เมื่อคุณหลวงเล็กบ่นว่าคึกนัก จึงจะถามต่อนะครับว่า
ในกรณีที่เห็นด้วยว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงขี่ม้าและมาขึ้นเรือแถบตำบลต่างๆ นั้น
๑. ประการแรกต้องนึกเตรียมพลฝีพาย ไว้ให้พร้อม เมื่อท่านเสด็จลงเรือได้เลย
๒. มาลงตำบลไหนละท่าน ที่จะมีเรือรบได้พรั่งพร้อมหลายลำ พร้อมกำลังพลได้ขนาดนี้
๓. ถ้าได้เรือจริงคงไม่ได้เรือรบ พร้อมกำลังพลหรอก คงได้แต่เรืออีโปง สำปั้น เข็ม เท่านั้น
คำเตือน อันนี้คิดเล่นๆ นะ อย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลียนแบบนะครับ คิดเองดิ
๑.ฝีพายนะ ไม่ยาก คนไทยสมัยนั้นพายเรือเหมือนกับขับรถ
ทหารทุกคนพายเรือได้ ตำบลที่ตั้งด่านทางน้ำทุกแห่งมีเรือไว้ใช้ในราชการ
เพราะไว้ใช้ในราชการด่วนและในการตระเวนทางน้ำ
เรือข้าราชการหัวเมืองก็มีใช้การได้ เรือพวกนี้ลำเล็ก แต่ว่องไวคล่องแคล่ว
คงไม่มีใครคิดเอาเรือพระราชพิธีที่ลำยาวมาก ไปพายคัดวาดในเวลาเร่งรีบหรอก
เหนื่อยแรง ถ้าพลาดท่าก็คว่ำได้ง่าย แต่ก่อนเรือหัวสัตว์เคยมีใช้ในราชการมาก
๒.เสด็จมาลงตรงไหนนะหรือ อันนี้พงศาวดารไม่บอก
แต่ถ้าคิดว่า หากทรงทราบข่าวหลังจากพระยาจีนจันตุ
เดินทางออกมากจากกรุงศรีได้สัก ๑ ชั่วยาม ผมคิดว่า แถวๆ
บางกอก นนทบุรีก็น่าจะพอทันการ ส่วนการเตรียมการคนนั้น
ก็เมื่อมีเหตุอย่างนี้การระดมคนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทุกด่าน
จะมีไพร่หลวงหัวเมืองที่มีหน้าที่รักษาด่านเข้าเดือนออกเดือน
รักษาการอยู่ไม่ขาด โปรดดูบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองต่างๆ
สมัยก่อน มักจะมีคำเกี่ยวกับการทำสงครามปรากฏอยู่ด้วย
ก็เพราะเจ้าเมืองต้องทำหน้าที่กองกำลังรักษาเมืองหลวงด้วย
ทหารจึงไม่ได้มีแต่ที่เมืองหลวง แต่มีทุกหัวเมือง
โดยเฉพาะหัวเมืองที่เป็นเส้นทางคมนาคมและเดินทัพ
๓.เรือนั้น คุณอย่าได้ดูถูกเรือชาวบ้าน ในยามคับขันเรือชาวบ้านลำเล็ก
แต่คล่องแคล่วดี และเรือรบที่คุณว่านั้น สมัยก่อนมันมีหน้าตาอย่างไร
มีพู่ห้อยไหม มีฉัตรธงประกอบไหม ต้องพายแบบนกบินไหม ต้องขานยาวไหม
(แต่คงไม่ต้องเห่หรอก เสียเวลา)
ผมบอกแล้วว่าเรือขุนนางนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่พอที่ใช้เรือรบเร็วได้
คนไทยถนัดรบด้วยเรือเล็ก ไม่ถนัดรบเรือใหญ่ เราจึงถนัดรบในแม่น้ำ
ถ้าออกทะเลแล้ว เมาคลื่น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องรีบตามเรือพระยาจีนจันตุให้ทัน
ก่อนออกปากน้ำ เพราะเรือเล็กออกทะเลสู้คลื่นไม่ไหว