 2500 คณะครุศาสตร์ ได้จัดตั้ง โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นเพื่อเป็นแหล่งปฏิบัติการวิจัยในการทดลองสอนของนิสิตคณะครุศาสตร์ ในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:05
 โรงเรียนสาธิตจุฬาอยู่ในสังกัดของคณะครุศาสตร์ ซึ่งเดิมทีเคยเป็นแผนกหนึ่งของ คณะอักษรศาสตร์ ต่อมาแผนก ครุศาสตร์ได้แยกตัวเป็น คณะครุศาสตร์ ในขณะนั้นมี อ.พูนทรัพย์ นพวงศ์ ฯ เป็นคณบดีได้ ดำริจะจัดตั้ง ร.ร.ฝึกหัดครูขึ้น ต่อมาจึงได้มีการจัดตั้ง ร.ร.นี้ขึ้นในฐานะร.ร.ทดลอง
อันเป็นสถานที่ฝึกสอนของนิสิตครุศาสตร์ ที่จะเป็นครูที่ดีต่อไป คณะอักษรศาสตร์
ต่อมาแผนกครุศาสตร์ได้แยกตัวเป็น คณะครุศาสตร์ในขณะนั้นมี อ.พูนทรัพย์ นพวงศ์ ฯ
เป็นคณบดีได้ดำริจะจัดตั้งร.ร.ฝึกหัดครูขึ้น ต่อมาจึงได้มีการจัดตั้ง ร.ร.นี้ขึ้น
ในฐานะ ร.ร.ทดลองอันเป็นสถานที่ฝึกสอนของ นิสิตครุศาสตร์ ที่จะเป็นครูที่ดีต่อไป


อ.พูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา

(พ.ศ.2500) กรรมการชุดแรกของ ร.ร.มีดังนี้
1. อ. พูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา
2. อ. กมลกาญจน์ เกษไสว
3. อ.พวงเพชร เอี่ยมสกุล
4. อ.ประชุมสุข อาชวอำรุง
5. อ.สำเภา วรางกูร
6. อ. ดวงเดือน พิศาลบุตร


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:28
 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส หรือ พระองค์เจ้าชายนพวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส พระนามเดิม พระองค์เจ้านพวงศ์ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๑ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ธิดาของพระอินทรอำไพ(สมเด็จเจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกับ กรมหลวงบริจาภักดี ศรีสุดารักษ์) ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ ปีมะเมียจัตวาศก จ.ศ. ๑๑๘๔ (พ.ศ. ๒๓๖๕) พระองค์เจ้านพวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสหนึ่งในสองพระองค์ที่ประสูติก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (อีกพระองค์หนึ่งคือ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็น กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส กำกับดูแลกรมล้อมพระราชวัง ต่อมาโปรดฯให้กำกับราชการกรมพระคลังมหาสมบัติ เพิ่มอีกตำแหน่ง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือน ๘ แรม ๓ ค่ำปีเถาะนพศก จ.ศ. ๑๒๒๙ (พ.ศ. ๒๔๑๐) พระชันษา ๔๖ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล นพวงศ์
พระโอรส-ธิดา
1.   หม่อมเจ้าเดช นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๕๖) เษกสมรสกับ พระวรวงศ์ธอ พระองค์เจ้าแก้วกัลยาณี
2.   หม่อมเจ้าหญิงจันทรประไพ นพวงส์ (พ.ศ. ๒๓๙๕-๒๔๗๔)
3.   พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิตราภรณ์ (พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๐๒)
4.   พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบงกช (พ.ศ. ๒๓๘๕-๒๔๕๖) เษกสมรสกับ หม่อมเจ้าจันทร์ สุประดิษฐ์
5.   หม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๖๓)
6.   หม่อมเจ้าสำเนียง นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๔๑)
7.   หม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๙๗-๒๔๕๖)
8.   หม่อมเจ้าศรีสังข์ นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๙๗-๒๔๕๖)
9.   หม่อมเจ้ากรรเจียก นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๔๕)
10.   หม่อมเจ้าหญิงปุก นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๐-?)
11.   หม่อมเจ้าขุนช้าง นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๓๑) เษกสมรสกับ นักองค์เจ้าศรีสวัสดิ์ผิว แห่งกัมพูชา
12.   หม่อมเจ้าหญิงเกสร นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๕๔)
13.   หม่อมเจ้าหญิงสุหร่าย นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๒-๒๔๖๘)
14.   หม่อมเจ้าอร่าม นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๒๑)
15.   หม่อมเจ้าอบเชย นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๓๗) เษกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์สวัสดิสรวง ดวงจักร์
16.   หม่อมเจ้าหญิงพวงผกา นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๘๒)
17.   หม่อมเจ้าเล็ก นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๔๗)
18.   หม่อมเจ้าดำ นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๓๘)
19.   หม่อมเจ้าจำรัส นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๔๗)
20.   หม่อมเจ้าโสนา นพวงศ์ (พ.ศ. ?-๒๔๒๖)
21.   หม่อมเจ้าหญิงมณฑา นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๔๑๐-?)


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:31
 หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ศาสตราจารย์หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์ เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวไทยและองคมนตรี เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีและสันสกฤต
ประวัติการศึกษา
อักษรศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วุฒิบัตรภาษาบาลีและสันสกฤต จาก วิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและอาฟริกาศึกษา มหาวิทยาลัยลอนดอน
ปริญญาโท ทางภาษาบาลีและสันสกฤต คณะบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
ปริญญาโท ทางภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา
ประวัติการทำงาน
อดีตหัวหน้าภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อดีตคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อดีตองคมนตรี


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:41
 พระตำหนักวินเซอร์

เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๘๐ ปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยได้จัดทำดวงตราไปรษณีย์ไว้ชุดหนึ่ง เพื่อเป็นที่ระลึกในการนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคือรูป “พระตำหนักวินเซอร์” ยังความสงสัยให้กับใครหลาย ๆ คนในการหาเหตุผลที่นำภาพพระตำหนักวินเซอร์มาเป็นสัญลักษณ์แทนการครบรอบ ๘๐ ปี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้แต่ชาวจุฬาฯ เองโดยเฉพาะนิสิตรุ่นหลัง ๆ
เพื่อแก้ไขข้อสงสัยจึงเข้าไปเรียนสัมภาษณ์ ฯพณฯ ศ.ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ ท่านเป็นปูชนียบุคคลทางด้านภาษาและวรรณคดีไทย จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา จากนั้นกลับมารับราชการที่คณะอักษรศาสตร์ เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ได้รับเชิญเป็นศาสตราจารย์พิเศษสอนที่ภาควิชาภาษาไทยและภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการในด้านต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งได้รับปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาไทยจากจุฬาฯ นิสิตเก่าอักษรศาสตร์จุฬาฯ ดีเด่น ฯลฯ หลังจากนั้น ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี จนถึงปัจจุบัน
ท่านเล่าว่า ท่านเป็นนักเรียนทุนของกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และได้เข้าเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ในสมัยนั้น พ.ศ. ๒๔๗๓ หลักสูตรที่เรียนครั้งแรกเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรครูมัธยมหลักสูตร ๓ ปี ๒ ปีแรกเรียนวิชาการทั่ว ๆ ไป เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี ประวัติศาสตร์ ฯลฯ เรียนที่ ตึกอักษรเก่า และตึกคณะวิทยาศาสตร์ (ตึกขาว) ห้อง ๒๐๐ พอขึ้นปีที่ ๓ จึงย้าย ไปเรียนที่ พระตำหนักวินเซอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นสนามศุภชลาศัยหรือสนามกีฬาแห่งชาติในปัจจุบัน วิชาเรียนชั้นปีที่ ๓ เป็นวิชาครูเมื่อจบปีที่ ๓ แล้วจะต้องออกฝึกสอน (ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ) ๑ ปี โรงเรียนที่ทางมหาวิทยาลัยใช้เป็นโรงเรียนฝึกสอนคือ โรงเรียนหอวัง ซึ่งก็อยู่ในบริเวณพระตำหนักวินเซอร์นั่นเอง นอกจากโรงเรียนหอวังแล้วยังมีโรงเรียนอื่น ๆ ภายนอกด้วย ท่านเป็นนักเรียนทุนได้เงินเดือน เดือนละ ๑๕ บาท ได้อยู่หอพักฟรีซึ่งหอพักมี ๔ หลัง ตั้งอยู่หลังพระตำหนักวินเซอร์ เรียกว่า ก ข ค ง หอพักอาคาร ก และ ง เป็นอาคารเตี้ย อาคารหอพัก ข และ ค เป็นอาคารใต้ถุนสูง ชั้นล่างใช้เป็นที่รับประทานอาหารและทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย ท่านอาจารย์เล่าว่า รู้สึกประทับใจหอวังมาก มีอาคารหอพัก นิสิตอยู่สบายดี ห้องใหญ่ มีเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือพร้อม แต่เวลานอน ต้องกางมุ้งเพราะยุงชุมมาก ปกติจะอ่านหนังสือนอกห้องพัก แต่พอใกล้สอบนิสิตหลายคนก็จะเอาโต๊ะทำงานเข้าไปตั้งในมุ้ง ท่องหนังสือ และทำงานในมุ้ง พอง่วงมาก ๆ ก็จะมุดลงไปนอนใต้โต๊ะนั้น ตอนนั้น พระยาภะรตราชา เป็นผู้ดูแลหอพัก ซึ่งก็มีตำแหน่งเป็นอนุสาสกเช่นกัน พระยาภะรตราชาท่านเป็นคนเข้มงวดมาก คอยกวดขันความประพฤติของนิสิต เช่น คอยเตือนไม่ให้นิสิตนั่งไขว่ห้างฟังคำบรรยาย เป็นต้น
สำหรับพระตำหนักวินเซอร์ เป็นอาคาร ๓ ชั้น มีบันไดขึ้นลงตรงกลาง พระตำหนักนี้เดิมเป็นของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ต่อมาจึงใช้เป็นอาคารเรียนของมหาวิทยาลัย อาคารชั้น ๒ มีห้องเรียนสำหรับเรียนวิชาครูนอกจากนี้ยังใช้เป็นอาคารของโรงเรียนหอวังด้วย ท่านจำได้ว่าอาจารย์ ๒ ท่าน ที่สอนเมื่อครั้งเรียนชั้นปีที่ ๓ ที่พระตำหนักวินเซอร์ คือ อาจารย์ เอส เอช โอนีล และ หลวงปราโมทย์ จรรยาวิภาต นอกจากนั้นยังมีอาจารย์อีกหลายท่าน อาทิ หลวงวิจิตรวาทการ ม.จ.ทองฑีฆายุ ทองใหญ่ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ส่วนด้านหลังของพระตำหนักวินเซอร์มีสนามเทนนิสอีก ๓-๔ สนามสำหรับนิสิต ด้านหน้าพระตำหนักเป็นสนามฟุตบอล ซึ่งกีฬาทั้งสองชนิดเป็นที่นิยมของนิสิตในสมัยนั้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๓ นั้นเริ่มมีนิสิตหญิงเข้ามาเรียนแล้วที่ท่านจำได้ก็มี คุณหญิงอุบล หุวะนันท์ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา สมัยนั้นเรียกนิสิตหญิงว่า “นิสิตตา” สำหรับนิสิตชาย เรียกว่า”นิสิต” สำหรับรุ่นนี้มี ๒๐ คน กิจกรรมที่ขึ้นชื่อในครั้งนั้นคือการแสดงละครประจำปีของมหาวิทยาลัยจัดเป็นกิจกรรมรวมของนิสิตและนิสิตตาของทุกคณะแบ่งหน้าที่กันทำ บางกลุ่มรับผิดชอบทำเวที ทำฉาก บางกลุ่มรับผิดชอบเรื่องการเงิน ศาสตราจารย์ ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ เคยเป็นเหรัญญิกของงานนี้ การออกร้านก็เป็นงานในความรับผิดชอบของนิสิต นิสิตตา ขายและบริการกันเอง ในฐานะเหรัญญิกของงาน ท่านเล่าว่ามีงบประมาณจัดแสดงละครประจำปีเพียง ๔,๐๐๐ บาท เท่านั้น ฟังดูน้อย แต่ก็นับว่ามากอยู่ในสมัยเมื่อ ๖๐ ปีก่อน
เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ประกาศนียบัตรครูมัธยม (ป.ม.) เป็นรุ่นที่ ๓ ก็ออกไปรับราชการสอนหนังสือที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตรได้เงินเดือน ๆ ละ ๘๐ บาท รู้สึกสบายมาก เพราะเคยได้เดือนละ ๑๕ บาทเท่านั้น พอสอนหนังสือได้ ๑ ปี ทราบว่าทางจุฬาฯ เปิดหลักสูตรปริญญาอักษรศาสตร์วิทยาศาสตร์ เป็นหลักสูตร ๔ ปี ซึ่งถ้าจะกลับมาเรียนก็เรียนเพิ่มอีก ๒ ปี เนื่องจากเรียนไปแล้ว ๒ ปี แต่จะกลับมาเรียนทันทีไม่ได้ เพราะรับทุนกระทรวงฯ ไว้ ต้องทำงานใช้หนี้ก่อน อย่างไรก็ตามได้พยายามกลับมาเรียนให้ได้ โดยไปขอให้เปิดสอนตอนบ่ายบ้าง ขออนุญาตทางกระทรวงฯ บ้าง ขณะนั้น พระตีรณสารวิศวกรรม เป็นปลัดกระทรวงฯ อยู่ ในที่สุดก็ได้กลับมาเรียนในหลักสูตรปริญญาบัณฑิต นิสิตที่กลับมาเรียนหลักสูตรนี้ก็จะมีนิสิตเก่าที่จบไปแล้ว รุ่นที่ ๑ และ ๒ รวมกับรุ่น ๓ ด้วย ฯพณฯ องคมนตรี ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ สำเร็จอักษรศาสตรบัณฑิต ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ นับเป็นอักษรศาสตรบัณฑิตรุ่นที่ ๑
ท่านยังเล่าเสริมอีกว่า บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ในตอนนั้นเป็นป่าจามจุรี ร่มครึ้ม ส่วนบริเวณพระตำหนักวินเซอร์ เต็มไปด้วยป่าไม้ประดู่ลำต้นสูงใหญ่ ถ้าเดินผ่านตอนกลางคืนก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ต่อมาอาคารพระตำหนักวินเซอร์ก็รื้อไปเมื่อทางราชการจะเอาสถานที่นี้ไปสร้างสนามกีฬาแห่งชาติ ทำให้บรรดาผู้ที่เคยร่ำเรียนที่พระตำหนักวินเซอร์โกรธมาก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นต้นคิดถูกโกรธเป็นอันดับหนึ่ง
ก่อนจะจบการสนทนา ท่านได้กล่าวฝากถึงนิสิตเก่าและนิสิตปัจจุบันไว้หลายประการคือ
“ขอให้ทุกคนมีความรักความผูกพันต่อกัน ต่อจุฬาฯ โดยให้ลองถามตัวเองว่าเราได้อะไรไปจากจุฬาฯ บ้าง เราทำอะไรให้แก่จุฬาฯ บ้างหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ทำ คิดหรือยังว่าจะทำอะไร นอกจากนี้ก็ขอให้ระวังเรื่องกิริยามารยาท เพราะกิริยามารยาทเป็นดัชนีชี้วงศ์สกุล (สำเนียงบอกภาษา กิริยาบอกสกุล)”
“สำหรับนิสิตใหม่ก็ขอให้ตั้งใจเรียนหาความรู้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองและประเทศชาติ ขอให้ประพฤติตนเป็นคนดี คำนึงถึงคุณธรรม ความรู้ต้องคู่คุณธรรมเพราะสองสิ่งนี้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ถ้ามีสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว ก็จะไม่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ”
จาก นิตยสารจามจุรี
ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ตุลาคม 2540
ฯพณฯ ศ.ม.ล.จิรายุ นพวงศ์
องคมนตรี  


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:43
 ในช่วงเวลา ๑๐ ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้หารือกันอยู่เสมอๆ ว่า ชาติไทยมีวันสำคัญประจำชาติมากมาย แต่ยังไม่มีวันภาษาไทยแห่งชาติ ทั้งๆที่ภาษาไทยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งอันแสดงถึงความเป็นชาติไทย แสดงถึงสังคมที่มีความเป็นปึกแผ่นและมีภาษาใช้ร่วมกัน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยซึ่งมีท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา เป็นประธานพิจารณาเห็นว่า คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นด้วยเจตนาจะให้ทำหน้าที่หลายประการ อันตีความได้ดังนี้คือ รณรงค์ให้ประชาชนชาวไทยเห็นความสำคัญของภาษาไทย รณรงค์ให้ชาวไทยใช้ภาษาไทยได้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นภาษากลางหรือภาษาถิ่น รณรงค์เพื่อให้ภาษาไทยยังคงยืนยาวอยู่ในสังคมเป็นต้น ด้วยเหตุเหล่านี้คณะกรรมการชุดนี้จึงน่าจะมีหน้าที่เช่นกันในการรณรงค์ให้มีวันภาษาไทยแห่งชาติด้วย กล่าวคือ หาวิธีการและดำเนินการจัดตั้งวันภาษาไทยแห่งชาติให้สำเร็จ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยจึงได้เริ่มดำเนินการเสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ โดยเริ่มต้นจากหลักการและเหตุผลดังนี้

หลักการและเหตุผล

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ จึงกล่าวได้ว่าภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ ซึ่งสมควรจะได้รับการทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้เกิดเทคนิคใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเน้นความสะดวกและความรวดเร็วเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ ภาษาไทยซึ่งเป็นสื่อกลางสำคัญในการติดต่อและผูกพันต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยก็ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของความเจริญก้าวหน้าดังกล่าว ทำให้ภาษาไทยที่ใช้ปัจจุบัน ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง สภาพการณ์เช่นนี้หากไม่เร่งรีบหาทางแก้ไขและป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ นับวันภาษาไทยก็จะยิ่งเสื่อมลง เป็นผลเสียต่อเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทยตลอดมา จึงได้พิจารณาเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะเสนอรัฐบาลไทยให้จัดตั้ง “วันภาษาไทยแห่งชาติ” ขึ้น เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” และ “วันสื่อสารแห่งชาติ” เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อที่จะช่วยกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ทั้งนี้ โดยเห็นควรกำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ”

ส่วนเหตุผลที่กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ” นั้นมีความเป็นมาดังนี้

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งสอบถามความเห็นผู้ทรงคุณวุฒิในวงการภาษาไทยหลายท่านแล้ว ในที่สุดเห็นพ้องต้องกันว่า ควรกำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ” ทั้งนี้เพราะวันดังกล่าว มีความสำคัญต่อวงการภาษาไทยอย่างยิ่ง เนื่องด้วยตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ทรงเปิดการอภิปรายในหัวข้อ “ปัญหาการใช้คำไทย” ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปรายอย่างดีเยี่ยม แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทย เป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และในโอกาสต่อๆ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส เช่น ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปัญหาในการใช้ภาษาไทยของประชาชนชาวไทยในปัจจุบัน ในวโรกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการและองค์กรเอกชนเข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๓๕ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สุดมิได้แก่วงการภาษาไทย

การจัดตั้งวันภาษาไทยแห่งชาติเมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๒ ดังกล่าวถึงความเป็นมาในเบื้องต้นแล้วนั้น มีวัตถุประสงค์หลัก ๕ ประการ คือ

๑. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย

๒. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒

๓. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

๔. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น

๕. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ขั้นตอนการดำเนินงาน

หลังจากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พิจารณาโครงการอย่างรอบคอบแล้ว ได้นำเสนอต่อที่ประชุมคณบดีและที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเพื่อขอความเห็นชอบตามลำดับ จากนั้นจึงเสนอโครงการผ่านทบวงมหาวิทยาลัยไปยังคณะรัฐมนตรีตามระเบียบและขั้นตอน

ระหว่างนั้นคณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยได้จัดกิจกรรมทางภาษาไทยให้เอิกเกริกเป็นพิเศษกว่าที่เคยจัดเป็นปรกติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งวันภาษาไทยแห่งชาติ กล่าวคือได้จัดการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง พระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

ในวันภาษาไทยแห่งชาติครั้งแรก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เชิญ ฯพณฯ องคมนตรี หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์ กล่าวประกาศเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ นอกจากนั้น ยังจัดการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านภาษาไทย นับเป็นการเฉลิมฉลองวันภาษาไทยแห่งชาติครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นอกจากนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้เชิญชวนให้สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน จัดกิจกรรมเนื่องใน “วันภาษาไทยแห่งชาติ” ในวันภาษาไทยแห่งชาติครั้งแรกและจัดเป็นประจำทุกปี

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ในการเสนอขอจัดตั้งวันภาษาไทยแห่งชาติดังกล่าว คณะกรรมการฯ คาดว่าจะมีผลดีสืบเนื่องหลายประการ คือ

๑. การมี “วันภาษาไทยแห่งชาติ” จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ “ภาษาประจำชาติ” ของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ

๒. บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

๓. ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:51
 ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าไว้เรื่องหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) วัดบวรนิเวศฯ นอกจากเป็นพระอุปัชฌาย์ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้อาจารย์คุณชายคึกฤทธิ์ ท่านสนิทสนมคุ้นเคยกัน เฉกเช่นบุคคลที่ควรเคารพของอาจารย์คุณชาย อันเป็นมงคล 1 ใน 38 ประการ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:53
 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระราชธิดาองค์ที่สองใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
                         -สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) พระราชอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ถวายพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร เทพรัตนสุดา กิติวัฒนากุลโสภาค”


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:55
 วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ย่านบางลำภู เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหารถึงจะเป็นวัดที่ไม่ใหญ่โตนักก็ตามวัดนี้สร้างมาช้านานแล้ว แต่ก่อนยังเป็นวัดเล็กๆ ต่อมาตอนหลังในรวมเอาวัดรังษีมารวมเข้าด้วยกันเลยทำให้วัดนี้ใหญ่โตขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดนี้ มีดังนี้

พระวชิรญาโณภิกขุ( พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวิริยาลงกรณ์( กรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธ์)

สมด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส(พระองค์เจ้ามนุสสนาคมานพ พระโอรสในรัชกาลที่4)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิญาณวงศ์(ม.ร.ว. ชื่น สุจิตโต นพวงศ์ป.ธ.7)

พระพรมมุนี(ผิน สุวโจ ธรรมประธีป ป.ธ.6)

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฒโน คชวัตร ป.ธ. 9 เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน)
เจ้าอาวาสวัดบวรฯนั้นส่วนมากจะเป็นพระเชื้อพระวงศ์ ในที่นี่จะขอเขียนถึงเจ้าอาวาสองค์ที่4 คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิญาณวงศ์ ทรงมีนามเดิมว่าหม่อมราชวงชื่น นพวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสของหม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ และหม่อมเอม นพวงศ์ ณ อยุธยาประสูติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ 2415 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก

เมื่อทรงพระเยาว์ ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร และได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2428 โดยมีพระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตโต) วัดบวรฯเป็นพระอุปัชฆาย์และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2435 ทรงเจริญพระชนมายุครบอุปสมบท จึงทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2435 โดยมีพระพรหมมุนี (แฟง กิตติสาโร) วัดมกุฏกษัตริย์ยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวดรรส ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ทรงได้รับพระนามฉายาว่า สุจิตโต ท่านสอบได้นักธรรมเอกครั้งที่ยังเป็นสามเณรและสอบได้เปรียญธรรมถึง 5 ประโยค หลังจากที่บวชเป็นพระสงฆ์แล้วทรงสอบได้เปรียญธรรมถึง 7 ประโยค ซึ่งถือว่าสูงแล้วในสมัยนั้นต้องเป็นผู้มีความรอบรู้และความสามารถอย่างมาก พ.ศ 2439 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญที่พระคุณคณาภรณ์ พ.ศ. 2446 ได้รับพระราชทานสมศักดิ์พระราชาคณะ ชั้นเทพพิเศษเสมอชั้นธรรมที่พระญาณวราภรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2455

ต่อมาเมื่อในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2471 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทาน สถาปนาพระญาณวราภรณ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์และดำรงตำแหน่งใหญ่ฝ่ายธรรมยุต

จนถึงปี พ.ศ.2487 สิ้นพระชนม์คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล ได้ประกาศสถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปี พ.ศ.2488 และเมื่อปี พ.ศ.2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาโดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ และถวายพระนามว่า ภูมิพโล และเสด็จประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 รวม 15 วัน

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงประกอบพระกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เป็นอเนกอนันต์ที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาเป็นที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นอย่างยิ่ง จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2501 เวลา 01.08 นาฬิกา ณ สามัคคีพยาบาล โรงพยาบาลจุฬลงการณ์สภากาชาติไทย สิริพระชนมายุได้ 85 พระชันษา 110เดือนกับอีก 19 วัน ยังความอาลัยแกประชาชนชาวไทยและพระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศ

 
การสร้างพระเครื่อง ในวโรกาสที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ 2495 ได้มีการจัดกิจกรรมถวายพระเกียรติทั้งพระราชพิธีและรัฐพิธี เช่นพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุถวาย การขัดกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาลเช่นการออกร้านค้า แสดงกิจกรรมเผยแพร่ผลงานของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การเปิดปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานต่างๆ ที่สำคัญของวัดบวรฯ เช่นพระอุโบสถ พระวิหารพระศาสดา พระเจดีย์ พระไพรีพินาศ ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสักการะบูชาเป็นกำหนดเวลาถึง 3 วัน

ครั้นเมื่องานฉลองพระชนมายุครบ80 พรรษาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ได้มีการประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัย(พุทธลักษณะเหมือนพระพุทธชินสีห์) เพื่อเป็นที่ระลึกแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า มีขนาดหน้าตัก 100 ซม. พระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามว่า พระพุทธทีฆายุมหมงคล หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหลวงพ่อดำที่ประดิษฐานอยู่ในซุ้มวิหารพระศาสดา ว่ากันว่าหลวงพ่อดำนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงพ่อพระไพรีพินาศและพระศาสดา


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 09:57

คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน


พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น นภวงศ์)

วัดบวรนิเวศวิหาร

พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


คัดลอกจาก http://mahamakuta.inet.co.th/buddhism/somdet/somdet13.htm



ภูมิลำเนาเดิม
เป็นพระโอรสในหม่อมเจ้าถนอม และหม่อมเอม

วันประสูติ
๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ วันศุกร์ แรม ๗ ค่ำเดือน ๑๒


ปีวอก จ.ศ. ๑๒๘๔ ในรัชกาลที่ ๕

วันสถาปนา
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชกาลที่ ๘

วันสิ้นพระชนม์
๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระชนมายุ
๘๕ พรรษา   ๑๑ เดือน


ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี ๑๐ เดือน




พระประวัติเบื้องต้น

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระนามเดิมหม่อมราชวงศ์ชื่นทรงเป็นโอรสหม่อมเจ้าถนอม และหม่อมเอม ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา จึงทรงเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฏพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงเนื่องในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เพราะกรมหมื่นมเหศวรวิลาสและพระอนุชา คือ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร (พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ วรฤทธิราชมหามกุฏ บุรุษยรัตนราชวโรรส) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นธิดาของพระอินทรอไภย (เจ้าฟ้าทัศไภย) โอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ราชพัสดุของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีบางอย่างที่ทรงได้รับสืบต่อมา เช่น พระแท่นหินอ่อนยังอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร) ส่วนหม่อมเอมเป็นธิดาพระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ (จุ้ย) ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (พญาเจ่ง) ต้นสกุลคชเสนี

เมื่อมีพระชนมายุพอจะเป็นมหาดเล็กได้ ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ฯ สยามมกุฏราชกุมารในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็น “คะเด็ด” ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ มีหน้าที่ตามเสด็จรักษาพระองค์ทำนององครักษ์ เวลาอยู่ประจำการตามหน้าที่ ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน ได้พำนักอยู่ ณ ตำหนัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ (ชั้น ๔) พระองค์เจ้าศรีนาคสวาดิ ซึ่งทรงเป็นผู้อุปการะและอบรมสั่งสอน

ทรงบรรพชา

เมื่อมีพระชนมายุเจริญขึ้นแล้ว ได้ทรงออกจากวังและได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระพรหมมุนี (สุมิตฺตตฺเถร เหมือน) วัดบรมนิวาส เป็นพระอุปัชฌายะในขณะที่ทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ปรากฏในหนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร

ว่า ในระยะหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ไม่ค่อยได้ทรงเป็นพระอุปัชฌายะ แม้ในวันนี้ก็ไม่ทรงรับเป็น พระอุปัชฌายะ แต่โปรดให้บวชอยู่ในวัดได้ต้องถือพระอุปัชฌายะอื่น ในระหว่างที่ทรงเป็นสามเณร ได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไปประทับอยู่ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งในขณะนั้น ม.ร.ว.ชุบ (พระยานครภักดีฯ) ผู้เป็นพี่ได้อุปสมบทอยู่ที่วัดมกุฏฯ และต่อมาได้ตามเสด็จ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร ในปลายสมัย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อทรงบรรพชาแล้ว ได้ทรงศึกษาพระปริยัติธรรม กับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และทรงศึกษาจากพระอาจารย์อื่นบ้าง เช่น หม่อมเจ้าพระปภากร, พระสุทธสีลสังวร (สาย) ได้ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ สอบไล่ได้เปรียญ ๕ ประโยค เมื่อยังทรงเป็นสามเณร

ทรงอุปสมบท

ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระพรหมมุนี (กิตฺติสารตฺเถรแฟง) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระอุปัชฌายะ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อทรงดำรงพระยศเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทั้งการบรรพชาในครั้งก่อนและการอุปสมบทในครั้งนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานพระราชูปถัมภ์และได้พระราชทานพระราชูปถัมภ์ตลอดมา

ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูง และเป็นที่ประชุมแปลสอบไล่ เรียกว่าเป็นส่วนวิทยาลัยแผนกหนึ่งจัดโรงเรียนขึ้นตามพระอารามเป็นสาขาของวิทยาลัยอีกแผนกหนึ่ง ฉะนั้น การสอบไล่พระปริยัติธรรมจึงสอบได้ ๒ แห่ง คือ สนามหลวงแห่ง ๑ สนามมหามกุฏราชวิทยาลัยแห่ง ๑ (ต่อมา ทรงเลิกสนามมหามกุฏ ฯ) เปรียญผู้สอบได้ ทรงตั้งให้เป็นเปรียญหลวงเหมือนกัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (เวลานั้นทรงเป็น ม.ร.ว.พระชื่น เปรียญ) ได้ทรงเป็นครูรุ่นแรกของโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นสาขาที่ ๑ ของวิทยาลัย ที่เปิดพร้อมกันทุกโรงเรียน และพร้อมกับเปิดมหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ นั้น.

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้เคยรับสั่งเล่าว่า มีพระประสงค์จะสอบไล่เพียง ๕ ประโยคเท่านั้น จะไม่ทรงสอบต่อ ทรงตามอย่างสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ซึ่งทรงสอบเพียงเท่านั้น เพื่อมิให้เกินสมเด็จพระบรมชนกนาถ แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯโปรดให้สอบต่อไป และทรงคัดเลือกส่งเข้าสอบสนามหลวง หลังจากที่ทรงอุปสมบทแล้ว จึงทรงสอบต่อได้เป็นเปรียญ ๗ ประโยค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เมื่อทรงอุปสมบทได้ ๓ พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระสุคุณคณาภรณ์

ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงเริ่มจัดการพระศาสนา ทั้งการศึกษา ทั้งการปกครอง ทั้งการอื่น ๆ ดังที่ปรากฏผลอยู่ในปัจจุบันนี้ ในเบื้องต้น เมื่อยังไม่ทรงมีอำนาจที่จะจัดในส่วนรวม ก็ได้ทรงจัดในส่วนเฉพาะคือ ได้ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น อันนับเป็นส่วนเฉพาะคณะธรรมยุต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงมีส่วนร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ มาตั้งแต่ต้นในการงานหลายอย่าง กล่าวคือ

พระภารกิจในการคณะสงฆ์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์บำรุงการศึกษามณฑลหัวเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ทรงเป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษา โปรดให้บังคับพระอารามในหัวเมือง ซึ่งเป็นส่วนการพระศาสนา และการศึกษาได้ ทั้งในมณฑลกรุงเทพฯ ทั้งในมณฑลหัวเมือง ตลอดพระราชอาณาจักร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็นเจ้าหน้าที่จัดการอนุกูลในกิจที่ฝ่ายฆราวาสจะพึงทำ มีจัดการพิมพ์แบบเรียนต่าง ๆ ที่จะพระราชทานแก่พระภิกษุสงฆ์ไปฝึกสอน เป็นต้น ตลอดจนการที่จะเบิกพระราชทรัพย์จากพระคลังไปจ่าย ในการที่จะจัดตามพระราชประสงค์นี้ และโปรดเกล้า ฯ ให้ยกโรงเรียนพุทธศาสนิกชน ในหัวเมืองทั้งปวง มารวมขึ้นอยู่ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ เพื่อจะได้เป็นหมวดเดียวกัน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงเลือกสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระสุคุณคณาภรณ์ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลจันทบุรีในศกนั้น

พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕)

อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดการพระศาสนา และการศึกษาในหัวเมือง

พระภารกิจทางการศึกษา

ส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาทั้งแผนกธรรมและบาลี ในสมัยพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงเลือกพระเถระ ให้เป็นแม่กองสอบไล่ธรรม และบาลีตามวาระ ทั้งในมณฑลกรุงเทพฯ และมณฑลหัวเมือง ก็ได้ทรงรับเลือกให้เป็นแม่กองสอบไล่พระปริยัติธรรมหลายคราว เช่น ทรงเป็นแม่กองสอบไล่มณฑลปัตตานี ได้ทรงเป็นแม่กองสอบไล่มณฑลอยุธยา ทั้งระหว่างที่ทรงเป็นเจ้าคณะมณฑลนั้น และทรงได้รับเลือกเป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ แม่กองบาลีสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗

พระภารกิจในคณะธรรมยุต

เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงมีพระชราพาธเบียดเบียน ไม่เป็นการสะดวกที่จะทรงปฏิบัติพระภารกิจในฐานะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้ทรงมอบหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ให้ทรงบัญชาการแทน ด้วยลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๗๗ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้น สิ้นพระชนม์ ใน พ.ศ. ๒๔๘๐ จึงได้ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติกา ตามแบบปกครองในคณะธรรมยุตสืบมา

เมื่อทรงรับหน้าที่ปกครองคณะธรรมยุตแล้ว ได้ทรงจัดการปกครองคณะธรรมยุต ที่สำคัญหลายประการ

สมเด็จพระมหาสังฆปริณายก

พ.ศ. ๒๔๘๗ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศน์ สิ้นพระชนม์ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามเดิม

ถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเฉลิมพระนามให้เต็มพระเกียรติยศ ตามราชประเพณี เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๙๓

ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์

การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งดำเนินมาเป็นลำดับเกิดความ ขัดข้องในการปกครองหลายประการ เป็นเหตุให้การคณะสงฆ์ดำเนินไปไม่เรียบร้อย เพื่อแก้ไขข้อข้องต่าง ๆ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ในฐานะองค์สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระบัญชา เรียกประชุมพระเถระทั้ง ๒ ฝ่าย มาพิจารณาตกลงกันที่พระตำหนักเพ็ชร เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ พระเถระทั้ง ๒ ฝ่าย ได้ตกลงกัน

ทรงกรม

พ.ศ. ๒๔๙๙ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาพระสมณศักดิ์และฐานนันดรศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระภารกิจด้านมหามกุฏราชวิทยาลัย

ในทางมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็ได้ทรงมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรม ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง กล่าวคือ ได้ทรงเป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานอาราธนาบัตรทรงตั้งมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ ขณะทรงเป็นหม่อมราชวงศ์พระชื่น เปรียญ พรรษา ๒

ต่อมาได้ทรงเป็นอุปนายกกรรมการ ในสมัยที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นนายกกรรมการ

พ.ศ. ๒๔๗๖ ทรงได้รับมอบหน้าที่การงานในตำแหน่งนายกกรรมการ จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๗๖) เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงได้รับเลือกเป็นนายกกรรมการ ตลอดมา

ในสมัยที่ทรงเป็นนายกกรรมการ ได้ทรงฟื้นฟู และปรับปรุงกิจการของมหามกุฏ ฯ หลายอย่างเป็นต้นว่า

ในด้านการบริหาร ได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายบรรพชิตเป็นผู้ปฏิบัติงานอำนวยการต่าง ๆ เกี่ยวแก่ธุรการทั่วไปบ้าง เผยแผ่ปริยัติธรรมบ้าง ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ปรับปรุงเจ้าหน้าที่ฝ่ายคฤหัสถ์ วางระเบียบต่าง ๆ ให้เหมาะสมและตราสารมูลนิธิ ซึ่งได้จดทะเบียนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๗๖ ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วัดราชบพิธ) ทรงเป็นนายกกรรมการ ได้จดทะเบียนแก้ไขอีกหลายคราว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้บัญญัติประมวลระเบียบบริหารมูลนิธิ ตามความในตราสาร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงแสดงพระประสงค์ให้คฤหัสถ์เป็นผู้จัดการในเรื่องทรัพย์สินของมูลนิธิให้พระเป็นแต่ผู้ควบคุมเท่านั้น ตามควรแก่กรณี

ในด้านการบำรุงและอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ได้วางระเบียบบำรุงการศึกษา อบรม แก่สำนักเรียนต่าง ๆ รับอบรมนักเรียน ครู นักเรียนปกครอง ที่ส่งเข้ามาจากจังหวัดนั้น ๆ ส่งครูออกไปสอนในสำนักเรียนที่ขาดครูบ้าง บำรุงสำนักเรียนต่าง ๆ ด้วยทุนและหนังสือตามสมควร กำหนดให้มีรางวัลเป็นการส่งเสริมสำนักเรียนที่จัดการศึกษาได้ผลดี

จัดตั้งหอสมุดมหามกุฏ ฯ (ตามคำสั่ง วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘) ตั้งสภาการศึกษามหามกุฏ ฯ เป็นรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา (ตามคำสั่ง วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘) เปิดเรียนเป็นปฐม เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙

ในด้านการเผยแพร่ ฟื้นฟูการออกหนังสือนิตยสารธรรมจักษุรายเดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๖ จัดตั้งโรงพิมพ์มหามกุฏ ฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๗๘ จัดพิมพ์คัมภีร์พระธรรมเทศนาใช้กระดาษแทนใบลานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ บัดนี้เรียกว่า “มหามกุฏเทศนา” จัดส่งพระไปทำการเผยแผ่ในส่วนภูมิภาคตามโอกาส

ในด้านต่างประเทศ ได้จัดส่งพระไปจำพรรษาที่ปีนัง ในความอุปถัมภ์ของ ญาโณทัย พุทธศาสนิกสมาคม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๒ ได้ส่งพระไปร่วมสมโภชฉลองพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุของพระสารีบุตรเถระ และพระโมคัลลานเถระ ตามคำเชิญของเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้ให้อุปการะส่วนหนึ่งแก่พระที่เดินทรงไปสังเกตการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศอินเดีย และลังกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘

พระกรณียพิเศษ

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้เสด็จไปบูชาปูชนียสถาน และดูการพระศาสนาที่ลังกา อินเดีย และพม่า ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ กลับถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๗๘

ผลงานพระนิพนธ์

พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้ชำระพระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ แล้วโปรดให้จัดพิมพ์ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาทรงพระราชอุทิศพระกุศลถวาย สนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงชำระ ๒ เล่ม

ทรงชำระอรรถกถาชาดก ที่สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้ชำระพิมพ์ ในโอกาสที่มีพระชนมายุ ๖๐ พรรษาบริบูรณ์ รวม ๑๐ ภาค

ส่วนหนังสือทรงรจนา หรือที่บันทึกจากพระดำรัสด้วยมุขปาฐะ เป็นต้นว่า

ศาสนาโดยประสงค์ (พิมพ์หลายครั้ง)

พระโอวาทธรรมบรรยาย ๒ เล่ม (พิมพ์หลายครั้ง)

ตายเกิดตายสูญ (พิมพ์หลายครั้ง)

ทศพิธราชธรรม พร้อมทั้งเทวตาทิสนอนุโมทนากถา และ สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และขัตติยพละ ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์ในงานฉลองพระสุพรรณบัฏ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๔๙๓

พุทธศาสนคติ คณะธรรมยุต พิมพ์ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐

บทความต่าง ๆ รวมพิมพ์เป็นเล่มตั้งชื่อว่า “ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น” (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา พ.ศ. ๒๕๐๑)

พระธรรมเทศนา ทศพิธราชธรรม ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลปัจจุบัน พระธรรมเทศนาศราทธพรต ในคราวถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล และพระโอวาทในโอกาสต่าง ๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระสังฆราชเจ้าครั้งนี้ด้วย

พระธรรมเทศนา “วชิรญาณวงศ์เทศนา” รวม ๕๕ กัณฑ์ คณะธรรมยุตพิมพ์เป็นเล่มและมหามกุฏ ฯ พิมพ์เป็นคัมภีร์ “มหามกุฏเทศนา” ในคราวพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ครั้งนี้

ทีฆาวุคำฉันท์ (พิมพ์หลายครั้ง)

ประชวรใหญ่ครั้งแรก

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ประชวรโรคนิ่วในถุงน้ำดี ต้องเสด็จไปประทับ ณ

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ได้ถวายการผ่าตัด ๒ ครั้ง ตัดถุงน้ำดีออก ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ คณะศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ ได้ดำเนินการสร้างตึกสำหรับพระภิกษุสามเณรผู้อาพาธขึ้น ๑ หลัง ให้แก่โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ เป็นที่ระลึกในการหายประชวรครั้งนั้น แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ประทานนามว่า “ตึกสามัคคีพยาบาร” โปรดใช้คำว่า “พยาบาร” ซึ่งเป็นศัพท์บาลีที่มีอยู่แล้ว (พยาปาร หรือ วฺยาปาร แปลว่า ขวนขวาย, ช่วยธุระ, กิจกรรม) แทนคำว่า “พยาบาล” ซึ่งเป็นศัพท์ผูกใหม่

พระราชปัธยาจารย์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ เยี่ยมพระอาการในคราวประชวรนี้หลายครั้งและได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์โดยตลอดทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชปาณิธานอย่างแน่นอนว่า เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าหายประชวร จะทรงผนวชและสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็หายประชวรได้อย่างน่าประหลาด จึงได้ตกลงพระราชหฤทัยจะทรงผนวช ด้วยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่ทรงถือว่า ได้ทรงมีคุณูปการส่วนพระองค์มามาก เป็นพระอุปัชฌายะ สนองพระเดชพระคุณพระราชบุรพการี ตามคตินิยมราชประเพณี ได้เสด็จฯ มาเฝ้าถวายเครื่องสักการะ แสดงพระองค์เป็นอุปสัมปทาเปกข์ (ผู้ประสงค์อุปสมบท) ในสำนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๙๙

ครั้นถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ ได้เสด็จทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในสังฆสมาคม ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระราชอุปัธยาจารย์เป็นประธานในการอุปสมบทกรรม เสร็จเวลา ๑๖.๒๓ นาฬิกา แล้วเสด็จฯ พระอุโบสถ พระพุทธรัตนสถาน ทรงประกอบการทัฬหีกรรมตามขัตติยราชประเพณี ในสังฆสมาคมฝ่ายธรรมยุต ๑๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นประธาน เสร็จเวลา ๑๗.๔๓ นาฬิกา แล้วเสด็จฯ โดยรถพระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สู่วัดบวรนิเวศวิหาร ในท่ามกลางประชาชน ที่มาเฝ้าพระบารมีอย่างแน่นขนัดสองฟากถนนตลอดถึงวัด ได้ทรงดำรงสมณเพศ ประทับทรงปฏิบัติพระธรรมวินัย อยู่ในสำนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอด ๑๕ ราตรี ทรงลาผนวช ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙

ทรงกรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรด ฯ สถาปนาสมณศักดิ์ และฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระราชอุปัธยาจารย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๙๙ ได้ถวายพัดมหาสมณุตมาภิเษก ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เศวตฉัตร ๓ ชั้น ได้เปลี่ยนเป็นฉัตรตาดเหลือง (หรือฉัตรตาดสีทอง) ๕ ชั้น สำหรับฐานันดรศักดิ์ กรมหลวงฯ

อภิธชมหารัฏฐคุรุ

รัฐบาลแห่งสหภาพพม่า ได้ถวายเฉลิมพระสมณศักดิ์ “อภิธชมหารัฏฐคุรุ” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์สูงสุดของสหภาพพม่า แด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า นายกรัฐมนตรีพม่า ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในประเทศไทย ได้มาประกอบพิธีถวาย ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๐

พระกรณียะพิเศษในรัชกาลปัจจุบัน

ถวายศาสโนวาทและเบญจศีล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๘๙

ทรงเป็นประธานพระสงฆ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ ๔-๘ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ในพระราชพิธีนี้ ได้ถวายพระครอบพระกริ่งกับพระครอบยันต์นพคุณ ณ มณฑปพระกระยาสนาน ถวายพระธรรมเทศนาทศพิธราชธรรม

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ซึ่งประสูติ ณ วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินทรเทพรัตนสุดา ซึ่งประสูติ ณ วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๔๙๘

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ซึ่งประสูติ ณ วันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐

ถวายพระนาม พระพุทธนาราวันตบพิตร ที่ได้ทรงสถาปนาและโปรดให้นำมา เมื่อเสด็จ ฯ ถวายพุ่ม

วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๐๐ เพื่อประดิษฐานไว้ ณ พระปั้นหยา อันเป็นที่เสด็จประทับบำเพ็ญสมณปฏิบัติ ในระหว่างทรงผนวช

ถวายพระนาม พระโพธิ์ใต้แม่ว่า “พระโพธิมหัยยาเขตสุชาตภูมินาถ รัฐศาสนสถาวรางกูร” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ (หมายเหตุ - พระโพธิ์ต้นนี้เกิดมาจากพระโพธิ์ที่อันเชิญมาจากศรีลังกามาประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาได้ตายลง แต่ก่อนจะตายได้มีพระโพธิ์ต้นใหม่เกิดขึ้นมา เรียกว่า พระโพธิ์ใต้แม่)

ประชวรครั้งอวสาน

หลังจากประชวรครั้งใหญ่ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ประชวรกระเสาะกระแสะ พระวรกายทรุดโทรมเรื่อยมา แต่อาศัยที่ได้ถวายการรักษาพยาบาล และประคับประคองเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับมีพระหฤทัยเข้มแข็งปล่อยวาง จึงทรงดำรงพระชนม์มาได้โดยลำดับ จนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๑ จึงปรากฏพระอาการประชวรมาก มีพระโลหิตออกกับบังคลหนัก ต้องรีบนำเสด็จสู่ตึกสามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๐๑ เริ่มปรากฏพระอาการเป็นอัมพาต แพทย์สันนิษฐานว่า เส้นพระโลหิตในสมองตีบตัน แต่ต่อมาพระอาการค่อยดีขึ้นบ้าง แล้วก็กลับทรุด

ปัจฉิมกาล

ครั้นเวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ ๑๐ นับเป็นวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ฯ ประทับหน้าพระแท่นบรรทมในห้องประชวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา ๐๑.๐๘ น. มีพระชนมายุ ๘๕ พรรษา ๑๑ เดือน และ ๑๙ วัน

ย่อความจาก "ธรรมจักษุ"

นิตยสารทางพระพุทธศาสนารายเดือน

จัดทำโดย มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 06, 10:06
 คุณ malagao  ย่อความบ้างก็ดีนะคะ  ถ้าอยากตอบ

ระดมเก็บข้อความในเว็บอื่นมาโพสต์เมามันติดๆกันหลายกระทู้ แบบนี้   ดิฉันตาลายค่ะ
อาจจะต้องลบบ้าง


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: Malagao ที่ 10 ต.ค. 06, 10:09
 William Penn (ค.ศ. 1644-1718)
(บทแปลประพันธ์ โดย อดีตองคมนตรี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ ม.ล. จิรายุ นพวงศ์)


ฉันจะผ่านโลกนี้ แต่เพียงหน
จึงกุศล ใดใด ที่ทำได้
หรือเมตตา ซึ่งอาจให้ มนุษย์ใด
ขอให้ฉัน ทำหรือให้ แต่โดยพลัน
อย่าให้ฉัน ละเลย เพิกเฉยเสีย
หรือผลัดผ่อน อ่อนเพลีย ไม่แข็งขัน
เพราะตัวฉัน ต่อไป ไม่มีวัน
จรจรัล ทางนี้ อีกทีเลยฯ

I shall pass through this world but once;
Any good, therefore, that I can do,
Or any kindness that I can show
To any human being, let me do it now.
Let me not defer it, nor neglect it;
For I shall not pass this way again.


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 06, 10:14
เจ้าของกระทู้เขาถามเรื่องท่านผู้หญิงพูนทรัพย์นะคะ
ราชสกุล นพวงศ์ เป็นนามสกุลของท่านองคมนตรี ม.ล. จิรายุ  
ส่วนนามสกุลเดิมของท่านผู้หญิง  เป็นภาษาเยอรมัน

น้องสาวของท่านในรูปถ่าย  คือคุณหญิงโรส บริบาลบุรีภัณฑ์


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: ศิษย์มารบูรพา ที่ 10 ต.ค. 06, 11:26
 ขอบคุณครับ อ.เทาชมพู พอจะทราบประวัติคร่าว ๆ ของท่านผู้หญิงมั้ยครับ ท่านเป็นลูกครึ่งเหรอครับ ผมพยายามหามาหลายเว็บแล้วแต่ไม่เจอ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 10 ต.ค. 06, 14:55
 คุณ Malagao ครับ ชื่นชมจังที่คุณเสียสละเวลาช่วยหาข้อมูลให้ผมได้อ่านความคิดเห็นคุณหลายกระทู้แล้วถ้าทำเป็นลิ้งค์จะดีกว่านะครับ ถ้าเนื้อหามันมีมาก เชื่อว่าผมและหลายๆคนอ่านแล้วคงมีอาการตาลายกันบ้าง


หรือจะย่อความสรุปมาก็จะเป็นพระคุณยิ่ง

ด้วยความปรารถนาดีและชื่นชมในความอุตสาหะ

และติดตามอ่านอยู่เช่นกัน


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: motor ที่ 10 ต.ค. 06, 18:44
 ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ มีนามสกุลเดิมว่า ไกรเยอร์ ถ้าจำไม่ผิดนะครับเพราะมีคุณพ่อเป็นชาวเยอรมันซึ่งสมัยนั้น เป็นพ่อค้าเพชรพลอยนำไปขายในวัง
พอท่านผู้หญิงโตหน่อยก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่ยังเล็กเสียดายหาหนังสือไม่เจอแล้วไม่งั้นจะบอกได้ละเอียดกว่านี้ครับ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: ศิษย์มารบูรพา ที่ 11 ต.ค. 06, 09:01
 ขอบคุณอีกครั้งครับ


กระทู้: ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
เริ่มกระทู้โดย: ritti018 ที่ 22 พ.ค. 09, 17:29
คุณหญิงโรส  บริบาลบุรีภัณฑ์ เป็นน้องสาวของท่านผู้หญิงพูนทรัพย์เหรอครับ......เท่าที่ทราบมาปัจจุบัน ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์มีอายุ ถึง 98 ปีแล้วนะครับ ท่านยังคงสวยและดูมีสง่าอยู่มากเลยครับ