ผมไม่ทราบว่าคุณหมอเพ็ญชมพูจะแกะตัวอักษรต่อให้ครบทุกหน้าไหวไหม
เดิมทีตั้งใจว่าจะแกะตัวอักษรทั้งสามหน้า แต่เมื่อมาพิจารณาดูแล้ว จดหมายทั้งหมดมีถึง ๒๙ + ๕ หน้า คงจะเหลือกำลังที่แกะตัวอักษรได้ทุกหน้า แลเมื่อเห็นความที่คุณนวรัตนถอดออกมา การถอดความลักษณะนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่า สำหรับจดหมายหน้า ๑ ที่แกะอักษรมานั้น อย่างน้อยก็มีประโยชน์เป็นตัวอย่างให้เห็นสำนวนของท่านที่เยิ่นเย้อเสียเหลือเกิน
หน้านี้จบลงพร้อมทิ้งข้อสงสัยว่าใครคือเจ้าปาน เจ้าปานคือใครคุณหมอเพ็ญชมพูอาจจะหาเจอได้
นั่นน่ะสิ เจ้าปานคือใคร
ผมอยากจะขอเสริมในเรื่องของ 'เจ้าปาน' ในซึ่งหลายๆท่านในที่นี้สงสัยว่าคือใคร พอดีผมได้อ่านบทความเรื่อง '"อุบัติเหตุ" ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์' ซึ่งตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรมปีที่ ๓๕ ฉบับที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงสรุปได้ว่า 'เจ้าปาน' คือหม่อมเจ้าปาน พระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี และเป็นพระเชษฐาของพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏครับ
ผู้เขียนสรุปว่าเรื่องของ 'เจ้าปาน' นี้เป็น 'อุบัติเหตุ' ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ โดยได้อ้างอิงจากพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๐ วึ่งมีความตำหนิพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เรื่องเจ้าปานอย่างรุนแรงครับ โดยมีความว่า
พระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท
วันพุธ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุนนพศก ศักราช ๑๒๙๔
ถึง พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ด้วยเธอจดหมายขอเงินเดือน ซึ่งได้มาแต่เดิมเดือนละ ๒ ชั่ง ที่เจ้าพนักงานจะงดเสียนั้นได้ทราบแล้ว
ซึ่งเธอว่าเงินรายนี้ ฉันได้ให้เปนทาน เพื่อจะให้เปนคำยกยองแลให้สงสารนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เปนทานเช่นที่ว่านั้นเลย ได้ให้เพราะมีความรักแลสงสารว่าได้คุ้นเคยเล่นมาด้วยกันแต่ก่อนอย่างหนึ่ง เพราะหมายว่าจะได้ใช้การงานอย่างหนึ่งเท่านั้น ก็เปนความจริงอยู่ว่า เงินรายนี้ถ้าฉันคิดจะให้เธอต่อไปอีกก็ให้ได้ แต่บัดนี้ไม่คิดว่าจะให้เพราะเหตุการที่มี ซึ่งจะว่าต่อไปฃ้างล่างนี้
ฉันเห็นว่าเปนการจำเปนที่ฉันจะต้องพูดเสียให้ปรากฏชัด เพราะฉันเคยถูกท่านพวกที่มีสิตปัญญาเปนมนุษยแท้มิใช้วัว ได้ดูถูกฉันมามากนักแล้ว คือเรื่องเจ้าปานที่ทำการในปัปลิกเวิก(Public Work กรมโยธาธิการ-ศรีสรรเพชญ์)ความจริงตามที่ได้มาฉเพาะหน้าฉันทั้งสิ้น แลความคิดฉันประการใดนั้น เปนดังนี้
เดิมเจ้าสาย(พระอัครชายา หม่อมเจ้าสาย-ศรีสรรเพชญ์)บอกว่า เจ้าปานว่า เธอชอบว่า
"จะไปอยู่เปล่าๆ ทำไม มาทำการด้วยกันเถิด แต่ครั้นจะกราบทูลเองก็เกรงพระองค์สวัสดิโสภณจะเปนเกินท่านไป ให้รับสั่งออกมาแต่ข้างในเถิด" ดังนี้
ฉันเข้าใจเอาเองว่า การที่เธอชวนเจ้าปานนี้ เห็นจะจริง เพราะตัวเจ้าปานก็เปนคนทำการงานได้อยู่บ้าง แลเธอจะมีความปารถนาอีกอย่างหนึ่ง ที่จะเอาดีต่อเจ้าสาย เพราะจำนำของไม่ได้เอาของไว้ ให้เงินไปแล้วไม่คิดเอาดอกเบี้ย จะสงเคราะห์เจ้าปานแทนดอกเบี้ยด้วย แต่เพราะเธอเคยเห็นตัวอย่างที่กรมหลวงเอาเจ้าเพิ่ม(หม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์-ศรีสรรเพชญ์)ไปใช้ สวัสดิโสภณเคยติเตียนว่าทำความผิดหัวเสียต่างๆ ถ้าเธอจะพูดเองก็จะเปนคนเสียคนไปอีกคนหนึ่ง จึ่งให้คำสั่งไปเสียแต่ฃ้างใน เธอจะได้พูดได้ว่า ไม่อยากคบค้า แต่เปนการจำเปน เพราะขัดรับสั่งไม่ได้ เพราะฉันเข้าใขว่าการที่เธอเอาเงินไปนี้ เธอได้ปิดไม่ให้ใครรู้ ความคิดอันนี้ใช่จะคิดเห็นภายหลัง ได้คิดเห็นแต่แรก แลได้พูดดังนี้แล้ว จึ่งได้จดหมายถึงเธอ ความแจ้งอยู่ในหนังสือ ฉบับที่ ๑๖/๔๙ ป,ฎ,๒ นั้นแล้ว
การที่รู้แล้วว่า เธอทำอุบายดังนี้แล้ว ยังจดหมายไปนั้น เพราะคิดเห็นว่า ถ้าจะไม่สั่งไป เธอจะเห็นว่าฉันกลัวความติเตียนของคนที่ถือประมัถมหายุติธรรม (วึ่งฉันเห็นว่า เปนการเหลือเกินจนกลายเปนอวดดีไป) จนไม่อาจสั่งได้อย่างหนึ่ง กับคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าบางทีเจ้าปานจะได้ทำการมีผลประโยชน์แลเปนคุณแก่ราชการ จะมาฃาดไปเพราะฉันไม่สั่ง ก็ดูเปนที่น่าสงสารแลเสียการ เปนไม่ได้การเพราะค่าที่เปนพี่น้องกับเมียฉัน ฉันจึ่งได้พูดไปยืดยาวตามความในหนังสือฉบับนั้น แต่เจ้าปานไม่ได้บอกว่าจะทำการอะไร ถามก็ไม่ได้ความ แลไม่ได้สั่งให้ไปสอบถามอีก เฃ้าใจว่าเธอทำการอยู่แต่โทรเลข แลไปรสนีย์ จึ่งเดาไปว่าจะเปนการโทรเลขฤาไปรสนีย์อะไรโดยไม่ได้ระวังจะให้เปนการแม่นยำ เพราะยังไม่ได้รู้ได้เห็นในเรื่องความคิดปับลิกเวิกเลย
ครั้นเมื่อได้รับหนังสือตอบ เธอรับตามคำที่เจ้าปานอ้างว่าเคยเปนคนชอบพอกัน แต่ที่ชวนนั้นชวนจะให้ทำการในปับลิกเวิก มิใช่ในการโทรเลขอลไปรสนีย์ ฉันจึ่งทรายว่าได้คิดการปับลิกเวิก แต่ยังเข้าใจว่า ไม่ได้สั่งเฃ้ามา จึ่งได้ตอบชี้แจงไปว่า การที่ว่า เจ้าปานว่า เธอชวนให้ทำการในโทรเลขแลไปรสนีย์นั้น ฉันเดาเอาเอง ความแจ้งอยู่ในหนังสือฉบับที่ ๑๒๓-๔๙ ป,ฎ, ๓ นั้นแล้ว
ครั้นวันนี้ ฉันได้พบกับสวัสดิโสภณ จึ่งทราบว่าความคิดเรื่องปัปลิกเวิกนั้น ได้สั่งให้โสณ(พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ทรงว่าการกรมโยธาธิการขณะนั้น-ศรีสรรเพชญ์)แต่ก่อนงานเมรุ แต่โสณจะส่งมาแล้วฤายัง ฉันยังไม่ทราบจนเดี๋ยวนี้ เพราะหนังสือมาสุมกันอยู่มาก ยังไม่ได้ค้น เธอจะคิดเห็นว่า
"การที่ความคิดนี้มาลอบหายไป เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเปนเปอซอนแนลของฉัน เธอจึ่งต้องคิดมาชวนเจ้าปานที่เปนพี่น้องฃองเมียฉัน ทำการเปนสินบนฉัน เห็นเปนประโยชน์จะได้กับตัว จึ่งได้ตกลง" นั้น ความคิดอันนี้ ถึงว่าเปนการเดา ก็เปนที่น่าจะเห็นสมตามความคิดที่คนบางคนได้คิดเห็นว่า ใจฉันเปนเช่นนี้ ซึ่งฉันขอปฏิเสธ แลอ้างพยานในการทั้งปวงเปนอันมากที่ได้ทำมาแล้ว ถ้าผู้ที่มีปัญญาใจเปนกลางๆ พิจารณา คงจะเห็นได้ว่าความจริงเปนอย่างไร เพราะฉนั้นฉันถือว่า
ความคิดอันนี้ เปนความคิดหมิ่นประมาทฉันแท้ แต่ยังเปนการที่คิดเดาอยู่บ้าง
ยังมีการที่ปรากฏชัดคือ หนังสือที่เธอมีไปถึงสวัสดิโสภณ ภายหลังหนังสือที่มีไปมากับฉัน เธอได้พูดจาตรงกันฃ้ามกับหนังสือที่มีถึงฉันว่า เธอได้คุ้นเคยชอบพอกับเจ้าปานมามาก ความปรากฏในหนังสือเธอ ลงวันอาทิตย์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ นั้นแล้ว ส่วนหนังสือที่มีไปถึงสวัสดิโสภณ เธอว่าเธอไม่ได้คุ้นเคยชอบพอกับเจ้าปานเลย เจ้าปานไปหาเธอขอทำการในกรมโทรเลขแลไปรสนีย์ เธออ้างหนังสือฉันเปนพยาน เธอไม่เห็นว่า เจ้าปานจะทำการอะไรในกรมโทรเลขแลไปรสนีย์ได้ เธอจึ่งตอบฉันมาตามจริงว่า เธอเห็นทำการอะไรในกรมโทรเลขแลไปรสนีย์ไม่ได้ แต่เธอสงสัยว่าฉันแต่งให้เจ้าปานไปหา เธอจึ่งได้ยอมรับจะให้ทำการในปัปลิกเวิก
ความที่เธอพูดในหนังสือฉบับหนึ่งว่า ชอบพอกับเจ้าปาน ฉบับหนึ่งว่า ไม่เคยชอบกันนี้ คงจะเปนการเท็จฃ้างหนึ่ง แต่จะเท็จฃ้างไหนไม่ทราบ ถ้าเท็จฃ้างหนังสือถึงฉันแล้วก็เปนบาปมากขึ้น เพราะโทษโกหกพระเจ้าอยู่หัวมีอยู่ในกฎหมายอีกโสตหนึ่ง
ส่วนที่ว่าเจ้าปานไปขอทำการในโทรเลขแลไปรสนีย์ อ้างเอาหนังสือฉันเปนพยานนั้น ฉันขอรับว่าเปนคำฉันพูดเองแท้ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เปนคำมั่นคงว่า กรมใดด้วยซึ่งจะเอาไปเปนพยานในการที่ให้เจ้าปานไปพูดนั้นไม่ได้ แต่เจ้าปานจะไปพูดเช่นนั้นฤาไม่ ฉันไม่เถียงแทน
ในข้อท้ายที่เธอสงสัยว่า ฉันแต่งให้เจ้าปานไปนั้น เปนการเลวทรามน่าอายยิ่งนัก ถ้าฉันจะสงเคราะห์เจ้าปานแล้ว พระบิดาเธอกับพระบิดาเจ้าปานวาศนาผิดกันอย่างไรนักหนา เพียงแต่กรมขุนกับกรมหมื่น มารดาเธอเป็นราชนิกุล ของเจ้าปานไม่ได้เปน แต่มันก็หม่อมชั้นเดียวกัน จะตั้งให้เปนพระองค์เจ้าเหมือนตัวเธอ ฤาจะให้เงินเดือนเดือนละ ๒ ชั่งเช่นเธอจะไม่ได้ทีเดียวฤา
คนที่บ้าๆ ฟุ้ง หัวเราะ ฉันไม่กลัวนักดอก คำที่พูดนี้เปนพยานให้เห็นว่า
เธอมีความคิดเห็นอยู่เสมอว่า ฉันเปนคนชั่วช้าทุกประการดังนี้ เพราะฉนั้น การที่ฉันยอมให้เงินเดือนเก่า ซึ่งฉันให้ด้วยความรักความคุ้นเคยกันอย่างไรได้ ด้วยเห็นกันไม่เปนผู้เปนคนอย่างนี้ จะรักอะไรกันลงฅอ ส่วนราชการที่ฉันอ้างว่า หมายจะได้ใช้อีกอย่างหนึ่งนั้น บัดนี้เธอก็ได้รับการตำแหน่ง ได้ถึงปีละ ๕๐ ชั่ง ก็เปนสิ้นเฃตรกันแล้ว ยังอยู่แต่จะให้เพราะรักกัน เมื่อความรักกันมีไม่ได้แล้ว ฉันก็ไม่ให้ ได้สั่งให้คลังงดเสียแล้ว
(พระบรมนามาภิธัย)
สยามินทร์"
โดยสรุปก็คือพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พยายามให้เจ้าปานได้เข้ารับราชการในกรมโยธาธิการ เพื่อเป็นการตอบแทนหม่อมเจ้าสายที่
"จำนำของไม่ได้เอาของไว้ ให้เงินไปแล้วไม่คิดเอาดอกเบี้ย" แต่กลับทรงใช้อุบายต่างๆปิดบังบิดเบือนและเขียนหนังสือเป็นความเท็จ รวมถึงยังสงสัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าทรงส่งเจ้าปานไปสอบถาม ทำให้พระองค์กริ้วและทรงงดพระราชทานเงินเดือนส่วนพระองค์ ๒ ชั่งนับแต่นั้น
นอกจากนี้เดิมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงตั้งพระทัยจะพระราชทานตึกภูมินิเทศทหารหน้าที่ท่าพระ ให้เป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ให้สมกับที่ได้เลื่อนเป็นพระองค์เจ้า ซึ่งตอนนั้นไม่มีที่อยู่ต้องไปประทับบนแพ แต่หลังจากพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ออกมา วันรุ่งขึ้นคือ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๐ รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานให้กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ โปรดเกล้าฯให้งดพระราชทานตึกภูมินิเทศทหารหน้าให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ด้วยทรงเห็นว่าไม่เป็นการสมควรอีกต่อไปครับ